หัวข้อ: บุญญกริยาวัตถุ คือ ทาน ศีล ภาวนา เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 31 กรกฎาคม 2553 12:24:32 (http://album.taklong.com/addons/albums/images/591503256.jpg) http://www.fungdham.com/download/song/allhits/21.wma ถ่ายภาพประกอบเนื้อหาโดยนู๋(บางครั้ง)เองแหละขอรับเจ้านาย พระภิกษุ......ขอถามเรื่องของตัวเองที่สงสัยเรื่องของ สมถวิปัสสนา อาตมาฟังเทปของ โยมอาจารย์เรื่องของ สมถวิปัสสนา{สมถะ} ที่ไม่ใช่ วิปัสสนาภาวนาในขั้นทาน ขั้นศีล ที่เกิด ความสงบ ๆ ในกุศลในขณะนั้นได้ไหม (เจริญพร) อ.จ.สุจินต์->ถ้าไม่ใช่เรื่อง ทาน ศีล เพราะฉะนั้น สำหรับบุญญกริยาวัตถุ ๓ ประการโดยสรุป ก็คือว่า ทาน ศีล ภาวนา สำหรับภาวนานั้นก็รวมทั้งการฟังธรรมการแสดงธธรรม ความสงบของจิต และ การเจริญสติปัฏฐาน พระภิกษุ..............ถ้าผู้ที่เข้าใจการเจริญสติปักฐานก็ต้องมีสมถะสลับกับการเจริญสติปัฏฐาน แน่นอนเพราะว่าต้องฟังธรรมมากจึงจะเข้าใจสติปัฏฐานและสลับกันไปก็เป็นความ สงบที่สลับกันไปได้ อ.จ.สุจินต์ ->แม้แต่ขณะที่{สติปัฏฐาน}เกิดขณะนั้นก็มีความสงบ(เจ้าค่ะ)ไม่ใช่มีแต่ปัญญา ขั้น{สติปัฏฐาน}โดยไม่มีความสงบขณะใดที่ปัญญาเกิด ขณะนั้นก็สงบ(เจ้าค่ะ) สำหรับที่พระคุณเจ้ากรุณาเล่าให้ฟังท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่าถ้าใครจะทำ หรือจะปฏิบัติ คนนั้นจะตอบว่าปฏิบัติไม่ถูก ปฏิบัติไม่ได้ทำไม่ได้แน่นอนเช่นขณะที่ เดินบิณฑบาต ท่านที่เข้าใจว่าจะทำก็บอกว่าจะทำได้อย่างไรในขณะที่เดิน บิณฑบาต นี่ก็แสดงให้เห็นความเข้าใจผิด คือใครก็ตามที่คิดว่าจะทำ ขณะนั้นไม่ใช่ การอบรมเจิญปัญญา เพราะว่าปัญญาไม่ใช่ทำสี่งหนึ่งสี่งใดให้ปัญญาเกิดแต่ว่า ต้องอบรมไปทีละเล้กละน้อย จนถึงตอนสุดท้ายที่ท่านกล่าวว่าท่านไม่เอามาก ๆ ต่อ ไปนี้เอาทีละนิด คือ ชั่วขณะที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมขณะนั้น ก็เป็นหนทางที่ จะทำให้ปัญญาเรี่มพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และเมื่อกำลังใส่ใจ พิจารณาโดยที่เคยได้ได้ยินได้ฟังว่า{สภาพรู้}มีจริงขณะที่กำลังมีสี่งที่กำลังปรากฏ จะต้องมีสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้สี่งนั้นด้วยในขณะที่กำลังใส่ใจพิจรณาลักษณะที่เป็น {สภาพรู้}ขณะนั้นปัญญาก็เรี่มจะเจริญขึ้นทีละเล็กละน้อย เอาทีละนิดไม่ใช่เอาทีละ มาก ๆ เพราะว่าทีละมากเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ไม่ใช่เรื่องจะทำ แต่เป็นเรื่องการอบรมเจริญ แล้วก็ ขอให้พิจารณาดูชีวิตของทุกท่านในอดีตแสนโกฏิกัปล์ไม่ใช่ท่านจะไม่เคยเกิดมา เลยเคยเกิดแล้วก็ตาย ๆ ๆ ๆ นับชาติไม่ถ้วนในแสนโกฏิกัปล์ และผลคือปัญญาในชาติ นี้มีแค่ไหนนี่เป็นสี่งที่พิสูจน์การค่อย ๆ เจริญเติบโตของปัญญาเพราะว่าถ้าไม่เคย ฟังพระธรรมในอดีตมาเลยไม่มีการที่จะสนใจฟังอีกเพราะเห็นว่าเป็นสี่งที่ยากเกินไป และไม่สามารถจะรู้ได้เพียงในชาติเดียวเพราะฉะนั้น บางคนก็อาจจะท้อถอยด้วย ความหวังในผลและถ้าเป็นผู้ที่ท้อถอยมากก็จะหันไปสู่การปฏิบัติอย่างอื่นเพราะว่า ไม่ได้เป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผลจริง ๆ ว่าถ้าจะต้องประจักษ์การเกิด - ดับของสภาพธรรมใน ขณะนี้ก็จะต้องเรี่มระลึกศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ชาตินี้สติระลึกเท่าไรแล้วปัญญาพิจารณาเรี่มรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมบ้างเท่าไรนี่เป็นผลของการสะสมอบรมในแสนโกฏิกัปล์ซึ่งปัจจุบันชาติ นี้เป็นการพิสูจน์การสะสมซึ่งได้ผ่านมาแล้วแสดงให้เห็นว่าน้อยแค่ไหนเพราะ ฉะนั้นต้องไปอีกกี่กัปป์ คือถ้าไม่เทียบกับชาตินี้ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าก่อน ๆ นั้นไม่ใช่ว่า ไม่เคยอบรมไม่ใช่ไม่เคยฟังไม่ใช่{สติปัฏฐาน}ไม่เคยเกิดเคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว แสนกัปป์ ย่อลงมาอีกก็ได้แต่ว่าปัจจุบัน ที่ได้อบรมมาแล้วทั้ง ๆ ที่อบรมมาแล้วแสนกัปป์ หรืออาจจะไม่ถึงก็ตามแต่ - >แต่ว่าหลายชาติขณะนี้มีความเข้าใจแค่ไหน นี่คือผู้ที่ตรงจริง ๆ เพราะฉะนั้น..........พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา ฯ ทรง ตรัสรู้และทรงแสดง ใม่ใช่สี่งซึ่งไม่มีพร้อมที่จะให้พิสูจน์แต่ไมใช่ง่ายและต้องเป็น การอบรมความเข้าใจที่ถูกต้องจริง ๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้เพราะว่า ไม่ใช่ให้ทำไม่ใช่ให้ปฏิบัติแต่อบรมความเข้าใจให้เพี่มขึ้นจนกระทั่งเป็นปัญญาแต่ละขั้น บางส่วนของคำบรรยายธรรมของท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มูลนิธิเพื่อการศึกษาพระธรรม บ้านธรรมมะ บุคโล ธนบุรี |