หัวข้อ: กินเจคืออะไร ทำไมต้องกินเจ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 15 ตุลาคม 2555 10:33:00 (http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/160947.jpg) ภาพจาก : www.dailynews.co.th (http://www.dailynews.co.th) กินเจคืออะไร ทำไมต้องกินเจ การกินเจมีรากฐานมั่นคงสมัยราชวงศ์ฮั่น พัฒนามากในยุคราชวงศ์เหนือ -ใต้ และในราชวงศ์ถัง การเปิดเส้นทางสายไหม ในรัชกาลพระเจ้าฮั่นอู่ตี้ ทำให้พันธุ์ผักผลไม้ใหม่เข้าสู่จีน ทำให้มีผักผลไม้อุดมสมบูรณ์ พ.ศ. ๓๔๔-๓๖๙ สมัยหวยหนันอ๋อง มีคนคิดทำเต้าหู้สำเร็จ ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองประเภทอื่นก็ตามมา มีโปรตีนทดแทนทำอาหารเจได้หลายประเภทขึ้น ยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ พุทธศาสนารุ่งเรืองมาก เดิมทีพุทธศาสนาไม่ห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ แต่มหายานบางสายก็ให้ความสัมพันธ์กับการฉันเจ บางยุคพุทธศาสนาถูกต่อต้าน ภิกษุภิกษุณีออกบิณฑบาตไม่ได้ ต้องทำอาหารเจฉันกันเอง พ.ศ. ๑๐๕๔ พระเจ้าเหลียงอู่ตี้ อ่านคัมภีร์ลังกาวตารสูตร แล้วเกิดศรัทธาออกประกาศงดสุราและเนื้อให้นักบวชพุทธศาสนาถือปฏิบัติ ปกติฤดูหนาวคนจีนต้องดื่มสุราช่วย ภิกษุภิกษุณี ก็คงมีดื่มบ้าง ตามประกาศนี้ก็ต้องงดขาด นับแต่นั้นบัญญัติห้ามฉันสุราและเนื้อจึงแพร่ไปทั่ว กลายเป็นจารีตของนักบวชพุทธศาสนาในจีน ยุคราชวงศ์ถัง วัดบางแห่งห้ามผักฉุน ๕ อย่าง คือ กระเทียม กระเทียมเล็ก หอม หอมปรัง (หลักเกี่ยว) มหาหิงคุ์ วัดเต๋าบางแห่ง ถือเอากุยช่าย หอมปรัง กระเทียม ผักชี และหวินไถ (ผักน้ำมัน) เป็นผักฉุน ๕ อย่าง สมัยราชวงศ์ซ่ง อาหารเจแพร่หลายในเมืองใหญ่ เช่น ไคเฟิง หางโจว มีร้านอาหารเจขาย มีผู้รวบรวมเมนูไว้ถึง ๑๐๔ รายการ เนื้อเทียม เป็ดไก่เทียม เริ่มต้นในสมัยนี้ และในสมัยราชวงศ์ซ่งนี้ เฮ้งเต้งเอี๋ยง ได้ตั้งนิกายช้วนจินก้า แยกออกจากศาสนาเต๋าเดิม มีระบบนักบวชกินเจตลอดชีวิต สมัยราชวงศ์หมิงและชิง อาหารเจโดดเด่นหลากหลาย แยกเป็น ๓ สาย สายวัด สายวัง และสายชาวบ้าน และมีอีก ๒ ศาสนาที่เกี่ยวข้องกับอาหารเจคือ ศาสนาเต๋า และศาสนามณี ปรัชญาเต๋า พัฒนาเป็นศาสนาเต๋าชัดเจนตอนปลายสมัยราชวงศ์ฮั่น ไม่มีระบบนักบวชจัดเจน มีแต่ผู้นำทำพิธีทางศาสนา ปกติใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไป พอจะทำพิธีก็ต้องกินเจ สมัยราชวงศ์ถัง สำนักเต๋าบางแห่งเริ่มกินเจทุกวัน วันนี้ศาสนาเต๋าแบ่งเป็น ๒ นิกาย นิกายช้วนจินก้า รุ่งเรืองในจีน นักพรตกิจเจตลอดชีวิต นิกายเจิ้งอี่ รุ่งเรืองในไต้หวัน นักพรตกินเจแบบศาสนาเต๋า คือเมื่อจะทำพิธีกรรม ศาสนามณี มีอีกชื่อ มาณีกี สืบสานจากเปอร์เซีย ศาสดาชื่อมณี (พ.ศ. ๗๕๙ – ๘๒๐) คำสอนใช้ศาสนาโซโรอัสเตอร์ เป็นพื้นฐาน ผสมผสานพุทธศาสนา คริสต์ศาสนา และยังรับอิทธิพลจากลัทธิเหตุผลนิยมจากโรมัน เคยแพร่หลายไปทั้งยุโรป แอฟริกา และเอเชีย แพร่ไปถึงซินเจียงของจีน ในราชวงศ์เหนือ-ใต้ สมัยพระนางบูเช็กเทียน เผยแพร่ในนครฉางอาน เมืองหลวงราชวงศ์ถัง แล้วแพร่หลายไปอีกหลายมณฑล พ.ศ. ๑๓๘๘ ถูกพระเจ้าอู่จงกวาดล้าง จนเสื่อมโทรมไป แต่ก็พัฒนาเป็นลัทธิเม้งก้า (หมิงเจี้ยว) ลัทธิแสงสว่าง กบฏชาวนาในยุคห้าราชวงศ์ ราชวงศ์ซ่ง และราชวงศ์หยวน มักใช้ศาสนานี้เป็นเครื่องมือตั้งองค์กรต่อต้านอำนาจรัฐ ลัทธินี้ยกย่องจางเจี่ยว (เตียวก๊ก) หัวหน้าโจรโพกผ้าเหลืองต้นเรื่องสามก๊ก เป็นศาสดา เคารพองค์พระมณีเป็นเทพแห่งแสงสว่าง บูชาพระอาทิตย์ พระจันทร์ ศาสนิกลัทธิเม้งก้า กินมังสวิรัติ งดสุรา เปลือยศพฝัง เน้นการรวมกลุ่มช่วยเหลือกันและกัน ถือว่าเป็นพวกเดียวกัน มีความเชื่อว่า พลังแห่งแสงสว่าง (ความดี) จะต้องชนะพลังแห่งความมืด (ความชั่ว) และชอบแต่งกายชุดขาว ที่มา : “คนในชุดชาว” คอลัมน์ ชักธงรบ โดยกิเลน ประลองเชิง หน้า ๓ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับประจำวันอังคารที่ ๑๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ |