[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 22 มกราคม 2556 17:04:36



หัวข้อ: "เครื่องถมไทย" - ความหมาย ประวัติ ประเภท ขั้นตอนการผลิต
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 มกราคม 2556 17:04:36
.
ข้อความและรูปภาพ "เครื่องถม"
๑.คัดและสแกนภาพจากหนังสือสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน เล่ม ๑๑  
๒.โดยได้รับอนุญาต จากศาสตราจารย์กิตติคุณ ไพฑูรย์  พงศะบุตร  กรรมการและเลขาธิการ โครงการสารานุกรมไทยฯ
ให้คัดและสแกนภาพเผยแพร่ในเว็บไซต์ สุขใจดอทคอม
เพื่อเป็นวิทยาทานแก่นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปผู้ใฝ่การเรียนรู้  
ตามหนังสือที่ ส.๒๐/๒๕๕๖ ลง ๑๗ ม.ค.๕๖  จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/29838946958382__3614_2.gif)

เครื่องถม

ความหมายของเครื่องถม
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของเครื่องถมว่า “ภาชนะหรือเครื่องประดับที่ทำโดยการใช้ผงยาถมผสมกับน้ำประสานทอง ถมลงบนลวดลายที่แกะสลักบนภาชนะหรือเครื่องประดับนั้น แล้วขัดผิวให้เป็นเงางาม”

จากคำอธิบายขั้นต้น อาจขยายความเพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนี้
๑. เครื่องถมเป็นภาชนะ หรือเครื่องประดับที่นำมาใช้ประโยชน์ ทำด้วยโลหะเงิน หากเป็นภาชนะ ที่สำคัญได้แก่ ขันน้ำ พาน ถาด ช้อน หากเป็นเครื่องประดับ ที่สำคัญ ได้แก่ กำไล แหวน ต่างหู สร้อย เข็มกลัด
๒. มีการแกะสลักลวดลายบนผิวของโลหะที่เป็นภาชนะหรือเครื่องประดับ
๓. นำสารเคมีที่เรียกว่า “ผงยาถม” ผสมกับน้ำประสานทอง ใส่ลงไปในร่องที่แกะสลักเป็นลวดลายบนผิวของโลหะให้เต็มหมดทุกร่อง ผงยาถมทำจากการนำโลหะเงิน ทองแดง ดีบุก และผงกำมะถัน ผสมกันตามสัดส่วนที่กำหนดไว้  แล้วนำไปเผาให้ละลาย เมื่อเย็นตัวลงก็นำมาบดให้เป็นผง ใส่ลงไปในร่องของโลหะ แล้วใช้ความร้อนอบให้ละลายติดกับโลหะ เกิดเป็นลวดลายสีดำบนพื้นของโลหะ เรียกวิธีการนี้ว่า “การถมดำ” หรือ “การถมยา”
๔. ขัดผิวของโลหะที่ใส่ผงยาถมไว้เรียบร้อยแล้ว ให้เรียบเป็นมันเงางาม เป็นอันเสร็จสิ้นวิธีการทำเครื่องถมเป็นสินค้าออกจำหน่ายได้

คำว่า “ถมนี้” นี้ นักวิชาการด้านภาษาอธิบายว่า เป็นคำไทยที่นำมาจากภาษาบาลีว่า “ถมฺภ” แปลว่า “ทำให้แน่น อัด ยัด ติด และทำให้เต็ม” เมื่อนำมาใช้เป็นคำไทย ได้ตัดตัว “ภ” ออกเพื่อให้อ่านออกเสียงได้ง่ายขึ้น ทำนองเดียวกับภาษาบาลีหลายคำที่นำมาใช้ในภาษาไทย

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/57687516303525__3614_1.gif)

ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับกำเนิดของเครื่องถมในโลก
ในสารานุกรมฉบับพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ชื่อ เอนไซโคลพีเดียบริแทนนิกา (encyclopedia Britannica) ซึ่งเป็นสารานุกรมที่มีชื่อเสียงมาก มีคำอธิบายเกี่ยวกับเครื่องถมที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า นีเอลโล (niello) ไว้  ซึ่งขอถอดความบางตอนพอเป็นสังเขปดังนี้

...นีเอลโล มาจากภาษาละตินว่า “นีเกลลุม” (nigellum) แปลว่า “ดำ” เป็นวิธีการผลิตลวดลายอย่างละเอียดประณีตบนผิวของโลหะที่ขัดให้เรียบ โดยการใช้โลหะผสมสีดำ  ถมใส่ลงในร่องที่เซาะลงไปในเนื้อของโลหะนั้น วิธีการนีเอลโล มีอธิบายไว้ในหนังสือแต่งโดยนักเขียนคนสำคัญ ๔ คน คือ อีแรคลิอุส  ชาวโรมัน เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖  ธีโอฟีลุส นักบวช เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ หรือ ๑๘  เบนเวนูโต เชลลินี และจีออจิโอ วาซารี  เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑  การทำลวดลายนั้นใช้เครื่องมือที่มีคมสลักลงบนผิวเรียบของโลหะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงิน แต่บางครั้งอาจเป็นทองคำ หรือแม้กระทั่งเป็นทองสัมฤทธิ์ก็ได้ ส่วนโลหะผสมที่ถมใส่ลงไปในร่องที่เซาะไว้ ประกอบด้วยเงิน ๒ ส่วน ทองแดง ๑/๓ ส่วน และตะกั่ว ๑/๖ ส่วน นำมาเผาให้ร้อนละลายในเตาเผาแล้วใส่ผงกำมะถันลงไปเล็กน้อย  หลังจากนั้นปล่อยไว้ให้เย็นจึงนำมาป่นให้ละเอียด บรรจุลงในก้านของขนนกหรือขนเม่น เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป เมื่อจะใส่สารผสมนี้ลงไปในร่องบนผิวของโลหะก่อนแล้วโรยผงโลหะผสมลงไปให้เต็มร่อง  จากนั้นนำไปเผาให้ละลายเพื่อให้ผงโลหะผสมติดแน่นกับเนื้อโลหะ เมื่อเย็นลงก็นำโลหะนั้นไปขัดผิวให้เรียบ...

นอกจากนี้ในเอนไซโคลพีเดียบริแทนนิกายังกล่าวต่อไปว่า....มีตัวอย่างเครื่องถมสมัยโรมันแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ที่กรุงลอนดอน รวม ๒ ชิ้น  ชิ้นหนึ่งเป็นรูปแม่ทัพชาวโรมันหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ สูงประมาณ ๖๐ เซนติเมตร  เครื่องแต่งกายและเสื้อเกราะที่สวมใส่อยู่มีบางส่วนทำด้วยเงิน และบางส่วนเป็นเครื่องถม สันนิษฐานว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๖  อีกชิ้นหนึ่งเป็นกล่องใส่เครื่องสำอางของสตรี ทำด้วยเงินเช่นกัน ภายในกล่องมีสิ่งของต่าง ๆ ทำด้วยเครื่องถม สันนิษฐานว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๙

หากถือตามหลักฐานที่กล่าวไว้ในหนังสือสารานุกรมดังกล่าวข้างต้นนี้ ก็อาจสันนิษฐานได้ว่าเครื่องถมมีกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรป อย่างน้อยก็ในสมัยจักรวรรดิโรมันเมื่อราว ๑,๕๐๐–๒,๐๐๐ ปี มาแล้ว  เพราะจักรวรรดิโรมันตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๕๑๖ และเสื่อมอำนาจลงเมื่อ พ.ศ.๑๐๑๙  หลังสมัยจักรวรรดิโรมันการทำเครื่องถมได้แพร่หลายไปในประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป โดยได้พบโบราณวัตถุที่เป็นเครื่องถมในประเทศฝรั่งเศส เยอรมณี และรัสเซีย  มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑–๑๗  นอกจากนี้การทำเครื่องถมยังแพร่หลายเข้ามาในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้  เมื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก (Eastern Roman) มีอำนาจปกครองดินแดนแถบนี้ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๙ - ๒๐  นอกจากในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้แล้ว การทำเครื่องถมยังแพร่หลายเข้ามาในประเทศอินเดียด้วย ซึ่งยังคงมีการทำเครื่องถมอยู่จนทุกวันนี้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/40440337318513__3614_3.gif)

ประวัติของการทำเครื่องถมในประเทศไทย
จากหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ของไทยมีการกล่าวถึงเครื่องถมเป็นครั้งแรก ในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งทรงครองราชย์ที่กรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ.๑๙๙๑–๒๐๓๑  โดยในรัชกาลของพระองค์ได้ตรากฎหมายทำเนียบศักดินาข้าราชการฝ่ายทหารและพลเรือนเมื่อ พ.ศ. ๑๙๙๘ ตั้งบรรดาศักดิ์ข้าราชการจัดเป็นลำดับชั้นกันเป็น เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น พัน ทนาย และมีข้อความในกฎหมายตอนหนึ่งว่า “ขุนนางศักดินา ๑๐,๐๐๐ กินเมืองกินเจียดเงินถมยาดำรองตะลุ่ม” คำว่า เงินถมยาดำ ที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายดังกล่าวแสดงว่า เครื่องถมคงมีใช้กันอยู่แล้วในสมัยอยุธยาตอนต้น แต่ไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเป็นเครื่องถมที่ทำขึ้นเองภายในประเทศ หรือนำเข้ามาจากต่างประเทศ ส่วนคำว่า เจียด นั้น ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒  อธิบายว่า “เป็นภาชนะชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายตะลุ่ม มีฝาคล้ายรูปฝาชี เป็นเครื่องยศขุนนางโบราณ สำหรับใส่ของเช่นผ้า มักทำด้วยเงิน”

หลักฐานเอกสารเกี่ยวกับเครื่องถมของไทย มีปรากฏค่อนข้างชัดเจนในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑  ดยในหนังสือ เรื่อง ประวัติศิลปกรรมไทย ของ นายตรี อมาตยกุล  พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๓ มีข้อความตอนหนึ่งว่า “....ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ทรงส่งเครื่องถมไปเป็นบรรณาการแก่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส เป็นเครื่องถมลายดำอรหัน  ซึ่งปรากฏในจดหมายเหตุฝรั่งเศส ว่า เจ้าพระยาวิชเยนทร์เป็นผู้ออกแบบ....” (อรหัน เป็นชื่อสัตว์ในนิยาย มี ๒ เท้า มีปีกคล้ายนก หัวคล้ายหัวคน)  นอกจากนี้ในหนังสือประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๘ เรื่อง “จดหมายเหตุในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช”  มีข้อความระบุว่า คณะทูตของไทยที่เดินทางไปเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ นั้น ได้เข้าเฝ้าพระสันตะปาปาที่กรุงโรม  ประเทศอิตาลีด้วย  โดยมีข้อความว่า “....ราชทูตเชิญพานแว่นฟ้าทองคำรับราชสาส์น    ราชสาส์น...ม้วนบรรจุอยู่ในผอบทองคำลงยาราชาวดีอย่างใหญ่...ผอบนั้นตั้งอยู่ในหีบถมตะทอง หีบถมตะทองตั้งอยู่บนพานแว่นฟ้าทองคำ...”

คำว่า “เครื่องถมลายดำอรหัน” ก็ดี “หีบถมตะทอง” ก็ดี  แสดงว่าในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีการทำเครื่องถมขึ้นในเมืองไทยแล้ว มิฉะนั้นคงไม่นำไปเป็นบรรณาการถวายแก่ประมุขในต่างประเทศอย่างแน่นอน  ในหนังสือสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้  จัดพิมพ์โดยมูลนิธิสารานุกรมวัฒนธรรมไทย  ธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒  มีข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงเครื่องถมนครศรีธรรมราช ว่า “...สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ทรงมีรับสั่งให้เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจัดหาช่างถมฝีมือดีที่สุดของจังหวัด  ส่งไปยังกรุงศรีอยุธยาเพื่อทำไม้กางเขนส่งไปถวายสันตะปาปาที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี  และทำเครื่องถมเป็นเครื่องใช้ ไปบรรณาการพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส...”  หากยึดถือหลักฐานตามเอกสารที่กล่าวมานี้ ก็แสดงว่ามีการทำเครื่องถมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยใช้ช่างที่มีฝีมือจากเมืองนครศรีธรรมราชมาผลิตในกรุงศรีอยุธยา


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/44636164108912__3614_5.gif)
(บน) เข็มกลัดถมฝีมือช่างยุโรป
(ล่าง) เจียดเงินถมยาดำเป็นเครื่องประกอบยศของขุนนางไทยสมัยโบราณ

มีคำถามว่า เหตุใดเมืองนครศรีธรรมราชจึงมีความสำคัญในการผลิตเครื่องถมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และการทำเครื่องถมเป็นศิลปะที่คนไทยคิดขึ้นเอง หรือรับมาจากชนชาติอื่น  คำถามทั้ง ๒ ข้อนี้ มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกัน โดยมีผู้ให้ข้อสันนิษฐานไว้ ๓ แนวทางด้วยกัน คือ แนวทางแรกสันนิษฐานว่า การทำเครื่องถมเป็นศิลปะที่ไทยคิดขึ้นเอง แนวทางที่สองสันนิษฐานว่า ไทยรับศิลปะการทำเครื่องถมมาจากอินเดีย และแนวทางที่สามสันนิษฐานว่า ไทยรับศิลปะการทำเครื่องถมมาจากชนชาติอื่นๆ นอกจากอินเดีย เช่น ชาวเปอร์เซีย (เป็นชื่อโบราณของชาวอิหร่านในปัจจุบัน) ชาวกรีก ชาวโปรตุเกส

ข้อสันนิษฐานในแนวทางแรกที่เสนอว่า เครื่องถมเป็นศิลปะที่ไทยคิดขึ้นเองนั้น มีความเป็นไปได้น้อยที่สุด ถ้าหากพิจารณาจากหลักฐานในหนังสือเอนไซโคลพิเดียบริแทนนิกา ที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น เพราะทั้งโบราณวัตถุที่ค้นพบ และหนังสือโบราณที่กล่าวถึงวิธีการทำเครื่องถม แสดงอย่างชัดเจนว่าเครื่องถมมีกำเนิดในทวีปยุโป อย่างน้อยในสมัยที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจเมื่อ ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว  ดังนั้น การทำเครื่องถมของไทยจึงน่าจะเป็นการใช้ศิลปะของไทยในด้านการตกแต่งลวดลาย และการประดิษฐ์เป็นภาชนะหรือเครื่องตกแต่งให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น  หรืออาจพัฒนาวิธีการทำเครื่องถมให้มีความหลากหลายและมีคุณภาพดีขึ้น

ส่วนข้อสันนิษฐานว่า ไทยรับศิลปะการทำเครื่องถมมาจากอินเดีย หรือจากชนชาติอื่นนั้น มีความเกี่ยวข้องกับการที่ไทยมีการติดต่อค้าขายกับชนชาติต่างๆ ในสมัยอยุธยา  จึงอาจได้รับเอาศิลปะการทำเครื่องถมมาด้วย โดยเฉพาะชาวอินเดียได้นำอิทธิพลทางด้านศิลปวัฒนธรรม มาเผยแพร่ในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นอาณาจักร และแว่นแคว้นต่างๆ ก่อนสมัยสุโขทัยเรื่อยมาจนถึงสมัยอยุธยา  การทำเครื่องถมที่เมืองนครศรีธรรมราชจึงอาจได้รับศิลปะจากชาวอินเดียด้วยก็ได้ ส่วนชาวเปอร์เซียและชาวโปรตุเกสก็เดินทางมาค้าขายกับไทยในสมัยอยุธยา โดยชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เดินเรือมาค้าขายติดต่อกับไทย ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (ครองราชย์ พ.ศ.๒๐๓๔ – ๒๐๗๒)  และได้รับอนุญาตให้ตั้งสถานีการค้าที่เมืองนครศรีธรรมราชด้วย จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนการที่เมืองนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลางการทำเครื่องถมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สำหรับข้อสันนิษฐานที่ว่าไทยอาจได้รับวิธีการทำเครื่องถมจากชาวกรีก อาศัยเหตุผลที่ว่าในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมีพ่อค้าชาวกรีกชื่อ คอนสแตนติน ฟอลคอน เดินทางมาไทย และได้รับแต่งตั้งให้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ชื่อ เจ้าพระยาวิชเยนทร์  ซึ่งได้รับการกล่าวถึงในตอนแรกว่า เป็นผู้ออกแบบเครื่องถมเป็นรูปอรหัน  ที่ไทยส่งไปเป็นบรรณาการแก่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส

อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานที่ว่า ไทยได้รับเอาศิลปะการทำเครื่องถมมาจากอินเดียนั้น น่าจะมีน้ำหนักมากที่สุด ส่วนข้อสันนิษฐานว่า ไทยได้รับเอาศิลปะการทำเครื่องถมมาจากชนชาติอื่น ๆ นอกจากอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซีย กรีก หรือโปรตุเกส นั้น จำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้าให้แน่ชัดต่อไป เพราะยังมีข้อโต้แย้งได้อีกมาก



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/25038060173392__3614_7.gif)
(บน) พานถมดำที่ทำในสมัยอยุธยา
(ล่าง) ขันถมตะทองที่ทำในสมัยรัตนโกสินทร์โดยช่างถมจากนครศรีธรรมราช

การทำเครื่องถมในสมัยรัตนโกสินทร์

ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อทรงสร้างกรุงเทพฯ เป็นราชธานีแล้ว  ได้มีการทำเครื่องถมโดยนำช่างถมจากกรุงศรีอยุธยามาดำเนินการผลิต ทั้งนี้ มีการกล่าวไว้ในหนังสือ สาส์นสมเด็จ (หนังสือรวบรวมลายพระหัตถ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระหว่าง พ.ศ.๒๔๕๗ – ๒๔๘๖ ซึ่งโรงพิมพ์คุรุสภาได้จัดพิมพ์เป็นชุด รวม ๒๖ เล่ม เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕) มีข้อความตอนหนึ่งว่า “เครื่องถมไทยของเก่าที่เป็นฝีมือช่างครั้งกรุงศรีอยุธยามาทำขึ้นในรัชกาลที่ ๑ เช่นพานพระศรี ที่อยู่ในตู้เครื่องถมของหลวงเป็นต้น...เครื่องถมที่ทำในกรุงเทพฯ ครั้งรัชกาลที่ ๑ ยังทำดีมาก ฝีมือน่าจะมาทรามลงเมื่อรัชกาลที่ ๒ เป็นหัวต่อที่เครื่องถมเมืองนครฯ จะเฟื่องฟู...”

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/57447428628802__3614_6.gif)

ข้อความข้างต้นนี้แสดงว่า การทำเครื่องถมในรัชกาลที่ ๑ มีฝีมือดี แต่มาเสื่อมลงในรัชกาลที่ ๒ เมื่อช่างถมที่เมืองนครศรีธรรมราชมีฝีมือดีกว่า และช่างถมในกรุงเทพฯ สู้ไม่ได้

การที่ช่างถมเมืองนครศรีธรรมราชมีชื่อเสียงมากจนเครื่องถมของเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งรู้จักกันในชื่อว่า “ถมนคร” เป็นที่นิยมกันทั่วไป ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นต้นมานั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงมีข้อสังเกตไว้ ๒ ประการ (หนังสือสาส์นสมเด็จ เล่ม ๑๘) คือ
ประการที่ ๑  เป็นเพราะช่างถมเมืองนครฯ ได้รับการกวดขันในด้านฝีมือจากเจ้าพระยานคร (น้อย) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช
              ส่วนช่างฝีมือในกรุงเทพฯ ไม่มีผู้ใดควบคุมดูแลจึงทำตามใจตนเอง
ประการที่ ๒ “ถมนคร” มีงานชิ้นใหญ่ ๆ ที่สำคัญ ก็เพราะเจ้าพระยานคร (น้อย) เป็นผู้มีเงินทุนสั่งให้ทำ ส่วนพวกร้านย่อยๆ ที่บ้านพานถมในกรุงเทพฯ
                 ทำได้แต่เครื่องถมชิ้นเล็ก ๆ เพราะไม่มีเงินทุนและไม่มีโอกาส


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/45423462034927__3614_8.gif)

“ถมนคร” ชิ้นใหญ่ ๆ ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึง เป็นเครื่องราชูปโภคที่เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชทำถวายในรัชกาลที่ ๓ – ๕ รวม ๕ สิ่ง คือ
๑.พระราชยาน หรือ พระเสลี่ยง ซึ่งมีกระจังพระราชยานเป็นถมทอง เจ้าพระยานคร (น้อย) ทำถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
๒.พระแท่นเสด็จออกขุนนาง  เจ้าพระยานคร(น้อย) ทำถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
๓.พนักเรือพระที่นั่งกราบ (คือ เรือพระที่นั่งซึ่งพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปในที่ไกล ๆ อย่างลำลอง ไม่เป็นพระราชพิธี) เจ้าพระยานคร (น้อยกลาง) บุตรของเจ้าพระยานคร (น้อย)
    ทำถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/47387786250975__3614_9.gif)
พระที่นั่งภัทรบิฐ ประดิษฐานอยู่ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระบรมมหาราชวัง

๔.พระเก้าอี้ที่ใช้เป็นพระที่นั่งภัทรบิฐ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระบรมมหาราชวัง เจ้าพระยานคร (น้อยกลาง)
    ทำถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
๕.พระแท่นพุดตาน ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (หนูพร้อม) ขณะดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจัดทำถวาย โดยนำช่างทองของพระยาเพชรพิชัย (จีน)
    ไปจากกรุงเทพฯ พระแท่นพุดตานถมเป็นพระแท่นราชบัลลังก์ที่มีความงดงามมากองค์หนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/74369693920016__3614_10.gif)
โถฝาปริกแบบถมจุฑาธุช มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
ราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง จัดทำขึ้น


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/82978026734458__3614_11.gif)
เครื่องถมมจุฑาธุช (บนและล่างซ้าย) ที่ด้านหลังของลาย
จะเป็นพื้นเรียบ เครื่องถมโบราณหรือถมนคร (ล่างขวา)
ที่ด้านหลังจะมีลวดลาย

การจัดตั้งโรงเรียนช่างถม
ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และในกรุงเทพ
เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริให้จัดการศึกษาขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๑ นั้น ได้โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงเป็นประธานอำนวยการศึกษาและการพระศาสนา ในหัวเมืองมณฑลกรุงเทพฯ และในมณฑลหัวเมืองตลอดพระราชอาณาจักร กรมหมื่นวชิรญาณวโรรสได้ทรงเลือก พระสิริธรรมมุนี(ต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราช) ซึ่งช่างนครศรีธรรมราช เรียกว่า “เจ้าคุณวัดท่าโพธิ์” ขึ้นถวาย  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการศึกษาและการพระศาสนา มณฑลนครศรีธรรมราชกับมณฑลปัตตานี พระสิริธรรมมุนีได้วางรากฐานการศึกษาให้แก่ชาวนครศรีธรรมราช มิใช่เฉพาะแต่วิชาสามัญเท่านั้นยังตั้งโรงเรียนสอนวิชาช่างถมขึ้นในวัดท่าโพธิ์ด้วย  เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๖  ซึ่งตรงกับในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กิจการของโรงเรียนได้ดำเนินมาหลายปี จนในที่สุดกระทรวงศึกษาธิการได้รับโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนของรัฐ ต่อมาได้เจริญเติบโตขึ้นเป็น “โรงเรียนช่างโลหะรูปพรรณ”  ปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการได้ยกฐานะเป็น “วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมนครศรีธรรมราช” โดยมีสาขางานศิลปหัตถกรรมโลหะรูปพรรณและเครื่องประดับอัญมณี ซึ่งมีการสอนวิชางานเครื่องถมบรรจุอยู่ในหลักสูตร ทั้งระดับประโยควิชาชีพ (ปวช.) และระดับประโยควิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) ปีการศึกษา ๒๕๕๑ มีนักศึกษาทั้ง ๒ ระดับ จำนวน ๘๖ คน  นักเรียนที่จบสาขานี้บางส่วนประกอบอาชีพช่างโลหะรูปพรรณอยู่ในท้องถิ่นของตนเอง บางส่วนเข้ามาเป็นช่างที่กรุงเทพฯ และบางส่วนเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง ที่กรุงเทพ

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/90979181064499__3614_12.gif)
เครื่องถมเงินมีลวดลายสีเงินตัดกับพื้นที่ถมยาดำ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/49721635381380__3614_13.gif)
(ล่างบน-ซ้าย)เครื่องถมเงินของมูลนิธิศิลปาชีพฯ (ขวา) ผอบถมเงินของมูลนิธิศิลปาชีพฯ

ในปีเดียวกับที่พระสิริธรรมมุนีเปิดโรงเรียนสอนวิชาช่างถมขึ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชนั้น เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)  ซึ่งสนใจศิลปหัตถกรรมเครื่องถมนครศรีธรรมราช ได้เปิดแผนกช่างถมขึ้นเป็นแผนกหนึ่งใน “โรงเรียนเพาะช่าง” ซึ่งได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และใช้คำว่า”ถมนคร” เป็นแนวทางในการสอน โดยให้ ขุนประณีตถมกิจ (หยุย จิตตะกิตติ) ซึ่งเป็นช่างถมอยู่ที่บ้านพานถมเป็นครูผู้สอน ร่วมกับ ขุนประดิษฐ์ถมการ (รื่น ทัพวัฒน์)  วิชาที่สอนเรียกว่า “วิชารูปพรรณและถม”  ประกอบด้วยการขึ้นรูปสลักลายและการถม

ใน พ.ศ.๒๔๖๑-๒๔๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย มาทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการโรงเรียนเพาะช่าง พระองค์ได้ทรงดัดแปลงการทำถมโดยนำวิธีเขียนต้นฉบับเป็นลวดลายต่างๆ แล้วนำมาถ่ายเป็นกระจกเปียก หรือแผ่นฟิล์มแบบเนกะทิฟให้เป็นภาพ เพื่อใช้ถ่ายลงแผ่นเงินโดยวิธีเดียวกับซิลก์สกรีน (Silk screen) แล้วนำแผ่นเงินไปกัดกรดตามวิธีทำบล็อกโลหะ ส่วนที่กรดกัดลึกลงไปก็จะนำยาถมมาถมเป็นพื้นดำ  ส่วนที่ไม่ถูกกรดกัดจะเป็นลวดลายที่เนื้อเงิน  วิธีการทำลวดลายบนชิ้นรูปพรรณแบบนี้ทำได้รวดเร็วกว่าการทำเครื่องถมแบบเดิม  ที่ต้องใช้ของมีคมสลักลวดลายลงบนเนื้อเงิน เครื่องถมที่ทำด้วยวิธีการปรับปรุงใหม่นี้เรียกกันว่า ถมจุฑาธุช

ปัจจุบันโรงเรียนเพาะช่างซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็น “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง” มีการสอนวิชาการทำเครื่องถมเป็นวิชาเอกในแผนกเครื่องโลหะและรูปพรรณอัญมณี  สอนการทำเครื่องถมแบบโบราณ คือ ทำด้วยมือล้วนๆ และเครื่องถมจุฑาธุชซึ่งใช้บล็อกแม่พิมพ์แทนการเขียนลวดลายและสลักลายด้วยมือ



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/16092744428250__3614_15.gif)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/24930250437723__3614_14.gif)
(ซ้าย) พระกัณฑ์ (ขวา-บน) กรอบรูป  (ขวา-ล่าง) กล่องพระโอสถมวน

การจำแนกประเภทเครื่องถมไทย
เครื่องถมไทยแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ ถมเงิน ถมตะทอง และถมทอง
• ถมเงิน  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ถมดำ เป็นเครื่องถมที่เก่าแก่ที่สุด โดยการถมผงยาถมลงบนพื้นของภาชนะหรือเครื่องประดับที่ทำด้วยเงิน ซึ่งได้สลักหรือแกะลวดลายให้เป็นร่องไว้ เมื่อถมเสร็จตามขั้นตอนต่างๆ แล้ว  พื้นที่ถมยาจะขึ้นเป็นสีดำมันตัดกับลวดลายสีโลหะเงินบนภาชนะหรือเครื่องประดับนั้น

• ถมตะทอง เป็นเครื่องถมเงิน แต่มีการนำน้ำปรอทที่มีทองคำบริสุทธิ์ละลายผสมอยู่ไป “ตะ”  (คือ แต้ม แตะ ทา)  ทับลงบนลวดลายที่เป็นเส้นเงิน เฉพาะตรงที่ต้องการให้เป็นสีทองเท่านั้น จะได้ลวดลายสีทองสลับสีเงิน  การถมตะทองเป็นของทำยากเพราะต้องทำด้วยฝีมือประณีต และความชำนาญอย่างสูงของช่าง  ถมตะทองจึงมีความวิจิตรงดงามมาก

• ถมทอง เป็นเครื่องถมเงิน แต่ใช้น้ำปรอทที่มีทองคำทาบนลวดลายทั้งหมด ไม่เลือกทาเป็นแห่ง  อย่างถมตะทอง เนื่องจากเกิดความนิยมให้มีลายทองมากๆ ทำให้เครื่องภาชนะหรือเครื่องประดับนั้นมีลวดลายสีทองทั้งหมดบนพื้นดำ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/23351578041911__3614_16.gif)
พระกรัณฑ์ถมตะทอง ผลงานชิ้นสำคัญของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/72824794467952__3614_17.gif)
(บน-ซ้าย/ขวา)กล่องพระศรี และกระเป๋าราตรี ผลิตภัณฑ์ถมตะทองของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ
(ล่าง-ซ้าย/ขวา) เครื่องถมทองของหอประวัติและพิพิธภัณฑ์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์


หัวข้อ: Re: เครื่องถม
เริ่มหัวข้อโดย: เรือใบ ที่ 26 มกราคม 2556 23:37:04
คนย้อนอคีด (an!)


หัวข้อ: Re: "เครื่องถมไทย" - ความหมาย ประวัติ ประเภท ขั้นตอนการผลิต
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 มกราคม 2556 16:49:22
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/36913876525229__3614_18.gif)
(บน)ช่างจะสร้างแบบและเขียนลายก่อนการขึ้นรูปพรรณ
(กลาง) แท่งยาถม
(ล่าง) เมื่อนำมาใช้จะบดทุบให้เป็นผงละเอียด

ขั้นตอนการผลิตเครื่องถมไทย
การผลิตเครื่องถมไทยมีวิธีการที่แบ่งออกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้

ขั้นที่ ๑ การทำน้ำยาถม
น้ำยาถมหรือยาถมสำหรับใช้ลงถมในงานเครื่องถม มีส่วนผสมของโลหะ ๓ ชนิด คือ เงิน ทองแดง และตะกั่ว มาผสมกันตามสัดส่วน  ซึ่งช่างแต่ละแห่งอาจใช้ไม่เหมือนกัน ช่างบนคนใส่ส่วนผสมเงิน ๕ ส่วน ทองแดง ๕ ส่วน ตะกั่ว ๖ ส่วน  บางคนใช้เงิน ๑ ส่วน ทองแดง ๗ ส่วน ตะกั่ว ๕ ส่วน  แต่ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องมาตรฐานเครื่องเงินไทย ซึ่งประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ กำหนดว่า “ยาถมต้องมีโลหะเงินผสมอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘ ของน้ำหนัก”

เมื่อได้ส่วนผสมของโลหะตามที่ต้องการแล้ว นำโลหะผสมทั้ง ๓ อย่างนั้น ไปหลอมในเบ้าที่มีฝาปิด  ขั้นตอนนี้ช่างถมเรียก “กุมน้ำยา”  โดยใช้อุณหภูมิ ๓๐๐ องศาเซลเซียส ประมาณ ๔ ชั่วโมง  แล้วเปิดฝาเบ้าซัดด้วยกำมะถันเหลือง จนเห็นว่าน้ำยาขึ้นสีดำใส ไม่มีฟอง ไม่มีฝา แล้วจึงเทลงในเบ้าจาน ทิ้งไว้จนแห้ง ยาถมจะมีลักษณะแข็งสีดำ  ขึ้นมันเงาเคลือบสีน้ำเงินอ่อนๆ เนื้อคล้ายโลหะแต่ทุบละเอียดให้เป็นผงได้ ทำเป็นแท่งๆ ไว้ เมื่อเวลาจะนำมาใช้ต้องนำมาบดทุบให้ละเอียดก่อนแล้วคลุกด้วยน้ำประสานทองหรือบอแรกซ์ (borax) จนเป็นน้ำยาถมสำหรับนำไปลงถม


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/38765670648879__3614_19.gif)
การขึ้นรูปที่ใช้แรงคนจะตัดแผ่นเงินและใช้ค้อนตีให้มีรูปตามต้องการ

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/25963503039545__3614_20.gif)
ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นรูปและสลักดุนนูนก่อนลงลวดลายละเอียด

ขั้นที่ ๒  การทำรูปพรรณ หรือการขึ้นรูปการทำรูปพรรณหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การขึ้นรูป” คือการนำแผ่นเงินมาทำเป็นรูปร่างตามต้องการ อาจเป็นภาชนะ เช่น ขันน้ำ พานใส่ของ เครื่องประดับ เช่น กำไล เข็มกลัด สร้อย เครื่องใช้เครื่องประดับจะมีทรวดทรงงดงามเพียงใด อยู่ที่ฝีมือของช่างผู้ออกแบบให้เป็นรูปร่างอย่างไร

หากเป็นเครื่องหัตถกรรมแท้ๆ การขึ้นรูปต้องใช้แรงงานคนโดยใช้ค้อนทุบแผ่แผ่นเงินให้หนาบางตามที่ต้องการ แล้วนำแผ่นเงินมาดัดหรือตีแบบ ให้เป็นรูปภาชนะหรือรูปพรรณต่าง ๆ ตามที่ต้องการ แต่ปัจจุบันอาจใช้วีการหล่อแบบ หรือการกดกระแทก (ปั๊มพ์) ซึ่งสามารถผลิตได้รวดเร็ว และมีขนาด รูปร่างเป็นมาตรฐาน เหมาะสำหรับการผลิตเป็นอุตสาหกรรม

เครื่องถมเงินที่มีคุณภาพดีนั้น จะต้องใช้โลหะเงินที่มีความบริสุทธิ์ของเนื้อเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ มีโลหะอื่นซึ่งส่วนใหญ่ใช้ทองแดงผสมอยู่ไม่เกินร้อยละ ๕ โดยน้ำหนัก  ในภาษาอังกฤษเรียกว่า เงินสเตอร์ลิง (sterling silver) และถือเป็นมาตรฐานสากล การที่ไม่ใช้เนื้อเงินบริสุทธิ์ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ก็เพราะเนื้อเงินอ่อนมาก รูปทรงที่ขึ้นไว้อาจบิดเบี้ยวได้ง่าย แต่ถ้าเนื้อเงินบริสุทธิ์ต่ำกว่าร้อยละ ๙๕ ก็จะทำให้หมองคล้ำได้ง่าย นอกจากนี้ในการลงยาถม ถ้าเนื้อเงินมีสัดส่วนน้อย ก็จะทำให้ยาถมติดยาก หรืออาจกะเทาะหลุดได้ง่าย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/60637783424721__3614_21.gif)

ขั้นที่ ๓ การเขียนและสลักลาย
รูปพรรณที่ทำเป็นผลิตภัณฑ์ขึ้นรูปแล้ว ยังมีลักษณะเกลี้ยงไม่ปรากฏเป็นลวดลายหรือภาพต่างๆ จึงเป็นหน้าที่ของช่างเขียนและช่างสลักที่จะออกแบบลวดลายหรือภาพ ลงบนพื้นผิวของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ เริ่มด้วยการเขียนลวดลายหรือภาพด้วยหมึกพิเศษ  แล้วแกะสลักด้วยสิ่ว หรือใช้กรดกัดส่วนที่เป็นพื้นเอาเนื้อโลหะออก ให้เป็นร่องลึกลงไป ปรากฏแต่โครงร่างของลายเป็นภาพนูนเด่นขึ้นมา

ในการสลักอาจเกิดตำหนิที่ผิวของรูปพรรณได้บ้าง  ดังนั้น เมื่อสลักเสร็จจึงต้องแต่งผิวให้เรียบร้อย จากนั้นก็ใช้กรดอ่อน ๆ ผสมน้ำ ขัดส่วนที่จะลงยาถมให้สะอาดจนขาวเป็นเงามัน ไม่มีคราบสีน้ำตาลเจือปนอยู่เลย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/15186372523506__3614_22.gif)
(บน) ช่างเกลี่ยยาถมให้เต็มร่องของลวดลาย และใช้ไฟเป่า เพื่อให้ยาถมละลายเกาะติดแน่นกับเนื้อเงิน
(ล่าง) การปรับแต่งรูปทรงและขัดผิวรูปพรรณก่อนจะแกะแร    

ขั้นที่ ๔  ขั้นลงถม
ใช้ผงยาถมที่เตรียมไว้ผสมกับน้ำประสานทอง ใส่ลงไปในร่องของลวดลายที่แกะสลักไว้ ซึ่งทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เกลี่ยยาถมให้เสมอกันทุกส่วนจนเต็มร่อง จากนั้นใช้ไฟ “เป่าแล่น” ลงบนเครื่องรูปพรรณนั้น เมื่อผงยาถมได้รับความร้อนสูงจะละลายตัวไหลลงไปในส่วนลึกของพื้นช่องลาย และเกาะติดแน่นอยู่กับเนื้อเงิน เมื่อยาถมกระจายเต็มทั่วทุกส่วนดีแล้ว ก็ทิ้งไว้ให้เย็น โดยห้ามไปแช่น้ำ เพราะโลหะจะหดตัวและยาถมอาจแตกหรือหลุดออกเป็นชิ้นๆ ได้ เมื่อชิ้นงานเย็นดีแล้วก็ใช้ตะไบถูหรือใช้เหล็กขูดแต่งยาถมซึ่งไหลเลอะบางส่วนที่ไม่ต้องการให้ยาถมออกให้หมด ตกแต่งผิวให้เรียบด้วยกระดาษทราย จนกระทั่งเห็นลวดลายหรือภาพปรากฏขึ้นชัดเจนดีหมดทุกส่วน และผิวของส่วนที่ถมไม่มีรูพรุนหรือจุด ที่เรียกว่า “ตามด” ทั้งต้องมียาถมอยู่เต็มสนิท ไม่มีรูหรือรอยแยกให้เห็นเนื้อเงินที่เป็นพื้น ซึ่งเรียกว่า “พื้นขึ้น” ขั้นตอนการลงถมถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก และต้องใช้ความประณีตในการทำ จึงจะถือว่าเป็นเครื่องถมที่มีคุณภาพดี


ขั้นที่ ๕ การปรับแต่งรูปทรง
ในขณะที่ลงยาถมนั้น รูปพรรณต้องถูกความร้อนสูงเผาอยู่เป็นเวลานานพอสมควร จนกว่าการลงยาถมจะแล้วเสร็จ รูปทรงของรูปพรรณอาจบิดเบี้ยวหรือคดงอไปบ้าง  ดังนั้น เมื่อเสร็จจากการลงยาถมแล้ว จึงต้องมีการปรับแต่งรูปทรงให้คงสภาพเดิม

ขั้นที่ ๖ การขัดผิวและแกะแร
เมื่อปรับแต่งรูปเสร็จแล้ว พื้นผิวของรูปพรรณยังคงหยาบและด้านอยู่ ต้องขัดแต่งผิวด้วยกระดาษทรายละเอียด และถูด้วยถ่านไม้เนื้ออ่อนจนผิวเกลี้ยง จากนั้นขัดผิวด้วยเครื่องขัดและยาขัดโลหะอีกครั้งหนึ่ง แล้วล้างให้สะอาด เช็ดให้แห้ง

หลังจากนั้นเป็นการแกะแรลวดลาย หรือการแรเงาตกแต่งลวดลายให้สวยงาม เพราะลวดลายที่ปรากฏจนถึงขั้นที่ ๕ นั้น ยังเป็นภาพหยาบ ๆ ไม่มีรายละเอียดและเส้นตัดภายในให้เป็นลวดลายอ่อนช้อย เช่น ถ้าเป็นภาพคน ก็ยังไม่มีหน้าตา จมูก ปาก และเครื่องแต่งกาย ถ้าเป็นภาพทิวทัศน์ เช่น พระปรางค์วัดอรุณฯ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ จะยังไม่มีเส้นตัดภายในให้เป็นลายกระหนกและลวดลายละเอียดต่างๆ  จึงเป็นหน้าที่ของ “ช่างแกะแร” ที่จะสลักหรือแกะแรส่วนละเอียดของภาพต่างๆ นั้นให้ปรากฏขึ้น การแกะแรจึงต้องการช่างฝีมือที่ละเอียดและมีความชำนาญในด้านนี้โดยเฉพาะ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/70322073789106__3614_23.gif)
(บน ซ้าย-ขวา)ปรอทใช้ในการเตรียมทองสำหรับทำทองเปียก -  เล็บมือนางทำด้วยเงินสำหรับใช้ทาทอง
(ล่าง ซ้าย-ขวา) การเปียกทองลงบนลวดลายที่เป็นเงิน - รูปพรรณถมทองที่ทำเสร็จแล้ว

ขั้นที่ ๗ การขัดเงา
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำงาน โดยหลังจากแกะแรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำรูปพรรณถมเข้าเครื่องขัดด้วยยาขัดอย่างละเอียดแล้วล้างให้สะอาด เช็ดด้วยผ้านุ่มๆ ให้เป็นเงางาม ก็จะได้เครื่องถมที่พร้อมที่ส่งออกจำหน่ายได้

ทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว เป็นขั้นตอนต่าง ๆ ของการทำถมดำหรือถมเงิน แต่ถ้าเป็นการทำถมตะทองและถมทอง จะต้องมีวิธีการเตรียมทองที่จะทา และการทาทองที่ภาพหรือลวดลายสีเงินเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งก่อนขั้นการแกะแร

การทำถมตะทองและถมทองจะต้องเตรียมทองที่จะนำมาตะหรือทา เรียกว่า “การเปียกทอง”  โดยใช้ทองคำบริสุทธิ์อย่างน้อยร้อยละ ๙๙ มารีดหรือทุบให้บางที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเข้าเครื่องบดจนเกือบเป็นผงทราย ล้างให้สะอาด  เทปรอทลงไปคลุกเคล้ากับผงทองนี้ในครกหิน บดจนผงทองกับปรอทละลายเป็นเนื้อเดียวกัน มีลักษณะข้นและเหนียว ซึ่งเรียกว่า “ทองเปียก”

เมื่อทำทองเปียกเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปคือ นำรูปพรรณเงินถมที่ต้องการทาทอง มาเช็ดถูให้สะอาดด้วยน้ำมะกรูดหรือน้ำมะนาว หรือน้ำมันเบนซิน ให้สะอาด เพื่อขจัดไขมันและฝ้าบนผิวเงินให้หมดไป ทาผิวรูปพรรณด้วยปรอทให้ทั่ว แล้วใช้สำลีชุบทองเปียกที่เตรียมไว้ ถูทาลงบนส่วนที่เป็นเส้นเงินหรือภาพเฉพาะส่วนที่ต้องการให้เป็นสีทอง โดยทำซ้ำประมาณ ๓ – ๕ ครั้ง เพื่อให้ทองที่ทาไว้มีความหนาตามที่ต้องการ เสร็จแล้วนำรูปพรรณนั้นไปตากแดด หรืออบด้วยความร้อนอ่อน ๆ ประมาณ ๖ ชั่วโมง จนปรอทที่ละลายปนกับทองระเหยไปจนหมด ภาษาช่างเรียกว่า “การรมทอง” เหลือแต่เนื้อทองจับติดบนผิวเงิน ก็จะได้รูปพรรณที่มีลวดลายสีทองสลับกับสีโลหะเงิน เรียกว่า “ถมตะทอง” ถ้าทาทองบนพื้นลวดลายที่เป็นเงินทั้งหมด จะเรียกว่า “ถมทอง” ปัจจุบันช่างถมมักเรียกการถมตะทอง ว่า ถมทอง ด้วย  ทั้งถมตะทองและถมทองคือ ถมเงินที่ใช้ทองทาเคลือบผิวลวดลายที่เป็นเงินให้ติดแน่น ไม่จางหรือหลุดลอก แม้จะใช้สอยนานนับร้อยปี

หลังจากกระบวนการทาทองเปียกลงบนผิวเงินเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ก็นำรูปพรรณนั้นไปแกะสลักลวดลายให้มีรายละเอียดชัดและสมบูรณ์ขึ้น เช่นเดียวกับการแกะแรในการทำถมเงิน แต่ในกรรมวิธีการทำถมตะทองหรือถมทอง จะเรียกวิธีการนี้ว่า “การสลักหรือเพราลาย”  ต่อจากนั้น ก็นำรูปพรรณไปขัดเงาตามวิธีการเดียวกับการทำถมเงิน  จนได้เครื่องรูปพรรณที่ทำสำเร็จเรียบร้อยพร้อมส่งออกจำหน่ายได้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/55701307579874__3614_24.gif)
การขัดเงาด้วยลูกปัดและน้ำประคำดีควาย

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/24773464931381__3614_25.gif)
การทำถมตะทองและถมทองเมื่อเปียกทองเสร็จสิ้นแล้ว จึงนำรูปพรรณไปเพราลาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/37485333946016__3614_27.gif)
เครื่องถมที่ห้างไทยนครผลิตขึ้นจำหน่ายที่ร้าน

การผลิตเครื่องถมไทยในปัจจุบัน

เครื่องถมจัดเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่มีความงดงามยิ่งอีกอย่างหนึ่งของไทย มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นต่างจากเครื่องเงินและเครื่องทอง  เครื่องถมมีขั้นตอนและกรรมวิธีการผลิตหลายขั้นตอนและยุ่งยากสลับซับซ้อน ซึ่งต้องใช้ฝีมือช่างที่มีความรู้ความชำนาญและละเอียดประณีตทุกขั้นตอน งานแต่ละชิ้นจึงต้องใช้เวลาในการทำ และโดยที่เครื่องถมส่วนใหญ่เป็นภาชนะเครื่องใช้ที่มักมีขนาดใหญ่ เช่น ถาด ขันน้ำ  ขันข้าว พานรอง ทัพพี  โถ  ผอบ  หีบบุหรี่ ซึ่งต้องใช้วัตถุดิบ คือ โลหะเงินและทองในปริมาณมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตแต่ละชิ้นมีราคาสูง  ดังนั้น เครื่องถมจึงจำกัดอยู่แต่ในราชสำนักหรือผู้มีฐานะดี ที่จะมีไว้เป็นเครื่องใช้เครื่องประดับตกแต่ง หรือเป็นของกำนัลพิเศษเท่านั้น ทำให้เครื่องถมไม่เป็นที่แพร่หลายอย่างเครื่องเงินหรือเครื่องทอง  ซึ่งส่วนใหญ่ทำเป็นเครื่องตกแต่งประดับกายที่ไม่ใช่ชิ้นงานขนาดใหญ่ คนทั่วไปจึงสามารถซื้อหาไว้ใช้ได้ ส่งผลให้เครื่องรูปพรรณเงินและเครื่องทองเป็นที่แพร่หลายและได้รับความนิยมสูง ต่างจากการทำเครื่องถมที่นับวันมีผู้ที่รู้จักน้อยลง ส่งผลให้มีการทำน้อยลงด้วย ช่างฝีมือจึงพากันหันไปทำเครื่องเงินและเครื่องทองแทน ทำให้ปัจจุบันมีช่างถมที่ยังทำเครื่องถมเหลืออยู่จำนวนน้อย

แม้ปัจจุบันในประเทศไทยจะยังมีสถาบันที่มีการสอนวิชาการทำเครื่องถมอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชและที่กรุงเทพฯ ดังได้กล่าวแล้ว แต่วิชาการทำเครื่องถมเป็นเพียงวิชาหนึ่งในหลักสูตรโลหะพรรณและอัญมณีเท่านั้น อีกทั้งผู้จบการศึกษาจากสถาบันทั้ง ๒ แห่ง ในแต่ละปีมีจำนวนประมาณ ๑๐๐ คน และส่วนใหญ่เมื่อจบการศึกษาก็มิได้ใช้วิชาที่เรียนมาไปประกอบอาชีพการทำเครื่องถม แต่กลับไปประกอบอาชีพอื่น เช่น ช่างเงิน ช่างทอง หรือการออกแบบเครื่องประดับและอัญมณี  ช่างถมที่ยังคงมีทำกันอยู่บ้างทั้งในกรุงเทพฯ และที่จังหวัดนครศรีธรรมราชจึงเป็นช่างที่เคยทำงานเครื่องถมมาแต่ดั้งเดิม


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/85225246970852__3614_26.gif)
ผลิตภัณฑ์เครื่องถมเงิน และเครื่องถมทอง ที่เป็นภาชนะและเครื่องใช้แบบต่างๆ

การผลิตเครื่องถมไทยเคยรุ่งเรืองมาสมัยหนึ่ง ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๓ – ๒๕๓๓ มีการส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศปีละหลายสิบล้านบาท ทั้งนี้ ก็ด้วยได้รับการส่งเสริมและสนับสนุนจากทางราชการร่วมกับสมาคมเครื่องถมไทย ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สมาคมเครื่องถมและเครื่องเงินไทยในพระบรมราชูปถัมภ์” ผลักดันให้มีการประกาศควบคุมมาตรฐานเครื่องเงินไทย แต่ต่อมาทางราชการได้ยกเลิกประกาศควบคุมมาตรฐานดังกล่าว ทำให้มาตรฐานเครื่องถมไทยต้องตกต่ำลงอีกครั้งหนึ่ง เพราะการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ต่างชาติจึงเริ่มเสื่อมความนิยมเครื่องถมไทย และไม่มีการสั่งซื้อเครื่องถมไทยไปจำหน่ายยังต่างประเทศดังเช่นแต่ก่อน

อย่างไรก็ตามห้างไทยนครซึ่งเป็นรายแรกที่ทำการบุกเบิกตลาดเครื่องถมไทยในต่างประเทศ และยังคงดำเนินกิจการทำเครื่องถมจำหน่ายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ จนถึงปัจจุบัน โดยผลิตเครื่องถมทั้งที่เป็นถมนคร ถมตะทอง และถมทอง จำหน่ายที่ร้าน รวมทั้งรับทำตามที่มีผู้สั่งทำ  ผลิตภัณฑ์ที่ห้างไทยนครทำส่วนใหญ่เป็นประเภทภาชนะเครื่องใช้ เช่น ถ้วยรางวัล กรอบรูป กระเป๋าถือสุภาพสตรี ขันน้ำ พานรอง กาน้ำ ถาด ชุดเครื่องโต๊ะอาหาร ได้แก่ ทัพพี มีด ช้อน ที่รองแก้วน้ำ และมีเครื่องประดับบ้าง เช่น กำไล สร้อยคอ ผลิตภัณฑ์ที่ทำขึ้นเป็นการจำหน่ายที่หน้าร้านเท่านั้น  เช่นเดียวกับร้านหิรัญกรซึ่งทำกิจการเครื่องถมหลังจากห้างไทยนครไม่นาน  โดยปัจจุบันเน้นการทำเครื่องเงินเครื่องทองและเครื่องประดับอัญมณี แต่ยังคงรับทำเครื่องถมที่มีการสั่งทำตามรูปแบบของผู้สั่ง จึงกล่าวได้ว่า ในกรุงเทพฯ มีเพียง ๒ ร้านดังกล่าวที่ทำเครื่องถมจำหน่ายอยู่ อย่างไรก็ดีมีช่างถมที่เป็นครูหรือเคยเป็นครูสอนวิชาเครื่องถมจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฯ วิทยาเขตเพาะช่างและช่างที่เคยทำงานให้ห้างไทยนครและร้านหิรัญกรรับงานอยู่ตามบ้านอีกจำนวนหนึ่ง ผลิตงานตามที่มีผู้มาสั่งทำหรือผลิตงานชิ้นเล็กๆ จำพวกเครื่องประดับกาย ส่งจำหน่ายตามร้านค้าของที่ระลึก ส่วนที่จังหวัดนครศรีธรรมราชก็เช่นเดียวกัน จำนวนร้านค้าที่ทำเครื่องถมมีจำนวนลดน้อยลงอย่างมาก และส่วนใหญ่ทำกันเฉพาะที่อำเภอเมืองฯ เท่านั้น  ผลิตภัณฑ์ที่ทำเป็นพวกเครื่องประดับ หรือของที่ระลึก เช่น กำไล แหวน สร้อยคอ ต่างหู สำหรับจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ

เป็นที่น่ายินดีว่าในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อมีการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ หรือในการต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ของที่จะพระราชทานแก่พระประมุขหรือบุคคลสำคัญๆ ของประเทศนั้นๆ มักเป็นเครื่องถม ดังเช่นที่คราวเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๓ และได้เสด็จฯ เยี่ยมโรงพยาบาลที่พระองค์ประสูติ ณ เมืองบอสตัน ได้พระราชทานหีบบุหรี่ถมทองแก่นายแพทย์ผู้ถวายพระประสูติการและพระราชทานตลับแป้งถมทองแก่พยาบาลที่มีส่วนร่วมในการถวายพระประสูติการ จำนวน ๔ คน ด้วย  เครื่องถมที่พระราชทานนั้นได้โปรดเกล้าฯ ให้ห้างไทยนครจัดทำตามแบบที่พระราชทานให้

อนึ่ง เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้จัดตั้งมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และทรงตั้งโรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา โดยรับลูกหลานชาวนาชาวไร่มารับการฝึก ได้โปรดเกล้าฯ  ให้จัดสอนงานศิลปหัตถกรรมแขนงต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๒๓ แผนก ซึ่งมีแผนกถมทองรวมอยู่ด้วย  โดยทรงจัดหาครูมาสอนให้แก่นักเรียน งานถมชิ้นสำคัญๆ ที่เป็นงานถมล้วนๆ เช่น พระกรัณฑ์ถมตะทอง  กล่องพระศรีถมทอง  ขันน้ำพานรอง  ตลับรูปผลไม้ต่างๆ กระเป๋าราตรีแบบต่างๆ  นอกจากนี้ก็เป็นงานที่ทำร่วมกับแผนกอื่น เช่น เป็นส่วนประกอบเพื่อตกแต่งงานสานกระเป๋าย่านลิเภา  ปัจจุบันโรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา เป็นแหล่งสร้างงานเครื่องถมที่เป็นงานศิลปวัตถุของชาติ  ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชประสงค์ให้โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา สร้างผลงานเข้าพิพิธภัณฑ์เพื่อเป็นสมบัติของแผ่นดิน โดยมีการจัดแสดงให้ประชาชนได้ชมในโอกาสต่างๆ  ที่โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดาผลิตขึ้น จึงไม่มีการจำหน่ายหรือรับสั่งทำ เว้นแต่เฉพาะใน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่ง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๕ รอบ และ พ.ศ. ๒๕๔๗  ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำผลิตภัณฑ์จากโรงฝึกศิลปาชีพ สวนจิตรลดา ออกประมูลนำเงินเข้ามูลนิธิฯ สำหรับของพระราชทานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จะพระราชทานแก่พระประมุขหรือบุคคลสำคัญของประเทศต่างๆ หรือพระราชอาคันตุกะชาวต่างประเทศ จะเป็นของที่ทรงซื้อจากโรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา



*ผู้เรียบเรียง  : นายธีรชัย จันทรังษี และ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ไพฑูรย์  พงศะบุตร