[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 04 สิงหาคม 2556 10:43:26



หัวข้อ: เปิดตำนาน "คาวบอย" ปืนคืออำนาจ การไล่ล่า การปล้นฆ่ากลางเมือง ไม่ใช่เรื่องแปลก
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 04 สิงหาคม 2556 10:43:26
.

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/hr1667/630.jpg)


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o5/420.jpg)

หลังจากเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในสหรัฐอเมริกา ระหว่างกองทัพของรัฐบาลฝ่ายเหนือกับกองทัพฝ่ายใต้ระหว่าง ค.ศ.1861-1865 เป็นยุคของการบุกเบิกจากดินแดนทางเหนือและฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตกของประเทศ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ซึ่งชาวยุโรปไม่กล้าไปอยู่ เพราะมีแต่ความแห้งแล้งและเป็นถิ่นของคนพื้นเมืองที่ไม่คุ้นเคยกับผู้อพยพชาวยุโรป จนกระทั่ง เมริเวเธอร์ ลิวอิส และ วิลเลียม คล๊าก 2 นักสำรวจประสบความสำเร็จในการออกเดินทางจากฝั่งตะวันออกไปจนถึงชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือ (การสำรวจครั้งนี้เป็นไปตามความประสงค์ของประธานาธิบดี โธมัส เจฟเฟอร์สัน) ในยุคนั้น คนที่มุ่งหน้าไปทางตะวันตกมีสองพวกคือ คนที่ต้องการสร้างเนื้อสร้างตัวและมีโอกาสจับจองที่ดินเป็นของตนเอง กับพวกที่ทำผิดกฎหมายแล้วหนีความผิดไป


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o10/420.jpg)
ยุคสมัยของคาวบอย ปืนคืออำนาจ

หากย้อนไปดูประวัติศาสตร์แล้ว การบุกเบิกที่ว่านั้นเริ่มขึ้นหลังสงครามกลางเมืองในสหรัฐฯ เลยไปจนเข้าช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ยุคนั้นคนอเมริกันเรียกว่า Old West หรือ Wild West และพื้นที่ที่จัดว่ายังเป็นแดนเถื่อนอยู่นั้น ได้แก่ดินแดนซึ่งอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำมิซซิสซิปปีทั้งหมด


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o11/420.jpg)
คนในยุค Wild West ต้องมีปืนไว้ป้องกันตัว

ราว ค.ศ.1867 เมื่อเส้นทางของรางรถไฟขยายตัวสู่ทิศตะวันตกมากขึ้น ทำให้ธุรกิจส่งฝูงวัวจากตอนกลางของประเทศไปเลี้ยงคนในภาคตะวันออกเติบโตตามไปด้วย คนต้อนวัวหรือ “คาวบอย” จึงเป็นที่ต้องการมาก อาชีพนี้แม้จะทำรายได้ดี แต่ก็เป็นอาชีพที่อันตรายมาก เพราะต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลาง ทะเลทรายที่อากาศสุดโหด แถมยังมีความเสี่ยงจากการถูกโจมตีโดยโจรผู้ร้ายและพวกอินเดียนอีก คาวบอยที่เราคุ้นเคยนั้นส่วนใหญ่จะเป็นคนผิวขาว แต่ในความเป็นจริงแล้วคาวบอยมีคนผิวสีด้วย อย่างเช่น คนผิวดำที่มาจากทาส พวกเม็กซิกันที่จะพบมากแถบพื้นที่ที่ติดกับประเทศเม็กซิโก นอกจากนั้นยังมีชาวอินเดียนจำนวนหนึ่งที่ปรับตัวเข้ากับคนผิวขาวได้ แต่เนื่องจากดินแดนตะวันตกในยุคนั้นห่างไกลจากความเจริญและเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ผู้คนที่อพยพเข้าไปทำมาหากินที่นั่นจึงต้องพกปืนเพื่อป้องกันตัว การตัดสินข้อพิพาทต่างๆด้วยปืนถือเป็นเรื่องปกติของคนยุค


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o8/420.jpg)
ชนพื้นเมืองเจ้าของแผ่นดินก็ปะทะกับคาวบอยอยู่บ่อยครั้ง

ตลอดระยะเวลา 40-50 ปีของยุค Wild West มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นั่น จนกลายเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติอเมริกาไปอย่างน่าสนใจ อาทิ  การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย เมื่อ ค.ศ.1848-1855 หลังจาก เจมส์ ดับบลิว มาร์แชล พบทองในแม่น้ำขณะที่กำลังก่อสร้างโรงเลื่อยไม้ของเขา ข่าวการพบทองแพร่ออกไปทั่วประเทศ เมื่อหนังสือพิมพ์ซานฟรานซิสโกนำไปตีพิมพ์ เดิมทีเดียวไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก เพราะไม่คิดว่าเป็นความจริง แต่ไม่นานผู้คนจากทุกทิศจำนวนราวสามแสนคนก็แห่กันไปที่แคลิฟอร์เนียเพื่อหาทอง จากหมู่บ้านเล็กๆที่มีคนอาศัยอยู่เพียง 200 หลังคาเรือน ภายในเวลาเพียง 5-6 ปีการหลั่งไหลของนักขุดทองทำให้ซานฟรานซิสโกเติบโตขึ้นกลายเป็นเมืองใหญ่ มีการตัดถนน สร้างบ้านพัก โบสถ์และโรงเรียนขึ้นจำนวนมาก และแบ่งแคลิฟอร์เนียออกมาเป็นรัฐรัฐหนึ่งเมื่อ ค.ศ.1850 อย่างไรก็ดี การตื่นทองครั้งนั้นทำให้เกิดการบุกรุกเข้าไปแย่งพื้นที่ของชนพื้นเมือง เป็นเหตุทำให้คนอินเดียนแดงเสียชีวิตไปราวหนึ่งแสนคนนับจากปี 1848-1868


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o9/420.jpg)
การปล้นฆ่ากันกลางเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก

Pony Express เมื่อ ค.ศ.1860 เกิดไปรษณีย์ด่วนที่คอยส่งจดหมายและพัสดุขนาดเล็กโดยใช้ม้าเร็ว บนระยะทางกว่าสองพันไมล์ จากเมืองเซนต์โยเซฟ รัฐมิสซูรี ไปจนถึงเมืองซาคราเมนโต รัฐแคลิฟอร์เนีย วิธีการคือ แบ่งเส้นทางออกเป็นช่วง

ช่วงละ 75-100 ไมล์ บุรุษไปรษณีย์หนึ่งคนจะรับส่งในช่วงที่ตนรับผิดชอบเท่านั้น ซึ่งในแต่ละช่วงก็จะเตรียมม้าไว้เปลี่ยนทุกๆ 10-15 ไมล์ เมื่อไปถึงสุดช่วงของตนก็ส่งจดหมายและพัสดุให้คนที่อยู่ช่วงถัดไปรับต่อ ส่วนตนเองก็รับจากคนนั้นเอากลับไปส่งในเส้นทางเดิมของตน คือส่งทั้งไปและกลับนั่นเอง อาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะเส้นทางที่ต้องไปส่งนั้นเป็นทั้งทะเลทราย และอาจเจอกับโจรดักปล้นหรือเจออินเดียนที่ไม่เป็นมิตรเมื่อไหร่ก็ได้ ผู้ที่รับงานนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นเด็กกำพร้าอายุไม่เกิน 18 ปี รูปร่างเล็ก ผอม เพื่อไม่ให้ม้ารับภาระหนักเกินไป โดยปกติการส่งจากต้นทางไปถึงปลายทางจะใช้ เวลาราวหนึ่งสัปดาห์ ค่าบริการก็ตกราวๆออนซ์ละ 10 ดอลลาร์ (28.5 กรัม โดยประมาณ) การส่งพัสดุแบบนี้มีอายุไม่ถึงสองปี เพราะหลังจากเครือข่ายโทรเลขสร้างไปถึงแคลิฟอร์เนียในปี 1861 บริการนี้ก็ยุติลงทันที

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o12/420.jpg)
ปืนแบบที่ใช้ในยุคนั้น

แก๊งโจรและมือปืน ตลอดระยะเวลาในยุค Wild West มีผู้ร้ายที่รวมตัวกันเป็นแก๊งขึ้นมาเพื่อปล้นธนาคาร รถไฟ ฝูงปศุสัตว์ และผู้คนที่เดิน ทาง นับได้ร่วม 50 แก๊ง ซึ่งทำให้เกิดดาวเด่นทั้งในด้านที่ดีและด้านไม่ดีขึ้นมาจนกลายเป็นตำนานคาวบอยเป็นจำนวนมาก แต่ที่โดดเด่นที่สุดสองคนน่าจะได้แก่ บิลลี่ เดอะ คิด และ เจสซี่ เจมส์ แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมมือกันหรือเป็นศัตรูกัน แต่ทั้งสองก็มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันช่วงหนึ่ง


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o13/420.jpg)
ประกาศจับบิลลี่ เดอะ คิด

บิลลี่ เดอะ คิด (Billy the Kid) วิลเลียม เอช. บอนนี (William H. Bonney) คือชื่อจริงของ บิลลี่ เดอะ คิด เด็กหนุ่มผู้กลายเป็นโจรค่าหัวสูงคนหนึ่ง ด้วยความสูง 173 ซม. ตาสีฟ้า ผิวพรรณดี ชอบแต่งตัวเนี้ยบแบบมีรสนิยม และมีจุดเด่นอยู่ที่ฟันหน้าซี่ใหญ่สองซี่ แถมยังยิงปืนได้แม่นและเร็ว บิลลี่จึงเป็นหนึ่งในตำนานของคาวบอยที่ได้รับการกล่าวถึงเสมอๆนี้ เริ่มต้นชีวิตในแดนเถื่อนด้วยการเป็นเด็กรับใช้ในคาราวานต้อนวัว เขาเริ่มต้นความเป็นเสือปืนไวด้วยการสังหารคาวบอยอีกคนหนึ่งหลังจากเกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้นในบาร์แห่งหนึ่ง จำนวนตัวเลขของเหยื่อจากกระสุนปืนของเขานั้นไม่ชัดเจนนัก เพราะบางแห่งบอกว่าเขาสังหารคนไปถึง 21 คน แต่บางแห่งบอกไว้แค่ 9 คน เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เขาโด่งดังขึ้นมาคือ การหลบหนีออกจากห้องขังระหว่างที่คอยการรับโทษด้วยการแขวนคอที่เรือนจำลินคอล์น นิวเม็กซิโก แต่ก็เช่นเดียวกับเสือปืนไวที่มีค่าหัวคนอื่นๆ ปี ค.ศ.1881 บิลลี่ถูกยิงตายด้วยวัยเพียง 21 ปี


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o7/420.jpg)
ยุคตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o6/420.jpg)
เจสซี่ เจมส์

โดยนายอำเภอ แพต การ์เรต เจสซี่ เจมส์ (Jesse Woodson James) เป็นคาวบอยรูปหล่อ มาดดี จากรัฐมิสซูรีที่มีคนรู้จักมากที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นหัวหน้าแก๊งชื่อ James-Younger Gang ที่ขึ้นชื่อในเรื่องการปล้นธนาคาร รถไฟ และเป็นมือปืนที่ยิงคนตายไปแล้วหลายราย เจสซี่ เจมส์ และ พี่ชาย แฟรงค์ เจมส์ นั้น มีส่วนร่วมรบในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมือง คือเป็นทหารกองโจรให้กับกองทัพฝ่ายใต้ มีการเล่ากันว่า เจมส์นั้นต่างจากคาวบอยส่วนใหญ่ที่มักจะทำตัวเหมือนอันธพาลและมีชีวิตอยู่กับเหล้าและผู้หญิงไปวันๆ แต่เขาไม่ดื่มเหล้า ไม่ติดการพนันและรักครอบครัว ยังมีการเล่ากันมาว่า เขาเป็นเหมือนกับโรบินฮู้ด คือปล้นจากคนรวยไปแจกให้กับคนจน (แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน) จึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางและมีภาพลักษณ์ที่ดีในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องราวของเขายังถูกเล่าขานจนเป็นหนึ่งในตำนานคาวบอย ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง แถมยังมีนักร้องที่ร้องเพลงเกี่ยวกับเขาอีกหลายเพลงด้วยมาโดยตลอด ด้วยวัยเพียง 34 ปี เจมส์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 3 เมษายน 1882 โดยถูกหนึ่งในสมาชิกของแก๊งชื่อโรเบิร์ต ฟอร์ด ยิงเพื่อเอาค่าหัวจากทางการ


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/09/331305/o4/420.jpg)
ซาลูน ที่สังสรรค์ของคาวบอย

ในอดีต หนังคาวบอยที่เราได้ดูกันนั้นเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องของคาวบอยในสหรัฐอเมริกา คลินต์ อีสต์วูด เป็นผู้ที่ทำให้หนังคาวบอยเป็นที่นิยมมากในช่วงปลายทศวรรษที่ 60 ไปจนถึงต้นทศวรรษที่ 90 ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นยุคของจอห์น เวย์น ที่แทบจะเหมาบทบาทของคาวบอยผู้มีคุณธรรมสูงไปเล่นเพียงคนเดียวก็ว่าได้ แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาวงการหนังฝรั่งดูจะห่างหายจากเรื่องคาวบอย จนทำให้ภาพการควบม้าไล่ล่ากันในทะเลทราย, การดวลปืนกันบนถนนกลางเมือง, การประหมัดกันอย่างดุเดือดในบาร์ขายเหล้าที่เรียกว่า ซาลูน (Saloon) ฯลฯ แทบจะเลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน แต่ปีนี้ Django Unchained คงทำให้ตำนานคาวบอยแห่งดินแดนตะวันตกกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนต้องนำกลับมาเล่าขานกันอีกครั้ง.



ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน  โดย "คนเหนือ"