[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน => ข้อความที่เริ่มโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 08 กันยายน 2553 17:42:51



หัวข้อ: เมื่อยินดี - พอใจ
เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 08 กันยายน 2553 17:42:51
(http://www.taklong.com/lomo/p/122824P712011-9.jpg)

http://www.fungdham.com/download/song/allhits/23.wma


......ถ่ายภาพประกอบเนื้อหาโดย(บางครั้ง)ภาพจากสถานที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง......


ทำจิตให้ยินดีในกุศล ไม่คิดว่าเป็นลาภในอกุศล เรื่องพระวังคีสเถระเมื่อบวชแล้วได้ไม่นาน วังคีสภิกขุอยู่ที่อัคคาฬวเจดีย์ เขตเมืองอาฬวี กับพระนิโครธกัปปะผู้เป็น อุปัชฌาย์ เพราะยังเป็นภิกษุใหม่เพิ่งบวช จึงให้คอยดูแลเฝ้าวิหารไว้
มีอยู่วันหนึ่งสตรีสาวหลายคนล้วนแต่งกายประดับประดาเสียงดงาม ได้พากันเข้าไปในวิหาร ภิกษุวังคีสะ เห็นสตรีเหล่านั้นแล้ว ก็เกิดความกระสันขึ้น มีความกำหนัดยินดีรบกวนจิตใจ จึงบังเกิด ความสลดใจด้วยคิดว่า.....................................
ไม่ใช่ลาภของเราหนอ เราได้ชั่วเสียแล้วหนอ ที่เกิดความกำหนัดรบกวนจิต ก็แล้วเราจะมัว รอใคร มาช่วยบรรเทากิเลสให้เล่า อย่ากระนั้นเลย เราควรบรรเทาความกำหนัดเสีย ทำให้จิต ยินดีในกุศล เกิดขึ้นแก่ตน ด้วยตนเองเถิด
ภิกษุวังคีสะจึงตั้งจิตเจริญวิปัสสนา{การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง}สอนตนเองว่า...............................
ยอดนักแม่นธนูฝีมือเลิศ มีใจแกล้วกล้ามั่นคง สามารถยิงลูกศรออกไป ทำให้ศัตรูตั้งพันหนี กระจัด กระจายไปได้ ฉันใด
แม้สตรีมากยิ่งกว่าพันจะมา ก็ไม่อาจจะเบียดเบียนเราได้ฉันนั้น เพราะเราเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ในธรรม เป็นผู้ออกบวชแล้ว เป็นผู้ไม่มีเหย้าเรือนแล้ว
มีใจยินดีไปในทางสู่พระนิพพานภิกษุควร ละการครุ่นคิดไปในกาม ละความยินดีในภรรยาและบุตร ละการครองเรือน โดยประการทั้งปวง ไม่สร้างตัณหากิเลสทะยานอยาก ดังป่าชัฏในที่ไหน ๆ อีกเพราะทุกสิ่ง ในโลกเป็นของไม่เที่ยง ล้วนต้องทรุดโทรมแตกทำลายไปทั้งสิ้น ผู้ที่รู้แจ้งแทงตลอดอย่างนี้ได้ ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นปุถุชน(คนกิเลส หนา)ย่อมติดหลง หมกมุ่นพัวพันอยู่กับรูปที่ได้เห็น เสียงที่ได้ฟัง กลิ่นที่ได้ดม รสที่ได้ลิ้ม และสัมผัส
ที่ได้แตะต้อง แต่ภิกษุควรเป็นผู้ไม่หวั่นไหว กำจัดความพอใจในกามคุณ ๕ นั้นเสีย เพราะผู้ไม่ติดอยู่ในกามคุณ ๕ บัณฑิตเรียกว่า มุนี ผู้มีปัญญารู้แจ้งภิกษุ ผู้เป็นบัณฑิต มีใจมั่นคงได้แล้ว เป็นผู้ไม่ลวงโลก มีปัญญาแก่กล้า ไม่ทะเยอทะยาน ดับกิเลส ได้สิ้นเกลี้ยง ย่อมรอคอยเวลาเฉพาะปรินิพพานเท่านั้นภิกษุวังคีสะจึงบรรเทาความ กำหนัดได้ด้วยตนเองเช่นนี้ กระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง มีโอกาสเป็น ปัจฉาสมณะ พระผู้ติดตามหลังของพระอานนท์เถระ จึงถามถึงวิธีดับราคะ พระเถระ ได้สอนว่า......................................
จิตเร่าร้อนถึงกามราคะ ก็เพราะความสำคัญผิด สัญญาวิปลาส จิตกำหนดรู้คลาดเคลื่อนจากความจริงฉะนั้นท่านจงละเว้นนิมิต ต้นเหตุที่สวยงามเสีย เพราะนิมิตนั้นเป็นที่ตั้ง แห่งราคะ จงเห็นสังขารทั้งหลายเป็นของแปรปรวน - เป็นทุกข์ - ไม่ใช่ของตน จงดับราคะ อันแรงกล้า อย่าให้ถูก ราคะเผาผลาญบ่อย จงเจริญจิตในอสุภกัมมัฏฐาน พิจารณา เห็นสังขาร เป็นของสกปรกน่ารังเกียจอบรมจิตให้ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวด้วยดี จงมีกาย{คตาสติ}สติในการ พิจารณากายเพื่อลดละกิเลส เป็นผู้มากด้วยความเบื่อหน่ายในกาม แล้วที่สุดจงถอนอนุสัย กิเลสอย่างละเอียดที่แฝงตัวนอนเนื่อง อยู่ในสันดาน คือ มานะ ความถือตัวเสียให้สิ้น เพราะการรู้เท่าทันมานะ จะทำให้ท่าน เป็นผู้สงบ ระงับกิเลสได้
เมื่อได้วิธีปฏิบัติแล้ว ภิกษุวังคีสะก็ได้ลดละกามราคะจนเหลือเบาบางลงอย่างรวดเร็ว จึงเกิดปีติ ในมรรคผลของตนยิ่งนัก เพราะเป็นผู้มีไหวพริบปฏิภาณดีนั่นเอง แล้วก็เพราะเหตุดังนี้ จึงทำให้บางครั้ง ก็บังเกิดจิตดูหมิ่นภิกษุทั้งหลายขึ้นมา แต่ก็ด้วยการฝึกฝนและปฏิภาณของตน นั่นแหละ ทำให้ได้สำนึกละอายแก่ใจ มีความคิดอบรมตนว่าไม่เป็นลาภของเราหนอ เราได้ชั่วเสียแล้วหนอ ที่ได้ดูหมิ่นเพื่อนภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ด้วยไหวพริบ ปฏิภาณของเราฉะนั้น จงละทิ้งมานะ ความถือตัวเสีย ละทิ้งทางแห่งความเย่อหยิ่งให้หมดสิ้นเพราะผู้ลบหลู่ใคร ๆ ให้มัวหมองจะต้องได้รับความเดือดร้อนตลอดกาลนาน จะไปตกนรก เร่าร้อนใจของคน กิเลสหนา ต้องเศร้าโศก อยู่เพราะความทะนงตนแต่ถ้าหากปฏิบัติธรรมถูกตรง
ชนะกิเลส ด้วยมรรค ข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับทุกข์ได้คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ย่อมไม่เศร้าโศก จะได้รับ เกียรติคุณ และความสุข บัณฑิตทั้งหลาย จึงเรียกผู้กระทำได้เช่นนี้ว่า ผู้เห็นธรรมเราไม่ควรมีกิเลสตรึงใจ ในโลกนี้ ควรมีแต่ความเพียรให้ถูกตรง ละนิวรณ์กิเลสกั้นจิตไม่ให้ได้ดี แล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ ละมานะไม่ให้มีเหลือ เป็นผู้สงบระงับกิเลส ความรู้แจ้ง ด้วยวิชชาก็เพราะความละอายใจในการดูหมิ่นภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุวังคีสะจึงพากเพียรบำเพ็ญตน ด้วยตนเอง จนหลุดพ้นมานะทั้งปวงได้ สามารถบรรลุธรรมสำเร็จ เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งแล้ว


ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ทำไม่ ว่าในวันใด ๆ ขอส่งผลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณพ่อ - คุณแม่และญาติพี่น้องพร้อมทั้งตัวข้าพเจ้ารวมถึงได้รับบุญกุศลในการที่ ข้าพเจ้าได้เผยแพร่พระธรรม ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้กับญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว มีปู่ย่าตายายทั้งหลายได้มารับผลบุญนี้ด้วย หากผลบุญที่ข้าพเจ้าส่งไปไม่ถึงญาติข้าพเจ้าอาจอยู่ในที่ ๆ ไม่พร้อมที่จะรับบุญนี้ ข้าพเจ้าขอมอบบุญกุศลนี้ให้กับพยายมราชและขอฝากผลบุญไว้กับพยายมราชช่วยนำ ส่งให้กับญาติของข้าพเจ้าต่อไปด้วยเทอญ

http://forums.212cafe.com/boxser/board-4/topic-42.html (http://forums.212cafe.com/boxser/board-4/topic-42.html)