[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 => ข้อความที่เริ่มโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 26 กรกฎาคม 2553 14:46:36



หัวข้อ: จงเบิกบาน และ รู้จัก อ่อนโยน กับ ชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 26 กรกฎาคม 2553 14:46:36
[ โดย อ.มดเอ็กซ์ บอร์ดเก่า ]


จงเบิกบาน และรู้จักอ่อนโยนกับชีวิต
 
 
การได้พบเจอใครสักคนหนึ่ง บางครั้งก็มีเหตุและปัจจัยหลายๆอย่าง แม้กระทั่งเรื่องของการได้พบกับธรรมาจารย์ก็เช่นเดียวกัน เดือนตุลาคมนี้ทางสังฆะของโรงพยาบาลได้มีโอกาส จัดงานภาวนาเล็กๆ ที่ชื่อว่า ภาวนาเพื่อการตื่นรู้ 2 โดยมีหลวงพี่พิทยา มาเป็นธรรมาจารย์ อีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่เราทั้งหลายต่างดีใจมาก

(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lpc7.JPG)


เบื้องแรกเราต่างไม่แน่ใจนักว่า หลวงพี่จะมีเวลามากมายแค่ไหน ในการมาเยือนเมืองเล็กๆแห่งนี้ แถมที่ผ่านมาเราหลายๆคน ไม่ได้คิดหวังว่าท่านจะมีโอกาสกลับมาที่นี่อีกครั้งด้วยซ้ำ เพราะจากสถานที่เราอยู่ และสถานที่ที่ท่านอยู่ เวลา และ โอกาสต่างๆ ที่ควรจะเป็นไป ดูจะหาเหตุและปัจจัยไม่ค่อยได้เอาเลยว่า ผู้คนในเมืองเล็กๆแห่งนี้ จะได้มีโอกาสภาวนาตามแนวทางของหมู่บ้านพลัม กับศิษย์ของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์อีกครั้ง

ตอนที่ได้รับทราบว่า หลวงพี่พอจะมีเวลาช่วงสั้นๆ ในการมาเยือนเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน 3 – 4 วัน ข้าพเจ้าก็แจ้งกับแกนนำสังฆะถึงเรื่องนี้ ข้าพเจ้าเห็นรอยยิ้ม และสีหน้าอาการแสดงความดีใจกันเป็นอันมาก หลายคนบอกว่า แค่นึกถึงใบหน้าหลวงพี่และรอยยิ้มของท่านก็รู้สึกเป็นสุขแล้ว


(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lp11a.JPG)


การที่เราได้พบหลวงพี่ครั้งนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น ทำให้สังฆะเราได้พบกับโอมและแอ้ ซึ่งเป็น Staff อาสาของหมู่บ้านพลัม โดยที่ทั้งสองได้เดินทางมาเยือนแม่ฮ่องสอนด้วย นี่เป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพื่อจัดงานภาวนาเล็กๆ ในโรงพยาบาลเรา แถมเกิดความรู้สึกผูกพันธ์กันมากมายขึ้น

แม้ว่าการจัดงานภาวนาจะมีเวลาเตรียมตัวไม่มากมายนัก แต่เราต่างก็พยายามอย่างเต็มที่และมีความเบิกบานใจกันมากๆ

อีกทั้งหลวงพี่พิทยา กลายเป็นระฆังแห่งสติของสังฆะเราไปแล้ว เมื่อนึกถึงท่านเราทั้งหลายก็จะนึกถึงความเบิกบานและการกลับมาใช้ชีวิตให้ช้าลง และรู้จักที่จะกลับมามีชีวิตอยู่ด้วยความสุขในปัจจุบันขณะมากขึ้น


(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lp44a.JPG)


และก็เป็นดังเช่นในครั้งก่อน หลายๆ คนที่นี่ประทับใจในธรรมะบรรยายของหลวงพี่ แถมประทับใจใน ความอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน ประทับใจในความอ่อนโยนและความเบิกบานของท่าน

ในการบรรยายธรรมท่านกล่าวสอน ถึงเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตนว่า การมอบดอกบัวให้แก่กัน ( การไหว้ซึ่งกันและกัน) เป็นการฝึกให้เรามีความอ่อนน้อม และการไหว้นั้นควรเป็นการไหว้ด้วยใจที่แท้จริง ไม่ว่าใครคนนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จะเป็นพระหรือฆราวาส เราไหว้เขาด้วยความเคารพ ไหว้ในความเป็นพุทธะที่มีอยู่ภายในตัวเขาเหล่านั้น

การอยู่อย่างเกื้อกูลกัน และเคารพในสรรพสิ่งทั้งหลายยังเป็นประเด็นที่ท่านเน้้นย้ำ แม้กระทั่งความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาในชีวิต ก็คือสิ่งที่เราควรจะขอบคุณ เพราะการปรากฎขึ้นของความทุกข์ ทำให้เรารู้ถึงคุณค่าของความสุข


(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lp61a.JPG)
 
ท่านกล่าวทำนองว่า เราไม่ควรปฎิเสธความทุกข์ที่เกิดขึ้น แล้วเอาแต่ความสุขเพียงประการเดียว อันที่จริงแล้วเราควรจะเข้าใจความทุกข์ และรับรู้มันอย่างแท้จริงด้วย ไม่ใช่ไปวิ่งหนี เพราะความทุกข์ทั้งหลายนั้น สักวันหนึ่ง มันจะแปรเปลี่ยนเป็นความสุขได้ ดังเช่น ดอกบัวเมื่อเริ่มต้นมันก็เกิดในโคลนตม เราจึงควรขอบคุณการมีโคลนตมเพราะมันทำให้มีดอกบัวเกิดขึ้นมา

เมื่อข้าพเจ้าถามหลวงพี่ว่า ในทางเถรวาท มักจะสอนให้เราทั้งหลายเห็นภัยในความทุกข์ และเน้นย้ำเสมอว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป แต่ในแนวทางของเซนมหายาน แบบหมู่บ้านพลัม เน้นที่การตื่นรู้และเบิกบาน จะเป็นการทำให้เราติดสุข และฟูฟ่องไปหรือไม่ ท่านก็ตอบว่า เราไม่ได้ให้ปฎิเสธทุกข์ แต่ให้มองความทุกข์อย่างเข้าใจ และเข้าใจในด้านบวก เพราะความทุกข์ความสุขเป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิต เราจึงต้องเข้าใจทั้งสองด้าน เมื่อเริ่มต้นเดินในแนวทางนี้ เราอาจจะดูเหมือนมีความเบิกบานและมีความสุขจนดูเลยเถิด แต่ในที่สุดเราจะเข้าใจว่า มันเป็นธรรมดา ๆ เช่นนั้นเองเหมือนกัน เพราะ ถึงที่สุดแล้ว ความสุขกับความทุกข์ ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันเลย มันปรากฏขึ้นมา แล้วในที่สุดก็หายไปเหมือนๆกัน เพราะทุกๆ สิ่งย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอ


(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lp33a.JPG)


หลวงพี่บอกว่ามีหลายๆคนที่เข้าสู่เส้นทางการปฎิบัติสมาธิภาวนา พยายามที่จะทำตัวแตกต่างไปจากเดิม เวลากินก็ต้องบอกตัวเองว่าไม่อร่อย เพราะถ้าติดความอร่อยก็จะเหมือนยังมีกิเลสอยู่ เห็นอะไรสวยก็พยายามคิดว่าไม่สวย เพราะกลัวว่าจะเป็นการติดการยึด ท่านถามว่า จริงๆแล้วในจิตในใจเรา เห็นว่ามันไม่สวย มันไม่อร่อยจริงๆ หรือเปล่า?? คงเป็นแต่สมองเท่านั้นรึเปล่าที่คอยบอกว่ามันไม่สวย มันไม่อร่อย แต่จิตเรายังยึดยังติดอยู่ นี่เป็นการกดและข่มอารมณ์ต่างๆไว้ ต่างหาก แล้วเราก็จะมีความทุกข์ในการภาวนา เมื่อเราภาวนาแล้วเกิดความทุกข์ เราอาจจะต้องมาพิจารณาใหม่ว่า เรามาถูกทางหรือเปล่า ?

ในผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนา เมื่อข้ามฝั่งได้ ก็ควรจะรู้จักทิ้งแพ ไม่ควรแบกหามมันไปด้วยอีก เช่น การมีศีล เป็นเบื้องต้นของการดำเนินในวิถีนี้ เราควรจะมีศีลเป็นบาทฐานให้เรายึดถือปฎิบัติ แต่เมื่อไปถึงจุดหนึ่งแล้ว เราไม่จำเป็นต้องแบกมันไปด้วย นี่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องมีศีลกันอีกต่อไป แต่ศีลมันได้อยู่ในเลือดในเนื้อของเราแล้ว ต่างหาก


(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lp66.JPG)


โอม บอกว่า ในงานภาวนานี้เราสามารถขอให้หลวงพี่บรรยายธรรมในหัวข้อที่เราสนใจ หรือสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ข้าพเจ้าเลยเรียนท่านในวันหนึ่งว่า การทำงานในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ทั้งหลายนั้น มีความทุกข์จากการทำงานมากมายหลายอย่าง งานที่มากมายและอะไรๆ ที่เป็นอยู่ทำให้เราวิ่งไปข้างหน้ากัันไม่หยุด และมีความเครียดอยู่ภายใน จึงอยากให้หลวงพี่บรรยายธรรมเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ทำอย่างไรเราจะมีความสุขกับการทำงานและการใช้ชีวิต และไม่เครียด หลวงพี่จึงเริ่มต้นการบรรยายธรรมในวันแรกด้วยหัวข้อ “ หยุด.. ยิ้ม .. สัมผัสความหอมของดอกกาสะลอง “ แถมท่านเก็บดอกกาสะลองที่ข้าง ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลเรา มาประกอบการบรรยายธรรมด้วย


(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lpp1.JPG)


การได้พูดคุยกับหลวงพี่ในช่วงเวลาต่างๆ ในงานภาวนานี้ ข้าพเจ้าเข้าใจวิถีของท่านอย่างแจ่มชัดขึ้น การพบท่านในครั้งนี้ท่านกล่าวอย่างชัดเจนว่า เมื่อใดก็ตามที่เราได้หลุดพ้นจากกรอบอะไรๆ เราจะรู้สึกเป็นอิสระมาก และเบาสบาย และท่านก็รู้สึกเช่นนั้นอยู่ ดูเหมือนว่าท่านไม่จำเป็นต้องใช้อะไรเป็นระฆังแห่งสติอีกแล้ว เพราะสติคือสิ่งที่ดำรงอยู่กับท่านตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการยืน การเดิน การพูด กายและจิตของท่านอยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริง เมื่อเราทั้งหลายอยู่ที่นั่นตรงนั้นต่อหน้าท่าน ท่านก็อยู่ตรงนั้นอย่างแท้จริงกับเรา และไม่เคยจากไปไหนเลย การแสดงธรรมของท่านจึงไม่ได้แสดงผ่านการพูด การสอน การฝึกในห้องภาวนา แต่ประการเดียว แต่ท่านแสดงธรรมอยู่ตลอดเวลา ผ่านการกระทำต่างๆ ของท่านให้เราได้เห็น


(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lp55.JPG)


ความอ่อนน้อม ความอ่อนโยน ความเบิกบานอย่างแท้จริง ที่ปรากฏ ออกมาจากตัวท่านนั้น ได้กลายเป็นสิ่งที่หลวงพี่สอนออกมาโดยไม่ต้องพูด แถมจากการกระทำนั้น ได้เตือนให้เรารับรู้และมองเห็นว่า เราควรรู้จักมีความเบิกบาน รู้จักมีความอ่อนโยนต่อชีวิต ต่อร่างกาย ต่อจิตใจเรา
และความสุขของเราทั้งหลายนั้น คือความสุขที่อยู่ในปัจจุบันขณะ ไม่ใช่ที่อดีตและอนาคต เนื่องจากว่า สิ่งที่เราจับต้องได้อย่างแท้จริง คือปัจจุบันขณะเท่านั้น


ข้าพเจ้าพบเจอหลวงพี่มาตั้งแต่สองปีก่อน เมื่อครั้งที่กลุ่มสังฆะพลัมน้อย ได้เริ่มก่อเกิดขึ้น และพบท่านอีกครั้งในงานภาวนากับหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ตอนที่หลวงปู่มาเมืองไทย และอีกสองสามครั้งในงานภาวนากับสังฆะพลัมน้อย เบื้องต้นข้าพเจ้าอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับท่านนัก เพราะการสนทนากับพระเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่ และมีความลำบากใจเป็นอย่างยิ่งในการใช้ศัพท์แสงต่างๆ แต่การได้พบท่านแต่ละครั้งนั้น ทำให้เกิดความคุ้นเคยกับท่านมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งข้าพเจ้ามองเห็นเหตุและปัจจัยหลายๆอย่างของหลวงพี่ ที่มีความสำคัญในการน้อมนำใจผู้คน ให้เข้าสู่หนทางแห่งการทำสมาธิภาวนา


(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lp77.JPG)


เพราะหลวงพี่เปิดกว้างและยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างเข้าใจ ท่านเปิดใจในการเรียนรู้อยู่เสมอกับทุกผู้คนที่ได้พบ ทุกครั้งที่พบท่าน ข้าพเจ้าเห็นถึงความลึกซึ้งในธรรมที่ท่านแสดง และมันก็ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ ท่านมีความเบิกบานและมีความเป็นอิสระจากกรอบต่างๆ แถมมีพื้นที่มากมายสำหรับทุกๆคน ทำให้ใครก็ตามที่ได้พบเจอกับท่าน รู้สึกสบายใจและรู้สึกเหมือนได้กลับบ้านที่อบอุ่น
และการพบเจอหลวงพี่พิทยาในครั้งนี้ ท่านกลายเป็นระฆังแห่งสติ ทำให้เราทั้งหลายรู้จักหยุดคิดหยุดวิ่งไปในอนาคต หยุดกังวลไปกับเรื่องในอดีต แล้วกลับมาอยู่ในปัจจุบันขณะ.. ให้รู้จักเบิกบาน และรู้จักอ่อนโยนกับชีวิต ….


(http://gotoknow.org/file/yanuprom/lp22a.JPG)
 
 
http://gotoknow.org/blog/sunmoola/307286 (http://gotoknow.org/blog/sunmoola/307286)