[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 11 กรกฎาคม 2553 11:50:35



หัวข้อ: สมาธิชาวบ้าน : อวดความโง่
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 11 กรกฎาคม 2553 11:50:35
[ บทความด้านล่างคัดลอกมาจากบอร์ดเก่า โพสท์โดย อ.มดเอ็กซ์ ]




(http://spiritpage.com/md/go/photos/shintani_lotus5.jpg)
 
 
           อวดความโง่

     การปฏิบัติธรรมเปรียบเสมือนการเดินทางที่ต่างคนก็ต่างมีรูปแบบและวิธีการในการเดินทางตามแนวทางของตนเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ซึ่งถ้าเป็นความสำเร็จในแง่ของการปฏิธรรมแล้วก็ย่อมต้องหมายถึงพระนิพพาน หรือการไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารนี้อีกต่อไป หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า สามารถเดินทางกลับบ้านที่ตนจากมาได้แล้วนั่นเอง

     นิพพานหรือการกลับคืนสู่ความเดิมแท้ของดวงจิตวิญญาณจึงเป็นจุดหมายสูงสุดในการปฏิบัติสมาธิภาวนาที่ผู้ปฏิบัติทุกคนต่างแสวงหาแนวทางและวิธีการที่ตนจะใช้ในการเดินทางเพื่อเข้าถึงจุดหมายสูงสุดที่ตนต้องการ บางคนถนัดเดิน...เขาก็เลือกที่จะเดินทางด้วยการเดินในแบบของเขาไป บางคนที่ถนัดขี่ม้า...เขาก็เลือกใช้การขี่ม้าเพื่อเดินทาง บางคนถนัดขี่จักรยาน...เขาก็ย่อมเลือกที่จะเดินทางด้วยการขี่จักรยาน

     ผู้ปฏิบัติทั้งหลายจงอย่าได้ปิดกั้นวิธีการเดินทางไปสู่จุดหมายแห่งการปฏิบัติธรรม และด่วนตัดสินว่ามีเพียงวิธีการที่เราถนัดเท่านั้นจึงจะเป็นวิธีการที่ดีและถูกต้อง ทั้งนี้ เพราะยังมีอีกมากมายหลายวิธีการที่ดวงจิตสามารถเข้าถึงพระนิพพานได้

     หลายคนเมื่อเกิดอาการหลง เกิดความยึดมั่นถือมั่น ก็จะเกิดอัตตา และเห็นว่าวิธีการของตนนั้นดีกว่าวิธีการของคนอื่นเขา  รู้สึกว่าตัวเองเก่งกว่าผู้อื่น เกิดเป็นความหลงในอัตตาเป็นตัวเป็นตน เกิดเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่ยากแก่การแก้ไข และถ้าดวงจิตแปดเปื้อนไปด้วยอวิชชาแล้วย่อมต้องกลับมาเกิดใหม่อีก ทำให้ไม่อาจหลุดพ้นจากวัฏสงสารไปได้

     ทุกวันนี้หลายคนได้กำลังแสดงความโง่ของตนออกมา ด้วยเพราะหลงเข้าใจว่าพวกตนเก่งกว่า ดีกว่าคนอื่น สวรรค์ของพวกตนนั้นดีกว่า สวยกว่าของคนอื่น บุญของตนนั้นดีกว่า สวยกว่า มากกว่าของคนอื่น ทั้งๆ ที่มนุษย์ทุกคนหากยังคงเวียนว่ายตายเกิดอยู่บนโลกแล้วนั้นก็ย่อมหมายความถึงว่าต่างยังคงมีความโง่ด้วยกันหมดทุกคน เพราะหากหมดซึ่งความโง่และความหลงแล้ว ดวงจิตวิญญาณนั้นย่อมไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก  แต่ที่ยังคงต้องมาเกิดอยู่นี้ก็เพราะมันยังคงโง่อยู่นั่นเอง แต่ถ้าหมดความโง่แล้วก็ไม่ต้องมาเกิดอีก

     เราทุกคนจึงต่างยังคงมีความโง่หรืออวิชชาอยู่ในดวงจิตด้วยกันทุกคน เพียงแต่จะมีมาก หรือมีน้อยแตกต่างกันไป แต่สรุปว่าถึงอย่างไรก็ยังคงโง่อยู่ ดวงจิตที่หมดสิ้นอวิชชาแล้วหามีไม่

     ในการปฏิบัติธรรมนั้นก็ไม่มีวิธีการของใครจะดีเยี่ยมไปกว่าใคร เพราะสุดท้ายเมื่อไปถึงจุดหมายแล้วก็หมดซึ่งความแตกต่าง ไม่มีใครดีกว่าใคร ไม่มีใครเก่งกว่าใคร

     ไม่ว่าใครจะใช้วิธีการอย่างใดในการเดินทางมาก็ล้วนมีค่าเท่ากัน ไม่เห็นจะแตกต่างกันที่ตรงไหน ในเมื่อทุกคนต่างก็มาถึงในจุดหมายเดียวกัน

     ต่างคนต่างก็เดินทางด้วยวิธีการที่ตนเองถนัดเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง ทั้งคนที่เขาเลือกขี่ม้าเขาก็สามารถเดินทางถึงจุดที่หมายได้ คนที่เลือกจะเดิน...เขาก็สามารถเดินถึงที่หมายได้ หรือคนที่เลือกขี่จักรยาน...เขาก็สามารถเดินถึงที่หมายได้เช่นกัน หากผู้นั้นมีความเชี่ยวชาญชำนิชำนาญจริงแล้ว วิธีการของเขาย่อมสามารถสัมฤทธิผลได้จริง และสามารถนำพาให้เขาเดินทางไปถึงจุดหมายได้อย่างแท้จริง

     ผู้ที่เดินทางไปถึงจุดหมายแล้วไม่เห็นว่าจะมีใครเคยมาถกเถียงกันในเรื่องที่ว่าวิธีการของใครดีกว่ากัน ใครที่ถนัดและชำนาญกรรมฐานกองใดเขาก็สามารถใช้กรรมฐานกองนั้นเข้าสู่สมาธิจิตได้ พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงจำแนกกรรมฐานออกเป็น 40 กอง ซึ่งแต่ละกองล้วนสามารถพัฒนาจนสามารถนำดวงจิตเข้าสู่ภาวะฌานสมาธิได้ด้วยกันทั้งสิ้น

     บริกรรมภาวนาก็สามารถเดินทางสู่จุดหมายได้ เพ่งกสิณก็สามารถเดินถึงจุดหมายได้ อานาปานสติก็สามารถเดินทางถึงจุดหมายได้ ฯลฯ กรรมฐานทุกกองเมื่อถึงจุดหมายแล้วย่อมมีค่าเท่ากัน ไม่มีกรรมฐานกองใดดีกว่ากองใด ไม่มีกรรมฐานกองใดเก่งกว่ากองใด ขึ้นอยู่กับจริตและความน้อมรับในกรรมฐานกองนั้นๆ ว่าใครมีความเชี่ยวชาญหรือมีความถนัดในกรรมฐานกองใด

     เห็นจะมีก็แต่ผู้ที่ยังอยู่ในระหว่างการเดินทางที่ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่ยังคงเถียงกันว่าวิธีการของตนนั้นดีกว่าและเก่งกว่าคนอื่น เมื่อยังไปไม่ถึงจุดหมายจึงต่างพากันใช้จินตนาการคาดเดาและหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง ทำให้เกิดเป็นอุปาทาน อัตตา เกิดกิเลสความหลงและยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่หลายคนก็กำลังจะถึงจุดหมายปลายทางอยู่แล้ว แต่พอมาเกิดความหลงในอุปาทานสัญญานั้นเสียก่อน พอหลงคิดว่าตนนั้นเก่งกว่าคนอื่น หลงคิดว่าตนนั้นกระทำถูกต้องกว่าคนอื่น เมื่อเกิดมีความหลงมากขึ้น อัตตาตัวตนมันก็ยิ่งพองโตมากขึ้นไปด้วย ในที่สุดความหลงก็กลายมาเป็นอุปสรรคอันสำคัญที่ไปสกัดกั้นดวงจิตให้ไม่อาจเข้าสู่ภาวะนิพพานได้

     อย่าหลงผิดสร้างอุปาทานสัญญาว่าตัวเรานั้นเก่งกว่า ดีกว่าคนอื่นเขา เราทุกคนต่างเท่าเทียมกัน จะมีโง่มากหรือโง่น้อยเท่านั้น แต่ที่ไม่โง่นั้นไม่มีเลย อย่าไปสร้างอัตตาตัวตนให้เกิดขึ้นภายในจิตใจของเราอีกเลย จะเข้าถึงพระนิพพานได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าอัตตาตัวตนของเรานี้เอง.


http://www.thaipost.net/tabloid/270909/11362 (http://www.thaipost.net/tabloid/270909/11362)