[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => ประสบการณ์ ผี ๆ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 02 กรกฎาคม 2556 13:32:45



หัวข้อ: ประสบการณ์เรื่องผีๆ สำหรับผู้ชื่นชอบเรื่องผีๆ สางๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 02 กรกฎาคม 2556 13:32:45
.
 (:2:)เรื่องผีๆ สางๆ ...  


(http://images.thaiza.com/32/32_20110516143437..jpg)

'คนเก่า' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปกู้ลอบดักปลา

ผมเป็นคนหนองเสือ ธัญบุรีนี่เองครับ เคยเล่าเรื่องสยองขวัญตอนน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีกลาย แม้ว่าไม่โดนหนักเหมือนอีกหลายๆ แห่ง แต่ก็เล่นเอามะม่วงน้ำดอกไม้ทนไม่ไหว ถึงกับล้มตายไปสิบกว่าต้น

พวกคนงานชาวลาวที่มารับจ้างทำไร่หญ้าหลายสิบคน ล้วนแต่คุ้นเคยและสนิทสนมกับผมทั้งนั้น ตกเย็นเลิกงานมักมาชวนให้ไปล้อมวงซดเหล้าเป็นประจำ

อ้อ! คำว่า'ทำไร่หญ้า' อาจจะฟังแปลกๆ สำหรับบางท่าน แต่ถ้าบอกว่า'ทำไร่หญ้าเพื่อแซะเอาไปขายเพื่อปูสนามต่างๆ โดยเฉพาะสนามบ้านจัดสรร' คงจะชัดแจ้งเป็นอันดี ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน

มาว่ากันถึงการดื่มดวดน้ำเมาของบรรดาคนงาน ส่วนใหญ่ก็คือพี่น้องชาวลาวของผม มีพม่าปะปน 3-4 คน ถือว่าเป็นกระสายยาแล้วกัน

คนสูงอายุชอบเหล้าขาว แต่หนุ่มๆ นิยมดวดเบียร์ตามแฟชั่น กับแกล้มหากินกันเองไม่ว่าปู ปลา หอย แม้แต่ตัวตะกวดหรือวรนุชทั้งย่างและยำ พวกโปรดปรานเป็นพิเศษขนาดหายากขึ้นทุกที ไอ้ที่จะวิ่งไล่เอาไม้ฟาดให้มันดิ้นกระแด่วๆ เหมือนสมัยก่อนน่ะไม่มีแล้วครับ

ต้องลงทุนลงแรงซื้อข่ายซื้อลอบมาดักปลา สำหรับเอาไปให้แม่ไอ้หนูช่วยทำกับแกล้มแซบๆ มาทำให้วงเหล้าครึกครื้น มีสีสันขึ้นมา...ขืนล่อเหล้าไร้แกล้มมีหวังเมาตายห่...จริงมั้ยคุณ?

ตอนน้ำท่วมนึกว่าตะกวดมาติดข่าย เฮโลมาช่วยกันยกด้วยความดีอกดีใจ ที่ไหนได้ล่ะกลายเป็นจระเข้ปีศาจ ดิ้นโผงผางจนผงะหน้า ร้องเอะอะโวยวาย บ้างถึงกับก้นจ้ำเบ้า บ้างก็วิ่งตะโพงเหมือนจะเผ่นกลับเวียงจันทน์ท่าเดียว
เลยต้นปีมาหลายเดือน พรรคพวกชักจะลืมเลือนเรื่องผีหลอกกลางวันแสกๆ คราวนั้นไปแล้ว เริ่มวางลอบ (นอน) ตามชายน้ำ หวังว่าจะได้ปลาใหญ่ๆ หรือวรนุชเคราะห์ร้ายมาติดจนกลายเป็นเนื้อย่างจิ้มแจ่ว แกล้มเหล้ากันให้อร่อยปากลิ้น...แหม! นึกถึงแล้วหลายคนบอกว่าน้ำลายข้อยสิไหลแหล่วเด้อ...

ระหว่างนั้นก็หาปู งมหอย แทงปลา สุ่มปลามาแกล้มเหล้า จะได้ไม่ต้องเปลืองเงินไปซื้อเนื้อมาย่างมายำ หรือเข้าร้านสะดวกซื้อ ได้ข้าวเกรียบกุ้งกับถั่วอบเกลือมาแก้ขัดไปพลางๆ

ทำไปทำมาก็เลยพานลืมลอบที่วางไว้ราวสิบวันโดยสิ้นเชิง!

เย็นนั้น บุญจัน-หนุ่มวัยสามสิบนึกขึ้นได้ หมอนี่มาจากท่าเดื่อ เป็นนักเสาะหาของแกล้มตัวยง ร้องว่าป่านนี้คงมีเหยื่อมาติดลอบแน่ๆ เผลอๆ อาจจะอดตายอยู่ในลอบก็เป็นได้...ว่าแล้วก็จ้ำอ้าวออกหน้า พรรคพวกตามหลังกันเป็นพรวน

เมื่อถึงจุดหมาย บุญจันแหวกกอหญ้าบุกสวบๆ ลงไปดูก็ถึงกับยืนตะลึงพรึงเพริด ผมกับพวกที่ตามมา 5-6 คนก็อ้าปากค้างไปตามๆ กัน

ตะกวดหรือวรนุชติดอยู่ในนั้นจริงๆ แต่มันเหลือแต่ซากแล้วครับ ส่งกลิ่นเหม็นสาบสางอวลซ่านอยู่รอบๆ ตัวเรา คิดว่าคงจะตายปุ๊บก็โดนพวกเดียวกันตัวอื่นๆ มารุมทึ้งจนเหลือแต่ซากแบบนี้...พวกเรานึกได้ตอนที่ช้าเกินไปเสียแล้ว

ทันใดนั้นเอง...เหมือนคำสาปนรกจกเปรตบันดาลให้เป็นไป!

ตะกวดที่เหลือแต่ซากกลับโดดดิ้นโผงผางอยู่ในลอบ ท่ามกลางเสียงร้องเฮ้ยๆ กับโฮ้ย...ฮ้าย! ดังระงมไปหมด แดดเหลืองๆ หายลับเข้าไปในกลุ่มเมฆหนาทึบ พวกเรายืนตะลึงพรึงเพริดแข้งขาหนักอึ้งเหมือนถูกถ่วงด้วยท่อนเหล็กจนขยับไม่ขึ้น

อยากจะวิ่งอ้าวไม่คิดชีวิตจากภาพอุบาทว์ แสนจะน่าสยดสยองสุดขีดที่อุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตา แต่ก็ก้าวขาไม่ไหวจริงๆ ครับ

โครม! โครม!

เสียงลอบหักกระเจิง ดังบาดลึกเข้าไปถึงหัวอกหัวใจ ตะกวดจากอเวจีใช้สี่ตีนของมันทั้งกระชากและสะบัดเศษไม้ไผ่กระเด็นไปคนละทิศละทาง ยืดร่างสูงตระหง่านโดยปักหลักด้วยท่อนหาง นัยน์ตาแดงจ้า ลุกโพลงคล้ายเปลวไฟจ้องมองพวกเราเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

'แฮ่! จะกินซากผีของกูเรอะ? แฮ่...'

สิ้นเสียงคำรามจากปากอ้ากว้าง กลิ่นเหม็นเน่าพวยพุ่งมาปะทะหน้า ทำให้ผมแผดร้องสุดเสียง หันกลับได้ก็เผ่นกระเจิง ล้มลุกคลุกคลานโดยมีคนอื่นๆ ตามหลังมาเป็นพรวน สองหูอื้ออึงแต่ยังได้ยินเสียงร้องร่ำคร่ำครวญ...รอด้วย! รอข้อยด้วย...

อย่าหวังเลยครับ ผมโกยอ้าวไม่คิดชีวิต คิดว่าจะเร็วกว่านักวิ่งเหรียญทอง 100 เมตรที่โอลิมปิกคราวนี้ซะด้วยซ้ำ...ผีมากินศพตะกวดแล้วยังสิงสู่อยู่ที่ซากนั้นเฉยเลย! บรื๋อออ....



ที่มา : http://www.khaosod.co.th (http://www.khaosod.co.th) จากคอลัมน์ ขนหัวลุก   โดย ใบหนาด  หนังสือพิมพ์ข่าวสด




หัวข้อ: Re: ประสบการณ์เรื่องผีๆ สำหรับผู้ชื่นชอบเรื่องผีๆ สางๆ
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 02 กรกฎาคม 2556 13:42:37
.

(http://www.khaosod.co.th/view_resizing_images.php?filename=news-photo/khaosod/2013/02/col18080256p1.jpg&width=360&height=360)

"แจน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากสุโขทัยในอดีต


หนูชื่อแจน อายุ 23 แล้วล่ะค่ะ เรียนจบแล้วและได้งานทำในบริษัทแห่งหนึ่งแถวถนนพระราม 2 แจนเป็นคนชอบเรื่องผีมาก และติดตามอ่าน "ขนหัวลุก" มาตั้งแต่เด็กๆ แน่ะ

แจนสะสมหนังสือเรื่องผีไว้มากมายและยังชอบตัดข่าวเรื่องผีๆ ที่นานๆ จะมีสักครั้งเก็บไว้ด้วยค่ะ 

มีอยู่เรื่องหนึ่งแจนประทับใจมากเลย!  มันเป็นข่าวหน้าหนึ่งของน.ส.พ.ข่าวสดเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน แจนอยากเขียนมาเล่าในคอลัมน์ขนหัวลุก...เป็นเรื่องแม่กับลูกที่ถูกฆ่าตายคาบ้านอย่างน่าสงสาร แล้ววิญญาณของทั้งคู่ก็เฮี้ยนมาก ถึงกับทำให้เพื่อนบ้านขวัญผวาขนาดอยู่ไม่ได้กันเลยค่ะ

เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2547 ที่จังหวัดสุโขทัย นางแวว อายุ 48 ปี ถูกผู้ร้ายบุกเข้าไปในบ้าน ฆ่าตายพร้อมกับลูกสาวอายุแค่ 8 ขวบเท่านั้นเอง! ตัวนางแววถูกอีโต้ฟันที่ใบหูและกลางศีรษะเป็นแผลฉกรรจ์ ส่วนลูกสาวก็ถูกฟันที่ศีรษะอย่างรุนแรงจนกะโหลกแยก มันสมองไหลปนกับเลือด  เด็กน้อยคงจะป้องกันตัวเองอย่างสุดฤทธิ์ เพราะที่ข้อมือและหลังมือก็ถูกคมอีโต้ฟาดฟันจนเหวอะ หวะ นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางและนิ้วก้อยห้อยร่องแร่งเกือบหลุดขาด! ขณะเกิดเหตุเป็นตอนกลางคืนค่ะ...

พวกเพื่อนบ้านไม่มีใครสักคนที่ได้ยินเสียงร้อง แต่น่าแปลกมากๆ ที่ครูซึ่งพักอยู่ที่บ้านพักในโรงเรียนศรีอินทราทิตย์กลับได้ยิน ทั้งๆ ที่อยู่ไกลออกมาจากบ้านที่เกิดเหตุสยดสยอง จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่คนร้ายไม่ได้ทิ้งหลักฐานอะไรไว้เลย นอกจากเส้นผมสีดำและสีขาวที่นางแววกำไว้แน่นในมือขวา แสดงว่าเธอสู้จนผมคนร้ายหลุดติดมือออกมา ตำรวจบอกว่าฆาตกรไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์สินของผู้ตาย และพบร่องรอยของการหลบหนีเพราะมีรอยเลือดหยดเป็นทาง  มันหนีออกทางหลังบ้านแล้วเดินเลาะกำแพงของโรงเรียนศรีอินทราทิตย์ออกมาถึงถนนในหมู่บ้าน รอยเลือดนั้นก็หายไป

ตำรวจสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นจุดที่คนร้ายจอดรถทิ้งไว้ และขับหนีไปเลยก็ได้!

หลังจากนั้นไม่นาน สองแม่ลูกก็กลับมา...เพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงนางแววและลูกสาวพูดคุยกันดังแว่วๆ ออกมาจากบ้านที่ไม่มีคนอยู่เลย เล่นเอาอกสั่นขวัญแขวน ขนลุกขนพองไปตามๆ กัน  ที่น่าสยองกว่านั้นก็คือ...ถ้าใครไม่รู้ก็นึกว่าทั้งสองยังไม่ตาย แถมกำลังมีความสุขอีกต่างหาก เพราะเป็นเสียงพูดคุยอย่างสนุกสนาน สลับกับเสียงหัวเราะ เสียงเข้าครัวทำอาหาร เสียงเก็บผ้า เสียงสลัดผ้าห่มพึ่บพั่บ... แต่พอตกกลางคืน กลับมีเสียงหวีดร้อง ขอความช่วยเหลือโหยหวน ดังบาดลึกลงไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน! พวกเพื่อนบ้านที่รายล้อมอยู่ทุกหลังคาเรือนต้องตกอยู่ในอาการสะดุ้งผวา กลัวผีกันแทบขาดใจ พอตกเย็นก็พากันปิดบ้าน เผ่นแน่บไปนอนที่อื่นกันหมด  ลูกชายของนางแววซึ่งตอนแม่และน้องถูกฆ่าตายนั้น ตัวเองนับว่าโชคดีมากเพราะไม่ได้อยู่บ้าน ไม่งั้นคงไม่รอดจากเงื้อมมือของฆาตกรไปได้หรอกค่ะ!

เขาบอกกับนักข่าวว่าถ้าคดีจบสิ้นลงเมื่อไรก็รื้อบ้านเอาไม้ไปถวายวัด หรืออาจจะขายแล้วเอาเงินมาทำบุญให้แม่กับน้อง...แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ ว่าเจ้าหน้าที่จะจับตัวนักฆ่าจอมโหดที่ทำได้แม้แต่กับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มนุษย์เราไม่น่าจะโหดร้ายกับเพื่อนมนุษย์ตาดำๆ ด้วยกันถึงขนาดนี้เลยนะคะ เข้าตำราที่เขาว่า "รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ" จริงๆ ไม่ทราบว่าสองแม่ลูก ผู้เคราะห์ร้ายสุดขีดไปทำอะไรให้ ถึงได้ตามฆ่าฟันทารุณปานนั้น? เชื่อว่าบาปกรรมที่ทำกับสองแม่ลูกไว้ คงจะติดตามหลอกหลอนจิตสำนึกไปตลอดกาลแน่ๆ แจนทั้งหดหู่และประทับใจเรื่องนี้มากเลยค่ะ 

มีคนรู้เห็นในความเฮี้ยนกันหลายคน แสดงว่าวิญญาณมีจริง และแจนก็สงสารสองแม่ลูกคู่นี้มาก ขอให้พวกเธอไปสู่สุคติ และชาติต่อๆ ไปก็ไม่ต้องตายอย่างน่าสยดสยอง น่าสะเทือนใจเหมือนอย่างชาตินี้อีกนะคะ!



ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับประจำวันที่ 08 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556