[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะจากพระอาจารย์ => ข้อความที่เริ่มโดย: เงาฝัน ที่ 23 สิงหาคม 2553 14:00:09



หัวข้อ: ว.วชิรเมธี ผู้เบิกบานในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 สิงหาคม 2553 14:00:09


(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/04/20/images/news_img_35255_1.jpg)

ว.วชิรเมธี ผู้เบิกบานในธรรมะ
โดย : วลัยพร ทิพยศุภลักษณ์

ธรรมมาสน์ของ "ท่าน ว." ไม่ได้อยู่แค่ศาลาวัด แต่ยังรวมถึงพ็อคเก็ตบุ๊ค การ์ตูน เว็บไซต์ เอสเอ็มเอส นอกเหนือจากคิวเทศน์ตามงานที่ยาวเหยียดทั้งปี

 พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือที่มักเรียกกันติดปากว่า ว. วชิรเมธี พระนักคิด นักเขียนธรรมะที่เห็นธรรมะในมุมซึ่ง “มีชีวิตชีวาที่สุด” “โรแมนติคที่สุด” “เรียบง่ายที่สุด” เลือกเผยแผ่ธรรมะเชิงรุกในรูปแบบ "อินเทรนด์"

  ธรรมะของท่าน ว. ไม่ยิดติดกับคำบาลี แต่อาศัยสำบัดสำนวนเล่นคำเล่นโวหาร ฟังแล้วฮา แต่ได้คิดตาม กลุ่มผู้ฟังธรรมของท่านจึงครอบคลุมทุกช่วยอายุ และทุกเพศ เทคนิคง่ายๆ ของพระนักเทศน์รุ่นใหม่คือ ทำความรู้ให้เป็นเรื่องสนุก ทำความสนุกให้เป็นเรื่องมีสาระ ด้วยเหตุนี้ ว.วชิรเมธี จึงกลายเป็นพระดัง เป็น “พรีเซ็นเตอร์ธรรมะ” แห่งยุค

 ถึงจะมีชื่อเสียง ข้าวตอก ดอกไม้โปรยปรายเข้ามาตามรายทาง ผ่านการเป็นทั้ง Nobody และ Somebody หรือถึงขนาดขึ้นปกหนังสือ a day ฉบับพิเศษเมื่อต้นปี ท่านว. บอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลให้ว่อกแว่ก  ตราบที่มีเป้าหมาย "ไปหยิบเพชรที่ยอดเขา" !

 เหตุผลที่ว.วชิรเมธี เลือกวิธีนำเสนอธรรมะแบบสนุก เข้าใจง่าย และพยายามแทรกธรรมะไปทุกช่องทาง แบบ "กิเลสไหลมาทางไหน ธรรมะจะไปดักทางนั้น" ก็เพราะวัดอยู่ในภาวะที่มีคู่แข่งเยอะ และคู่แข่งเหล่านั้นก็เชิญชวนล่อใจสารพัด

 ถ้าวัดหยุดนิ่ง คนก็ยิ่งไม่เข้า   ยิ่งกว่านั้น ธรรมะที่แท้จริงเป็นเรื่องง่ายใกล้ตัว แต่ที่เป็นอยู่ กลับถูกประดิษฐ์ประดอยด้วยพิธีกรรม ถูกทำให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์จนคนถอยหนี

 "เมืองไทยทำให้ศาสนายากเพราะเราคิดว่าศาสนามันศักดิ์สิทธิ์ คุณถอดความศักดิ์สิทธิ์ออกจากพุทธศาสนาสิ แล้วคุณจะได้เห็นอีกโฉมหนึ่งของพุทธศาสนาที่มีชีวิตชีวาที่สุด พระพุทธเจ้าทรงเป็นสุดยอดคนที่มีชีวิตชีวา พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่เฟรนด์ลี่ที่สุด โรแมนติคที่สุด เป็นกวียิ่งกว่ากวี เป็นนักปราชญ์ยิ่งกว่านักปราชญ์ เป็นนักนิยมธรรมชาติยิ่งกว่านักธรรมชาตินิยม

 ท่าน ว. มองความศักดิ์สิทธิ์เป็นแค่ผิวเปลือก มองความขลังเป็นเรื่องเชิงวัฒนธรรมถิ่น เมื่อลอกคราบปอกเปลือกจะพบกับเนื้อในที่พิสุทธิ์ของพุทธศาสนาจะได้เห็นเนื้อแท้ของพุทธศาสนาที่มีชีวิตชีวาที่สุด ซึ่งนั่นคือพุทธศาสนาในมิติที่ ว.วชิรเมธี ค้นพบ

 ต้นแบบการถ่ายทอดธรรมะให้เข้าใจง่าย เข้าถึงใจคนฟังของท่านว. คือ "พระพุทธองค์" เพราะทรงเทศน์กษัตริย์ กษัตริย์ฟังก็เข้าใจ เทศน์เศรษฐี เศรษฐีฟังก็เข้าใจ เทศน์คนเลี้ยงโค คนเลี้ยงโคฟังก็บรรลุ  “เพราะพระพุทธองค์ท่านเข้าใกล้ เข้าใจ เข้าถึง" ท่านว. ยกตัวอย่างให้เห็น


หัวข้อ: Re: ว.วชิรเมธี ผู้เบิกบานในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 สิงหาคม 2553 14:11:02


(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/04/20/images/news_img_35255_2.jpg)

ท่านว. ซึ่งบวชเพราะศรัทธาที่ซึมซับจากการตามแม่ไปวัดทุกวันพระ เคยวางแผนแค่เมื่อเรียนจบจะใช้ชีวิตเป็นนักเขียนหนังสือธรรมะรูปหนึ่งเงียบๆ เป็นคนเบื้องหลัง แต่หนังสือธรรมะที่มีเนื้อหาเข้าถึงคนสมัยใหม่ได้รับการตอบรับในวงกว้าง จนคนอ่านอยากเจอพระนักเขียน เลยนิมนต์ไปเทศน์ เมื่อเทศน์ก็มีคนชอบฟัง จนได้ออกรายการโทรทัศน์ นำสู่การทำรายการทีวี วิทยุ เวบไซต์ ได้บินไปสอนวิปัสนากรรมฐานเมืองนอก มีงานเขียนเผยแพร่ระดับนานาชาติ หนังสือบางเล่มแปล 7 ภาษาแล้ว มีกระทั่งภาษาเกาหลี

 แน่นอนที่ตามมา คือ ชื่อเสียง เรทติ้งความนิยมไม่แพ้เซเล็บคนดัง แต่ท่านว. บอกว่า ที่ทำงานอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ หากเพราะตระหนักรู้ว่า ชาวบ้านเป็นผู้ให้ข้าวให้น้ำ ฉะนั้นก็ต้องทำงานให้หนัก ให้คุ้มกับข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด

 "ตรรกะการทำงานมีง่ายๆ เลย ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียงเกียรติคุณ ยศ ช้าง ขุนนาง พระ ตรรกะมีอยู่ว่า ถ้าเรายังต้องฝากท้องไว้กับชาวบ้าน เราต้องทำงาน เพราะคุณฝากชีวิตไว้กับเขา คุณต้องทำงานให้เขา คุณจะฉันข้าวเขา แล้วคุณจะนอนเฉยได้ไง”

 ส่วนชื่อเสียงเป็นเพียง "ของแถม" ท่านว. บอกว่ามีก็ได้ ไม่มีก็ได้ เพราะไม่จำเป็นสำหรับชีวิต แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ และเลือกนำชื่อเสียงมาใช้ประโยชน์ในการทำงาน

 "ชื่อเสียงเป็นเหมือนสายลม เย็นสบายนะ สัมผัสได้นะ แต่ไม่มีตัวตน อาตมาบอกตัวเองให้ทำตัวเหมือนตาข่ายดักลม ไม่ได้ดักลมเพื่อประโยชน์ตนเอง เราแค่ใช้ประโยชน์จากชื่อเสียง แต่ไม่ปล่อยให้ชื่อเสียงครอบงำ"

 นั่นก็เพราะเมื่อชีวิต “เต็ม” จากข้างในแล้ว เครื่องประดับข้างนอกย่อมไม่ใช่สิ่งจำเป็น ความสุขของท่านว. คือการมีชีวิตที่จัดการได้ ขณะนี้ถือว่ามีชีวิตอย่างที่พอใจแล้ว

 “ในชีวิตนี้ของอาตมาเคยมีความฝัน หนึ่ง ขอมีพื้นที่เล็กๆ ที่อาตมาสามารถบริหารจัดการได้ สอง ขอให้ได้ทำงานที่ตัวเองรัก สาม ขอให้มีอิสรภาพในการใช้ปัญญา และสี่ขอให้สุขภาพดี พรสี่ประการนี้อาตมาขอให้ตัวเอง และโชคดีที่อาตมาภาพได้มาทั้งหมด"

 เพราะฉะนั้นชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ว.วชิรเมธี บอกว่ามีความสุขแล้ว เป็นที่พอใจมากที่สุดแล้ว จะเอาชื่อเสียง เงินทอง ยศช้างนางฟ้า มาพอกชีวิตอีกทำไม

 "อาตมาคิดว่าเป้าหมายของอาตมา คือ ไปที่ยอดเขาหยิบเพชร ต่อให้ข้างทางมีตะกั่ว มีทองเค มีเพชร มีพลอย มีเงิน มีข้าวตอก ดอกไม้ มีอำนาจราชศักดิ์มากองกันมากมาย แต่ถ้าชัดเจน ในเป้าหมาย สิ่งเหล่านี้ไม่มีอิทธิพลต่ออาตมา"

 สำหรับคนทั่วไปอาจหลงใหลไปกับ ลาภ ยศ ชื่อเสียง บารมี ต่างจาก ว.วิชรเมธี สิ่งเหล่านี้ไม่มีผล ไม่เคยเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นสรณะ แต่เอามาสร้างประโยชน์

 ปฏิภาณการพูดที่ฉับไว คำพูดที่ไหลพรั่งพรูซ่อนความแหลมคม ท่านว. บอกว่า ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา แต่เกิดจากการพัฒนาทั้งสิ้น "ทุกความสำเร็จล้วนมีที่มาเสมอ โลกนี้ไม่มีอะไรง่าย" กว่าจะหลอมมาเป็น ว.วชิรเมธี ทั้งหมดล้วนมาจากการฝึกปฏิบัติกรรมฐานตั้งแต่เป็นสามเณรน้อย ออกปักกลดอยู่ดงพญาเย็นเป็นเดือน ร่ำเรียนทางธรรมจนได้เปรียญเก้า เรียนทางโลกจนจบปริญญาตรี-โท ทำให้ท่านเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต ในเชิงลึก

 คุณสมบัติบรรยายธรรมฟังง่าย ได้แง่คิด มีติดปลายนวมเรื่องความสนุก ส่วนหนึ่งเป็นดีเอ็นเอที่ได้มาจากโยมพ่อและโยมแม่ โดยโยมแม่ถือเป็นนักเล่าข่าวประจำหมู่บ้าน ขณะที่โยมพ่อเป็นนักเล่านิทานที่มีจินตนาการไม่สิ้นสุด

 โยมแม่ได้ชื่อว่าเป็นสำนักข่าวหัวเขียวประจำหมู่บ้าน ถ้าแม่ฟังข่าวสักหน่อยนะ แม่จะเล่าข่าวใส่สีตีไข่รู้กันทั้งหมู่บ้าน ส่วนพ่อเป็นนักเล่านิทานตัวยง ความที่พ่อไม่รู้หนังสือ นิทานจึงมาจากจิตที่บริสุทธิ์ เวลาอาตมาไปเลี้ยงควาย พ่อเล่านิทานเป็นร้อยๆ เรื่อง และนิทานของพ่อไม่เคยซ้ำ เพราะอะไร เพราะพ่ออ่านหนังสือไม่ออก นิทานของพ่อจึงออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์ของพ่อ


หัวข้อ: Re: ว.วชิรเมธี ผู้เบิกบานในธรรมะ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 23 สิงหาคม 2553 14:28:45


(http://www.bangkokbiznews.com/home/media/2009/04/20/images/news_img_35255_3.jpg)

การเทศนาของท่านว. จึงไม่เหมือกนับการนั่งธรรมเทศน์ แต่อาศัยเทคนิค "เล่าสู่กันฟัง" ทว่า ในเรื่องเล่ามีเรื่องราวที่ร้อยเรียงอยู่ในสมอง ผลจากการอ่านเป็นหนอนหนังสือ และประสบการณ์บ่มเพาะจากกรรมฐาน ทำให้เรื่องเล่า เรื่องราว เรื่องจริง ผสมกันออกมาเป็นธรรมะอินเทรนด์อย่างที่ได้เห็น

 แต่ละปี ท่าน ว. จะประกาศ "วาระแห่งปี" ให้ตัวเองว่าจะต้องพัฒนาด้านใด เช่น ปีที่แล้วเป็นปีแห่งภาษาอังกฤษ ปีนี้เป็นปีอ่านพระไตรปิฎก หรือปีหน้าเป็นปีสมาธิภาวนา

 "อาตมาเชื่อมั่นว่ามีดที่ลับเสมอจึงคม ศักยภาพที่เราฝึกเสมอจึงพร้อม ฉะนั้นทุกๆ ปีจะตั้งเป้าว่าจะเพิ่มเติมศักยภาพในด้านไหน เช่นปีนี้ประกาศวาระแห่งชาติของอาตมาว่าจะกลับไปอ่านพระไตรปิฎกอีกรอบ ภาษาบาลีสี่สิบห้าเล่ม ไทยสี่สิบห้าเล่มตลอดพรรษา

 เมื่อสามารถสื่อธรรมะได้รอบรู้อินเทรนด์ ท่านว. จึงกลายเป็นพระที่มีนิมนต์เข้ามาบางวันเป็นร้อยงาน และคิวนัดหมายถ้าไม่สกรีนก็จะยาวไปถึงมิถุนายนปีหน้าแล้ว แต่ถึงจะทำงานหนัก ท่านว. บอกว่า อย่างไรก็ต้องมีเวลาส่วนตัวให้ได้เขียนต้นฉบับ ได้อ่านหนังสือเล่มโปรด ได้ทำสมาธิภาวนา เพราะถือคติ "จะโกอินเตอร์ อินเนอร์ต้องดี"

 
 โดยเฉพาะ "งานในใจ" เป็นงานแรกที่ต้องทำ นั่นคือ การฝึกวิปัสนากรรมฐานและที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย คือการมีสติในทุกความเคลื่อนไหว

 ท่านว. บอกว่า นี่คือ การปฏิบัติธรรมอย่างง่ายที่คนทั่วไปสามารถนำไปใช้ได้ "การปฏิบัติธรรมที่แท้อยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ทุกลมหายใจเข้าออก ทุกการเคลื่อนไหว ทุกครั้งที่คิด ที่พูด ที่ทำ ที่ขยับ ถ้าเราเติมสติ คือการปฏิบัติธรรม

 ถ้าคุณทำอะไรแล้วเติมการตระหนักรู้เข้าไป คุณกำลังอยู่ในโลกของการปฏิบัติธรรมเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมที่แท้ ต้นทุนต่ำมาก แต่ความสุขสูงมาก"

 ท่านว. อธิบายว่า ความสุขมีหลายระดับ ความสุขจากการมี เช่น มีรถ มีบ้าน มีเงิน มีทอง มีอำนาจ ราชศักดิ์ ก็เป็นความสุข ความสุขจากการเป็นนาย เป็นซีอีโอ ได้เป็นอย่างที่ใฝ่ฝัน ได้เป็นคนที่มีใครๆ เอ่ยอ้างถึง ได้เป็น Somebody ก็มีความสุข ความสุขจากการมีปัญญา เช่น ค้นพบสัจธรรม ได้อ่านหนังสือเกิดความรู้ก็เป็นความสุข

 ความสุขจากการมีความดีในหัวใจ ก่อนทำดี หลังทำความดี รู้สึกภาคภูมิใจ ก็มีความสุข  ความสุขจากการมีชีวิตเรียบง่าย สงบงาม ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความสุข  ความสุขจากการเป็นอิสระจากความอยาก ก็เป็นความสุข  แต่นั่นคือ ความสุขของคนส่วนใหญ่ในโลกซึ่งเป็นการสนองความอยาก และนั่นคือ ปัจจุบันอันแสนสุข

 "ยิ่งเราสนองความอยาก เมล็ดพันธุ์แห่งความอยากยิ่งผลิบานมากขึ้น คุณตกเป็นทาสความอยากเรียบร้อยแล้ว ยิ่งสนอง จะยิ่งอยากมากขึ้น

 ว.วชิรเมธีฝากแง่คิดสำหรับปีใหม่ไทยว่า การกระทำทุกอย่างหากถูกควบคุมกำกับด้วยสติ หากทำด้วยสติ ความสุขย่อมผลิบาน 



ที่มา.... นสพ.กรุงเทพธุรกิจ
 (:88:)  http://www.tamdee.net/main/read.php?tid=907 (http://www.tamdee.net/main/read.php?tid=907)