[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 11 กรกฎาคม 2553 11:46:43



หัวข้อ: Change เปลี่ยน แล้ว ปล่อย
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 11 กรกฎาคม 2553 11:46:43
[ โพสท์โดย อ.มดเอ็กซ์ จากเวบเก่า ]



หลายวันก่อน พี่พยาบาลที่เคยรู้จักกันและเคยพบเจอกันมาหลายปีบอกว่า ข้าพเจ้าในปัจจุบันนี้ไม่เหมือนดังแต่ก่อน ไม่ค่อยดุเท่าไหร่แล้ว แถมพูดจาดีกว่าที่เคยเป็น ได้ยินแล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกดีใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าเปลี่ยนแปลงไปจนเห็นได้ชัดขนาดนั้นเชียวหรือ

หลายปีก่อนข้าพเจ้าเคยทำงานที่นี่ในฐานะแพทย์ใช้ทุนจบใหม่ และเมื่อกลับไปเรียนเฉพาะทางกลับมา ก็มาช่วยราชการที่นี่อยู่หลายรอบ เท่าที่ข้าพเจ้าจำได้ การกลับมาเป็นหมอเฉพาะทางที่จบใหม่ไฟแรง ข้าพเจ้ามีความเฮี๊ยบน่าดูและใช้มาตรฐานระดับโรงเรียนแพทย์มาตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างในโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งนี้ คุณพยาบาลต่างกล่าวขวัญกันว่า ข้าพเจ้าจะทำงานเนี๊ยบ และเฮี๊ยบด้วย การดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยต้องเป๊ะๆ แม้แต่การทำแผลและติดพลาสเตอร์ก็ต้องเป็นแนวเดียวกัน และเป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าติดไม่สวยก็จะโดนบ่นด่า เขาว่ากันอย่างนั้น

(http://gotoknow.org/file/yanuprom/land1a.JPG)

ข้าพเจ้าไม่เคยรู้ตัวมาก่อน ว่า “ เนี๊ยบ” เพราะคำนี้ดูจะเป็นคำสูงส่งมากทีเดียว ที่ผ่านๆ มาข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า ตัวเองยังดูแลคนไข้ได้ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ทุ่มเทให้คนไข้ได้ไม่มากเท่าที่ควรจะทำ แถมข้าพเจ้าไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นหมอที่ดีนัก เมื่อเทียบกับรุ่นพี่ๆ และครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ข้าพเจ้ารู้จัก

ด้วยความเอาจริงเอาจังกับงาน แถมลักษณะงานที่ทำ ต้องลุยๆแบบผู้ชาย จึงทำให้ข้าพเจ้าไม่เป็นที่ถูกใจคุณพยาบาลทั้งหลายนัก ข้าพเจ้ามักพูดตรงๆ และไม่ประนีประนอม ไม่อ่อนหวาน ออกจะเป็นคนห้าวๆ ห้วนๆ คุณพยาบาล หลายๆคนจึงมีอาการทั้งเบื่อหน่ายและเกลียดชังไปเลยก็มี

แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น และได้พบเห็นอะไรมากมายขึ้น ข้าพเจ้าก็มีความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นๆกันในผู้อาวุโสทั้งหลาย ตามวัยตามประสบการณ์ที่พานพบ เราจะดูใจเย็นขึ้น แต่ลึกๆแล้วข้าพเจ้าก็มีความโกรธ มีความไม่พอใจมากมายที่ถูกกดข่มไว้และพยายามไม่แสดงออกมา ในจิตในใจข้าพเจ้าก็ยังเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่การแสดงออกทางกายวาจาอาจจะน้อยลงเท่านั้น

(http://gotoknow.org/file/yanuprom/ss4.jpg)

การเข้าสู่วิถีแห่งการภาวนาเมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าพบว่าคนรอบข้างเริ่มเข้าใจและมองเห็น ความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตัวข้าพเจ้า ฟังดูแล้วน่าจะดี แต่อะไรๆ มันก็ไม่แน่นักหรอก ผู้คนมักจะคาดหวังกันว่า คนที่ไปปฎิิบัติสมาธิภาวนามา ต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากๆ หลายคนคาดหวังว่า เราจะต้องกลายเป็นผู้ทรงศีล เดินช้าๆ นุ่งขาวห่มขาว ไม่กล่าวคำหยาบคาย ไม่โกรธ ไม่แสดงอารมณ์ และต้องยิ้ม อยู่ตลอดเวลา ต้องพูดจาไพเราะอยู่เสมอ ช่างเป็นความคาดหวังที่น่าอึดอัดขัดข้องใจอย่างยิ่ง

การภาวนากับการเปลี่ยนแปลงนั้น มันมักเริ่มต้นจากข้างใน อย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป และบางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเปลี่ยนไปตอนไหน ดูจากภายนอกเราก็ยังคงเหมือนเดิม แต่งตัวแนวเดิมๆ แต่ความคิดเห็น ความเข้าใจโลก ความเข้าใจชีวิตมันเริ่มเปลี่ยน
การเปลี่ยนแปลงนั้นจึงไม่ใช่อยู่ที่การแต่งตัวหรือการแสดงกิริยาวาจาที่ผิดแปลกไปจากเดิม หลายสิ่งหลายอย่างจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่เปลี่ยนโดยฉับพลันทันที บางทีเราอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง และการเปลี่ยนแปลงภายในนั้นจะเป็นไปตามธรรมชาติและไม่มีการเสกสรรปั้นแต่ง ไม่ใช่การพยายามจะรักษาภาพลักษณ์ศักดิ์ศรีของผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนาแต่อย่างใด

(http://gotoknow.org/file/yanuprom/ss7.jpg)

บางครั้งถ้าข้าพเจ้าได้ยินคนมาทักว่าเราดูใจเย็นขึ้น พูดจาดีขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ดีใจแต่นั่นมันก็คือการเปลี่ยนที่เขามองเห็นและเข้าใจในขณะนั้น ไม่มีอะไรมาประกันว่า วันต่อไปเราจะเปลี่ยนไปแนวไหน อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็ได้ ขึ้นกับจิตกับใจเราที่จะมีสติและ อยู่กับปัจจุบันขณะได้แค่ไหน

คนที่ปฎิบัติสมาธิภาวนาหลายคนเมื่อก้าวไปสู่จุดหนึ่งของการปฎิบัติ จะมีอาการติดดี และคาดหวังว่าจะรักษาความดี (ในสายตาของคนอื่นไว้) ข้าพเจ้าว่านี่มันเป็นเหตุแห่งทุกข์อีกอย่างหนึ่งทีเดียว เรามักจะพยายามอย่างมากมายที่จะรักษาศีล รักษาภาพลักษณ์หรือคุณงามความดีอะไรสักอย่าง และบางครั้งมีการกดข่มอารมณ์ไว้ แถมพาลโกรธเคืองตัวเองว่าทำไมเราจึงยังโกรธ ทำไมเราจึงยังไม่ดีพอ การรักษาความดีที่ว่านี้ ดูจะเป็นภาระ และปัญหามากมายทีเดียว ข้าพเจ้าเองก็เคยมีอาการเช่นนั้น แถมมีอาการจิตตกเป็นพักๆ ยิ่งเราโกรธเคืองคาดหวังว่าเราควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ตกหลุมพลางของอัตตาตัวตนไปจนปีนขึ้นมาไม่ได้

เพราะที่แท้ เราก็ยังมีตัวกูของกูอยู่ครบ แถมยังไปคาดหวังให้ใครต่อใครๆมามองตัวกูคนนี้ ให้ดูเป็นคนดีตลอดเวลาด้วย พอเขามองไม่ดี มาตัดสิน มาตำหนิติเตียนเรา เรา หรือตัวกูของกูซึ่งเป็นอัตตาตัวตนที่มีอยู่จึงทุกข์

(http://gotoknow.org/file/yanuprom/wave1aa.JPG)

หลังๆมานี้ ข้าพเจ้าจึงไม่คิดอยากจะเป็นคนดีสักเท่าไหร่ ขอเป็นคนดีบ้างเลวบ้างแล้วสบายใจกว่า การยอมรับว่าเราไม่ดีไม่น่ารัก และยอมรับความโกรธที่เกิดขึ้น มันอาจจะเหมือนยอมศิโรราบกับอะไรบางอย่าง เราต้องยอมรับว่าจิตเรานั้นมีรัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ตามเหตุและปัจจัยที่มากระทบ เมื่อใดที่เราขาดสติ อะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะเมื่อไม่มีสติมากำกับ เราก็จะเป็นไปตามสิ่งที่มากระทบ จิตเขาเป็นเช่นนั้น เราบังคับไม่ได้จริงๆ ธรรมชาติเขาเป็นอย่างนั้น เราไม่อาจไปแทรกแซงและควบคุมได้ เพราะการควบคุมคือการกดข่มมันไว้

การฝึกสติ การเจริญสติ คือวิธีีการเดียวที่เราจะรู้เท่าทันการปรุงแต่งของจิต แล้วเราก็จะทันต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในจิตในใจของเรา เมื่อเรามีสติเราก็จะสามารถเข้าใจสิ่งต่างได้ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง การกระทำ ความคิด ทางกาย วาจาใจ ก็จะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และมีแนวโน้มไปในทางที่เป็นกุศล

ไม่มีอะไรแน่นอน ทุกสิ่งแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ วันนี้เวลานี้ี้เราอาจจะดูดีเลิศประเสริฐศรีในสายตาของใครหลายๆคน แต่ในอีกวินาทีถัดไปเราอาจกลายเป็นคนที่เลวร้ายที่สุดก็ได้ ถ้าเราพลั้งเผลอขาดสติ และเผลอไปตามเหตุและปัจจัยที่มากระทบ

(http://gotoknow.org/file/yanuprom/forestmural.jpg)

การยึดมั่นถือมั่นทั้งในความดีและความไม่ดีของใครต่อใครก็ถือว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์เช่นกัน เราหลายๆคนมักจะตัดสินคนอื่นจากอดีต เมื่อใครก็ตามไม่น่ารัก หรือทำอะไรไม่ดีกับเรา เราก็มักจะใช้อดีตครั้งนั้นตัดสินเขา แม้เวลาผ่านไปแล้วหลายปี เราก็ยังคงมองว่าเขาเป็นเหมือนเดิม เลวร้ายเช่นเดิม แต่กับความผิดความไม่น่ารักของเราแต่หนก่อน เรากลับต้องการให้คนอื่นลืมๆไปเสีย แถมยังคิดเข้าข้างตัวเองว่า ตอนนี้เราเติบโตแล้ว เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแล้ว น่าแปลกใจมากที่เราคิดว่าตัวเราเองพัฒนาขึ้นแต่กลับไปคิดเห็นว่าคนอื่นนั้นคงเป็นอย่างเก่านั่นแหละ เรา freeze คนอื่นไว้ แล้วตัดสินเขาจากอดีต และเชื่อมั่นว่าเขาต้องเป็นเช่นนั้นคงเดิมแม้เวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ก็ตาม ทำไมเราจึงคิดว่าคนอื่นไม่มีโอกาสพัฒนาตนเองเลย แต่เรากลับมีโอกาส ??

ข้าพเจ้าพบว่า นี่เป็นความคิดเห็นที่ผิดแปลกมาก เราตัดสินคนอื่นๆจากอดีต และคนอื่นๆก็ตัดสินเราจากอดีตที่ผ่านมา ด้วย แถมเรายังยึดมั่นถือมั่นว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องอยู่ในสภาพคงเดิม คนดีที่เรารู้จักต้องดีตลอดไป คนเลวที่เรารู้จักต้องเลวตลอดไป คงมีแต่เราเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่คนอื่นไม่มีสิทธิ์

ความคิดเห็นเช่นนี้ ทำให้เราไม่เคยให้โอกาสใคร และไม่ยอมให้อภัยใคร ในขณะเดียวกันเราก็เกิดความทุกข์ใจทันทีเมื่อคนดีที่เรานับถือแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น ไม่ดีอย่างที่เคยเป็นมา เราจะเสียใจและผิดหวังและ เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ไม่เลิก

ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดกาล ไม่มีอะไรที่ไม่แปรเปลี่ยน ความดีก็ยึดไม่ได้ ความเลวก็ยึดไม่ได้ ขึ้นกับเหตุและปัจจัยของมัน ตัวเราเองจึงมีความไม่แน่นอนอยู่สูงเช่นกัน มันขึ้นกับว่าเราจะรักษาใจไว้อย่างใด มีสติแค่ไหน เราไม่เคยดีตลอดเวลา และไม่เคยเลวตลอดเวลา คนอื่นๆก็เป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งย่อมแปรเปลี่ยน ทั้งดีขึ้นและแย่ลง และมีโอกาสเป็นไปได้ทั้งสองทางนั่นแหละ

(http://gotoknow.org/file/yanuprom/cloud11.jpg)

ดังนั้นพอมีใครบอกว่าข้าพเจ้าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ข้าพเข้าก็ออกจะดีใจในเริ่มแรก แต่ก็ตระหนักรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมันได้เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ เราไม่อาจรู้หรอกว่า ในวันข้างหน้าเราจะเป็นเช่นไร

แต่ถ้าเรายังยึดมั่นถือมั่นในคำสรรเสริญหรือนินทาก็แล้วแต่ เราจะเกิดทุกข์ ข้าพเจ้านึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลายขึ้นมาได้ ท่านสอนว่า “ ชั่วก็ไม่ควรเอา ดีก็ไม่ควรเอา แต่ให้อยู่เหนือดีเหนือชั่ว “

ทุกวันนี้เมื่อมีใครมาบอกว่า ข้าพเจ้าเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือเลวลงก็ตาม ข้าพเจ้าจึงได้แต่รับรู้ ขอบคุณเขาในใจ แล้วก็ปล่อยมันไปด้วย

ชีวิตเราทั้งหลายนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก เราจึงไม่อาจยึดถืออะไรไว้ได้นอกจากปล่อยมันไป

ในที่สุดข้าพเจ้าก็เข้าใจว่า ที่ทำได้ก็คือเป็นเพียงผู้ดู ไม่ต้องพยายามเป็นคนดี ไม่ต้องพยายามเป็นคนแบบไหน แต่ให้เฝ้าสังเกตดูใจตนเอง ..


http://gotoknow.org/blog/sunmoola/299701 (http://"http://gotoknow.org/blog/sunmoola/299701")