[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:34:39



หัวข้อ: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:34:39
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


จากหนังสือ..................................................................

มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา

โดย สาวิกา ศาสตร์พงษ์

 (:7:)มีผู้ถามดิฉันเสมอว่าทำไมจึงสนใจศึกษาธรรมดิฉันคิดว่า
คงเพราะสะสมมาที่จะสนใจทำให้ตอนเป็นเด็กมักจะตามคุณยาย
สองท่านไปทำบุญที่วัดเสมอทั้ง ๆ ที่ไม่มีพี่น้องเด็ก ๆ คนอื่นไปด้วย
บ้านดิฉันอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาภาพที่ประทับใจในตอนนั้นคือ............................
คุณยายจะทำบุญใส่บาตรพระที่ท่านพายเรือมาบิณฑบาตทุกเช้า และ
เมื่อโตขึ้นหน่อยก็มีหน้าที่พายเรือรับส่งคุณยายไปถือศีลที่วัดตรงกัน
ข้ามฝั่งแม่น้ำ และถ้าตรงกับวันหยุดก็ถือศีล  8 กับคุณยาย การ
ถือศีล  8ของดิฉันก็คือไม่กินข้าวเย็น ไปสวดมนต์ทำวัตรเช้า - เย็น
ที่วัด และนอนค้างที่วัด ไม่เข้าใจอะไรมากกว่านี้ แต่ที่ทำให้ยินดี
เต็มใจถือศีล คือ มักจะมีผู้ใหญ่มาชมเชยว่า “ดีเหลือเกิน ยังเป็นเด็ก
อายุยังน้อย ก็มาสนใจถือศีล ขอให้เจริญ ๆ เถอะ แม่คุณ ก็รู้สึกดี
และพอใจที่จะได้รับคำชมอย่างนั้นอีกเมื่อเข้าเรียนหนังสือชั้นมัธยมก็ (:4:)


http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/03.%20Track%203.wma


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:44:27
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:3:)ก็ไปเรียนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์และเข้าเรียนหลักสูตรธรรมศึกษาตรี และสอบได้ธรรม
ศึกษาตรีดิฉันชอบการเรียนธรรมเช่น นวโกวาท ที่รวบรวมคำสอน
ไว้เป็นหัวข้อย่อ ๆ ชอบอ่านพระสูตรชอบอ่านชาดกซึ่งเด็ก ๆ
เพื่อน ๆ พี่น้องในวัยเดียวกันไม่มีใครสนใจเลยดิฉันจึงคิดว่าคงเพราะ...........................
สะสมมาที่จะสนใจจึงทำให้มีความสุขที่ได้ศึกษาธรรม
เมื่อเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา พบเพื่อน ๆ ที่เป็นกัลยาณมิตร
มี รศ. จลีพร แสงบุญนำโกลากุล ชักชวนให้มาศึกษาธรรมที่
วัดบวรนิเวศฯ กับหลวงตา ธัมมสาโร (:11:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:45:15
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


ได้ศึกษาและสอบหลักสูตรธรรม........................................... (:14:)
ศึกษาโท และได้สนทนาธรรมต่าง ๆ กับหลวงตาเป็นประจำ แต่
ตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไร เพียงแต่ชอบฟังเรื่องราวที่เป็น
นิทาน ชาดก ที่สอนให้เป็นคนดี สอนเรื่องกรรมและผลของกรรม
มีเรื่องหนึ่งที่จำได้ไม่ลืมแม้จะได้ฟังผ่านมานานเกือบ ๓๐ ปีแล้ว
แล้วได้นำมาใช้เป็นประจำ หลวงตาเล่าถึงเรื่องในชาดกเรื่องหนึ่ง
ดิฉันก็จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร มาจากพระไตรปิฎกเล่มไหนเรื่องมีว่า
มีมาณพรูปงามคนหนึ่ง เป็นที่โปรดปรานของพระราชามากก็สงสัย
ว่าพระราชาโปรดปรานตนเพราะเหตุใด เพราะมีรูปร่างงามหรือ
เพราะมีตระกูลสูง หรือเพราะมีทรัพย์สมบัติ หรือเพราะมีศีลจึง
ได้ทดสอบโดยการแอบหยิบเงินจากท้องพระคลังไปวันละเล็กละน้อย
ทุกวัน เมื่อมีการสอบสวน จึงถูกจับได้ พระราชาก็โปรดให้ลงโทษ
และไม่โปรดปรานอีกต่อไป จึงได้ทูลพระราชาถึงสาเหตุที่กระทำลงไป
และได้ทราบว่าที่เป็นที่โปรดปรานนั้นเพราะเป็นผู้มีศีล หลวงตาก็สรุป
ว่า ถ้าจะเลือกคบใครเป็นเพื่อนสนิทหรือจะมีแฟนก็ให้เลือกคนที่มีศีล
ก่อน แต่ศีลนั้นจะรู้ได้ก็ด้วยการอยู่ร่วมกันเป็นเวลานานพอสมควร
ดิฉันจึงยึดถือเป็นหลักในการเลือกแฟนเช่นเดียวกัน (:12:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:46:23
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:11:)เมื่อเรียนจบไปทำงาน เพื่อนก็ชวนไปปฏิบัติธรรม คือพากัน
ไปนั่งสมาธิตามป่าตามถ้ำไปกันเป็นกลุ่ม ๆ เมื่อนั่งสมาธิแล้ว
ก็มีคนบอกว่าสามารถระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นคนนั้นคนนี้ ล้วนแต่เป็น
คนสำคัญของชาติทั้งนั้นแล้วก็มาบอกว่าเราก็เป็นเหมือนกัน ทำให้
คิดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้น เคยเป็นใหญ่เป็นโตอย่างนั้น บางครั้ง
ก็คิดดูถูกคนอื่นว่าไม่เคยเป็นอย่างฉัน มาคิดตอนนี้รู้สึกว่าตัวเอง
คงจะเพี้ยนไปเหมือนกัน แต่เพราะกุศลที่เคยทำไว้ก่อน ทำให้เห็น
ข้อปฏิบัติที่ผิดอย่างมากของอาจารย์ผู้สอนที่เป็นพระ จึงปลีกตัว
ออกจากกลุ่มนี้ แล้วแสวงหาธรรมอีก มีคนชวนไปบวชชีพราหมณ์
ที่สำนักปฏิบัติธรรมสำนักหนึ่ง ที่นั่นเป็นโรงกว้าง ๆ เวลาไปบวชชี- (:-_-:)
พราหมณ์ ก็จะต้องเตรียมไปอยู่อย่างน้อย ๓ วัน ต้องนุ่งขาวห่มขาว
กางมุ้งนอนติด ๆ กัน ต้องตื่นตอนตี 4 เพื่อสวดมนต์ทำวัตรเช้า
แล้วนั่งสมาธิ เดินจงกรม ฟังเทศน์จากพระภิกษุ แล้วสวดมนต์
ทำวัตรเย็น ต้องนอน 4 ทุ่มทุกคืน ดิฉันชวนคุณยายและคุณแม่
ไปด้วย ปรากฏว่าคุณแม่ไม่สบายเป็นลมไป เพราะพักผ่อนไม่พอ
ตอนหลังก็มีดิฉันไปคนเดียวไปช่วยทางสำนักรับเงินบริจาค ทำให้
รู้สึกว่าได้ทำประโยชน์แก่สำนักบ้างและอาจารย์ที่เป็นพระรูปหนึ่ง
บอกให้ฟังรายการธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดิฉัน
จึงเริ่มฟังธรรมจากสถานีวิทยุ สทร. ตอน 6 โมงเช้า ตั้งแต่ปี พ.........ศ..........
2527 เมื่อฟังตอนแรก ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจ เรื่องนามรูป - เรื่องจิต
เจตสิก แต่ชอบฟังเพราะเสียงของท่านอาจารย์ไพเราะฟังแล้วสงสัย (:7:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:48:01
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:10:)ตอนย็นบางตอนที่ท่านอ่านพระสูตรรู้สึกว่าเข้าใจดีและท่านพูด
เหมือนผู้ที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงดิฉันจึงตามไปฟังท่านบรรยายที่
สภาการศึกษามหามกุฎราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศ ตอนบ่ายวันอาทิตย์
เมื่อไปฟังวันแรกก็ไปถามปัญหาว่า ดิฉันถือศีล  8 แล้วเพื่อนร่วม
งานชอบล้อเลียน เรียกว่าแม่ชีบ้าง ทำให้เกิดโทสะ ท่านอาจารย์
ก็ถามว่า ถือศีลเพราะอะไร ดิฉันก็ตอบว่า ดิฉันอยากได้บุญ คิดว่า
ถือศีลมากข้อก็จะได้บุญมากขึ้น ท่านก็ถามต่อว่า บุญคืออะไร ดิฉัน
ก็ตอบไม่ได้ ท่านตอบว่าอะไร ดิฉันก็จำไม่ได้ แต่ดิฉันก็ติดตามฟัง
รายการธรรมทั้งทางวิทยุ และที่สภาการศึกษาฯ ตลอดมา เลิกไป
บวชชีพราหมณ์ และเลิกแสวงหาอาจารย์ที่คิดว่าจะช่วยให้เรา
ปฏิบัติธรรมได้ถูกต้อง เพราะเริ่มที่จะเข้าใจธรรมมากขึ้นว่าไม่เกี่ยวข้อง
กับสถานที่และวิธีการ แต่ขึ้นอยู่กับความเข้าใจธรรมที่พระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงมากกว่า แต่การ
ที่จะเข้าใจพระธรรมโดยการศึกษาด้วยตนเอง ไม่มีอาจารย์แนะนำนั้น
คงเป็นเรื่องยากมากสำหรับดิฉัน เพราะฉะนั้นอาจารย์ผู้สอน
พระธรรมจึงสำคัญมาก อาจารย์ผู้สอนพระธรรมจะต้องเป็นผู้แตกฉาน
ในพระไตรปิฎก เข้าใจธรรมอย่างถูกต้อง สามารถนำมาอธิบายให้
เข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งได้ อย่างที่คุณหมอวิภากร เขียนไว้ในหนังสือ
เพราะเคยได้กระทำบุญไว้แต่ชาติปางก่อนจึงทำให้ได้มีโอกาสฟัง
พระธรรมจากท่านอาจารย์ เพราะท่านอาจารย์เคยพูดว่า “ธรรม
ไม่สาธารณะสำหรับทุกคนซึ่งในตอนต้นที่ได้ฟังธรรมดิฉันตื่นเต้นมี -  (:3:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:49:05
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


- มากอยากจะให้ใคร ๆ ได้ยินได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์เหมือนดิฉัน  
(:4:)ชวนญาติเพื่อนฝูงไปฟัง และเคยเชิญท่านอาจารย์ไปบรรยาย
ธรรมที่ทำงานคิดว่าคนอื่นจะซาบซึ้งที่ได้ยินธรรมที่แท้จริงอย่างนี้ แต่
ปรากฏว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่สนใจและไม่เข้าใจ จึงเข้าใจว่า ธรรม
ไม่สาธารณะสำหรับทุกคนนั้นเป็นอย่างนี้เอง จะต้องสะสมกุศลมา
พอสมควรจึงจะทำให้เข้าใจและสนใจที่จะได้ศึกษาธรรมที่ลึกซึ้งต่อไป
และการที่จะเข้าใจธรรมก็ด้วยการศึกษา การฟัง การอ่าน การ
พิจารณา แล้วการปฏิบัติธรรมก็จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าใจธรรม เช่น ถ้า
เข้าใจเรื่องศีล ว่าเป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น
ด้วยกายและวาจา มีการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิด
ในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มของมึนเมา เมื่อมีเหตุการณ์ที่จะต้องพูด
ก็เลือกที่จะไม่พูดปด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ
อย่างนี้คือการปฏิบัติธรรมแล้ว การปฏิบัติธรรมสามารถปฏิบัติได้ตลอด
เวลา ไม่ต้องเลือกว่าช่วงเวลานี้ควรไปปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ หรือสำนัก
นี้ มีตัวอย่างมากมายในพระไตรปิฎก เช่น นางขุชชุตตรา หรือนาง
รัชชุมาลา เป็นทาสี ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ ท่าน
ทั้งสองเป็นทาสี คงไม่มีเวลาว่างที่เจ้านายให้หยุดงานไปปฏิบัติธรรม
โดยไม่ถือเป็นวันลา  (:LOVE:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:51:15
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)



เอ...................ดิฉันพูดส่อเสียดหรือเปล่าคะ....................... ?


 (:4:)มีครั้งหนึ่งดิฉันประทับใจมากไม่มีวันลืมเลย คือ ท่าน
อาจารย์บรรยายเรื่องความหวัง มาจากคำว่า อาสา เป็นโลภะ เป็น
อกุศล และอกุศลเป็นสิ่งที่ควรละ ซึ่งต่างกับที่เคยรู้ ๆ มาว่า ควร
มีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ใคร ๆ ก็สอนกันว่า ให้ตั้งความหวังไว้ใน
การทำทุกสิ่ง เพราะความหวังเป็นสิ่งจรรโลงใจ มีคำพูดที่สอนเกี่ยว
กับชีวิตและความหวังมากมาย เมื่อท่านบรรยายเสร็จ ดิฉันจึง
เรียนถามท่านว่า “ถ้าไม่มีความหวัง ชีวิตจะอยู่อย่างไร” ท่าน
ก็ตอบว่า “อยู่ด้วยปัญญาซิคะ” คำตอบสั้น ๆ ของท่านรวมทุกสิ่ง
ทุกอย่างอยู่ในนั้น ทำให้ดิฉันรู้สึกโปร่งโล่งใจสบาย จุดประกายให้
ดิฉันตั้งใจศึกษาพระธรรม เพื่อให้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เพราะไม่
ว่าชีวิตจะเป็นสุข เป็นทุกข์ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้นินทา ได้ลาภ -


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:52:22
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:-_-:)สื่อมลาภอย่างไร ชีวิตก็เป็นอยู่ได้ด้วยปัญญา แต่ปัญญาไม่ได้เกิดง่าย ๆ เลย แม้ปัญญาเพียงขั้นการฟัง เพราะฟังแล้วก็ลืมอย่าง
รวดเร็ว แต่ก็เหมือนมีเงาราง ๆ ที่พอจะเห็นรูปร่างได้ ไม่มืดสนิท
เสียทีเดียว รู้ว่านี่แหละใช่เลย ธรรมต้องลึกซึ้งอย่างนี้ ไม่ใช่ของ
ง่าย ๆ ที่ใครบอกให้ทำ เมื่อทำตามแล้วจะเห็นธรรมเข้าใจแล้วว่า
ทำไมพระผู้มีพระภาคจึงต้องทรงรอให้ท้าวสหัมบดีพรหมมาอาราธนา
ให้ทรงแสดงธรรม เพราะพระธรรมนั้นลึกซึ้งจริง ๆ ยากที่จะเข้าใจ
ทั้ง ๆ ที่มีปรากฏอยู่ตลอดเวลา พระสาวกทั้งหลายท่านยังต้องบำเพ็ญ
บารมีที่จะรู้ตามเป็นแสนกัป แล้วอย่างดิฉันเพิ่งเริ่มพบหนทางที่ถูก
จะเข้าใจแจ่มแจ้งได้อย่างไร ดิฉันจึงติดตามฟังธรรม อ่านธรรมที่
ท่านอาจารย์นำมาจากพระไตรปิฎก มาย่อยให้พวกเราเข้าใจ มีหลาย
เรื่องที่ท่านนำมาบรรยายแล้วช่วยให้ดิฉันเข้าใจธรรมมากขึ้นและเข้า
ใจตัวเองมากขึ้น คือ ทำความเห็นให้ตรงตามความเป็นจริงซึ่งเป็น (:8:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:53:06
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:3:)ข้อสุดท้ายในบุญญกิริยาวัตถุ 10 คือ ทิฏฐุชุกรรม การทำความเห็น
ให้ตรงนั้น เป็นหนทางให้เกิดกุศลอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีความเห็น
ตรง ก็จะทำให้สามารถทำบุญอื่น ๆ ได้ เช่นการให้ (ทาน) การไม่
เบียดเบียนผู้อื่นด้วย กายวาจา ศีล การอบรมจิต การอ่อนน้อมต่อผู้
ที่ควรอ่อนน้อม การประพฤติตนเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น การอุทิศ
ส่วนกุศล การอนุโมทนาในกุศลของผู้อื่น การฟังธรรม การแสดง
ธรรม เป็นต้น
เมื่อดิฉันฟังธรรมมากขึ้น ก็พอเข้าใจได้บ้างว่า จิตมี 4 ชาติ
ชาติคือการเกิดขึ้นของจิตเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือ จิตเกิดขึ้นเป็น
กุศล 1 จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศล 1 จิตเกิดขึ้นเป็นผลของกุศลหรือ
อกุศล  1 จิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา คือไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่
วิบาก 1  นั้นคืออย่างไร ? เพราะเดิมเข้าใจว่า ที่เราต้องทุกข์เดือดร้อน
ได้ยินเสียงด่าทอจากเพื่อนบ้านที่เขาทะเลาะกันเอง เพื่อนบ้านนำขยะ
มาทิ้งข้างบ้านที่เป็นที่ว่าง มีกลิ่นรบกวนตลอดเวลานั้น ทำให้เรา
เกิดความไม่พอใจ คับแค้นใจ จะย้ายบ้านก็ไม่ได้ เพราะเป็นบ้าน
ของเราเอง ดิฉันจึงเป็นทุกข์ แต่ความจริงความทุกข์นั้นเป็นกิเลส
เป็นอกุศลจิตของเราเอง เป็นจิตชาติอกุศล แต่การเห็น การได้ยิน
การได้กลิ่น การลิ้มรส การกระทบสัมผัส เป็นจิตที่เป็น(ชาติ)วิบาก
คือ เป็นผลของกรรมที่ทำมาแล้ว ไม่ว่าจะเมื่อไรก็ตาม เมื่อกรรม
กระทำสำเร็จแล้ว ก็สามารถให้ผลได้ตามเหตุตามปัจจัย และความ
ทุกข์กายที่เกิดจากการกระทบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ เช่น ความร้อนเกิน (:2:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:53:44
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:LOVE:)ไปเย็นเกินไปแข็งเกินไป นั้นเป็นจิตที่เป็นชาติวิบาก ประกอบ
ด้วยทุกขเวทนา แต่ที่เราเป็นทุกข์ใจนั้นเพราะกิเลสของเรา เมื่อ
เข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้น ก็ทำให้ความทุกข์ใจลดลง ความทุกข์
ใจเป็นกิเลส เพราะขณะนั้นไม่รู้ความจริง ดิฉันได้ฟังท่านอาจารย์
บรรยายว่า ทุกคนอยู่ในโลกของตัวเอง และแต่ละคนมีโลกอยู่ ๖
ทาง คือ โลกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
เมื่อเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิดนึก
ไปตามประสบการณ์ของตนเองที่ได้สะสมมา ก่อนได้ฟังธรรมจาก
ท่านอาจารย์ ดิฉันเป็นคนใจน้อย ขี้กลัว วิตกกังวลในเรื่องไม่เป็น
เรื่อง แล้วก็จะเครียด และร้องไห้บ่อย ๆ ใครพูดอะไรที่ไม่น่าจะทำ (:88:)
ให้เสียใจ ดิฉันก็เสียใจใหญ่โต เป็นที่เอือมระอาของบรรดาญาติพี่น้อง
เพราะดิฉันยากที่จะเอาใจ ตอนนั้นดิฉันคิดว่า อาจเป็นเพราะดิฉัน
เป็นลูกกำพร้าตั้งแต่เด็ก คิดว่าตัวเองขาดความอบอุ่น คนนั้นก็ไม่รัก (:LOVE:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:54:27
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:BYE:)คนนี้ก็รังเกียจเพราะเราไม่ใช่ลูกเขา แต่พี่น้องคนอื่นเขาก็อยู่ใน
สภาพเดียวกับดิฉัน ก็ไม่เป็นอย่างดิฉัน ดิฉันก็เลยคิดได้ว่า ดิฉัน
สะสมกิเลสมาไม่เหมือนกับคนอื่น เมื่อเข้าใจเรื่องโลก ๖ ทางแล้ว
ก็คิดได้ว่าเราไม่สามารถจะรู้จิตใจของใครได้ เขาจะคิดอะไรก็เป็นไป
ตามการสะสมของเขา การที่เราคิดว่าเขาไม่ชอบเรา ก็เป็นโลก
ความคิดของเราเอง จะถูกหรือผิดก็ไม่รู้ และไม่สำคัญด้วยที่
สำคัญคือ ความคิดของเราเองว่า เราคิดถูก คิดดีหรือไม่ดีการ
เข้าใจเรื่องโลก 6 ทาง ทำให้มีความอดทนต่อคำพูดชั่วของคนอื่นมาก :'( :'(


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:55:12
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:12:)ขึ้นเพราะรู้ว่าที่เขาพูดชั่วเพราะมาจากจิตใจที่ไม่ดีของเขานั่นเอง
เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนการสะสมของใครได้ คนคิดไม่ดี จะให้
พูดดีได้อย่างไร แต่เราสามารถจะพิจารณาได้ว่า เป็นเพียงเสียงที่
ปรากฏทางหูเท่านั้น ได้ยินแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่บางครั้ง
เกิดการกระทบกระทั่งกับเพื่อนร่วมงาน เขาพูดจาไม่ดีกับเรา เราก็โกรธ
คิดจะตอบโต้ แต่ก็อดกลั้นไว้ได้ แล้วมาพิจารณา แต่กว่าจะคิดได้
ก็นานหลายวันเหมือนกัน บางครั้งหลังจากนั้นหลายเดือน หลายปี
ก็ยังเก็บมาคิด คิดว่าน่าจะตอบโต้อย่างไร เขาถึงจะเจ็บแสบเหมือน
เราบ้างแต่พระธรรมที่ได้ฟังก็ยังช่วยทำให้เราได้คิด เพราะก่อน
หน้านี้ไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย เมื่อไม่เคยได้ยินได้ (:14:)
ฟังมาก่อน แล้วจะนำมาคิดได้อย่างไรจึงขอกราบเท้าท่านอาจารย์
มาด้วยความเคารพที่กรุณาพร่ำสอนบ่อย ๆ เนือง ๆ ให้เข้าใจสภาพ
ธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:55:50
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:SLE:)อีกเรื่องหนึ่งที่ดิฉันประทับใจดิฉันชอบดูหมอดู ชอบคำทำนาย
อยากรู้อนาคตว่าจะดีอย่างไร อยากรู้แต่สิ่งดี ๆ ไม่อยากได้ยินคำ
ทำนายว่าไม่ดี ถ้าเขาทำนายดีก็ดีใจคิดว่าจะเป็นจริงอย่างนั้น ที่
ว่าดีนั้นคือ ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ได้รูป เสียง กลิ่น รส และ
สิ่งที่กระทบสัมผัสกายที่ดี ๆ อยากให้ทายว่าจะเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี (:12:)
เพราะคิดว่าเมื่อเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ
สุข และ สิ่งดี ๆ ต่าง ๆ ก็จะตามมา แต่จากเรื่องชาติของจิต
ที่ได้ฟังมานั้นจะเห็นว่าการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบ (:-_-:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:56:28
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:6:)สัมผัสสิ่งดี ๆ นั้นเป็นจิตที่เป็นชาติวิบาก เป็นกุศลวิบาก เป็นผลของ
กุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้ว เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมที่กุศลจะให้ผล กุศล
นั้นก็ให้ผลเป็นกุศลวิบาก มีการสนทนาธรรมครั้งหนึ่งที่บ้านคุณหญิง
ณพรัตน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ตอนนั้นมีข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือ
พิมพ์ว่า ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการ ถูกล็อตเตอรีรางวัลที่ 1 ได้
รับเงิน 30 ล้านบาท มีผู้ร่วมสนทนาธรรม นำมาสนทนาท่าน
อาจารย์พูดว่าไม่น่าอัศจรรย์ เมื่อกุศลจะให้ผลก็ให้ผลดิฉันคิด
เปรียบเทียบว่า เหมือนเราไปกด A T M  ถ้าเรามีเงินในธนาคาร (:11:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:57:12
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:NT:)ก็กดได้ตามที่ต้องการแต่บางครั้งมีเงินมากก็กดได้น้อยเพราะข้อ
จำกัดของบัตร หรือกดไม่ได้ เพราะเครื่องเสีย หรือคนมากต้องรอคิว
นาน หรือไม่เคยฝากธนาคารเลยก็กดไม่ได้เหมือนกัน ก็คงเหมือน
กุศลที่ทำมาไม่เหมือนกัน จึงทำให้รับกุศลวิบากต่างกัน (:DY:)
ใคร ๆ ก็อยากจะได้แต่กุศลวิบาก ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าตนเองได้
เคยทำกุศลไว้มากน้อยแค่ไหน และถ้าศึกษาเรื่องชาติของจิต ก็จะ
พบว่าในวันหนึ่ง ๆ นั้น มีอกุศลจิตมากกว่ากุศลจิต และการกระทำ
นั้นก็มาจากจิต ถ้าจิตเป็นอกุศลจะทำกุศลก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น
การที่จะหวังว่าชีวิตจะพบแต่สิ่งที่ดี ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย มีครั้งหนึ่ง
เมื่อปี 2531 ดิฉันและสหายธรรมมี น.อ.หญิง สุชาดา มิญฌา
แสงเกร็ด ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรของดิฉัน คุณอลัน ไดรเวอร์ วิทยากร
ผู้เฉียบแหลมของมูลนิธิฯ คุณแม่ของคุณอลัน และสามีของท่านที่มา
จากออสเตรเลียมาเที่ยวเมืองไทย ดิฉันได้พาท่านไปเที่ยวที่อยุธยา (:8:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:57:56
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 :'(และกาญจนบุรีรถได้ประสบอุบัติเหตุ ทำให้คุณอลันและคุณแม่
เสียชีวิตทันทีคนที่เหลือบาดเจ็บสาหัส ตอนนั้นดิฉันไม่เข้าใจธรรม
มากนัก จึงร้องไห้คร่ำครวญว่าทำไมต้องเป็นดิฉัน ดิฉันทำแต่ความดี
ทำไมจึงต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างนี้บุญกุศลไม่ช่วยดิฉันเลย
ท่านอาจารย์ท่านก็เมตตา ไม่พูดอะไรเลย ตอนหลังดิฉันจึงได้ทราบ
จากท่านว่าต้องเป็นเรา เพราะเราเป็นคนทำไว้เอง ไม่มีใครทำให้
ใครเลยจริง ๆ เป็นกรรมของเราเองที่ทำไว้แล้ว” และคราวนั้นแม้ดิฉัน
และเพื่อนจะประสบอุบัติเหตุ ได้รับความเจ็บปวดทรมานมาก แต่ได้
รับกำลังใจจากสหายธรรมของมูลนิธิ ฯ มากมาย ที่ท่านกรุณาเสียสละ
เวลามาเยี่ยม บางท่านคือคุณศุกล กัลยาณมิตร ก็จัดการคดีเกี่ยวกับ
รถชน คุณอดิศักดิ์ สิงหลกะนนท์ เป็นทนายก็กรุณาจัดการคดีให้
เรียบร้อย คุณป้าสงวน สุจริตกุล ก็นำเทปธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยาย
ที่สภาการศึกษาฯ ระหว่างที่ดิฉันนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลมาให้ฟัง
มีเรื่องหนึ่งที่ดิฉันประทับใจไม่เคยลืม ท่านอาจารย์ได้นำเรื่องในอรรถกถา
ขุททกนิกาย เปตวัตถุ มาอ่านให้ฟัง ดิฉันขอคัดลอกจากพระไตรปิฎก
และอรรถกถาฉบับของมหามกุฎราชวิทยาลัยมา ณ. ที่นี้ด้วย (:14:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 17:59:15
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


อรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุที่ 1


 (:6:)ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระเวฬุวันกลัน-- (:UU:)
ทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์จึงทรงปรารภเปรตบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง
จึงตรัสเรื่องนั้นดังต่อไปนี้..............................
ได้ยินว่าในกรุงราชคฤห์ได้มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนมั่งคั่ง
มีทรัพย์มากมีโภคะมากมีเครื่องอุปกรณ์แห่งทรัพย์ที่น่าปลื้มใจ
อย่างมากมาย สั่งสมทรัพย์ไว้เป็นจำนวนหลายโกฏิ ได้มีบุตรคนเดียว
น่ารัก น่าชอบใจ เมื่อบุตรนั้น รู้เดียงสา บิดามารดาจึงพากันคิด
อย่างนี้ว่า เมื่อบุตรของเราจ่ายทรัพย์ให้สิ้นเปลืองไปวันละ 1000
ทุกวัน แม้ถึงร้อยปี ทรัพย์ที่สั่งสมไว้นี้ ก็ไม่หมดสิ้นไป จะประโยชน์
อะไร ด้วยการที่จะให้บุตรนี้ลำบากในการศึกษาศิลปะ ขอให้บุตรนี้
จงมีความไม่ลำบากกายและจิต บริโภคโภคสมบัติตามสบายเถิด
ดังนี้แล้ว จึงไม่ให้บุตรศึกษาศิลปะ ก็เมื่อบุตรเจริญวัยแล้ว มารดา
บิดาได้นำหญิงสาวแรกรุ่น ผู้สมบูรณ์ด้วยสกุล รูปร่างความเป็นสาว
และความงามผู้เ้อิบอิ่มดว้ยกามคุณผู้บ่ายหน้า้ออกจากธรรม
สัญญามาให้เขาเขาอภิรมย์อยู่กับหญิงสาวนั้นไม่ให้เกิดแม้ความ
คิดถึงธรรม ไม่มีความเอื้อเฟื้อในสมณพราหมณ์และคนที่ควร
เคารพ ห้อมล้อม ด้วยพวกนักเลง กำหนัด ยินดี ติดอยู่ในกามคุณ
5 เป็นผู้มืดมนไปด้วยโมหะ ให้เวลาผ่านไป เมื่อมารดาบิดาถึงแก่
กรรมลง ให้สิ่งที่ปรารถนาแก่นักรำ นักร้อง เป็นต้น ผลาญทรัพย์
ให้วอดวายไป ไม่นานเท่าไรนัก ก็สิ้นเนื้อประดาตัวเที่ยวขอยืม
เงินเลี้ยงชีวิต ยืมหนี้ไม่ได้อีก ถูกพวกเจ้าหนี้ทวงถาม ก็ต้องให้
ที่นาที่สวนและเรือนเป็นต้นของตนแก่พวกเจ้าหนี้เหล่านั้น ถือกระเบื้อง
เที่ยวขอทานกิน พักอยู่ที่ศาลาคนอนาถาในพระนครนั้นนั่นแล (:14:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:00:04
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:88:)ครั้นอยู่มาวันหนึ่งพวกโจรมาประชุมกันกล่าวกะเขา
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา 19 (:LOVE:)
อย่างนี้ว่านายผู้เจริญท่านจะมีประโยชน์อะไรด้วยการเป็นอยู่ลำบาก
อย่างนี้ท่านยังเป็นหนุ่ม มีเรี่ยวแรงกำลังก็สมบูรณ์ เหตุไฉนท่าน
จึงอยู่เหมือนมีมือเท้าพิกล มาเถิด มาร่วมกับพวกเราเที่ยว  -
ปล้นทรัพย์พวกชาวบ้านแล้ว เป็นอยู่สบายดี ชายคนนั้นพูดว่า
เราไม่รู้วิธีทำโจรกรรม พวกโจรตอบว่า พวกเราจะสอนให้เธอ
ขอให้เธอจงเชื่อคำของพวกเราอย่างเดียว ชายนั้นรับคำแล้ว ได้ไป
กับพวกโจรเหล่านั้น ลำดับนั้น พวกโจรเหล่านั้นใช้ให้เขาถือฆ้อน
ใหญ่ ตัดช่องย่องขึ้นเรือน ให้เขายืนตรงที่ปากช่องแล้วสอนว่า
ถ้าคนอื่นมาในที่นี้ เจ้าจงเอาไม้ฆ้อนนี้ทุบผู้นั้นทีเดียวให้ตายเลยเขา
เป็นคนบอดเขลาไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ (:7:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:00:48
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:KM:)ได้ยืนอยู่แต่ในที่นั้นมองดูทางมาของคนเหล่าอื่นอย่างเดียวฝ่ายพวก
โจรเข้าไปยังเรือนแล้ว ถือเอาสิ่งของที่ควรถือเอาไปด้วยพอพวก (:UU:)
คนในเรือนรู้ตัวเท่านั้นก็พากันหนีไปคนละทิศคนละทาง พวก
คนในเรือนลุกขึ้น ต่างก็พากันวิ่งขัโดยเร็ว พร้อมกับดูข้างโน้นข้าง
นี้ เห็นชายคนนั้นยืนอยู่ตรงช่องประตูจึงร้องว่า เฮ้ย  !  คนร้าย (:UU:)
แล้วพากันจับไว้ เอาไม้ฆ้อนเป็นต้น ทุบมือและเท้าแล้ว กราบทูล
แสดงแด่พระราชาว่าขอเดชะคนนี้เป็นโจร ข้าพระองค์จับได้ที่
ปากช่อง พระราชาทรงมีพระบัญชาให้ผู้รักษาพระนครลงโทษด้วย
พระดำรัสว่า จงตัดศีรษะของผู้นี้ ผู้รักษาพระนครรับสนองพระ -
บรมราชโองการแล้ว จึงให้จับชายคนนั้นแล้ว ให้มัดไพล่หลังอย่าง
มั่นคง ให้ตระเวนเขาผู้ถูกคล้องคอด้วยพวงมาลัยสีแดงห่าง ๆ มีศีรษะ (:PL:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:01:31
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:-_-:)เปื้อนด้วยผงอิฐตามทางที่เขาแสดงด้วยกลองตีประจานโทษ จาก
ทางรถบรรจบทางรถ จากทางสี่แพร่งบรรจบทาง 4 แพร่งแล้วให้เฆี่ยน
ด้วยหวาย พลางนำไปยังสถานที่ประหารชีวิต ประชาชนพากัน
แตกตื่นว่า ในพระนครนี้ เขาจับโจรปล้นสะดมภ์คนนี้ได้
ก็สมัยนั้นในพระนครนั้น (:-_-:) มีหญิงงามเมืองคนหนึ่งชื่อว่า
สุลสา ยืนอยู่ที่ปราสาทมองไปตามช่องหน้าต่างเห็นชายคนนั้นถูก
นำไปอย่างนั้น เธอเคยถูกชายผู้นั้นบำเรอมาในกาลก่อนจึงเกิด
ความสงสารชายคนนั้นขึ้นว่า ชายคนนี้เคยเสวยสมบัติเป็นอันมาก
ในพระนครนี้เองบัดนี้ถึงความพินาศวอดวายถึงเพียงนี้จึงส่งขนมต้ม
4 ลูก และน้ำดื่มไปให้และได้แจ้งให้ผู้รักษาพระนครทราบว่าขอเจ้า
นายจงรอจนถึงชายผู้นี้กินขนมต้มเหล่านี้แล้วดื่มน้ำก่อน (:-_-:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:02:17
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 ;Dครั้นในระหว่างนั้นท่าน พระมหาโมคคัลลานะ (:UU:)ตรวจดูด้วย
ทิพยจักษุเห็นชายคนนั้นจะถึงความวอดวาย ด้วยแรงกรุณาเตือนใจ
คิดว่าชายคนนี้ไม่เคยทำบุญ ทำแต่บาปเพราะฉะนั้นชายผู้นี้จัก
เกิดในนรกครั้นพอเราไปเขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแล้วจักเกิด
ในภุมมเทพไฉนหนอ ? เราจะพึงเป็นที่พึ่งของชายผู้นี้ ดังนี้แล้วได้
ไปปรากฏข้างหน้าของชายผู้นั้น ในขณะที่เขานำน้ำดื่มและขนมต้ม
เข้าไปให้เขาครั้นเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่าเราผู้จะถูกคนเหล่า
นี้ฆ่าในบัดนี้เองจะมีประโยชน์อะไรด้วยขนมต้มที่เราจะกินเข้าไป (:FR:)
ก็ผลทานนี้จักเป็นเสบียงสำหรับคนไปสู่ปรโลก จึงให้เขาถวายขนมต้ม
และน้ำดื่มแด่พระเถระ เพื่อจะเจริญความเลื่อมใสของชายผู้นั้นเมื่อ (:RL:)


http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/03.%20Track%203.wma


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:03:08
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:VA:)ชายผู้นั้นกำลังดูอยู่นั่นแหละ พระเถระจึงนั่งในที่เช่นนั้น ฉันขนมต้ม
และดื่มน้ำแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป
ฝ่ายชายผู้นั้นถูกเพชฌฆาตนำไปสู่ที่ประหารแล้วให้ถึงการ (:BH:)
ตัดศีรษะ ด้วยบุญที่เขาทำไว้ในพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เป็น
บุญเขตอยา่ งยอดเยี่ยม แมจ้ ะเปน็ ผูค้ วรจะเกิดในเทวโลกชั้นเยี่ยม แต่
เพราะเหตุที่เธอมีจิตเศร้าหมองในเวลาใกล้จะตาย เพราะความเสน่หา
ที่มุ่งถึงนางสุลสาว่า เราได้ไทยธรรมนี้ เพราะอาศัยนางสุลสา ฉะนั้น
เมื่อจะเกิดเป็นหมู่เทพชั้นต่ำ จึงเกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่
มีร่มเงาอันสนิทอันเกิดแทบภูเขา (:-_-:)
อาจารย์บางพวกกล่าวว่าได้ยินว่าถ้าในปฐมวัยเขาจัก
ได้ขวนขวายในการดำรงวงศ์กุลไซร้ เขาจักเป็นผู้เลิศกว่าเศรษฐี
ทั้งหลาย ในพระนครนั้นนั่นเอง ถ้าขวนขวายในมัชฌิมวัย เขาจัก
เป็นเศรษฐีวัยกลางคน ถ้าขวนขวายในปัจฉิมวัย เขาก็จักเป็นเศรษฐี
ในวัยสุดท้าย แต่ถ้าในปฐมวัยเขาจักได้บวชไซร้ เขาก็จักได้เป็น
พระอรหันต์ถ้าบวชในมัชฌิมวัย เขาก็จักได้เป็นพระสกทาคามี
หรือพระอนาคามีถ้าบวชในปัจฉิมวัย เขาก็จักได้เป็นพระโสดาบัน
แต่เพราะเขาคลุกคลีด้วยบาปมิตร เขาจึงเป็นนักเลงหญิง (:UU:)นักเลง
สุรา ยินดีแต่ในทุจริต เป็นคนไม่เอื้อเฟื้อ เสื่อมจากสมบัติทั้งปวง (:NOY:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:04:00
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:13:)ถึงความย่อยยับอย่างใหญ่หลวงโดยลำดับ............ยังไม่จบมีต่ออีกยาว
ข้อความตอนนี้ทำให้คิดได้ว่าเพราะไม่ทำปัจจุบันให้ดีจึงได้
รับผลไม่ดีเพราะฉะนั้นหมอดูที่ไหนจึงจะมาทำนายได้ว่า เราจะเป็น
อย่างไร (:-X)ถ้าเราไม่ทำเหตุที่ดีด้วยตนเองดังนั้นชีวิตนี้เป็นของน้อย
จึงไม่ควรหวังที่จะได้รับแต่สิ่งดี ๆ เพราะสิ่งดี ๆ ที่หวัง ก็ไม่พ้น
จากเห็นรูปดี ๆ ได้ยินเสียงดี ๆ ได้กลิ่นหอม ๆ ลิ้มรสอร่อย ๆ
กระทบสัมผัสแต่สิ่งดี ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแล้วก็หมด
ไป เหมือนกำมือเปล่า ที่เมื่อแบมือออกมาแล้ว (:FR:)ก็ไม่มีอะไรเลย
สมควรหรือที่จะมัวเมาหมกมุ่นจนลืมการศึกษาธรรมพิจารณาธรรม
เพื่อให้ปัญญาเกิดขึ้นเพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาอย่างแท้จริง  (^^)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:05:05
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:SL:)ในปี 2544 ดิฉันตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมเมื่อทราบ
จากคุณหมอครั้งแรก (:PL:)ดิฉันหวั่นไหวมาก กลัว วิตกกังวลเห็นภาพ
ของผู้ที่รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดมีผมร่วง - เล็บดำ - คลื่นไส้ - อาเจียน (:RK:)
ดิฉันไม่มีปัญญาอะไรเลยตอนนั้นแต่ยังมากกว่าเมื่อประสบอุบัติเหตุ
เพราะคราวนี้ไม่ได้ร้องไห้คร่ำครวญ เป็นแต่น้ำตาคลอตลอดเวลาที่
พูดกับคุณหมอดิฉันเคยได้ยินท่านอาจารย์บรรยายหรือสนทนาธรรม
ตอนหนึ่งถึงความตายว่าเมื่อไรก็เมื่อนั้นพร้อมเสมอตอนนั้น
ดิฉันบังอาจคิดว่าตัวเองก็ (:QS:)พร้อมเหมือนกัน เมื่อไรก็เมื่อนั้น แต่เมื่อ
มีเหตุการณ์ที่คิดว่าตัวเองใกล้ตาย กลับกลัวตายอย่างมาก ดิฉันยัง
ไม่อยากตาย ดิฉันยังทำกุศลที่จะเป็นเสบียงในชาติต่อไปน้อยอยู่
ปัญญาของดิฉันก็ยังน้อย บารมีของดิฉันก็ยังไม่ได้สั่งสมมากพอ
ตอนนั้นดิฉันคิดถึงท่านอาจารย์เพราะรู้ว่าท่านอาจารย์เป็นแหล่งของ (:SL:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:05:45
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


ปัญญาถึงดิฉันจะมีปัญญาน้อยแต่ก็ยังดีกว่าแต่ก่อนที่รู้ว่าจะหา (o0!)
ปัญญาจากที่ไหนนึกว่าถ้าบอกท่านอาจารย์แล้ว ท่านจะพูดว่า (:NOY:)
อย่างไร คิดจะโทรไปหาท่านเลยทันทีสามีก็ห้ามไว้ว่า รบกวน
 (:-_-:)เวลาส่วนตัวของท่านมากไป มีอะไรก็จะถามตลอด (:12:)ไม่คิดเองบ้าง
ดิฉันจึงรอจนกระทั่งถึงวันสนทนาธรรมที่บ้านคุณหญิงณพรัตน์ฯ และ
เรียนท่านด้วยน้ำตาคลอเบ้าเช่นเคย ท่านบอกว่า มะเร็ง ก็เป็น
เพียงชื่อ เหมือนโรคอื่น ๆ คำพูดสั้น ๆ ตรงจุดของท่าน ทำให้
ดิฉันคิดได้ว่า ที่ดิฉันเป็นทุกข์เพราะชื่อ มะเร็ง รู้ว่าเป็นโรค
ร้ายแรง การรักษาก็แสนจะทรมานต้องผ่าตัดต้องฉายแสง
ต้องให้เคมีบำบัด ที่มีผลข้างเคียงมากมาย ถ้ารักษาไม่หายก็จะลาม (:-X)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:06:44
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:-_-:)ไปอวัยวะอื่น ๆ และในที่สุดก็ตายแต่ตอนนี้ดิฉันไม่ได้เจ็บปวด
อะไรเลยทุกอย่างเป็นปกติเหมือนเดิมถ้าคุณหมอไม่ตรวจด้วย
แมมโมแกรมก็บอกไม่ได้ว่าเป็นแล้วดิฉันทุกข์ร้อนทำไมไม่มีใคร
ตายก่อนความตายจะมาถึงดิฉันจึงสบายใจขึ้น (:-_-:)และรับการรักษา
ด้วยการผ่าตัด ระหว่างที่รับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ดิฉันได้
รับความเมตตาจากสหายธรรมหลายท่านที่กรุณาไปเยี่ยม คืนก่อน
วันผ่าตัดท่านอาจารย์ได้โทรมาบอกว่า ขออุทิศบุญกุศลที่ได้ทำมา
ทั้งหมดให้ดิฉันอนุโมทนา (:-_-:)เพราะกุศลที่ดิฉันอนุโมทนานี้เมื่อให้ผลก็
เป็นปัจจัยให้ดิฉันปลอดภัยได้ ดิฉันซาบซึ้งในเมตตาของท่านอาจารย์
และปีติมากค่ะ เพราะทราบว่าท่านอาจารย์มีบุญกุศลที่ทำไว้มากยัง (:SL:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:07:26
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:UU:)มีสหายธรรมท่านอื่นเช่น คุณทศพร - คุณสุภาภรณ์ ศิริกร ได้ดูแล
ดิฉันเหมือนญาติสนิทคุณฟองจันทร์ (แอ๊ว) นันตา วอลช์ผู้มีฝีมือ
และน้ำใจได้จัดแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่มากไปให้ดอกไม้ของคุณแอ๊ว
อยู่ทนมาก ตั้งแต่วันเข้าจนกระทั่งออกจากโรงพยาบาลก็ยังไม่เหี่ยว
เพราะเป็นดอกกล้วยไม้ ใครมาต้องชมทุกคน คุณกัณหา อุรัสยะนันทน์
เป็นกัลยาณมิตรอีกผู้หนึ่งที่ร่วมทำหนังสือธรรมด้วยกันหลายเล่ม
มาเยี่ยมพร้อมคุณแม่ รศ. สมถวิล อุรัสยะนันทน์ ศิลปินแห่งชาติปี 2549
กุศลจิตทั้งหลายของท่านผู้เมตตาเป็นเสมือนน้ำทิพย์........................... (:LOVE:)
จรรโลงใจน้ำใจทำให้เย็นสบายอย่างนี้เองทำให้วิกฤตนั้นผ่านไป
ด้วยดี ดิฉันขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านทั้งที่ได้เอ่ยนามและ
ไม่ได้เอ่ยนาม เมื่อผ่าตัดก้อนเนื้อและเลาะต่อมน้ำเหลืองออกมาตรวจ
แล้ว พบว่าเชื้อไม่ได้กระจายไปจากก้อนที่ผ่าตัดออกไปดิฉันจึงไม่ (:11:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:08:05
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:-_-:)ต้องฉายแสงไม่ต้องรักษาด้วยเคมีบำบัดคุณหมอให้กินยาคุมฮอร์โมน
วันละ 1 เม็ด เป็นเวลา 5 ปี เป็นอันว่าดิฉันเสียค่ากินเปล่าคือ................
ทุกข์ล่วงหน้าไปก่อนฟรี ๆ ทุกข์เพราะความคิดของตัวเอง ทุกข์
เพราะกิเลสของตัวเองทุกข์เพราะปัญญายังน้อยนั่นเอง (:PL:)เมื่อตอนที่
ทราบจากคุณหมอใหม่ ๆ ว่าเป็น มะเร็ง นั้น (:SL:)ยังดีที่ดิฉันและสามี
ตัดสินใจที่จะไม่บอกญาติพี่น้องเพราะไม่อยากให้คุณยายและคุณแม่
ต้องเดือดร้อนใจ เนื่องจากท่านมีอายุมากแล้ว ท่านจะต้องวิตก
กังวลมากกว่าดิฉันที่รู้ตัวว่ายังไม่เจ็บปวดหรือเป็นอะไรเลย อยาก
ตอบแทนพระคุณท่านด้วยการไม่ทำให้ท่านต้องเดือดร้อนใจ (:PL:)และเป็น
การง่ายสำหรับดิฉันที่จะไม่ให้ใครรู้เพราะดิฉันอยู่กรุงเทพ ฯ


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:08:49
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:PL:)ญาติส่วนใหญ่อยู่ อยุธยา ดิฉันกลับไปเยี่ยมอาทิตย์ละครั้งบางอาทิตย์ที่
ไม่ว่างก็ไม่ไปแต่ก่อนวันผ่าตัดสามีคงกลัวว่าดิฉันอาจจะเสียชีวิต
จากการผ่าตัด และจะเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าที่จะรับมือได้ถ้าญาติพี่น้อง
จะรู้ทีหลังจึงโทรไปบอกน้องสาว (:SL:)พอรู้เท่านั้นก็เกิดเรื่องใหญ่
โทรมาร้องไห้คร่ำครวญว่าทำไมถึงไม่บอก ดิฉันผู้เป็นคนป่วยกายต้อง
ปลอบโยนผู้ป่วยใจเป็นเวลานาน และบุพพการีผู้ล่วงลับไปแล้วก็ (:-_-:)
ต้องเดือดร้อนด้วย เพราะพอคุณแม่ทราบก็จุดธูปเทียนบอกคุณพ่อที่
ล่วงลับไปนานแล้วให้มาช่วยลูกสาวด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ดิฉันเห็น
คุณของปัญญามากขึ้น (:SL:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:11:42
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:88:)นี่คือชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญาน้อย ๆ ของดิฉันแต่ปัญญา
ขนาดนี้ก็ทำให้ดิฉันมีความสุขมากกว่าเมื่อก่อนได้ฟังธรรมมากมาย
ดิฉันไม่ต้องเสียเวลาวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังไม่มาถึงหรือสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
และแม้จะวิตกกังวลบ้าง (:LOVE:)ก็จะหายไปเร็วกว่าแต่ก่อนเพราะรู้ว่า
เป็นอกุศลจิตที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลอย่างนั้น และอกุศลเป็นสิ่ง
ที่ควรละ ควรเจริญแต่กุศล เมื่อวันแต่งงานของดิฉัน ท่านอาจารย์
และคณะสหายธรรมจากมูลนิธิ ฯ ได้ให้เกียรติไปร่วมอวยพรถึงจังหวัด
อยุธยา และท่านอาจารย์ได้อวยพรให้ดิฉันว่าขอให้เจริญมั่นคงใน
กุศลทุกประการดิฉันจำคำอวยพรของท่านอาจารย์มาตลอดและ
โชคดีที่พี่ดวงเดือน บารมีธรรม ได้ให้ดิฉันพิมพ์คำบรรยายเรื่อง
แนวทางเจริญวิปัสสนา  (:7:)ที่ท่านอาจารย์บรรยายที่สภาการศึกษา
มหามกุฎราชวิทยาลัย และ คุณป้าสงวน สุจริตกุลได้ถอดเทปไว้
ทำให้ดิฉันมีโอกาสได้ศึกษาธรรมอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งก่อนพิมพ์ (:UU:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:12:40
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 ;Dต้องอ่านเมื่ออ่านแล้วพิมพ์หาข้อความจาก พระไตรปิฎก ที่ท่าน
อาจารย์อ่านเพื่อตรวจสอบคำสะกด แล้วตรวจทานอีกครั้งหนึ่ง
รู้สึกเป็นโชคดีเหลือเกินที่ได้มีโอกาสอย่างนี้ท่านอาจารย์เคยบอกว่า
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้นมีค่ามากต้องฟังด้วยความ
เคารพอย่างยิ่งด้วยความละเอียดรอบคอบดุจกรอกน้ำมันไขของราชสีห์ (:UU:)
ลงในหลอดทองคำ อย่าให้ผ่านไปโดยฟังอย่างไม่ตั้งใจ เป็นจริงอย่าง
นั้นเพราะแต่ละคำแต่ละเรื่องมีประโยชน์ทั้งนั้นท่านอาจารย์คัด
เลือกนำมาบรรยายด้วยความเมตตา ด้วยความเข้าใจธรรมอย่างแท้
จริง คำบรรยายของท่านตั้งแต่ต้นจนสุดท้าย (:7:)ไม่มีเปลี่ยนแปลงเลย
เตือนให้มีสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมทุกขณะตามความเป็นจริงว่า
เป็นแต่เพียงนามธรรมและรูปธรรม สภาพรู้และสภาพที่ไม่รู้เท่านั้น
ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเลย นอกจากนั้นท่านอาจารย์ยังบรรยาย
ธรรมด้วยความ อุตสาหะ ขันติ ความอดทน ต่อถ้อยคำของผู้ฟังบาง
ท่านที่แม้ดิฉันแค่พิมพ์ตามก็ยังอดมีโทสะไม่ได้ บางครั้งต้องหยุดพิมพ์
เพราะหงุดหงิดมาก ตามการสะสมของดิฉันที่สะสมโทสะมามาก
บางท่านก็มาขอให้ท่านอาจารย์หยุดบรรยายท่านก็ตอบด้วยความ
เมตตาเคยถามท่านว่า ท่านไม่โกรธหรือคะ ? ท่านตอบว่าเพราะ
เขาไม่รู้นี่ค่ะ ทำให้ดิฉันได้แบบอย่างในการสอนหนังสือเดิมดิฉัน
เป็นอาจารย์ที่ดุ ถ้านักเรียนมาซักไซ้ไล่เลียงก็จะดุ แต่หลังจากสอน
มานานจนเหลืออีกไม่นานก็จะเกษียณอายุแล้ว เพิ่งจะมากลับตัว
ได้ต้องขอโทษนักเรียนที่เคยถูกดุไว้ด้วย............................................ (:7:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:13:46
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:LOVE:)กราบแทบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพที่ทำให้ชีวิตของ
ดิฉันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นในทุก ๆ ด้านทำให้ดิฉันเจริญกุศลได้ (:LOVE:)
มากขึ้นเพราะมีศรัทธามากขึ้น อย่างการสวดมนต์ (:FR:)เดิมดิฉันไม่
ชอบสวดมนต์ และไปงานทำบุญที่ต้องฟังพระสวดเป็นภาษาบาลีก็ไม่
ชอบ แต่ได้ยินคำบรรยายของท่านอาจารย์ว่า (:PL:)ถ้าเกิดในสมัยที่ไม่มีการ
สวดสรภัญญะ ก็ไม่มีโอกาส ได้ยิน ได้ฟัง ได้สวด ทำให้ดิฉันเห็น
คุณค่าของการสวดมนต์มากขึ้น ทำให้เสียดายว่าถ้าไม่ฟังไม่สวดใน
ชาตินี้ที่ยังมีการสวดกันอยู่ เกิดชาติหน้าก็ไมมี่โอกาสไดยิ้นได้ฟ้งได้สวด
อีก ดิฉันจึงอ่านสวดมนต์แปลและหนังสือความรู้เรื่องบทสวดมนต์
 (:UU:)ของท่านอาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ที่สรุปความหมายของบทสวด
แต่ละบทไว้ ทำให้พอเข้าใจได้ว่า บทสวดแต่ละบทนั้นคือคำสอน
ของพระผู้มีพระภาคว่าอย่างไร ทำให้เมื่อฟังสวดแล้วตั้งจิตไปตามความ
หมาย ก็ทำให้จิตสงบขณะที่ฟังได้ แม้การทำจิตให้สงบ ก็มีผู้ฟัง
หลายคนเข้าใจผิดว่าท่านอาจารย์ไม่สนับสนุนการทำสมาธิแต่ (:SLE:)
จริง ๆ ท่านอาจารย์ให้รู้ว่า จิตสงบ ขณะที่ไม่มีอกุศลไม่ต้องไปนั่ง
หลับตาแล้วท่องคำหนึ่งคำใดแล้วคิดว่าขณะนั้น จิตสงบ (:LOVE:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:14:49
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


 (:LOVE:)เพราะถ้าไม่ได้ ศึกษาพระธรรม ไม่เห็นพระปัญญาคุณพระมหากรุณาคุณของ
พระผู้มีพระภาค เพียงแต่จะท่องคำว่า พุทโธ ก็สงบไม่ได้เพราะ
สมาธินั้นต่างกันเป็นมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ ซึ่งท่านอาจารย์ได้
บรรยายไว้โดยละเอียดในเรื่องอนุสสติ 6 ทำให้ดิฉันเห็นคุณค่าของ (:-_-:)
ปัญญา และตั้งใจจะศึกษาธรรม เจริญสติ เจริญปัญญาเพื่อ..................................... (:QS:)
รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงว่า
ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาอย่างแท้จริง (:QS:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:20:22
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


(:LOVE:)คัดลอกจากหนังสือ............................................................. (:LOVE:)

(:LOVE:)มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา โดย สาวิกา ศาสตร์พงษ์
(:LOVE:)

มูลนิธิเผยแพร่และศึกษา พระพุทธศาสนา บ้าน

ธรรมมะ บุคโล ธนบุรี รหัสไปรษณ๊ย์

10600



หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 28 ธันวาคม 2552 18:21:50
(http://i46.photobucket.com/albums/f112/thavee/86bf0d09.jpg)


การตายพรากทุกสิ่งจากชาตินี้ไปหมดสิ้นไม่มีอะไรเหลือเป็นของบุคคลนี้อีกต่อไป

แม้แต่ความทรงจำ ชาตินี้เกิดมาแล้ว จำได้ไหมว่าชาติก่อนเป็นใคร อยู่ที่ไหน ?ทำอะไร ?

 (:14:)หมดความเป็นบุคคลในชาติก่อนโดยสิ้นเชิงฉันใด........................................... (:UU:)


แม้ในชาตินี้จะได้สร้างบุญ ทำกรรมใดมาแล้วมีมานะในชาติตระกูล ยศศักดิ์ใด ๆ ก็ตามหมดสิ้นไม่มีเยื่อใยในชาตินี้ภพนี้เหลืออยู่อีกเลยฉันนั้น................................... (:12:)


 (:LOVE:)มูลนิธิเพื่อการศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
สำนักงานเลขที่ 174/ 1ซอยเจริญนคร 78
ถนนเจริญนคร แขวงบุคคโล เขตธนบุรี 10600 (:LOVE:)


หัวข้อ: Re: มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 กุมภาพันธ์ 2553 08:04:02


(http://img35.imageshack.us/img35/3540/0390863.jpg)





ขอบคุณน้อง "บางครั้ง" สำหรับการแบ่งปัน
อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ