หัวข้อ: ว่าด้วยการยึดถือ,ความเชื่อ :การพินิจด้วยปัญญาเพื่อละสีลัพพตปรามาส เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 ตุลาคม 2555 15:15:03 (http://i1012.photobucket.com/albums/af250/paulk2010/Bhudda%20Art/SourceCodeBhuddaHands.jpg) ว่าด้วยการยึดถือ,ความเชื่อ, การพินิจด้วยปัญญาเพื่อละสีลัพพตปรามาส ------------------ ------------------ ------------------ ว่าด้วยการยึดถือลางวัตถุ ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาต ไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว ผู้นั้นชื่อว่าล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าว ครอบงํากิเลสที่ผูกสัตว์ไว้ในภพ อันประดุจคูกั้นเสียได้ ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก (ขุทฺทกนิกาย ชาตก ๒๗/๘๗/๒๘) ว่าด้วยการทึกทักเชื่อพิธีกรรม ถ้าแม้นบุคคลจะพ้นจากบาปกรรมได้ เพราะการอาบนํ้า(ชําระบาป) กบ เต่า นาค จรเข้ และสัตว์เหล่าอื่นที่เที่ยวไปในแม่นํ้า ก็จะพากันไปสู่สวรรค์แน่นอน... (และกล่าวในมุมมองอีกมุมหนึ่งว่า)ถ้าแม่นํ้าเหล่านี้พึงนําบาป ที่ท่านทําไว้แล้วในกาลก่อนไปได้ไซร้ แม่นํ้าเหล่านี้ก็พึงนําบุญของท่านไปได้ด้วย (ขุทฺทกนิกาย เถรีคาถา ๒๖/๔๖๖/๔๗๓) เป็นคำกล่าวของพระปุณณิกาเถรี ว่าด้วยการนับฤกษ์งามยามดี ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนเขลา ผู้คอยนับฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นตัวฤกษ์ของประโยชน์เอง ดวงดาวจักทําอะไรได้ (ขุทฺทกนิกาย ชาตก ๒๗/๔๙/๑๖) ว่าด้วยการพินิจด้วยปัญญาเพื่อละสีลัพพตปรามาส บุคคลประพฤติชอบเวลาใด เวลานั้นได้ชื่อว่า เป็นฤกษ์ดี เป็นมงคลดี เป็นเช้าดี อรุณดี เป็นขณะดี ยามดี และ(นับได้ว่า)เป็นอันได้ทําบูชาดีแล้ว ในท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย แม้กายกรรมของเขา(นั้น)ก็เป็นสิทธิโชค วจีกรรมก็เป็นสิทธิโชค มโนกรรมก็เป็นสิทธิโชค ประณิธานของเขาก็(ย่อมต้อง)เป็นสิทธิโชค ครั้นกระทํากรรม(การกระทําใดๆ)ทั้งหลายที่เป็นสิทธิโชคแล้ว เขาย่อมได้ประสบแต่ผลที่มุ่งหมายอันเป็นสิทธิโชค (สุปุพพัณหสูตร, องฺคุตฺตรนิกาย ติกนิปาต ๒๐/๕๙๕/๓๗๙) ------------------ ------------------ ------------------ (https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQXSQ2R-GV9ivz6aeYmywEGJu0RFb-UD0_sIjBXRui6usXcac3s) พุทธปรัชญาที่ผมหยิบยกมาบางส่วนนี้ แสดงถึงความเชื่อต่างๆล้วนเป็นอวิชชา เหล่านี้มีมานานนับพันปีจนปัจจุบันก็ไม่ได้แตกต่าง มนุษย์ทั่วโลกเชื่อถือ ยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ ประเทศไทยมีพฤติกรรมประเภทนี้มากมาย…. • การขูดต้นไม้ทายเลข ขอหวย • กราบไหว้วัตถุที่ตนไม่รู้จัก แม้ภายหลังนักวิทยาศาตร์จะบอกว่าเป็นแค่ก้อนอิฐก้อนดินเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ชาวบ้านก็ไม่ยอมละออกจากความเชื่อเดิม • การกราบไหว้บูชาดาวตกหรือหินที่มาจากนอกโลก • การยึดมั่นจนวิตกกังวลกับฝันและฤกษ์ยามที่ถูกทักมาจนไม่เป็นทำกิจอะไร • การยึดมั่นใน หมอดู หมอทรง ไสยศาสตร์ เครื่องราง ฯลฯ • การเชื่อว่า ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ที่นั่นที่นี่ จะเจริญ ร่ำรวย โชคดี อย่างไร้แก่นสารรับรอง ผมเคยลองดูหมอ และได้รับการทำนานทายทักว่าชีวิตผมนั้นอยู่ในช่วงขาลง (ที่เขาทักถูกเพราะเขาทักตามสภาวะความลำบากที่ผมเล่าให้เขาฟังนั้นเอง) เขาบอกวิธีแก้ดวงว่าให้นำน้ำล้างเท้าของผู้มีพระคุณมาอาบน้ำชำระกายเสียแล้วจะเจริญ .... สิ่งที่ผมรู้แก่ใจคือ สรรพสิ่งล้วนมีวัฏจักรของมันอันหลีกเลี่ยงบังคับไม่ได้ พุทธปรัชญาว่า อนิจจตา ทุกขา อนัตตตา ปรัชญาจีนว่า สูงสุดสู่สามัญ ปรัชญาตะวันตกว่าทำนองคล้ายๆกัน --- ความรู้นี้ทำให้ผมไม่วิตกกังวลกับทำนายและเคล็ด ไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ไร้เหตุไร้ผล ผมจึงไม่ได้ทำอย่างที่หมอดูสั่ง แต่ผมก็ดูแลผู้มีพระคุณไปตามกำลัง ไม่นานวัฏจักรชีวิตก็กลับมาดี ถามว่าคนบางคนทำไมเป็นไปตามหมอดูว่า หรือเพราะหมอดูนั้นแม่น ผมแจงว่าเพราะกำลังจิตที่อ่อนแอของผู้ถูกดู กรรมและวิบากจึงซัดพาไปได้ง่าย บอกว่าจะซวยจิตก็หลงว่าซวยสติสัมปัญชัญญะก็เสือมบกพร่อง เกิดเป็นความหลง ก็เกิดเรื่อยซวยๆไปตามจิตที่ชอบนั้น พอถูกทักบอกว่าจะดี จะรุ่งเรือง จิตก็เบิกบานอาจหาญ สติก็เบิกบานสว่างไสว กระทำการไปตามความเชื่อนั้น ผลก็ออกมาดีไปตามจิตที่ชอบนั้น เหตุการณ์นี้เป็นธรรมชาติ เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ พระตถาคตกล่าวอุปมาเทียบเคียงกับเรื่อง ชายตาบอดที่ต้องการเป็นเจ้าของผ้าขาว วันหนึ่งมีคนเอาผ้าสกปรกมาหลอกขาย ชายตาบอดซื้อไว้และเชื่อมาตลอดว่านั่นคือผ้าขาว จนกระทั่งเมื่อชายตาบอดรักษาตาจนหายแล้ว ลืมตามาเห็นเป็นผ้าสกปรกก็โกรธแค้นคนที่มาหลอกขายตน และตนก็หลงเชื่อว่าผ้าสกปรกคือผ้าขาวมาโดยตลอด เหตุการณ์นี้ก็ไม่ต่างจากคนที่งมงายใน อวิชชา ไสยศาสตร์ และ พิธีกรรม ต่างๆที่คนปั้นแต่งขึ้นเพื่อดึงดูดลาภสักการบูชามาสู่ตนหรือสำนักตน ความยึดมั่นเชื่อถือของประชาชนชนิดนี้ย่อมเป็นความเชื่อแบบเห็นผิด แบบหลง แบบมองไม่เห็นจริง นี่แหละคือสีลัพพตปรามาส ครั้งสุดท้ายที่เพื่อนพาผมไปดูหมอกับอาจารย์ที่เพื่อนนั้นเลื่อมใสเคารพรักอย่างขัดเสียไม่ได้ หมอดูกลับปฏิเสธที่จะดูให้แก่ผม พินิจจากแววตาของหมอดูแล้ว สันนิฐานได้ว่าหมอดูที่มากประสบการณ์จะมีความเป็นนักจิตวิทยาสูง นิยมพิเคราะห์สภาพจิตใจของผู้มาขอดูได้ เมื่อผู้มาดูมีสภาพจิตใจที่ตกต่ำเป็นทุกข์ สภาวะกายใจเป็นรองกว่า การดูหมอย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์น่าเชื่อถือ พูดสั่งอะไรก็เชื่อหมด แต่เมื่อผู้มาขอดูนั้นเป็นผู้ครององค์มรรค๘บริบูรณ์ จิตใจองอาจเหนือหมอดูที่ค่อนจะมาดูให้ รังแต่จะทำลายความน่าศรัทธาของหมอดูนั้นเสื่อมสิ้นไป อิทธิพลของนักทำนายทายทักก็พ่ายต่อสัมมาทิฏฐิแห่ง ความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน และสีลัพพตปรามาสก็ถูกทำลายสิ้นด้วยประการฉะนี้.. (https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQbnedwJv9jb86wrf0OjimKPXJnh_pekd8q_RXmbQtzj78xRpoD) http://www.jobbkk.com/th/relax/webboard/viewtopic.php?id=5528 |