[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 02 ตุลาคม 2556 13:27:09



หัวข้อ: อาบัติ ปาราชิก
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 02 ตุลาคม 2556 13:27:09
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRI2rnzzD8Tp7L7H1dJdVPfXG4BOO17vcUE9aXBjgiGztFpuvs-)

อาบัติ แปลว่า ต้อง ถูกต้อง หมายถึง ข้อบัญญัติวินัยสำหรับป้องกันความประพฤติของพระภิกษุให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรมอันดีงาม อาบัติแต่ละข้อพระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติตามคำแนะนำและติเตียนของชาวบ้านที่ได้พบเห็นและรู้เรื่องราวความประพฤติของพระ แล้วนำไปฟ้องร้องให้พระพุทธเจ้าทรงรับรู้ในฐานะพระศาสดา

พระพุทธองค์จะทรงวินิจฉัยและตรากฎบัญญัติหรืออาบัติขึ้นตามเหตุการณ์บ้านเมืองสมัยนั้น ซึ่งมีทั้งหมด ๒๒๗ ข้อ ประกอบด้วย ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคีย์ปาจิตตีย์ ๓๐ ปาจิตตีย์ ๙๒

นอกจากนี้ยังมี ปาฏิเทสนียะ เสขิย ปกิณณกะ อธิกรณสมถะอีกด้วย

อาบัติตั้งแต่สังฆาทิเสสลงมา พระภิกษุที่ถูกต้องแล้วยังไม่จัดว่าพ้นจากความเป็นพระ เฉพาะอาบัติสังฆาทิเสสถือว่าเป็นอาบัติหนัก  พระภิกษุที่ต้องแล้วต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นผิด ส่วนอาบัติอื่นๆ นั้นพระภิกษุที่ต้องกล่าวแสดงต่อหน้าพระภิกษุให้รับทราบก็จะสามารถพ้นจากอาบัติได้

สำหรับอาบัติปาราชิกนั้น จัดว่าเป็นอาบัติหนักที่สุดซึ่งเมื่อพระภิกษุต้องอาบัตินี้แล้วต้องขาดจากความเป็นพระทันที แม้จะไม่ยอมสึกออกจากการเป็นพระ หรือต้องอาบัติแล้วจะไม่สึกยอมออกไปก็ถือว่าขาดจากการเป็นพระทันทีที่ต้องอาบัติ ทางพระวินัยถือว่าไม่สามารถร่วมสังวาสกับพระภิกษุสงฆ์ได้ด้วย และไม่สามารถบวชเป็นพระได้อีกต่อไป


(http://www.madchima.org/forum/gallery/2_14_01_10_8_39_46.gif)


พระพุทธเจ้าทรงเปรียบพระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกว่าเป็นเหมือนต้นตาลยอดด้วน ไม่สามารถออกดอกผลได้อีกต่อไป เท่ากับว่าไม่สามารถเจริญงอกงามในพระธรรมวินัยในบวรพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะพระภิกษุได้อีก

อาบัติปาราชิก มีอยู่ ๔ ข้อ คือ ๑. เสพเมถุน  ๒. ลักขโมย ๓. ฆ่ามนุษย์ให้ตาย  ๔. อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตัวให้ปรากฏ

อาบัติข้อที่ ๑ เสพเมถุน กรณีที่พระภิกษุเสพสังวาสกับสตรีหรือแม้แต่เดรัจฉานเพศเมีย ถือว่าขาดจากความเป็นพระภิกษุทันที แม้จะอยู่ในผ้าเหลืองหรือไม่ก็ตาม ถือว่าขาดจากการเป็นพระขณะที่สำเร็จกิจ

สำหรับพระภิกษุที่เป็นต้นบัญญัติ ทำโดยไม่รู้ตัวกรณีถูกบังคับ มีจิตฟุ้งซ่าน เป็นบ้า ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป และไม่มีเจตนาถือว่าไม่ต้องอาบัติ ภิกษุต้นบัญญัติ ชื่อพระสุทิน ชาวเมืองเวสาลี

อาบัติข้อที่ ๒ ลักขโมย เมื่อมีเจตนาลักขโมยของที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตด้วยจิตที่จะลัก ซึ่งพระวินัยกำหนดไว้ คือ ราคา ๑ มาสก หรือ ๑ บาทขึ้นไป (ราคาสิ่งของในสมัยนั้น) ภิกษุที่เป็นต้นบัญญัติชื่อพระธนิยะ ได้ขโมยไม้หลวง

อาบัติข้อที่ ๓ ฆ่ามนุษย์ให้ตายด้วยตนเอง หรือใช้ให้คนอื่นฆ่า กรณีนี้ก็เช่นกัน คือพระภิกษุมีเจตนาอยู่แล้ว ตั้งใจที่จะฆ่า เช่น คิด และมีการวางแผน ฆ่าให้ตาย เมื่อไม่ตายก็พยายามแล้วพยายามอีกจนเสียชีวิต ถือว่าขาดจากการเป็นพระทันที กรณีที่ไม่มีเจตนาไม่ถือว่าต้องอาบัติ

อาบัติข้อที่ ๔ พูดอวดคุณวิเศษ ในที่นี้หมายภูมิธรรม อาทิ ไม่ได้เป็นพระโสดาบันอ้างตัวว่าบรรลุฌาน สมาบัติ พระโสดาบัน เป็นต้น ถือว่า พ้นจากความเป็นพระภิกษุทันที ยกเว้น สำคัญผิดคิดว่าตนเองบรรลุ มิได้ประสงค์จะโอ้อวด ภิกษุบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่รู้สึกตัว และพระที่เป็นต้นบัญญัติ  การจะต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับเจตนาและการกระทำของพระภิกษุเป็นเกณฑ์ พระพุทธองค์ได้ทรงวินิจฉัยเป็นกรณีๆไป




ข้อมูล  : หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด