[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด => ข้อความที่เริ่มโดย: ไอย ที่ 15 มกราคม 2553 20:48:36



หัวข้อ: 2012 คำบอกเล่าจากต่างดาวและหลักฐาน
เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 15 มกราคม 2553 20:48:36

2012 อาจไม่แย่นัก แต่ถึงตอนนั้นเราก็คงจะชินกันแล้ว (ธ.ค 2552
นายกอาจหมดอำนาจ-ม.ค. ระวังนองเลือดจากผู้ถูกกดขี่กับผู้ครองอำนาจ
เพราะไร้สัจจะในการปกครอง - โหรโสรัจจะ)

           2010 ปีหน้า ก็จะเกิดภัยพิบัติ เยลโล่สโตนเกิดพ่นไฟ
เป็นภูเขาไฟยักษ์ขนาดใหญ่ที่สุด ทำให้หมอกควันคลุมไปทั่วโลก

           2011 อุกาบาตดาวตกขนาดยักษ์ถล่มโลก

           2012 จึงเหมือนว่าดีขึ้น เพราะเราชินกับมันแล้ว (ตีความจากรหัส
ภาษาฮีบรู-ไบเบิ้ล) ไม่เชื่อไม่เป็นไร ให้เตรียมหาวัสดุปลูกผักไร้ดิน ด่างทับทิม
ล้างผัก และคาลาไมด์ (แ้ป้งน้ำบางชนิดก็ใช้ได้) แก้สัตว์กัดต่อย-ยกเว้นงู
อันนี้ไม่รวมขาดอาหาร อดหยาก จนต้องจับกบ และแมลงกิน ขาดไฟฟ้า-
พลังงาน เครื่องปั่นไฟ พลังลม น้ำ สามารถแยกเป็นไฮโดรเจนกับออกซิเจน
ทดแทนน้ำมันได้ น้ำและเกลือสามารถใช้แทนแก็สหุงต้มได้ - อันนี้ผมคิดขึ้นเอง

          ข้อมูลทั้งหมดจากเวปซีต้าทอล์ค พยากรณ์ไว้แม่นมาก ที่แล้วมา
(คราวนี้เราลองคิดดู ซีต้า เรตติคูลัส คือกลุ่มดาว ชาวซีต้า มีย่อยไป 22 เผ่า
คงมีส่วนใหญ่ที่เป็นธรรมะที่เข้าร่วมในสมาพันธ์กาแลกซี)

          ซีต้าเวปนี้ มีคนประสานงานชื่อแนนซี  เป็นแชนแนลเลอร์คือสามารถ
รับข้อมูล มีพลังจิต คอยส่งคลิปขึ้นยูทูปมาตั้งแต่ปี 2008 จะเกิดล่มสลายทาง
เศรษฐกิจ, เงินไม่มีค่า ,เกิดรัฐบาลชั่วคราวโลก เกิดรัฐบาลแบบทหาร ต้องเด็ดขาด,
และหลัง 2012 พวกเราจะต้องถูกฝังไมโครชิปแน่ เพราะตอนนั้น ทั้ง อิลลูมิเนติ
(รัฐบาลเงาของโลก) เกรย์-เรปติเลี่ยน ต่างก็เปิดเผยตัวออกมา เหมือนสมัยกลาง
ที่เล่าว่าเกิดการต่อสู้ของมนุษย์และมังกร (มีตัวลูกดองไว้ มีสายสะดือด้วย-แสดงว่า.
มังกรตั้งท้องและคลอดแบบมนุษย์ ไม่ฟักไข่แบบงู) (ช่วยอ่านว่ามันจะมั่วๆ
ไปหน่อยไหมครับบทนี้)

           จริงๆ แล้วทุกภัยพิบัติ เกิดจากการยกระดับทางกายและจิตของ
พระแม่ธรณีทั้งสิ้น เคยมีนักวิทยาศษสตร์ ศึกษากลไกทางกายภาพ การแลกเปลี่ยน
แกสออซิเจน สรุปได้ว่า มีกลไกกการทำงานเหมือนว่าโลกเป้นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
และได้นำเสนอเชิงวิชาการ พวกเพื่อนจึงเสนอว่า น่าจะตั้งชื่อว่าทฤษฎีไกอา-GAIA-
ไกอา เป็นภาษาโรมัน แปลว่าพระแม่ธรณี ตรงกันกับความเชื่อทางตะวันออกเกือบทุกชาติ
ว่าพระแม่ธรณีนั้นมีชีวิต ไม่ได้มั่ว แต่มีหลักฐานละครับทีนี้

การลงจอดบนดาวอังตาร พบสัว์คล้ายกระต่าย ตัวเท่ากำปั้น สีขาว ซึ่งนาซ่าพยายาม
ปกปิด ใช้รถโรเวอร์ถอยทับซ้ำไปมา จนจมดิน เจ้าของเว็ป เร้นส์ดอทคอม ได้สังเกต
เห็นวัตถุนี้ และแจ้งไปยังเว็ปนาซ่า แต่ผลที่ได้ก็คือ นาซ่าดึงรูปนั้นออกจากที่เคยโชว์
ไว้ทันที ข่าววงในว่าผู้ก็ตั้งเจ็ทโพรพัลชั่น ก็คือตัวเอ้ของอิลลูมิเนติ ที่ชอบจับคนไปเผา
ทั้งเป็นและทำพิธีทางเพศ (ไสยศาสตรฺ์) กับหญิงสาว

           ต่างดาวบอกว่า ปี 2012 จะ..(เกิดภัยพิบัติ)

           เดือน ตุลาคม ค.ศ. 2000 ชาวคอร์กิโนหลายคน เห็นดวงแสงลึกลับ
ลอยวูบลงสู่พื้นดิน แล้วพุ่งกลับขึ้นไปในอากาศ ทิ้งรอยไหม้จนหินละลาย ซึ่งต่อมา
หินละลายดังกล่าว ได้รับการตรวจสอบจากนักธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย
เพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ที่ลงความเห็นว่าหินได้รับความร้อนอย่างไม่น่าเชื่อ

            นอกจากแสงลึกลับแล้ว ที่นี่ยังมีชายผู้หนึ่งซึ่งอ้างว่าเขาสามารถติดต่อ
กับมนุษย์ต่างดาวได้มานานแล้ว ล่าสุดเมื่อปี 2002 เขาก็อ้างว่าเขาถูกลักพาตัว
ไปยังนอกโลกถึง 3 วัน ซึ่งงานนี้เขาไม่ได้อ้างลอยๆ นะ เขามีพยานหลักฐานอันน่าทึ่ง
และยังไม่อาจพิสูจน์ค้านได้ว่าเป็นการทำปลอม หรือกุเรื่องขึ้นเสียด้วย

           ชายผู้มีประสบการณ์พิเศษคนนี้ ชื่อ อูแรนเดอร์ โอลิเวียร่า เขาอ้างว่า
เขาเคยติดต่อ กับมนุษย์ต่างดาวมาหลายครั้ง มนุษย์ต่างดาวของ โอลิเวียร่า
ไม่ใช่ทอล ดาร์ค แอนด์ แฮนซัม แต่เป็นทอล บลอนด์ ผิวขาวร่างสูง ผมบลอนด์
ดวงตาสีฟ้าจาง โดยมีแก้วตาสีเหลืองอ่อนวางตามตัวตามแนวตั้งเหมือนตาแมว
ฟังดูไม่น่าเกลียดเหมือนตัวอีทีโอลิเวียล่า บอกเราว่ามนุษย์ต่างดาวใช้สิ่งที่เรียกว่า
แสงพลาสม่า เป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารกับเขาทางโทรจิต

           เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 กันยายน 2002 คืนนั้น

           โอลิเวียร่า หายตัวไปจากห้องนอน ทิ้งไว้แต่รอยไหม้รูปร่างคนนอน
บนผ้าปูเตียงและบนฝ้าเพดาน ไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหน อีก 3 วันต่อมมจู่ๆ
เขาก็กลับมาอยู่ในห้องนอนนั้น และเขาอ้างตลอดว่า เวลาที่เขาหายไปนั้น
เขาถูกนำตัวไปยังยานต่างดาว

           โอลิเวียร่า บอกว่าเขารู้ตัวล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ โดยเขาได้รับ
การติดต่อ ทางโทรจิตผ่านแสงพลาสม่า ว่ามนุษย์ต่างดาวจะมานำตัวเขาไป
ในคืนดังกล่าว โดยก่อนเกิดเหตุการณ์จะมีสัญญาณนำมาให้รู้ โดยจะเกิดฝน
ก้อนหินตกลงมา

           ค่ำวันที่ 15 กันยายน 2002 เวลาประมาณ 19.13 น. เพื่อนบ้านใกล้เคียง
ของ โอลิเวียร่า ต้องประหลาดใจที่ได้ยินเสียงอะไร ร่วงกรูกราวอยู่บนหลังคา
เมื่อออกมาดูพบว่าเป็นก้อนหินกลมๆ ก้อนเล็ก ๆ ตกลงมาจากท้องฟ้า หลายคน
ช่วยเก็บก้อนหิน บางคนก็ถ่ายวีดีโอไว้เป็นหลักฐานด้วย

           เขาเล่าว่า ในขณะที่เขานอนอ่านหนังสืออยู่ยนเตียงสักครู่ก็มีแสงสีม่วง
สว่างไปทั้งห้อง แสงนั้นรวมตัวเข้าเหมือนฟองสบู่ ร่างของเขาลอยทะลุเพดาน
รู้สึกเหมือนกระดูถูกยืดออก แต่ไม่มีความเจ็บปวด ครั้นลอยพ้นผ่านหลังคาบ้านไป
ลำแสงสีม่วงก็พลิกร่างเขาให้ยืนขึ้น เมื่อไปถึงยานต่างดาว ( ซึ่งเขาไมได้บอกว่า
มันเป็นอย่างไร ) เขาก็ถูกนำตัวเข้าไปในฟองอากาศ ใบใหญ่ ซึ่งมีผิวบางใส
คล้ายๆ ว่าข้างในคงจะคล้ายๆ ห้องฆ่าเชื้อ ปรับพลังงานให้สมดุลย์อะไรทำนองนั้น
จากนั้นมนุษย์ต่างดาวผมบลอนด์ร่างสูง ก็พาเขาขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของยาน
ซึ่งเป็นห้องกว้างใหญ่เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ที่นั่นมนุษย์ต่างดาวให้เขาดูจอภาพ
อันเป็นภาพเกี่ยวกับโลก ระบบสุริยะ และกาแล็คซี่ของเรา มนุษย์ต่างดาวบอกว่า
ในวันที่ 22 ธันวาคม 2012 ( พ.ศ. 2555 ) จะเกิดปรากฎการณ์ในอวกาศครั้งใหญ่
ซึ่งจะมีผลกระทบไปทั้งจักรวาล ในวันนั้นแกแล็คซี่จะส่งแสงวาบเจิดจ้าออกมาก
ดวงอาทิตย์ทุกดวงในแกแล็คซี่ จะสะท้องแสงนั้นไปยังดาวเคราะห์ที่โคจรรอบตัวมัน
สิ่งมีชีวิตทั้งมวลอันมีดวงตาจะได้เห็นแสงเจิดจ้านี้ทั่วหน้ากัน โลกของเราจะปั่นป่วน
ด้วยพายุสุริยะทั้งแสงอาทิตย์ก็จะร้อนจัดขึ้น

           คำทำนายของมนุษย์ต่างดาว ที่ว่าจะเกิดอาเพศขึ้นทั่วทั้งจักรวาลในวันนั้น
จะเป็นจริงหรือไม่ น่าแปลกที่ว่า วันที่ 22 ธันวาคม 2012 นั้นเป็นวันสุดท้ายใน
ปฏิทินของชาวมายาอีกด้วย ซึ่งอีกไม่กี่สิบปีเราคงจะได้เห็นปรากฎการณ์นั้น
ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

           ทั้งหมดที่ฟังมานี้ ต่างต้องล้วนใช้วิจารณญาณ แต่ถ้าเป็นจริง
ขึ้นมาเมื่อไหร่ .......

           ทฤษฎีที่โด่งดังมากสุดคงต้องยกให้กับคำทำนายที่ว่า โลกบูดเบี้ยวใบนี้
จะแตกดับในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 หรืออีกแค่ 5 ปีข้างหน้า ด้วยชุดเลขสวย 212012

          ทฤษฎีนี้คิดค้นขึ้นโดยชนเผ่ามายัน วันดังกล่าวถือเป็นวันสิ้นสุดปฏิทิน
ลอง เคาต์ (Long Count) หรือ ปฏิทินลำดับที่ 3 ของชาวมายัน โดยปฏิทิน
ลอง เคาต์ เล่มล่าสุดนั้น เริ่มต้นในปี 3114 ก่อนคริสตกาล และจะดำเนินต่อเนื่อง
เป็น 13 รอบบักตุน (baktun) กินเวลาทั้งสิ้นราว 5,126 ปี บวกลบออกมาแล้ว
ก็ตรงกับปี 2012 พอดิบพอดี

           การเริ่มต้นของ 13 รอบบักตุน เรียกได้อีกอย่างว่า อาทิตย์ดวงที่ 5 ซึ่ง
ช่วงเวลาดังกล่าวจะเวียนมาบรรจบเพื่อก่อกำเนิดดวงอาท ิตย์ครบ 5 ดวง
ในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 โดยคำทำนายระบุเอาไว้ว่า ในวันนั้นโลกจะเผชิญกับ
การเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬาร ไล่เรียงตั้งแต่ภัยธรรมชาติที่จะทำลายทุกสิ่งไปจนถึง
สงครามอภิมหาโลกาวินาศ จนไม่มีมนุษย์คนใดมีชีวิตรอด ซึ่งอย่างหลังนี้อาจ
เชื่อมโยงได้กับทฤษฎีสงครามโลกคร ั้งที่ 3 ของนอสตราดามุส โหราจารย์ชื่อก้อง

           สถานการณ์น่าระทึกในวันอวสาน โลกข้างต้นตามจินตนาการของ
ชอง โคลด โคเวน นักเขียนหนังสือแนวอภิปรัชญาชาวฝรั่งเศส บรรยายว่า
ให้นึกถึงภาพตัวเองอยู่ในสถานีรถไฟอันแออัดตอนเช้า แล้วทันใดนั้นก็เกิด
เหตุโกลาหลครั้งใหญ่ทั้งธรรมชาติ แปรปรวนและระบบ คอมพิวเตอร์หรือระบบ
ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรเครื่องยนต์ต่างๆ ขัดข้อง จนเป็นเหตุให้ขบวน
รถไฟในชานชาลาพากันวิ่งออกไปคนละทิศ คนละทาง คล้ายกับซี่วงล้อเกวียน

            ในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนั้นยังกดดันให้ คุณจำเป็นต้องเลือกขึ้น
รถไฟสักขบวน อย่างน้อยก็ยังรอดจากการโดนรถไฟทับตาย แต่น่าเสียดาย
เหลือเกินที่คุณไม่มีทางรู้เลยว่า รถไฟขบวนที่หลับหูหลับตาขึ้นไปนั้นจะพาคุณ
ไปไหน น่าแปลกที่นอกจาก 212012 จะเป็นวันสุดท้ายของปฏิทินชนเผ่ามายันแล้ว
ยังมีข้อมูลทางดาราศาสตร์ที่ระบุไว้ว่า จะเกิดพลังงานลึกลับที่จะเปลี่ยนแปลงโลก
ไปตลอดกาล โดยในเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมากที่สุดในช่วง
ฤดูหนาวของปี 2012 นั้น ดวงอาทิตย์จะอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทาง
ช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 2.6 หมื่นปี ซึ่งหมายความว่า พลังงานทุกประเภท
จากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมและ เกิดการปะทะกับพลังงาน ทั้งที่
มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 เวลา 23.11 น.
(11.11 pm ตามเวลาสากล)

          สมมติว่ามีมนุษย์เหลือรอดบนโลก ก็ไม่อาจรู้ว่าจะจำตัวเองได้หรือไม่
เนื่องจากพลังงานทั้งหลาย แหล่ข้างต้นจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของ
ดีเอ็นเอ นำมาซึ่งการกลายพันธุ์ หรือสรุปคร่าวๆ ได้ว่า ถึงตอนนั้นโลกจะ
เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง คนที่รอดต้องดิ้นรนสร้างสิ่งต่างๆ นับจากศูนย์

          นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลทางธรณีวิทยาที่ชี้ว่า ปี 2012 คือปีที่ซูเปอร์โวลคาโน
หรือภูเขาไฟใต้น้ำครบกำหนดเวลา 7.4 หมื่นปีที่จะทำลายหรือระเบิดตัวเอง
โดยสัญญาณเตือนภัยครั้งล่าสุด คือ โศกนาฏกรรมคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อ
ปี 2004 ที่บอกให้ชาวโลกรู้ว่า โครงสร้างพื้นผิวโลกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
และการระเบิดของซูเปอร์โวลคาโนอาจไม่ใกล้ไม่ไกลบริเวณที่เคยเกิดสึมิมาก่อน

          และเป็นที่น่าสังเกตว่าระยะหลังมานี้ เกิดเหตุแผ่นดินไหว ดินถล่ม และ
น้ำในแม่น้ำหรือทะเลสาบเหือดแห้งบ่อยครั้งทั่วโลก เป็นไปได้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจาก
ภาวะโลกร้อน แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันว่าโครงสร้างของพื้นผิวโลกกำลังขยับ
และเปลี่ยน แปลงตัวเองโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว (ข้อมูลจุดนี้ตรงกับเหตุการณ์จริง
และตรงกับที่เทพบอก)

          แบบจำลองคอมพิวเตอร์ ทำนายการพลิกกลับขั้วของแม่เหล็กโลก
อาจนำมาสู่การสิ้นสุดอารยธรรมมนุษย์ในปี 2012

          จากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง ที่ได้ศึกษา
ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว บอกว่าโลกและดวงอาทิตย์ ทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกัน
และสัมพันธ์กัน โดยจะแลกเปลี่ยนพลังงานและใช้จนหมดกระบวนการหนึ่ง จนเกิด
กระบวนการของการพลิกกลับขั้วเกิดขึ้น ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีก่อน
เมื่อสัตว์จำพวกไดโนเสาร์ที่สาบสูญไปในช่วงเวลานั้น

          ในการค้นคว้าวิจัยส่วนตัวและของบริษัท ได้วิเคราะห์หรือทำนายด้วย
ระบบคอมพิวเตอร์ Hyderabad ซึ่งมีแนวโน้มเกี่ยวกับการยกระดับพลังงาน
ขึ้นสูงสุด จะเกิดขึ้นในปี 2012 นี้

          การพลิกกลับขั้วของแกนแม่เหล็กโลก คือกระบวนการเมื่อขั้วทิศเหนือ
และขั้วทิศใต้กลับตำแหน่งกัน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นที่จุดหนึ่งของเวลา สนามแม่เหล็กโลก
จะลดลงเกือบจะถึงศูนย์เกาซ์ โลกที่จุดนั้นของเวลามีคุณสมบัติของแม่เหล็ก
เป็นศูนย์ สิ่งนี้บังเอิญมาเกิดขึ้นพร้อมกัน กับการหมุนรอบพลิกกลับขั้วของ
ดวงอาทิตย์ในทุกๆสิบเอ็ดปีพอดี

          ในประวัตศาสตร์ของมนุษย์ยุคใหม่ ปรากฎการณ์แกนโลกพลิกตัว
ที่เคยเกิดขึ้นนั้นไม่เคยถูกบันทึกมาก่อน แต่ในปัจจุบัน, แบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์
สามารถทำนายผลลัพธ์ที่เป็นจริงได้ ซึ่ง NASA เคยนำคำพูดที่น่ากลัวมากล่าวถึง
ในที่สาธารณะเกี่ยวกับการพลิกกลับขั้วจะทำคุณสมบัติของแม่เหล็ก ของโลก
อ่อนแอและเบี่ยงเบนไป แต่ไม่ใช่ศูนย์

          ตามแบบตัวอย่างคอมพิวเตอร์ Hyderabad การพลิกกลับเกี่ยวกับขั้ว
ของโลกและดวงอาทิตย์สามารถเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาที่จริงจังดังต่อไปนี้

          ระบบอิเล็กโทรนิคจำนวนมากจะทำงานผิดปกติ (ระบขีปนาวุธ ,computer)

          - การอพยพของฝูงสัตว์ เช่น นก หรือปลาวาฬ ทำให้สูญเสียทิศทางและอื่นๆ
          - ระบบภูมิคุ้มกันโรคในบรรดาสัตว์รวมถึงมนุษย์จะทำให้อ่อนอย่างมาก
          - ทำให้ภูเขาไฟเพิ่มขึ้น, เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก แผ่นดินไหว
และแผ่นดินถล่ม
          - สนามแม่แหล็กโลก (Magnetosphere) จะอ่อนแอลง และการแผ่รังสี
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์จะเพิ่มปริมาณถึงระดับ อันตราย ก่อให้เกิดมะเร็ง
ผิวหนังตามมา ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
          - กลุ่มวัตถุในอวกาศที่มีเส้นผ่านมากมายจะเฉียดเข้าใกล้โลกได้ง่ายขึ้น
          - แรงดึงดูดของโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

          ถ้าคุณรวมเค้าเรื่องการทำลายล้างกับเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นไปได้
เหล่านี้เป็นไปได้ทั้งหมด, คุณสามารถดูได้โดยง่าย, โลกอาจจะกลายเป็นที่
ที่ไม่เหมาะสมสำหรับอารยธรรมของมนุษย์เมื่อถึงปี 2012 และผู้ที่จะรอดได้นั้น
อาจต้องมีชีวิตอยู่ใด้ดินหรือใต้เปลือกโลกเท่านั้น..

 
ทศวรรษแห่งความล่มสลาย
          นพ.ประสาน ต่างใจ ผู้เขียนย้ำแล้วย้ำอีกในคอลัมน์นี้มาเป็นเวลานานว่า
ทศวรรษที่ 2010 โดยเฉพาะปี 2012 จะเป็นปีที่สรุปรวบยอดของสภาวะความพินาศ
ระดับโลกแห่งชรวิตที่เรียกว่าความล่มสลายระดับโลก (mass extinction or spasm)
อีกครั้งหนึ่งซึ่งจะเป็นครั้งที่ 6 ในประวัติศาสตร์ของโลกกายภาพหลังกำเนิดการของ
สิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับวิกฤติใหญ่หรือภัยธรรมชาติเช่นสึนามิ แผ่นดินไหวที่
แคชเมียร์ หรือเฮอริเคนแคทรินาที่เรายังจำความโหดร้ายรุนแรงของมันได้ วิกฤติ
ดังกล่าวเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆ น้อยๆ สุดจะนำมาเทียบกันไม่ได้ ที่ผู้เขียนย้ำ
หรือเชิงคาดการณ์มานั้น - หากมองจากการคาดการณ์ที่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์บ้าง

          การคาดการณ์ของผู้เขียนอาจเร็วกว่านักวิทยาศาสตร์หลายๆ คนไป
หลายๆ ปี หรือหลายๆ ทศวรรษ ไม่ว่าจะเป็นเดวิด คิง, ฟริตจอฟ แคปร้า,
เลสเตอร์ บราวน์, บิล จอย ฯลฯ ที่ผู้เขียนเคยเอามาเขียนและอ้างอิงไว้บ่อยครั้ง .
แต่ที่ผู้เขียนระบุว่าปี 2012 คือปีที่โลกแห่งชีวิตรวมทั้งมนุษยชาติ อารยธรรมจะถึง
กาลล่มสลายอย่างใหญ่หลวงจนเสี่ยงต่อการสิ้นสูญของเผ่าพันธุ์ นั้น ผู้เขียนคำนวณ
จากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นกว่าที่ไอพีซีซี (IPCC-UN) เคยคาดการณ์ให้ไว้
(โปรดเทียบข้อมูลที่ให้ไว้ครั้งแรกในปี 1995 กับรายงานครั้งหลังสุดเมื่อปีที่แล้ว)
โดยเฉพาะอุณหภูมิที่ขั้วโลก กรีนแลนด์ และยอดภูเขาสูง นั่นคือการคำนวณปริมาณ
ของน้ำแข็งที่ละลายกลายเป็นน้ำที่อาจก่ออุทกภัยและทำ ให้น้ำทะเลมีระดับสูงขึ้น
อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่าง น้ำแข็งจากยอดเขาสูงเช่นหิมาลัยแห่งเดียวได้ละลาย
กลายเป็นน้ำถึงวันละกว่า หนึ่งล้านตัน และอย่าลืมว่าเมื่อน้ำแข็งละลายถึงจุดวิกฤติ
ก้อนน้ำแข็งจะแตกออกทำให้การละลายเพิ่มอัตราความเร็วเป็นทวีคูณโดยมาตร
ทางเรขาคณิต นอกเหนือการละละลายของน้ำแข็งจากโลกร้อน ผู้เขียนยังคำนวณ
จากประเด็นอื่นๆ เช่นปริมาณของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ อัตรา
ความถี่ของการย้ายแผ่นหินเปลือกโลกและแผ่นดินไหวกับภูเขาไฟระเบิด การย้าย
สถานที่ของประชากรแมลง และประเด็นทางภูมิดาราศาสตร์อื่นๆ ทั้งหมดบังเอิญ
มาตรงกับคำทำนายของปฏิทินของชาวมายาที่ชาวนิวเอจแทบทุกคน เชื่อ ปฏิทิน
ที่มาจบฉบับสุดท้ายไว้ที่ปี 2012 พอดี (the crash of 2012!)

          การที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาว่ามีถึง 5000 ปีนั้นไม่ได้
แปลว่าระยะเวลาก่อนปีพุทธศักราชที่ 5000 นั้นจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ขึ้นเลย ซึ่งหมายความว่าการล่มสลายนั้นไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรืออารยธรรมใดๆ
ก็ตามอาจ เริ่มต้นด้วยการเสื่อมถอยจนไปหรือการเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง
ที่ทำให้ ศาสนาหรืออารยธรรมสิ้นสุดลงไปก่อนหน้าที่จะถึงปีที่มีการสิ้นสุดจริง
ยกตัวอย่างว่าในปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012) ที่จะถึงนี้ พุทธศาสนาเริ่ม
การล่มสลายเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ (ในกรณีที่ปรากฎการณ์นี้
เกิดขึ้นจริง) ผู้คนล้มตายกันเห็นจำนวนมหาศาล ผู้คนที่เหลือรอดชีวิตต่าง
แสดงความเห็นแก่ตัวเพื่อความอยู่รอดของตัวเองจน ลืมหลักคำสอนของศาสนา
เป็นแบบนี้ไปจนกระทั่ง พ.ศ. 5000 พุทธศาสนาได้ล่มสลายลงไปโดยสิ้นเชิง
จนกว่าจะมีการเริ่มต้นใหม่ของพระพุทธศาสนาโดยการประสูติของพระพุทธเจ้า
และเริ่มนับปีพุทธศักราชใหม่ในปีที่มีการสถาปนาขึ้น (เช่น ปีพุทธศักราชเดิม
เริ่มนับจากปีที่มีการสวรรคตของพระพุทธเจ้า) โดยการเริ่มนับที่ พ.ศ. 1 ทำนองนี้

          ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่ามันไม่ใช่วันที่โลกดับสลาย แต่มันเป็น
ช่วงมหันตวิกฤติที่อารยาธรรมของมนุษย์ล่มสลายและสิ่งมีชีวิตหลาย ชนิดหรือ
อาจจะทุกชนิดล้มตายเป็นจำนวนมหาศาลหรือบางชนิดที่สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ลง
จึงมีบางส่วนที่สามารถรอดชีวิตมาได้ พร้อมกับความเชื่อทางศาสนาที่ยังคง
หลงเหลืออยู่ โดยที่บางส่วนยึดถืดปฏิบัติและบางส่วนทำให้เสื่อมค่าลง
เป็นแบบนี้ไปจนถึงปีที่ 5000


ขอบคุณที่มา  : jesdath - bloggang.com