[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => ร้อยภูติ พันวิญญาณ => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 24 ธันวาคม 2556 19:03:21



หัวข้อ: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 24 ธันวาคม 2556 19:03:21
.
(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTUZVtWplTO9Q810nLZt2wm2oCAt4SCMBoGEuGS0ryzQ-4Q5M7a)

วิญญาณสุดเฮี้ยน ผีตายทั้งกลม

เมื่อเวลา  01.09 น. วันที่ 20 ก.พ.  ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากนายสนม  ผิวบาง อายุ 67 ปี หัวหน้าเจ้าหน้าที่กู้ภัย สภ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ว่ากำลังจะไปรับศพหญิงสาวตายท้องกลมที่วัดเกศทอง ต.ราษฎรพัฒนา อ.สามโก้ จ.อ่างทอง เพื่อนำมาทำพิธีผ่าท้องนำทารกในครรภ์ออกจากศพ หลังจากรับแจ้งจึงรีบไปตรวจสอบที่ศูนย์กู้ภัย สภ.วิเศษชัยชาญ หมู่ที่ 9 ต.ศาลเจ้าโรงทอง อ.วิเศษชัยชาญ
 
เมื่อไปถึงพบว่านายสนม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัย สภ.วิเศษชัยชาญ จำนวนหนึ่ง กำลังขุดหลุมฝังศพทารก จากนั้นได้ขับรถไปยังวัดเกศทอง เพื่อรับศพหญิงสาวมาทำการผ่าท้องที่ศูนย์กู้ภัย  พบว่าบรรยากาศบนศาลาการเปรียญเป็นไปอย่างเงียบเหงา มีเพียงญาติของ น.ส.จุฑารัตน์  สุขคล้าย อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27 หมู่ 5 ต.ราษฎรพัฒนา อ.สามโก้ จ.อ่างทอง ที่ตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน แต่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ยืนรอเจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
 
จากการสอบถามนางสัมฤทธิ์  สุขคล้าย อายุ 70 ปี มารดาผู้ตาย กล่าวว่า ขณะลูกสาวได้ตั้งท้องหลานคนที่สอง ได้เพียง 5 เดือน ได้ขี่ จยย.ประสบอุบัติเหตุชน จยย. เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ก.พ. ที่ผ่านมา จากนั้นได้นำศพมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเกศทอง ต่อมาประสบปัญหาเกี่ยวกับศพ เนื่องจากลูกของตนถือว่าเป็นผีตายท้องกลม โบราณเขาถือว่าเฮี้ยน และที่สำคัญทางวัดก็ไม่ยอมให้เผาศพด้วย อีกทั้งชาวบ้านก็ต่างหวาดผวา เกรงกลัวจนไม่ค่อยมีใครมาร่วมฟังสวดศพ ที่สำคัญ มีเสียงร่ำลือว่ามีคนเห็นลูกสาวมายืนอยู่จุดเกิดเหตุ ทำให้ชาวบ้านต่างหวาดผวามากยิ่งขึ้น ตนและญาติจึงปรึกษากับนายสนม เจ้าหน้าที่กู้ภัยฯ ซึ่งก็เปรียบเสมือนเป็นญาติคนหนึ่ง ได้ข้อสรุปว่าจะต้องจะต้องผ่าท้องศพลูกของตน เพื่อนำเด็กในท้องออกมาฝัง จากนั้นจึงเผาศพลูกสาว ในตอนแรกจะผ่ากันที่วัดแต่พระกลัวไม่อนุญาต ตนจึงต้องให้นายสนมนำศพไปผ่าที่ศูนย์กู้ภัยวิเศษฯแทน
 
นายสนม กล่าวต่อว่า ตนเคยผ่าท้องศพเพื่อนำเด็กออกมาฝังหลายศพแล้ว โดยจะฝังศพเด็กไว้ที่บริเวณพื้นที่รอบ ๆ ศูนย์กู้ภัยนี้ และศพทารกคนนี้ถือว่าเป็นศพที่ 27 แล้ว ซึ่งในการทำการผ่าศพนั้น จะต้องมีพิธีกรรมด้วย โดยจะต้องเตรียมเครื่องไหว้ได้แก่ดอกไม้ ธูป เทียน พวงมาลัย เหล้าขาว บุหรี่ และเงินอีก 12 บาท รวมทั้งต้องมีเสื้อผ้าเด็กอ่อน ถุงมือสำหรับเด็ก ของใช้เด็กไม่ว่าจะเป็นแป้ง สบู่ ผ้าอ้อม ขวดนม นม และน้ำ สำหรับฝังรวมไว้ในหลุมให้เด็กด้วย และเมื่อฝังศพเด็กแล้ว ก็ต้องนำศพแม่กลับไปคืนยังวัดเพื่อทำพิธีเผาศพต่อไป
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่นายสนมได้รับศพออกมาจากวัด และนำมาไว้ที่ศูนย์กู้ภัยแล้ว  ได้ทำพิธีไหว้ครูพร้อมทั้งทำน้ำมนต์สำหรับใช้ในพิธี จากนั้นก็มาไหว้ขอขมาศพ แล้วใช้มีดหมอ มาผ่าท้องศพ ก่อนนำศพเด็กออกมาจากท้อง จากนั้นก็ได้ทำการเย็บปิดแผลให้กับศพนางสาวจุฑารัตน์ และนำศพเด็กที่ผ่าออกมาซึ่งพบว่าเป็นเพศชาย น้ำหนักประมาณครึ่งกิโล ลำตัวยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ไปฝังยังหลุมที่เตรียมไว้ สำหรับศพเด็กได้ตั้งชื่อว่า ”น้องอุทิศ”

- http://www.dailynews.co.th/Content/regional (http://www.dailynews.co.th/Content/regional)


หัวข้อ: Re: รวมเรื่อง "ขนหัวลุกซู่"
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 26 ธันวาคม 2556 04:58:44
(https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcR2GIvknsYu3OSA6UybbevaSe-To9MTq2s-TMd8GTRH7pb7dY6qQQ)

ผีใส่บาตร

"ดาลัด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านตรงข้าม

ดิฉันเคยได้ยินผู้ใหญ่ชอบพูดว่า คนตายมักจะมีจิตผูกพันอยู่กับญาติสนิทมิตรสหาย หรือคนที่ตัวเองเคยรักใคร่และสนิทสนม ถ้าวิญญาณเฮี้ยนมากๆ ก็จะมาเอาชีวิตของผู้นั้นไปอยู่โลกหน้าด้วย

เรื่องนี้คล้ายๆ กับความเชื่อของคนเอเชียมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะค่ะ คือวิญญาณผีตายโหงจะต้องสิงสู่อยู่ที่แดนตายของตัว ไม่ว่าจะตามถนนหรือแม่น้ำลำคลอง แม้แต่ในเรือกสวนไร่นา หรือป่าเขาก็ตาม ต้องรอคอยจนกว่าจะได้คนชะตาขาดมาตายแทนที่ ตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที

ดิฉันไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้หรอกค่ะ คิดว่าเป็นความเชื่อเก่าๆ ที่อ่อนเหตุผลเอาการเพราะเคยได้ยินเรื่องถนนผีสิง ทางรถไฟมรณะ ฯลฯ ว่ามีผู้พบเห็นภูตผีมาหลอกหลอนมากมายไม่ใช่มีแต่วิญญาณดวงเดียว จริงไหมคะ?

ส่วนเรื่องที่ผู้ตายมาเยี่ยมคนที่รักนั้น ค่อนข้างน่าคิดค่ะ!

ในซอยบ้านที่ราชวิถี มีสามีที่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากเผาศพไปแล้วก็มาปรากฏที่บ้าน บ่อยๆ ภรรยาเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง ตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อนัก แต่ผ่านไปไม่ถึงเดือนเธอก็หัวใจวายบนเตียง ทั้งๆ ที่อายุเพิ่งสามสิบต้นๆ ร่างกายยังสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคร้ายประจำตัวเลย

คราวนี้เชื่อกันว่าวิญญาณสามีมาหา และรับวิญญาณของภรรยาที่รักไปอยู่โลกหน้าด้วยกันจริงๆ

แต่การมาเยี่ยมเยียนคนที่รักของผู้ที่จากไปสู่โลกหน้า โดยไม่ได้มารับวิญญาณไปอยู่ด้วยก็มีค่ะ...จะเป็นเพราะดวงแข็ง หรือชะตายังไม่ถึงฆาตก็ไม่ทราบเหมือนกัน

เรื่องน่าขนหัวลุกเกิดที่บ้านตรงข้าม ค่อนข้างเยื้องๆ กับบ้านดิฉันเอง!

น้าแอ๋วเป็นม่ายสามีตาย อยู่กับลูกสาวคนเดียวชื่ออ้อย ในบ้านมีญาติผู้ใหญ่อยู่ด้วยอีกสองคน น้าแอ๋วเป็นนายหน้าซื้อขายที่ดินและบ้านเรือนทั่วไป นิสัยเป็นคนใจบุญสุนทาน ตอนเช้าๆ จะเห็นร่างผอมสูง แต่งตัวเรียบร้อยออกมาใส่บาตรที่หน้าประตูบ้านเป็นประจำ บางวันก็พาลูกสาวออกมาใส่บาตรด้วย

ดิฉันเห็นสองแม่ลูกใส่บาตรพระวันละสองรูป ไม่ใช่ใส่คนละรูปนะคะ แต่น้าแอ๋วกับอ้อยจะจับทัพพีด้วยกัน ตักข้าวในขันเงินใส่บาตรคล้ายๆ หนุ่มสาวที่ถือคติ "ทำบุญร่วมชาติ - ตักบาตรร่วมขัน" นั่นแหละค่ะ

วันไหนไม่เห็นน้าแอ๋วใส่บาตร ก็เดาได้เลยว่าเธอไปต่างจังหวัดไกลๆ เกี่ยวกับธุรกิจ และอ้อยก็ไม่เคยออกมาใส่บาตรคนเดียว!

ตอนปิดเทอม น้าแอ๋วมักจะพาลูกสาวออกไปต่างจังหวัดด้วย ไม่รู้ว่าเป็นห่วงลูกหรืออ้อยอยากไปเที่ยวกับแม่กันแน่...แต่เมื่อตอนต้นปีนี้เอง สองแม่ลูกกลับจากภาคเหนือก็ปรากฏว่าอ้อยเป็นไข้อาการหนัก ถึงกับต้องไปอยู่ห้องไอซียูที่โรงพยาบาลเอกชนทางฝั่งธนบุรี

ดิฉันกับเพื่อนบ้านไปเยี่ยมก็ใจหาย เพราะอ้อยโคม่า นอนไม่ได้สติแล้ว น้าแอ๋วร้องไห้จนนัยน์ตาบวมช้ำ พวกเราก็ช่วยกันปลอบโยน ให้ความหวัง ว่าวันหนึ่งอ้อยจะต้องฟื้นขึ้นแน่ๆ แต่คงไม่ได้ผล หรอกค่ะ

น้าแอ๋วเล่าว่าลูกสาวเป็นไข้ป่า อาการหนัก คืนหนึ่งอาการทุดฮวบเลยรีบไปบอกพยาบาล แต่แพทย์มาช้าเกินไป...สมองตาย! มีอาการของ "เจ้าหญิงนิทรา" อ้อยโคม่าอยู่ราวครึ่งเดือนก็เสียชีวิต

มีการฟ้องร้องโรงพยาบาล...แต่เรื่องสำคัญคือเหตุการณ์น่าขนหัวลุก หลังจากเผาศพอ้อยไปได้อาทิตย์เดียว!

เช้านั้นดิฉันอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องนอนชั้นบน กำลังจะลงไปทานอาหารเช้าก่อนจะไปทำงาน...ไม่รู้ว่ามีอะไรดึงดูดใจให้หันไปมองทางบ้านน้าแอ๋วซึ่งแต่งชุดดำออกมาใส่บาตรคนเดียวทุกวัน เห็นแล้วอดใจหายไม่ได้ค่ะ

ขณะนั้นน้าแอ๋วกำลังจะใส่บาตรพอดี...

คุณพระช่วย! ท่ามกลางแสงแดดเหลืองอร่ามยามเช้า อ้อยยืนเยื้องๆ อยู่หลังแม่หน้าตาขาวซีดในชุดสีขาว มือเธอจับด้ามทัพพีติดๆ กับมือน้าอ๋อย... ใส่บาตรในอ้อมแขนพระภิกษุชราผู้ก้มหน้าอย่างสำรวม...

สองแม่ลูกยกมือขึ้นพนมไหว้พระอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินเคลียคลอกันเข้าบ้านช้าๆ ส่วนดิฉันถึงกับเข่าอ่อน ถอยมานั่งแปะที่ขอบเตียง...ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

ขอให้วิญญาณของอ้อยจงไปสู่สุคติ ส่วนดิฉันไม่กล้ามองไปที่บ้านนั้นตอนเช้าๆ อีกแล้ว...ขนหัวลุกค่ะ!

- www.khaosod.co.th (http://www.khaosod.co.th)


หัวข้อ: Re: รวมเรื่อง "ขนหัวลุก"
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 18 เมษายน 2557 18:50:52
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSDDiurqwDabfdB6OO3qwnZF1HdAB-Ln3-QkrQeUc-_QdyDQc8LAQ)
ผีเรือน

"ป๊อป" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องคนขับรถ ทุกวันเสาร์ผมมักจะตื่นสายเพราะไม่ต้องไปโรงเรียน แต่เสาร์นั้นจำได้ว่าเสียงวุ่นวายในบ้านทำให้ผมลืมตาขึ้นทั้งที่กำลังฝันมันๆ ตั้งสติสักพักก่อนจะลุกไปเปิดม่านหน้าต่างมองลงไปข้างล่าง

จากห้องนอนผมจะมองเห็นเรือนคนรับใช้ที่ปลูกขนานไปกับแนวรั้ว มันเป็นเรือนชั้นเดียว หลังคาลาดเอียงสีเขียว แบ่งเป็น 3 ห้องนอน ห้องริมสุดด้านโน้นเป็นห้องของนายหมานคนขับรถของคุณยาย ผมเรียกแกว่าลุงหมาน แม้จะชอบดื่มเหล้าแต่ก็ขับรถดีไม่มีอุบัติเหตุเลย

ลุงหมานเป็นชายวัย 40 เศษที่โสดสนิท ไม่ใช่เพราะอัปลักษณ์อย่างเดียว แต่เป็นที่นิสัยใจคอ จะว่าเป็นคนเลวก็ไม่ใช่ แกโหลยโท่ยซะมากกว่า คือขี้เกียจและไม่มีน้ำจิตน้ำใจกับใครเลย ที่จริงแกขี้คุย หัวเราะเก่ง แต่ลึกๆ แล้วเห็นแก่ตัวเป็นที่หนึ่ง

คุณยายไม่ได้ตั้งใจจ้างแกหรอก แต่เพื่อนพามา บอกว่าสงสารเพราะไอ้เจ้าคนนี้หางานทำไม่ได้ ไม่มีใครเอา เพื่อนฝูงก็ดูถูกเพราะตามเขาไปกินตลอดแต่ไม่เคยจ่ายเงิน ขืนปล่อยให้ว่างงานก็คงไม่แคล้วอดตาย หรือไม่ก็เป็นโจรไปเลย!

ท่าทางลุงหมานไม่มีพิษสงอะไร ตาเศร้าๆ หน้าหมองๆ คุณยายสงสารก็เลยรับไว้ โดยยอมทนรำคาญกับนิสัยแย่ๆ หลายอย่างของแก

แปลกนะ...ลุงหมานอยู่กับเรามาถึง 10 ปีแน่ะครับ คุณยายบอกว่าไม่ถึงกับดีมาก แต่ก็ไม่เลว คนเราถ้าซื่อสัตย์ไม่ลักไม่ขโมยก็พอจะอยู่กันได้ ไอ้เรื่องโกหกตอแหลขี้โม้น่ะ คุณยายรู้ทันแต่ก็เฉยไว้ ผมละเซ็งจริงๆ

และแล้ว...อยู่มาวันหนึ่ง คือเมื่อ 2-3 วันมานี่เอง เงินปึกใหญ่ของคุณยายก็หายจากกระเป๋าสตางค์ที่เก็บไว้ในกระเป๋าถือใหญ่ เงินที่หายไปน่ะตั้งสามหมื่นเชียวนะครับ คุณยายเตรียมไว้จะซ่อมแซมห้องน้ำ...อดเลย! ที่สำคัญมันหายไปในบ้านเรานี่แหละ

คุณยายจำได้ว่าวันนั้นลงจากรถ พอดีเพื่อนแวะมาหา ลุงหมานขับรถเลยไปจอดในโรงรถ โดยกระเป๋าถือคุณยายยังอยู่เบาะหลัง และคุณยายก็ล้มไปเลย กว่าจะนึกได้อีกทีก็ผ่านไปหลายชั่วโมง...เงินก็ล่องหนหายไปโดยไม่รู้จะโทษใครได้ ทั้งที่สงสัยลุงหมานมากที่สุด แต่อย่างว่าละครับ...จับไม่ได้คาหนังคาเขานี่นา!

พอถึงเช้านี้ เขาก็วุ่นวายกันอยู่ที่หน้าห้องลุงหมาน

เอ๊ะ! มีอะไรกันแน่ๆ ผมต้องลงไปดูซะหน่อยแล้วละ

ไม่ใช่หรอกครับ...ไม่ใช่ที่ผมคิดว่าคุณยายเอาตำรวจมาจับลุงหมาน แต่มันน่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นตั้งหลายเท่า...ผมขนลุกไปหมดแล้วนะเนี่ย!

ลุงหมานนั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องแก ขณะที่คนอื่นๆ จ้องขึ้นไปบนเพดาน พลางวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่...ผมมองตามสายตาของทุกคนไปตรงนั้นแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง หลุดปากร้องเฮ้ย! ออกมาซะลั่นบ้าน

เพดานห้องด้านในที่ตรงกับหัวเตียงลุงหมาน มีรอยฝ่าเท้าขนาดใหญ่มหึมาปรากฏอยู่เด่นชัด!!

มันไปอยู่ตรงนั้นได้ไง? และใครจะมีรอยเท้าใหญ่ ขนาดนั้น...ใหญ่กว่าไฟเพดานห้องน่ะครับ นี่แสดงว่าเจ้าของรอยฝ่าเท้าจะต้องตัวโตมหึมากว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างน้อย 3-4 เท่า

ผมสาบานได้ว่าเป็นรอยเท้าอย่างชัดเจน เท้าข้างซ้ายครับ มีเส้น มีนิ้วเท้าครบถ้วน เหมือนเราเอาเท้าจุ่มโคลนแล้วประทับไว้ แต่มันเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ซึ่งตรงกับหัวหรือหน้าลุงหมานที่กำลังนอนบนเตียงพอดี...สยองเหลือกำลัง

ลุงหมานท่าทางคิดหนัก ทำหน้าคล้ายคนกำลังจับไข้ แกเล่าว่าคืนก่อนแกนอนๆ อยู่ได้ยินเสียงคนเดินหนักๆ บนกระเบื้องหลังคา รับรองว่าไม่ใช่แมวหรือหนู แต่เป็นเสียงฝีเท้าก้าวยาวๆ 3-4 ก้าว วนไปวนมา แกนอนตัวแข็ง นึกไม่ออกว่าเป็นผีเรือนหรือขโมย?

ถ้าเป็นผีแกไม่ออกมาหรอก ถึงเป็นขโมยก็เถอะ! ปล่อยให้มันขโมยไปซิ เรื่องอะไรจะเอาตัวออกมาเสี่ยง?

พอตอนเช้าเมื่อวานตื่นมาก็ไม่มีอะไร ครั้นถึงเช้านี้ พอตื่นแกก็บิดขี้เกียจกลับไปกลับมา พอลืมตา...แกชาวาบ หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นรอยเท้าสยองขวัญเหยียบเต็มเพดาน!

คุณยายบอกว่านั่นคือผีบ้านผีเรือน

- thaibizcenter.com


หัวข้อ: Re: รวมเรื่อง "ขนหัวลุก"
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 18 เมษายน 2557 18:59:54
.

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQsK-cjdTb1UndvdiAX7rTidsTgmmXRry3xeJaAUyQvCFkRr24hzQ)
บ้านผีเฮี้ยน
ขนหัวลุก ใบหนาด

"ต๊ะ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรังสิต

คืนนั้นเป็นคืนที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของผม และผมจะไม่มีวันลืมแน่ๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะนึกถึงมันเลยแม้แต่นิดเดียว

บ้านผมอยู่ยานนาวา พ่อแม่ชอบพูดชมผมให้คนอื่นๆ ฟังเสมอว่า ผมเป็นเด็กเอาถ่าน ได้เรื่องได้ราว เป็นธุระให้พ่อแม่ได้ทุกเรื่อง...แหม! ก็เด็กจบจากรามฯนี่ครับ ตอนอยู่โรงเรียนก็เป็นหัวหน้าลูกเสือ หัวหน้าห้อง พอเข้ามามหาวิทยาลัยอยู่ปีสองก็เป็นหัวหน้าชมรม นิสัยผมชอบช่วยเหลือคนอื่นครับ...และนี่เอง คือที่มาของคืนสยองคืนนั้น!

ลุงวีระ - เพื่อนของพ่ออยากได้คนไปนอนเฝ้าบ้านให้คืนหนึ่ง เพราะจะต้องไปทำธุระกับป้าน้อยที่ต่างจังหวัด ที่บ้านก็ไม่มีใครเลย อยู่กันแค่สองคนตายาย ลูกๆ แต่งงานแยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว

แหม! เรื่องแค่นี้จะเป็นไรไป บ้านของลุงวีระอยู่รังสิต ใกล้มหาวิทยาลัยของผมพอดี ไม่ลำบากหรอก ผมจะไปเฝ้าบ้านให้หนึ่งวันกับหนึ่งคืน พอรุ่งขึ้นวันจันทร์ผมก็ไปเรียน ลุงวีระจะกลับมาราวๆ บ่าย ทุกอย่างลงล็อกพอดิบพอดีไม่มีปัญหา

เช้าตรู่วันอาทิตย์ ผมสะพายเป้ไปถึงบ้านลุงวีระ และได้พบกันก่อนจะออกเดินทาง ป้าน้อยจัดห้องให้ผมนอนที่ชั้นบน เป็นห้องนอนเดิมของลูกสาวคนโตน่ะเอง

คุณป้าเตรียมของกินใส่ตู้เย็นไว้เพียบ ส่วนคุณลุงบอกให้ผมทำตัวตามสบาย ดูทีวี ฟังเครื่องเสียง เล่นคอมพิวเตอร์ได้ทุกอย่าง...บ้านนี้ไม่ใหญ่โตอะไรนักหรอกเพราะเป็นหมู่บ้าน แต่แปลกมากที่บ้านข้างๆ รอบๆ นั้นไม่มีคนอาศัย มันปิดไว้เฉยๆ บางหลังมีป้ายประกาศขาย บ้างก็มีประกาศให้เช่า...เป็นเพราะอย่างนี้กระมัง คุณลุงถึงต้องหาคนมาเฝ้าบ้านเพราะมันดูเปลี่ยวเอาการ...ขโมยขโจรคงจะชุมน่าดู!

ตอนกลางวันน่ะไม่เท่าไหร่หรอกครับ ผมถูกปล่อยให้อยู่ลำพัง แต่ก็สบายเชียวละ ผมเอาเนื้อออกมาย่างกับเตาอเนกประสงค์ กินคนเดียวอย่างเอร็ดอร่อยแล้วเอางานที่อาจารย์สั่งเป็นการบ้าน โดยใช้เน็ตของคุณลุง... พอตกกลางคืนกลายเป็นคนละเรื่องเลยครับ

ผมรู้สึกว่าบรรยากาศที่อบอุ่นน่าสบายนั่นจางหายไปพร้อมๆ กับแสงตะวันละแวกบ้านลุงวีระ...คือรอบๆ ตัวผมมันช่างวังเวงเหมือนอยู่ในโลกร้างไม่มีผิด!

งานของผมก็ยังไม่เสร็จ ต้องค้นคว้าในเน็ตต่อไปอย่างมีสมาธิ แล้วพักกินมื้อเย็นราวๆ ทุ่มเศษ จากนั้นก็เปิดเน็ตทำงานต่อ

ราวสองทุ่มกว่า ผมได้ยินเสียงแปลกๆ เหมือนมีคนจำนวนมากคุยกันอยู่ที่บ้านข้างๆ ก็เลยเปิดม่านดู...รอบๆ ตัวมีแต่ความมืด จะสว่างเฉพาะแสงไฟถนนเท่านั้น แล้วเสียงพวกนั้นมาจากไหนน่ะ? ช่างเถอะ...อยากทำงานให้เสร็จเร็วๆ จะได้เข้านอน สักห้าทุ่มสองยามก็ยังดี

ยิ่งดึก ผมยิ่งรู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างวุ่นวายอยู่รอบๆ ตัว บางทีก็เหมือนมีใครมายืนมองนอกหน้าต่าง ตอนแรกยังผวา นึกว่าขโมยมันดอดเข้ามา...ผมชักกลัวแล้วนะ

สี่ทุ่มครึ่ง ผมได้ยินเสียงคนทะเลาะกันดังมาจากข้างบ้านนี่เอง!

เมื่อเดินไปดูก็พบว่า บ้านหลังนั้นมืดตึ๊ดตื๋อเหมือนเดิม แต่แล้วก็เห็นสิ่งประหลาด ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากบ้านที่มืดๆ นั้น ไม่ใช่ออกนอกประตูรั้วนะครับ แต่ออกมายืนที่ระเบียงชั้นสองพอดี

เขาใส่เสื้อกล้ามขาวๆ ไฟถนนส่องให้เห็นว่าอายุราวสี่สิบกว่าๆ ร่างท้วม ผมบางเขายืนเหม่อลอย ถอนใจ...แล้วก็หันหน้ามาทางผม

คุณพระช่วย! เขามีท่าทางว่ามองเห็นผมด้วย นั่นไง! เขาโบกมือให้ ผมยกมือโบกตอบอย่างใจลอยยังไงไม่รู้...เหมือนถูกสะกดจิตยังไงยังงั้น!

จากนั้นก็ไม่มีสมาธิทำงานแล้วครับ ผมเข้านอนปิดม่านหน้าต่างหมด เปิดแอร์และเปิดไฟหัวเตียงไว้ รู้สึกหนาวเยือกๆ บอกไม่ถูก แว่วเสียงเหมือนผู้ชายร้องไห้จากบ้านข้างๆ น่าขนลุกชะมัด คืนนั้นผมฝันร้าย เห็นแต่ภูตผีปีศาจจนสะดุ้งผวา หลับๆ ตื่นๆ ไปทั้งคืน!

รุ่งขึ้นไปมหาวิทยาลัย เพื่อนๆ ถามว่าทำไมขอบตาดำเป็นหมีแพนด้า ผมเลยเล่าสิ่งที่พบมาให้ฟัง...

ไม่น่าเชื่อเลยครับ รุ่นน้องคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่ม พูดถึงชื่อหมู่บ้านนั้นขึ้นมา พอผมบอกว่าใช่ เขาก็เล่าว่าเขาอยู่ที่หมู่บ้านนี้เอง เมื่อหลายเดือนก่อนมีบ้านหลังหนึ่งจัดงานเลี้ยงแต่พอตกค่ำเจ้าของบ้านก็ทะเลาะกับเมียแล้วผูกคอตายกลางดึกคืนนั้นเอง

ตั้งแต่นั้นผีก็ดุมาก คนข้างบ้านต่างกลัวผี เพราะหลายคนเห็นกับตาว่าคนที่ตายนั้นออกมายืนที่ระเบียง...หลายบ้านถึงกับย้ายหนี! ฟังแล้วเข่าอ่อนเลย...ถ้างั้นผมก็เจอเข้าแล้วเต็มๆ

ทุกวันนี้ผมยังมีนิสัยชอบช่วยคนอื่นอยู่เหมือนเดิม แต่ถ้าคุณลุงวีระขอให้ไปเฝ้าบ้านอีก ผมเห็นทีจะต้องปฏิเสธละครับ...เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย!
th-th.facebook.com


หัวข้อ: Re: รวมเรื่อง "ขนหัวลุก"
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 15 เมษายน 2558 18:56:35
.

(https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRx7j0DIsRDcxK4P2jJhq8X_eME7kJsjFmeJnhf_J35XOMvPGfW)
ปีศาจเสน่หา

บริษัทของเราตั้งอยู่ถนนรัชดาภิเษก ใกล้ๆ กับแยกสุทธิสาร เลี้ยวเข้าซอยขวามือไปไม่ไกลก็ถึงแล้วค่ะ พอตกกลางคืนทั้งรถราและผู้คนถึงกับคับคั่งขวักไขว่เชียวละ สาเหตุมาจากแหล่งบันเทิงนับร้อย ไม่ว่าบาร์ ผับ เลานจ์ คาราโอเกะ

สาวโคโยตี้ที่เต้นสุดใจขาดดิ้น, โรงแรม, โรงนวดที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดหน้าฝน!

โดยเฉพาะนวดกับสปานี่มาแรงมากค่ะ...สปาแบบจริงๆ จังๆ หรือสปาบังหน้าเพื่อค้าของเก่ามีทั้งนั้น...นักเที่ยวจะไม่แน่นเป็นปลากระป๋องได้ยังไงล่ะคะ? ไม่ได้ไปเที่ยวเองก็ทราบค่ะ เพราะพวกเพื่อนๆ ผู้ชายเขาชอบเที่ยวกันแทบทุกคนแล้วเอามาเล่าให้เราฟัง

ชุมทางบันเทิงคึกคักซะขนาดนี้ ยังไม่วายมีเรื่องเร้นลับ น่ามหัศจรรย์ หรือพูดให้ตรงเผงก็คือเรื่องผีๆ สางๆ ทำให้พวกเราขนหัวลุกอีกต่างหาก!

ใกล้ๆ บริษัทเราเป็นเลานจ์ที่มีห้องคาราโอเกะข้างบน ส่วนชั้นลอยตั้งโต๊ะสำหรับคุยกับสาวพริตตี้ หรือโฮสเตส แต่คำว่าพริตตี้ที่แปลว่าสาวสวย หรือสาวเจ้าเสน่ห์ฟังแล้วน่ารักกว่าเป็นไหนๆ...ชั้นล่างคือฟลอร์สำหรับเต้นรำ มียกพื้นสำหรับสาวโคโยตี้ในชุดเซ็กซี่สุดๆ แกว่งอกส่ายสะโพกสะบัดช่อกันอย่างเต็มที่

บนเคาน์เตอร์ก็กลายเป็นเวทีให้น้องหนูวาดลวดลายล่อไอ้เข้ พวกเสี่ยพวกป๋าที่แหงนหน้าจ้องมองกันตาค้าง

ถ้ารู้สึกว่าดิฉันจะรู้ละเอียดไปหน่อยต้องยกให้เจ้าโรจน์กับเจ้าโก๋...อ้อ! เจ้าจุ่นอีกคน เพราะสามเสือนี่เป็นนักเที่ยวตัวจริงเสียงจริง ถ้าไม่มีพ่อแม่รวยรับรองว่ามันหมดสิทธิ์...เจ้าสามคนนี่เก็บรายละเอียดมาเล่า ให้ฟัง

พองานเลิกก็ชวนไปอุ่นเครื่องราว 2-3 ทุ่มก็โผล่เข้าไปเสนอหน้าแล้ว ยังงี้จะไม่มีแฟนประจำได้ยังไงคะ?

ได้ยินเจ้าจุ่นกับเจ้าโรจน์รุมแซวเจ้าโก๋ว่าได้แฟนสวยระดับยอดดารา ชื่อน้องอุ๋ม...สูงยาวเข่าดี มีพวกเสี่ยพวกป๋าเอาเงินมาทุ่มเดือนละเป็นแสน ไหนจะพวก "พ่อเลี้ยง" กับ "นายหัว" มาจ่ายไม่อั้น ทั้งซื้อรถป้ายแดง ซื้อคอนโดฯ ชั้นดีให้แถวพระราม 3 จนน้องอุ๋มเธอสับหลีกแทบไม่ทัน

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ น้องอุ๋มกลับเลือกเจ้าโก๋เป็นยอดชายประจำใจเธอเฉยเลย!

เงินทองพ่อแม่กับรายได้ของมันน่ะไม่มีทางสู้พวกเสี่ยพวกป๋าได้หรอกค่ะ แต่นายโก๋นี่จะป.ม.เฉพาะเพื่อนๆ ในบริษัทเท่านั้น พอคุยกับสาวๆ ข้างนอกน่ะ ได้ข่าวว่ามันปากหวานขนาดมดตอมปากละกัน

วันดีคืนร้าย น้องอุ๋มขับรถออกจากเลานจ์ที่รั้วเดียวกับบริษัทเราราวตีสาม...คืนวันอาทิตย์แขกน้อย โดนรถกระบะที่มาทางตรงพุ่งเข้าอัดดังสนั่นเสียงเหมือนฟ้าผ่า...รถเก๋งป้ายแดงของเธอแหลกยับอยู่ตรงปากซอยพอดี

รถมฤตยูคันนั้นตะบึงหนีไปลิบลับ ไหนจะถนนว่าง ไหนจะปิดไฟท้าย คงจะเสียหายไม่ใช่น้อยๆ แต่มันก็รอดพ้นความผิดไปได้...ส่วนน้องอุ๋มคนสวยกลายเป็นศพแหลกเหลวอยู่ในซากรถนั่นเอง!

ลือกันว่า "ป๋าสั่งเก็บ" เพราะนอกใจไปเป็นกิ๊กกับ เจ้าโก๋ ทั้งๆ ที่ป๋าจ่ายไปตั้งเกือบสองล้านบาทแล้ว ใครถามเรื่องนี้เจ้าโก๋ก็เอาแต่ส่ายหน้าดิกๆ ไม่ยอมปริปากแม้แต่คำเดียว

ที่น่าขนลุกก็คือ ตอนพลบค่ำจะมีรถเก๋งสีแดงที่ใครๆ ก็จำได้ดีว่าเป็นรถของน้องอุ๋มขับช้าๆ ผ่านทางเข้าเลานจ์...ผ่านประตูบริษัทเราเข้าไปในซอย สักครู่ก็มีเสียงหมาหอนโหยหวนดังแว่วมา...

คนที่ช่างสังเกตคอยมองตามไปด้วยใจระทึก แต่ยังกล้าพูดกันว่าจะคอยดูตอนขากลับว่าเป็นรถของน้องอุ๋มหรือเปล่า...แต่แล้วก็ต้องตะลึงพรึงเพริดไปตามๆ กันเมื่อเห็นภาพนั้น...

รถเก๋งสีแดงขับจากถนนรัชดาฯ แล่นผ่านเลานจ์ที่เธอเคยทำงานมาอีกครั้ง...ก่อนจะผ่านบริษัทเรา คราวนี้เธอหันมามองช้าๆ ด้วยใบหน้าแสนสวย แต่ขาวซีดจนน่าขนหัวลุก!

ดิฉันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งค่ะ!

เย็นนั้นเลิกงานราวหกโมงเย็น ฤดูหนาวค่ำเร็ว แสงไฟเริ่มผุดขึ้นที่นั่นที่นี่...ขับรถช้าๆ ออกประตูด้านซ้าย เพื่อจะเลี้ยวขวาออกถนนใหญ่...เห็นรถสีแดงใหม่เอี่ยมแล่นช้าๆ เข้าซอยมา จู่ๆ ก็เย็นวาบไปทั้งไขสันหลัง ขนอุยที่ต้นคอลุกซ่า ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่ารถใครแน่...

รถคันนั้นแล่นผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง คนขับหันมามองตั้งแต่ผ่านประตูเข้าแล้ว แม้ว่าจะมาถึงดิฉันเธอก็ยังหันมองยิ้มๆ อยู่อย่างนั้น...แม้จะไม่เคยเห็นหน้าก็รู้ว่าเป็นน้องอุ๋มแน่นอนค่ะ เพราะทั้งรถและคนขับละลายหายไปต่อหน้าต่อตาดิฉันเอง ขณะที่หมาจากก้นซอยโก่งคอหอนเยือกเย็นจับใจ! บรื๋อออ...


th-th.facebook.com


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 15 เมษายน 2558 19:00:36
.

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRKF1maCBFRfX9PR9ujAWNr3UNh3fwQpD76arJDUcFnC-6zE7Vp)

ปีศาจสาวหลิน

"สมเดช" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณผีตายโหง

สมัยวัยรุ่นผมอยู่ที่ภาษีเจริญ ดินแดนหมี่กรอบสุดดังมาร้อยกว่าปี ไหนจะมีขนมไทยๆ ที่หาอร่อยๆ กินยาก ไม่ว่าใครได้ชิมเป็นต้องติดอกติดใจไปตามๆ กัน เรื่องผีดุฉกาจฉกรรจ์ก็น้อยหน้าหย่อมย่านบ้านอื่นเขาซะที่ไหนล่ะ?

ไม่ว่าผีตามวัด ผีในเรือกสวน รวมทั้งผีในคลองบางกอกใหญ่ แม้แต่ศาลาท่าน้ำก็ยังมีคนเคยโดนผีหลอกจนวิ่งโสร่งหลุดลุ่ยมาแล้วนี่นา ทำเป็นล้อเล่นไป

วันนี้ผมจะเล่าถึงผีหมวยสาวรุ่นกระเตาะ สมัยนี้ต้องเรียกว่าสุดเอ๊าะ เพราะเพิ่งจะ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ แต่รูปร่างอวบอัดเหมือนเป็นสาวเต็มตัว หน้าตาสะสวยสดใส ปากแดงแก้มแดง ผิวพรรณขาวอล่อง ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่แถวนั้นมักจะจ้องมองตาเป็นมันไปตามๆ กัน

หลินคือชื่อของเธอ ช่วยพ่อแม่ขายของชำ มีสุราอาหารพร้อม ตอนเช้าคอกาแฟนั่งกันสะพรั่ง ตกบ่ายหน่อยก็กลายเป็นที่ตั้งวงก๊งสุราของบรรดาผู้อาวุโสประจำถิ่น

แม้ว่าจะสะสวยหมวยอึ๋ม แต่หลินก็ไม่แยแสพวกผู้ชายที่มาแทะโลม ถ้าใครล้ำเส้นมักโดนด่าเจ็บๆ แสบๆ โดยเฉพาะตาหยดกับตาแร่ ขาเมาประจำร้านที่ทำท่าว่าจะตัณหากลับเอาดื้อๆ

"แม่โวย!" ตาหยดดูดปากจ๊วบเมื่อเห็นเด็กสาวเดินผ่านไปมาในชุดเสื้อยืดสีเหลืองคับๆ กางเกงขาสั้นสีดำโชว์ขาอ่อนขาวผ่อง "เอ็งตัวแบบนี้มันเหมือนไม่ได้นุ่งผ้านุ่งผ่อนอะไรเลยว่ะ"

เด็กสาวหันขวับมาแค่นหัวเราะ

"อ๋อ! อยากเห็นฉันล่อนจ้อนในชุดวันเกิดล่ะซี ยกมือไหว้ตรงนั้นซะสิจะได้เป็นมงคล"

ตาหยดกระเดือกน้ำลายเอื๊อก คนอื่นๆ หัวเราะครืน ตาแร่รีบช่วยเพื่อนทันที

"ไอ้หยดมันก็พูดความจริงนี่หว่า หลินเอ๊ย...ระยะหลังๆ มานี่เนื้อสาวเอ็งแตกบึ่บบั่บขึ้นทุกที ดูสิ! ตัวแค่นี้หน้าอกยังกะส้มโอ ตูดก้นก็ทั้งใหญ่ทั้งงอน ผึ่งผายเป็นปากแตรเชียวว่ะเฮ้ย!"

"อือ...ฉันก็ว่างั้นแหละ" หลินเหวี่ยงสะโพกหันบั้นท้ายเข้าไปหา "มันใหญ่เบอะบะขึ้นทุกทีจริงๆ ด้วย! เออ...ชะโงกเข้ามาดูใกล้ๆ ซิว่าก้นฉันมันใหญ่ขนาดหน้าแกได้มั้ย ตาแร่?"

เสียงเฮตึงด้วยความสะใจ สองเฒ่ารีบแหงนหน้าซดเหล้าโรงวูบวาบดับอารมณ์ หลินไม่แยแส สะบัดบั้นท้ายเลี้ยวไปทางหลังร้านที่มีบ้านแบ่งห้องเช่าอยู่ใกล้ๆ ร่มมะพร้าว ตะโกนถามขึ้นไปว่าเย็นนี้พี่ชัยจะกินอะไร เดี๋ยวจะเอามาให้...แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบ เด็กสาวก็ตัดสินใจเดินเข้าไปทันที

หลินหายไปเกือบชั่วโมงใครๆ ถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ แน่ใจว่าเธอขึ้นไปหาลูกค้าขาประจำที่เป็นเซลส์แมนชื่อพิชัยแทบทุกวันทั้งเช้าและเย็น เพื่อเอากาแฟไข่ลวกหรือก๋วยเตี๋ยวข้าวผัดไปส่ง จนหลายคนเชื่อกันว่าหนุ่มสาวคู่นี้อาจจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วก็เป็นได้

แต่เมื่อโผล่เข้าไปในห้องพักของพิชัยที่เปิดแง้มอยู่ ก็พบกับภาพเด็กสาวเปล่าเปลือยนอนหงายตาเบิกโพลง ลิ้นจุกปากอยู่บนเตียง รอบคอเขียวช้ำเพราะโดนบีบเค้นจนขาดใจตาย!

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าหลินโดนข่มขืนฆ่าอย่างน่าอนาถใจ ขณะที่ทุกคนสงสัยว่าพิชัยเป็นตัวการแล้วหลบหนีไป พิชัยก็เดินขึ้นมาอย่างงุนงง...ยืนยันว่าเขาเพิ่งจะกลับมาหยกๆ นี่เอง

พิชัยรอดตัวไป แต่ตำรวจก็ยังมืดแปดด้าน ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าใครคือฆาตกร?

งานศพเด็กสาวชะตาขาดผ่านไปแล้ว พิชัยอยู่ช่วยงานจนเรียบร้อยแล้วเก็บเสื้อผ้าไปหาที่อยู่ใหม่ บอกกล่าวให้คนฟังขนลุกขนพองไปตามๆ กันว่า...อยู่ไม่ไหว หลินร้องไห้มาหาผมทุกคืน!

ยามราตรี ห้องว่างเปล่าที่ยังไม่มีใครกล้ามาเช่าก็เกิดเหตุการณ์แปลกๆ นั่นคือไฟฟ้าปิดๆ เปิดๆ ไปครึ่งค่อนคืน ต่อมาคนอยู่ห้องใกล้ๆ ก็ต้องนอนสะดุ้งเป็นกุ้งเต้นเมื่อได้ยินเสียงตึงตัง โครมคราม ตามด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน... อย่านะ! ไอ้สัตว์นรก...อย่าทำกู! โอ๊ย ช่วยด้วยๆๆ

บางคืนก็มีเสียงร้องไห้ สะอึกสะอื้นคร่ำครวญชวนให้ขนหัวลุก ไม่ช้าคนที่เช่าอยู่ก็ทยอยกันย้ายออกไปเรื่อยๆ บรรยากาศยามค่ำคืนมีความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวชวนให้วังเวงใจสิ้นดี

หมาเจ้ากรรมก็พากันโก่งคอหอนโหยหวนไม่หยุดหย่อน เหมือนมันประสบพบเห็นอะไรบางอย่างที่แสนจะน่าเกลียดน่ากลัวอย่างเหลือประมาณ!

คืนนั้นใกล้จะปีใหม่แล้ว ไม่ว่าใครๆ ก็ล้วนแต่ตื่นเต้น คึกคัก อยากจะให้สิ้นปีเร็วๆ เพื่อจะได้เริ่มต้นสิ่งดีๆ ในวันปีใหม่ ทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ โดยเฉพาะวัยรุ่นอย่างพวกผมยิ่งตื่นเต้นนักหนา

ตกลงกันว่าจะข้ามไปเที่ยวปีใหม่ที่ท้องสนามหลวง แต่ตอนนี้สนุกกันแถวบ้านก่อน

ร้านสุราอาหารมีแต่ผู้คนคึกคักสนุกสนาน พวกเราปักหลักกันที่ร้านชำ สั่งเหล้าโซดากับแหนมมาเป็นกับแกล้ม อ้อ! ได้ข้าวเกรียบกุ้งอีกถุงก็พอถมเถไป

ใครผ่านมาก็ชักชวนให้ร่วมวงครึกครื้น เดี๋ยวๆ ก็หมุนเวียนกันไปเข้าห้องน้ำหลังร้าน จนกระทั่งถึงคราวผมเข้าไปชิ้งฉ่องอยู่ในสุขาที่มีไฟเหลืองรัว...เสร็จสรรพเปิดประตูออกไปก็เกือบชนกับเด็กสาวคนสวยที่ผมจำได้ดี...ไงจ๊ะ หลิน? หายไปนานเชียวนะ...

สาวสวยเอียงคอยิ้มหวานยั่วเย้า เดินผ่าร่างผมเข้าห้องน้ำดื้อๆ เสียงหัวเราะหวานใสทำให้ผมนึกได้ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว...หลิน! ตะโกนสุดเสียงได้คำเดียวก็สลบคาที่อยู่ตรงนั้นเองครับ!

th-th.facebook.com


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 05 พฤษภาคม 2558 08:57:09
.

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQLrL1NuV1o9S3EHDqWymL0ZNiGIwBz9UAN_kfSKdqorqugRMaAng)

วิญญาณร้องไห้

"พิมพ์มาดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเตือนใจทาสสุรา

น้องเพียวเป็นผู้หญิงที่ดิฉันรู้จัก ถึงจะไม่สนิทสนมแต่ก็ทักทายกันทุกวัน เธออยู่ถัดจากบ้านดิฉันที่ดินแดงไปแค่สองหลัง ตอนเช้าตรู่เวลาออกมาใส่บาตร ก็จะแลเห็นเธอซ้อนรถจักรยานของพี่สาวไปโรงเรียนด้วยกัน เมื่อเห็นดิฉันเธอก็ยิ้ม โบกมือหย็อยๆ

ดิฉันเอ็นดูเธอจริงๆ เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้จวนจบป.6 เข้า ม.1 แล้ว ซึ่งก็คงไม่แคล้วโรงเรียนใกล้บ้านนี่ล่ะค่ะ ได้ข่าวว่าเรียนเก่ง ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ด้วย นับว่าเป็นความหวังของพ่อแม่เชียวละ

ครอบครัวเธอหาเช้ากินค่ำ แม่ขายข้าวแกง พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย พี่สาววัยรุ่นนั้นถึงจะเรียนไม่เก่งแต่ก็เป็นเด็กดี ช่วยแม่ตัวเป็นเกลียว

ท่าทางครอบครัวนี้คงจะไปได้สวย แต่โชคชะตาก็โหดเหี้ยมกับพวกเขาเหลือเกิน นึกแล้วสงสารจับใจ

เช้าวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ล่ะค่ะ ตอนนั้นดิฉันใส่บาตรเสร็จพอดี ฟ้าสางแล้วล่ะ พระท่านกำลังเดินกลับวัด เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว พี่พรกับน้องเพียวเพิ่งขี่จักรยานผ่านหน้าไป เรายิ้มทักทายและโบกมือให้กันเหมือนเช่นทุกวัน...

ทันใดนั้น ดิฉันได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์บึ้นๆ มาแต่ไกล และแล้วก็...ปัง! ดังสนั่น

ด้วยความสังหรณ์ใจ ดิฉันรีบวางถาด แล้ววิ่งออกไปชะเง้อมอง...นั่นไง!

ชาวบ้าน 2-3 คนวิ่งผ่าน รวมทั้งคนขับตุ๊กตุ๊ก ที่มารับแม่ของน้องเพียวขนของไปขายตลาด เสียงแม่น้องเพียวกรีดร้องไม่เป็นภาษา คนเป็นพ่อหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง ทั้งคู่วิ่งไปพร้อมๆ กับชาวบ้าน

ตรงโค้งแรกห่างออกไปราว 20 เมตรนั่น...จักรยานล้มคว่ำ มีมอเตอร์ไซค์ล้มกระเด็นไปคนละทาง ร่างของเด็กสองคนกองอยู่กับพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ใครขว้างทิ้ง

ดิฉันไปถึงพอดีกับที่น้องพรยันตัวลุกขึ้นอย่างมึนงง แต่น้องเพียวที่กระเด็นห่างออกไปซิคะ เลือดกำลังไหลจากศีรษะเป็นลิ่มๆ อย่างน่ากลัว มันแดงฉานนองพื้นถนน ใครบางคนจับเธอพลิกหงาย...ดิฉันเห็นใบหน้าที่เคยน่ารักกลับถลอกปอกเปิก เปื้อนฝุ่น สีหน้านั้นเฉยเมยดวงตาลืมโพลงแต่ไร้จุดหมาย ไร้ชีวิต สงบนิ่งโดยไม่มีวี่แววตระหนกตกใจ...

เธอตายสนิทในชุดนักเรียนประถมปลาย สะพายเป้อยู่ข้างหลัง!

งานศพน้องเพียวเศร้ามาก แม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ลูกสาวเธอเสียชีวิตเพราะคนเมาเหล้าที่บึ่งมอเตอร์ไซค์โดยใช้ซอยเราเป็นทางลัด

ดิฉันยังจำได้ถึงค่ำคืนที่หนาวเยือก ลมพัดกรูเกรียว ใบไม้แห้งระไปกับพื้นเสียงกรอบกราว...ซอยเราเหงาจับใจ ไฟถนนที่สว่างจ้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นเลย ผู้คนหลบเข้าบ้านเงียบกริบตั้งแต่หัวค่ำ เด็กๆ ไม่ขี่จักรยานไปซื้อของกินเหมือนปกติ...

พวกเขากลัวผีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ค่ะ

ใครๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฮือๆ ในยามดึกสงัดกัน ทั้งนั้น!

แม้แต่ดิฉันเองก็ยอมรับว่ากลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกจากตัวบ้านไปยังสนามหญ้าเช่นเคย ได้แต่อยู่ในบ้านกับลูกๆ เปิดทีวีเสียงดังๆ และเปิดไฟรอบๆ ด้าน เจ้าหมาตัวเล็กก็เห่าบ๊อกๆ แล้วครางโหยหวน มันเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นแน่ๆ

ทุกคนพูดกันว่า น้องเพียวมาแต่เข้าบ้านไม่ได้ มีแต่พ่อกับแม่ของเธอเท่านั้นที่ออกมาชะเง้อหาลูกที่เหลือแต่วิญญาณ และพยายามพาลูกเข้าบ้านแต่ไม่สำเร็จ

น้องเพียวร้องไห้ให้ชาวบ้านได้ยินทุกคืน!!

ในที่สุดซอยเราก็ร่วมใจกันทำบุญครั้งใหญ่ บอกน้องเพียวให้รู้ว่าเธอตายแล้วไปสู่สุคติเถิด ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น

หลังจากคืนนั้น น้องเพียวก็เงียบเสียงไป แต่อีกนานเชียวล่ะกว่าทุกคนจะกล้าออกจากบ้านยามที่ค่ำมืด...

ครอบครัวของน้องเพียงนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วค่ะ บ้านเดิมก็มีคนมาอยู่ใหม่แล้ว ทิ้งไว้แต่ตำนานและเรื่องเล่าขานที่แสนเศร้า เด็กดีคนหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพ่อแม่ ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนขี้เมา

ใครชอบดื่มเหล้าดื่มเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่มีใครห้ามหวง ขอร้องแต่อย่าขับรถเท่านั้น เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความมึนเมามากมายเหลือเกิน...ถ้าเดือดร้อนเฉพาะตัวเองก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่พลอยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ได้รับบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต ส่วนหนึ่งกลายเป็นคนพิกลพิการ หมดอนาคตไปชั่วชีวิต

"ดื่มไม่ขับ" เพื่อตัวของคุณเองและคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคุณด้วยนะ


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 08 พฤษภาคม 2558 11:06:53
.

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcT1isHw7MaKh8IKunZLdpVytwRDjTiOU1--GRqnhrX730ZPzbXu)

วิญญาณห่วง (วิญญาณเพื่อน)

"รอยพิมพ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเพื่อน

ทันทีที่รู้ข่าวว่า "พลอย" น้องในที่ทำงานของดิฉันประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเมื่อคืนนี้ ตอน 3 ทุ่ม ดิฉันก็งงงันไปหมด มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อพลอยขับรถมาหาดิฉันที่บ้านตอนตี 2 เธอมาหาดิฉันหลังจากที่เธอเสียชีวิตแล้วอย่างนั้นเหรอ?

ในงานศพของพลอย ดิฉันต้องเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะมีแต่คนสนใจ ต่างก็มามุงฟังด้วยความตื่นเต้น ขนลุกซ่า...และพากันชำเลืองไปที่โลงศพของสาวน้อยอย่างยำเกรง

คืนที่เกิดเหตุ พลอยขับรถออกจากบ้านที่อุทัยธานีมากับเพื่อนชาย ชื่อ นพ ขณะแล่นมาตามถนนสายชนบทที่ทั้งแคบทั้งมืดและเปลี่ยว แสงไฟหน้ารถก็พลันส่องให้เห็นลังขนาดใหญ่หลายใบ หล่นกระจัด กระจายขวางอยู่กลางถนน

ด้วยความที่ตกใจ พลอยหักพวงมาลัยกะทันหัน และพุ่งประสานงากับรถหกล้อที่ขับสวนมาอย่างจัง ร่างของพลอยรับแรงปะทะอย่างเต็มที่ ขณะที่นพเพียงแต่บาดเจ็บเล็กน้อย

ในคืนเดียวกันนั้น ดิฉันเข้านอนตอนสี่ทุ่ม แต่กว่าจะหลับก็อีกนานเลยล่ะ เพราะมัวแต่กังวลเรื่องงานสำคัญที่นัดกับพลอยไว้ว่าจะสะสางด้วยกัน

ดิฉันคิดไปคิดมาแล้วเลยผล็อยหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...มาตื่นอีกทีตอนกลางดึกเพราะต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ ครั้นทำธุระเสร็จก็จะกลับมานอน พอดีได้ยินเสียงรถมาจอดหน้าบ้านเลยไปมองที่หน้าต่าง...

อ้อ! นั่นพลอยนี่นา มาทำไมดึกดื่นป่านนี้ ดิฉันเหลือบดูนาฬิกาเห็นว่าเป็นเวลาตี 2 พอดี...เอ! มีอะไรรึเปล่านะ?

ดิฉันตาสว่าง ลงบันไดไปเปิดประตู เดินออกไปที่ประตูรั้วหน้าบ้าน

รถสีขาวของพลอยจอดเทียบประตูรั้วพอดี เธอนั่งกุมพวงมาลัยอยู่ในรถ และเปิดหน้าต่างพลางเอียงศีรษะออกมามองดิฉันเหมือนสับสน...

"มีอะไรเหรอ? มาซะดึกเชียว" ดิฉันถามด้วยความเป็นห่วง มองฝ่าความมืดไปยังเบาะข้างคนขับ ไม่เห็นนพนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างที่เคยเห็นจนคุ้นตา

ในใจตอนนั้นคิดว่าพลอยคงมีเรื่องทะเลาะกับนพเลยขับรถมาหาดิฉัน ซึ่งเป็นที่พึ่งของเธอ แต่ท่าทางของพลอยไม่บ่งบอกว่าเธออารมณ์เสีย หรือทะเลาะเบาะแว้งกับใครมา...มันยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ ดิฉันจับสังเกตได้ว่าเธอเหม่อลอย และไม่แน่ใจว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?

"เอางี้นะ เข้ามาในบ้านก่อนดีกว่า" ดิฉันก้มลงถอดกลอนประตู พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ต้องชาวาบไปทั้งตัว...

รถของพลอยหายไปแล้ว เบื้องหน้ามีแต่ความว่างเปล่า!

ดิฉันผงะถอยหลัง ตั้งตัวไม่ติดกับสิ่งที่ได้เห็น นี่มันเกิดอะไรขึ้น ดิฉันละเมอเดินเหรอคะ? เห็นอะไรไปเองเป็นตุเป็นตะขนาดนี้เชียวหรือ? ลืมบอกไปว่าดิฉันไม่ใช่คนเชื่อเรื่องผีและไม่กลัวผีด้วย...เกิดมาไม่เคยเห็นสักทีนี่คะ

เมื่อไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ดิฉันก็ปลงใจคิดว่าเป็นเพราะความกังวล ผนวกกับความงัวเงียจนเกิดภาพหลอนได้ถึงขนาดนี้ สงสัยต้องไปเช็กสมองซะแล้ว

อากาศคืนนั้นค่อนข้างอบอ้าว แต่ก็มีลมเย็นๆ พัดมาทำให้ขนลุก กระนั้นดิฉันก็กลับไปนอนได้ตามปกติ ถึงจะกังวลเรื่องสุขภาพของตนเองขึ้นมาไม่น้อย แต่ก็ข่มตาหลับลงได้

มาตื่นอีกทีตอนได้ยินเสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น เลยตะกายไปรับ...ปรากฏว่าเป็นพี่สาวของพลอยโทร.มา เธอบอกข่าวร้ายว่า พลอยประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตตอนสามทุ่ม

ดิฉันเข่าอ่อน โพล่งออกไปว่าจะเป็นไปได้อย่างไร พลอยมาหาดิฉันตอนตีสอง! แต่พอทบทวนดูว่ารถของเธอหายไปในอากาศเฉยๆ ดิฉันก็ต้องยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้งว่านั่นเป็นการปรากฏตัวของวิญญาณ!

พี่สาวของพลอยอุทานเสียงหลง เธอเชื่อสนิทว่าเป็นเพราะพลอยยังไม่ทันรู้ตัวว่าตาย และจิตของเธอคงเป็นห่วงเรื่องงานสำคัญที่นัดกับดิฉันไว้

อย่างน้อยดิฉันก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่งว่า สมองของดิฉันไม่มีอะไรผิดปกติ แต่สิ่งที่ได้มาคือความเสียใจที่สูญเสียพลอยไป และความเชื่อว่าจิตวิญญาณมีจริง!

ดิฉันไม่กลัวผีของพลอยเลยค่ะ เพราะยืนยันได้ว่าเธอมาอย่างสวยงามน่ารัก เป็นคนปกติ ไม่ได้ยับเยินเละเทะอย่างที่ศพของเธอเป็น และประสบการณ์ของดิฉันก็เป็นสิ่งที่ปลอบโยนพ่อแม่พี่น้อง และคนที่รักพลอยว่า เธอยังอยู่...

แม้จะอยู่ในโลกหลังความตายก็ตาม เธอไม่ได้ดับสูญ!

ทุกวันนี้ดิฉันทำบุญไปให้พลอยเสมอ ไม่ใช่เฉพาะเธอคนเดียว แต่เป็นคนที่ดิฉันรักและผูกพันทุกๆ คนที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยดิฉันเชื่อว่าวิญญาณยังอยู่ และยังรับรู้ได้ว่าเรารักและห่วงใยอยู่ตลอดเวลา!


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 26 พฤษภาคม 2558 19:21:46
.

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTvtiR1MJ4May_6r4uFGI8pJV9J12ylVP_0n72DH4OuLsrYORxJBg)

ผีขี้หึง
เรื่องนี้เป็นเรื่องของไอ้จอมเพื่อนผมเอง เพื่อนผมคนนี้มันเป็นพวกเพ้อเจ้อศิลปินจ๋ามาตั้งแต่สมัยมัธยม นิสัยและรสนิยมรายวันของมันทำเอาเพื่อนทั้งเอือมทั้งฮาได้ในเวลาเดียวกัน บทมันจะชอบจะเห่ออะไรก็ คลั่งไคล้ขลุกอยู่เป็นวรรคเป็นเวร แต่บทจะเบื่อจะไม่เอาก็ไม่เอาเลย ไม่แตะไม่ต้องไม่อาลัยอาวรณ์

อย่างครั้งนึงมันเคยบ้าธรรมะ ช่วงนั้นมันก็มักจะพูดอะไรเป็นปริศนาธรรม เป็นพุทธวจนะ ชอบสนทนาธรรมกับพวกอาจารย์ที่ชอบทางนี้ เวลามีจัดปฏิบัติธรรมที่ไหนก็ไปกับเขาตลอด นุ่งขาวห่มขาวมาเรียนที่มหาวิทยาลัยโดยไม่สนใจว่าใครจะมองจะขำหรือจะว่ามัน บ้า ถือศีลแปดเคร่งครัด แต่บทมันเบื่อมันก็ทำเหมือนเป็นคนละคน กินเหล้าดูดบุหรี่ หลีแฟนเพื่อน ผิดศีลมันได้เกือบครบทุกข้อหยั่งกับจะสะสมคะแนนบาปเอาแต้มไปแลกอะไร

ช่วงหนึ่งมันบ้ายูเอฟโอ เอเลี่ยน มันก็พูดแต่เรื่อง ยูเอฟโอ ศึกษาดาราศาสตร์ เที่ยวไปหาซื้อหนังสือ ค้นเว็บ หารูป หาสารคดีเกี่ยวกับยูเอฟโอ มานั่งดู แล้วมาวิเคราะห์ว่า ดาวดวงไหนมีความเหมาะสมที่จะเกิดสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้บ้าง แต่ก็เหมือนเดิม เบื่อมาก็ขนทิ้งขนขายเลหลังหมดเกลี้ยง อย่างไม่สนใจไยดี   นั่นแหละครับ พวกเราเลยไม่แปลกใจ ตอนที่เห็นมันมาบ้าพวกเครื่องรางของขลังและคาถาต่างๆ ถึงกับใส่ลูกประคำมาเรียนมีขี้ผึ้งสีปากมหาเสน่ห์มาแจกสาวๆ ในชั้น มีคาถาสาวหลงมาฝากเพื่อนๆ หนุ่มๆ ให้เฮฮาครึกครื้น สะพายย่ามรุงรัง ไว้หนวดไว้เคราจนใครๆ ก็เรียกมันว่าอาจารย์จอม

ตอนหลังพอเราเรียนจบไปทำงานทำการกันหมดแล้ว เรื่องราวของไอ้จอมก็จางลงไปบ้างตามกาลเวลาและรูปแบบชีวิตที่เปลี่ยนไป ผมเองไม่ได้เจอไอ้จอมเกือบสิบปี จนเกือบจะลืมหน้าตามันไปแล้ว ถ้าวันนั้นไม่บังเอิญไปเจอะมันเข้าโดยบังเอิญ

วันนั้นแฟนสาวของผมคะยั้นคะยอให้ผมพาไปหาร่างทรงเจ้าพ่อเสือที่เพื่อนของเธอแนะนำว่าดูดวง แม่นยำและรักษาได้ทุกโรค แฟนสาวของผมซึ่งเป็นไมเกรนเรื้อรังมาหลายปีอยากลองไปพบร่างทรงที่ว่านี้ดู บ้าง เพราะลองรักษามาหลายวิธีทั้งแบบสมัยใหม่และแบบโบราณ แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย   ที่จริงผมก็ไม่ค่อยชอบเรื่องพวกนี้ แต่ไม่อยากทะเลาะกับเธอ เลยยอมเออๆ ออๆ ตามไป อย่างน้อยมีผมไปด้วยพวกหมอผีกำมะลอพวกนี้คงต้มตุ๋มหลอกเอาเงินแฟนผมได้ไม่ ถนัดนัก   พอขึ้นไปบนเรือนพ่อหมอเท่านั้นแหละ ผมก็จำหนวดมันได้ทันที เฮ้ย นั่นมันไอ้จอมนี่หว่า กลายเป็นพ่อหมอไปแล้ว เกล้าผมยาวกลางกระหม่อม นุ่งห่มชุดลายเสือ สักยันต์เต็มแขน จัดเต็ม!

ยังไม่ทันจะร้องทัก ก็พอดีมันลุกขึ้นร้องทักผมเสียเองก่อน และว่าตอนนี้เจ้าพ่อเสือยังไม่ประทับทรง นัดเวลาประทับไว้ค่ำๆ ตอนนี้เลยคุยได้   วันนั้นสรุปว่าแฟนผมเลยยังไม่ได้รับการรักษาจากเจ้าพ่อเสือ เพราะไอ้ร่างทรงดันคุยกับผมติดลมบนแบบไม่สนใจลูกค้าคนอื่น แถมพากันไปกินข้าวต้มร้านใกล้ๆ บ้านมันต่ออีก  "ตอนนั้นที่กูเห็นมึงฮิตเรื่องคาถาอาคม ก็นึกว่ามึงจะเห่อประเดี๋ยวประด๋าวเหมือนเรื่องอื่นๆ ไม่คิดว่ามึงจะเอาจริงเอาจังถึงขนาดเอาดีทางนี้ด้วยนะเนี่ย"

ไอ้อาจารย์จอมที่ตอนนี้เปลี่ยนมาใส่เสื้อยืดขาวกางเกงขาวแล้วอมยิ้มนิดๆ พยักหน้า "เออ ติดใจว่ะ ตังค์ดีชิบหาย อาทิตย์นึงทำงานวันเดียวเงินยังเหลือๆ เอาเวลาไปเสพศิลปะด้านอื่นๆ ได้อีก มึงมีงานอื่นดีแบบนี้ไหมอ่ะ"

ก่อนกลับไอ้จอมยังยื่นหน้ามากระซิบกับผมแบบไม่ให้แฟนผมได้ยินว่า "มึงไปส่งแฟนแล้วเดี๋ยวกลับมาหากูสิ คืนนี้กูมีอะไรให้มึงดู รับรองเด็ด มึงชอบแน่ๆ"   ตอนนั้นผมก็ แอบขำในใจ คิดว่าเออเนาะ ไอ้จอมนี่มันยังเพี้ยนเหมือนเดิมเลยแต่ตอนนั้นก็พอดีเบื่อๆ ไม่มีโปรแกรมทำอะไรพิเศษ เลยลองรับปากตามไปดูของแปลกที่มันว่า

สารภาพตามตรงว่า ตอนนั้นใจผมไม่มีอะไรที่คิดไปเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงเลยสักนิด ผมก็ว่ามันทะแม่งๆ อยู่หรอกตอนที่มันพาฝ่าดงกล้วยเข้าไปกลางสวนหลังบ้านของมัน แล้วเจอกระท่อมเล็กๆ สภาพสวยงามที่ดูออกว่าเพิ่งสร้างไม่นาน ภายในไม่มีไฟฟ้า ใช้เพียงตะเกียงแสงวอมแวมสลัวๆ  ความที่มันดูศิลปินจ๋าออกจะฮิปปี้ๆ ผมเลยนึกว่ามันจะพามาลองดูดกัญชาสูตรใหม่หรืออะไรอื่นๆ ทำนองนั้น แต่เปล่าเลย  สิ่งแรกหลังประตูกระท่อมเปิดออก ทำให้ผมตกใจและประหลาดใจ หญิงสาวสวยจัดอายุราว 18 ปีผมตรงดำยาวสยายเงางาม ทัดดอกไม้ที่หูใส่เสื้อเกาะอกสีเขียวใบตองกับผ้าถุงยาวกรอมข้อเท้าเหมือนสาวต่างจังหวัดเมื่อหลายสิบปีก่อน มองกลับมาทำหน้าตื่นๆ ดวงตาเธอกลมโตหวานฉ่ำขนตายาวเป็นแผงคิ้วเข้มหนา ริมฝีปากแดงด้วยเลือดฝาด สวยผุดผาดจนเหมือนเรืองแสงได้ในที่มืด ทั้งที่ไม่ได้แต่งหน้า

ไอ้จอมแนะนำเขินๆ ว่า นี่เมียมันเอง ชื่อนี...

หญิงสาวมีทีท่าสะเทิ้นอายหลบสายตา เชิญผมและไอ้จอมเข้าไปในกระท่อม หาน้ำหาท่ามาให้ ตอนนั้นผมก็นึกแล้ว อ้อ นี่เอง ทีเด็ดที่ไอ้จอมมันว่า เด็กวัยรุ่นสวยระดับนางงามคนนี้เอง ดูๆ ไปแล้วก็ชักอิจฉา อยากเป็นอาจงอาจารย์กะเขาบ้าง เผื่อจะได้เมียสวยสะเด็ดอย่างนี้  ตลอดเวลาที่นั่งคุยกันในกระท่อมนั้น ผมแทบไม่อาจละสายตาไปจากน้องนีได้เลย เธอดูเหมือนมีรัศมีแห่งความน่าเสน่หาแปลกๆ แผ่ออกมารอบตัว ผิวขาวเหลืองนวลเรืองรองกลางแสงตะเกียงหาตำหนิไม่ได้ ทุกครั้งที่เธอขยับตัว สะบัดผม หรือเอื้อมมือมาหยิบอะไรใกล้ๆ กลิ่นกายของเธอจะโชยหอมลึกล้ำอบอวลไปทั่ว กลิ่นเหมือนดอกไม้ป่าผสมพวกใบเตยใบตอง ยิ่งดูไปยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าเธอไม่ใช่คนแต่เป็นนางฟ้านางสวรรค์ ไอ้จอมมองผมแล้วแอบอมยิ้ม ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม

หลังออกมาจากกระท่อมในคืนนั้น ไอ้จอมเดินออกมาส่งนอกป่ากล้วย กลับมาที่บ้านมัน ทำท่าลับๆ ล่อๆพิกล พอขึ้นบ้านได้ก็ล้อมสายสิญจน์รอบบ้าน แล้วเล่าให้ผมฟังว่ามันกับน้องนีอยู่ด้วยกันมาเกือบปีแล้ว แต่ตอนนี้มันกำลังชอบผู้หญิงคนนึง อยากตบแต่งเป็นเรื่องเป็นราว

ผมก็ตกใจ "อ้าว ไอ้หอก เมียมึงสวยระดับนางงามแล้วยังจะเอายังไงอีก แถมยังเอาน้องเขาไปแอบไปซ่อนไว้ในดงกล้วยโน่น กลัวพ่อแม่เด็กจะมาจับได้หรือไง ไฟฟ้าก็ไม่มีน้องเขายังทนอยู่กะมึง"  ไอ้จอมรีบยกมือเบรกผม "มึงอย่าเพิ่งโวย สั้นๆ นะ มึงชอบน้องเขาไหม ถามแค่นี้ ถ้ามึงชอบกูจะยกให้มึง"  ก่อนที่ผมจะทันโวยวายไปมากกว่านั้น ไอ้จอมก็รีบชิงเล่าเรื่องประหลาดที่ไม่ได้มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิดให้ผมฟัง มันบอกว่า น้องนีที่ผมได้เจอนั้น ชื่อเต็มๆ ว่า น้องตานี! มันศึกษาวิธีของมันอยู่นานหลายปี ดงกล้วยตานีหลังบ้านนั่น เป็นความสำเร็จของมันที่ทำให้มีนางตานีมาสถิตอยู่ได้จริง

"ต้องเลี้ยงจนปลีกล้วยตานีออกกลางต้น แล้วไปทำบายศรีไปสู่ขอลูกสาวจากแม่ตานี ขุดหน่อออกมา ทะนุถนอมปลูกไว้ข้างเรือน หลังจากนั้นมึงก็ไม่ต้องไปนั่งจีบน้องเขาทุกวัน รดน้ำใส่ปุ๋ย คอยชวนคุย ชวนกินข้าวจนเขาโตเป็นสาว ถ้าเขาใจอ่อน ก็จะยอมออกมาเป็นเมียมึง"

ผมขนลุกซู่ เมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่อยู่ในกระท่อม นอกจากความเย้ายวนประหลาดของน้องนี ยังมีความรู้สึกหนาวยะเยือกลึกๆ เจืออยู่ทุกครั้งที่สบตากับเธออีกด้วย

ไอ้จอมบอกว่า แรกๆ ก็ดี เหมือนทุกคนน่ะแหละ นานๆ ไปมันก็เบื่อ น้องนีไม่เคยมีปากมีเสียง แต่หากเพียงไอ้จอมแซว จีบ หรือทำท่าว่าพอใจผู้หญิงจริงๆ คนไหน น้องนีก็มักจะตามไปเข้าฝัน หลอกหลอนหรือทำร้ายผู้หญิงคนนั้นทุกทีไป จนขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด หลายคนตื่นมาพร้อมรอยเล็บข่วนยาวลากจากหน้าผากถึงคางอย่างหาที่มาไม่ได้ บางคนบอกว่าเห็นผู้หญิงสวยห่มสไบเขียวมายืนกระทืบหน้าอกถึงบนที่นอนหน้าตาโกรธเกรี้ยว บางคนเจอน้องนีจิกหัวตะคอกไม่ให้ยุ่งกับสามีของเธอ

"ขี้หึงฉิบหาย กูอยากจะเลิกแล้ว แต่ไม่รู้จะทำยังไง มึงรับไปเลี้ยงแทนกูทีได้ไหมวะ สวยเด็ด ไม่เปลืองค่าข้าว ค่าดูหนัง" ไอ้จอมพูดยังไม่ทันขาดคำไฟในบ้าน ก็ดับพรึ่บ ลมนอกบ้านก็พัดโหมแรงกระหน่ำราวกับมีพายุ เสียงผู้หญิงสาวร้องไห้สลับกรีดร้องดังสนั่นกึกก้องอย่างหาที่มาไม่ได้ ลมกระโชกเข้ามาทางหน้าต่าง จนข้าวของบนตั่งบูชาประดามีของมันล้มกลิ้งระเนนระนาด ผมพุ่งออกจากประตูบ้านมันอย่างรวดเร็ว โดยไอ้จอมก็พุ่งตามออกมาด้วย

หลังจากคืนนั้น ไอ้จอมรอเช้า แล้วตัดสินใจเด็ดขาด จ้างคนมาฟันดงกล้วยตานีทิ้งทั้งดง แถมยังก่อไฟเผากระท่อมรักแสนสวยของมันจนไม่เหลือซาก แล้วอีกอาทิตย์ต่อมาก็ดำเนินการย้ายตำหนักเจ้าพ่อเสือของมันไปอยู่ต่างจังหวัด

ผมไม่รู้หรอกว่าน้องนีจะตามไอ้จอมไปถึงที่นั่นไหม แต่เพราะอะไรไม่รู้ ที่ทำให้ผมกลับไปที่ซากกระท่อมกลางดงกล้วยเก่า ในจมูกยังอวลกลิ่นหอมลึกล้ำและดวงตากลมโตดำขลับคู่นั้น แผงขนตาที่พลิกพลิ้วลู่หลบเวลาเขินอาย จะมีผู้หญิงกี่คนในโลกนี้นะ ที่จะรักสามีหมดจิตหมดใจโดยที่ไม่เรียกร้องอะไรเลยนอกจากความรัก สวยหยาดฟ้ามาดิน ไม่มีปากมีเสียง

ผมเดินเข้าไปที่ข้างกระท่อม ตรงที่ต้นกล้วยตานีต้นงามเคยตั้งอยู่ชิดตัวบ้าน ด้วยความรู้สึกเหมือนมีท่อนแขนอันอ่อนช้อยอย่างใบกล้วยต้องลมกำลังกวักเรียกให้เข้าไปหา ผมเศร้าใจเมื่อพบเพียงซากกอกล้วยไหม้ไฟ

แต่ก็ใจชื้นขึ้นมาวูบหนึ่ง เมื่อก้มลงไปเห็นหน่อกล้วยเล็กๆ สีขาว แทงดินออกมาไม่ถึงคืบ ผมจึงรีบใช้เศษไม้ใกล้ๆ ขุดลงไปหาหน่อใต้ดิน จนออกมาทั้งหน่อ ผมประคองมันไว้ในอก รู้สึกเหมือนกำลังประคองกอดหญิงสาวร่างบอบบางที่กำลังสะอื้นไห้ กลิ่นหอมโชยขึ้นมาเต็มจมูก

"ไม่เป็นไรแล้วนะครับ น้องนีของพี่ ต่อไปนี้พี่จะดูแลนีเอง"


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 03 กรกฎาคม 2558 19:40:28
.

(https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQOiEbPKyAhLpgnukUDov0DIrA8bY2GqziQmJRMc7aiO_wA5HkL)
ทางสามแพร่ง

บางเรื่องเล่าเกี่ยวกับความลึกลับและอาถรรพ์ก็เกิดขึ้นมาและหายไปเฉยๆ อย่างเช่นเรื่องราวต่อไปนี้

เมื่อก่อนก็เป็นเพียงซอยธรรมดาซอยหนึ่ง เพียงแต่เป็นซอยที่มีแยกทางขวามือทุกๆ 30 เมตร จนกระทั่งหน้าปากซอยแยก 13 ที่เคยเป็นที่รกร้างว่างเปล่าคณะกรรมการชุมชนเกิดได้งบประมาณมาก้อนหนึ่งจาก ทางเทศบาลมาถากถางเป็นทางตัดเชื่อมกับอีกซอยเพื่อเป็นทางออกไปสู่ถนนใหญ่ ไม่ต้องออกไปถึงหน้าปากซอยแล้วค่อยย้อนกลับมาเข้าซอยข้างหน้าเพื่อไปถนนใหญ่อีกต่อหนึ่ง

นี่แหละจึงเกิดเป็นทางสามแพร่ง ทางสามแพร่งนี้จึงเป็นทางลัดที่มีรถราเข้ามาใช้ทางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามสี่เดือนแรกทุกคนก็ใช้ทางกันอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเป็นทางใหม่ แต่พอนานวันเข้าก็ขับกันอย่างเร็วจนเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งและครั้งแรกที่เกิดการสูญเสียจนถึงขั้นเสียชีวิตก็เกิดขึ้นจนได้

เด็กนักเรียนหญิงมัธยมต้นนิสัยดีคนนั้นเป็นที่รักของคนในชุมชน เธอจะตื่นแต่เช้ามืดออกมาช่วยแม่กวาดถนนหน้าบ้านแล้วกวาดเลยไปถึงเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในซอยทุกวัน จากนั้นก็ช่วยแม่ขายหมูปิ้งที่หน้าปากซอยจนถึงใกล้แปดโมงเช้าถึงได้ไปโรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลออกไป วันเกิดเรื่องเธอลืมหนังสือและรายงานส่งครูจึงกลับเข้ามาบ้าน ระหว่างไขกุญแจรั้วบ้านที่ซึ่งอยู่ตรงปากซอย 13 ตรงทางสามแพร่งพอดีก็เกิดมีรถกระบะเบรกแตกพุ่งชนเด็กหญิงอย่างแรงจนเสียชีวิตตรงนั้น สร้างความโศกเศร้าและสลดหดหู่แก่ผู้พบเห็นและได้ยินข่าว

แม่ของเด็กหญิงไม่เป็นอันทำการทำงาน เธอออกมานั่งเหม่อลอยหน้าบ้านเสมอ แม้งานศพจะผ่านไปนานนับเดือนเธอก็ยังตื่นแต่เช้ามาเฝ้าดูที่ที่ลูกกวาดถนนอยู่ไม่ขาด เธอบอกคนเดินผ่านว่าลูกเธอจะกลับมา...

แล้ววันหนึ่งก็มีคนเห็นเด็กหญิงจริง! ตอนนั้นตีสามกว่า ชายแก่ขี้เมาคนหนึ่งเดินอ้อแอ้ผ่านทางเห็นเด็กหญิงนั่งก้มหน้าตรงทางสามแพร่ง พยายามชวนให้กลับบ้านอย่างไรเด็กหญิงก็ยังคงก้มหน้าไม่พูดไม่จาไม่สนใจ จนเขาเดินผ่านไปอย่างหัวเสีย สร่างเมาเล่าให้คนฟัง จากปากสู่ปากจากหูสู่หูมาเข้าหูแม่ของเด็กหญิง เป็นที่มาของอาหารคาวหวานที่แม่เด็กนำมาวางไว้บนทางสามแพร่งจุดที่ลูกเสียชีวิต

ไม่นานก็มีคนมาจุดธูป มีคนอื่นมาวางของเซ่นไหว้ มีคนอ้างว่าขอหวยถูก เสื้อผ้าน่ารักๆ สไตล์วัยรุ่นชอบกันก็ถูกนำมาวาง ไม่นานจากแค่วางก็กลายเป็นราวแขวน จากราวแขวนราวเดียวก็เพิ่มจำนวนขึ้น รถราแล่นผ่านจุดนี้ก็ต้องชะลอเพราะนอกจากจะหยุดดู ที่มาบนมาขอหวยมาแก้บนก็ออกันแน่น ข้าวของบนของแก้ก็วางเปะปะกินเลยผิวถนน มีคนมาสร้างเพิงไม้ มีคนมาวางตุ๊กตาเด็กหญิง มีคนมาเรียกว่าศาลเจ้าแม่เด็กหญิง ที่สุดก็กลายเป็น "ศาลเจ้าแม่เด็กหญิง" บนทางสามแพร่งของคนจำนวนมาก

แม่ของเด็กหญิงไม่เพียงขายหมูปิ้ง เธอยังขายสารพัดของราวกับร้านบูติก เสื้อผ้าวัยรุ่น ของสำหรับเซ่นไหว้ ธูปเทียนดอกไม้มีให้บริการเซ่นไหว้เจ้าแม่ กิจการดีจนต้องจ้างลูกจ้างเพิ่ม มีรายได้นับหมื่นบาทต่อวัน นำพาผู้คนหลั่งไหลมาจากทั่วทุกที่ โดยเฉพาะวันหวยออก ทำให้การสัญจรเริ่มไม่ลื่นไหล รถติดขัดมากขึ้น คนในชุมชนบางส่วนเริ่มไม่พอใจ แต่ที่ชอบใจก็ไม่น้อยเพราะนำข้าวของอาหารคาวหวานน้ำดื่มมาวางขายรอบๆ สร้างรายได้แก่ตนเอง

คืนหนึ่งตาแก่ขี้เมาคนนั้นเดินโอนเอนไปมาผ่านศาลเจ้าแม่ฯ ตอนตีสาม เห็นเด็กผู้หญิงนั่งร้องไห้อยู่ตรงหน้าศาล จึงถามว่ามานั่งร้องไห้ทำไมกัน เด็กหญิงตอบว่า

"หนูไปผุดไปเกิดไม่ได้เสียที มีแต่คนมาขอความช่วยเหลือ หนูเหนื่อย" ตาแก่ฟังแล้วขนลุกซู่แทบสร่างเมา

รุ่งขึ้นเที่ยวเล่าเรื่องนี้ให้ใครต่อใครฟัง แน่นอนเรื่องมาถึงหูแม่ของเด็กหญิง เธอร้องไห้คร่ำครวญสงสารลูก เธอเชื่ออย่างจริงจังเหมือนคราวแรกที่มีคนมาบอก รุ่งขึ้นเธอลงมือรื้อศาลด้วยตัวเอง เลิกขายทุกอย่าง แม้มีคนห้าม เธอก็ไม่สนใจ มีคนมาฉุดมายื้อแย่งหาว่าเธอบ้าไปแล้ว สารพัดจะว่ากล่าวตำหนิเธอก็ไม่สน กรรมการชุมชนบางคนและคนที่ไม่พอใจแต่แรกเข้ามาสนับสนุนเธอ ศาลถูกรื้อทิ้งในเวลาต่อมา ข้าวของที่นำมาแก้บนถูกนำไปเผาราวกับกองเศษขยะ

ทุกวันนี้ทางสามแพร่งนั้นไม่มีแล้ว ซอยนั้นก็ถูกเวนคืนไปทั้งซอยกลายเป็นถนนสายใหญ่ 8 เลน ไม่เหลือซากให้คนได้จดจำอีกต่อไป


(http://www.zabzaa.com/ghost/wp-content/uploads/2014/06/%E0%B8%9C%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg)

พรายย้ำ
ผมโดนเรียกตัวกลับบ้านด้วยเหตุผลสุดประหลาด แม่ตามให้ผมไปดูน้องสาวถูก "พรายย้ำ"

พูดตรงๆ ตั้งแต่เกิดมาผมก็ไม่เคยได้ยินเรื่องพรายย้ำนี่มาก่อนเลย แม้บ้านจะอยู่ใกล้แม่น้ำและฟังเรื่องราวของนางพรายในน้ำมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็เป็นการฟังในรูปแบบของนิทานสนุกๆ มากกว่าจะเป็นเรื่องความเชื่องมงาย

ยายเคยเล่าให้ฟังว่า นางพรายในแม่น้ำบ้านเรามีคนเคยเห็นว่าเป็นผู้หญิงสวย สวยหลอนๆ แบบกึ่งเทพกึ่งผี ว่ากันว่านางพรายขี้เหงามักสยายผมเปลือยอกปลั่งเหมือนดอกบัวลงเล่นน้ำ ชวนคนลงไปเล่นด้วยตอนกลางคืน แต่ถ้าใครตามลงไปเล่นกับหล่อน เส้นผมยาวสยายของหล่อนก็จะเลื้อยรัดขาคนที่เล่นน้ำแล้วถูกดึงให้จมลงไปตายในน้ำ ศพมักจมอยู่กับพื้นน้ำ ไม่ลอยขึ้นมาเหมือนศพจมน้ำทั่วไป ตอนกลางคืนถ้าใครอยากเห็นนางพรายน้ำว่าอยู่ตรงไหน ก็ให้เอาไฟส่องดูบริเวณที่มีตาน้ำหรือฟองอากาศผุดขึ้นผิดปกติต่อเนื่องจนน้ำ กระเพื่อมเป็นวงใหญ่ๆ นานๆ นั่นแหละ หมายถึงนายพรายว่ายน้ำหรือดำน้ำอยู่แถวนั้น

ตอนเด็กๆ พวกเราพี่น้องกลัวเรื่องนางพรายกันมาก แค่ตกเย็นก็ไม่กล้าลงน้ำกันแล้ว มืดค่ำไม่ต้องพูดถึง พอโตมาอีกหน่อยก็คิดกันว่า บางทีอาจจะเป็นกุศโลบายของพวกผู้ใหญ่ที่อยากจะปกป้องเด็กๆ ไม่ให้ลงมาเล่นน้ำกันเองตอนกลางคืน ไกลหูไกลตาผู้ใหญ่ อีกอย่างตอนกลางคืนอากาศเย็น เล่นน้ำกันอาจจะเกิดเป็นตะคริวได้ ยังไม่รวมเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงอีก

ผมนั่งคิดมาตลอดทาง พอมาถึงบ้านก็เห็นญาติมากันเต็มบ้านไปหมดจนไหว้กันแทบไม่ทั่ว

แม่จูงมือผมมาดูน้องสาววัยมัธยมที่กำลังนั่งร้องไห้ด้วยความกลัวอยู่ที่โซฟา แขนขาของน้องมีรอยช้ำจ้ำเขียวหลายรอยจนน่าตกใจ "เฮ้ย ต้อมเป็นอะไรเนี่ย ทำไมแม่ไม่พาน้องไปหาหมอล่ะ"

"กำลังตามมาเนี่ย เดี๋ยวหมอเขาจะมาแก้ให้ รอยปากผีพรายทั้งนั้น"

"เอ้า หมอโรงพยาบาลสิแม่ ไม่ใช่หมอผี"

ผมพูดคำนั้นจบก็เงียบกันไปทั้งบ้าน จ้องมาที่ผมกับแม่เป็นตาเดียว

"มึงไม่รู้เรื่องอะไรมึงไม่ต้องพูดก็ได้นะ ไอ้ตาล"

ในเมื่อแย้งไปยังไงก็ไม่ได้ผล แม้แต่น้องสาวตัวดียังเชื่อไปด้วย เย็นๆ ผมเบื่อเลยออกมานั่งเล่นที่ท่าน้ำหลังบ้าน ครุ่นคิดเรื่องความงมงายของญาติๆ ไม่น่าเชื่อว่ายุคนี้แล้วยังเชื่อกันแบบนี้อยู่ นั่งไปสักพักก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง

"ตาล นั่นตาลหรือเปล่า"

หญิงสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งยืนยิ้มเขินๆ อยู่ใกล้ๆ ผมคุ้นหน้าเธอพิกล แล้วก็นึกขึ้นได้ "เฮ้ย ปิ๋มหรือเปล่าเนี่ย ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปีสวยขึ้นจำไม่ได้เลย"

ปิ๋มเป็นเพื่อนบ้านที่เล่นกันมาแต่เด็ก แต่เมื่อผมต้องเข้าไปเรียนในกทม. ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ก็เลยไม่ได้เจอเธออีก ได้ข่าวว่าเธอไปเรียนที่เชียงใหม่ แต่ก็ไม่คิดว่าแค่ข้ามวัยไม่กี่ปี จากเด็กสาวเรียบร้อย หน้าสิวเขรอะ ผมมันๆ ยุ่งๆ คนนั้น จะเปลี่ยนมาสวยเปล่งปลั่งขนาดนี้ได้ แถมยังอยู่ในชุดสุดเซ็กซี่ นุ่งผ้าถุงกระโจมอกคลุมผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำท่า ในมือมีขันพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำครบ

"มองอะไร" หน้าเธอแดงซ่าน "ทำหยั่งกะไม่เคยเห็น"

ผมเกือบจะหลุดไปว่าก็ที่เคยเห็นมันยังไม่เป็นแบบนี้ "จริงเนาะ เมื่อก่อนแก้ผ้าโดดน้ำกันโครมๆ"

ปิ๋มฟาดมือลงกลางหลังผมดังผัวะ "ทะลึ่ง ไอ้บ้า"

เธอเปลื้องผ้าขนหนูพาดหัวเสาที่ท่าน้ำแล้วกระโจนลงน้ำตีโป่งเล่นสนุกสนาน หัวเราะร่ากิริยาเดียวกับที่ผมจำได้ตอนเด็กๆ ผมนั่งที่ท่าน้ำด้วยอารมณ์สุนทรีมากขึ้น อยู่ดีๆ ก็มีสาวสวยมาอาบน้ำให้ดู แถมคุยสนุกเสียด้วย ผมเล่าให้ปิ๋มฟังเรื่องที่น้องสาวผมเกิดรอยช้ำหลายรอย แล้วคนในครอบครัวลงความเห็นกันว่าเกิดจากผีพรายขย้ำชิมเพื่อจะเอาไปเป็นตัวตายตัวแทน

หญิงสาวฟังแล้วหัวเราะคิก เธอว่าเธอเองก็เคยมีรอยแบบนั้นเหมือนกันเมื่อปีก่อน แต่คิดว่าน่าจะเป็นรอยที่ไปเตะหรือกลิ้งทับอะไรตอนนอนมากกว่า

"รอยจุ๊บของแฟนหรือเปล่า" ผมแกล้งแย๊บเบาๆ

"บ้า" ปิ๋มเขินหน้าแดงอีก "เรายังไม่มีแฟน"

เราคุยกันจนฟ้าค่ำ ผมชวนปิ๋มขึ้นจากน้ำ "เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก"

หญิงสาวยิ้มล้อ หัวเราะร่า "ห่วงเราหรือกลัวผีพราย" เธอว่าแล้ววาดแขนตีกรรเชียงออกไปกลางน้ำ วินาทีต่อจากนั้นตาผมเห็นผิวเนื้อเปลือยเปล่าขาวสล้างเหนือน้ำแวบหนึ่งก่อนได้ยินเสียง "ว้าย"

"โอ๊ย ตายแล้ว ผ้าถุงหลุดหายไปแล้วจะขึ้นยังไงเนี่ย" ปิ๋มโวยวาย

ผมหัวเราะพลางใจเต้น แล้วอาสาจะนำผ้าเช็ดตัวไปให้เธอกลางแม่น้ำ ผมว่ายเข้าไปหาเพื่อนสาวที่ลอยคอหน้าแดงก่ำอยู่กลางน้ำ ใกล้เข้าไปทุกที

หลังจากนั้นแทบจำอะไรไม่ได้ มารู้สึกตัวอีกทีผมนอนตัวเปียกชุ่มอยู่กลางบ้าน ญาติมุงกันเต็ม ผมพยายามเล่าให้ทุกคนฟังเรื่องเมื่อครู่ แต่พอเล่าจบทุกคนก็หน้าซีดเผือด แม่เอามือกุมอก

"เกือบไปแล้วไหม ไอ้ปิ๋มมันโดนผีพรายย้ำ แล้วจมน้ำตายไปเมื่อปีที่แล้ว"


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 16 กรกฎาคม 2558 16:46:22
.

(https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSskUztt-2g2mUoMGyvCkndcQoLh0k-8KOEUeVWYKBMD0cZ7tPaug)

ผีขี้เหงา

ลิขิตเพื่อนเก่าแก่สมัยเรียนมัธยมด้วยกันชวนไปเที่ยวบ้านที่โผงเผง จ.อ่างทองหลายครั้ง (เขามีสวนมะม่วงและสวนอาหารอยากโชว์) แต่ผมก็ติดขัดเรื่องงาน จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน ผมใช้เส้นทางบางปะอิน บางปะหันถึงอ่างทองด้วยเวลาชั่วโมงเศษจากรังสิต สภาพอ.ป่าโมกเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะตรงโผงเผงผมจำแทบไม่ได้เลย เคยมาสมัยเป็นเซลส์แมนใหม่ๆ เมื่อเกือบสามสิบปีก่อน จำได้ว่าสมัยก่อนหน้าน้ำทีไรท่วมทุกปีและคนที่นี่ก็ดุมาก งานวัดงานบุญทีไรมีเรื่องตีกันประจำ ที่จริงผมแค่ยกหูถึงเพื่อนก็เรียบร้อยแต่อยากให้เพื่อนแปลกใจมากกว่าและก็ รู้สึกสนุกที่ได้หาทางไปถึงเอง ด้วยประสบการณ์เซลส์แมนที่มีกว่าสามสิบปีผมมั่นใจไม่หลงทางแน่

ผ่านหน้าวัดแห่งหนึ่งผมคิดว่าต้องใช่ละแวกนี้แน่ๆ แต่กลับไม่พบสวนอาหารของมัน ละแวกนั้นก็ดูแปลกๆ เงียบเหมือนป่าช้า ตอนนั้นน่าจะประมาณเวลาทุ่มนึงแล้ว เลยเวลาที่บอกมันว่าจะไปถึงราวห้าโมงเย็น แต่นึกว่าช่างเหอะในเมื่อต้องนอนค้างบ้านมันอยู่แล้วคงไม่เป็นไร บรรยากาศเงียบสงัด ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงนกกลับรังยามค่ำ ครั้นจะจอดรถหยุดถามก็ไม่พบบ้านคน เรียกว่าไม่พบคนให้ถามทางสักคนจะถูกกว่า

ทันใดผมเห็นบ้าน หลังหนึ่งมีสภาพตรงกับที่ลิขิตบรรยาย คิดว่าคงใช่ มีต้นมะพร้าวอยู่ปากทางเข้า ผมมองลิบๆ เห็นบ้านไม้สองชั้นค่อนข้างเก่าครึ่งอิฐครึ่งปูนทาสีนวลๆ ตรงตามที่จำได้ จึงตัดสินใจจอดรถข้างทางแล้วเดินเข้าไปถาม

ผมตะโกนเรียก สักพักก็มีคนเดินมาออกเยี่ยมหน้ามอง โอ้ แม่เจ้า นี่เมียมันหรือนี่ สวยมาก ผมค่อนข้างตกตะลึง นึกตอนนั้นว่าไอ้หมอนี่ชอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ มีความลับ นี่ต้องเมียมันแน่ๆ

แต่หลังจากการซักถามปรากฏว่าไม่ใช่ ไม่ใช่แม้แต่บ้านของลิขิต เธอไม่รู้จักลิขิตสักนิด แต่สายตาที่ส่งมามันมีความนัย ประสบการณ์ชีวิตโดยเฉพาะการตระเวนมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ผมบอกตัวเองว่าอ้อยจะเข้าปากช้างแล้ว จะเดินหนีทำไม

เธอไม่ ใช่สาวน้อย แต่ก็ไม่ได้อายุมาก ผมคาดคะเนว่าอายุไม่เกิน 35 ปี ผมดำยาวสยาย ใบหน้ารูปไข่นั้นแต่งแต้มด้วยริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงฉ่ำเยิ้ม ตาหวานชม้อยชม้าย แทบจะหยาดหยด เดินส่ายสะโพกผายอย่างคนมั่นใจในความงามของตนเอง

"เข้ามานั่งพักในบ้านก่อนสิ พี่กำลังเบื่ออยู่พอดี"

ผมแทบไม่ต้องคิด เธอชวนรับประทานอาหาร ผมแทบไม่ต้องตอบ เดินตามเธอเข้าบ้านเหมือนต้องมนต์สะกด เธอทำอาหารรวดเร็วมากจนน่าประหลาดใจ แต่เวลานั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องอาหารมากไปกว่าเรื่องอื่น!

อาหารอร่อยมาก มีมากจนผมกินไม่หมด เหลือติดจานอยู่เต็ม ทั้งกุ้งแม่น้ำเผา ปลาอินทรีทอดราดน้ำจิ้มอย่างเลิศรส แม้แต่ข้าวสวยที่เธอหุงก็หอมกรุ่นอย่างบอกไม่ถูก หลังหลงรสมือของเธอ ผมคิดไปไกลถึงรสชาติอย่างอื่นจากเธอแล้ว รอก่อนวะเพื่อน "กิน" เสร็จกูค่อยไปหามึงละกัน

เธอชงกาแฟแล้วชวนผมรับประทานที่โต๊ะรับแขก กลิ่นกาแฟที่เธอชงกรุ่นหอม หอมจัดจนผมรู้สึกเหมือนกำลังเมาเหล้า พี่สาวคนสวยดูท่าทางขี้เหงา ดวงตาปรี่หรือดูน่าหลงใหล ผมชักสงสัยว่าในกาแฟมีอะไรที่พิเศษกว่ากาแฟหรือเปล่า

ทุกอย่างดูง่ายมาก เพราะดูเหมือนเธอก็คิดเช่นเดียวกัน เธอยกนิ้วมือเรียวสวยขึ้นมาปาดคราบกาแฟที่มุมปากตัวเองโดยไม่ละสายตาไปจากผม แล้วเลื่อนปลายนิ้วมาดูด ขอตัวไปอาบน้ำ ไม่ถึงสองนาทีเธอก็ตะโกนจากห้องน้ำให้ช่วยหยิบผ้าเช็ดตัวให้! ให้ตายเถอะ มุขให้ท่าโบราณอย่างนี้ยังมีอยู่อีกหรือ เธอบอกว่าอยู่บนโต๊ะหน้าห้องน้ำนั่นแหละ ผมยิ้มกริ่ม

ประตูห้องน้ำไม่ลงกลอน! ผมผลักเบาๆ เข้าไป เธอหันหลังใต้ฝักบัวเผยแผ่นหลังแสดงส่วนเว้าโค้งจนผมอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ สะโพกเธอผายกว้าง เมื่อหันส่วนหน้ามาทางผม อกกลมกลึงขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 38 นิ้ว ผมหน้ามืดตาลาย คอแห้งผาก ในสมองไม่มีความคิดหรือสติยับยั้งใดๆ เหลืออยู่อีกแล้ว ผมพุ่งตัวตามเธอเข้าไป

ทันใดนั้นเองก็ได้ ยินเสียงโครมใหญ่! ผมหันหลังไปก็พบเจ้าลิขิตนั่นเอง มันสาดไฟฉายขนาดใหญ่สว่างจ้าใส่ตาผมแล้วคว้าข้อมือลากผมออกจากบ้านเหมือนคนบ้า

"เฮ้ย มึงทำอะไรของมึงวะ" ผมตะคอก
"มึงนั่นแหละ ทำบ้าอะไรของมึง" มันสวน
"กูกำลังจะได้ของดีมึงมาขัดทำไมวะ" ผมสบถอย่างไม่พอใจ
"ของดีของมึง" เพื่อนสบถคำหยาบ "หันไปดูซิ แหกตาดู"

เมื่อผมหันไปก็แทบตกใจหงายหลัง สติสตังกลับมาครบถ้วนทันที บ้านที่เมื่อสักครู่ดูสวยงามเรียบร้อยกลับกลายเป็นบ้านที่รกครึ้มไปด้วยเถาวัลย์ ใบไม้แห้ง ตัวบ้านผุเก่าแทบจะพังมิพังแหล่ ไม่มีวี่แววสิ่งมีชีวิตใด "บ้านทั้งแถบแถวนี้ร้างคนมาหลายปีแล้ว ตกดึกไม่มีใครกล้าขับรถผ่าน" พูดจบก็ยกมือขึ้นหันด้านหลังมือให้ดู เล็บทุกนิ้วของมันทาสีแดงสด "พักหลังผีแม่ม่ายอาละวาดหนัก คนหนุ่มในหมู่บ้านตายห่ากันอาทิตย์เดียวสี่คนแล้ว ไอ้พวกที่รอดมาได้ก็เล่าว่าเจอเจ๊นมโตนั่นเหมือนกันหมด กูก็เกือบไปแบบมึงแหละ กูกะแล้ว ไอ้พวกกะล่อนแบบมึงยังไงก็รักษาไม่หาย"


(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSifMT_65mcclFm1Gg9KQ1f5npQjoW-eoqR1F3-IeEv0yjLNZaMCQ)
นางงามสงกรานต์

เป็นสงกรานต์ที่แซ่บสุดในรอบหลายปี!

อาจเป็นเพราะแคทได้เต้นโชว์หน้าร้านคาราโอเกะที่เธอมาทำงานแบบเด่นๆ เป็นปีแรกหลังจากที่ผ่านๆ มา แคทต้องเป็นไก่รองบ่อน คอยเต้นเสริมพวกพี่ๆ ที่โตกว่า เต้นใหญ่กว่า โตและใหญ่ในความหมายของคำว่าเซ็กซี่ในแบบพวกเธอ

ปีที่แล้วพี่เจี๊ยบถึงกับปีนขึ้นไปเต้นบนหลังคารถกระบะแล้วถอดเสื้อนอกเสื้อในโยนให้คนดู เปลือยอกขาวอล่องฉ่องกลางงาน ท่ามกลางเสียงเชียร์จากคนดูในงานดังสนั่น แต่นั่นก็เป็นเหตุผลให้พี่เจี๊ยบต้องย้ายไปทำงานร้านอื่น ข้อหาเซ็กซี่เกินเหตุ แคทว่าวันนั้นพี่เจี๊ยบคง "ได้ที่" เลยเต้นขาดสติลืมโลกไปหน่อย

สำหรับแคทเองไม่จำเป็นต้องเปลืองตัวขนาดนั้น สมบัติติดกายที่แม่ให้มาอาจไม่ได้โอ่โถงเท่าพวกพี่ๆ แต่เธอมีดีที่ลีลาเด็ดสะเด่าชนิดจ๊ะคันหูมาเจอต้องยอมแพ้ราบคาบ

สงกรานต์ปีนี้แคทไม่ได้ใส่สายเดี่ยวเกาะอกคู่กางเกงเสมอหูเหมือนโคโยตี้คนอื่นๆ เธอมาแบบสาวมั่นในเสื้อยืดขาวตัวโคร่งกับเสื้อในสีเนื้อ และกางเกงยีนส์ขาสั้นคืบเดียว ปล่อยผมสีทองยาวสยายถึงกลางหลังตัดกับสีคิ้วดำสนิทเข้มหนาด้วยดินสอกันน้ำอย่างดีตามสมัยนิยม กรีดขอบตาเรียวดำขลับและขนตายาวเป็นแผงเหมือนแมวน้อยเจ้าเสน่ห์

เด็กสาวเต้นตั้งแต่บ่ายแรงไม่ตก ยกกระติกค็อกเทลสูตรพิเศษกระดกเป็นพักๆ จนตาเยิ้มเคลิ้มฝัน เสียงเพลงดังกระหึ่มกระแทกเข้าไปในอก แคทคุกเข่าสะบัดผมอยู่หน้าเวทีในขณะที่ผู้ชมหนุ่มๆ ช่วยกันชักปืนฉีดน้ำรุมฉีดใส่เธออย่างเมามัน

เสื้อยืดขาวเมื่อถูกน้ำก็บางใสแนบเนื้อ เสื้อชั้นในสีเนื้อแทบไม่ได้ปกปิดยอดปทุมถันสีน้ำตาลอ่อนเรื่อที่ชุ่มน้ำชี้ดันออกมาเป็นรูปทรงชัดเจน บวกกับก้นกระเด้งกระดอนตามจังหวะของแคทเล่นนักท่องเที่ยวย้ายจากเวทีอื่นๆ มามุงกันที่เวทีนี้แน่นขนัด

ราวห้าโมงเย็นเด็กสาวหลบพักห้องด้านหลังเวที เปลี่ยนเสื้อผ้าแห้ง กินผัดไทยที่เพื่อนซื้อมาฝากแล้วงีบได้ไม่นานก่อนที่เถ้าแก่จะมาเขย่าแรงๆ

"เฮ้ย!แคท ลูกค้ามาเพียบเลย ออกไปเต้นเรียกแขกก่อน เดี๋ยวเฮียให้พิเศษ"
แคทงัวเงีย "หนูไม่ไหวแล้วเฮีย เอาคนอื่นดิ หนูขอนอนหน่อย"

เถ้าแก่มีท่าทางหงุดหงิด" ไม่ได้นะ ตกลงกันว่าถึงสี่ทุ่ม แคทก็รับปากเฮียแล้ว เนี่ยลูกค้ากำลังติดแคทนะ เรียกชื่อแคทเต็มหน้าเวที บางคนชูแบงก์รอจะทิปน่ะ ไม่เอาเหรอ"

พอได้ยินเรื่องทิป แคทหูผึ่งทันที "ได้เฮีย แป๊บ" แต่สภาพเธอตอนนี้ลุกก็แทบไม่ไหว ดังนั้นเมื่อเพื่อนยื่นแก้วให้แล้วบอกว่าหมดแก้วรับรองอยู่ถึงเช้า แคทก็เข้าใจทันที รับมากระดกรวดเดียวหมดแก้ว

บ่ายว่าแซ่บแล้ว ค่ำยิ่งแซ่บสะเด่า เมื่อแคทได้ที่ขนาดเริ่มเต้นรูดเสาสุดสยิว เด้งเป้าสู้น้ำที่พุ่งออกจากปลายกระบอกปืนฉีดน้ำของหนุ่มถี่ยิบเรียกเสียงเฮลั่น จนเลยสี่ทุ่มก็ยังไม่หยุดเต้นด้วยความเมามัน แบงก์สารพัดสีถูกยัดเต็มอกเสื้อและขอบกางเกง แฟนหนุ่มของแคทที่มารอรับถึงกับหงุดหงิดขึ้นไปลากเธอลงจากเวที

กึ่งลากกึ่งอุ้มถูลู่ถูกังมาจนถึงรถเก๋งของแฟนหนุ่ม รถกระบะที่จอดข้างๆ ส่งเสียงร้องแซวเปิดเพลงแดนซ์ดังกระหึ่ม ในขณะที่แฟนหนุ่มไขกุญแจเปิดประตูรถ เด็กสาวก็โดดขึ้นไปที่กระโปรงหน้ารถแล้วเริ่มสะบัดเอวกระเด้งกระดอนถี่ยิบอีกครั้งด้วยความเมา

แก๊งสงกรานต์บนรถคันข้างๆ เฮลั่น ตอนที่แคทถูก้นกับกระจกหน้ารถแล้วฉีกขาออกกว้าง ดึงชายเสื้อขึ้นมากัดแล้วควงเอววนยิกในท่วงท่าที่ครูศีลธรรมเห็นคงต้องเป็นลม

"เฮ้ย แคท ลงมา" แฟนหนุ่มหัวเสียสุดๆ "อีบ้าเอ๊ย รถกูมีแม่ย่านาง กูไหว้ทุกวัน"

เด็กสาวจ้องหน้าแฟนแล้วหัวเราะลั่น นอนคว่ำแนบกระโปรงรถแล้วเอื้อมมือลงไปดึงพวงมาลัยที่แขวนอยู่หน้ากันชนขึ้น มาคล้องคอแล้วเด้งขึ้นมาเต้นเด้งเอวต่อ

คนที่อยู่บริเวณนั้นฮาครืน ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "แม่ย่านางมึงเอ็กซ์ได้ครึ่งน้องเขาหรือเปล่าวะ เรียกออกมาดูตัวหน่อยดิ"

จบประโยคนั้นไฟฟ้าทั้งบริเวณดับลงทันที เสียงเพลงจากรถที่จอดข้างๆ เงียบสนิทจนทุกคนพลอยเงียบกันไปด้วย ไม่กี่วินาทีต่อมาในความมืด เสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิตของเด็กสาวดังขึ้นยาวนาน และมีเสียงกึงกังเหมือนมีคนกำลังสู้กันบนกระโปรงหน้ารถ

เมื่อไฟสว่างพรึ่บขึ้นอีกครั้ง แฟนหนุ่มของแคทก็หน้าซีดเผือด เมื่อเห็นร่างของแฟนสาวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่พื้นหน้ารถเนื้อตัวมีแต่รอยเล็บข่วนแดงเถือกไปทั่ว เส้นผมสีทองสยายพันติดแน่นอยู่กับกระจังกันชนหน้ารถเป็นกระจุกหนาเหนียวชนิด ที่ไม่มีใครน่าจะแก้ออกได้ เด็กสาวได้แต่หลับตาพนมมือตัวสั่น ร้องไห้โฮว่า "หนูขอโทษ หนูขอโทษ ไม่ทำอีกแล้ว กลัวแล้ว"

หลังเหตุการณ์นั้น แคทไม่เคยเล่าให้ใครฟังว่าเธอเห็นอะไร แต่เธอก็ไม่เคยกล้ารับงานเต้นบนรถอีกเลยไม่ว่าจะคันไหนๆ และเลิกอาชีพโคโยตี้ในเวลาต่อมา


(http://nanaaa.exteen.com/images/sadako.PNG)

เชียร์ลีดเดอร์

"เขาว่าทีมเชียร์ลีดเดอร์โรงเรียนเราปีนี้โดนอาถรรพ์" เนมกระซิบกระซาบกับฉัน ขณะรุ่นพี่เรียกซ้อมหลังเลิกเรียน อีกสองอาทิตย์ก็จะถึงวันแข่งเชียร์ลีดเดอร์ระดับ ม.ปลายแล้ว แต่เรายังฟอร์มทีมแน่นอนไม่ได้สักที มีเรื่องประหลาดๆ เกิดขึ้นระหว่างการซ้อมหลายครั้ง บางคนเต้นๆ อยู่ รู้สึกเหมือนมีคนมาหยิกขา มาด่า บ้างว่าได้ยินเสียงตะโกนไล่ ทั้งที่บริเวณนั้นไม่มีคนอื่นอยู่เลย ลีดเดอร์ทีมเก่าลาออกไปกว่าครึ่ง ต้องคัดคนมาเพิ่มใหม่ หนึ่งในนั้นก็รวมฉันกับเนมด้วย

แค่นี้ก็ว่าหลอนพอแล้ว แต่พอฉันเข้ามาซ้อมได้ไม่เท่าไหร่ก็มีเรื่องอีก เพราะเพื่อนร่วมทีมตำแหน่งยอด เกิดอุบัติเหตุร่วงลงมาขณะซ้อมได้รับบาดเจ็บ คนนึงขาหัก คนนึงไหล่หลุด แถมทั้งคู่ยังดูเบลอๆ พูดไม่รู้เรื่องอยู่หลายวันจนพากันหลอน

ในโรงเรียนเองก็ เริ่มพูดกันว่าอาจจะเป็นดวงวิญญาณเก่าแก่ที่ดูแลรักษาที่นี่ไม่พอใจทีม เชียร์ที่มีการออกแบบท่าเต้นหวือหวาโลดโผนและยั่วยวนทางเพศมากกว่าปีผ่านๆ มา และอาจเพราะโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนสตรีที่มีภาพลักษณ์สุภาพเรียบร้อยมาโดยตลอด

"ที่ดินผืนที่สร้างโรงเรียนเราเคยเป็นที่ดินของคุณท้าวทับทิม ท่านเป็นหญิงโสดไม่ได้ออกเรือน แต่หลังจากที่คุณท้าวกับบ่าวไพร่โดนโรคห่าระบาดสมัย ร.3 คนในเรือนนั้นพากันเสียชีวิตทั้งหมด ทางญาติพี่น้องของคุณท้าวไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่ต่อ จึงบริจาคที่ดินเพื่อสาธารณกุศล ทีแรกก็เป็นโรงเรียนการเรือนสำหรับลูกขุนนาง ต่อมากลายเป็นโรงเรียนสตรีเรานี่แหละ"

ยัยเนมอธิบายเสียยืดยาวราวกับจะท่องไปทำรายงาน "สงสัยแกจะเชื่อเอามาก"

เนมรีบทำหน้าดุ "นี่แกอย่าลบหลู่นะ รุ่นพี่เขาเจอกันมาเยอะแล้ว พวกชอบพูดลามกชอบทำท่าทางไม่เรียบร้อย โดนคุณท้าวแกหยิกมาหลายคนล่ะ"

ฉันหัวเราะ "สรุปโรงเรียนเราเป็นโรงเรียนของผีคุณท้าวเจ้าระเบียบว่างั้นเหอะ" อะไรมันจะขนาดน้าน ฉันคิด

วันต่อมาประธานเชียร์เรียกฉันเข้าไปคุย ขอให้ขึ้นยอดแทนเพื่อน เพราะตัวเล็กสุดในทีมและดูหน่วยก้านการทรงตัวค่อนข้างดี เนมถึงกับพูดออกมาว่าตัวเองโชคดีที่ตัวโตเลยได้เป็นฐานตลอด ไม่ต้องขึ้นยอด หลายคนฮือฮาพึมพำ พูดลอยๆ ว่าไม่กลัวเหรอ ฉันรำคาญ เลยตกปากรับคำ ก็มันจะอะไรกันนักหนา คุณท้าวนั่นก็ตายมาตั้งเป็นร้อยปีแล้วมั้ง

ทีมเชียร์ของเราปีนี้มีจุดเด่นคือได้คนคิดท่าเต้นเป็นพี่ๆ จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง พี่ทั้งสองคนเป็นสาวประเภทสองที่ทั้งสวยทั้งเก่ง และคิดท่าได้หวือหวาพิสดาร หนักไปทางเซ็กซี่ ซึ่งจริงๆ พวกเราชอบกันมาก แต่อาจารย์ปกครองที่ชอบมาแอบดูก็จะคอยเบรก เลยต้องแก้ท่ากันตลอด

แต่มีท่าอยู่ชุดหนึ่งที่ยังคงเก็บเป็นความลับ เพราะต้องใช้เป็นไม้ตายในการแข่ง ยอมให้เล็ดลอดออกไปไม่ได้ คือท่าขึ้นยอดแล้วตัวยอดก้มมาประสานมือกับฐาน ดีดตัวยกขึ้นเท้าชี้ฟ้า แล้วกางขา 180 องศา ฐานโยนขึ้นหมุนเป็นลูกข่างก่อนลง ซึ่งเป็นท่าที่ค่อนข้างยาก เฉพาะท่านี้เราซ้อมกันในที่มิดชิด ปิดประตูหน้าต่างและกางเบาะรองอย่างดี จนกว่าตัวยอดและฐานจะประสานกันคล่อง

ฉันโชคดีที่มีพื้นฐานบัลเลต์มาตั้งแต่เด็ก เรื่องฉีกขาสบายมาก เหลือแต่ตอนทรงตัวให้ฐานโยนหมุน

เราซ้อมกันหนัก บางคืนกว่าจะเลิกก็ดึกดื่น บางคืนนอนพักกันที่โรงเรียนโดยมีอาจารย์พละคอยดูแล ทุกอย่างราบรื่น ฉันเองเริ่มคล่องขึ้น ผิดพลาดน้อยลง

จนกระทั่งคืนก่อนวันแข่งอากาศร้อนอบอ้าวจนเราซ้อมกันในห้องปิดไม่ไหว พี่ประธานตามให้ไปกลางสนาม ขอให้ซ้อมท่าจบซึ่งเป็นท่าไม้ตายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันพัก

นี่เป็นครั้งแรกที่เราซ้อมกลางสนาม เนมดูท่าทางแปลกๆ มองไปรอบๆ เหมือนหวาดกลัว แต่ถามเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ การซ้อมเป็นไปอย่างราบรื่นจนถึงท่าจบ ฉันก้มตัวโก้งโค้งประสานมือกับฐาน เสี้ยววินาทีนั้นในท่าก้ม ฉันเห็นบางอย่างลอดหว่างขาตัวเองออกไปราว 2-3 เมตร

หญิงกลางคนในชุดไทยท่าทางดุดันดวงตาสีแดงลุกวาวกำลังจ้องมาที่ฉันเขม็ง ข้างกายมีหญิงในชุดไทยอีกหลายคนนั่งหมอบมองมาอย่างไม่พอใจเช่นเดียวกัน

ฐานที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่โยนฉันขึ้นหมุนในขณะที่ฉันเสียสมาธิและกำลังหวาดกลัวถึงขีดสุด ตัวฉันลอยขึ้นฟ้า หมุนคว้างไร้ทิศทางก่อนตกลงมากระแทกพื้นหญ้า ในหูอื้อเห็นใบหน้าหลายหน้าชะโงกดูฉันด้วยความเป็นห่วงและตกใจ หนึ่งในนั้นมีใบหน้าของหญิงกลางคนลึกลับนั้นจ้องเขม็งอยู่ด้วย แล้วฉันก็หมดสติไป

สรุปปีนี้โรงเรียนของเราไม่ได้ลงแข่ง จนฉันหายดีกลับมาเรียนแล้วนั่นแหละ เนมจึงเล่าว่า วันนั้นตอนทำท่าส่ายเอวแอ่นสะโพก เนมโดนมือลึกลับหยิกที่ขาอ่อนหลายครั้ง แถมในหูได้ยินเสียงคนแก่พูดว่า อัปรีย์ๆ แว่วๆ ตลอด แต่ไม่กล้าบอกใคร

"สอง คนที่เคยขึ้นยอดก็อาการดีขึ้นแล้วนะ แถมบอกว่าจะลาออกเพราะเจอผีคุณท้าวมายืนจ้องหน้าตอนที่ฐานจะโยน โคตร อุ๊บ...ลืมไป หยาบคายไม่ได้ คือสุดยอดสยองเลย"


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 20 กรกฎาคม 2558 07:08:12
(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQ7zZG_wIW58N8Fcqw9M6PblKp_fBUUmtUvvfX3p5pZJ5bTTpgaNQ)

ไอ้ขี้เมา

สมัยผมอยู่บ้านเก่าแถบปทุมธานี จะมีขี้เมา-ขี้โม้อยู่คนหนึ่ง แกชอบให้ใครเรียกแกว่าปู่ แต่ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เรียก นอกจากเรื่องอายุของแกที่ไม่ถึง 60 ปีและอุปนิสัยใจคอที่ผมออกจะรังเกียจเอาเสียด้วยซ้ำ ผมจึงเรียกลับหลังว่าไอ้ขี้เมามั่ง ไอ้ขี้โม้มั่ง ยิ่งเวลาเมาแกจะทั้งโม้ทั้งเมาเสียงดัง เกะกะระรานคนแซวสาวแก่แม่ม่ายไม่เว้นว่าเขาจะมีผัวหรือยัง จนเคยถูกขี้เมารุ่นลูกกระทืบอยู่หนหนึ่งทำเอาผมสงสารไปพักใหญ่

แกชอบอุ้มเด็กผู้หญิงขวบสองขวบ ผมเองเคยเห็นแกเอาเด็กนั่งตักแล้วจับก้นจับจิ๋มเด็กต่อหน้าต่อตามาแล้ว วันนั้นผมมองจากหน้าต่างบ้านตัวเอง กำลังมองออกไปเพื่อมองหาคนขายไอศกรีมที่ถีบผ่านมา บังเอิญเหลือบไปเห็นเข้า จึงไปบอกแม่ แม่ก็ไปบอกกับแม่เด็กต่อ อย่างน้อยก็เพื่อให้ระวังไว้ จากนั้นมามีพ่อเด็กคนหนึ่งแอบเห็นเข้ากับตัวเองทำให้ไอ้ขี้เมาเกือบถูกทำ ร้ายมาแล้ว

นี่ยังไม่รวมพฤติกรรมที่สร้างความไม่ชอบใจให้ กับเพื่อนบ้านอีก อย่างการชอบเปิดประตูเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่บอกกล่าวหรือกดออดเรียกก่อน บ้านเหล่านั้นก็มักเป็นบ้านที่มีผู้หญิงอยู่ตอนกลางวัน หรือยายเลี้ยงหลานทำนองนี้ นี่เป็นนิสัยที่คนไม่ชอบ แต่ที่เล่ามานี้ไอ้ขี้เมาคนนี้แกมีเมียแล้วนะ เวลาแกเมาก็ได้เมียคนนี้แหละลากกลับบ้านและเที่ยวเดินไปขอโทษคนนั้นคนนี้แทน

ว่าไปผมทั้งทุเรศทุรังและสมเพชแกมากกว่า แกชอบเมาโวยวายว่าตัวเองร่ำรวย มีบ้านให้เช่ามีคอนโดฯ ให้เช่า มีเงินเก็บในธนาคารหลายแสนบาท แต่เวลามีงานแจกของเลี้ยงข้าวฟรีของทางอบต.ตาขี้เมาคนนี้ไม่เคยไม่ไป ขนาดแจกเสื้อฟรีหากเข้าร่วมเต้นแอโรบิกเฉลิมพระเกียรติ แกยังไม่วายได้เสื้อแล้วก็แอบถอดใส่เสื้อตัวเก่าไปวนเพื่อให้ได้อีกตัว น้ำดื่มฟรี ไอศกรีมกะทิตักใส่โคน ของอะไรแบบนี้แกก็จะไปวนรับแล้วรับอีกไปไว้ที่บ้านแถมยังคุยอย่างภาคภูมิใจ ไม่ได้ละอายใจอะไรเลย เป็นที่ทุเรศทุรังหูตาของคนหลายคน

การที่แกชอบให้คนเรียกว่าปู่ก็เพราะจะได้ของฟรีในฐานะผู้อาวุโสผู้เฒ่าผู้แก่ นี่แหละ อย่างแว่นตาฟรี ฟันปลอมฟรี ตัดผมฟรี ชุดถุงผู้อาวุโสในเทศกาลสงกรานต์ฟรี แต่แกอายุไม่ถึง 60 ปียังไม่ได้บัตรผู้สูงอายุ แต่หลายครั้งก็ชอบไปนั่งปะปนหรือเข้าแถวรับของที่เขาให้กับผู้สูงอายุ เอกชนที่มาแจกหรือหน่วยราชการที่มามอบบางทีก็คิดว่าแค่คนเดียว ไมได้ไล่แกออกจากแถวหรือมาคิดเล็กคิดน้อย แกจึงไม่เคยเลิกนิสัยเห็นแก่ได้เช่นนี้

แต่ด้วยความสมเพช อย่างที่บอก ผมกับเพื่อนบ้านอย่างพี่จ้อยก็ให้ขี้เมาคนนี้ได้กินเหล้าฟรีบ่อยๆ เราตั้งวงกันทุกเย็น แกก็จะมาทำทีเลียบๆ เคียงๆ ทำเป็นชวนคุยต้นไม้ในกระถางหรือเรื่องราวข่าวคราวในทีวี รู้สึกตัวอีกทีแก้วเหล้าก็อยู่ในมือของแกแล้ว แกชงเองรินเองจัดการเองอย่างเนียนมาก

คืนนั้นพี่จ้อยใจดี เป็นพิเศษเพราะเพิ่งได้เลื่อนตำแหน่งและเงินเดือนขึ้น กับแกล้มในวันนั้นจึงเป็นกุ้งเผาหลายกิโลกรัมและเหล้าแบล็ก(เลเบิ้ล) เสียด้วย แกจึงนั่งยาวเลยจนถึงตีสองตีสาม ผมเองเมาตั้งแต่เที่ยงคืน ขอตัวไปนอนหลังเที่ยงคืนได้ไม่นาน มารู้เรื่องทั้งหมดก็ตอนสายวันรุ่งขึ้นแล้ว

พี่จ้อยเล่าว่าแกเองนั่งดื่มอยู่กับเพื่อนในวงอีกคนคือ พนม พนมบอกว่าตาขี้เมาบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็หายไปนาน กลับมาอีกทีก็ไม่ได้พูดอะไร แค่บอกว่าเมาแล้ว ขอตัวไปนอนก่อน พี่จ้อยยังแหย่เล่นเลยว่าผิดวิสัยปกติของฟรีแบบนี้แกไม่เคยลาโรงก่อน แต่ก็นั่นแหละทุกคนพูดขำๆ ไม่คิดมาก โดยที่ไม่รู้กันว่าไอ้ขี้เมาแอบดอดไปบ้านเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เพิ่งร้างลา จากผัวไปเมื่อไม่นานมานี้ ไอ้ขี้เมาไปป้วนเปี้ยนแวะเวียนเข้าออกบ้านอยู่หลายวันแล้ว ผู้หญิงเกรงใจไม่กล้าพูด เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่กว่า

ไอ้ขี้เมาแอบเปิดประตูบ้านได้อย่างไรนั้น มาทราบภายหลังจากปากของแกเองว่าประตูไม่ได้ล็อก แกเล่าอย่างหวาดกลัวว่าตอนแรกก็คิดผู้หญิงคงมีใจ เพราะได้พูดสองแง่สองง่ามเอาไว้แล้วว่าคืนนี้จะไปหา แกไปหาจริงๆ ท่ามกลางความมืดและประตูเปิดรออย่างนั้น มีหรือคนอย่างแกจะไม่ย่ามใจ แกยืนยันว่าฝ่ายหญิงสาวไม่ได้ขัดขืนแถมยังคุยกันอย่างสนุกสนานเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะมีอะไรกัน

ทว่าตอนเช้ามืดที่แกตกใจตื่น ผู้หญิงนอนข้างๆ ตัวแข็งทื่อ แกตกใจกลัวจนผมขาวโพลนไปทั้งศีรษะ เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพแจ้งภายหลังว่าผู้หญิงตายมาเกินสิบสองชั่วโมงแล้ว นั่นหมายความว่า กินยาตายตั้งแต่บ่ายสี่โมงเย็น หลังไอ้ขี้เมาแซวเล่นตอนบ่ายไม่นาน

ไอ้ขี้เมาตอนนี้คงสร่างเมาสนิท นั่งตัวแข็งตาค้างอยู่หน้าบ้าน ยังไงไม่รู้นะ แต่ผมว่า "เข็ด" แน่ๆ


เพลงมรณะ

เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยที่ผมยังทำงานบริษัทเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงยังไม่มี ออฟฟิศที่ผมทำอยู่ใช้ความเร็วสุดที่ยุคนั้นมีคือ 512 kbps ผมกับเพื่อนในที่ทำงานมักตื่นเต้นเวลามีไฟล์แนบ หรือเมล์ฟอร์เวิร์ด เพราะหลายครั้งมักเป็นเรื่องลับๆ หรือทำนองโป๊เปลือย ซึ่งสมัยนี้ก็เรียกว่าคลิปลับอะไรทำนองนั้น

วันหนึ่งสมพรเพื่อนในพนักงานซึ่งมาทำงานแต่เช้าเป็นคนแรกก็เรียกให้ผมดูภาพลับเฉพาะของ ดาราชื่อดังซึ่งมีเพลงแนบมาด้วย พอผมเช็กอีเมล์ก็เจอเหมือนกันกับวิชัย และเมื่อเพื่อนในแผนกอีก 3 คน ได้แก่ สิทธิพร มาโนชและพิเชษฐ์มาทำงานกันครบ ทุกคนก็ได้รับอีเมล์ภาพลับเฉพาะและไฟล์เพลงนี้เช่นกัน

ตอนแรกพวกเราก็สนใจกันแต่ภาพของดารา เพราะทั้ง "ลับ" และ "เฉพาะ" กันจริงๆ เราดูกันแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันไป จนสมพรใส่หูฟังคลิกเปิดเพลงฟัง เจ้านายเดินมานั่นแหละ เขาถึงได้กดปิดเพลงเสียก่อนจะฟังจบ

"เพลงแปลกดี ฟังแล้วเศร้าชะมัด" สมพรพูดขึ้น

ผมไม่ได้ฟังเพราะมีงานรอให้สะสางอยู่ จนกระทั่งตอนบ่ายออกไปกินข้าวเที่ยง เพื่อนต่างแผนกคนหนึ่ง พูดว่า เมื่อคืนเขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนที่อยู่ต่างประเทศ ตอนนี้ที่ประเทศแถวยุโรปตะวันออกมีเพลงเพลงหนึ่งที่หากใครฟังมักจะฆ่าตัวตาย หลังจากนั้น ข่าวนี้กลับมาดังในสหรัฐอเมริกาแต่คนที่อเมริกาใครฟังก็ไม่เห็นมีคนฆ่าตัว ตายเลย

"เรื่องอำกันเล่นมากกว่า" ผมพูดแล้วหัวเราะ

กลับมาที่ออฟฟิศผมก็ยังไม่ได้เปิดฟัง แต่เพื่อนที่เหลืออีกสามคนเปิดฟังกันจนครบ ผมเป็นคนแรกที่อ่านเมล์นั้นจนจบและพบข้อความว่า คำเตือน : อย่าหลับตาฟังเพลงนี้ มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสได้ลืมตา

ผมรีบบอกเพื่อน เพื่อนคนอื่นเปิดดูในเมล์ก็พบข้อความเหมือนกัน แต่ไม่มีใครเชื่อ

"มันหลอกเราหนุกๆ มากกว่า" สมพรบอก

จากนั้นเราก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กันอีก จนกระทั่งอีกราวสัปดาห์ต่อมามาโนชก็ประสบอุบัติเหตุอย่างไม่ คาดคิด ขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงานถูกรถเมล์เฉี่ยวล้ม แล้วรถตู้ก็ทับศีรษะซ้ำจนเสียชีวิต พวกเราตกใจกันมาก วันรุ่งขึ้น สิทธิพรกำลังสูบบุหรี่อยู่ลานจอดรถ จู่ๆ รถที่จอดอยู่เกิดติดเครื่องยังไงไม่ทราบ พุ่งเข้าชนอัดร่างของสิทธิพรที่ยืนสูบเพลินๆ คนเดียวบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

งานศพของมาโนชที่ยังไม่เสร็จ เรามางานศพสิทธิพรกันอีก สมพรพูดกับผมว่า "มึงฟังเพลงในไฟล์แนบหรือเปล่า" ตอนแรกผมยังงุนงง แต่พอจับใจความได้ก็ตอบว่ายังไปตามความเป็นจริง

"เมื่อวานนี้ไอ้สิดมันบอกว่าไอ้โนดโทร.คุยกะมันตอนดึกเรื่องงาน จู่ๆ ก็ถามมันขึ้นเรื่องนี้ มึงก็รู้ไอ้นี่ชอบเรื่องพิเรนทร์ๆ มันบอกว่าลองหลับตาฟังด้วย"

"ตลกไปมั้ง แค่หลับตาฟังเพลงต้องตายด้วยหรือ" ผมตอบ

"โลกนี้มันมีอะไรๆ ที่เราไม่รู้อีกเยอะ" สมพรพูดช้าๆ อย่างกังวล

"แล้วมึงล่ะ หลับตาฟังกะเขาหรือเปล่า"

สมพรไม่ตอบในตอนแรก "กูเกือบทำเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพอ"

หลังงานศพของเพื่อนสองคนแรกผ่านไป ในงานสัมมนาต่างจังหวัดรถตู้ที่พาพวกเราไปเกิดพลิกคว่ำบนทางหลวงสายเอเชีย จู่ๆ รถทัวร์เบรกแตกพุ่งข้ามเกาะกลางมาทับรถเรา พิเชษฐ์เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว เพื่อนในบริษัทที่ไปด้วยบาดเจ็บมากน้อยตามแต่กันไป ตอนแรกสมพรบาดเจ็บสาหัส นอนในไอซียูคืนหนึ่ง ผมเองซึ่งไม่เป็นไรเลยไปเยี่ยมทันทีที่เยี่ยมได้วันรุ่งขึ้น สมพรพูดกับผมทันทีที่พบหน้า

"กูหลับตาฟังเพลงว่ะ" เขาพูดพลางสลดลงอย่างเห็นได้ชัด "กูไม่น่าลองของเลย มึงอย่านะ เชื่อกู อย่าได้ลองเลย เชดมันก็ลอง มันบอกกู"

สมพรพูดเท่านี้แล้วก็นิ่งไปไม่พูดอะไร ตกดึกคืนนั้นสมพรเกิดติดเชื้อในกระแสเลือดจากไปอย่างกะทันหัน

ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ใครฟัง ได้แต่ขบคิดอยู่คนเดียว เพราะเท่ากับผมเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ได้รับแต่ไม่เคยเปิดฟัง ไม่ต้องพูดถึงหลับตาฟังเพลง ไม่เคยคิดด้วยซ้ำ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างนี้ ทว่าใจหนึ่งก็คิดอยากลอง แต่ใจหนึ่งนึกถึงคำเตือนของสมพร

จนกระทั่งผ่านไปสิบๆ ปี ผมไม่ได้ทำงานที่นั่นและก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ทุกวันนี้ผมป่วยเป็นมะเร็งระยะที่ 4 ชีวิตผมไม่เหลืออะไรอีกต่อไป เตรียมตัวกับอนาคตไว้พร้อม ข้าวของ คำลาจาก ผมจัดการเสร็จสรรพ

เมื่อวานผมนั่งค้นดูอีเมล์เก่าๆ เล่น เจออีเมล์ภาพดาราลับเฉพาะและไฟล์เพลงแนบนี้ ภาพดาราไม่ทำให้ผมเลือดสูบฉีดและตื่นเต้นเท่าเรื่องราวที่มาตามหลังอีเมล์ ฉบับนี้

เมื่อครู่ผมตัดสินใจฟังเพลงจนจบ เพลงบรรเลงช้าๆ สี่นาที ท่วงทำนองนั้นรันทดบาดลึก เป็นสี่นาทีที่โศกเศร้าหดหู่ใจมาก และในเวลาต่อไปนี้ผมเตรียมหลับตาลง ฟังเพลงนี้ เพื่อพิสูจน์เรื่องราวที่ค้างคาใจ สำหรับสมพร สิทธิพร มาโนชและพิเชษฐ์

ผมค่อยๆ หลับตาช้าๆ

เพลงบรรเลงขึ้นแล้ว................


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 10 สิงหาคม 2558 18:52:53
(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTooOjlehIT1DUNGQrG5B4Cijyv2FIRQlLvFQxW860nuwNhCuem)

หน้ากระจก

เด็กสาวคนหนึ่งใบหน้าซูบซีดเหมือนคนป่วยหนักนั่งอยู่ที่เตียงในห้องพักโรงพยาบาล เธอกำลังใช้แปรงหวีผมแปรงเส้นผมยาวดำสลวยมันเป็นเงางามของเธอช้าๆ พลางนับไปด้วย "80 81 82..."

"ผมน้องริสาสวยมากเลยนะคะ" พยาบาลสาวที่ยกข้าวมาให้กล่าวชมกับเพื่อนของริสาที่ยืนข้างๆ "เธอแปรงผมทุกวันเลย"

"91 92 93 94 95" พอนับได้เท่านั้นเธอก็หยุดชะงัก เบิกตาโตค้างเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่างลนลาน ตัวสั่น

"ริสา ริสา เป็นอะไรหรือเปล่า" เพื่อนที่มาเยี่ยมร้องถามด้วยความเป็นห่วง แต่เพียงครู่เดียวริสาก็ดูสงบขึ้น แล้วเริ่มแปรงผมอีกครั้งด้วยดวงตาเหม่อลอย "1...2...3...4...5..." หนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น

ริสายืนลูบปลายผมยาวของตัวเองอย่างไม่ค่อยพอใจ "ทั้งแห้งทั้งแตกเลยผมฉัน ใช้แชมพูอะไรที่เขาโฆษณาทุกอันแล้วยังไม่เห็นดีเลย"

เพื่อนในชั้นเรียนหลายคนที่คุยอยู่พิจารณาผมของริสาตาม บางคนว่าให้เล็มปลายผมทิ้ง แต่ริสาก็ว่าเสียดายผม บางคนเสนอให้ชโลมน้ำมันมะกอกบ้าง ทรีตเมนต์บ้าง แต่ริสาก็ทำมาหมดแล้วจริงๆ

"นึกถึงเรื่องแก้วผมหอมเลยนะ" ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

ริสาขมวดคิ้ว "แก้วไหน"

"ก็เมื่อก่อนเคยมีเด็กโรงเรียนเรานี่แหละ ชื่อแก้ว มีแผลเป็นที่ใต้ตาใหญ่มาก แต่ผมสวยมาก ดำตรง เวลาปล่อยผมลงมากลางหลังนะเสมอกันหมดเหมือนเส้นไหม เงาหยั่งกับกระจกหรือผิวน้ำเลย หอมมากด้วย จนคนล้อเป็นเจ้าจันทร์ผมหอม ไม่รู้ใส่น้ำมันหรือน้ำหอมอะไร ใครถามก็ไม่ยอมบอก"

ทุกคนขยับเข้ามาใกล้ เริ่มสนใจมากขึ้น

"แล้วทีนี้ยัยแก้วนี่ก็เลยโดนหมั่นไส้ว่าทำไมไม่ยอมบอกเคล็ดลับ ทีนี้มีคนนึงรู้มาว่า แก้วเป็นเชื้อสายชาวเขาเผ่านึงที่เชื่อเรื่องเลี้ยงผี เชื่อว่าถ้าอยากให้ผิวสวย ต้องแก้ผ้าอาบแสงจันทร์เพ็ญตอนเที่ยงคืนอย่างน้อยสามครั้ง"

หลายคนหัวเราะออกมา "จะกลายร่างเป็นหมาป่าไหมน่ะ" เพื่อนที่เล่าทำหน้ายุ่ง "อย่าเพิ่งขัดสิ เขาว่าจะเรียกวิญญาณหญิงสาวที่ตายตอนยังสวยเข้ามาสิงร่างดูแลผิว แล้วก็นี่แหละ ถ้าอยากให้ผมสวยผมหอมต้องไปหน้ากระจกตอนเที่ยงคืนแล้วหวีผมร้อยครั้ง นับออกเสียงด้วย ถ้าครบร้อย ผีจะออกมาสิงในเส้นผมแล้วทำให้ผมสวย แต่มีกติกาว่าต่อจากนั้นห้ามตัดผมอีก พวกนั้นเชื่อว่าแก้วทำแบบนี้เลยมีคนแกล้งไปตัดปลายผมแก้ว"

ตอนนี้ทุกคนตั้งใจฟังเงียบกริบ

"หลังจากนั้นแปลกมาก เพราะเส้นผมที่เคยสวยของแก้วค่อยๆ แห้งกรอบลงเรื่อยๆ แก้วพยายามเรียกผีมาเลี้ยงผมอีกแต่ก็ไม่สำเร็จ เลยเสียใจมาก ฆ่าตัวตายเพื่อจะได้กลายเป็นผีปกป้องเส้นผมตัวเอง หลังจากนั้นเวลาใครเดินผ่านกระจกตอนเที่ยงคืนก็มักจะเหลือบเห็นว่ามีผู้หญิง ผมยาวตรงนั่งหวีผมอยู่พร้อมกลิ่นหอมประหลาด คนคนนั้นแหละคือแก้ว"

"โอ๊ย สยองสุด" หลายคนทำท่ากลัว แต่ริสาที่กำลังเครียดเรื่องผมกลับมีดวงตาเป็นประกายขึ้น เธอไม่ใช่คนกลัวผีเสียด้วย

คืนนั้นริสายืนหน้ากระจกตอนเที่ยงคืน แล้วเริ่มแปรงผมไปเรื่อยๆ เธอรู้สึกว่า ยิ่งตัวเลขมากขึ้นเท่าไหร่ อากาศก็ยิ่งจะเย็นเยือกลงทุกทีๆ ริสาแปรงไปถึง 80 ก็เริ่มได้กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้โชยอ่อนๆ มาจากที่ไหนสักแห่ง เธอขนลุกซู่ ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่กลัว แต่ก็อดกลัวไม่ได้ เธอแปรงช้าลงๆ ทว่ามือสั่นจนทำแปรงร่วงหล่นลงพื้นกระเด็นไปไกล เด็กสาวใจหายวูบ รีบเก็บแปรงขึ้นมาวางไว้ที่โต๊ะ ก่อนจะนอนคลุมโปงโดยไม่คิดจะสานต่อให้จบ "ทำไม่เสร็จผีก็ไม่ออกมาก็แค่นั้นเอง" เธอคิดเช่นนั้น

คืนวันต่อมาแก้วปวดปัสสาวะเข้าห้องน้ำ ขณะที่กำลังล้างมือเธอได้ยินเสียงนาฬิกาผนังบอกเวลาเที่ยงคืน แก้วสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงประหลาดบางอย่าง

"91...92...93...94...95..." เสียงแหบพร่าแผ่วเบาดังมาจากกระจกเหนืออ่าง ล้างมือที่เธอกำลังยืนอยู่

"96...97...98...99..." เสียง นั้นยังคงนับต่อไปเรื่อยๆ แล้วหยุดอยู่แค่นั้น ริสาอดใจไม่ได้ที่จะค่อยๆ หันไปดูต้นเสียงทั้งที่กำลังตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เธอเห็นก้อนสีดำๆ ค่อยๆ ปูดนูนออกมาจากกระจกช้าๆ จนหลุดผลัวะออกมาทั้งก้อน หญิงสาวเส้นผมสีดำตรงยาวสยายเป็นประกายเงางาม กลิ่นหอมเหมือนดอกไม้กลางคืนโชยฟุ้งไปทั่วห้อง เส้นผมค่อยๆ เลื้อยไหลตามลงมาที่คอของร่างนั้นราวกับธารน้ำตกสีดำ ใบหน้าสีฟ้าอ่อนผิวเนื้อดูบางใสจนมองเห็นตาข่ายเส้นเลือดด้านในเลือนราง ดวงตาดำสนิทมีแต่ตาดำไม่มีตาขาว ใต้ตามีรอยแผลเป็นยาวใหญ่ ริมฝีปากแดงฉ่ำ ปากเผยอสั่นก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วค่อยๆ เอียงคอ มองมาทางริสาที่ยังคงยืนตัวแข็งอยู่กับที่

ริสายืนตัวแข็ง น้ำตาไหลพราก พูดไม่ออก ใบหน้านั้นยื่นยาวชะโงกออกมาจากกระจก ขยับมาแนบแก้มเย็นเฉียบเข้าที่ข้างหูของริสา แล้วเผยอปากกระซิบเบาๆ ด้วยเสียงแหบพร่า "หนึ่งร้อย"


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 15 กันยายน 2558 09:09:16
.

(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSzs88Ai5Q1_j2xtydU8YwJX0qOb2US2G2BSGV5B3uxrcYw_-02)

ลุงกับป้า
กว่าผมกับภรรยาจะหาบ้านเช่าหลังนี้ที่ชอบได้ก็เล่นเอาเหงื่อตก เราตระเวนไปตามที่ต่างๆ ตามตรอกซอยหลายพื้นที่ในจังหวัด บ้านหลังนี้ลงตัวที่สุด ทั้งอาณาบริเวณที่มีไม้ใหญ่ ไม้ผลและไม้ดอกที่เจ้าของปลูกไว้จนร่มรื่นให้ผลได้เก็บกินอย่างมะม่วง มะยม ไม้ดอกที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอย่างพุดซ้อน โบตั๋น ต้นที่ให้ภาพสวยๆ สบายตาอย่างชมพูพันธุ์ทิพย์

เราไม่ค่อยสนใจเพื่อนบ้าน อาชีพสถาปนิกอิสระอย่างผมและคนวาดภาพประกอบให้นิตยสารและสำนักพิมพ์เช่นภรรยา เราชอบอยู่กันเงียบๆ เดือนหนึ่งเราก็ออกหาซื้อของตามซูเปอร์มาร์เก็ตมาตุนไว้ รับข่าวสารบ้านเมืองและติดตามชีวิตของคนเกี่ยวข้องผ่านทางอินเตอร์เน็ตกับเฟซบุ๊ก ผมไม่ชอบออกไปไหนหรือไปมาหาสู่กับใคร ผมเองพ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้ว พี่น้องสองคนก็ไปอยู่เมืองนอกไม่ค่อยได้ติดต่อกัน ไม่ต้องพูดถึงภรรยา เธอกำพร้าพ่อแม่ อยู่สถานรับเลี้ยงเด็กตั้งแต่จำความได้

เพื่อนบ้านของเรามีเพียงฟากเดียว ฟากทางซ้ายเป็นบ้านร้าง ไม่มีคนมาอยู่ ปล่อยรกร้างว่างเปล่าเถาวัลย์ขึ้น หญ้ารก ทางขวาผมเห็นเพียงลุงกับป้าสองคน ซึ่งผมมักจะเห็นแต่ป้าคนเดียวมากกว่า นานๆ ทีจึงจะเห็นแต่ลุงที่เป็นเงาตะคุ่มๆ และมักเห็นป้าแกคุยกับลุงเข้าไปในตัวบ้าน ทั้งสองคนจะมีชื่อเสียงเรียงนามอะไรไม่รู้จัก ปะหน้าป้ากันจะจะ ยามเดินผ่านใกล้รั้วก็ได้แต่ส่งยิ้มผ่านๆ ไม่ได้คุยอะไรกัน ดูท่าคนในบ้านนี้ก็ชมชอบความสงบเงียบ บ้านซึ่งเต็มไปด้วยสารพัดต้นไม้และความร่มรื่นเช่นกัน วันๆ ไม่เคยเห็นใครจะมาเยี่ยมแกหรือแกออกมาพบปะกับใคร ตกค่ำบ้านแกก็มืดสนิทไม่เปิดแม้กระทั่งไฟส่องสว่างตามมุมบ้านเสียด้วยซ้ำ

มาวันหนึ่งช่วงมะม่วงดกเต็มต้น มันเยอะมากจนผมต้องปีนสอยลงมาขายเป็นรายได้ ทำให้ผมมีโอกาสสังเกตรอบๆ บ้านมากขึ้น ผมสังเกตว่าป้าแกดูจะเอาแต่ก้มๆ เดินๆ อยู่บริเวณท้ายบ้านที่เป็นครัวซึ่งหันด้านนั้นมาทางบ้านผม สายตาที่ลอดผ่านกิ่งไม้ไปผมเห็นส่วนใหญ่จะเอาแต่นั่งอยู่หน้าเก้าอี้โยกทั้งวัน ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นหรือไม่ก็ไม่เคยสังเกตเห็นก็เป็นได้

เมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ภรรยา จึงนึกขึ้นได้อีกว่าไม่ได้เห็นลุงแกเลยตลอดสามสี่วันมานี้ ภรรยาผมซึ่งช่วงนั้นกำลังเขียนภาพประกอบให้สำนักพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ หลายสิบเล่มกำลัง "อิน" จัดเรื่องเกี่ยวกับผีเธอเสนอว่า

"ป้าที่พี่เห็น แกอาจจะตายไปแล้วก็ได้นะ ที่พี่เห็นคือวิญญาณของแกปรากฏให้พี่เห็น" เธอพูดไปหัวเราะไปมากกว่า ตอนแรกผมก็พลอยนึกขำไปด้วย แต่หลังจากนั้นอีกหลายวันชักไม่เริ่มสนุก ยามปีนไปเด็ดมะม่วง ผมมักแอบเห็นทางหางตาว่าป้ามองมาทางผม พอผมมองกลับไปป้าก็ไม่อยู่ตรงนั้นหรือไม่ได้มองมาทางผม บรรยากาศที่อึมครึม ป้าแกผุดๆ โผล่ๆ ตรงนั้นตรงนี้รอบๆ บ้าน ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหลอน ยิ่งตอนกลางคืนที่บางคืนป้าแกยังไม่ยอมเข้านอน นั่งโยกบนเก้าอี้ให้ยุงดูดเลือด ผมยิ่งหลอนเข้าไปใหญ่

บอกตามตรงว่าไม่พยายามสนใจ ใส่ใจกับงานการของตัวเองดีกว่า แต่ยิ่งพยายามเลิกคิด เรื่องของป้ากลับเข้ามาในหัวไม่ยอมหยุด ผมพูดเรื่องนี้กับภรรยา เธอกลับทำให้ผมกลัวเข้าไปอีก

"พี่คิดดู จู่ๆ ลุงแกก็หายไป ป้าอาจจะเกิดเฮี้ยน ฆ่าผัวตัวเอง หมกศพไว้ภายในบ้าน แกอาจจะแช่แข็งศพใน ตู้เย็นหรือใช้ผ้าปูที่นอนมัดศพไว้ใต้เตียงก็เป็นได้" ภรรยาเย้าแหย่ผมอย่างนี้ "พี่ระวังไว้ วันไหนแกเดินมาคุยด้วยที่ริมรั้ว พี่จะหนาว นอนไม่หลับไปทั้งคืน"

"ตลก ตลก ตลกใหญ่แล้วนะ" ผมโต้ตอบเธอที่กำลังหัวเราะอย่างครึกครื้น

จากนั้นกลายเป็นว่าผมพยายามไม่มองไปทางบ้านลุงป้า ไม่พยายามใช้หางตามองไปทางแก ผมเก็บมะม่วงที่มีมากมายสามสิบกว่าต้นหมดล่ะก็ติดต่อพ่อค้าเร่เจ้าหนึ่งที่เร่รถกระบะขายผลไม้ได้ในราคาที่ให้มะม่วงๆ พ้นๆ ไปจากบ้านมากกว่า

และวันนั้นเองผมก็พบลุงยืนอยู่หน้าประตูรั้ว!

ตอนนั้นค่ำแล้ว หลังจากรถเร่จ่ายเงินค่ามะม่วงแก่ผมเสร็จ กำลังจะเข้าบ้านก็เห็นลุงแกยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านแก ตอนแรกก็ดีใจอยู่หรอก นั่นหมายถึงไอ้ที่ผมคิดพรรณนาไปเองไม่จริง ลุงแกยังมีชีวิตอยู่ แต่แกยืนอยู่นานมาก ผมมองเข้าไปตัวบ้านในวันนั้นกลับแปลกที่ไม่เห็นป้าแกเลย มานึกดูก็ไม่เห็นตั้งแต่เช้าแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจเข้าไปไต่ถามให้หายคาใจ

"ทำไมลุงไม่เข้าบ้านล่ะครับ" ผมถาม ลุงไม่ตอบ แต่มองหน้าผมอย่างจับจ้อง "ลืมกุญแจหรือครับ เบอร์โทร.ป้าหรือเบอร์ที่บ้าน เบอร์อะไรครับ เดี๋ยวผมโทร.เข้าไปให้"

ลุงค่อยๆ เงยหน้ามองผม แล้วพูดช้าๆ ว่า "ลุงเข้าบ้านไม่ได้ เขาไม่อนุญาต"

ผมมองนิ้วมือของลุงที่ชี้เข้าไปยังบ้าน สายตาก็พลันเห็นชายชราผมเทา สวมชุดโจงกระเบนสีแดง ท่าทางแข็งขันดุดัน มีหนวดที่เรียวโค้ง ดวงตาแดงฉานลุกโชนราวกับไฟมองมายังผมและลุง ทันใดรถยนต์คันหนึ่งก็เทียบจอดหน้าบ้าน มีชายหนุ่มและป้าข้างบ้านลงจากรถ ก่อนที่ป้าจะเดินมายังประตูรั้วและพูดขึ้นว่า "พ่อจ๊ะ กลับเข้าบ้านกันนะ"

ในเวลาต่อมาจึงทราบว่าลุงแกเสียชีวิตมาสามปีแล้ว ลูกชายแกเพิ่งนำเถ้ากระดูกที่เผาจากอเมริกาเมื่อหลายปีมีโอกาสกลับเมืองไทยเมื่อไม่กี่วันนี้เอง!



บ้านเก่า

เพื่อนผมชื่อเจน หมอนี่เป็นสถาปนิกโดยอาชีพแต่มีนิสัยอย่างหนึ่งคือชอบซื้อบ้านเก่า นำมาซ่อมแซมปรับปรุงแล้วให้เช่าหรือขายต่อ หากบ้านไหนนึกชอบมากๆ ก็อาจจะไปอยู่หลายวันก่อนที่จะขายหรือปล่อยเช่า ด้วยความที่มันยังไม่มีครอบครัว งานหาบ้านเก่ามาทำให้ดูใหม่ของมันจึงเฟื่องฟูไปเรื่อยๆ

แล้วครั้งหนึ่งเจนก็เจอดีเข้าให้!

ตอนนั้นเจนขับรถตระเวนไปหาของกินกับผมแถวอยุธยา เจอบ้านไม้ครึ่งอิฐครึ่งปูนหลังหนึ่ง เก่ามากแล้วล่ะดูแล้วทรุดโทรมมาก แต่เนื้อที่กว้างขวางราวสองไร่ เจนเกิดนึกชอบใจ นั่งบรรยายให้ผมฟังว่าอยากปรับปรุงอะไรบ้างอยู่นานสองนานหากได้ซื้อ ผมไม่คิดว่าเจนจะซื้อหรอก

จนวันหนึ่งก็บอกผมว่าได้ซื้อเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งบอกว่าปรับปรุงไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว แถมยังชวนผมไปดูด้วย ผมก็ไป อยากเห็นว่าหากผ่านฝีมือ "โม" ของมันแล้วหน้าตาจะออกมาอย่างไร

เข้าท่าทีเดียวครับ เรียกว่ามหัศจรรย์จะเหมาะกว่า ผมทึ่งมากในหัวคิดของเพื่อน จนเจ้าตัวเองก็หลงใหลบ้านหลังนี้ "แปลกมากเลย กูชอบมาก ไม่อยากให้ใครเช่าหรือขายใครเลย กูว่าจะมาอยู่เองก่อน"

ตอนแรกผมนึกว่าจะเหมือนกับที่เป็นมา อยู่เล่นๆ นอนชิลชิล สักห้าหกวัน หรือเดือนหนึ่ง แต่หนนี้ปาเข้าไปหกเดือน ตลอดช่วงเวลานั้นผมมีงานการมากมายจนแทบจะลืมเจนกับบ้านหลังใหม่ไปเลย ผมติดต่อกับเจนอีกครั้ง ไปหาที่บ้านพ่อแม่ก็ทราบว่าเจนอยู่อยุธยากับบ้านหลังนั้น

"เจนแทบไม่เคยกลับบ้านเลยลูก ยังไงหนู ช่วยบอกมันว่ากลับบ้านที พ่อแม่คิดถึงมัน"
ขนาดนี้เชียวครับ หกเดือนที่ไม่กลับบ้านได้แต่โทร.หาทางบ้าน แล้วงานการล่ะ ผมสงสัย

"ก็ค่าเช่าบ้านหลายสิบหลังที่กูทำไว้ ไม่ต้องทำงานอื่นก็สบายแล้ว" มันให้คำตอบ

ผมถามไปว่าแล้วไม่สนุกที่จะออกไปหาบ้านเก่ามาทำใหม่อีกหรือ เจนตอบว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ ผมได้แต่ถอนใจ หากคุณมาเห็นสารรูปเจนที่หนวดเครารกครื้ม ผมเฝ้ายาวถึงกลางหลัง วันๆ เอาแต่นอนในห้อง กินก็กินแต่พวกอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารแดกด่วนพวก โทร.สั่ง

"กูหลงบ้านนี้"

ผมแปลกใจมากจนได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนบ้านหลังติดกันสองข้าง
"เป็นบ้านเก่าแก่อายุนับร้อยปีแล้วล่ะพ่อหนุ่ม" ตาบ้านหลังติดกันบอก "พอๆ กับบ้านตา เพียงแต่..."
"อะไรหรือครับตา"
"มันร้างมายี่สิบปีแล้ว"
"ร้างนานขนาดนี้เลยหรือ"
"ก็มีเจ้าของนะ แต่ลูกเต้าเขานานทีปีหนมาดูที มาก็แค่ยืนดูที่ริมรั้ว คุยกับตา เอาของมาฝากตาบ้างแล้ว ก็กลับไป"
"ทำไมไม่คิดมาอยู่ล่ะตา บ้านช่องก็ใหญ่โต เนื้อที่ก็กว้างขวาง"
"ตายยกครัวกันทั้งบ้าน เฮี้ยนนัก ใครจะกล้ามาอยู่"

ผมตกใจตาโต ลุงยังเล่าต่อ "แต่ที่จริงก็เคยมีนะ เขาว่าเป็นญาติมาอยู่กันทั้งครอบครัวแต่ไม่ถึงเจ็ดวันมีอันถึงกับเผ่น เก็บข้าวของแทบไม่ทัน ไม่ใช่ครอบครัวเดียว สามแล้ว"

ผมอยากจะเดินหนีออกจากบ้านในเวลานั้นทันทีถ้าไม่ห่วงเพื่อน

ผมชวนเพื่อนไปทานข้าวนอกบ้าน แล้วรีบเล่าให้ฟังทันที เจนตอบว่า "ไม่เคยเจอเลยสักครั้ง"

เจนไม่สนใจท่าเดียว แต่ผมห่วงเพื่อน งานการไม่ทำ พ่อแม่เพื่อนฝูงไม่สนใจ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแล้วล่ะ ผมนึกหาหนทางไม่ออก พอดีช่วงนั้นเพื่อนผมคนหนึ่งกำลังบวชอยู่ เมื่อไปเยี่ยมจึงเล่าเรื่องเจนกับบ้านหลังใหม่ให้ฟัง เพื่อนหลวงพี่ชวนไปหาหลวงตา หลวงตานั่งสมาธิสักพักก็บอกว่าพวกเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเจน เจนเกี่ยวกันกับชะตากรรมของพวกเขาในอดีต

"ทำบุญขึ้นบ้านใหม่เสีย ทำสังฆทานให้พวกเขา ทุกอย่างก็จะค่อยๆ ดีขึ้น"

ผมนำเรื่องไปปรึกษาพ่อแม่ของเจน ซึ่งกว่าจะพูดให้เจนยอมทำบุญบ้านได้ พวกเราเพื่อนๆ และพ่อแม่ของเจนก็เสียน้ำลายไปเป็นถังๆ

วันทำบุญบ้านเจนซึ่งยังไม่ยอมตัดผม ยังแต่งตัว โทรมๆ นั่งพนมมือฟังพระสวดอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แน่นอนงานทำบุญบ้านหนนี้พวกเราและพ่อแม่เจนจัดการให้ทั้งสิ้น

ระหว่างการสวดพวกเราเห็นทั้งเด็กและคนเดินไปเดินมาในบ้าน บางทีเสียงเด็กวิ่งเล่นกันบนบ้านเสียงตึงตัง มีคนเดินผ่านมาและผ่านไปทั้งผู้หญิงผู้ชายอยู่ตลอด เรามองหน้ากัน เรามากันกี่คน หน้าตาอย่างไรเรารู้จักกันหมด แล้วพวกเขาคือใครล่ะ

จนกระทั่งสวดจบ หลวงพ่อก็เรียกเจนให้เข้าไปหา ให้เจนพนมมือและท่านก็พูดขึ้นดังๆ ว่า "อย่าได้จองเวรแก่กันและกันเลย ไปสู่ที่ชอบๆ ปล่อยพ่อหนุ่มคนนี้ไปเถอะ"

พูดจบไม่นานเจนก็ล้มลงนอนราบกับพื้น เมื่อตื่นขึ้นมาเจนแทบจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีการทำบุญบ้าน เมื่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเจนถึงกับกลัว บอกว่าตลอดเวลาเหมือนอยู่ในความฝัน ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอด บังคับตัวเองไม่ค่อยได้

แน่นอนทุกวันนี้บ้านหลังนี้ไม่อยู่แล้ว เจนขายทิ้ง และไม่เคยได้กลับไปอีกเลย



ถนนคนบาป

ถนนเส้นนี้ เป็นถนนสายที่ฉันอยู่มาแต่เกิดจนโต และได้ยินเสียง "นั้น" มาตั้งแต่เกิดจนโตเช่นกัน

ว่ากันว่าบริเวณบ้านฉันเคยเป็นสถานที่สำคัญในอดีต คือด้านหน้าเยื้องหัวมุมถนนเป็นบริเวณเรือนจำเก่า และยาวออกไปทางถนนด้านขวามืออีกราวห้าร้อยเมตรเป็นลานประหารชีวิต

พวกเราตอนเด็กๆ ยังจำได้ดีที่พ่อแม่และผู้ใหญ่ ห้ามนักห้ามหนา ว่าอย่าออกมาข้างนอกบ้านเด็ดขาด โดยเฉพาะคืนเดือนมืด เพราะเป็นคืนที่ผู้คุมจะพานักโทษประหารเดินไปที่ลานประหาร

ในคืนดังว่านั้นมักจะมีคนได้ยินเสียงโซ่ลากเป็นทางไปตามพื้น เคล้ง เคล้ง ตามจังหวะก้าวเดิน จุดเริ่มต้นของเสียงคือที่หัวมุมถนนบ้านฉัน และปลายทางคือบริเวณลานฟุตบอลของโรงเรียนมัธยมห่างไปห้าร้อยเมตร

ใช่เพียงที่ถนนเส้นนี้เท่านั้นที่มีคนเคยได้สัมผัสเรื่องประหลาด แต่ที่โรงเรียนมัธยมใกล้ๆ ก็เล่ากันว่าภารโรงและครูที่อยู่เวรกลางคืนในคืนเดือนมืด หรือมาโรงเรียนแต่ย่ำรุ่งวันนั้น เคยมีคนได้ยินเสียงคนร้องไห้จำนวนมาก เสียงเพลงไทยเดิมโหยหวนคล้ายเพลงรำดาบก่อนประหาร และที่ตรงกันคือ เสียงลากโซ่

อาถรรพณ์ที่ว่ายังรวมไปถึงความเชื่อว่าการที่โรงเรียนแห่งนั้นสร้างทำลานประหารเดิม ทำให้สถานที่นั้นต้องสาป มีนักเรียนในโรงเรียนต้องตายอย่างน้อยปีละ 1 คน ที่โรงเรียนแห่งนั้นจึงต้องมีการทำบุญใหญ่ทุกปี รวมถึงทำพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้ดวงวิญญาณที่สถิตอยู่ที่นั่น แต่ถึงกระนั้นจำนวนนักเรียนที่ต้องตายทุกปีก็ไม่ได้น้อยลง

ฉันกับเพื่อนๆ ทุกวันนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นานๆ จะได้กลับบ้านมาที เราก็มีเรื่องอื่นๆ มาพูดคุยอัพเดตกันเรื่อยๆ แต่วันนั้นนึกยังไงไม่รู้ มีคนพูดเปิดมาก่อนว่า "พวกแกจำได้ไหม เรื่องผีลากโซ่เนี่ย"

หลายคนหัวเราะครืนขึ้นมาทันที "ยังไม่ชินอีกเหรอพวกแก ก็เรื่องผีหลอกเด็กไม่ให้ออกจากบ้านตอนกลางคืนแค่นั้นแหละ" ปองพูดขึ้น
"แต่ว่าถ้างั้นทำไมถึงห้ามเฉพาะคืนเดือนมืดล่ะ" อีกคนถามขึ้น
"บ๊ะ ก็มันมืดนี่หว่า มองอะไรไม่เห็น ก็อันตรายไง"
"แต่ว่า" ฉันพูดขึ้นบ้าง "ฉันเคยได้ยินเสียงนั้นนะ หลายครั้งด้วย บ้านฉันติดถนน เสียงเดินลากโซ่เป็นจังหวะผ่านหน้าบ้านไปทุกคืนเดือนมืดเลย"

ปองยักไหล่ เดินไปเปิดดูปฏิทินบนโต๊ะ "เจ๋ง คืนเดือนมืดคืนนี้พอดี งั้นไหนๆ คืนนี้เราก็ไม่มีอะไรทำกันแล้ว เรามาพิสูจน์ตำนานหลอกเด็กกันดีกว่า" เธอว่าพลาง ชำเลืองตาเยาะเย้ยมาทางฉัน

คืนนั้นสรุปพวกเพื่อนๆ ในกลุ่มทั้งหมดราวห้าคนก็พากันมานอนที่บ้านฉันเพื่อรอพิสูจน์ "ของ" ที่ว่า พวกเราอุตส่าห์ตั้งใจกันขนาดว่าไม่มีใครเปิดทีวีหรือวิทยุ และไม่คุยกันเลยตั้งใจรอฟังมาก

พวกเรารอกันตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงเกือบตีสอง จนบางคนเริ่มหลับไป ปองอมยิ้มกริ่ม "เห็นมะ บอกแล้วว่านิยายหลอกเด็ก"

ทันใดนั้นเอง เสียงที่เรารอคอยก็ดังขึ้น ดังแผ่วๆ ตอนเริ่มต้น แต่ก็พอที่ฉันและปองจะพอได้ยิน เราสองคนมองหน้ากันในขณะที่เพื่อนๆ คนอื่นหลับไปแล้ว ฉันค่อยๆ สะกิดปลุกเพื่อนทีละคน

เคล้ง...เคล้ง...เคล้ง...เสียงคล้ายโซ่ตรวนเส้นหนาใหญ่ถูกลากดังมาตามถนนเป็นจังหวะ เพื่อนทุกคนหน้าตาตื่น รีบพากันลุกออกไปที่หน้าต่างส่องดูว่าอะไรเป็นที่มาของเสียงแต่ก็ไม่เห็นอะไร

เสียงลากโซ่ดังขึ้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใจฉันเต้นตุบตับด้วยความกลัวระคนตื่นเต้น ความรู้สึกสมัยเด็กๆ กลับมาทันที เพื่อนๆ จับมือกันแน่น บางคนมีเหงื่อซึมออกมาที่มือ บางคนหน้าซีดตัวเย็น แม้แต่ปอง

แต่จู่ๆ ปองก็ลุกขึ้นยืน "ฉันว่ามีคนทำแน่ๆ ผีที่ไหนเสียงจะดังชัดขนาดนี้" ว่าแล้วปองก็ลุกเดินไปเปิดประตูทันที

"เฮ้ย ไอ้ปอง อย่า" เพื่อนๆ ร้องห้ามแต่มันไม่สนใจฟังยังคงเดินฉับๆ ออกไปที่ถนนหน้าบ้าน

ถึงแม้จะกลัว แต่ความเป็นห่วงเพื่อนมีมากกว่าเราจึงรีบวิ่งตามกันออกไป

กลางดึกคืนนี้ ทุกบ้านปิดประตูหน้าต่างมิดชิด ตอนนี้ที่นี่คือโลกต้องห้าม ที่ตั้งแต่เกิดจนโตฉันไม่เคยก้าวล้ำเส้นมาก่อน บรรยากาศรอบตัวดูอับทึบ มีทั้งความชื้นเหมือนไอน้ำอุ่นๆ แต่ลมบางวูบกลับเย็นเยือกจนสะท้าน

เสียงลากโซ่ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อย่างน่าสยดสยอง เราทั้งห้าคนไม่อาจหาที่มาของมันได้เลย โดยเฉพาะปองที่ตอนนี้ดูหงุดหงิดเอามากๆ "ไหน ใครหน้าไหนมันทำวะ หลอกชาวบ้านเขาให้กลัวกันอยู่ได้ แน่จริงก็ออกมา" ปองร้องตะโกนโดยไม่สนใจเสียงปรามของเพื่อนๆ

เสียงลากโซ่หยุดไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะดังขึ้นใหม่ กราวกรูเหมือนมาจากโซ่นับร้อยเส้นบนพื้นถนน ดังจนพวกเราต้องโดดลงมาข้างถนนแล้วยกมือสองข้างปิดหู บางคนเริ่มสวดมนต์แผ่เมตตาน้ำตาไหลพราก

ก่อนที่พวกเราจะวิ่งหนีกันกระเจิง และปองกระตุกเฮือกล้มหมดสติลงกลางถนน ฉันทันได้ยินเสียงเหมือนคนคำรามในคอดังฮือๆ แต่กระหึ่มกว่า ดังอัดกดทับพวกเราจนอยู่ไม่ได้ ร่างเงาสีเงินๆจางๆ ปรากฏเรียงแถวบนพื้นถนน ทุกคนสวมเพียงผ้าเตี่ยว มีโซ่ตรวนล่ามที่ข้อเท้า เดินทะลุผ่านตัวปองไป!

หลังจากนั้น ปองฟื้นอีกทีก็เช้าวันรุ่งขึ้น ที่หลอนสุดคือข้อเท้าของปองเกิดรอยประหลาดขึ้นคล้ายถูกกดทับด้วยของแข็งเหมือนรอยโซ่ แถมยังร้องครางฮือ ฮือ เหมือนคนไม่ได้สติอยู่อีกหลายวัน



วัดป่า

กิจกรรมธรรมะเทอมนี้ต้องออกนอกสถานที่ไปปฏิบัติธรรม ปักกลดนอนค้างคืนหนึ่งที่วัดป่า นอกเมือง ทันทีที่ทราบเมืองศรมันก็พูดเอาใจเสีย

"วัดป่าที่จะไปพ่อข้าเคยบอกว่าเมื่อก่อนเป็นป่าช้าเก่า ป่าช้าของคนสมัยก่อนที่เขาเผากันกลางแจ้ง เอาไม้สุมๆ แล้วจุดไฟเผา ที่ฝังก็ฝังกันไม่มีพิธีรีตองแถมยังขุดหลุมไม่ลึกด้วยแค่เนินพูนๆ"

จากนั้นก็มีการพูดกันเรื่องผีวัดป่า พูดไปพูดมา กลายเป็นว่าวัดป่าผีดุ จนกระทั่งหลังเข้าแถวเคารพธงชาติ อาจารย์ใหญ่ต้องพูดผ่านไมโครโฟนย้ำให้นักเรียนไม่กลัวว่าเป็นวัดป่าธรรมดาวัดหนึ่งที่สงบร่มรื่น ครูใหญ่เคยไปปฏิบัติธรรมตั้งสามคืนไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น แต่นักเรียนก็ยังกลัวเรื่องนี้กันอยู่ ทว่ากับบางกลุ่มกลับเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะกลุ่มของศร สิน ลิงและซ้ง พวกเขาแอบวางแผนบางอย่างกัน

ด้วยความที่เป็นหัวหน้าห้อง แต่ผมก็ไม่กล้าปรามเพื่อน

แล้ววันปฏิบัติธรรมก็มาถึง ตรงกับฤดูหนาว อากาศจึงหนาวในระดับที่ต้องก่อไฟผิงยิ่งทำให้บรรยากาศการปฏิบัติธรรมสนุกเข้าไปอีก เพราะหลังจากเข้าศาลาฟังพระอาจารย์ท่านสอนธรรมะในช่วงเช้าและบ่ายแล้ว ตกเย็นพวกเราก็พากันก่อไฟผิง อาจารย์เพียงแต่ตักเตือนให้ระวังเรื่องฟืนไฟ ให้ดับก่อนนอน อย่าประมาท พวกเราเป็นเด็กบ้านนอก เรื่องก่อไฟพวกนี้เราทำกันชำนาญแทบทุกคน

ศรก่อไฟแล้วแอบเอามันเทศจากบ้านซุกกองไฟ ด้านบนก็ย่างข้าวจี่ที่แอบเตรียมมาเช่นกันอย่างสนุกสนานและเอร็ดอร่อยจนหลายกลุ่มต้องอิจฉา

ตกค่ำหลังรับประทานอาหารและสวดมนต์ อาจารย์ก็ให้นักเรียนเข้าไปอยู่ในกลด จะทำอะไรก็ได้แต่ห้ามส่งเสียงดังและต้องนอนก่อนสามทุ่ม แต่หลายกลุ่มโดยเฉพาะนักเรียนหญิงก็พากันนอนตั้งแต่ก่อนสามทุ่มแล้ว เพราะบรรยากาศวัดป่าที่เงียบ วังเวง แม้จะมีเสียงนกร้องบ้างแต่บรรยากาศที่มองเห็นแต่ต้นไม้กิ่งไม้รากไม้และความมืดทึมๆ ทำให้เพิ่มระดับความน่ากลัว ผมปักกลดติดกับกลุ่มของศร จึงเห็นพวกเขาค่อยๆ คลานออกกลดกันทีละคน

สินเปิดไฟฉายได้แว้บเดียวก็ถูกศรดุให้ปิด ลิงก็บ่นอุบอิบ ศรถามอย่างปรามๆ ให้เพื่อนเบาเสียง ไม่มีใครตอบ แล้วศรก็เร่ง "งั้นไปกัน"
"ไอ้หลุมเนินดินด้านหลังตรงนั้นใช่ไหม" ซ้งถาม
"เออดิ ก็เราตกลงกันแล้ว ตอนเที่ยงเราก็เดินไปสำรวจกันแล้ว เอ็งอย่าขัดสิวะ ทำให้เหมือนการผจญภัย หน่อย เร็วเข้า อย่าช้า"

ผมเดินตามหลังพวกเขาอย่างปอดๆ อากาศรอบตัวเย็นมาก ทุกคนใส่เสื้อกันหนาว ลมแรงมากพัดยอดไม้ที ก็ดังซู่ยาวทีนึง

จู่ๆ เหมือนมีตัวอะไรบางอย่างพุ่งผ่านหน้าเราขึ้นต้นไม้ไปอย่างรวดเร็ว ลิงและซ้ง กระโดดพรวดเดียวไปปีนอยู่บนต้นไม้ข้างๆ
"ปอดแหกแค่กระรอกวิ่งผ่าน" ศรตะคอก "แล้วผีจริงมึงปีนจะหนีทันหรือ"
"ห่า โบราณว่าเข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ" ลิงพูด
"ไหนเสือของมึง กระรอกชัดๆ ไอ้ลิงหอกหัก" ศรด่าเพื่อน
"ถึงแล้ว" ใครสักคนทักขึ้น ทุกคนเหลียวมอง รอบตัว เนินดินอยู่รอบๆ เราจริงๆ แต่บรรยากาศมันกลับน่ากลัวมากขึ้นเมื่อเรานึกว่าคือป่าช้าเก่า

ทันใดเหมือนจู่ๆ อากาศก็หยุดนิ่ง พวกเราได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงเหมือนซากสัตว์ เหม็นจนแทบหายใจไม่ออก ไอ้ซ้งนั่งอ้วกลงตรงนั้น

พอเราใจเสียกันหมดแล้วกำลังจะหาทางกลับลม ก็พัดแรงรอบทิศจนผงฝุ่นขึ้นคลุ้งกระจาย ตอนนั้นพวกเรานั่งกันหมดแล้ว เสียงสวบสาบเหมือนคนจำนวนมากเดินเข้ามาล้อมรอบพวกเรา มีเสียงพูดคุยงึมงำ ฮือฮา เหมือนมีเงาคนผ่านหน้าไปมา แต่กลับมองไม่เห็น

ไอ้ลิงกลัวจนสติแตก ร้องไห้ฮือๆ ครางช่วยด้วยๆ

แล้วเราก็ใจชื้นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงคนกึ่งพูดกึ่งถาม "มาทำอะไรที่นี่!"

ทุกคนหันไปมองตามที่มาของเสียงเป็นตาเดียว

"มาทำอะไรที่นี่" พระอาจารย์ถามซ้ำ

ไอ้ลิงโผเข้าไปกอดขาพระอาจารย์แน่น "พระอาจารย์ ครับ พวกผมโดนผีหลอก ฮือๆ"

เราช่วยกันแกะไอ้ลิงออกจากขาท่าน แล้วท่านก็พาพวกเรากลับมาส่งที่ลานปักกลด

"เด็กพวกนี้ซนกันจริงๆ เอาล่ะ อย่ากลัวกันเลย ถ้าไม่สบายใจก็สวดมนต์ตามพระอาจารย์นะ"

พระอาจารย์นำสวดมนต์ก่อนนอน และให้พวกเราแผ่เมตตา ก่อนที่จะบอกให้รีบเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ ยังต้องมีกิจกรรมทำอีกมาก

เช้ารุ่งขึ้น หลังจากทำวัตรเช้า และกินอาหารเช้ากันแล้ว พวกผมคุยกันถึงเรื่องเมื่อคืน และพยายามมองหาพระอาจารย์รูปที่ไปช่วยเราไว้ จนหลวงพ่อพระครูที่ดูแลอยู่ สงสัยเลยเข้ามาซักถาม และเราก็เล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้ท่านฟัง ว่าเจอเรื่องสยองมากขนาดไหน ถ้าไม่ได้พระอาจารย์ใจดีไม่รู้ว่าจะรอด มาได้ไหม

หลวงพ่อพระครูขมวดคิ้วยุ่ง "เอาที่ไหนมาพูดนี่พวกเธอ ละเมอกันแล้วมั้ง เมื่อคืนที่อยู่ดูแลพวกเธอก็มีแค่คณะครูที่มาจากโรงเรียนนั่นแหละ พอดีมีพวกพระอาจารย์เขามีธุระด่วนที่วัดในหมู่บ้าน ดึกเลยจำวัดที่นั่น ก็เพิ่งกลับกันมาเมื่อเช้านี้เอง"



หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 20 ตุลาคม 2558 19:52:14
(https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSskUztt-2g2mUoMGyvCkndcQoLh0k-8KOEUeVWYKBMD0cZ7tPaug)

ยายมาหา
เมียผมเธอไม่เชื่อผีสางนางไม้วิญญาณทั้งหลายแหล่ เธอบอกว่าใจคนเราสร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น!!

วันนั้นเพื่อนเก่าผมมาหา ชื่อ ทับ เราเรียนกันมาตั้งแต่มัธยมปลาย หมอนี่ธรรมะธัมโมมาตั้งแต่เด็ก สมัยนั้นมันชอบนั่งสมาธิ ชอบพูดเรื่องศาสนา เป็นคนเรียบร้อยคนดีในสายตาเพื่อนทุกคน วันนี้มันเป็นมัคนายกผมจึงไม่แปลกใจ อาชีพของมันคือเปิดร้านชำ แต่อย่างว่าผมเดาไม่ผิดเมียมันก็ดูแลเป็นหลักแหละ

ยายผมเพิ่งเสีย ชีวิตไม่กี่วันก่อน ตั้งศพสวดที่วัดเป็นคืนสุดท้ายแล้ว ทับมางานศพคนอื่นแต่บังเอิญมาเจอผมเข้าเลยมางานศพยายผมอีกงาน ทับรู้จักยายผมดี สมัยเรียนมากินข้าวฝีมือยายผมประจำ

นั่งคุยกันดึกดื่น ทางวัดจะปิดศาลาเราเลยต้องกลับ ผมชวนทับไปต่อที่บ้าน คุยไปคุยมาชักน้ำลายบูดเพราะไอ้ทับไม่กินเหล้า ผมรู้สึกแปลกๆ นั่งคุยกับคนกินน้ำเปล่า ตัวเองก็กินน้ำอัดลม เพราะพรุ่งนี้วันเผา ทำบุญตอนเช้า บ่ายเผา ผมเลยงดเหล้า เลยแปลกๆ ไปหน่อย

แต่ก็เข้าตีสอง ทับขอตัวกลับ ผมก็ว่าสมควรแก่เวลา นอนไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่นแล้ว แต่ทับมันนึกขึ้นได้ "มึงจำเรื่องที่กูชอบเจอวิญญาณได้ไหม"

ผมพยักหน้า เรื่องนี้เป็นเรื่องเด่นในชีวิตของมันเลยล่ะ
"ทางเข้าบ้านกูแมร่งดงกล้วย ต้องผ่านป่าละเมาะ"
ผมขัด "แล้วเสือกไปหาบ้านแบบนั้นทำไม"
"มึงอย่าเพิ่งขัด ไอ้ทางนี่มาทีหลัง มีคนมาซื้อที่ล้อมรอบบ้านกูสองด้าน แมร่งปิดทาง กูเลยต้องเข้าทางนี้ที่เจ้าของเขาใจดีอนุญาต แต่แมร่งตกดึกน่ากลัว ชิบหาย"
"เข้าเรื่องเร็วๆ กูง่วง"

"กูเจอผี เจอวิญญาณประหลาดตรงดงกล้วยประจำ แรกๆ ก็ให้มาเห็นอย่างเดียว หลังๆ ชักลามปามเหมือนจะเป็นแบบเมื่อก่อน บอกตามตรงตอนเด็กๆ กูเคยเจอคล้ายๆ กันนี้ ผีมันตามเข้าบ้านด้วย กว่าจะจัดการได้ พ่อกูต้องไปตามหลวงพ่อที่วัดมาสวดมารดน้ำมนต์" ทับหยุดพูด "กูขอนอนบ้านมึงคืนนี้ได้ไหม ยังไงกูก็ต้องหาทางจัดการเรื่องวิญญาณนั้นให้ได้ด้วย เพราะกูคงมานอนบ้านมึงบ่อยๆ ไม่ได้ กูรบกวนหน่อยแค่โซฟาข้างล่างก็พอ"

ผมไปนอนเป็นเพื่อนในห้องพักแขกอีกห้อง ตกดึกผมตื่นเพราะปวดปัสสาวะ กลับเห็นทับนั่งขัดสมาธิอยู่ มันลืมตามากระซิบกับผม "มาทั้งคืนเลย มาทำไมก็ไม่รู้"

ผมตกใจ "หา ผีนั่นตามมาถึงบ้านกูเลยหรือ"
"เปล่า"
"แล้วใคร"

ทับไม่ตอบเหมือนจะไม่กล้ามากกว่า ทำไมก็ไม่รู้ กลับชี้นิ้วไปทางลงข้างล่าง ไอ้ผมจะไปรู้อะไรของมัน "ยังนั่งอยู่ปลายเท้ากูเลย"

ผมตกใจ นอนตัวแข็ง หายปวดฉี่ไปแล้ว
"มึงไม่ต้องกลัว ไม่ทำอะไรมึงแน่" ทับกระซิบเบากว่าเดิมอีก "หลับตาเถอะ อย่าคิดมาก นอนแผ่เมตตากันนะ"

พูดจบเมียผมก็มาเคาะประตูห้องขอนอนด้วย โดยยกนิ้วจุ๊ปากไม่ให้ผมพูดอะไร "ตอนเช้าค่อยคุย"

ผมต้องมานอนคั่นกลางระหว่างเมียกับเพื่อน พยายามหลับตานอนโดยการแผ่เมตตาอย่างมันบอก แต่จะให้นอนแผ่เมตตาทั้งๆ ที่รู้ว่าปลายเท้ามีผีนั่งอยู่หรือ ผมนึกด่าไอ้ทับในใจ ทว่าหลังจากแผ่เมตตาก็หลับไปได้จนถึงเช้า

ทันทีที่ฟ้าสว่างทับก็ปลุกผมขอตัวกลับบ้าน เมียผมซึ่งปกติไม่ค่อยตื่นเช้ากลับตื่นทันที เมียผมรีบเล่าเรื่องเมื่อคืนเหมือนคาใจอยู่ "หนูเจอยายสิพี่ ตอนอยู่ไม่กลัว ตายไปทำไมถึงกลัวก็ไม่รู้"

"ไหนหนูเคยบอกพี่ ผีไม่มีจริงไง นี่เชื่อแล้วหรือ" ผมถาม
"ยายแกเหมือนจริงมาก จนหนูยังไม่คิดว่าผีมีด้วยซ้ำ แต่พอนึกว่าแกตายไปแล้ว หนูถึงได้กลัวไง"
"ยายแกมาทำอะไร"
"แกบอกว่า ไอ้ทับติดเงินผัวเอ็งสองพัน หลายปีแล้วไม่คืนเสียที"

ถึงตอนนี้ผมหันหน้ามองไอ้ทับ มันก็ทำหน้างงๆ "กูไปติดมึงตั้งแต่เมื่อไหร่วะ"
ผมเองก็งง จำไม่ได้ว่าไอ้ทับยืมเงินไปตอนไหน เมียผมพูดต่อ "ก็ไม่รู้ ยายแกพูดแบบนี้"

ผมเองนึกขึ้นได้ รีบถามทับ "เมื่อคืนมึงชี้นิ้วลงมาข้างล่างทำไมวะ อีกอย่างใครวะ กูกลัวฉิบเป๋ง"
"อ้าว เจอผีเมื่อคืนหรือ" เมียผมถาม

ทับรีบตอบ "ยายมึงไง ก็ภาพถ่ายที่แขวนอยู่นี่ไง" ทับชี้ไปทางรูปภาพยายที่แขวนติดผนัง ผมนำภาพยายภาพนี้ที่ผมถ่ายเองไว้นานแล้ว แกยิ้มสนุกมาก ผมชอบเลยอัดใส่กรอบแขวนไว้กลางบ้าน "ยายแกจำกูไม่ได้หรือไงวะ นั่งจ้องกูทั้งคืน ดีนะที่เป็นยาย แต่กูก็ยังกลัวอยู่ดี" ทับบอก

"โธ่ ยายแกคงคิดถึงมึงมั้ง เมื่อก่อนซี้กันนี่หว่า"
"สงสัยมาทวงตังค์ให้พี่มั้ง" เมียผมรีบพูด

ทับเกาหัว "กูไปยืมมึงตอนไหนวะ"
"เอ่อๆ ยายแกคงจำผิดคน"

แต่อย่างน้อยก็ทำให้เมียผมเชื่อเรื่องผีว่ามีจริงล่ะ..!!


ใต้แสงเทียน
นอกจากวันเกิดกับวาเลนไทน์แล้ว อาทิตย์ไม่เคยลืมวันครบรอบแต่งงานของเธอกับเขา ตลอด 12 ปีที่อยู่ด้วยกันมา อย่างน้อยก็ตลอด 11 ปีก่อนหน้านี้

มินตราจะทำเหมือนเดิมทุกปี เตรียมอาหารที่เขาชอบ จัดแจกันดอกกุหลาบสีชมพู ตั้งเชิงเทียน น้ำทับทิมของเธอและเขา แทนบรรยากาศจิบไวน์ใต้แสงเทียน เพราะทั้งคู่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ส่วนอาทิตย์มักจะชอบหาวิธีเซอร์ไพรส์เธอให้ตื่นเต้น มินตรารู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่มีสามีน่ารัก ช่างเอาอกเอาใจ มีแค่ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเท่านั้นแหละ ที่...

ครั้งแรกตอนที่เธอได้ยินว่าอาทิตย์เริ่มไปชอบพอกับเด็กฝึกงาน ถึงขนาดพาไปกินข้าวด้วยกันทุกเที่ยงและหลังเลิกงาน เธอยังคิดเข้าข้างเขาว่า ผู้ชายอบอุ่นใจดีอย่างเขาคงเอ็นดูรุ่นน้องและอยากดูแลคนในปกครองให้ได้รับความอบอุ่นใจเหมือนญาติ มินตราพยายามปิดกั้นภาพร้ายๆ ทุกอย่างที่จะเข้ามา ในความคิดของเธอ ใครจะมารู้จักเขาดีกว่าเรา เธอคิด

ทันใดนั้นแสงไฟในห้องดับวูบลง หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ไฟดับเหรอเนี่ย แย่จัง เธอคิดพลางคลำทางแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปด้านนอก ภายนอกกลับมีเพียงความมืดมิด ไม่มีแสงสว่างอื่นเลยแม้เพียงนิด

อะไรกันไฟดับพร้อมกันทั้งกรุงเทพฯ เลย เนี่ยนะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ มินตรารู้สึกใจสั่นด้วยความกลัว รอบข้างเงียบสงัดจนใจหาย เธอภาวนาให้สามีกลับบ้านมาเร็วๆ เธอไม่ชอบอยู่คนเดียวในความมืดแบบนี้เลยให้ตายสิ

หญิงสาวได้ ยินเสียงคล้ายคนเดินสวบสาบช้าๆ เธอยืนนิ่ง ตั้งใจฟัง เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเหมือนกำลังเดินอยู่ในห้อง ใช่อาทิตย์หรือเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ

มินตราคิดแล้วก็เดินย่องไปหลบที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ครัว ทำยังไงดี ถ้าเป็นคนร้ายฉวยโอกาสเข้ามาตอนไฟดับล่ะเธอจะทำยังไง หญิงสาวตัวสั่น แต่ว่าอาทิตย์ก็ชอบแกล้งเซอร์ไพรส์เธออยู่บ่อยๆ อาจจะเป็นเขาก็ได้นี่นา เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้นเหมือนของบางอย่างหล่นกระแทกพื้น ดูเหมือนคนที่เดินเข้ามาจะไม่คุ้นเคยกับข้าวของที่วางในห้อง หญิงสาวคิดพลางนั่งลงคลานที่พื้นและควานหาอะไรสักอย่างเพื่อจะเอาไว้ป้องกันตัวในยามคับขัน เธอควานได้ไม้ถูพื้นและกำด้ามมันกระชับในมือมั่น ถ้าคนร้ายมีมีดหรือปืนอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรไว้สู้เลย

เสียงเดินลากเท้าเหมือนไม่ค่อยมั่นใจใกล้เข้ามาอีกจนกระทั่งหยุดลงที่โต๊ะอาหาร มินตราได้ยินเสียงลากขยับเก้าอี้ จะร้องถามออกไปก็ไม่กล้า ได้แต่ภาวนา ขอให้คนที่เข้ามาเป็นสามีของเธอ ไม่ใช่คนอื่น

แสงสว่างจากเปลวเทียนค่อยๆ สว่างวาบขึ้นจากด้านหลัง มินตรามองเห็นด้วยหางตาก่อนค่อยๆ หันไปและยิ้ม นั่นไงล่ะ เขาจุดเทียนแล้ว เลิกเล่นเป็นเด็กกันเสียที ผู้ร้ายที่ไหนจะมัวมาจุดเทียนบนโต๊ะอาหารกันเล่า มินตราดีใจ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กินข้าวกันเถอะนะอาทิตย์

หญิงสาวค่อยๆ เดินเข้าไปที่โต๊ะอาหาร ภายใต้แสงวับแวมของเปลวเทียน เธอไม่เห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่ก้มหน้าตัวสั่นเทาอยู่ อาทิตย์อาจจะกำลังกลั้นหัวเราะ ตั้งใจจะแกล้งอะไรเราอีกนะ มินตรายิ้ม

เธอเดินเข้าไปใกล้พอที่จะเริ่มได้ยินเสียงพูดจากปากคอที่สั่นระริกของชายหนุ่ม "ขออัญเชิญดวงวิญญาณหญิงสาวที่เสียชีวิตในห้องนี้ มาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน และปรากฏกายให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยเถิด"

นั่นไม่ใช่เสียงของอาทิตย์นี่! ใครกัน เข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง!

มินตรามองไปที่บานประตูห้อง ที่เหลือเพียงกรอบประตูและรอยไหม้ดำสนิท มองไปรอบๆ กาย ในห้องของเธอเต็มไปด้วยรอยไหม้และซากสิ่งของถูกไฟจนดำเป็นตอตะโก ซากปรักหักพังกระจายอยู่ทั่วไป

วินาทีแรกๆ เธอสับสน หญิงสาวไม่ได้มีชีวิตอยู่ฟังข่าวรถแก๊สระเบิดที่สี่แยกข้างคอนโดฯ ของเธอ จนเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ คร่าชีวิตของทุกคนที่อยู่ในคอนโดฯ คืนนั้น ใช่รวมทั้งมินตราด้วยในขณะที่เธอยังคงรอคอยสามีกลับมาร่วมฉลองวันครบรอบแต่งงานอย่างใจจดใจจ่อ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา มินตรายังคงจัดโต๊ะอาหารและรอคอยให้แสงเทียนสว่างขึ้นอีกครั้ง

หญิงสาวถอนหายใจและยอมรับเป็นครั้งแรกว่าเธอควรจะดีใจที่อาทิตย์กลับห้องดึกกว่าปกติในคืนนั้นและอย่างน้อยเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ แม้จะไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลยอย่างที่เธอแอบคาดหวัง

เอาเถอะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เด็กหนุ่มคนนี้อุตส่าห์มาชวนเธอดินเนอร์ถึงห้องจะเสียมารยาทได้ยังไง มินตรานึกแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แล้วเลื่อนจานอาหารให้เขา ในขณะที่เด็กหนุ่มตัวสั่นเทา น้ำตาไหลพรากด้วยความกลัว ในขณะที่เธอได้ยินเสียงจากวิทยุสื่อสารติดสติ๊กเกอร์รายการคนล่าผีที่เขาพกมาด้วย

"ตอนนี้ดวงวิญญาณในห้องร้างอยู่ตรงหน้าคุณแล้วค่ะ จินสัมผัสได้ แต่เขามาดี อย่าตกใจ อย่าวิ่ง ตั้งสติไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนะคะ อย่าวิ่งค่ะ ทีมงานของเรากำลังจะเข้าไปช่วยคุณ!"


มือลึกลับ

เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วัน!

แม่กับป้าพรเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่นิสัยการกินสองคนแตกต่างกันมาก ป้าพรเป็นมังสวิรัติ ชอบไปวัดทำบุญ ตรงข้ามกับแม่ผมชอบกินเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะสเต๊ก ไก่ย่าง เนื้อโคขุนฯ แม่ชอบชวนผมไปรับประทานเป็นประจำ บางครั้งก็ซื้อมารับประทานที่บ้าน

ครอบครัวของผมกับป้าพร ต่างมีเชื้อสายจีน เดือน 7 ตามปฏิทินจีนหรือเดือนกันยายนตามสากล คนจีนถือกันว่าเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิด จะมีประเพณีทิ้งกระจาด ซึ่งเป็นประเพณีที่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณเร่ร่อนและแจกทานให้คนยากไร้ ทางครอบครัวป้าพรเคร่งครัดเรื่องประเพณี แกไม่เคยพลาดที่จะบริจาคสิ่งของเพื่อร่วมประเพณี ทุกปีป้าพรกับครอบครัวจะไปหาซื้อข้าวสาร เครื่องกระป๋อง รองเท้า เสื้อผ้าใหม่ๆ แล้วนำไปบริจาคแวะเวียนไปมูลนิธิต่างๆ (ทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด) ที่จัดให้มีการทิ้งกระจาด แต่ปีนี้นึกยังไงไม่รู้เกิดชวนแม่ไปด้วย ตอนแรกผมก็นึกว่าแม่ต้องปฏิเสธเพราะแม่ไม่ชอบเรื่องแบบนี้นัก

วันหยุดที่ผ่านมาลูกชายป้าพร ขับรถพาป้าพรกับแม่ไปบริจาคสิ่งของที่มูลนิธิหนึ่งแถวอยุธยา เสร็จเรียบร้อยขากลับก็แวะรับประทานอาหารร้านริมทาง ระหว่างนั่งรับประทานอยู่นั้นมีรถคันหนึ่งขับพุ่งเข้ามาในร้านชนคนบาดเจ็บ และเสียชีวิตไปหลายคน แต่แม่กับป้าพรและลูกชายซึ่งนั่งอยู่โต๊ะแรกด้านหน้าร้านกลับไม่ได้รับบาด เจ็บแม้แต่น้อย

ป้าพรบอกว่าเป็นเพราะเราเพิ่งไปทำบุญมา แม่ไม่เชื่อพูดว่า บังเอิญเราไม่ถูกชนมากกว่า

"ไม่เกี่ยวกันหรอก คนที่ทำบุญก็ถูกรถชนเยอะไป คนเสื้อแดงที่นอนจมเลือด ชั้นจำได้ขับรถเลี้ยวออกจากมูลนิธิมาหลังเรา"

แม่แย้ง แม่บอกผมว่าป้าพรไม่เถียงคงอับจนเหตุผลมาเถียงแม่ ก็เลยเฉยเสีย

เมื่อสองวันก่อนป้าพรชวนแม่ไปงานเทกระจาดของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งทางมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งนี้เรียกว่า ทิ้งกระจาด ทางมูลนิธิทำมาต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 105 แล้ว วันเสาร์ที่ 12 กันยายนที่ผ่านมาถือเป็นวันปิดประตูผี จะมีการทิ้งกระจาดอันเป็นพิธีกรรมที่เสมือนบอกกล่าวการสิ้นสุดของการเท กระจาดปีนี้

ผม แม่ และป้าพรออกจากบ้านตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เรานั่งรถเมล์ถึงมูลนิธิหน้าสน.พลับพลาไชย ตอนตีห้าครึ่ง รถติดยาวเหยียด คนเยอะมาก ผมเจอคนที่บอกว่ามาตั้งแต่เที่ยงคืนก็มี ป้าพรทักทายคนรู้จักหลายคน ผมถามว่าป้ามาบ่อยหรือ ป้าบอกมาทุกปีแหละ ที่มารับกระจาดนี่ไม่ได้เป็นการแย่งคนยากไร้ ป้าพรมารับตั้งแต่สาวๆ สมัยยังยากจนก็รับมาใช้เอง แต่พอเริ่มลืมตาอ้าปากได้ป้าก็รับมาแล้วให้คนที่ลำบากกว่า ปีนี้เช่นกันผมกับแม่จึงตั้งใจจะร่วมสมทบให้ป้าพรนำไปให้คนที่ลำบากกว่าเราด้วย

เราไปเข้าคิวรับบัตรสีเขียว บัตรนี้จะได้นำไปขึ้นสิ่งของ ป้าบอกสมัยก่อนเป็นไม้ติ้ว ซึ่งก็คือแท่งไม้ไผ่เหลาบางๆ หนาประมาณ 1 ซ.ม. ยาวประมาณ 10 นิ้ว มีตัวเลขหรือตัวอักษรเขียนไว้ ถือไว้พอเสร็จสิ้นพิธีก็นำไปรับของ

"ป้า ฟังผู้ใหญ่เขามา ป้าทันยุคที่เข้าแถวรับของกันตรงๆ เลย คนเยอะแทบจะเหยียบกันตาย ก็เปลี่ยนเป็นการรับบัตรอย่างทุกวันนี้ ซึ่งป้าว่าดีแล้วใครมาก่อนได้ก่อน"

หลังจากพิธีทางศาสนาเสร็จก็มีการแจกของ แถวยาวเหมือนงูขด แต่ทุกคนก็รอกันอย่างยิ้มแย้ม พอถึงคิวเรา เราก็นำบัตรให้เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่แจกหมวกไม้ไผ่ปีกกว้างคล้ายกระจาดให้คนละใบ แล้วเดินตามกันไปเรื่อยๆ เพื่อรับอาหารแห้ง ข้าวสาร ขนม บะหมี่สำเร็จรูป รองเท้าแตะ ทีละชิ้นๆ จนเต็มล้นหมวกแล้วเราก็กลับไปเทรวมกันในกระเป๋าใบใหญ่ที่ป้าพรเตรียมมา

ป้าพร แม่ และผม รู้สึกเหนื่อยแต่ก็รู้สึกดี ผมแบกกระเป๋าใบใหญ่ลงรถเมล์ที่ป้ายใกล้บ้าน ระหว่างนั้นเองที่เราได้ยินเสียงรถเบรกดังมาก เมื่อผมหันไปก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งตรงมาที่แม่ ช่วงเวลานาทีนั้นเองที่ผมตกใจมากรีบตรงเข้าไปช่วยแม่แต่ไม่ทัน แม่ล้มลง ผมเห็นแม่หัวกระแทกพื้น ใจผมแทบสลาย ผมไปถึงตัวแม่อย่างรวดเร็ว

"แม่เป็นอะไรมั้ย"
แต่แม่กลับลุกขึ้นยืนพลางปัดเสื้อผ้าเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

เด็กหนุ่มที่ขี่มอเตอร์ไซค์รีบตรงเข้าหาแม่พร้อมยกมือไหว้ขอโทษ เขามองแม่อย่างสำรวจไปทั้งตัว แล้วรีบไหว้ไปรอบๆ ท่าทางเขาหวาดกลัวมาก
"มีอะไรพ่อหนุ่ม" แม่ผมกลับตกใจเอง
"ไม่มีอะไรป้า ผมแค่เห็น!"
"เห็นอะไร" แม่รีบแย่งถาม
"ผมเห็นมือเยอะแยะมารองรับตัวป้าไม่ให้ถูกพื้น แม่เจ้าว้อย ถ้าไม่เห็นกะตา เล่าให้ฟังเฉยๆ ผมไม่เชื่อนะนี่ ป้าเล่นของเหรอ ของอะไร บอกผมมั่งดิ"

เด็กหนุ่มพูดยกใหญ่ไม่หยุดให้ใครถามเลย
แม่ยืนงงอยู่ ป้าพรได้โอกาสรีบพูดใหญ่
"ไงชั้นบอกแล้ว ทำบุญได้มากกว่าที่คิดเยอะ"

เมื่อกลับถึงบ้านถามแม่อีก แม่ก็ยังย้ำว่า "แม่ไม่เป็นไรจริงๆ นะ ตอนที่รถพุ่งเข้ามาหาแม่ แม่ล้มลงแต่ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างมารองตัวแม่ไม่ให้โดนพื้น"

หลอน


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 26 ตุลาคม 2558 20:16:42
.

(https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQxyUGkJvMYo7EJebPOt_r-MvFbG8HKT2qpZD5KSeV6SEnjMg4TAw)

เซ่นศาล

เรื่องของเรื่องเริ่มจากว่าศาลเพียงตาตรงโค้งร้อยศพเกิดพังถล่มลงมา เพราะมีรถกระบะหลับในพุ่งหลุดโค้งเข้าไปชนจนได้จำนวนศพสะสมเพิ่มขึ้นไปอีก

แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาตั้งศาลใหม่เสียที เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาว่าเป็นความรับผิดชอบของใคร ญาติผู้เสียชีวิตล่าสุดก็ดูท่าไม่ค่อยสนใจเชื่อถือเรื่องนี้นัก

หลังจากตำรวจมายกรถและผู้เสียชีวิตออกไปจากพื้นที่ และทำแบร์ริเออร์พลาสติกใหม่แทนอันที่พังแล้ว ซากศาลเพียงตาเก่าก็ยังกองอยู่อย่างนั้นอีกหลายวัน ชาวบ้านแถวนั้นหลายคนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะเชื่อว่าดวงวิญญาณที่พากันมาตายตรงโค้งร้อยศพจะไม่มีที่สิงสถิต และอาจจะทำให้เกิดเรื่องน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

เลยเริ่มมีผู้กล้าเข้ามาจัดการเก็บกวาดพื้นที่ตั้งศาลเดิมเพื่อเตรียมทำพิธีตั้งศาลเพียงตาให้กับดวงวิญญาณที่มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตที่นี่ แต่เพียงในคืนนั้นเองบรรดาผู้ที่เข้ามาช่วยเก็บกวาดตรงนั้นต่างพากันนอนผวาทั้งคืน เพราะแต่ละคนล้วนเจอเรื่องแปลกๆ บางคนเจอผู้หญิงท้องแก่มายืนมองหน้าที่ปลายเท้ายันเช้าขยับตัวก็ไม่ได้ บางคนเจอร่างเงาดำๆ มายืนเหยียบอยู่ที่หน้าอก บางคนได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่า อย่ามายุ่ง ไปให้พ้น

เช้ามาทุกคนเลยมารวมตัวกันตรงศาลอีกที แล้วคุยกันว่าเพราะอะไรเหตุอาเพศดังกล่าวจึงเกิดขึ้นได้ ทั้งๆ ที่พวกเขามีเจตนาดี ตั้งใจจะช่วยสร้างศาลขึ้นมาใหม่แท้ๆ ดวงวิญญาณที่ประสบอุบัติเหตุบริเวณนั้นจะได้มีที่สถิตแล้วก็รับของเซ่นไหว้หรือส่วนบุญได้ตามความเชื่อ ประชุมกันไปมาจนได้ข้อสรุปที่คาดเดากันเองว่าดวงวิญญาณอาจจะตั้งใจมาขอบคุณ และเร่งให้สร้างศาลเร็วๆ สรุปได้แล้วพวกเขาก็นำศาลเพียงตาหลังใหม่ที่ซื้อจากเงินระดมทุนของชาวบ้านในพื้นที่เข้ามาวางที่บริเวณศาล เพื่อรอพิธีพราหมณ์ในวันรุ่งขึ้น

คืนนั้นทุกคนที่พยายามจะกอบกู้ศาลเพียงตาขึ้นมาใหม่ก็ยังคงเจอเหตุการณ์แปลกๆ จนแทบนอนไม่ได้อีกเช่นเคย ทุกบ้านเจอเหมือนกันหมด คือได้ยินเสียงคนมาร้องไห้หน้าประตูบ้าน และเสียงทุบประตูปึงปังเกือบทั้งคืน แต่ไม่มีใครหน้าไหนกล้าลุกมาเปิด แถมหมาที่เลี้ยงไว้ยังพร้อมใจกันหอนรับกันเป็นทอดๆ ไม่ขาดสายราวกับอยู่ในแดนต้องคำสาป

"อะไรมันจะเฮี้ยนกันขนาดนี้วะ" ใครคนหนึ่งบ่นในเช้ารุ่งขึ้น
"นั่นสิ ผมว่าเรารีบๆ สร้างให้มันเสร็จๆ เร็วๆ กันดีกว่า"

ทันที ที่รถไปรับพราหมณ์มาประกอบพิธีตั้งศาลเข้ามาจอดในบริเวณทางโค้งร้อยศพ จู่ๆ ฝนก็เทลงมาราวกับฟ้าขาด แถมยังมีลมพัดกระโชกแรงราวกับพายุจนทุกคนในบริเวณนั้นต้องพากันหนีกระเจิดกระเจิง พราหมณ์ที่เชิญมาก็เกิดปอด ขอถอนตัวไปซะอย่างงั้น จนไม่ค่อยมีใครกล้ามายุ่งกับศาลบริเวณนั้นไปอีกหลายวัน

แต่เนื่องจากความรู้สึกไม่สบายใจของชาวบ้านบริเวณนั้น ที่ปกติเคยมีที่พึ่งทางใจให้บนบานศาลกล่าวและกราบไหว้บูชา รวมถึงขอเลขเด็ดขอโชคขอลาภ ก็เลยพากันไปนิมนต์พระมาทำบุญใหญ่ที่บริเวณทางโค้ง และอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบริเวณโค้งนี้กันอีกครั้ง

แต่เพียงพระสงฆ์ทำพิธีเสร็จกลับไป และชาวบ้านเตรียมสถานที่จะตั้งศาลเพียงตาอีกครั้ง ก็เกิดลมพัดแรงจนกิ่งไม้กิ่งใหญ่หักลงมาฟาดเสาของศาลเพียงตาที่วางนอนไว้จนหักครึ่ง คนที่ยืนกันรอบบริเวณนั้นกระโดดหนีกันแทบไม่ทัน

"โว้ย มันจะอะไรกันนักกันหนาวะเนี่ย" บางคนตะโกนออกมาด้วยความเหลืออด

บางคนเสนอให้ลองไปปรึกษาคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านดู ไปลงเอยที่ยายน้อย ซึ่งแต่เดิมเป็นหมอสมุนไพรกลางบ้าน ยายน้อยเลยให้พาแกมาดูที่ตั้งศาล ชี้ถามว่าป้ายที่เขียนคำอธิษฐานเซ่นไหว้นั้นเขียนไว้ว่ายังไง

"ก็ปกตินะยาย ก็ขออุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณของผู้ที่มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตบริเวณนี้ทุกดวง"

ยายน้อยได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าทันที "เออ กูรู้แล้วล่ะ ว่าทำไมมึงตั้งศาลใหม่กันไม่ได้สักที"

ยายน้อยเล่าว่า คนเก่าๆ เขาจะรู้ดีว่าเวลาที่เราเซ่นผีหรืออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล เขาจะต้องเอ่ยให้ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งสัมภเวสี วิญญาณเร่ร่อน ผีเปรต ผีตายโหง ทั้งหมดที่สามารถรับส่วนบุญหรือของเซ่นไหว้ได้ ให้มารับไปทั่วๆ กัน

"พวกมึงเล่นมาตั้งศาลให้เฉพาะคนที่ตายเพราะอุบัติเหตุโค้งนี้ แล้วมึงไม่คิดบ้างเหรอว่าเวลาเอาของมาเซ่นไหว้ผีที่มันไม่ได้รับของเซ่นต้องมายืนดูผีใหม่ๆ มันกินกันโดยที่ตัวเองไม่ได้บ้างนี่มันจะรู้สึกยังไง มึงไม่คิดกันบ้างหรือไงว่าถนนตรงนี้เพิ่งตัดมาได้ไม่ถึงสามสิบปี แล้วก่อนหน้านี้แถวนี้มันไม่มีผีตายโหงผีเร่ร่อนบ้างหรือไง มึงรีบไปแก้ป้ายกันใหม่เลย"

หลังจากนั้นเลยมีการทำพิธีตั้งศาลใหม่ เขียนป้ายใหม่ และตั้งศาลเพียงตาขนาดใหญ่ขึ้นมาแทนที่ศาลเก่า และไม่มีเรื่องสยองขวัญน่ากลัวอะไรเกิดกับคนในพื้นที่อีก แถมอุบัติเหตุที่โค้งร้อยศพยังลดลงอีกด้วย แต่เรื่องนี้ยายน้อยแกว่าคงไม่ใช่เพราะศาลหรอก น่าจะเพราะไฟประดับศาลที่สว่างโร่ตลอดคืนนั่นมากกว่า


ภาพถ่ายใบหนึ่ง
ริคุ เป็นเพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ชอบมาเมืองไทยพักผ่อนทุกปี โรงแรมที่เขาจะมาพักทุกครั้งก็คือโรงแรมเล็กๆ ในเมืองใกล้บ้านผมที่มีห้องเพียง 20 ห้อง ห้องหมายเลข 109 คือห้องที่เขาใช้พักตลอดเวลาที่มาเมืองไทย เจ้าหน้าที่ของโรงแรมคุ้นเคยกับริคุ

ก่อนจะเดินทางมาเขาก็จะแจ้งล่วงหน้า ทางผู้จัดการก็จะสั่งพนักงานเตรียมห้องให้พร้อม ครั้งล่าสุดนี้ริคุมาเมืองไทยแบบเงียบๆ ไม่บอกผม

หลังจากเดินทางมาถึงเมืองไทย ก่อนเข้าพักที่โรงแรมเขาก็มาหาผมที่บ้าน ผมกำลังเตรียมน้ำเต้าหู้สำหรับขายตอนเย็นอยู่พอดี ริคุมีสีหน้าแปลกๆ ก่อนจะพูดกับผมว่า "บัณฑิตๆ ผมเจอภาพนี้ในกระเป๋าเสื้อด้วย" ว่าพลางหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งจากเสื้อแจ๊กเกตที่สวมให้ดู

"แล้วมันแปลกยังไง ผมไม่เข้าใจ" ผมถาม
"คุณพูดเหมือนมันอยู่ดีๆ ก็มาอยู่ในกระเป๋าเสื้อของคุณเอง"
"ใช่ๆ บัณฑิตพูดถูก" ริคุมีสีหน้าแปลกๆ
"คงมีใครเอามาใส่ในกระเป๋าของคุณมั้ง"
"ตลอดเวลาบนเครื่อง ผมไม่ได้ถอดแจ๊กเกตออก แล้วผมก็ไม่ได้หลับไม่ได้เผลองีบด้วย"
"คนนั่งติดกับคุณน่าสงสัยไหม เขาอาจจะแอบใส่กระเป๋าเสื้อคุณ"
"ผมแค่สงสัยว่าทำไมต้องเอามาใส่ในเสื้อผม ทำไมต้องเป็นรูปถ่ายด้วย ทำไมไม่เป็นอย่างอื่น"

ริคุพูดพลางเบ้ปากยักไหล่ "ไม่มีอะไรหรอก ผมคงสงสัยมากๆ ก็เลยถาม อาจจะเพราะผมไม่ได้คุยกะใครเรื่องนี้ เลยติดอยู่ในใจ ไม่มีอะไรหรอก ผมคงกังวลไปเอง ว่าไปเธอก็สวยดีนะ"

ริคุมองภาพถ่ายพลางยิ้ม แล้วก็ช่วยผมเข็นรถขายน้ำเต้าหู้ แถมยังช่วยยืนขายอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะบอกว่าขอตัวไปหาอะไรกิน

ริคุกลับมาพร้อมผัดไทยใส่กล่อง คีบตะเกียบกินไปคุยกันไปสารพัดเรื่องตอนไม่มีลูกค้า

ริคุพูดภาษาไทยได้ดีเพราะเขาเรียนมาจากญี่ปุ่นและมาเรียนเพิ่มเติมที่เมืองไทย จนเรียกได้ว่าชัดเจน ถูกอักขระ ร.เรือ ล.ลิง คำควบกล้ำ ฟังดูไม่เหมือนคนต่างชาติพูดไทยเลย

สองทุ่มน้ำเต้าหู้ผมหมด เราไปกินเย็นตาโฟกันคนละชาม แล้วเขาบอกว่าจะขอตัวไปพักผ่อน พรุ่งนี้จะไปพิษณุโลก เขาอยากไปวัดพระพุทธชินราช ผมเดินไปส่งเขาที่โรงแรม

โรงแรมเล็กๆ ที่มีสภาพด้านหน้าเหมือนตึกแถว ด้านหน้าโรงแรมมีเก้าอี้หินอ่อนตัวหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า เราเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ ตอนนั้นก็มืดแล้วล่ะ ไฟหน้าโรงแรมก็ไม่ค่อยสว่าง แล้วผู้หญิงคนนั้นที่กำลังก้มหน้าก็เงยหน้าพลางยกมือไหว้ริคุ

ริคุมองตอบอย่างแปลกใจและมีสีหน้าราวกับกำลังนึกบางอย่างอยู่ เขาเดินเข้าโรงแรม แต่สีหน้ายังคงครุ่นคิด ฉับพลันเขาหันมาพูดอย่างละล่ำละลัก "นึกออกแล้ว ผู้หญิงคนนี้เหมือนในรูปถ่ายเลย"

ริคุรีบล้วงภาพถ่ายใบนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้ดู แล้วก็หันหลังเดินกลับไปทางหน้าโรงแรม ผมเองยังงงๆ อยู่แต่ก็ตามไป

ที่หน้าโรงแรมไม่มีใครนั่งอยู่แล้ว ริคุหันซ้ายหันขวาแล้ววิ่งไปทางหนึ่ง ผมเองวิ่งตามอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ริคุวิ่งกลับมาทางหน้าโรงแรมอีกเมื่อไม่พบผู้หญิงคนนั้น แล้วก็วิ่งไปอีกทาง คราวนี้ผมไม่ได้ตามไป ริคุหอบแฮกๆ กลับมาทางหน้าโรงแรม ผมได้ยินเขาบ่น

"คุณจะตามหาไปทำไม" ผมถาม

ริคุทำหน้าคิด "นั่นน่ะสิ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม" ทันใดนั้นเองก็มีรถอาสากู้ภัยมาจอด เสียงหวอๆ ของสัญญาณไซเรนดึงสายตาของหลายคู่ให้หันมามอง เจ้าหน้าที่ของโรงแรมออกมากันหลายคน เจ้าหน้าที่กู้ภัยออกมาจากรถพร้อมอุปกรณ์ผ้าขาว และอะไรอีกสองสามอย่างที่ผมไม่แน่ใจ "อ้อ คุณริคุมาพอดี" ผู้จัดการโรงแรมเอ่ยปากพลางยกมือไหว้ ริคุ "อืม มีปัญหาเล็กน้อยกับห้องของคุณ คุณริคุเปลี่ยนไปพักห้องอื่นได้ไหมครับ พอดีเกิดเรื่องกับห้อง 109 ที่คุณพักประจำ" เราสองคนไม่เข้าใจ มองหน้ากัน

เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่ให้เราเข้าไปโรงแรม ตอนนั้นที่ตำรวจเดินทางมาถึงพอดี ผู้จัดการโรงแรมพูดกับตำรวจพลางมองหน้าผมกับริคุอย่างเกรงอกเกรงใจ

"ข้างใน อืม ห้อง 109 ครับ ผูกคอกับลูกบิด"

"ขอรายละเอียดมากกว่านี้" ตำรวจพูดพลางเงยหน้าสบตาผู้จัดการที่มองเราสองคนอย่างไม่ค่อยอยากพูดนัก ทันใดนั้นเองที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยแบกศพผู้หญิงคนหนึ่งออกมา ใบหน้าเจ้าของศพนั่นเองที่ทำเราตกใจ โดยเฉพาะกับริคุเขาแทบจะเป็นลม หลังจากเขาชี้นิ้วไปที่ศพ "คนที่เจอหน้าโรงแรมตะกี้ คนในรูป" ทั้งตำรวจกู้ภัย และผู้จัดการโรงแรมและพนักงานอีกหลายคนหันมามองเราสองคนเป็นตาเดียว ผู้จัดการพูดว่า "เป็นไปได้ไงครับ เธอผูกคอตายในห้อง น่าจะตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะเธอมาพักตั้งแต่เมื่อคืน ต้องขอโทษคุณริคุด้วย พอดีห้องเราเต็ม เธอเองก็บอกว่าพักคืนเดียว จะเช็กเอาต์ออกแต่เช้า บ่ายเราเห็นเธอไม่เช็กเอาต์ เพราะต้องเตรียมห้องให้พร้อมสำหรับคุณริคุ เมื่อเข้าไปจึงเห็นเธอผูกคอตายไปแล้ว"

ผมพูดกับริคุภายหลังว่า เธอคงจะมาขอโทษล่ะมั้ง จึงได้ยกมือไหว้อย่างนั้น แต่ที่ยังคงสงสัยมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ภาพถ่ายมาได้อย่างไรและทำไมต้องใส่ในแจ๊กเกตของริคุด้วย


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 06 พฤศจิกายน 2558 19:17:18
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/16250474171505_1.jpg)
เสลี่ยงเจ้านาง

"ขบวนแห่เสลี่ยงเจ้านางน้อยและเจ้าเมืองเคลื่อนออกจากวังแต่เช้าตรู่ เจ้าเมืองไม่ได้บอกแก่เจ้านางน้อยว่าการเดินทางครั้งนี้มีจุดประสงค์อื่นใด นอกจากจะพาไปเที่ยวชมป่า เจ้านางน้อยจึงคลายใจและอยู่ในอารมณ์ร่าเริงสดใสตามวัยของนาง นางยังคงพูดจาหยอกล้อเล่นกับหนานอิน ทาสหามเสลี่ยงที่นางแอบคบหาในฐานะคนรักตามปกติ หนานอินเองก็ดูมีความสุขและดูร่าเริงเช่นเดียวกัน ทั้งคู่สบายใจขึ้นมากหลังจากที่ได้สารภาพความจริงต่อเจ้าเมืองไปแล้วว่ามีใจให้กันมานาน แต่เจ้าเมืองกลับไม่ได้ด่าทอลงโทษหรือแสดงอาการไม่พอใจอย่างอื่น

ทั้งสองหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเมืองเจ็บแค้นและอับอายมาก เพราะแต่เดิมหมายใจให้ลูกสาวได้แต่งงานกับคนที่มีชาติตระกูลสูงทัดเทียมกันที่ได้จัดเตรียมเจรจาเอาไว้ แต่จู่ๆ เจ้านางน้อยกลับร้องห่มร้องไห้ไม่ยอมแต่งกับคนที่พ่อแม่มองให้ กลับมาใฝ่ต่ำลักลอบมีความสัมพันธ์กับทาสหามเสลี่ยงสกปรกอย่างไอ้หนานอิน

เจ้าเมืองเก็บอาการคับแค้นใจไว้ พยายามเกลี้ยกล่อมเจ้านางน้อยให้รับฟังเหตุผลและความเหมาะสม แต่เป็นตายอย่างไรเจ้านางน้อยก็ไม่ยอมรับฟังซ้ำขู่จะฆ่าตัวตาย เจ้าเมืองเลยวางอุบายหลอกพาเจ้านางน้อยและทาสหนานอินออกไปเที่ยวป่า

เมื่อถึงกลางป่าลึก เจ้าเมืองก็ให้ลูกน้องคู่ใจ เรียกหนานอินให้ออกไปกู้แร้วในป่าลึกตามแผนเพื่อลอบฆ่า แต่เจ้านางน้อยเกิดเอะใจรู้ทันจึงร้องห้าม หนานอินจึงไม่ยอมไป เจ้าเมืองเห็นเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ จึงโมโห มีปากเสียงกับเจ้านางน้อยอย่างรุนแรง ยิ่งเจ้านางน้อยยื่นคำขาดว่าชาตินี้ถ้าไม่ได้กับหนานอินก็จะไม่ยอมแต่งงานกับใคร เจ้าเมืองก็บันดาลโทสะให้บริวารที่ตามมาจับหนานอินตัดคอจนขาดกระเด็นต่อหน้าต่อตาเจ้านางน้อย

เจ้านางน้อยตกใจจนนิ่งอึ้งไป เจ้าเมืองได้สติและตกใจกลัวว่าเจ้านางน้อยจะเสียใจจนฆ่าตัวตายตามคำขู่ พยายามปลอบใจว่าต่อไปนี้ขอให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ อยากได้อะไรพ่อจะหาให้ทุกอย่าง เพียงครู่เดียวเจ้านางน้อยคนงามก็สะบัดตัวออกจากทาสที่ยึดนางไว้ วิ่งเข้าไปหาหัวของหนานอินเอามากอดแนบอก และคว้าปิ่นปักผมบนหัวแทงคอตัวเองจนขาดใจตายตามคนรักไปอีกคน

เจ้าเมืองตกใจและเสียใจจนคลั่ง ทั้งด้วยความรู้สึกผิด จึงสั่งให้บริวารช่วยกันขุดหลุมฝังศพหนานอินและเจ้านางน้อยไว้ด้วยกันเพื่อขอโทษ และต่อมากลัวว่าลูกสาวจะไม่มีข้ารับใช้ในปรโลก เลยสั่งให้ฆ่าตัดหัวทาสแบกเสลี่ยงของเจ้านางน้อยลงฝังไปเป็นบริวารให้ด้วย"

"โหด สัส" อ๋องร้องอุทานออกมาเมื่ออี๊ดอ่านตำนานขบวนแห่ไร้หัวของเจ้านางน้อยจากวารสารรับน้องใหม่ ของมหาวิทยาลัยให้ฟัง "ตัดหัวทาสทั้งขบวนเลยเนี่ยนะ"

"ใช่ดิ" อี๊ดว่า "แล้วแกอย่าเพิ่งเบรก นี่คือแค่เริ่มต้น ยังไม่ถึงจุดพีก"
"เออๆ รีบว่ามาดิ" เพื่อนคนอื่นๆ ที่ฟังอยู่ด้วยเร่งให้อี๊ดเล่าต่อ
"เขาว่ากันว่า หลังจากนั้น ทุกปีในคืนเดือนดับกลางฤดูร้อนของเดือนแปด ยังมีคนเห็นและได้ยินเสียงขบวนเสลี่ยงคานหามของเจ้านางน้อยเดินออกมาจากป่า เข้ามาในเมืองพร้อมเสียงผู้หญิงสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น ว่ากันว่าห้ามออกจากบ้านมาเด็ดขาด ใครได้ยินต้องรีบปิดประตูเข้าบ้านจนกว่าขบวนจะผ่านไป มีบางคนที่แอบดูตามหน้าต่างเขาว่าเป็นขบวนเสลี่ยงคานหาม ที่มีผู้หญิงใส่ชุดเจ้านางโบราณนั่งร้องไห้อยู่บนเสลี่ยงกอดหัวของผู้ชายคนหนึ่งไว้บนตัก โดยทาสที่แบกเสลี่ยงและที่เดินตามขบวนนั้นไม่มีหัวสักคน"

หลายคนครางฮือออกมา "หึย ขนลุกเลย สยองว่ะ"

"โอ๊ย...ไอ้ พวกบ้า พวกมึงเชื่อกันด้วยเหรอ" อ๋องพูดพลางหัวเราะ "ที่ไหนก็มีกันทั้งนั้นแหละ เรื่องผีเอาไว้อำน้องใหม่ แล้วถ้าเกิดมีจริงนะ เจ้านางอะไรที่ว่านั่นตายมาเป็นร้อยปีละมั้ง ป่านนี้กลายเป็นตลาดนัด เป็นห้าง เป็นลานจอดรถอะไรไปแล้วมั้ง"

อี๊ดมองหน้าอ๋องแบบหมั่นไส้ "ทำเป็นรู้ดี ถ้าเป็นอย่างงั้น รุ่นพี่ๆ เขาคงไม่เอามาลงวารสารแจกน้องใหม่หรอก นี่ เส้นทางเดินของขบวนเสลี่ยงคานหามของเจ้านางน้อย เริ่มต้นจากแถวหลังตึกบัญชีไปถึงหอนาฬิกากลางในมหา'ลัยของเรานี่แหละ แล้วที่เขาเอามาลง เพราะมีอยู่หลายปี ที่มีนักศึกษาได้ยินเสียงขบวนแห่ วิ่งออกมาดูกลางดึก แล้วหายสาบสูญไปเฉยๆ มีคนเล่าว่า ช่วงปีท้ายๆ ในขบวนแห่เสลี่ยงคานหามของเจ้านางน้อยไม่ได้มีแค่คนที่แต่งชุดโบราณเท่านั้น แต่มีคนแต่งชุดนักศึกษาแต่หัวขาดเดินร่วมอยู่ในขบวนด้วย ว่ากันว่าคนที่ออกไปดูขบวนแห่ของเจ้านางต้องโดนอาถรรพ์ ถูกเอาตัวเข้าไปร่วมในขบวนแห่เจ้านางน้อยด้วย"

"เหวออออ" หลายคนร้องขึ้น "หลอนสุดเลยว่ะ เออของแบบนี้คนพื้นที่เขาเชื่อเราก็ไม่ควรลบหลู่นะ เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม"

"พวกมึงนี่เรียนวิทย์กันได้ไงวะ" อ๋องยังคงทำหน้าไม่เชื่อ
"เดือนแปดไทยคือเดือนนี้พอดีใช่ไหม เอาดิคืนเดือนมืดนี้เรามาพิสูจน์กัน"

เรื่องมันเกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนอยู่ปี 1 แต่พวกเราที่ยังเหลืออยู่ก็ไม่มีใครลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้เลยสักคน

อ๋อง ทำอย่างที่ว่าไว้จริงๆ คือขออนุญาตอาจารย์พาเพื่อนๆ อีกแปดคนมาจัดบอร์ดนิทรรศการของรายวิชาหนึ่ง ที่ใต้ตึกคณะในตอนกลางคืนในคืนเดือนดับ ทั้งๆ ที่งานไม่ได้เร่งรีบมากนัก ทุกคนรู้ดีว่าเจตนาของการมาครั้งนี้คืออะไร แม้บางคนจะกล้าๆ กลัวๆ แต่ในที่สุดแล้วความอยากรู้อยากเห็นก็มีมากกว่า ก็เลยพากันมาเป็นโขยงทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง หลายคนพกเครื่องรางของขลังมาด้วย แต่โดนอ๋องเก็บหมด

"เราจะมาดูผีถ้าพวกแกพกพระมาผีที่ไหนจะกล้าออกมาให้ดูแมนๆ หน่อยสิวะ" อ๋องพูดใส่หน้าเพื่อนทั้งชายและหญิงพลางเก็บพระและเครื่องรางใส่ย่าม เอาไปซ่อนไว้ที่ชั้นบน

กลางดึก อากาศร้อนอบอ้าว เมฆใหญ่เคลื่อนต่ำจนเสียงพูดก้องสะท้อนไปมา เหมือนฝนกำลังจะตก แต่ก็ไม่ตก บรรยากาศในคืนนั้นมีเพียงความเงียบสนิท ไม่มีแม้เสียงแมลงกลางคืน ในคืนเดือนดับ กลุ่มนักศึกษาใหม่อาศัยแสงไฟนีออนใต้ตึกคณะช่วยกันจัดบอร์ดอย่างสงบเสงี่ยม ผิดปกติ เหลียวหน้าแลหลังด้วยอาการหวาดระแวงเป็นระยะ บางคนเริ่มบ่นว่าไม่น่าหาเรื่องมาเลย

เวลาล่วงเลยไปถึงราวเที่ยงคืนครึ่ง ตอนนี้อากาศที่อบอ้าวเริ่มเย็นลงมาก แต่ยังคงมีความรู้สึกที่ชวนอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ทุกคนรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่มีพลังอัดแน่นอยู่ในบรรยากาศที่มองไม่เห็น กลิ่นน้ำปรุงแป้งร่ำและกำยานผสมปนเปโชยมาโดยไม่รู้ที่มา รุนแรงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อ๋องเริ่มโวยวายว่าใครฉีดน้ำหอม ใครจุดกำยาน แกล้งกันหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีใครทำ เพราะตอนนี้ทุกคนกระชับวงล้อมมาเกาะกันแน่นอยู่ตรงกลางครบแล้ว

ไม่ทันขาดคำนั้น เสียงสะอื้นฮักๆ เหมือนคนหัวใจสลายแว่วมาแต่ไกล
"ใครได้ยินบ้างวะ" อี๊ดกระซิบถามเบาๆ ทุกคนพยักหน้าเงียบกริบ

อ๋องทำหน้าไม่พอใจ "กูว่ารุ่นพี่อำแน่นอนไม่เชื่อพวกมึงคอยดู"

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังใกล้เข้ามาจนสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ กลุ่มนักศึกษาที่กระจุกเป็นก้อนกลมกันอยู่ใต้ตึกใกล้ลานหอนาฬิกายิ่งเบียดกันเข้าไปอีก

ทันใดนั้น ฟ้าแลบวิ่งเป็นเส้นแตกลายบนก้อนเมฆส่องสว่างจนตาพร่า เสียงฟ้าร้องครืนครันคำรามลั่นกระหึ่ม ไฟฟ้าที่ส่องสว่างให้ความอุ่นใจดับวูบลงพร้อมกันทั้งบริเวณมหาวิทยาลัย

หลายคนหวีดร้องแต่ก็โดนอีกหลายคนรีบเอามือปิดปากไว้ ราวกับกลัวว่าเสียงร้องจะดังไปถึงหูใครบางคนที่กำลังตรงมาทางนี้

หลังจากนั้นเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งตรงเข้ามาทางหอนาฬิกา เดินเป็นจังหวะพร้อมๆ กัน บนถนนมีร่างคล้ายมนุษย์เรืองๆ เดินกันมาเงียบๆ เป็นขบวน กลางขบวนมีเสลี่ยงคานหามลักษณะเหมือนของใช้ของผู้มีชาติตระกูล มีหญิงสาวในเครื่องแต่งกายโบราณงดงาม มวยผมสูง นั่งคู้ตัวร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่บนนั้น และยิ่งขบวนเคลื่อนมาใกล้เข้า ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ผู้ร่วมขบวนที่หามเสลี่ยงมาในชุดนุ่งผ้าผืนเดียวเปลือยท่อนบนทุกคน ล้วนแล้วแต่ไม่มีหัว!

หลายคนกลัวกันจนตัวสั่นบางคนร้องไห้และเริ่มสวดมนต์ แต่อ๋องเหมือนกลัวจนสติหลุด หรือกลัวเสียหน้า หรืออย่างไรไม่ทราบได้ มันลุกขึ้นตะโกนลั่น "กูไม่กลัวพวกมึงหรอกเว้ย อย่าคิดว่าเป็นรุ่นพี่ จะแกล้งทำอะไรกับกูก็ได้นะ"

"เฮ้ย อ๋องเบาๆ ดิวะ มึงไม่กลัวแต่คนอื่นเขากลัว"

อ๋อง ยิ่งดูโมโหมากขึ้น "กูจะออกไปลากมาให้มึงดูกันเอง ว่าไอ้พวกนี้เป็นคน ไม่ใช่ผี" มันว่าแล้วก็วิ่งออกไปนอกตัวอาคารตรงไปยังขบวนแห่ไร้หัวนั้นอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่สนใจเสียงร้องห้ามของเพื่อนๆ

บางคนจะวิ่งตามออกไป แต่อี๊ดก็ดึงตัวไว้

"อย่าไป เขาบอกไว้ว่า ถ้าอยู่ใต้ชายคาจะปลอดภัย ถ้าออกไป..."

แต่ตอนนั้น อ๋องวิ่งหายไปในความมืดแล้ว มันวิ่งเข้าไปหาทิศทางของขบวนแห่ ก่อนที่ฟ้าจะแลบสว่างวาบอีกครั้ง ตามด้วยเสียงคำรามดังลั่นจนพื้นสะเทือน และพายุทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำลงมาเหมือนฟ้าขาด พัดต้นไม้และป้ายต่างๆ ปลิวว่อน ทำให้พวกเราต้องหนีขึ้นไปหลบพายุบนตึก

หลังจาก เรื่องคืนนั้นก็ไม่มีใครได้เจออ๋องอีกเลย เป็นเรื่องน่าประหลาดยิ่ง ไม่ว่าจะตามหากันด้วยวิธีใด ไม่พบแม้ร่องรอย หรือแม้แต่ศพที่จะมีลักษณะใกล้เคียงกับอ๋อง

หลายปีผ่านไป ยังคงมีคนพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง โดยเฉพาะในหมู่นักศึกษาใหม่ๆ ที่ชอบลองของ ว่ากันว่า หลายต่อหลายรุ่นต่อจากรุ่นไอ้อ๋อง มีคนเห็นขบวนเสลี่ยงเจ้านางน้อยที่เต็มไปด้วยทาสไร้หัว เดินผ่านทางเดิมทุกปี

แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือบางคนยืน ยันว่าเห็นร่างคนในชุดนักศึกษาชายไม่มีหัวเลือดแดงฉานไปทั้งเสื้อเดินร่วมอยู่ในขบวนแห่ด้วย พวกเราก็ไม่พยายามจะคิดหรอกว่ามันเกี่ยวกับการหายตัวไปของไอ้อ๋องอย่างไร แต่ให้พิสูจน์อีกคงไม่เอาแล้ว


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 18 ธันวาคม 2558 19:52:26
[size=1.pt][/size]

(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTUZVtWplTO9Q810nLZt2wm2oCAt4SCMBoGEuGS0ryzQ-4Q5M7a)

โป้งแปะ
เคยเล่นซ่อนหากันไหม ผมว่าทุกคนที่กำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ตอนนี้ น่าจะเคยเล่น อย่างน้อยก็เมื่อสมัยเด็กๆ ระทึกที่สุดคือตอนที่เราเป็นคนซ่อนแล้วเพื่อนคนที่หาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตอนนั้นเราอาจจะหลับตาปี๋ พยายามขดตัวให้เล็กที่สุด อาจจะกลั้นหายใจด้วย แล้วก็ภาวนาขออย่าให้เจอเลย เพราะตาหน้าไม่อยาก "เป็น"

ตลกดีนะครับ ตอนเด็กๆ มีหลายเกมส์เลยทีเดียวที่จะเรียกสถานะของคนแพ้ว่า "ตาย" โป้ง! แกตายแล้ว ตาต่อไปแกเป็นนะ หมายความว่าคนที่ตายต้องไปเป็นตัวเล่นในบทบาทที่ไม่มีใครอยากเล่นในตาต่อไป เป็นคนหาในเกมซ่อนหา เป็นอีกาในเกมอีกาฟักไข่ เป็นผีในเกมตะล็อกต๊อกแต๊กมาทำไม ไปเป็นลิงในเกม ลิงชิงบอล

ตอนนี้ผมโตแล้ว ไม่ได้เล่นเกมซ่อนหามาสักยี่สิบปีได้แล้วมั้ง เพิ่งจะมามีวันนี้แหละที่ผมต้องลุ้นระทึกอีกครั้ง แต่ในสภาวะที่ตรงกันข้าม คือผมดันตายก่อนที่จะซ่อน และพยายามลุ้นให้ใครสักคนหาผมเจอสักที

วันนี้ ผมไม่ได้ขดตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าหรือตามมุมมืดๆ ของบ้านแล้วเอาผ้าคลุมไว้ ด้วยเทคนิคบ้องตื้นแบบเด็กๆ ศพของผมถูกซ่อนและอำพรางไว้อย่างดีในมุมหนึ่งของบ้าน ผมซ่อนมาห้าวันเต็มแล้ว และดูจะยังไม่มีใครมาเอะใจตามหาแถวนี้เลยสักคน

หลังจากแจ้งความคนหายแล้ว ภรรยาของผมก็ดูกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อหน้าตำรวจที่เข้ามาซักถามและขอเข้ามาเก็บหลักฐานภายในบ้าน เธอแสดงได้แนบเนียนไม่มีที่ติ โดยเฉพาะตอนที่น้ำตาร่วงเผาะๆ ด้วยความเป็นห่วงสามีสุดที่รัก ทำเอาพวกตำรวจพากันแสดงความเห็นใจปลอบใจกันใหญ่

เธอว่าผมหายตัวไปในเช้าวันหนึ่ง เธอนึกว่าออกไปทำงานตามปกติ แต่เมื่อเดินออกมากลับเห็นรถจอดอยู่หน้าบ้าน ยังอยู่กระทั่งรองเท้า กระเป๋าสตางค์และมือถือ เธอพยายามไล่ถามญาติพี่น้องของผม เพื่อนฝูง เพื่อนที่ทำงาน ไม่มีใครพบผม ทุกคนขาดการติดต่อกับผมตั้งแต่คืนก่อนหน้านั้น ซึ่งผิดปกติอย่างยิ่ง

เธอว่าเธอตามหาเองอยู่สองวัน เห็นว่าท่าไม่ดีแน่จึงแจ้งความ เธอใจคอไม่ดีเลยเกรงจะเกิดอันตรายกับผม

ตำรวจนายหนึ่งทำจมูกฟุดฟิด ว่าได้กลิ่นอะไรฉุนๆ ภรรยายิ้มแล้วรีบตอบว่าเธอมีอาชีพหมักปลาแดก (ปลาร้า) ขายที่โอ่งหลังบ้านมีสองโอ่ง เธอยังใจดีว่าจะตักปลาแดกหอมลองให้คุณตำรวจทั้งสี่นายไปชิม พลางกุลีกุจอวิ่งหยิบถุงพลาสติกกับทัพพีเดินดุ่มมาที่หลังบ้าน

ตำรวจทั้งหมดเดินตามมา มองดูเธอเปิดโอ่งปลาแดกหอมที่เธอว่าหมักด้วยเนื้อปลาช่อนอย่างดี หากนำไปปิ้งหรือทอดจะส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายมาก ว่าแล้วตักปลาแดกหอมชิ้นโตๆ ใส่ลงถุงอย่างคล่องแคล่วแม้มือจะสั่นด้วยความตื่นเต้น

ไอ้ป๊อด หมาพุดเดิ้ลที่ภรรยาเลี้ยงไว้เห่าไม่หยุดปาก ถ้าไม่ติดเชือกที่ล่ามไว้มันคงวิ่งเข้ามาถึงนี่นานแล้ว ตอนนี้ภรรยาผมคงนึกอยากเตะมันสักสองป้าบให้สงบปากลงบ้าง

"เลี้ยงพุดเดิ้ลด้วยเหรอครับ" ตำรวจหนุ่มหน้าตี๋รายหนึ่งว่า พลางนั่งลงใกล้ๆ ไอ้ป๊อดโดยไม่มีท่าทางหวาดกลัว "หมาผมก็สีแบบนี้เลย หวัดดีๆ ว่าไงไอ้ตัวเล็กน่ารักจริง ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเล้ย"

แต่แล้วไอ้ป๊อดก็หลุดจากเชือกล่าม วิ่งตรงมาที่โอ่งอีกใบ ยืนตะกุยแล้วเห่าเอาเป็นเอาตาย พยายามจะแจ้งความตามประสาหมาปากเปราะ ภรรยาผมรีบเข้ามาคว้ามันไว้

"อ้อ แล้วโอ่งใบนี้ล่ะครับ" นายตำรวจอาวุโสถาม

"อ๋อ" ภรรยาผมลากเสียงเสียยาวเพื่อถ่วงเวลาคิด "ปลาแดกโหน่งค่ะ คุณๆ กินกันไม่เป็นหรอก กลิ่นมันแรง"

ตำรวจอาวุโสหัวเราะลงลูกคอทันที "ใครว่า ผมนี่อย่างชอบเลย ตักให้ผมสักถุงสิครับ ซื้อก็ได้"

ภรรยาผมจำต้องเปิดฝาโอ่งเอาทัพพีมาตักพยายามเล็มเอาขอบๆ มือสั่น แต่ถึงกระนั้นก็เฉียดมือซ้ายผมไปนิดเดียว

"แหม เอามาทำไมแต่น้ำ เอามาเป็นตัวเลยครับผมชอบเป็นต่อนๆ แบบนี้ไงเดี๋ยวกินให้ดู หืม นี่อะไร?"

แหม จะมาเล่นเกี่ยวก้อยอะไรกันตอนนี้

นายตำรวจหน้าตี๋หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นสิ่งที่ลูกพี่เอานิ้วคีบขึ้นมา พร้อมๆ กับหน้าของภรรยาผมก็ซีดเผือดไม่แพ้กัน เธอพยายามจะเนียนหนี แต่ก็โดนคว้าข้อมือไว้ได้ ตำรวจพวกนี้ประเมินเธอต่ำไป เธอเป็นผู้หญิงแรงเยอะกว่าที่คิด ไม่งั้นคงฟาดผมถึงตายในไม้เดียวแบบนี้ไม่ได้หรอก เธอคว้าเหล็กแป๊บที่ใช้ฆ่าผมเหวี่ยงไปมาหมายจะป้องกันตัว แล้วก็ โป้ง!

ผมโดนโป้งแปะจนได้ เหล็กแป๊บเหวี่ยงมาที่โอ่งดังโป้งเสียงทึบๆ ก่อนที่โอ่งจะร้าวและแตกพรูออกเป็นเสี่ยง ผมเลยถือโอกาสไถลตัวตามฝูงปลาร้าโหน่งเล็กๆ ออกมานอนกลิ้งอยู่ที่พื้น

ตำรวจ ตี๋น้อยที่กำลังจะเป็นลมเห็นผมแล้ววิ่งออกไปอ้วกที่ลานหน้าบ้านอย่างสุดจะกลั้น ขอโทษทีเถอะครับคุณตำรวจ ผมไม่มีเจตนาจะทำให้คุณคลื่นไส้ แต่ทำไงได้ แช่อยู่ในปลาแดกโหน่งมาตั้งสองสามวัน จะให้สภาพหอมสะอาดเรียบร้อยคงจะยากหน่อยล่ะ


ถามมาสิ
พักนี้โรงเรียนของเราเริ่มมีพวกความเชื่อประหลาดๆ ระบาดอีกแล้ว ไม่รู้ยังไงกันนักหนา เห่อกันเป็นพักๆ ช่วงที่แล้วเห่อความเชื่อที่ว่า ถ้าชอบใครแล้วเขียนชื่อเขาใส่ลงบนยางลบแล้วลบให้หมด เขาจะหันมาชอบเรา ก็ปรากฏว่า เดินไปไหนมาไหนเห็นแต่ขี้ยางลบเกลื่อนเต็มโรงเรียน โต๊ะนักเรียนที่รอยดินสอปากกา เคยเลอะเทอะอยู่นี่จางลงไปมาก ยิ่งตอนเวลาเปลี่ยนคาบรออาจารย์เข้าห้อง เห็นเพื่อนสาวๆ พากันลบยางลบกันมือเป็นระวิง เห็นแล้วก็ทั้งน่าโมโหทั้งน่าขำ

หมดเทศกาลยางลบ เทศกาลซาโตรุคุงก็มา ฉันฟังแค่ชื่อก็ทะแม่งๆ แล้ว ซาโตรุคุงที่ว่าคือตำนานผีญี่ปุ่นที่โด่งดังในหมู่นักเรียนญี่ปุ่น เป็นผีเด็กชายที่ถูกฆ่าตายโดยปีศาจกรีดปากฉีกถึงหู แต่เชื่อกันว่าหากเราต้องการรู้อะไรก็ตามไม่ว่าจะในอนาคต อดีต หรือปัจจุบัน ซาโตรุคุงผู้หยั่งรู้จะสามารถบอกเราได้ทุกอย่าง ขอแค่ทำตามกติกานี้เท่านั้นคือ

ไปที่โทรศัพท์สาธารณะตอนกลางคืน ยกหูขึ้นมา โทร.เข้าเบอร์โทรศัพท์มือถือของตัวเองแล้วกดรับสาย พูดตอบลงไปว่า ซาโตรุคุงได้ยินแล้วตอบด้วย สามครั้ง หลังจากนั้นให้วางหูไป ว่ากันว่า ไม่เกิน 24 ช.ม. จะมีสายโทรศัพท์ปริศนาโทร.เข้ามา เมื่อรับสายจะเป็นเสียงเด็กผู้ชายบอกว่า กำลังเดินทาง ถึงตรงไหน และจะโทร.เข้ามาเรื่อยๆ แต่ละครั้งตำแหน่งที่ปลายสายบอกก็จะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดจะมาถึงหน้าบ้าน

สุดท้าย เราจะได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบามาจากด้านหลัง(ที่ไม่ได้มาจากโทรศัพท์) บอกว่าตอนนี้อยู่ข้างหลังเธอแล้วนะ หลังจากนั้นให้เรารีบถามคำถามที่เตรียมไว้ ห้ามตกใจจนลืมถาม ห้ามอึกอัก ห้ามหนี และห้ามหันไปดูเด็ดขาด มิฉะนั้น ซาโตรุคุงจะเอาชีวิตของคนเล่นไปแทน

เรื่องนี้ทั้งที่ฟังดูน่ากลัวแต่กลับมีนักเรียนสนใจกันมาก หลายคนเล่าว่าได้ลองแล้ว และซาโตรุคุงก็มาตอบให้จริงๆ ส่วนใหญ่ก็จะถามกันเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ถามว่าเขาคนนั้นชอบฉันอยู่หรือเปล่า บางคนก็อาจจะถามว่าฉันจะสอบผ่านไหม ล้วนแต่เป็นเรื่องงี่เง่าทั้งนั้น ที่งี่เง่าสุดคือ ผีญี่ปุ่นมันจะข้ามประเทศมาถึงนี่ได้ไง

น่าแปลกที่ว่า หลังจากเรื่องผีซาโตรุคุงระบาด ก็มีคนที่บอกว่าได้รับคำตอบจากซาโตรุคุงกันมากมาย แถมบางคนถามเรื่องอาการป่วยของพ่อ ซาโตรุคุงก็ตอบได้ตรงเป๊ะอย่างไม่น่าเชื่อ

จะว่าไปก็มีบางเรื่องเหมือนกัน ที่ฉันอยากรู้...

ปกติ แล้วฉันเองเป็นคนไม่กลัวผี ไม่กลัวและไม่เชื่อเสียด้วย การจะลองเล่นอะไรประหลาดๆ พวกนี้ดูบ้างก็ไม่น่าแปลกอะไร หลายปีที่แล้วที่แม่ฉันหายตัวไปจากบ้าน ไม่มีใครรู้ว่าไปอยู่ที่ไหน บางคนก็ว่าแม่หนีไปกับผู้ชายคนอื่น แต่ฉันไม่อยากเชื่อว่าแม่จะทำแบบนั้น

ค่ำวันนั้น ฉันรอจนฟ้ามืดสนิท แล้วเดินออกไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะกลางหมู่บ้าน ทดลองทำตามที่ได้ยินมา คือโทร.เข้าเบอร์มือถือในมือตัวเอง แล้วรับสาย "ซาโตรุคุง..." ฉันพูดลงไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก แต่ยังไม่ทันจบก็ต้องสะดุ้งจนแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง

เสียงเล็กๆ แหบๆ เสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูโทรศัพท์ "ได้ยินแล้ว...กำลังไปหานะ"

ฉันตกใจรีบวางหูทั้งมือถือและโทรศัพท์ตู้ทันที มันจะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อคนที่โทร.คือฉันเอง ยังถือหูค้างอยู่ด้วยซ้ำ!

หลังจากนั้นเป็นไปตามที่ได้ยินมา ฉันได้รับโทรศัพท์เป็นระยะ ครั้งแรก เสียงนั้นบอกว่า "กำลังอยู่บนรถนะ" ต่อมา บอกว่า "อยู่หน้าหมู่บ้านแล้วนะ" อีกครั้งบอกว่า "กำลังเดินเข้าซอยนะ" และครั้งล่าสุดบอกว่า "อยู่หน้าบ้านแล้วนะ"

ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่กลัว ซาโตรุคุงก็แค่เรื่องเล่าจากประเทศห่างไกล และถึงหากมีจริง เราก็แค่ "ถาม" แต่ฉันก็ตัวสั่น มือเท้าเย็นเฉียบ

ฉันได้ยินเสียงเคาะประตู แต่พอลุกขึ้นยืนเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ยังไม่ทันได้รับ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากข้างหลัง เสียงเล็กแหบแห้งชวนขนพองสยองเกล้า ราวกับกำลังกระซิบอยู่ ข้างหู "อยู่ข้างหลังเธอแล้วนะ...ถามมาสิ..."

ใจฉันเต้นตุบตับเหมือนจะหลุดออกจากอก ฉันรีบตั้งสติเปล่งเสียงออกมาด้วยความตื่นกลัว "ฉันอยากรู้ว่า แม่ของฉันหายไปอยู่ที่ไหน"

หลังจากที่ฉันถามไปแล้ว ภายในห้องมีแต่ความเงียบเชียบ ฉันยืนรอตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่หลายนาที จนชักประหลาดใจว่าทำไมซาโตรุคุงไม่ตอบเสียที "เอ่อ ซาโตรุคุง ยังอยู่ไหม"

ยังคงเงียบ ฉันสงสัยเลยแอบชำเลืองไปมองด้านหลังนิดหนึ่ง แล้วก็ต้องตกตะลึงตัวชาเหมือนฟ้าผ่า เมื่อสบเข้ากับดวงตาแดงก่ำบนใบหน้าซีดขาวที่แนบหน้ารออยู่ข้างหู

ซาโตรุคุงยิ้มแสยะปากฉีกกว้างออกจนถึงใบหู "แม่เธอตายนานแล้วล่ะ แต่ตอบคำถามเธอว่าแม่เธออยู่ที่ไหนตอนนี้นี่มันยากสักหน่อย เอาเป็นว่าฉันพาเธอไปหาแม่เองละกันนะ"


ลายมือมรณะ
เมื่อวานนี้ผมนั่งเสิร์ชหากูเกิ้ลเล่นๆ แก้เหงา มาสะดุดตรงเรื่องเส้นลายมือขาด ผมตามไปอ่านหลายเว็บไซต์ มีทั้งคนที่ไม่เชื่อและเชื่อ เชื่อที่ว่าก็คือหากใครมีเส้นลายมือขาด คนคนนั้นมักจะประสบอุบัติเหตุจนตายโหง

ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อเบนครับ จะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเส้นลายมือขาดของเขา

เบนเป็นเพื่อนกับผมตั้งแต่เล็ก จำความได้ผมก็สนิทสนมกับเขาแล้ว นอกจากมีบ้านที่ใกล้กันแล้ว เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกันแล้ว ครอบครัวผมกับเขายังสนิทสนมกันอีกด้วย พ่อของเบนเป็นฝรั่งอิตาลี ฝรั่งชาตินี้ให้ความสำคัญกับเรื่องครอบครัวมาก พ่อของเบนก็ใจดี แต่เรื่องเส้นลายมือขาดของบนที่ขาดทั้งสองข้างพ่อของเบนไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นเหตุหรือลางบอกเหตุว่าเบนต้องประสบอุบัติเหตุหรือจะตายโหง พ่อเขานับถือศาสนาคริสต์จึงไม่เชื่อ จะรวมทั้งแม่ของเบนด้วยหรือไม่ ผมจำไม่ชัด เพราะแม่ของเบนไม่ค่อยโดดเด่น เป็นช้างเท้าหลัง พ่อว่าอย่างไรแม่ก็ว่าตามกัน แม่ของเบนเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจากับใคร ไม่ค่อยมีความเห็นเรื่องใดๆ เข้ากับคนทุกคนได้ดี แต่ใจดีเหมือนกับพ่อ

แน่ล่ะ เบนเติบโตในเมืองไทย โรงเรียนไทย สังคมทั่วไปก็คนไทย นานเข้าเบนก็ชักเป๋ตามความเห็นนี้จนเชื่อว่าเขาต้องประสบอุบัติเหตุและอาจจะตายโหงเข้าสักวัน เบนเป็นเอามากเมื่อเราเรียนชั้น มอหก โดยเฉพาะช่วงที่เขาบ้าเรื่องหมอดู ฮวงจุ้ย โหงวเฮ้งอะไรทำนองนี้ เขาเชื่อหมด หาตำรามาอ่าน ถามคนที่รู้เรื่องและชอบพอเหมือนกัน ใครไม่สนเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะทำท่าไม่เชื่อ เขาไม่คุยด้วยเลย แรกๆ ผมก็รู้สึกตลกมากกว่าแต่นานวันเข้าเห็นเบนเป็นเอามาก จนเหมือนกับจะห่างๆ ผมไปเลยด้วยซ้ำ จนผมเห็นเริ่มเป็นห่วง ต้องพยายามฟังเขาพูด ทำท่าสนใจเรื่องพวกนี้อยู่ตลอด ก็เพราะเขาเชื่อเรื่องพวกนี้อย่างที่สุด ถึงขนาดไม่ยอมขับมอเตอร์ไซค์ ข้ามถนนก็ตรงทางม้าลายตลอด ไปไหนมืดค่ำไม่ยอมไป อะไรที่เป็นความเสี่ยงให้เขาต้องตายโหงเขางดหมด และแน่นอนเบนไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ตลอด ชนิดพอมีใครทักเรื่องเส้นลายมือขาด เบนมีอันต้องไปทำบุญทันที (อย่างน้อยก็ใส่บาตร ทำสังฆทานล่ะ)

พ่อเบนมีปัญหากับเขาแน่นอน!

พ่อลูกทะเลาะกันหลายครั้ง ครั้งรุนแรงที่สุดก็ตอนที่พ่อเบนเอาหนังสือพวกนี้ไปจุดไฟเผาทิ้ง เบนมายื้อแย่งจนลงไม้ลงมือกับพ่อตัวเอง พ่อไล่ออกจากบ้าน เบนมาอาศัยนอนที่บ้านผมจนแม่ต้องมาตามขอโทษครอบครัวผมและฝากลูกชาย มีการส่งข้าวส่งน้ำส่งเงินให้ลูกลับหลังจากแม่ของเบนทุกวัน แม่ผมบอกไม่เป็นไรๆ แม่เบนก็ไม่ยอม เราต้องรอจนพ่อหายโกรธและเป็นฝ่ายมาตามให้กลับบ้าน นั่นแหละเบนถึงจะกลับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเบนจะเลิกเชื่อเรื่องเส้น ลายมือขาด เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นต่อจากนี้แหละ!

มีคนแต่งตัวเป็นฤๅษีคนหนึ่งมาปักกลดทำตัวเหมือนพระอยู่บริเวณที่รกร้างใกล้บ้านของพวกเรา คนก็แห่ไปแน่นสิครับ ก็เริ่มจากใบ้หวยได้ถูก ฤๅษีท่าทางประหลาดจึงปักกลดอยู่นานเพราะมีข้าวปลาอาหารมาถวายทุกวัน มีเงินใส่ซองไม่ขาด แน่นอนที่สุดเบนต้องแวะไปหาแน่นอนและก็มาตรงนี้แหละตรงที่ดันไปทักเบนว่า เส้นลายมือขาด!

"คุณต้องมาปวารณาเป็นลูกศิษย์อาจารย์ มิเช่นนั้นชะตาชีวิตคุณจะหมดในอีกไม่เกิน อืม สองสัปดาห์" ฤๅษีพูดอย่างนี้เพราะผมไปกับเบนด้วย ได้ยินมาเต็มสองหู เบนเชื่อสุดใจ แต่ถ้าแค่ตั้งใจกราบหรือทำอะไรแสดงตัวเป็นลูกศิษย์ซึ่งพ่อเบนไม่รู้ไม่เห็นก็คงจะไม่เกิดเรื่อง

แต่ฤๅษีให้เบนห่มคลุมตัวแบบฤๅษีน่ะสิ! แถมยังต้องปฏิบัติรับใช้ใกล้ชิดทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ไหนจะเรื่องเรียน ต้องไปโรงเรียน ไหนจะไม่ให้พ่อรู้ ต้องอยู่บ้าน ปัญหาจึงเกิดขึ้นทันที เพราะเบนทำตามคำแนะนำของฤๅษีทุกอย่าง!!

พ่อเบนแจ้งตำรวจจับฤๅษี ไม่เพียงทำเอาชาวบ้านโกรธแค้นพ่อของเบนแล้ว เบนถึงกับประกาศรับฤๅษีเป็นพ่อแทนตัวเอง ฤๅษีคนนั้นอายุยังไม่ถึง 30 ปี เลยครับ

ฤๅษีไม่ถูกจับ แถมยังอยู่บริเวณนั้นได้สะดวก และดูท่าสมบูรณ์พูนสุขมากขึ้นอีก เพราะมีคนเช่าทาวน์เฮาส์ให้เข้าไปตั้งสำนัก มีลูกศิษย์ลูกหาเพิ่มอีกหลายคนด้วยซ้ำ

เวลาผ่านไปครบเดือน เบนก็เลิกห่มเลิกคลุมผ้าแบบฤๅษีแต่ยังเป็นลูกศิษย์รับใช้ในทาวน์เฮาส์หลังนั้น อีกไม่ถึงสามวันหลังครบเดือน เบนก็ถูกรถชนขณะเดินตามฤๅษีไปทำกิจธุระ คนมากมายที่เดินตามและห้อมล้อมไม่เป็นไรสักคน แต่เบนกลับเสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพียงคนเดียว

พ่อเบนร้องไห้เสียใจมาก แม่เบนและพวกเราก็เช่นกัน

ในความฝันผมเห็นเบนหน้าตาหมองเศร้า เขากล่าวขอโทษผมและให้ไปช่วยบอกว่าขอโทษ เขาเข้าบ้านไม่ได้เพราะพ่อมีกางเขนติดไว้หน้าบ้าน

ผมไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อของเบนก็ยังไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ หาว่าผมโกหก ตายแล้วย่อมไปหาพระเจ้า ศาสนาของเขาไม่เชื่อเรื่องการเข้าฝัน

คนเราต่างจิตต่างใจจริงๆ คุณล่ะเชื่อผมไหม


ลฺกบิดปริศนา
ของฟรีไม่มีในโลกจริงๆ เชื่อผมเถอะ!!!

ผมกับภรรยาผ่อนอพาร์ตเมนต์ต่อจากเพื่อนคนหนึ่งที่เขาผ่อนมาก่อนหน้านี้สี่เดือนแล้วยกให้ฟรีๆ โดยบอกว่าได้งานใหม่ที่อเมริกา ไม่คิดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่เสียไปแล้วทั้งหมด ผมดีใจไม่น้อย เพราะทำเลที่พักใหม่กลางเมือง เดินไม่ถึงสองร้อยเมตรก็ถึงรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ภรรยาผมตั้งข้อสังเกตว่า "ให้ฟรีๆ อะไรอย่างนี้ มีอะไรหรือเปล่า"

ผมลืมนึกข้อนี้ไป ไม่ใช่เพียงเพราะไม่อยากเดินทางไปกลับบ้านไกลจากที่ทำงาน แต่เพราะความโลภแท้ๆ ผมบอกภรรยาไปว่า "ช่างเหอะ ของฟรี อย่าคิดมากเลย"

แค่ขนของเข้าบ้านวันแรกคืนนั้นก็เอาแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาระหว่างขนของก็ต้องเปิดประตูทุกครั้งเข้าออก แต่เข้าออกเปิดปิดหลายหน ขนเก้าอี้ ลากโต๊ะ เครื่องคอมพิวเตอร์ สารพัดเครื่องใช้ไฟฟ้า ทุกครั้งผมสังเกตว่าทำไมลูกบิดประตูทั้งฝืดและหนักมาก ภรรยาผมสงสัยก่อน ผมเองก็รู้สึกแต่ด้วยเหตุที่ภรรยาทักท้วงก่อนหน้านี้แล้วเรื่องการให้ห้องฟรีๆ ผมจึงเกรงเสียหน้า ได้แต่ตอบไปว่า "ก็ธรรมดานะ ลูกบิดแพงๆ สแตนเลสแบบนี้ ต้องหนักกว่าพวกอันละร้อยกว่าบาทอย่างบ้านเก่าที่เราเคยใช้"

ผ่านไปจนกระทั่งขนของเสร็จในเวลาค่ำ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเราสั่งพิซซ่ามารับประทานกัน พอใกล้มืดผมก็เริ่มหวาดระแวง ที่จริงผมก็กลัวอยู่หรอกแต่ความมีทิฐิและเป็นผู้ชายผมก็ทำราวกับไม่กลัว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กินพิซซ่าไปมองไปทางลูกบิดประตูไป จนกระทั่งเข้านอนผมก็หลับตาตามปกติ แต่ด้วยความแปลกที่ทำเอาผมนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมาเปิดหนังดูคนเดียว ภรรยาเพลียหลับไปนานแล้ว

อพาร์ตเมนต์แห่งนี้มีสองห้องเล็กที่กินเนื้อที่เท่ากับอีกห้องที่เหลือ สองห้องเล็กเป็นห้องนอนและห้องครัว ส่วนห้องใหญ่ใช้เป็นที่ส่วนกลาง ทั้งนั่งนอน รับแขกและพักผ่อน ประตูทางเข้าห้องอยู่หน้าห้องใหญ่ ผมเปิดหนังดูได้สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ตอนแรกไม่คิดอะไร เมื่อไปเปิดก็ไม่เห็นใคร สุดทางเดินซ้ายขวาไม่มีใครทั้งสิ้น ผมปิดประตูและพยายามไม่คิดอะไรทั้งนั้น แล้วก็มีเสียงเคาะประตูอีก ผมเดินไปเปิดอีกก็เหมือนเดิม ช่วงกำลังปิดประตูและเตรียมจะกดล็อกลูกบิดผมก็ได้ยินเสียงแก๊กที่ลูกบิด ผมแน่ใจว่าไม่ได้กดล็อกแน่นอน มือยังกำลูกบิด มันดังคลิกต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ ผมจึงตกใจผวาไปที่ห้องนอน เปิดปิดประตูดังๆ ให้เธอตื่น ซึ่งเธอก็ตื่นจริงๆ แต่งัวเงียบ่นว่าทำอะไรเบาๆ หน่อย คนง่วงจะตายอยู่แล้ว

ผมไม่สนใจรีบสอดตัวเข้าไปในผ้าห่มคลุมโปงเตรียมจะนอน แต่เสียงหนังที่เปิดค้างไว้ ภรรยาจึงบอกว่าเปิดหนังดูหรือ ทำไมไม่ไปปิด

"ไปด้วยกันสิ" ผมพูด
"เกิดกลัวผีขึ้นมา ไหนบอกไม่กลัวไง" เธอบ่นแต่ก็ยอมลุกแต่โดยดี

ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืดเพื่อให้บรรลุผลและเรื่องจบๆ ไป เธอยืนงัวเงียเป็นเพื่อนผมที่กำลังกดปิดเครื่องเล่นและดึงปลั๊กออก ทันใดนั้นเองเราสองคนก็ได้ยินเสียงเหมือนประตูห้องเราเปิดออกเอง เอี๊ยด!!

"นี่เธอลืมปิดประตูหน้าหรือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมาได้หมดบ้านหรอก" ภรรยาว่า
"เปล่า เราปิดกับมือเลย"

ภรรยามองหน้าผม เรามองหน้ากันไปมา แล้วภรรยาก็พูดว่า "เดินไปดูสิ ถ้าประตูเปิดจริงๆ เดี๋ยวได้ถูกยกเค้าหมดหรอก"

"ไปด้วยกันนี่แหละ"

ผมพูดแล้วก็จูงมือเธอที่เหมือนได้สติตื่นขึ้นมา เราเดินไปช้าๆ ความมืดที่ก่อตัวตะคุ่มๆ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ยอมเปิดไฟ จึงเดินไปควานหาสวิตช์ไฟ เพราะเพิ่งมาอยู่ใหม่ ยังจำไม่ได้ว่าตำแหน่งสวิตช์อยู่ที่ใด ผมกดสวิตช์ไฟคลิกปั๊บไฟก็สว่างวาบ แล้วเราก็เห็นว่าประตูหน้าปิดไม่ได้เปิดอย่างที่เข้าใจ

"ช่างเหอะ นอนเถอะ ฉันง่วง" ภรรยาตัดบท

ผมคิดว่าเธอคงมีคำพูดที่ไม่อยากพูดเช่นเดียวกันกับผม

ทั้งคืนได้ยินเสียงเคาะประตู เสียงบิดลูกบิดไม่หยุด ผมนอนคลุมโปงทั้งคืนไม่กล้าแม้แต่ลุกไปปัสสาวะ

รุ่งเช้าหลังอาบน้ำเรียบร้อยผมชวนภรรยาออกจากบ้าน แล้วก็พูดในเรื่องที่เราค้างคาใจ "เราว่า ที่ลูกบิดนั่นต้องมีผี เธอว่ามะ"

"ชัดเจน ตรงประเด็น ว่าแต่ดูหนังผีมากไปเปล่า"
"แล้วเสียงมันมาจากไหน"
"เราว่าโทร.ถามเพื่อนเธอเลย คนที่ยกห้องให้"
"ไม่ต้อง ช้าไป ถามคนในอพาร์ตเมนต์ ยาม คนขายอาหารหน้าอพาร์ตเมนต์ อะไรพวกนี้น่าจะได้เรื่องเร็วกว่า"

เราพากันไปเดินถาม เพียงแต่ยามข้างล่างก็พร้อมที่จะเล่าให้ฟัง

ยามพูด "ใช่ครับ ผูกคอตายที่ลูกบิดนั่นแหละครับ พี่ไม่ถามผมก็ไม่กล้าเล่า มันเสียมารยาท" ยามยิ้มและพูดต่อ "ผมเห็นกับตาเลย เพราะเป็นคนเอากุญแจไขเข้าไปแต่มันแน่นๆ หนักๆ ไขไม่ค่อยออก กลิ่นก็โชยเน่าออกมา สุดท้ายกู้ภัยก็ใช้ชะแลงงัดเข้าไป"

เราจ้างบริษัทรับขนของย้ายบ้าน โดยที่ผมกับภรรยาไม่กล้าแม้แต่จะเดินไปหน้าห้องอีกเลย แค่คิดก็ขนลุกแล้ว! เข็ดแล้ว ของฟรีไม่มีโลก ผมคนหนึ่งที่เชื่อสนิทใจ


เงาหัว
เจนนี่ เป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชาวอเมริกันพ่อเป็นคนไทย เธอเกิดและเติบโตที่ลอสแองเจลิส สหรัฐ ตอนนั้นเธออายุ 14 ปี ครอบครัวเธอย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยภายหลังปู่เสียชีวิต แรกๆ พ่อเธอก็เพียงจะกลับมาจัดการเรื่องทรัพย์สมบัติ แต่อยู่ไปอยู่มาแม่ของเจนนี่เกิดชอบเมืองไทย ครอบครัวจึงเปลี่ยนใจลงหลักปักฐานแทน

เจนนี่มีพื้นฐานเกี่ยวกับเมืองไทยและความเป็นไทยน้อยมาก เธอค่อยๆ เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและเพื่อนๆ เธอเหมือนกับวัยรุ่นทั่วโลกจำนวนไม่น้อยที่ชอบเรื่องลี้ลับและตื่นเต้น วันหนึ่งเธอได้ยินคุณย่าเล่าเรื่องเห็นคนไม่มีหัวหรือไม่มีเงาหัว จากนั้นคนคนนั้นก็จะเสียชีวิต

"มันเป็นลางบอกเหตุจ้ะ" ย่าบอกเจนนี่
"คล้ายๆ ซิกธ์เซนส์ใช่ไหมคะ" เจนนี่ถาม

ย่าพยักหน้ารับอย่างเอ็นดู แล้วเล่าต่อ "ตอนแม่ของย่า ทวดของหนูอพยพมาเมืองไทย กำลังจะขึ้นเรือกัน ทวดเห็นคนในเรือไม่มีหัวก็ร้องตกใจจนพ่อกับแม่ของทวดไม่กล้าขึ้นเรือลำนั้น ในเวลาต่อมาก็ทราบว่าเรือลำนั้นล่ม เสียชีวิตกันทั้งลำ"

เจนนี่หมกมุ่นกับเรื่องเงาหัว เธอเที่ยวไปถามคนนั้นคนนี้รวมทั้งผม พ่อผมขับรถให้ครอบครัวของเธอ ผมเล่าเรื่องตอนเด็กๆ ที่เดินตามน้าชายกลับจากดูหนังกลางแปลงให้ฟัง โดยทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางทำท่าเล่าอย่างออกรสออกชาติ

"ตอนนั้นดึกแล้ว ผมค่อนข้างง่วง ผมเดินช้าจนห่างจากน้าไม่น้อย แต่แล้วก็ตาสว่างโพลง หายง่วงไปเลย เพราะผมเห็นน้าชายไม่มีหัว อีกไม่ถึงเดือนน้าชายก็ขี่มอเตอร์ไซค์ถูกสิบล้อชนตาย ผมไม่เคยเล่าเรื่องน้าไม่มีหัวให้ใครฟังนะ ผมเล่าให้คุณเจนนี่ฟังเป็นครั้งแรก"

เจนนี่ตื่นเต้นมาก "คนไทยสนุกจัง เจนนี่ชอบ" พูดพลางหัวเราะเฮฮา

เจนนี่นำเรื่องนี้ไปเล่าให้ย่าของเธอฟัง ที่จริงทุกเรื่องที่มีคนเล่าเกี่ยวกับคนไม่มีหัวและเรื่องอื่นๆ เจนนี่เล่าให้ย่าฟังเสมอแหละ

ผมเคยบอกเจนนี่ว่า "บางเรื่องก็ไม่ควรเล่านะครับคุณเจนนี่ อย่างกรณีน้าชายผม ถ้าผมรีบไปทำบุญก่อนจะเล่าให้พ่อฟัง น้าก็อาจจะไม่ตาย โบราณว่าต้องทำบุญก่อนจะเล่าให้คนอื่นฟัง"

"ไหนเธอบอกว่าเพิ่งเล่าให้ฉันฟังเป็นครั้งแรก"
"ผมโกหก แค่อยากให้คุณเจนนี่ตื่นเต้น รู้สึกสนุก"

เจนนี่ทำท่าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรผมมากแม้แต่เรื่องนี้ สุดท้ายเธอก็เล่าเรื่องผมให้ย่าเธอฟัง แม้แต่เรื่องปี๊บ "เพื่อนหนูคนหนึ่งนะ เล่าว่า อ้อ ย่าคะ คนไทยโบราณเขาเชื่อกันว่าถ้าเห็นคนไม่มีหั ให้รีบเอาปี๊บคลุมหัวหรือคะ ปี๊บคืออะไรคะ"

ย่ายิ้มอย่างนึกขัน "สมัยนี้หายากขึ้น สมัยก่อนเขาจะเอาไว้ใส่ของ สมัยนี้ใช้ถังพลาสติกแทน ปี๊บก็ค่อยๆ หายไป ที่เจนนี่ได้ยินเพื่อนบอก ย่าก็เคยได้ยิน บางคนเขาก็ว่าให้รีบเอาผ้าคลุมหัวแล้วพูดว่า? นี่ข้าต่อหัวให้แก? ย่าก็เคยได้ฟังมา หนูเป็นเด็กสมัยใหม่ เชื่อด้วยหรือ"

"หนูคิดว่าสนุกดีค่ะ"
"ย่าจะสอนอะไรให้อย่างหนึ่ง เราอย่าไปล้อเล่นหรือเห็นความเชื่อของคนอื่นเป็นเรื่องตลก"

เจนนี่ไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะคิกคักแล้วเดินเข้าบ้าน เธอสนุกกับเรื่องความเชื่อและบรรยากาศสังคม ประเพณีไทยๆ เธอรู้สึกสนุกเพลิดเพลินมากกว่าจะเห็นเป็นเรื่องความรู้วิชาการ

เดือนต่อมาทางบ้านของเจนนี่ก็มีงานขึ้นบ้านใหม่ เธอดูตื่นเต้นมาก เดินไล่ดูตั้งแต่เพื่อนพ่อนำสายสิญจน์มาวนภายในบ้าน เดินดูการจัดตั้งโต๊ะหมู่บูชาจนกระทั่งพระสงฆ์เดินทางมาถึง แม้แต่อาหารสำรับอาหารคาวหวานเจนนี่ก็พลอยตื่นเต้นอย่างไม่รู้จบ

หลังงานเลี้ยงทำบุญแบบไทยๆ ผ่านไป ตกค่ำพ่อกับแม่ก็จัดปาร์ตี้ขึ้นในบ้าน บ้านใหม่ของครอบครัวเป็นบ้านเดี่ยวสูงถึงสี่ชั้นเพราะพ่อกับแม่เปิดเป็นบริษัท ทำชั้นล่างของบ้านเป็นสำนักงาน เจนนี่ชอบขึ้นไปยืนรับลมเล่นที่ชั้นสี่ ที่สนามหญ้าด้านล่างวันนั้นมีคนมาไม่น้อย เจนนี่เริ่มเหน็ดเหนื่อย เธอคึกคักมาทั้งวันจนหมดแรงแล้วจึงหลบขึ้นไปชั้นบน

ขณะยืนรับลมพลางกวาดตามองลงมาสนามหญ้า เจนนี่รู้สึกใจหวิวๆ ชอบกลแล้วก็มีอันต้องตกใจเบิกตาโพลง! เมื่อมองลงมายังพ่อที่กำลังยืนคุยกับเพื่อน แต่พ่อไม่มีหัว!

เจนนี่ยืนตัวแข็งสักพักก็ได้สติ รีบเข้าห้อง เดินอย่างหน้าตาตื่นไปหาย่าในห้อง ย่ากำลังสวดมนต์ก่อนนอน

"พ่อค่ะย่า พ่อไม่มี" เธอพูดทันทีที่ปะหน้าย่า ก่อนจะร้องไห้โฮ
"ใจเย็นๆ พ่ออะไร" ย่าถาม
"ไม่มี...หัว...ค่ะ" แล้วก็ร้องโฮอีก

ย่าต้องพยายามปลอบใจฟื้นคืนสติอยู่พักใหญ่

"ไม่มีอะไรเจนนี่ พรุ่งนี้เราไปทำบุญที่วัดกัน ย่าจะพาไปเอง เรื่องนี้ไม่ต้องเล่าให้ใครฟังนะ"

เจนนี่เล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้ผมฟังในเวลาต่อมา ผมพยายามพูดปลอบใจเธอเช่นกัน แต่ทว่าสัปดาห์ต่อมาพ่อของเจนนี่ก็ประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ กระจกรถตัดคอขาด

ทุกวันนี้เจนนี่กับแม่ย้ายกลับไปอเมริกาแล้ว ผมกับพ่อไม่เคยได้ข่าวคราวของเจนนี่อีกเลย


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 09 มกราคม 2559 20:15:33
.

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQHqYFIyeU63y_KOtuJwnEnbb9QNP_421HgaImth0snXv5l9KCE)

ผีล่ามโซ่ที่โรงเรียนจีน
ในคืนที่มีจันทรุปราคาเต็มดวง ทุกครั้งฉันอดไม่ได้ ที่จะนึกถึง... เรื่องนั้น...

ที่จังหวัดของเรา มีโรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆ ของจังหวัดเป็นโรงเรียนที่สอนด้วยภาษาจีนกลางทุกวิชา และมีกฎแปลกๆ อยู่ว่า ในแต่ละปีจำนวนนักเรียนรวมต้องมีจำนวน 50 คนพอดีๆ ไม่ขาดไม่เกิน ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าทำไม เช่นเดียวกับกฎที่ว่า ห้ามผู้ใดนอกจากนักเรียนและครูเข้าออก ผู้ปกครองที่มารับส่งก็ต้องรอบริเวณหน้าโรงเรียน ห้ามเข้าเด็ดขาด ไม่ว่าจะกรณีไหน โรงเรียนจีนแห่งนั้นจึงกลายเป็นสถานที่ลึกลับ

นอกจากนี้ยังว่ากันว่า ที่ห้องใต้ดินของโรงเรียนนี้ เคยล่ามโซ่ขังลูกสาวเจ้าของโรงเรียนที่ป่วยทางจิตเอาไว้ เพราะเจ้าของโรงเรียนอับอายไม่อยากให้ใครพบเธอ บางเสียงว่ากันว่าหญิงสาวนั้นไปรักชอบกับคนที่ไม่ควรรัก ทำให้พ่อลงโทษขังและล่ามโซ่เธอจนกลายเป็นบ้า และในที่สุดเธอก็เอาหัวโขกพื้นฆ่าตัวตายไปในคืนพระจันทร์แดง หลังจากนั้น ทุกคืนพระจันทร์แดง จะมีคนได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวนและมีเสียงเหมือนคนเอาอะไรแข็งๆ ทุบพื้น

ปีนั้น ฉันอายุ 25 แล้ว แต่ก็ยังจำกันได้เรื่องโรงเรียนจีนลึกลับนั้น แถมยังมีเรื่องให้นึกถึงคือ มีข่าวประกาศออกมาว่า คืนนี้จะมีปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง และรอชมปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดอีกด้วย

"คืนนี้ผีล่ามโซ่โรงเรียนจีนจะอาละวาดอีกป่ะวะแก" จินพูดขึ้น เพื่อนคนอื่นหัวเราะกันครืน "ยังจำได้อยู่อีกเหรอวะ" จินว่าต่อ "ว่าแต่ ตอนนั้นมันน่ากลัวมากจริงๆ นะ ถ้าใครแต่งเรื่องขึ้นมาฉันว่ามันก็เป็นจินตนาการที่สยองมากเลย"

เพื่อนคนหนึ่งว่า "ฉันเคยถามลุงฉันที่บ้านอยู่ใกล้ๆ ซอยโรงเรียนจีนอ่ะ แกบอกว่าตอนแกวัยรุ่น จำได้ว่าเจ้าของโรงเรียนแกมีลูกสาวจริงๆ นะ สวยด้วย แต่ว่า อยู่ๆ ก็หายไปเฉยๆ ก็แสดงว่าเรื่องที่เขาเล่าๆ กันก็มีเค้าเหมือนกันนะ"

จินซึ่งปกติทำงานเป็นคอลัมนิสต์ให้เว็บไซต์วัยรุ่นชื่อดังแห่งหนึ่งนึกขึ้นมาได้ "เออ ดีเลย นี่ฉันกำลึงนึกไม่ออกอยู่พอดีว่าจะทำเรื่องอะไรส่ง งั้นอาทิตย์นี้เอาเรื่องหลอนๆ ของผีโรงเรียนจีนนี่แหละ คืนนี้จะทำเรื่องขอเข้าไปดู"

พูดน่ะง่าย แต่ก็อย่างที่เรารู้ๆ กัน เจ้าของโรงเรียนเป็นอะไรก็ไม่ทราบไม่ยอมอนุญาตให้พวกเราเข้าไปในโรงเรียนเพื่อบันทึกภาพและเก็บข้อมูลเขียนคอลัมน์เลย ขนาดบอกว่าจะเป็นโฆษณาประชาสัมพันธ์โรงเรียนยังไม่ยอม แถมยังหงุดหงิดไล่ตะเพิดพวกเราออกมาอีก

แทนที่จะถอดใจ จินดันฮึดขึ้นมา "เออ ยิ่งห้ามแบบนี้ ยิ่งน่าเข้าไป แสดงว่าแกต้องปิดบังอะไรเราแน่ๆ คืนนี้ฉันจะแอบเข้าไปดูเอง" จินประกาศโดยไม่สนใจฟังคำทัดทานของเพื่อน

คืนนั้น พวกเราถูกบังคับให้ช่วยดูต้นทางอยู่ที่หลังโรงเรียน ก่อนที่จินจะปีนเข้าไปพร้อมกล้องถ่ายรูป จินหายเงียบไปสักครึ่งชั่วโมง เราก็เริ่มใจคอไม่ค่อยดี บรรยากาศมันวังเวงบอกไม่ถูก เวลาราวสี่ทุ่ม พวกเราก็ได้ยินเสียงเคาะเสียงโห่ดังกระหึ่มขึ้นมาจากรอบๆ บริเวณ เลยได้รู้ว่า เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงแล้ว พวกเรามองขึ้นไปบนฟ้า เห็นจันทรคราสสีแดงก่ำราวกับสีเลือด ฉันขนลุก มือเท้าเย็นเฉียบด้วยความตื่นกลัว

ทันใดนั้นเอง เสียงอีกเสียงก็ดังแทรกขึ้นมา เป็นเสียงกรีดร้องโหยหวนของหญิงสาวดังออกมาจากโรงเรียนจีน เสียงเหมือนคนกำลังเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน อย่างยิ่งยวด

พวกเรามองหน้ากัน ไม่แน่ใจว่าเสียงจินหรือเปล่า แต่ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน จึงรีบพากันปีนตามเข้าไป

ยามโรงเรียนคงได้ยินเสียงเอะอะก็วิ่งตามมาไล่ตะเพิดพวกเราจากทางหน้าโรงเรียน แต่ตอนนั้นการตามหาจินสำคัญที่สุด พวกเราช่วยกันวิ่งหาจินพลางตะโกนเรียก แต่ไม่มีเสียงตอบกลับ เราไปกันเป็นหมู่ เพราะไม่กล้าแยกตัวท่ามกลางความมืดและบรรยากาศชวนขนหัวลุกแบบนี้ สักเดี๋ยวเดียวก็ได้ยินเสียง ตุบ ตุบ ตุบ เป็นจังหวะเหมือนคนกำลังทุบของ

พวกเรารีบวิ่งไปทางต้นเสียง ตอนนี้ฉันแย่งไฟฉายจากมือยามมาได้แล้วและใช้มันส่องนำทางไปหาเสียงที่ดังมาจากชั้นล่าง

ในที่สุดเราก็พบจิน ภาพที่เห็นคือจินกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ทำท่าเหมือนจะขุดอะไรที่พื้น สลับกับเอาหัวตัวเองกระแทกพื้นดังตุบ ตุบ ตุบ เราช่วยกันลากออกมายังไงก็ไม่ยอมหยุด

เสียงร้องไห้โหยหวนยังคงดังก้องสะท้อนไปมาในตึกเก่าๆ หลังนั้น ชวนขนลุกขนพองยิ่ง จินหัวแตกเลือดไหลอาบ พวกเราบางคนร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว ยามแทรกตัวเข้ามา เอาผ้าขนหนูรองพื้นตรงที่จินโขก แล้วว่า "เดี๋ยวก็หาย พระจันทร์กลับมาเดี๋ยวก็หาย"

ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นแต่เรารู้สึกว่านานแสนนาน จินก็หยุดนิ่งแล้วหมดสติไป พวกเราพาเธอส่ง ร.พ. เธอไม่เป็นอะไรมากไปกว่าหัวแตก แต่ที่เหลือเชื่อคือเธอจำอะไรไม่ค่อยได้ "เหมือนมีผู้หญิงคนนึงพาฉันไปตรงนั้น แล้วชี้ให้ดูที่พื้น แล้วฉันก็จำไม่ได้ละ"

เรื่องราวทั้งหมดยังคงเป็นปริศนาสำหรับพวกเรา แต่ตอนนี้ต่อให้เอาช้างมาลากก็คงไม่มีใครอยากไปยุ่งกับที่นั่นอีกแล้วล่ะ



ผีดูดเลือด
ตอนนั้นครบอายุเบญจเพสพอดี โบราณว่าจะเจอเหตุการณ์ร้ายแรงซึ่งผมก็เจอเข้าจริงๆ กล่าวคือ เพื่อนที่ทำงานแผนกเดียวกันชวนเดินป่า ด้วยความที่ผมได้งานใหม่ที่ชอบมาก เป็นบริษัทใหญ่ ผมตั้งใจจะทำไปตลอดชีวิต จะเจริญก้าวหน้าที่นี่ให้ได้ ชนิดไม่ไล่ผมก็ไม่ลาออกแน่นอน ผมจึงตัดสินใจร่วมไปพิชิตดอยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือตามคำชวน

ผมเองเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก เคยเป็นนักกรีฑาจังหวัดแข่งกีฬาแห่งชาติมาแล้วสองครั้ง แม้จะไม่ได้รับเหรียญรางวัล ไม่มีชื่อเสียงให้คนพอรู้จัก แต่รับประกันว่าร่างกายแข็งแรงมาก เพราะผมยังวิ่งออกกำลังกายทุกวัน เหตุนี้เรื่องเดินป่าพิชิตดอยที่มีความสูงถึง 1,350 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลและต้องเดินป่าที่ว่ากันว่าอยู่ในระดับที่เรียกว่าสายแข็งของนักเดินป่า จึงไม่เป็นปัญหากับผมแต่อย่างใด

เราถึงดอยและไปจุดนัดพบกับลูกหาบและคนนำทางในตอนเช้าก็ยังราบรื่น พวกเรามีกันทั้งหมด 8 คน เป็นผู้หญิงสองคน เป็นรุ่นพี่ผมทั้งหมด ส่วนผู้ชายอีก 4 คน สองคนเป็นรุ่นพี่ที่แผนกเดียวกัน อีกสองคนชื่อแมนกับบอยทำงานแผนกเดียวกับผม พี่ผู้ชายผมไม่สนิทนัก พี่ผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากชื่อ พิศ รู้ว่าพี่น้อย พี่ผู้ชายในแผนกตามจีบมานานแล้ว แม้จะผิดกฎของที่ทำงานที่ห้ามคนเป็นแฟนทำงานในแผนกเดียวกันก็ตาม แต่นั่นก็เรื่องของพวกเขา ผมบอกแล้ว ผมมาทำงานจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น

ลักษณะดอยที่เราจะพิชิตเป็นดอยมีลำธารไหลจากยอดดอยลงมา เหตุนี้การเดินจึงไม่ยาก เพียงแต่ชันมาก เราต้องเดินตามลำธารไต่ไปเรื่อยๆ ทัศนียภาพสองข้างทางจึงสวยมาก ยิ่งในช่วงหน้าหนาวอย่างนั้นแล้ว สวยจับใจทีเดียว เราต่างคนต่างเตรียมอาหารและน้ำกันมาตามถนัด หลังแวะพักเที่ยงรับประทานแล้วออกเดินทางต่อ ผมสังเกตว่าพี่พิศกับพี่น้อยแยกเดินด้วยกันแต่อยู่หลังสุด พี่ผู้หญิงอีกคนชื่อเจี๊ยบกับพี่ผู้ชายอีกคนชื่อติ่งเดินนำหน้า ทิ้งให้ผมกับแมนและบอยเดินตามห่างๆ

เราถึงยอดดอยกันตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว หลังกางเต็นท์เราตกลงไม่ก่อกองไฟกันเพราะจะนอนดูดาวที่เหมือนแค่เอื้อมถึง เวลานั้นพระอาทิตย์เพิ่งตกไปไม่นานแต่ดวงดาวกลับมากมายเต็มฟ้าเหมือนรอให้เรามาชม ผมกับบอยและแมนนอนดูดาวห่างจากคนอื่นๆ ส่วนพี่พิศกับพี่น้อยหายไปไหนแล้วไม่รู้

เรานอนคุยกันไปสารพัดเรื่อง ตกดึกกี่โมงไม่รู้ ผมปวดฉี่จึงชวนบอยออกไปด้วย แน่นอนที่นี่ไม่มีห้องน้ำ เราหาพุ่มไม้เพื่อปัสสาวะกัน แต่พอเราใกล้ถึงพุ่มไม้หนึ่งกลับได้ยินเสียงครวญครางของผู้หญิง ผมมองหน้าบอย ตอนนั้นเราไม่คิดถึงเรื่องผีสางเลย บอยจะเดินไปใกล้

"เรื่องแบบนี้ ดูฟรียากนะมึง" บอยยิ้มแต่ผมไม่อยากมีปัญหาจึงพูดว่า "อย่าไปยุ่งเลย กูอยากทำงานที่นี่นานๆ"

บอยเหมือนฟังผม เราไปหาที่ปัสสาวะใหม่ "จะบอกแมนเรื่องนี้ไหม" บอยถาม ผมตอบว่า "อย่าเลย"

กลับถึงเต็นท์กลับไม่เจอแมน กว่าแมนจะมาก็นานเกินสิบนาที ผมถามว่าไปไหนมา มันตอบว่าก็ไปฉี่น่ะสิ กูหาทางเดินกลับไม่เจอ น่าจะไปกับพวกมึง แมนสบถแล้วพูดเรื่องอื่นแทน

เราหลับกันตอนไหนไม่รู้ ผมสะดุ้งตื่นจากเสียงของแมนที่เหมือนจะค่อยๆ เปิดประตูเต็นท์ย่องออกไป ผมรอจนแมนออกไปก็แอบเดินตามไปห่างๆ แมนเหมือนเดินไปที่ผมกับบอยได้ยินเสียงพี่พิศนอนครวญคราง ผมใจเต้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วผมก็มีอันต้องตกใจช็อกกับภาพเบื้องหน้า!

ผมเห็นพี่พิศกำลังนอนดูดเลือดที่คอพี่น้อย คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ พี่น้อยถูกพี่พิศดูดเลือดจากลำคอ ลำตัวกระตุกเป็นพักๆ ตาเบิกโพลงเหมือนคนตกใจกลัวสุดขีด ผมเห็นแมนแอบดูอยู่อีกฟาก

แต่หลังจากนั้นที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ พี่พิศพุ่งเข้าหาแมน ไม่รู้เธอเห็นแมนได้อย่างไร พี่พิศพุ่งตรงเข้างับคอแมน เลือดสาดกระจาย กลิ่นคาวกระจัดกระจายไปทั่ว แมนตกใจจนร้องไม่ทันหรือเปล่าไม่รู้ ผมเองก็ตกใจร้องไม่ออกเช่นกัน ตอนนั้นผมไม่คิดว่าจะมีแวมไพร์ที่เมืองไทย มาเห็นแมนซึ่งสลัดหลุดจากพี่พิศแล้ว เขาร้องตะโกนวิ่งออกจากที่นั่นตรงไปลำธารที่ด้านล่าง ก่อนจะกระโดดดังตู้ม! ลงน้ำ ผมกำลังจะกระโดดลงไปช่วยเหลือ พี่พิศก็ตรงเข้าหาผม แน่นอนผมเตลิดเปิดเปิงจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว

ผมมาได้สติอีกครั้งก็เพราะความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่นั่น แมนเสียชีวิต พี่พิศและพี่น้อยกลายเป็นศพขาวซีด พี่ติ่งกับพี่เจี๊ยบหายสาบสูญจนถึงทุกวันนี้ ชาวบ้านบอกว่าเราถูกผีโป่งค่างซึ่งเป็นผีดูดเลือดดูดเอาทั้งคณะ แต่เมื่อผมเล่าว่าผมเห็นพี่พิศเป็นฝ่ายดูดพี่น้อยกับแมนด้วย ทุกคนต่างก็แปลกใจมาก



ไปดูหนัง
เมื่อปีพ.ศ.2548 ตอนนั้นช่วงปิดเทอมใหญ่ขึ้น ม.5 ผมไปเที่ยวบ้านอาที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ไปหน้าร้อนพอดี แทบไม่อยู่ติดบ้าน ลูกพี่ลูกน้องลูกของอาชื่อเปี๊ยก อายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม ถ้าไม่ชวนไปเล่นเกมในตลาดก็ปั่นจักรยานขึ้นเขาสนุกสนาน บางคืนเราก็ปั่นไปดูหนังกลางแปลงกัน ผมเด็กเทพตื่นเต้นกับหนังกลางแปลงมาก อีกอย่างคืนเดือนขึ้นนั้นถนนตามทางสว่างมากจนเห็นเส้นลายมือได้ชัด แน่นอนผมก็ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ การได้ดูหนัง กินขนม มองสาว รู้สึกเหมือนเวลาหมดไปอย่างรวดเร็ว แต่มีอยู่คืนหนึ่ง!

คืนนั้นผม เปี๊ยกจะไปดูหนังกลางแปลงกันที่วัด เป็นหนังในงานศพหนึ่งที่เจ้าภาพร่ำรวย จัดฉายห้าเรื่องซ้อน เปี๊ยกบอกไม่เคยมีใครทำมาก่อน หนังเริ่มฉายตั้งแต่หัวค่ำจนกว่าจะจบ ผมไม่รู้หรอกว่ากี่โมงและหนังเรื่องอะไร แต่ผมไปก็เพราะอยากไป ชอบบรรยากาศ ชอบขนมที่ขาย

ก่อนจะได้ไปอามาบอกว่าจะมีญาติจากต่างอำเภอขอไปดูหนังด้วย กลุ่มพวกเขาจะมาถึงก่อนค่ำ ส่วนอากับอาสะใภ้จะเข้าเมืองไปงานแต่งงานเพื่อนและจะค้างที่บ้านญาติกว่าจะกลับก็เช้า ผมกับเปี๊ยกจึงนั่งรอกลุ่มญาติซึ่งคาดว่าคงจะขับรถกระบะมา

คืนนั้นไม่ใช่คืนข้างขึ้นแต่เป็นคืนค้างแรมที่มืดสนิท ผมกับเปี๊ยกรอญาติของเปี๊ยกนานมาก อาและอาสะใภ้ไปกันตั้งนานแล้ว พวกญาติก็ยังไม่มา

"จะทันดูเรื่องแรกไหมเนี่ย" เปี๊ยกบ่น
"เขาเอารถมากัน เราก็ให้เขาขับไปวัดเลยดิ จะได้ทัน" ผมว่า

ผมกับเปี๊ยกเปิดทีวีดูจนถึงข่าวในพระราชสำนักพวกเขาก็มากัน ในบรรดาคนที่มาด้วยกันสี่คน เป็นลูกพี่ลูกน้องของเปี๊ยกสายทางแม่อยู่ด้วยคนหนึ่ง สองคนรู้จักกันดี เปี๊ยกจึงกล้าแสดงความไม่พอใจ "เฮ้ย ทำไมสายนักวะไอ้สัก"

"โทษที รถเกิดอุบัติเหตุ ชนกับกระบะอีกคัน แมร่งเสือกแซงทางโค้ง" ญาติชื่อสักตอบ

น้าอีกคนที่มาด้วยเสริม "น้าขับเองแหละ มันมาเร็ว แถมเสือกแซงทางโค้งขึ้นเขา"

ผมสะกิดเปี๊ยก เปี๊ยกเข้าใจจึงหันไปพูด "เรารีบไปกันเถอะ น้าขับรถต่อไหวไหม ผมกลัวจะไม่ทันหนังฉายน่ะ"
"ไหวๆ ไปๆ กัน" น้าแกตอบ

เปี๊ยกกับผมถึงรถเป็นคนแรก เปี๊ยกถึงกับร้องลั่น "เฮ้ย ชนจนขนาดนี้เลยหรือ"

สภาพรถที่ผมเห็นคือกันชนยุบ คงหล่นไประหว่างทาง ซึ่งผมก็แปลกใจว่าทำไมไม่เก็บขึ้น ด้านข้างก็บุบไปจนเหมือนเว้าเข้าไปเกือบครึ่งคัน หลังคาก็พังยุบลง ดูไม่ได้เลยจริงๆ

"อย่างนี้ไปไม่ไหวแน่ๆ" ผมเอ่ย
"สงสัยเพลาจะมีปัญหาด้วยนะ" น้าคนขับบอก "มันดังป๊อกๆ ตลอดทาง แต่มาถึงได้นี่ก็น่าจะไปต่อได้"
"ไม่ไหวละมั้งเปี๊ยก" ผมกลัวว่าไม่ไหวจริงๆ จึงหันไปขอแรงเสริมจากเปี๊ยก
"นั่นสิ เราเดินไปก็ได้ วัดอยู่ไปไม่ไกล สองสามกิโล ปกติก็เดินกันอยู่แล้ว" เปี๊ยกว่า
"เอางั้นหรือ" กลุ่มญาติมองหน้ากัน
"งั้นก็ได้" สักตอบแทนทุกคน ซึ่งต่างพยักหน้าเห็นด้วย

เราอาศัยแสงไฟฉายเดินตามกันเรียงหนึ่ง เปี๊ยกอยู่หน้าสุด ผมอยู่คนที่สอง คนที่เหลือเดินตามหลังกันอีกสี่คน เนื่องจากมืดมากเปี๊ยกเป็นคนในพื้นที่เพียงคนเดียวจึงเหมือนเจ้าถิ่น เขาชวนคุยตลอด "เฮ้ย ปิดเทอมนี้มึงทำไรวะสัก" เปี๊ยกคุยกับญาติของเขา

คนชื่อสักตอบ "เที่ยวไปเรื่อย มาบ้านมึงดูหนังนี่อีก แต่กูคง..."
"เป็นไรวะ เสียงอ่อยเชียว"
"ไม่มีไร" สักตอบ "กูเริ่มรู้สึกแปลกๆ มันยังไงไม่รู้ เหมือนตัวกูเบาๆ"

ผมกับเปี๊ยกหันขวับทันที ผมสังเกตว่าสักดูแปลกจริงๆ หน้าซีด ปากซีด เหมือนไม่มีเลือดเลย ทันใดผมสังเกตว่าญาติอีกคนที่มาด้วยแต่ไม่พูดเลยตั้งแต่มาหายไป

"ไอ้!" เปี๊ยกเอ่ยชื่ออีกคน "มันไปไหนวะ"
"คงแวะไปฉี่ เรารอเขาไหม" ผมบอก
"ไม่ต้องหรอก" น้าคนขับบอก "น้าก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนบังคับตัวเองไม่ค่อยได้"
"เป็นอะไรกันไป พักก่อนไหม เกิดอุบัติเหตุแรกๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเจ็บตรงไหน ตอนรถชนคงกระแทกแรง ผมว่ากลับกันเถอะ ไปพักผ่อนที่บ้านผมก่อน" เปี๊ยกหันมามองผม

ผมเห็นด้วย พวกเขาดูแปลกๆ
"ไม่เป็นไร ไปต่อเถอะ ใกล้ถึงยัง"
"อีกกิโลมั้ง แต่ว่า"
"ไม่เป็นไร ไปต่อ กูมากันก็เพราะอยากดูหนังนี่แหละ" ญาติว่า

พวกเราพากันเดินต่ออย่างเงียบๆ ไม่มีใครพูดเลย ช่วงใกล้จะถึงวัดผมหันไปดู ปรากฏว่าหายไปหมดทุกคน เหลือแต่ผมกับเปี๊ยก จนทำให้ผมนึกได้ว่าลืมคนที่คิดว่าไปฉี่ด้วย

เปี๊ยกกับผมมองหาพวกเขา แต่ก็ไม่เจอ "เดินๆ หายไปไหนเงียบๆ กันหมดวะ"

ช่วงนั้นเองที่โทรศัพท์จากพ่อของเปี๊ยกดังขึ้น เปี๊ยกรับแล้วตกใจ หน้าเขาซีดเผือด เขาวางสายแล้วหันมาพูดกับผม "สักกับญาติรถชนตายกันหมดทุกคนตรงเนินทางโค้งก่อนถึงบ้านกู"

"เฮ้ย เป็นไปได้ไง" ผมตกใจ "งั้นก็หมายความว่า ที่เราคุยด้วย!"
เปี๊ยกพูดเบาๆ เสียงสั่น "กูไม่กล้าเดินกลับบ้าน เลยว่ะ"

ผมก็คิดเหมือนเปี๊ยก



ยศกับพ่อ
ผมนั่งขำเมื่อเพื่อนให้ดูวิดีโอในยูทูบเกี่ยวกับการเห็นผี สองวิธีที่ว่าก็คือการใส่เสื้อกลับหลังกับการห้อยพระกลับหลัง ยิ่งวิธีที่สองผมว่าไร้สาระ คือถ้าใส่พระแล้วผีกลัว การใส่กลับหลังกลับจะเห็นผี ฟังดูแล้วไร้สาระมากกว่า แล้วทุกเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อก็มักจะจบตรงประโยคสุดแสนคลาสสิคที่ว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะเพื่อนผมเชื่ออย่างสนิทใจแถมมีเรื่องเล่าอีกว่าแถวบ้านเขามีการลองมา แล้ว เจอจริงด้วย ผมจึงประกาศท้าพิสูจน์ แต่เพื่อนไม่เล่นด้วยและเราก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีกเลย

เพื่อนคนนี้ชื่อยศ ผมไม่ได้เจอยศนานมากตั้งแต่เรียนจบ จนมาทำงานเจอเพื่อนที่ทำงานเล่าเรื่องผี ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ เพื่อนคนนั้นบอกว่าห้ามใส่เสื้อกลับด้านหรือกลับหน้ากลับหลัง เพราะเขาจะใส่เสื้อให้ศพแบบนี้

"ถ้าใส่ล่ะ" ตอนนั้นผมถามไปอย่างนี้
"ก็แสดงว่าที่มึงเห็นตรงหน้าคือผี" เขาตอบ

แต่ผมหัวเราะยกใหญ่ "พี่ชายกู พ่อกูก็ชอบใส่กลับด้าน กูก็ด้วย ไม่เห็นต้องถอดกลับเวลาใส่ไปแล้ว ดีเสียอีกเวลาเป็นหวัด เอาด้านหลังมาใส่ด้านหน้าปิดหน้าอกอบอุ่นกว่าด้วยซ้ำ"

"มึงยังไม่เคยเจอผีมากกว่า หรืออาจจะเจอแล้วแต่ไม่รู้ตัวก็ได้" เพื่อนคนนั้นทำเสียงขรึม

นี่เป็นสองเรื่องที่เป็นที่มาของเรื่องนี้ คืนนั้นผมเพิ่งกลับจากทำงาน ถึงห้องเช่าก็เจอพ่อมายืนรอที่หน้าห้องแล้ว "อ้าว พ่อ ทำไมไม่ขอกุญแจที่แม่บ้านเข้าไปรอข้างใน"

พ่อยิ้ม ผมเรียกพ่อให้เข้าห้อง พ่อกลับพูดว่า "พี่ชายแกอยู่โรงพยาบาลนะ พ่อรีบมาบอก"
ผมตกใจ "เป็นไรพ่อ"
"ข้ามถนน ถูกรถชน"

ระหว่างเดินทางในรถแท็กซี่ ผมสังเกตเห็นเสื้อพ่อ "นี่พ่อรีบเสียจนใส่เสื้อกลับด้านเลยหรือ"
พ่อไม่ตอบ อย่างที่บอกตอนอยู่บ้านผมเห็นพ่อกับพี่ใส่เสื้อกลับด้านกันประจำ ก็เลยไม่สนใจ ถึงโรงพยาบาลจ่ายค่ารถแล้วก็จะหันไปหาพ่อ พ่อหายไปไหนไม่รู้ พ่อคงไปเข้าห้องน้ำมั้ง ผมคิดแล้วหันไปถามเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์บอกชื่อพี่ชายซึ่งเขาก็แจ้งว่า อยู่ในห้องฉุกเฉินรอญาติ

ถึงห้องฉุกเฉิน พยาบาลถามทันทีที่เห็น "ญาติคุณทิวากับคุณสมภพใช่ไหม"

ผมแปลกใจทิวานี่คือชื่อพี่ชาย แต่สมภพคือชื่อพ่อ พยาบาลคนนั้นชี้ไปทางมุมในสุดพลางพูดว่า "กำลังรอญาติคะ"

สภาวะนั้นผมงุนงงอยู่ ผมก้าวช้าๆ ไปที่สองเตียงที่มีผ้าคลุมคนบนเตียง ผมเดินช้ากว่าบุรุษพยาบาลนายหนึ่งที่เดินแซงหน้าไปที่เตียง "เสียใจด้วยนะครับ ทางโรงพยาบาลรับผู้ตายทั้งสองมาจากกู้ภัยในสภาพสาหัส แต่ผู้ตายเสียเลือดมากจริงๆ อืม ถ้าเสร็จจากตรงนี้แล้วช่วยไปเซ็นชื่อ" ผมไม่ได้ยินเขาพูดอะไรอีกแล้ว วินาทีนั้นผมร้องไห้โฮเมื่อเปิดผ้าคลุมทั้งสองผืนออก

ผมแทบลืมไปเลยว่าพ่อกับพี่ชายอยู่ระหว่างเดินทางมาเยี่ยมผมในวันนั้น นานๆ พ่อมีธุระจะเข้ากรุงเทพฯ ที พ่อก็จะชวนพี่ชายที่อยู่ด้วยกันมาเป็นเพื่อน พ่อเคยมาหาผมสามสี่ครั้งในรอบสองปี ผมเอาแต่ทำงานหลังเรียนจบไม่เคยได้กลับบ้าน พ่อจึงเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเอง

ตอนนั้นยศเดินสวนมา ผมร้องทัก แล้วเล่าให้เพื่อนฟังว่าพ่อกับพี่ชายเพิ่งเสียชีวิต เขาแสดงความเสียใจกับผม แล้วระหว่างรอแม่กับญาติ เขาก็ชวนผมนั่งลงตรงม้านั่งภายนอกโรงพยาบาล ไฟจากโรงพยาบาลพอมีแสงสว่าง ไม่มียุง ลมเย็นสบายๆ ผมจำได้ว่าจู่ๆ เขาก็เอ่ยเรื่องวิธีเห็นผีโดยการใส่พระกลับหลังนั้น

"เอ็งยังอยากพิสูจน์มั้ย พ่อกับพี่เสียใหม่ๆ อาจจะเจอก็ได้นะ โน่น ห้องน้ำโรงพยาบาลอยู่นั่น" ยศพูดเหมือนรู้จักที่ทางในโรงพยาบาลดี ตอนนั้นผมค่อยสังเกตว่าเขาใส่เสื้อผ้าคล้ายๆ เครื่องแบบเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลนั้น "มึงทำงานที่นี่หรือ"

เขาไม่ตอบ พอดีน้าสาวเพิ่งมาถึงตะโกนเรียก ผมจึงลุกไปหา ผมเล่าเรื่องพ่อให้น้าฟัง
"พ่อแกคงเป็นห่วงแก ถึงได้ไปหาแก ทั้งๆ ที่ อืม ว่าแต่ตะกี้แกนั่งคุยกับใคร"
"เพื่อนผม เขาทำงานที่นี่เอง"
"ดูไกลๆ นึกว่าแกพูดคนเดียว น้าคงตาฝาดเอง"

จนกระทั่งคืนนั้นที่แม่มารับศพพ่อกับพี่ชายผมก็ยังไม่เห็นยศ ถ้าไม่บังเอิญเดินผ่านบอร์ดแสดงประวัติของโรงพยาบาลแห่งนั้นซึ่งเขาแสดงชุดพนักงานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ผมแปลกใจมาก สุดท้ายจึงทราบว่าชุดใหม่ใช้มาห้าปีแล้ว ผมถามชื่อยศกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง เขารีบตอบ

"ถ้าคุณไม่ถามผมคงเสียใจที่ลืมพนักงานดีเด่นของแผนกต้อนรับเราไปได้ ยศตายมาหกเจ็ดปีแล้วครับ ถูกรถชนหน้าโรงพยาบาลนี่เอง"

ทันใดนั้นเองที่ผมสังเกตว่านอกจากเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนกันแล้ว ยศก็ใส่เสื้อกลับด้านด้วย คิดแล้วก็บอกตัวเองว่าไม่ต้องไปใส่พระกลับหลังหรอก ผมเจอกับตัวสองครั้งสองคราในเวลาไม่กี่ชั่วโมง จะต้องไปพิสูจน์อะไรอีก



แท็กซี่กับงู
สมัยผมยังขับแท็กซี่อยู่กรุงเทพฯ เจอเรื่องผีๆ หลอนๆ หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะตอนขับใหม่ๆ ใครเรียกไปไหนผมไม่เคยเกี่ยง นี่ล่ะมั้งทำให้ผมเจอบ่อย มีอยู่คืนหนึ่งมีผู้โดยสารเรียกจากอ่อนนุช 44 ให้ไปส่งแถวอ่อนนุช 66 ที่อยู่ไม่ไกล แต่ใครอยู่แถวอ่อนนุช 66 จะทราบดีว่ามีซอยย่อยจำนวนมากที่ไม่เรียงเลขกันอีก แถมคดเคี้ยวมาก ไม่ชำนาญทางก็หลงแน่ๆ ส่งเสร็จผมก็เจอผู้โดยสารสองคนนี้ ที่เล่าก็เพราะผู้โดยสารสองคนนี้เป็นเด็กผู้ชายอายุไม่น่าเกิน 7-8 ขวบ แกโบกจากบริเวณที่รกร้างว่างเปล่า ผมสงสัยเห็นเป็นเด็กก็เลยจอดถาม เด็กบอกว่าไปส่ง แกเอ่ยชื่อหมู่บ้านที่ผมไม่รู้จักหรอก แต่พอถามซ้ำแกบอกว่าอ่อนนุช 36 ผมก็ตกลงเพราะสงสาร เห็นเป็นเด็ก จะขับไปหาให้

พอขึ้นรถเด็กก็บอกให้ผมรีบไป ผมถามว่าจะไปทำอะไร เด็กก็ตอบว่าพ่อกำลังแย่ กำลังถูกทำร้าย ผมก็ตกใจ แล้วหนูมาทำอะไรที่นี่ ผมถาม เด็กบอกว่าถูกจับมาปล่อยไว้ที่นี่ หนูจะกลับไปช่วยพ่อที่นั่น ผมก็รีบสิครับ เรื่องไม่ใช่เล่นๆ แบบนี้ ผมไม่รอช้า รีบขับชนิดไม่สนใจรถคันอื่นเลยก็ว่าได้ มาได้สติต้องยกมือขอโทษรถคันอื่นอยู่หลายครั้ง

แต่ผมก็วนรถไปมาหลายรอบกว่าจะเจอหมู่บ้านดังกล่าว เด็กสองคนในรถก็พูดไม่ถูกว่าอยู่ทางไหนกันแน่ เหมือนจะไม่รู้จักบ้านตัวเองเสียด้วยซ้ำ จนผมเจอหมู่บ้านดังกล่าวโดยบังเอิญจึงรีบเลี้ยวรถเข้าไป

รถเข้าไม่ได้ เพราะยามรักษาความปลอดภัยหน้าหมู่บ้านดันหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ ผมกดแตรอยู่หลายครั้งกว่าจะมา เรียกว่าโมโหหัวเสียไม่น้อย ไอ้เราก็กำลังจะไปช่วยคน ยามขอโทษบอกว่าไปไล่จับงูอยู่ กลัวจะกัดคนเข้า จับได้แล้วก็เลยต้องไปปล่อยที่ไกลๆ แล้วก็แลกบัตรให้ผม

ผมแนะนำว่าทำไมไม่แจ้งพวกกู้ภัย "แล้วนี่ไปปล่อยที่ไหน ปล่อยตรงนั้นเดือดร้อนคนตรงนั้นหรือเปล่า"
"แล้วนั้นที่รกร้างว่างเปล่า ผมฝากเพื่อนมอไซวินไปแล้ว มีเฮียในหมู่บ้านให้ไป 500"

พูดจบผมก็นึกถึงเด็กในรถได้ รีบกลับเข้ารถ แต่ปรากฏว่าเด็กหายไปแล้ว หายไปไหนนะ ค่ารถก็ยังไม่จ่าย
"มีอะไรหรือพี่" ยามถาม เมื่อเห็นผมเหลียวซ้าย แลขวา

"ตะกี้ผมมีเด็กนั่งมาในรถด้วย เรียกผมมาจากอ่อนนุช 66 แยกอะไรสักแยกที่มันยั้วเยี้ยแถวนั้น ผมจำไม่ได้"
 "เอ..." ยามทำท่าคิด "ผมไม่เห็นใครในรถพี่เลยนะ"

ทันใดนั้นเองก็มีงูสองตัวเลื้อยออกมาจากด้านล่างของรถ ผมตกใจผงะ ยามได้สติเร็วกว่าผม วิ่งตรงไปดูพลางกล่าวว่า "เฮ้ นี่มันเหมือนไอ้ตัวที่ผมไปปล่อยนี่นา มันกลับมาได้ไงเนี่ย"

ผมฟังแล้วยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ทว่าในนาทีต่อมาเราก็ไขกระจ่าง เมื่อเห็นงูสองตัวนั้นกลายร่างเป็นเด็กแล้วหายเข้าไปในพงหญ้าข้างทาง

"เด็กที่เรียกรถผมนี่" ผมพูดแล้วรีบตามเข้าไปดู ปรากฏว่าในพงหญ้านั้นมีศาลพระภูมิวางอยู่ เด็กหายไปแล้ว
"งูกลายเป็นเด็ก นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว" ยามพูด
"นั่นสิ" ผมอุทาน
"แล้วที่ผมตี แล้วยัดใส่ถุงปุ๋ยเอาไปทิ้ง ก็ไม่ใช่งูธรรมดา"
"งูเจ้า!" ผมร้อง
"ตอนผมจับยังไม่มีศาลพระภูมิเลยนี่ มาได้ไง"
"ไม่รู้แล้ว ผมไปก่อนดีกว่า ที่นี่มีเรื่องที่ผมไม่ขอยุ่ง"

"เดี๋ยวก่อนสิ ช่วยผมด้วย อย่าเพิ่งไปไหน" ผมได้ยินเสียงยามพูดไล่หลัง แต่ผมไม่อยู่แล้ว บอกตามตรงตอนนั้นกลัวมาก รีบสตาร์ตรถขับออกมาอย่างรวดเร็ว

เช้าวันต่อมาผมเล่าเรื่องนี้ให้เถ้าแก่อู่กับเพื่อนแท็กซี่คนอื่นฟัง เถ้าแก่ฟังแล้วหัวเราะหึๆ พลางพูดว่า
"แกเจอแล้ว หมู่บ้านนั่นไฟไหม้ครั้งใหญ่ไปเมื่อปีที่แล้ว คนตายกันเยอะ ป้อมยามนั่นแหละตัวดี เขาว่ากันว่ายามก็ตายในกองเพลิงด้วย เพราะไฟเริ่มจากตรงนั้นแล้วลามไปสำนักงานขาย โครงการยังขายไม่หมด เลยร้าง ขายไม่ออก"

เพื่อนแท็กซี่ขยายความต่อ "ถูกของเถ้าแก่ เขาเล่ากันว่าเริ่มจากยามไปตีงู คงเป็นงูเจ้า แล้วก็เกิดไฟไหม้ ไหม้ได้ยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นอาเพศอะไรสักอย่าง บางคนก็ว่าต้นเพลิงมาจากสำนักงานขายใกล้ป้อมยามแล้วลามไปทั่ว เพราะยังไม่ค่อยมีคนมาอยู่ แกเจอของดีจริงๆ นี่ยังโชคดีที่ไม่เป็นอะไร"

อีกคนกลับว่า "เขาคงอยากให้แกทำบุญให้"

ผมก็คิดเช่นนั้น ผมมักจะทำสังฆทานและแผ่เมตตาให้ทั้งงูเด็กและยาม รวมทั้งคนที่เสียชีวิตในเพลิงไฟไหม้คืนนั้นอย่างสม่ำเสมอ ขณะเล่าอยู่นี่เชื่อไหม บัตรแลกตอนเข้าหมู่บ้านยังอยู่ติดตัวผมเลย หลายครั้งที่ผมผ่านไปแถวนั้นผมมักมองเข้าไปในหมู่บ้านร้างนั้นอย่างเสียวสันหลัง เพื่อนแท็กซี่เคยแซวว่า

"เอ็งไม่คิดจะไปแลกบัตรคืนหรือ"




หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 15 มกราคม 2559 19:14:47

(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcS0gW_hOjEj7A-7gZXfFyl6mKzLAkJt0mYlbBRBzw4nwNsdVv-X)

ฝันสังหาร
งานจัดบริเวณข้างสนามกีฬาประจำจังหวัด เป็นงานที่มีร้านค้าขายสารพัดและมีมอเตอร์ไซค์ไต่ถัง ชิงช้าสวรรค์ ปาเป้า ยิงปืนก๊อก ตักไข่ปลาเหมือนงานวัดทุกประการ ผมเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยจนถึงตรงด้านหลังสุดของบริเวณงาน หันไปเจอชายคนหนึ่งตั้งโต๊ะเล็กๆ หลบอยู่มุมมืด โต๊ะคลุมด้วยผ้าขาว มีของวางอยู่บนโต๊ะแต่ผมไม่ได้สนใจ กำลังเดินผ่านเขาก็ตะโกนเรียก "หนุ่ม เข้ามาก่อน"

ผมหยุดพลางหันมอง เขารีบพูด "คุณกำลังมีเคราะห์ ผมจะช่วยคุณ"

ตอนนั้นผมก็แค่คิดว่ามุขเก่าๆ ของไอ้พวกหลอกกินเงินคนอีกแล้ว ผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องดวง ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์เลยแม้แต่น้อย จึงหัวเราะฮึๆ ตอบ พ่อค้าคนนั้นลุกเดินมาหาผมเอง แล้วเอ่ยว่า "คุณจะต้องฝันซ้ำๆ เรื่องน่ากลัวอีกหลายวัน จากนั้นคุณจะเจอเคราะห์กรรมอย่างรุนแรงในชีวิต แต่มีวิธีแก้ได้" เขาหยุดพูด คงหวังให้ถาม แต่ผมไม่สนใจ เขาจึงพูดต่อ "คุณจะลำบากจริง ผมไม่ได้หลอกคุณ วิธีแก้ไขจะบอกให้เอาบุญ คุณต้องทำสังฆทานและทำบุญตักบาตรให้เขาซึ่งก็คือเจ้ากรรมนายเวรของคุณ จำเอาไว้แล้วจะแคล้วคลาด ถ้าหนักก็จะเบาลง"

ผมหันไปส่ายหน้า ใส่เขา "เชื่อก็บ้าแล้ว คุณแค่มองผมก็เห็นแล้วหรือ คุณนั่นแหละที่บาป อยู่ดีๆ พูดเรื่องไม่ดีให้คนอื่นฟัง แย่มากเลยรู้ไหม วิธีหาเงินแบบนี้"

"ตามใจ ผมไม่ได้คิดหาเงินจากคุณแม้แต่บาทเดียว ไม่เชื่อก็ตามใจ แล้วแต่บุญกรรมคุณเถอะ" พูดจบเขาก็ลุกเก็บโต๊ะเก็บผ้าปูลงกระเป๋าแล้วเดินหายไปในฝูงคน

ผมกลับบ้านอย่างไม่ใส่ใจ เข้านอนตามปกติ แต่ตลอดคืนผมเฝ้าแต่ฝันซ้ำๆ ว่าเดินก้าวขึ้นเก้าอี้แล้วผูกคอตาย ผมฝันอย่างนี้จนตื่นขึ้นมาแล้วเหนื่อยมาก ซ้ำยังรู้สึกเจ็บรอบคอเหมือนแขวนคอมาแล้วจริงๆ

คืนต่อมาผม ฝันว่าเดินบนบาทวิถีแล้วจู่ๆ รถยนต์ก็พุ่งเข้ามาชนตัวผมกระเด็นไปไกล ในฝันผมเจ็บไปทั่วทั้งร่างกาย ลุกเดินมาได้แต่ก็เจ็บไปทั้งตัว ผมฝันซ้ำๆ อย่างนี้ตลอดทั้งคืน ตื่นมาเจ็บตามตัวมาก กล้ามเนื้อปวดระบมเหมือนถูกของแข็งกระหน่ำตี ผมโทร.ลางานกับหัวหน้า แล้วลงไปหาข้าวกินก่อนจะกินยาคลายกล้ามเนื้อแล้วหลับไป

ทว่าในความฝันผมยังฝันว่ารถพุ่งมาชนอีก ทั้งๆ ที่เห็นรถ แต่ก็หลบไม่พ้น เป็นความเจ็บปวดที่เหมือนจริงมาก ดีหน่อยที่ฝันซ้ำๆ ไม่กี่ครั้ง แล้วผมก็หลับไม่รู้เรื่องเหมือนได้พัก ตื่นเอาตอนเย็น ผมกระหายแต่น้ำ เที่ยวเดินเปิดตู้เย็นกินน้ำไปหลายแก้ว

ทว่าคืนนั้นผมก็ไม่ วายฝันว่ากระโดดลงจากยอดตึกศีรษะกระแทกพื้นเจ็บปวดแสนสาหัส ผมปวดแทบทั้งตัว ราวกับกระดูกกำลังบดขยี้เป็นผุยผง เหมือนกล้ามเนื้อถูกตีด้วยเหล็กอยู่ตลอด ทุกครั้งที่ก้าวขึ้นบันไดไปตามทางหนีไฟถึงบนชั้นสูงสุด มองลงมาเห็นมนุษย์เห็นรถยนต์เล็กเหมือนมองมด แล้วผมก็ต้องกระโดดลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะไม่ทำก็ไม่ได้ เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นทั้งผลักทั้งบังคับให้ผมทำ ในความฝันช่างทรมานเหลือเกิน ผมตื่นขึ้นมาบนเตียง กี่โมงกี่ยามไม่รู้ รู้แต่ว่าลุกแทบไม่ไหว ฉับพลันทันใดนึกถึงคำพูดของชายลึกลับในมุมมืด จึงพยายามลุกขึ้นให้ได้เพื่อไปวัด

ใกล้วัดมีร้านขายอาหาร ผมเลือกซื้อข้าวสวยและกับข้าวหลายอย่างล้วนแล้วแต่สะอาด น่ากินและมีคุณภาพ ผมเลือกซื้อส้มและฝรั่งอีกอย่างละหนึ่งกิโลกรัมหิ้วข้ามถนนเดินเข้าวัด ตรงไปบริเวณศาลาถวายภัตตาหารเพล

หลวงพ่อรูปหนึ่งนั่งเหมือนรออยู่ ผมแสดงเจตนาต้องการถวายอาหารทั้งหมดที่ถือมา ท่านยิ้มแล้วให้ผมกล่าวคำตามถวายภัตตาหาร เมื่อเสร็จคำกล่าวผมกำลังจะกรวดน้ำ ท่านชิงพูดว่า

"โยมไม่ต้องรีบก็ได้ กลับถึงบ้านโยม ต้นไม้ภายในบ้านโยมต้นใหญ่ต้นนั้นขอให้โยมไปกรวดน้ำที่ต้นนั้นและค่อยกล่าว อุทิศถึงเจ้ากรรมนายเวร ทุกอย่างก็จะดีขึ้น"

ผมตกใจ "หลวงพ่อทราบได้อย่างไรครับว่าบ้านผมมีต้นไม้อยู่กลางบ้าน"

ท่านยิ้มอย่างมีเมตตา "โยมอยู่บ้านกึ่งอิฐกึ่งปูนตรงซอย 18 ใช่ไหม บ้านสีครีมหน้าต่างเป็นลายฉลุ"

"ครับ หลวงพ่อ"

"อาตมาบิณฑบาตผ่านทุกเช้า หลายครั้งที่เห็นโยมกำลังจะออกจากบ้านไปทำงาน"

วูบนั้นผมละอายใจที่ไม่เคยสนใจจะใส่บาตรทำบุญเลย หลวงพ่อพูดต่อ

"อย่าคิดมากเลย ก่อนหน้าโยมจะมาเช่าบ้านหลังนั้น เคยมีคนตายในบ้านนั้นหลายคนแล้ว โยมทำบุญกรวดน้ำให้เขาอย่างนี้ดีแล้ว ไปเถอะ รีบกลับไปกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา"

ผมออกจากวัดด้วยในหัวเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่าน ที่บ้านระหว่างการกรวดน้ำที่โคนต้นไม้ซึ่งตรงกับกระจกประตูบ้าน ผมตกใจแทบหงายหลัง แต่ก็พยายามตั้งสติกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลให้ "พวกเขา"

ผมเห็นภาพสะท้อนในกระจกเป็นคนเกินห้าคน บ้างก็จับต้นแขนบ้างก็จับข้อศอกต่อจากผม ขณะผมกรวดน้ำ

จากนั้นผมก็ลดการฝันร้าย เมื่อทำบุญกรวดน้ำและทำสังฆทานอีกสองสามครั้งผมก็ไม่เคยฝันถึงความตายซ้ำซากอีกเลยจนทุกวันนี้



บ้านสบผี
หมู่บ้านของเราเป็นหมู่บ้านเงียบๆ อยู่กันแบบไหนมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายก็ยังชอบที่จะอยู่กันอย่างนั้น คนหนุ่มสาวที่ปีกกล้าขาแข็งเติบโตก็โบยบินออกจากพื้นที่ ตามแสงเสียงของความเจริญในตัวเมือง ทิ้งไว้แต่เด็กๆ คนพิการและคนแก่ บรรยากาศจึงก้ำกึ่งระหว่างเงียบเหงาและเงียบสงบ แล้วแต่ว่าใครจะเลือกคิด

ผมเคยคิดว่าบางทีการที่คนที่นี่มีน้อยอาจจะเกี่ยวกับชื่อหมู่บ้านด้วย หมู่บ้านเราชื่อหมู่บ้านสบผี คนที่ไม่คุ้นเคยอาจจะมองดูแปลก บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน บางคนคิดไปทางสยองขวัญน่ากลัว อันที่จริงแล้วชื่อนี้เป็นชื่อที่มีมาแต่โบราณ เป็นชื่อมงคล เพราะคนในย่านนี้นับถือผีกันมาแต่บรรพชน คนในพื้นที่ของหมู่บ้านนี้สืบทอดเชื้อสายของร่างทรงผีฟ้า ที่จะลงมาประทับร่างเพื่อช่วยเหลือรักษาคนป่วยหรือคนที่ได้รับความเดือดร้อน คำว่าสบผี จึงมีความหมายในทางที่ดี ว่าเป็นสถานที่พิเศษที่ผีฟ้าโปรดปรานจะลงมาพบผู้เดือดร้อน

แต่ความเชื่อก็เหมือนเรื่องอื่นๆ ที่เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนก็เริ่มหันไปสนใจสิ่งที่ใหม่กว่าและลืมเลือนมันไป สำหรับผมแล้วโชคดีอยู่หน่อยตรงที่ผมค่อนข้างชอบบรรยากาศเงียบสงบของที่นี่

แต่แล้วพลบค่ำวันหนึ่งก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อจู่ๆ รอบหมู่บ้านก็มีเสียงดังประหลาดเหมือนมีคนจำนวนมากกำลังตรงเข้ามา เนื่องจากขาผมพิการ ผมจึงต้องถัดตัวไปแอบชะเง้อดูที่ช่องประตูบ้าน แต่แล้วก็ต้องรีบปิดลงอย่างรวดเร็วใส่กลอนประตู แน่นหนาด้วยมือที่สั่นเทา

"เป็นอะไรลูก ใครมา" ยายร้องถามมาจากด้านหลัง ในขณะที่พวกหลานๆ กำลังวิ่งกันออกมา

ผมรีบเอานิ้วแตะที่ปากเป็นสัญญาณให้เด็กๆ เงียบ ใบหน้าซีดเผือดของผมน่าจะบอกได้ดีว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นด้านนอก

หลังจากนั้น ทั้งยาย ผม และหลานๆ ก็พากันแอบดูจากช่องเล็กๆ ของประตูหน้าต่าง และได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนในชีวิต

แม้จะเป็นยามพลบค่ำ แต่เราก็มองเห็นพวกมันได้ชัดเจน ร่างของศพเดินได้ในสภาพเสื้อผ้าเนื้อตัวที่กะรุ่งกะริ่ง ใบหน้ามีแต่รอยแผลเน่าเปื่อย บางตัวมีตาหลุดห้อยออกมานอกเบ้า บางตัวมีกระดูกขาวโพลนโผล่ทะลุผิวเนื้อออกมาเดินโขยกเขยกใกล้หมู่บ้านเข้ามา ประมาณด้วยสายตาคร่าวๆ น่าจะราวหลายสิบตัว

พวกเด็กร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัว ขยับเข้ามากอดกันกลม ผมดึงตัวยายเข้ามาใกล้ๆ ดูเหมือนผีพวกนี้พร้อมใจกันแหกป่าช้าออกมาที่นี่ ด้วยเหตุผลใดก็ไม่อาจทราบได้ ยายของผมพยายามบอกให้ทุกคนเงียบและนิ่งเอาไว้ ก่อนที่ท่านจะเริ่มพาดผ้าสไบขาว นั่งสวดคาถาเรียกผีฟ้าประทับทรง ผมมองยายหวั่นๆ พวกอสุรกายข้างนอกมีมากเหลือเกิน ผีฟ้าจะปกป้องพวกเราไหวไหมนะ

ในขณะที่บรรดาร่างน่าสยดสยองเคลื่อนใกล้เราเข้ามาเต็มที ยายของผมในวัยเกือบ 90 ผุดลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง หันมาพูดกับพวกเราด้วยน้ำเสียงของหญิงสาวว่า "พวกมึงซ่อนอยู่ที่นี่ อย่าออกไปไหน เดี๋ยวกูจะไล่พวกมันไปเอง"

แล้วยายก็ปีนขึ้นไปบนระเบียงบ้านชั้นบนอย่างรวดเร็วด้วยพละกำลังที่เหลือเชื่อ เพื่อหาทางขับไล่อสุรกายประหลาดที่ดาหน้ากันเข้ามาไม่หยุดหย่อน

"ซอมบี้แน่ๆ ค่ะ" นวล หลานสาวคนเล็กอายุ 7 ขวบ พูดขึ้น "หนูเคยได้ยินเพื่อนที่โรงเรียนเล่าเป็นแบบนี้เลย มันเป็นผีฝรั่ง"

"ผีฝรั่งแล้วทำไมมาโผล่แถวนี้ได้" อ๊อด หลานคนรองร้องไห้ถาม "แล้วผีฟ้าจะไล่มันไปได้ไหมครับน้า"

ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้ แต่สักพักก็เริ่มเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เมื่อเหล่าอสุรกายเริ่มหยุดเดิน และมองไปมองมารอบตัวเหมือนงงๆ ได้ยินเสียงที่คงจะเป็นหัวหน้าของพวกมันตะโกน "หยุดทำไม เดินต่อ"

พวกมันก็เลยพยายามเดินโขยกเขยกเข้ามาอีก คราวนี้หลานสาวผมร้องกรี๊ดแล้ววิ่งทะลุหลังบ้านหายไป เลยไม่ทันได้เห็นยายในร่างทรงผีฟ้าเริ่มร้องเพลงผีฟ้าและร่ายรำเอนตัวไปมา อย่างงดงามอย่างที่เราไม่ได้เห็นมานาน

พวกอสุรกายคงไม่อาจต้านพลังเทพของผีฟ้าได้ จึงพากันวิ่งหนีหายกระเจิดกระเจิงไปในที่สุด

ตั้งแต่นั้นมา หมู่บ้านเราก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง สงบสุขแบบเหงาๆ แบบที่มันเคยเป็นมาตลอดหลายปีพวกเราได้แต่เฝ้ารอคนหนุ่มสาวแข็งแรงที่จากไป จะกลับมาเยี่ยมบ้างแต่พวกเขาก็ไม่เคยมา

พาดหัวข่าววันรุ่งขึ้น
กองถ่าย "ซอมบี้ล้านนา" วิ่งป่าราบเจอของจริงที่หมู่บ้านสบผี

เมื่อวานในเวลาราว 18.00 น. กองถ่ายซอมบี้ล้านนาถึงกับกองแตก หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นหญิงชราปรากฏกายขึ้นฟ้อนรำและร้องเพลงผีฟ้าเสียงดังกังวานไปทั่วบริเวณ นอกจากนั้นหลายคนยังเห็นผีเด็ก ผู้หญิงร่างกายดำเกรียมหวีดร้องโหยหวนวิ่งผ่านไป มิหนำซ้ำในภาพถ่ายสถานที่ถ่ายทำยังถ่ายติดร่างดำเมี่ยมหลายร่างแอบซ่อนอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ของซากบ้านไหม้ไฟที่ยังเหลือเหมือนกำลังแอบดูอีกด้วย ทั้งนี้ หมู่บ้านสบผีเป็นหมู่บ้านร้างเนื่องจากถูกไฟไหม้ใหญ่ซึ่งมีผู้เสียชีวิตในกองเพลิงมากมายเมื่อหลายปีก่อน


123
ตอนนั้นหนูอายุ 14 ปี ฮอร์โมนวัยรุ่นคงกำลังพุ่งพล่านทำงานหนัก หนูอึดอัดมากเรื่องแม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของหนู ไม่เหมือนแม่เพื่อนคนอื่นเลย จนวันหนึ่งที่หนูทะเลาะกับแม่อย่างหนัก หนูก็เลยหนีออกจากบ้าน อยากไปให้ไกลๆ หนูมีเพื่อนทางเอ็ม (โปรแกรมแช็ตเอ็มเอสเอ็นยอดนิยมในสมัยนั้น) หนูขอไปพักที่บ้านเขาสองสามวันก่อนค่อยเข้ากรุงเทพฯ หางานทำ จำได้แม่นยำว่าหนูมีเงินเก็บราวห้าพันบาท

แต่เมื่อไปถึงจังหวัดที่ว่า หนูหาบ้านเพื่อนคนนั้นเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ให้ทั้งรถสองแถวและมอเตอร์ไซค์รับจ้างพาไปจนหมดเงินไปเกือบห้าร้อยหนูก็ยังไม่เจอบ้านเพื่อน เข้าร้านอินเตอร์เน็ตเปิดโปรแกรมเอ็มก็ไม่เจอเพื่อนออน เวลานั้นก็ดึกแล้ว หนูตัดสินใจเดินหาโรงแรมพัก หนูเจอแต่โรงแรมม่านรูด กลัวก็กลัวแต่มันถูกกว่าโรงแรมแบบอื่น เอาก็เอา

แต่เจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์กลับบอกว่าเต็ม หนูพยายามเซ้าซี้อยู่หลายครั้ง

"งั้น ห้องมีผีนะ กลัวไหม ไม่มีใครกล้าพัก ห้องก็ปิดตายมาหลายเดือนแล้ว ป้าให้หนูพักฟรีด้วย ถ้าไหวนะ"

ได้ยินคำว่าฟรีหนูไม่ปฏิเสธเลย ถึงแม้จะมีผี หนูไม่เคยเชื่อเรื่องผีเลย ที่ไหนว่าผีดุ หนูชอบไปพิสูจน์บ่อยๆ "โอเคค่ะ ฟรีแน่นะ"

ป้ายิ้ม "แต่ขอเวลาเดี๋ยว ห้องปิดมานาน กุญแจไปไหนก็ไม่รู้"

ป้าหายไปนานมาก แกให้หนูรอที่เคาน์เตอร์ที่ไม่มีคนอยู่เลย ดึกก็ดึก วังเวงก็วังเวง หนูเกือบหลับคาเคาน์เตอร์ตอนที่ป้าแกมาสะกิดเรียก

"เจออะไรป้าไม่รู้ด้วยนะ เอ้า นี่กุญแจ"

หนูชักสนุก ตอนนั้นไม่คิดกลัวเลย หนูรับกุญแจมาเป็นหมายเลข 123 ป้าชี้ไปทางด้านใน หนูก็เดินตามดูเลขห้องไปทีละห้อง ปรากฏว่าเป็นห้องสุดท้ายสุดทางเดินแรกพอดี

เมื่อไขเข้าไป จมูกปะทะกับกลิ่นอับกลิ่นฝุ่นของห้องที่ไม่ได้มีคนอยู่มานาน แต่ไม่เป็นไร แค่นอนคืนเดียวเอง ตอนเช้าก็ออกไปตระเวนหาบ้านเพื่อนล่ะ หนูกดสวิตช์เปิดโทรทัศน์แล้วเข้าห้องน้ำอาบน้ำ เสียงจากทีวีเป็นเสียงอ่านข่าวของนักข่าวผู้ชาย แต่สักพักมีเสียงแทรกเป็นผู้หญิงสองคนคุยกันกระซิบกระซาบ ตอนแรกหนูก็เฉยๆ แต่เสียงเหมือนดังขึ้นและวนอยู่ในห้อง เมื่อหนูอาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่มีอะไร ภาพในทีวียังคงเป็นภาพนักข่าวชายอ่านข่าวอยู่ หนูขยี้ผมเช็ดให้แห้งอยู่พักหนึ่ง แล้วล้มตัวลงครึ่งนั่งครึ่งนอนดูทีวี

หนูได้ยินเสียงของหล่น หันไปดูเห็นกระเป๋าหนูหล่นลงบนพื้น ทั้งๆ ที่วางไว้โต๊ะเล็กๆ ที่เขาคงให้วางของ ข้างในก็มีเสื้อผ้ามีข้าวของส่วนตัวหนักเอาการ หนูเดินไปเก็บวางที่เดิมแล้วกลับมาดูทีวีต่อ สักพักกระเป๋าก็ตกลงพื้นอีก เอาละวะ ชักจะยังไงๆ ของหนักๆ ไม่น่าจะหล่นลงเองได้ หนูชักยังไงๆ อยู่ ตัดสินใจล้มลงนอนคลุมโปง ไม่ลืมเปิดทีวีค้างไว้

แต่หนูนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนกระซิบกระซาบกันตลอด เดี๋ยวใกล้เดี๋ยวไกลรอบตัวหนู เป็นใครก็ต้องกลัวแล้วล่ะ ทำปากดีใจกล้าเอาเข้าจริง หนูบอกตามตรงตอนนั้นกลัวมาก ปากก็สวดมนต์ พระที่ห้อยคอหนูเอามาอมในปาก พยายามข่มตาหลับ

ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น หนูได้ยินเสียง ผู้หญิงพูดว่า "ดูสิ เล่นอมพระเลย อิอิ"
อีกเสียงก็ตอบ "เราจะเล่นอะไรกับเค้า ดีน้า อิอิ"

หนูนอนตัวสั่นไม่กล้าลืมตา ได้แต่ทำตัวนิ่งๆ รู้สึกตัวเองเหงื่อแตกพลั่กทั้งตัว ตลอดเวลาหนูได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งเล่นไล่จับกันส่งเสียงตึงตังอยู่รอบห้อง หนูแทบบ้า นอนไม่ได้เลย จะลุกหนีก็กลัว ดึกขนาดนี้หนูจะไปไหน ข้างนอกก็คงไม่มีคน จะกี่โมงกี่ยามกันแล้วก็ไม่รู้ ตอนที่ได้ยินเสียงกระซิบว่า นอนด้วยนะจ๊ะ อิอิ หนูแทบบ้า นอนตัวสั่นหลับตาปี๋

หลับไปไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตื่นอีกทีก็ได้ยินเสียงเหมือนทุบประตูดังปังๆ ดังมากจนหนูต้องรีบลุก ทันทีที่เปิดก็เห็นป้ากับผู้ชายอีกคนยืนอยู่

"เป็นอะไรเปล่านี่" ป้าถาม

ผู้ชายอีกคนหนุ่มกว่าป้ากวาดตามองหนูจากหัวจรดเท้า ก่อนจะหันไปทางป้า "ป้าเล่นแรงนะ เกิดอีหนูนี่เป็นอะไรไป จะทำไง"

"ก็มันบอกว่าไม่กลัวๆ แล้วก็ไม่มีที่พักด้วย"

หนูยืนงุนงงอยู่ ป้าแกพูด "เร็วๆ หน่อย ตำรวจรออยู่"

หนูหันขวับ ป้าพูดต่อ "ป้าก็ไม่รู้อะไร เห็นบอกหนูหนีออกจากบ้านมา"

ทันใดหนูก็คิดถึงแม่ แทบจะร้องไห้โฮ หนูจะบ้าอยู่แล้ว รีบไปหยิบกระเป๋าแล้วเผ่นออกจากห้องให้เร็วที่สุด

ก่อนประตูจะปิดลง หนูได้ยินเสียงผู้หญิงกระซิบว่า "อย่าลืมนะ หนึ่งสองสาม อิอิ"

ตำรวจ พาหนูส่งถึงบ้าน หนูร้องไห้ขอโทษแม่ แล้วเล่าเรื่องที่เจอทั้งคืนให้แม่ฟัง ตอนแรกหนูก็คิดว่าผีอาจจะย้ำว่าให้หนูอย่าลืมห้อง 123 นี่ แต่แม่บอกว่า "เขาให้โชคเราตะหาก"

งวดนั้นแม่ถูกลอตเตอรี่จริงๆ ไม่ต้องกลับ ไม่ต้องโต๊ด



น้ำจิ้มรสเด็ด
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสี่สิบห้าปี ผมไม่เคยกินข้าวมันไก่ร้านไหนอร่อยเท่าร้านนี้มาก่อน โดยเฉพาะกับน้ำจิ้มที่เป็นตัวชูรสให้ข้าวมันไก่อร่อยยิ่งขึ้น หลายต่อหลายร้านแล้วที่ตัวข้าวและไก่ที่อร่อยแต่มาตกม้าตายเพราะน้ำจิ้ม แต่ร้านนี้น้ำจิ้มยิ่งทำให้ทั้งข้าวและไก่ที่อร่อยได้อร่อยยิ่งขึ้น

เจ๊คิ้มคือเจ้าของร้านครับ ขายอยู่แถว อ่ะ อ้า ไม่บอกหรอก เดี๋ยวคุณก็รู้หมดว่าคือร้านไหนในกรุงเทพฯ!

ผมกับเพื่อนอีกสองคนคุยกันว่าเราจะต้องรู้สูตรการทำข้าวมันไก่แกให้ได้ โดยเฉพาะสูตรน้ำจิ้มที่พวกเราซึ่งเจนจัดเรื่องการทำอาหาร โอ๊คเพื่อนผมบ้านมันขายข้าวมันไก่มาตั้งแต่รุ่นอากงสมัยพระนครมีร้านข้าวมันไก่ไม่กี่ร้าน ร้านของครอบครัวมันนี่ต้นตำรับข้าวมันไก่ไหหลำตัวจริงเลย ไม่ต้องพูดถึงนพกับผม นพมีคอลัมน์เขียนถึงอาหารตามหน้านิตยสารมายี่สิบปีแล้ว ไม่มีร้านไหนในกรุงเทพฯ ที่มีคนบอกว่าอร่อยแต่เราไม่เคยกิน ยกเว้นร้านใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมา (ซึ่งหากเรารู้เราก็บุกไป) ส่วนผมไม่อยากคุย แค่กินสองสามคำก็บอกได้เลยว่าปรุงด้วยวัตถุดิบอะไร

แต่กับข้าวมันไก่ของเจ๊คิ้ม บอกตามตรงอับจนปัญญามาก ก่อนหน้านี้ร้านแกก็อร่อยแบบพอกินได้ ไม่ถึงกับเลอเลิศ แต่ช่วงหลังมีคนรีวิวแนะนำร้านแกบ่อยมากและเพื่อนผมขาชิมก็พูดถึงในเฟซบุ๊กถี่จนผมกับนพและโอ๊คต้องกลับไป "กิน" อีกครั้ง แต่ให้ตายเถอะ ทั้งกินที่ร้านและซื้อมาที่บ้าน รวมถึงชวนพ่อของโอ๊คที่เป็นเซียนข้าวมันไก่ตัวจริงมาพิสูจน์แกะสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่ของร้านเจ๊คิ้ม เราก็ยังไม่ทราบจริงๆ ว่าแกใส่อะไรลงไปทำให้น้ำจิ้มรสเลิศได้ขนาดนี้

ปกติสูตรน้ำจิ้มไม่มีส่วนผสมอะไรมากไปกว่าเต้าเจี้ยว ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ ขิงสดหั่นละเอียด กระเทียมและพริกขี้หนูหั่นละเอียดคลุกเคล้าให้เข้ากัน มากน้อยแล้วแต่สูตร แต่กับร้านเจ๊คิ้ม เราหาไม่เจอเลยว่าขาดอะไรไปและที่ขาดนี่แหละเราคิดว่าคือเคล็ดลับสำคัญ

วิธีเดียวที่สรุปตรงกันก็คือ ต้องได้เห็นการทำน้ำจิ้มต่อหน้าต่อตา แรกๆ ก็คิดกันง่ายๆ คือไปตอนเปิดร้าน เผื่อจะได้เห็นทำน้ำจิ้ม ปรากฏว่าไม่เคยเห็นเลย ครั้นถามถึงสูตรน้ำจิ้มแกก็มักจะบอกส่วนผสมที่รู้ๆ กันนั่นแหละ แต่พวกเราว่าไม่ใช่ มันต้องมีมากกว่านี้

ผมเสนอให้มีคนไปสมัครเป็นลูกจ้างแก แต่พวกเราคงไม่เหมาะ ที่สุดได้ลูกจ้างชาวพม่าลูกน้องผมชื่อ โซ ทัน วิน ไปสมัครเป็นสายลับหาสูตรน้ำจิ้มมาให้ได้

อาทิตย์แรกไอ้วิน รายงานแต่เรื่องพื้นๆ ในการทำข้าวมันไก่ที่เราก็รู้กันอยู่แล้วอย่าง อย่าต้มไก่ในน้ำเดือดพล่าน (เพราะทำให้เนื้อแข็งและหนังไก่แตก) การต้มไก่ใช้เวลาต้ม 45 นาที (เรารู้มากกว่านี้อีก เวลาขนาดนี้เหมาะแก่ไก่ขนาด 3.8-4.2 กิโลกรัม หากไก่เล็กกว่านี้ ควรใช้เวลาน้อยกว่านี้) หรือเคล็ดลับอย่างไก่สุกแล้วให้จุ่มน้ำเย็นทันที เราก็รู้อยู่แล้ว หรือการเจียวกระเทียมในน้ำมันไก่แทนการผัดข้าว ไอ้วินก็รายงานมาอย่างตื่นเต้นมาก เรื่องพวกนี้พวกเรารู้มานานแล้ว ร้านพ่อโอ๊คนำน้ำมันที่ได้จากการเจียวมันไก่มาเจียวกับกระเทียมจนสีเหลืองทองแล้วใส่ลงหุงข้าวกับน้ำซุปไก่ร้อนๆ พวกเราไม่ได้เอาข้าวไปผัดก่อนมาหุง หรือทำข้าวมันไก่แบบร้านกากๆ ทั่วไปที่ชอบเทน้ำมันพืชไปคลุกในหม้อหุง หรืออย่างล่าสุดที่วินแจ้งมาก็คือการเลือกข้าวที่หุงต้องเป็นข้าวหอมมะลิกลางเก่ากลางใหม่เท่านั้น ใหม่ไปก็จะแฉะเพราะมียางมาก เก่าไปก็ร่วน ไม่เกาะกันเพราะมียางน้อย อันนี้เรารู้กันตั้งแต่หัดทำแล้วเพราะมันคือกฎพื้นฐานของข้าวมันไก่

ไอ้วินไปนานสองเดือนก็ยังไม่เคยเห็นเจ๊คิ้มหรือคนในร้านทำน้ำจิ้มให้เห็นเลยสักครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่ง!

โซ ทัน วิน เล่าว่าเจ๊คิ้มใช้ชั้นบนสุดพักกับแม่ที่เป็นอัมพาต (แกไม่มีลูกไม่มีผัว) ชั้นล่างสุดเป็นร้าน ชั้นสองสามใช้เก็บของ เฮียปอให้วินกับลูกจ้างอีกสองคนนอนห้องติดห้องครัว ตอนนั้นเที่ยงคืน กำลังจะเข้านอนแล้ว แอบเห็นเจ๊คิ้มเข้าครัวหิ้วหม้อใบโตขึ้นชั้นบน ก็แปลกใจแกลงมาหิ้วหม้อขึ้นไปทำไม แถมในมือมีถุงพริกถุงขิงขึ้นไปด้วย

ตรงชั้นบนสุดเมื่อย่องตามไป วินเห็นเจ๊คิ้มคร่อมหม้อใบนั้น มือก็พนม ปากก็พึมพำแล้วร้องออกท่าทางเหมือนร่ายรำทำพิธีอะไรสักอย่าง สักพักก็กรีดข้อมือปล่อยให้เลือดสดๆ หยดลงในหม้อ แล้วก็เทพริกเทขิงลงผสมกับเลือด หันไปหยิบขวดซอสขวดส่วนผสมทั้งหลายที่วางอยู่บริเวณนั้นเขย่าลงไปทำน้ำจิ้มจนเสร็จ ปิดฝาหม้อยกลงมาไว้ในครัวเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น

ทุกวันนี้เราไม่เคยไปกินข้าวมันไก่ของเจ๊คิ้มอีกเลย โซ ทัน วินก็ลากลับพม่าเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะไปขายข้าวมันไก่หรือเปล่านี่ ผมไม่รู้



อาถรรพ์ศาล
ผมทำงานโรงแรมนี้ได้สองเดือนน้อยกว่าอายุโรงแรมเพียงเดือนเดียว เป็นโรงแรมใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จและเปิดบริการ ผมเพิ่งผ่านช่วงทดลองงานได้บรรจุในตำแหน่งพนักงานบริการทั่วไป ดูเหมือนจะคล้ายๆ ตำแหน่งที่เรียกกันเล่นๆ ว่ารับใช้ทั่วไป ซึ่งผมก็ไม่ขัดเขินในการทำงาน หัวหน้าแผนกดูจะมองผมเหมือนเด็กๆ ด้วยความที่ผมทำงานด้วยวุฒิ ปวช.และอายุเพิ่ง 18-19 ปี แกจะใช้ผมยันเลย แม้แต่ลากรถเข็นถังขยะไปทิ้ง แต่ผมก็ไม่เกี่ยง ผมมีพ่อเป็นอัมพาตและน้องสาวอายุไม่ถึงสิบขวบต้องดูแล แม่ผมเพิ่งเสียไปเมื่อปีที่แล้ว รายได้จึงมาจากผมทางเดียว

โรงแรมนี้แปลกที่ไม่มีศาลพระภูมิ จะว่าไปพื้นที่ที่สร้างโรงแรมนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไรมาก่อน ก็ไม่มีศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่ ผมเองเพิ่งมาอยู่เมื่อห้าปีก่อนตอนที่พ่อยังทำงานได้และแข็งแรงดี ที่ตั้งโรงแรมตรงนี้ก็คือที่ตั้งโรงงานที่พ่อผมทำงานอยู่ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าแต่ก่อนนี้พื้นที่แถบนี้เป็นป่าทึบ ต่อมามีการบุกป่าฝ่าดงสร้างบ้านสร้างเมืองกันขึ้น นอกจากสร้างบ้านเรือนอยู่อาศัยในยุค พ.ศ.2500 ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศสร้างนโยบาย "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ" ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็เกิดโรงงานขึ้น ณ บริเวณนี้ เมื่อมีโรงงานมาตั้ง ร้านค้าและการค้าขายก็ชักนำผู้คนเข้ามามากขึ้น ความเจริญทางวัตถุก็หลั่งไหล โรงงานเจริญรุ่งเรือง เศรษฐกิจพื้นที่นี้ก็ฟู่ฟ่า แต่จู่ๆ วันหนึ่งโรงงานก็ไฟไหม้ มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก โรงงานร้างไปหลายปี เศรษฐกิจพื้นที่นี้ก็ทรุดโทรมลงตาม จนกระทั่งต่อมามีโรงงานใหม่มาแทนที่โรงงานเดิม

แต่โรงงานใหม่นี้มีข่าวการเสียชีวิตไม่เว้นแต่ละวัน ตั้งแต่คนงานผูกคอตายใต้ต้นไม้ใกล้โรงงาน หรืออุบัติเหตุรถชนคนงานตายหน้าโรงงานอีกหลายครั้ง ว่ากันว่าโรงงานใหม่นี้ไม่มีศาลพระภูมิหรือศาลเจ้าที่ เจ้าของเป็นคนหัวนอกไม่เชื่อเรื่องพวกนี้จึงไม่มีการตั้งศาล ต่อมาโรงงานก็ต้องขาดทุนปิดกิจการไปในที่สุด

เป็นที่รกร้างว่างเปล่าอยู่นานจนเมื่อห้าปีก่อนมีการสร้างโรงงานผลิตกล่องโฟมขึ้น พ่อผมก็เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยย่านนี้

"เจ้าของเขาไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ไม่ตั้งศาลพระภูมิ ศาลตายายก็ไม่มี มีคนเตือนเขาก็ไม่เชื่อ กลับหาว่าเหลวไหลไร้สาระ" พ่อเล่า "พ่อทำงานสามปีมีแต่ข่าวคนถูกรถชน ผู้หญิงถูกฆ่าข่มขืน คนถูกฆ่าเอาทิ้งไว้ข้างโรงงาน คนงานผูกคอตาย สารพัดไม่เว้นแต่ละวัน"

พ่อผมนี่แหละวันที่โรงงานไฟไหม้พ่อก็ถูกเครื่องจักรล้มมาทับจนเป็นอัมพาต โรงงานปิดไปพร้อมชีวิตพ่อที่เกือบสูญไปด้วย พ่อพยายามกินยาตายไปหนหนึ่ง เพราะทนไม่ได้กับความพิการ ดูเหมือนความเลวร้ายจะมาพร้อมกับโรงงาน หลายคนเชื่อว่าเพราะไม่มีการตั้งศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่

เมื่อมีการสร้างโรงแรมขึ้นในที่โรงงานเดิมและเจ้าของไม่ยอมสร้างศาล ผู้จัดการและพนักงานบางส่วนจึงจัดการสร้างกันเอง โดยคิดตกลงกันได้ก็ทำพิธีตั้งในวันรุ่งขึ้นทันที เพราะเกรงเจ้าของโรงแรมจะไม่อนุญาต ผมมาทำงานทันเหตุการณ์นี้พอดี

ทว่าเมื่อเจ้าของโรงแรมทราบถึงกับเดือดดาลไล่ผู้จัดการและบรรดาพนักงานที่มีส่วนร่วมออกทันทีและสั่งให้ทุบรื้อศาลทิ้ง ผมเห็นเจ้าของโรงแรมโมโหมาก

ผู้จัดการคนปัจจุบันเป็นคนหนุ่มท่าทางจะสมัยใหม่เหมือนเจ้าของ แกเองเข้ามาทำงานวันแรกก็พาหนุ่มฉกรรจ์สามคนมาด้วย แล้วชี้สั่งให้ทุบศาล แต่มีคนกล้าทำแค่คนเดียว อีกสองคนปฏิเสธพร้อมกับยกมือไหว้และรีบกลับไป ผมเองยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ได้เห็นผู้จัดการควักกระเป๋ายื่นเงินห้าพันบาทให้หนุ่มที่เหลืออีกคน "จัดการทุบและขนไปทิ้งให้หมด นี่ผมให้คุณคนเดียว" เขาพูดสั้นๆ แค่นั้นแล้วก็กลับไปห้องทำงานของเขา ปล่อยผมให้อยู่กับคนที่เหลือ

ผมเองได้แต่ยืนคุมงานจนเสร็จ พี่คนนั้นทำไปก็ยกมือไหว้ไป ปากขมุบขมิบพึมพำตลอด สุดท้ายห้าโมงเย็นบริเวณที่เคยตั้งศาลหน้าโรงแรมก็เหี้ยนเตียนราบเรียบ

ผมทราบว่าพี่คนนั้นกลับบ้านไม่ถึงเจ็ดวันก็ถูกงูกัดตาย ผู้จัดการคนใหม่เองเกิดเป็นโรคประหลาด สะอึกทั้งวันไม่หยุด เป็นอย่างนี้ตลอดเจ็ดวัน ไม่เป็นอันกินข้าวกินปลา วันท้ายๆ แกบอกว่าสะอึกทีเจ็บไปทั้งหน้าอก น้ำตาแทบเล็ด

ช่วงเวลาเดียวกันพนักงานหญิงที่ตั้งท้อง ก็แท้งพร้อมกันสองคนในวันเดียวกันในที่ทำงาน พนักงานรักษาความปลอดภัยเองแท้ๆ กลับถูกรถชนหน้าโรงแรม หรือเรื่องคนมาส่งของบอกว่าเห็นคนใส่ชุดโรงงานเก่าเดินวนเวียนอยู่หน้าโรงแรม หรือเรื่องแขกที่มาพักได้ยินเสียงเคาะประตูเปิดมาเจอคนใส่ชุดขาวไล่ให้ไปที่อื่น

สุดท้ายก่อนที่เรื่องจะลุกลามไปกันใหญ่ มีผู้เฒ่าคนหนึ่งแนะนำให้นำพระพุทธรูปมาวางไว้กลางโรงแรม "หากไม่เชื่อเรื่องศาลพระภูมิผมว่าคุณคงเชื่อในเรื่องพระรัตนตรัยนะ"

เจ้าของโรงแรมทำบุญเลี้ยงพระในวันที่มีการนำพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาตั้ง ทุกวันนี้ไม่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกเลย




หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2559 19:30:22
.

(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQGx0TfeRsB9pCLGouKewu5s6Srt-3nvvmNgtrjqVMpGLWHi5OCmA)

ผีตัวแสบ
ผมเจอผีเป็นครั้งแรกในชีวิตก็ตอนอายุครบเบญจเพสพอดี บอกใครๆ จะเชื่อล่ะ ว่าผีตัวนั้นหลอกผมสารพัดเรื่อง

เป็นคืนเดือนมืดที่มืดจริงๆ เพราะไฟฟ้าละแวกบ้านดับหมด ปกติทุกครั้งที่ไฟดับอย่างมากสุดไม่เกิน 1 ชั่วโมงไฟก็จะมา แต่คืนนั้นผ่านไปร่วมสามชั่วโมงไฟก็ยังไม่มา ไฟไม่มี พัดลมก็ไม่ติด แอร์ก็ไม่ทำงาน ผมจึงออกมานั่งรับลมอยู่หน้าบ้าน ภรรยาผมพาลูกไปบ้านตายายค้างคืนหนึ่งพอดี ผมจึงอยู่คนเดียว มือถือก็ดันมาแบตเตอรี่หมดเอาตอนนี้ ไม่มีอะไรให้เล่นให้ทำเอาเลย

หน้าบ้านผมมีม้านั่งยาวที่ผมเก็บมาจากบริเวณที่ทิ้งขยะตอนหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่ทิ้งขยะบริเวณนั้นอยู่ใกล้เทศบาล หลังน้ำท่วมเต็มไปด้วยกองขยะขนาดมหึมามองดูเหมือนภูเขาอยู่หลายลูก ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เอาของไปทิ้ง ตอนไปทิ้งผมเจอม้านั่งยาวตัวนี้สภาพมันยังดีอยู่ ผมเสียดายจึงเก็บขึ้นรถมาวางไว้ในสนามหญ้าหน้าบ้าน ใช้นั่งรับลมตอนเช้าตอนเย็น ทั้งผมทั้งเมียและลูกก็มานั่งกัน พ่อตาแม่ยายพ่อผมแม่ผมมาเยี่ยมก็มานั่งกัน นั่งกันมาหลายปีแล้วก็ไม่เห็นจะเกิดอะไรขึ้น ปกติดี ตอนแรกที่แม่ยายเตือนเรื่องเอาของที่คนอื่นทิ้งมาใช้ระวังให้ดี คำเตือนนี้ก็ค่อยหายไปจากปากแม่ยายผม ผิดกับตอนแรกที่เฝ้าแต่พูดไม่ขาดปาก

คืนไฟดับนั้นผมก็นั่งตามปกติ ไม่รู้ทำอะไรดี ผมก็ครึ่งนั่งครึ่งนอนหงายหน้ามองดูท้องฟ้า ละแวกบ้านเงียบมาก ได้ยินเสียงเพลงจากรถยนต์แว่วอยู่ไกลๆ แล้วก็หยุดไป สักพักก็มีคนเดินผ่านหน้าบ้าน เขาผ่านไปแล้วก็ วกกลับมาใหม่แล้วเกาะรั้วกวักมือเรียกผม ผมเห็นแต่รู้สึกไม่พอใจนัก กิริยาอาการกวักมือเรียกผม เหมือนผมเป็นขี้ข้าหรือคนรับใช้ ผมจึงไม่ลุกไป

"นี่ๆ ขอถามทางหน่อย" เขาเปลี่ยนมาตะโกนแทน

ผมยิ่งไม่สนใจ ยิ่งเขาเปลี่ยนมาพูดว่า "อยากได้ตังค์ไหม มานี่สิ"

ผมยิ่งโมโห เหมือนการประชดมากกว่า ผมเลยสวนกลับ "จะไปไหนก็ไป อย่ามากวนตีนแถวนี้"

หมอนี่ท่าจะบ้าหรือไม่ก็เมา มันหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมบอกตัวเองว่าไอ้หมอนี่ท่าจะบ้าแน่ๆ อย่าไปยุ่งมันเลยดีกว่า

จังหวะนั้นเองไฟฟ้าก็สว่างพรึบ ไฟมาแล้วผมคิด แล้วผมก็เตรียมจะหันหลังกลับเข้าบ้าน ทันใดนั้นเองมันก็พูดว่า
"พี่ ผมขอโทษ ล้อเล่นมากไป ผมหิวข้าว"

ผมหันไปดู เห็นมันคุกเข่ายกมือไหว้ รั้วบ้านผมเป็นเหล็กโปร่ง ประกอบกับไฟฟ้าริมทางเพิ่งติด จึงเห็นกิริยาอาการทั้งหมด เขาหน้าตาดีกว่าที่เห็นรางๆ เมื่อครู่ แถมตัวก็เล็กแกร็นดูน่าสงสาร ผมจึงพูดว่า

"รออยู่นี่ เดี๋ยวเอาข้าวมาให้กิน"

ผมนึกถึงข้าวสวยที่หุงตอนเย็นและยังเหลือ เดี๋ยวไปเจียวไข่ให้ก็คงจะพอแล้ว

ผมเข้าไปครัว เห็นหมูทอดอยู่ชิ้นหนึ่งกับปลาดุกก็เลยโปะลงในจานข้าว ไม่ได้เจียวไข่ แล้วก็ออกมา หมอนั่นนั่งลงกับพื้นถนนพิงรั้วบ้านผมรออยู่ ผมยื่นจานข้าวในมือส่งให้ เขารับไปคลุกข้าวกับหมูกับปลาตักกินอย่างตะกละตะกลาม ไม่ถึงนาทีข้าวก็หมดจาน เขายิ้มให้พลางกล่าวขอบคุณ

แต่ประโยคที่พูดนี่สิ ทำให้ผมนึกว่าเขาคงต้องบ้าแน่ๆ

"พี่ ผมเป็นผีนะ" พูดแล้วก็ยิ้ม

ผมนึกสนุกไปด้วยในตอนนั้น "ผีหรือ ไหนถอดหัวให้ดูหน่อยสิ แทนค่าข้าวตะกี๊"

ระยำแท้! มันยื่นมือเหนือศีรษะตัวเองแล้วดึงผมยกชูเหนือศีรษะ ก่อนยื่นให้ผมดูชัดๆ!!!

ผมตกใจแทบสิ้นสติ กว่าขาที่แข็งเหมือนถูกตอกให้อยู่กับที่จะบังคับได้

เชื่อไหมครับว่า ผมด่าผีก็ครั้งนี้แหละ ได้ด่าผีเป็นครั้งแรกในชีวิต "สัส ทำคุณบูชาโทษ"

ผมได้ยินเสียงดังตอบกลับมาว่า "ก็พี่อยากเห็นเองนี่ พี่ขอผมเองนะ"

ผมตกใจวิ่งเข้าบ้าน ก่อนจะคลุมโปงสวดมนต์สารพัดบท ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น!



คาถาผูกจิต
อัญมณี อาบน้ำอย่างพิถีพิถันกว่าทุกวัน ด้วยสบู่หอมที่เธอซื้อมาเป็นพิเศษ ขัดตัวด้วยใยบวบจนผิวเนื้อเปล่งปลั่งผุดผ่องเป็นยองใย สองแก้มปลั่งอมชมพูด้วยเลือดฝาดของวัยสาวและความรักที่สูบฉีดไปทั่วร่าง

หญิงสาวซับร่างเปลือยเปล่าด้วยผ้าขนหนูจนหมาดแห้ง แล้วพรมผิวหนังด้วยโคโลญจน์สเปรย์กลิ่นที่เขาเคยชอบตั้งแต่หัวจรดเท้า เดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีออกจากห้องน้ำ ใส่ชุดกระโปรงนอนผ้าแพรเงางามสีเขียวเปลือกแมงทับ ขับผิวขาวอมชมพูให้ยิ่งดูสดใสขึ้นอีก

อัญมณีรู้ดีว่าเขาไม่ชอบให้เธอแต่งหน้า เขาว่าเครื่องสำอางจะกลบความงามของเธอเสียหมด เธอเดินมานั่งที่หน้ากระจก ดึงผ้ามัดผมออกปล่อยผมยาวสยายลงกลางหลัง เส้นผมนุ่มสวยเงางามเป็นลอนธรรมชาติแผ่กว้างเหมือนแม่น้ำสีดำสนิทวาววับ สัมผัสของเส้นผมที่เคลียแผ่นหลังทำให้เธอร้อนรุ่ม ปรารถนาสัมผัสที่ตอบสนองความต้องการของเธอได้มากกว่านั้น

วิชาญคุณเท่านั้น ไม่มีคนอื่นมาแทนที่คุณได้ในเวลาแบบนี้ คิดแล้วอัญมณีก็เริ่มร่ายคาถาในขณะที่ตั้งจิตแน่วแน่ถึงใบหน้าของเขา

โอม จิตตัง มหาจิตตัง เอหิพันธนัง ปิยัง มะมะ

พลางไล้นิ้วมือไปตามนวลเนื้อบนร่างกายของตัวเอง ตั้งแต่ใบหน้า ลาดไหล่ เนินอก หน้าท้อง สะโพกผาย สวดคาถาซ้ำๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ เรียกให้เขามาหาเธอ ให้เขาร้อนรุ่มเช่นเดียวกับเธอ ให้เขาอยู่กับที่ไม่ได้ ต้องรีบออกมาหาผิวเนื้อเนียนนุ่มและกลิ่นอายสาวที่กำลังรอคอยอย่างหิวกระหาย

ไม่ถึงสามสิบนาทีหลังจากนั้น วิชาญโทรศัพท์มาหาอัญมณีด้วยน้ำเสียงกระเส่า "อัญ คุณอยู่ห้องใช่ไหม ผมขับรถมาใกล้ถึงห้องคุณแล้วนะ"

หญิงสาวยิ้ม "อัญกำลังรออยู่เลยค่ะ" น้ำเสียงเธอกระเส่าไม่แพ้กัน "รีบมาน้า" ท้ายน้ำเสียงออดอ้อนก่อนวางสาย

อัญมณี ขยับลุกไปยืนพิงขอบหน้าต่างคอนโดฯ มองออกไปข้างนอกอย่างใจเย็น คาถาเรียกจิตของเธอไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง วิชาญทั้งหล่อทั้งหนุ่มแน่นแข็งแรง เสียนิดเดียว มีลูกมีเมียแล้ว ไม่งั้น...

แต่ก็นั่นแหละนะ ผู้ชายที่จะมาเติมเต็มอัญมณีได้มักจะอยู่กับเธอไม่ค่อยทน ไม่ใช่เพราะเหตุอื่น แต่เพราะหญิงสาวเบื่อหน่ายเกินจะอยู่กับใครได้นานๆ เธอรู้สึกว่า มันคงน่าเบื่อแทบตาย ถ้าต้องทนขังความสัมพันธ์ของตัวเองติดอยู่กับใครสักคนไปตลอด ในเมื่อโลกเรายังมีผู้ชายน่ารักน่ากินอีกตั้งมากมาย

ยิ่งยากก็ยิ่งอร่อย ยิ่งแอบซ่อนก็ยิ่งสนุก อัญมณีได้เรียนรู้มาในช่วงปีสองปีนี้ว่าการคบหามีความสัมพันธ์กับคนที่มีครอบครัวแล้วสนุกกว่าพวกหนุ่มโสดกลัดมันเป็นไหนๆ เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีค่ามากพอที่จะทำให้ผู้ชายยอมทิ้งลูกทิ้งเมียตัวองมาหาได้ บางครั้งเมียของคู่ขาเธอจับได้ว่าสามีนอกใจ ไลน์มาด่าเธอเสียๆ หายๆ อัญมณีก็แค่แสยะยิ้มแล้วไลน์กลับไปว่า "เลิกโวยวายแล้วเอาผัวมึงคืนไปเถอะ กูเบื่อแล้ว" สะใจกว่า ฟินกว่าจะมานั่งเถียงกันด่ากันแย่งผู้ชายเป็นไหนๆ

อันที่จริงวิชาญนี่ทีแรกเธอก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะดูขี้อาย ท่าทางไม่ค่อยประสีประสา พูดตรงๆ คือกลัวทำไม่เป็นแถมทำงานที่บริษัทเดียวกันแผนกเดียวกันเสียด้วย หญิงสาวขี้เกียจเคลียร์เรื่องยุ่งยากทีหลัง แต่ก็อย่างที่บอก ช่วงหลังๆ มานี้เธอเริ่มติดรสชาติที่ยากและซับซ้อนขึ้น เธอจึงลองใช้คาถาเรียกจิตกับเขาครั้งแรกในห้องน้ำที่ทำงานนั่นเลย เลยได้รู้ว่าวิชาญไม่ได้แค่หล่อ แต่ยังเชี่ยวเรื่องอย่างว่า แถมแข็งแรงปรนเปรอเธอได้จนอิ่มหนำทุกครั้ง คนนี้เธอเลยคบนานกว่าคนอื่นหน่อย

อัญมณียืนรอที่หน้าต่างจนเริ่มเบื่อ เลยเดินไปนอนรอบนเตียง วันนี้วิชาญมาถึงช้าจัง เธอคิดก่อนเผลอหลับไป

มาสะดุ้งตื่นอีกครั้งตอนได้ยินเสียงเคาะประตู หญิงสาวรีบโผไปรับชู้รักของเธอทันที พอประตูเปิดออก วิชาญก็เอื้อมมือมาปิดไฟในห้องและพาเธอไปที่เตียง

"ปิดไฟทำไมคะ วันนี้ชาญไม่อยากเห็นอัญเหรอ อัญไม่สวยเหรอ" อัญมณีออดอ้อน

วิชาญไม่ตอบ ครางฮึมฮัมในลำคอเหมือนคนเพ้อขณะที่ดึงชุดนอนบางเบาของหญิงสาวโยนทิ้งลงข้างเตียง...

สองชั่วโมงต่อมา...

"วันนี้ ชาญเป็นไรอ่ะ แปลกๆ ไม่ยอมให้เปิดไฟ" อัญมณีพูดขำๆ ขณะที่เพิ่งมาสังเกตว่าวันนี้ชู้รักของเธอเนื้อตัวเปียกเฉอะแฉะ "ร้อนเหรอคะชาญ เร่งแอร์ไหม"

วิชาญไม่ตอบและพยายามแนบตัวลงมาทาบทับร่างงามอีก อัญมณีหัวเราะร่า "ไปหิวอะไรมาคะ เมียไม่ยอมให้ทำการบ้านหรือไง พอแล้วค่ะ อัญหิว ชาญช่วยไปซื้ออะไรมากินกันหน่อยได้ไหมคะ"

ชายหนุ่มยอมลุกไปแต่โดยดี เมื่อประตูห้องปิดลง อัญมณีจึงเดินไปเปิดไฟ แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นบนเตียงและเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเลือด "อะ อะไรกันเนี่ย"

ขณะนั้นโทรศัพท์ดังขึ้น เธอรีบผวาไปรับ "อัญเหรอ พี่ชาญแผนกเราเสียแล้วนะอัญ เมื่อหัวค่ำ รถพี่เขาชนตกข้างทางแต่แปลกมาก ตอนนี้เจอแต่รถ ศพพี่เขาหายจากที่เกิดเหตุ..."

หญิงสาวฟังยังไม่ทันจบก็มือสั่นหน้าซีด มองเลือดที่เปรอะตามตัวอย่างอกสั่นขวัญผวา พยายามนึกคาถาหรือวิธีที่จะแก้คาถาเรียกจิตที่ผูกจิตวิชาญติดไว้กับเธอ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนเสียงแหบทุ้มของวิชาญจะดังมาจากหน้าห้อง "ที่รักครับ ขอโทษทีผมลืมเอากระเป๋าตังมา แต่ตอนนี้เปิดประตูเถอะ ผมหิวคุณอีกแล้วล่ะ"



แม่ชีหัวขาด
ที่ตึกนอนนักเรียนหญิงกำลังเตรียมตัวนอน บ้างจัดเตียง บ้างพักผ่อนเล็กๆ น้อยๆ อ๋อมซึ่งเพิ่งย้ายมาจากที่อื่นได้ไม่กี่วันนั่งคุยกับต้นข้าวเกี่ยวกับเรื่องน่ากลัวบางอย่างที่นี่

"บ้าดิ ไม่มีจริงหรอกแม่ชีหัวขาด" อ๋อมว่า "มีแต่ในหนังผีแค่นั้นแหละ"

"แต่ว่า" ต้นข้าวพูดพลางมองไปรอบๆ ตัวหวาดๆ "รุ่นพี่ที่เล่าให้ฉันฟังมา เขายืนยันเลยนะว่าเคยมีคนเห็นซิสเตอร์หัวขาดจริงๆ แล้วแถมยังฆ่าคนตายมาหลายคนแล้วด้วย"

อ๋อมส่ายหน้า "ไม่เข้าใจเลยว่าทำไม โรงเรียนเราเป็นโรงเรียนศาสนาแท้ๆ ดันมางมงายเรื่องผีแบบนี้ แล้วยิ่งถ้าเป็นผีซิสเตอร์จริงล่ะก็ ทำไมต้องออกมาอาละวาดฆ่านักเรียนด้วยล่ะ ซิสเตอร์มีแต่จะคอยช่วยเหลือปกป้องนักเรียนมากกว่านะ"

"เธออ่ะไม่รู้อะไร" ต้นข้าวพูดต่อ "ซิสเตอร์คนที่ตายน่ะ เป็นชีลับนะ ไม่เคยออกมายุ่งกับใครหรอก ไม่ว่าจะเป็นคนภายนอก นักเรียน หรือแม้แต่ซิสเตอร์ด้วยกันเอง"

"ชีลับ ที่หมายถึงเจ้าสาวของพระเจ้าใช่ไหม" อ๋อมทำท่าคิดตาม "ถ้าเป็นชีลับก็ต้องสวดภาวนาอยู่แต่ในอารามสิ ยิ่งไม่น่าจะมาเป็นผีอาละวาดใหญ่เลย ว่าแต่เธอรู้กันไหม เพราะอะไรซิสเตอร์คนนั้นถึงกลายเป็นผีหัวขาดไปได้"

ครูผู้ดูแลตึกเดินเข้ามาพอดี "เอ้าเด็กๆ ได้เวลานอนแล้ว อีกสองนาทีจะดับไฟแล้วนะ"

"อาจารย์เฮี้ยบมาละ เอาไว้เล่าต่อพรุ่งนี้ละกัน" ต้นข้าวว่าพลางกระโดดดึ๋งขึ้นไปนอนบนเตียงตัวเองอย่างรวดเร็ว

วันต่อมาในห้องเรียน กลุ่มเด็กสาวมารวมตัวกันที่โต๊ะของต้นข้าวรวมทั้งอ๋อมด้วย "เขาว่ากันว่า ชีลับคนนั้นได้พบกับบาทหลวงหนุ่มรูปงามและใจดี ซิสเตอร์เกิดหลงรักจนห้ามใจไม่ไหว แอบเขียนจดหมายสารภาพรักกับบาทหลวง แต่ถูกซิสเตอร์คนอื่นๆ เจอเข้าเสียก่อน จึงอับอายมาก เลยคิดฆ่าตัวตายโดยการกระโดดจากชั้นบนของอาราม มากระแทกกระจกหน้าต่าง น้ำหนักตัวทำให้กระจกที่แตกตัดคอแม่ชีจนขาดหลุดจากร่า กระเด็นไปนอกอาราม ส่วนร่างของเธอยังตกอยู่ด้านใน นับจากนั้นเป็นต้นมา อารามนั้นก็ถูกปิดตาย แต่ก็ยังมีคนได้ยินเสียงเปียโนดังออกมาในคืนครบรอบวันตายของท่านทุกคืน เหมือนกับว่าซิสเตอร์ยังคงอยากให้ความรักของเธอส่งผ่านบทเพลงไปถึงคนที่เธอรัก แม้ว่าจะอยู่กันคนละโลกแล้ว"

"อ้าว แล้วเรื่องที่ว่าซิสเตอร์หัวขาดฆ่านักเรียนไปหลายคนล่ะ" อ๋อมถามต่อ

เด็กสาวอีกคนขยับเข้ามา "คืองี้นะ หลังจากเรื่องแม่ชีหัวขาดกระจายออกไป เขาว่ากันว่าทุกคืนวันครบรอบถ้าใครไปที่อารามแล้วเขียนจดหมายถึงซิสเตอร์เล่าเรื่องความรักและอธิษฐาน ซิสเตอร์จะบันดาลให้ความรักสมหวัง แต่มีข้อแม้ว่าถ้ามีเสียงอะไรแปลกๆ หรือมีใครเดินเข้ามาหา ห้ามหันไปมองเด็ดขาด ต้องอ่านจดหมายต่อจนจบ แล้วหันหลังเดินกลับหอนอนโดยห้ามหันไปมองอีกเลย"

"ก็ฟังดูใจดีนี่เนาะ" อ๋อมว่า

"แต่ปัญหาคือเชื่อกันว่าคนที่ไปขอมักจะไม่รอดกลับมา เพราะอดหันไปมองไม่ได้น่ะสิ แล้วถ้าหันไปเจอซิสเตอร์หัวขาดเข้าล่ะก็..."

นึกภาพตามก็น่าขนลุกไม่ใช่เล่นอยู่เหมือนกันแฮะ อ๋อมคิด

กลางดึกคืนหนึ่งอ๋อมลุกมาเข้าห้องน้ำ หลังออกจากห้องน้ำได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากที่ไกลๆ "หืม เสียงอะไรน่ะ" เสียงลอยแว่วมานั้นทั้งๆ ที่ไพเราะแต่ก็ทำเอามือเท้าเย็นอย่างไม่มีสาเหตุ "เสียงเปียโนนี่นา" อ๋อมค่อยๆ เดินไปยังระเบียง แล้วชะโงกลงไปดูข้างล่างอย่างหวาดๆ "หรือว่านี่จะเป็นเสียงเปียโนของแม่ชีหัวขาด"

แล้วเธอก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งเดินถือบางอย่าง กล้าๆ กลัวๆ ไปทางอารามร้าง นั่นต้นข้าวนี่ยัยบ้าเอ๊ย ไหนว่ากลัวผีไง ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน อ๋อมรีบย่องลงจากตึกตามต้นข้าวทันที

ยิ่งใกล้อารามเสียง เปียโนก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ อ๋อมเหงื่อไหลท่วมตัวทั้งที่อากาศเย็นเฉียบ เธอรีบจ้ำเท้าเข้าไปหาต้นข้าวที่กำลังนั่งอ่านจดหมายเสียงสั่นอยู่ "ถะ ถึง ซิสเตอร์ลับที่สถิตอยู่ที่นี่..."

"ต้นข้าว ทำอะไรของเธอน่ะ กลับหอได้แล้ว ที่นี่น่ากลัวออก" อ๋อมกระซิบ

ต้นข้าวสะดุ้งเฮือก กลัวจนตัวสั่นเทา แต่ก็ทำท่าจะอ่านจดหมายต่อไป "นี่ฉันเอง ไม่ใช่ผี หันมาเถอะ"

จู่ๆ เสียงเปียโนเงียบลง เด็กสาวทั้งสองมองเข้าไปทางหน้าต่างอารามร้าง เงาร่างรางๆ ร่างหนึ่งสะท้อนกระจกหน้าต่างมาจากด้านหลัง

"รีบกลับหอนอนกันเถอะ" อ๋อมพูดเสียงสั่น

"ฉันต้องอ่านจดหมายให้จบก่อน เธอไม่เข้าใจรึไง" ต้นข้าวยืนยันทั้งๆ ที่หน้าซีดเผือด พลางนั่งลงอ่านจดหมายต่อตะกุกตะกัก "นะ หนูชื่อ ต้นข้าว จะมาอธิษฐานขอกับซิสเตอร์"

ร่างลึกลับหยุดข้างหลังเด็กสาวทั้งสองจนต้นข้าวปากสั่นอ่านต่อไม่ได้ "อย่านะ อย่าหันไปนะ" อ๋อมกระซิบต้นข้าว ปากสั่นไม่แพ้กัน

"มาทำอะไรกันน่ะ กลับหอนอนเดี๋ยวนี้" เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง เป็นเสียงของครูผู้ดูแลตึกที่ทั้งสองคุ้นเคย เด็กสาวทั้งสองถอนหายใจโล่งอก "อาจารย์เฮี้ยบนี่เอง"

แต่พอหันกลับไปก็ต้องหวีดร้องสุดเสียงด้วย ความตกใจกลัว เมื่อร่างที่ยืนตระหง่านตรงหน้าเป็นร่างในชุดแม่ชีที่ปราศจากศีรษะ บนลำคอเลือดสีแดงคล้ำไหลรินส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่วบริเวณ

"บอกแล้ว ใช่ไหมว่าอย่าหันมา" เสียงพูดนั้น ดังมาจากศีรษะที่ถูกถือไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียวของแม่ชีลับ ก่อนที่เธอจะแสยะยิ้มอย่างน่าสยดสยอง



แม่จะไปหา
ในความรู้สึกกึ่งฝันกึ่งตื่นผมพยายามคว้าผ้าห่มที่ไปกองอยู่เหนือศีรษะมาห่มให้ได้แต่ทำไม่สำเร็จ หลังพยายามครั้งที่ห้าผมก็ตื่นอย่างเหนื่อยหอบและตกใจกลัว กลัวอย่างไม่มีเหตุผลและไม่รู้ที่มาที่ไป ผมลงไปชั้นล่างดื่มน้ำแก้วโต แล้วทิ้งตัวบนโซฟาก่อนจะถอนหายใจและคิดถึงแม่

ก่อนแม่จะเสียชีวิต เราเคยพูดกันกึ่งจริงกึ่งเล่นว่า หากใครตายก่อนให้มาหากันด้วยสภาพปกติ ประเภทหิ้วหัวหรือเลือดท่วมไม่เอานะ ตอนนั้นผมเป็นโรคหัวใจ เคยผ่าตัดมาสองครั้ง ส่วนแม่ก็มีโรคความดันโลหิตสูงติดตัว เคยผ่าตัดสมองหนึ่งครั้งและปากเบี้ยว ร่างกายซีกซ้ายอ่อนแรงไปสองหน เรานั่งคุยกันอย่างคนป่วย พูดกันเรื่องโรครุมเร้าอย่างสนุกปาก ความตายสำหรับเราใกล้เคียงเข้ามาเรื่อยๆ เราไม่กลัวเลย

แล้ววันหนึ่งแม่ก็ถูกรถชนตายไปเสียดื้อๆ ไม่ได้ตายด้วยโรคที่ป่วย เหมือนผมที่จู่ๆ ก็มีคนบริจาคหัวใจดวงใหม่ให้ โดยไม่คาดฝันมาก่อนหลังจากเข้าชื่อรอรับมาสิบกว่าปี

เรื่องที่ใครตายก่อนแล้วให้มาหาอีกฝ่าย ผมเคยคิดอยู่เสมอและหวังว่าแม่จะกลับมา บางครั้งในมุมมืดของบ้าน ผมแอบหวังว่าเมื่อหันไปจะเห็นแม่ยืนหลบมุมอยู่ตรงนั้น บางคราวตอนเปิดตู้เสื้อผ้าผมหวังว่าแม่จะนั่งอมยิ้มจ๊ะเอ๋กับผมอยู่ บางคราตอนรู้สึกเหมือนมีลมพัดผ่านผมก็หวังว่าแม่ กำลังแว้บผ่านไป เมื่อหันไปแม่จะยืนหัวเราะแกล้งผมอยู่ ผมหวังอย่างนั้นอยู่เป็นปีๆ แม่ก็ไม่เคยกลับมาหาผมในรูปแบบใดเลย จนหมดหวังไปแล้ว

ทว่าหลังจากผ่าตัดเปลี่ยนใส่หัวใจใหม่ ผมกลับไม่อยากเจอแม่ ทำไมก็บอกไม่ถูก ความคิดถึงที่เคยมีมาตลอดก็หมดไปดื้อๆ บางครั้งยังงุนงงเกี่ยวกับเรื่องของแม่ที่มีคนถามถึง

แต่แล้ววันหนึ่งในลิ้นชักโต๊ะทำงาน ผมพบกระดาษแผ่นขนาดไปรษณียบัตรเขียนว่า แม่จะไปหาแน่นอน ลงชื่อ แม่

ตอนแรกผมนึกว่าใครเล่นตลก แต่มาคิดทบทวนไม่มีใครรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ผมพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงกับแม่ในวันที่เราสองคนนอนป่วยข้างๆ กัน พูดแล้วก็ไม่ได้พูดกันอีก บางทีผมยังแอบนึกเลยว่าแม่คงลืมไปแล้ว แต่มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผมคิดว่าแม่ไม่มีวันลืมก็ตอนที่ผมขับรถยนต์ไปชนกับคันอื่น ต้องนอนโรงพยาบาลเพราะซี่โครงหัก แม่มาเยี่ยมแล้วพูดคำหนึ่งว่า แม่คิดว่าแกต้องเป็นฝ่ายมาหาแม่ก่อนเสียแล้ว แล้วแม่ก็หัวเราะ พอดีจังหวะนั้นเมียผมเปิดประตูเข้ามาเสียก่อน ผมกับแม่จึงไม่ได้คุยเรื่องนี้กัน

ตอนนี้รู้สึกแปลกๆ ถ้าแม่มาจริงล่ะ คิดแล้วผมกลับกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้อยากเจอแม่มาก ตอนนี้ทำไมกลับกลัวขึ้นมา

แม่จะไปหาแน่นอน! มีคำว่าแน่นอน การย้ำเช่นนี้ แสดงว่าก่อนหน้านี้ทราบว่าผมไม่เคยเจอมาก่อน คำพูดและประโยคลักษณะนี้เองที่ทำให้ผมยิ่งกลัวมากขึ้นทุกครั้งที่นึกถึง

ผมเริ่มไม่กล้ามองภาพแม่ที่แขวนผนังตรงทางขึ้นบันไดสู่ชั้นบนแล้ว ต้องก้มหน้าหลบเหมือนจะกลัวว่าจะเห็น ผมไม่พยายามคิดถึงแม่ เกรงว่าคิดแล้วแม่จะมา (ว่าไปผมก็ไม่ได้คิดถึงแม่มานานแล้ว) ผมพยายามเปิดไฟสว่างทั้งบ้าน ผมกลัวเงา กลัวความมืด กลัวการอยู่คนเดียว ผมเดินตามภรรยาตลอดจนเธอประหลาดใจ ชีวิตผมเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง ประสาทมากขึ้น วิตกกังวลมากขึ้น ไม่กล้าทำสิ่งที่เคยทำในชีวิตประจำวัน

ดึกคืนนั้น!! ผมกำลังซดบะหมี่สำเร็จรูปแก้หิว ท่ามกลางความหนาวปลายเดือนธันวาคม ยิ่งบ้านอยู่เหนือสุดของสยามอย่างเชียงรายนี่แล้ว คืนนั้นอากาศหนาวมาก ผมแทบจะเหมือนแหนมต้องห่อด้วยเสื้อกันหนาวสองชั้น สวมถุงเท้าถุงมือ ภายในบ้านวัดอุณหภูมิได้ 11 องศาเซลเซียส มาม่าที่ผมนำออกจากไมโครเวฟเย็นลงอย่างรวดเร็วในเวลาไม่กี่นาที ผมต้องรีบๆ กิน ระหว่างนั้นเองที่ผมรู้สึกขนลุกชันไปทั้งตัว อากาศเย็นลงอย่างทันทีทันใด มือแทบแข็ง ผมรีบๆ คีบบะหมี่ แต่หางตาก็เหลือบไปเห็นแม่กำลังยืนยิ้มมาทางผม ผมแทบหงายหลัง

แม่ชิงพูด "แม่มาหาแกแล้ว ไอ้ลูกรักของแม่" ผมเงียบ ทั้งกลัวทั้งทำอะไรไม่ถูก

"ทำไมไม่พูด ไหนบอกว่าอยากเจอแม่ไง" ผมปากสั่น อยากพูดแต่ปากขยับไม่ออก

"มาให้แม่กอดให้หายคิดถึง มา มะ" แม่พูด

เท่านั้นแหละ ผมก้าวถอยหลัง ตกใจหงายหลังตึง รู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว ผมหมดสติไปหลายชั่วโมงมาก บนพื้นบ้านที่หลับไปเย็นมากจนไอออกมาหลายครั้ง หลังความพยายามลุกขึ้น ผมรู้สึกเมื่อยไปทั้งตัว ไม่แน่ใจว่ากล้ามเนื้อเกร็งหรือกำลังจะเป็นไข้ ผมพาตัวเองไปที่โซฟารับแขกแล้วเอนตัวหลับตาคิดถึงเรื่องเมื่อคืน ผมไม่ได้ฝันไปแน่ ผมเห็นแม่เมื่อคืนจริงๆ แม่มาปกติเหมือนจริงมาก คิดๆ อย่างนี้อยู่ ก็มีสายเรียกเข้า

ผมก้มลงดู เป็นเบอร์ของแม่!!


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 16 มีนาคม 2559 20:02:38
.

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcS84UEbaNWpyMM56RuFFW2oXtTZDD5XZc9TkB_G1VfTDVLdf5mO)

เปรตวัดท่าเขียว
ปีใหม่ที่ผ่านมาผมกลับไปเยี่ยมบ้าน แม่บอกลุงบุญสมตายแล้วนะ ผมตกใจไม่น้อย แกเป็นเพื่อนสนิทพ่อที่ผมรักคนหนึ่ง ตอนพ่อตายผมยังเล็กก็มีแกที่แวะเวียนมาไต่ถามทุกข์สุขมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอๆ ตอนผมบวช ตอนผมแต่งงานผมให้เกียรติลุงบุญเสมือนพ่อเลยทีเดียว ช่วงหลายปีหลังมานี้ผมไปทำงานกรุงเทพฯ มีครอบครัวเองและงานการที่ต้องเดินทางไม่หยุดทำให้เหินห่างกัน แม่บอกว่าแกตายอย่างปุบปับ ถึงอายุจะใกล้เจ็ดสิบปีแล้วแต่แกไม่มีโรคประจำตัวเลย งูที่กัดระหว่างทางตัวนั้นตัวเดียวที่พรากชีวิตแกไป

ลุงบุญสมไม่มีครอบครัว บั้นปลายชีวิตสิบกว่าปีมานี้แกมักมาขลุกมาช่วยเหลืองานที่วัดท่าเขียวนี่ วัดเล็กๆ ที่แทบไม่พระจำพรรษา จะมีบ้างแต่ล้วนแล้วเป็นคนละแวกวัด บางคนไม่มีงานทำบวชแล้วก็ไม่สึก เจ้าอาวาสก็ชรามากแล้ว วัดไม่เคยมีผ้าป่า ไม่มีงานวัด แม่บอกว่าลุงบุญสมเคยพยายามจะออกเหรียญหลวงพ่อเจ้าอาวาสแต่ไม่สำเร็จ แกจึงไม่ได้ทำอะไรอีก ตื่นเช้ามาก็เดินไปวัด ไปถวายอาหารเจ้าอาวาสบ้างแล้วก็เตร็ดเตร่อยู่ในวัด งูที่กัดแกตายก็งูในวัดนั่นแหละ

ลุงบุญสมนี่แหละที่เป็นคนเล่าเรื่องเปรตวัดท่าเขียวให้ฟังตั้งแต่เด็ก ลุงบอกว่าสมัยหนุ่มๆ ที่มาบวชที่วัดท่าเขียวนั้นเจอเปรตตัวนั้นบ่อยมาก โบราณว่าถ้าเจอเปรตแสดงว่าทำกรรมร่วมกันมา เปรตมาขอส่วนบุญ ลุงบุญก็มักจะสวดมนต์แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้เปรตตัวนั้นเสมอๆ

"รูป ร่างมันยังไง ลุง" ผมในวัยเด็กถาม และจำได้แม่นยำว่าลุงบุญยืนขึ้น พยายามยืดตัวให้สูง ยกไม้ยกมือกางออก ทำหน้าตาเหลือก แลบลิ้นยาวๆ แล้วบอกว่าเปรตคล้ายๆ แบบนี้แหละ ผมในวัยเด็กตอนนั้นก็มักจะตกใจกลัว ทำท่าจะร้องไห้ แกก็จะหัวเราะอย่างมีเมตตาแล้วบอกว่า ลุงล้อเล่นๆ

ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์ก็ตรงไปกำแพงหลังวัดบริเวณที่แม่บอกว่าอัฐิลุงบุญอยู่ ระหว่างนั้นสังเกตว่าทั้งอุโบสถ ศาลา กุฏิในวันนี้ดูทรุดโทรมมาก มองไปเห็นแต่หมาแมวที่คนชอบแอบมาปล่อยให้เป็นภาระของวัด พระหนุ่มรูปหนึ่งกำลังกวาดเศษขี้หมาและใบไม้ พระชราสองรูปกำลังคุยกันบนม้านั่งใต้ร่มไม้ เดินมาจนเจอช่องใส่อัฐิลุงก็ยกมือไหว้ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องเปรตที่แกชอบเล่า

ผมกลับมาที่บ้าน แม่เอ่ยลอยๆ "บวชให้ลุงบุญแกสักสามสี่วันดีไหม แกไม่มีใคร"
"ตอนแกตาย แม่น่าจะโทร.บอกผม"
"ตอนนั้นลูกทำงานอยู่เวียดนาม อีกอย่างสวดแค่สองวันเอง"
"ทำไมน้อยจัง"
"แกไม่มีญาติ"

ผมรู้สึกสงสารลุงบุญจับใจ จึงตัดสินใจบวชครั้งที่สองในชีวิต ด้วยการโทร.ไปลาพักร้อนบวกกับลากิจได้วันลามาสิบห้าวัน ฝึกท่องคำขอบวชอยู่สองวัน ส่วนแม่ไปจัดการซื้อเครื่องอัฐบริขารที่จำเป็นแล้วไปบอกเจ้าอาวาสที่จะมาเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ผมด้วย ถึงเวลาท่านก็จัดการปลงผม มีแม่กับน้าสาวที่อยู่ต่างอำเภอและภรรยาผมกับลูกสาวรีบเดินทางมาร่วมพิธี ผมบวชครั้งแรกหลังเกณฑ์ทหารตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่ อายุสามสิบห้าปีแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ลูกสาวก็สิบขวบเต็ม การบวชหนนี้ผมจึงตัดสินใจบวชจนครบวันลา

พิธีการสั้นๆ เสร็จสิ้น ออกจากโบสถ์ตรงไปกุฏิ ระหว่างแม่ น้าและภรรยากับลูก มารอตักบาตร ผมรู้สึกใจพองโตอิ่มบุญ นึกถึงลุงบุญสมกับพ่อทันที หลังฉันอาหารก็อุทิศส่วนบุญให้ท่านทั้งสอง โดยเฉพาะลุงบุญ ผมนึกภาพแกเดินไปเดินมาในวัดได้ โดยเฉพาะกับกุฏิที่ผมจำวัดนี้ แกชอบมานั่งเล่นคุยกับหลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่งที่เพิ่งมรณภาพไป มีหนังสือธรรมะที่แกซื้อถวายไว้หลายสิบเล่ม ผมหยิบมาพลิกดูแล้วอนุโมทนาผลบุญให้แก

ทำวัตรเย็นแล้วผมก็กลับกุฏิ ไม่ได้มาวัดนี้ตอนกลางคืนนานแล้ว ทั้งความมืดและเงียบทำให้รู้สึกวังเวงชะมัด เดินผ่านหลายๆ ที่ในวัดด้วยความรู้สึกเสียวสันหลัง มันเย็นวาบแปลกๆ ทันใดก็ได้ยินเสียงวู้วี้ดังมาจากทางหลังวัด ผมไม่คุ้นกับเสียงนี้ ทำไมจู่ๆ ใจก็คิดว่าเป็นเสียงเปรตขึ้นมาก็ไม่รู้

ลมพัดมาปะทะร่างผมทำเอาหนาวจนสั่น เสียงวู้วี้ใกล้เข้ามา เมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองก็แทบตกใจแทบหงายหลัง

บางสิ่งที่สูงชะลูด มือไม้ยาวกางออก ปากเล็กนิดเดียวเหมือนเป็นรูเล็กๆ ตาถลึงจ้องมาทางผม เค้าหน้าทั้งหมดทำเอาคิดถึงลุงบุญขึ้นมาทันที

ทันใดสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าผมก็ร้องวู้วี้แหลมปรี๊ด พระบวชใหม่วันแรกอย่างผมอดขนลุกซู่ไม่ได้ แล้วทำไมก็ไม่รู้ที่เหมือนได้ยินเสียงในหัวว่า "ไม่ต้องกลัว ลุงเอง"

นาทีนั้นใจผมก็สงบ เดินกลับกุฏินั่งสมาธิสวดภาวนาแล้วแผ่เมตตาอุทิศคุณความดีที่ได้ทำมาให้กับลุงบุญ หลังจากนั้นเสียงวู้วี้ก็หายไป อากาศที่หนาวเย็นพลันอุ่นขึ้น

จนกระทั่งถึงวันสึก ผมอุทิศบุญกุศลให้ลุงบุญสมตลอด



โทรศัพท์เก็บได้
คํ่าวันหนึ่งระหว่างเดินทางกลับจากส่งของ บนถนนผมเก็บโทรศัพท์มือถือได้เครื่องหนึ่ง มันเปิดอย่างไรก็ไม่ติด ใช้งานไม่ได้ แต่ผมก็ยังเก็บเข้ากระเป๋ากางเกง

ก่อนนอนเล่าให้ภรรยาฟัง ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงแล้วหลับไป

กลางดึกผมสะดุ้งด้วยเสียงเรียกเข้า หน้าจอไม่โชว์หมายเลข ผมพูดฮัลโหลๆ ลงไปสี่ห้าเที่ยวก่อนจะงัวเงียวางสายลง เห็นว่าเป็นโทรศัพท์เครื่องที่เก็บได้

หลับต่อได้สักพักเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีก ไม่แสดงหมายเลขหรือที่เรียกกันว่าไม่โชว์เบอร์นั่นอีก ผมกรอกเสียงลงไปว่า ฮัลโหลๆ สองสามครั้งก็มีเสียงพูดของผู้ชายแต่สัญญาณไม่ชัดจับใจความไม่ได้ รู้สึกโมโหแต่ความง่วงมีมากกว่าจึงกดปิดเครื่องแล้วโยนไปอีกฟากของเตียงนอน

หลับไปนานเท่าใดไม่รู้ ผมสะดุ้งตื่นด้วยเสียงโทรศัพท์อีกหน คราวนี้โมโหมาก แต่เมื่อรับสายก็เป็นเสียงสั่งของ ผมรีบทำตัวตื่นและพูดอย่างสุภาพ ทันใดเสียงทางนั้นก็หัวเราะฮึฮึแล้วกดสัญญาณทิ้ง

เหมือนถูกตบหน้า ผมฉุนกึก แต่แล้วสติสตังทุกอย่างก็กลับมา โทรศัพท์ในมือนั้นเป็นเครื่องที่ผมเก็บได้ มันใช้การไม่ได้และจำได้ว่าโยนไปทางมุมเตียง ผมมองรอบตัว ตัวผมเองยังนอนอยู่ที่เก่า แล้ว!! เกิดอะไรขึ้น!!!

นอนไม่หลับแล้ว รีบหาโทรศัพท์ของตัวเอง ก่อนจะเห็นอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง คงวางไว้เมื่อคืนตอนเปิดหน้าต่างก่อนเข้านอน

ใครเล่นพิเรนทร์นะ เอ...เครื่องคนอื่นแต่ทำไมเรียกชื่อผมถูกแถมยังสั่งของทันที ไม่ใช่หมายเลขโทรศัพท์ของผมด้วย เพื่อนคงแกล้งแน่ๆ ผมคิดอยู่นาน วนไปวนมาที่สุดก็หลับไป

ตื่นเช้าลงมาข้างล่าง ภรรยาก็บอกว่าเมื่อครู่มีคนโทร.เข้าเบอร์บ้านสั่งของให้รีบไปส่ง

"ไว้ก่อน วันนี้เพลียๆ ยังไงไม่รู้" ผมตอบ

ภรรยาเสียงดัง "นี่รายชื่อของ ดูสิ ยอดสั่งสามพันกว่าเชียวนะ"

ได้ฟังยอดเงินผมรู้สึกค่อยยังชั่ว คุ้มกับค่าเหนื่อยหน่อย ที่อยู่ที่ให้มาก็ไม่ไกลจากบ้าน ขี่มอเตอร์ไซค์คงไม่เกิน 10 นาที สตาร์ตมอเตอร์ไซค์ออกถนนใหญ่ได้ก็เจอรถติด ต้องขี่ลัดเลาะพาให้หงุดหงิด แต่แล้วก็ผ่านที่ที่เก็บโทรศัพท์ได้ ใจคิดถึงเรื่องเสียงโทรศัพท์เมื่อคืนจนเกือบถูกรถสิบล้อเฉี่ยว

คืนต่อมาเสียงเรียกเข้าปลุกผมโทรศัพท์ดังอยู่ข้างๆ ผมคว้ามากดรับ ใจคิดว่าภรรยาอาจจะมาวางไว้ให้ เพราะตอนเย็นเธอบอกว่าจะไปเยี่ยมแม่ของเธอและจะค้างคืนด้วย

"ฮัลโหล" ผมพูดลงไป แต่ทางนั้นเป็นเสียงดังตอบมา ฟังไม่ได้ศัพท์ ผมกรอกเสียงลงไปดังขึ้น จากนั้นได้ยินเสียงตอบมาแผ่วๆ จับได้ความว่าฮัลโหลๆ ผมถามว่ามีธุระอะไรหรือ

เสียงทางนั้นตอบมาอย่างแหบพร่า "ขอ-ของ-ผม-คืน"
"ของอะไรของคุณ"
"มือถือ" เสียงทางนั้นทั้งสั่นและติดขัดเหมือนมีคลื่นรบกวน

ผมตกใจ พอตั้งสติได้รีบกดทิ้ง แล้วมองหน้าจอ...ไม่โชว์เบอร์

สักพักเสียงเรียกเข้าดังขึ้นอีก ผมเห็นหน้าจอแต่ไม่รับ รีบกดเปลี่ยนเป็นแบบสั่นทันที ก่อนจะโยนโทรศัพท์ไปอีกฟากของเตียง

สายวันรุ่งขึ้น ภรรยากลับถึงบ้านผมรีบเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้น

"แต่หนูเก็บโทรศัพท์ไว้ในลิ้นชักนะ" เธอพูดอย่างแปลกใจ

"นี่ไง" ผมตอบแล้วรีบควานหา ไม่มี มันไม่ได้อยู่ข้างเตียง ผมพยายามพยุงตัวก้มมองทั้งใต้เตียง ใต้โต๊ะ ใต้เก้าอี้ในห้อง ก่อนจะเลิกผ้าห่มหา

"พี่คงฝันไป พี่พักผ่อนเยอะๆ ดีกว่า" ภรรยาบอก แล้วไปหยิบโทรศัพท์จากชั้นล่างขึ้นมาให้ดู "อยู่ในลิ้นชักเหมือนเดิม พี่คงฝันไปมากกว่า"

คืนนั้นเหมือนผมจะนอนรอเสียงเรียกเข้าดังขึ้น ผมมองไปรอบๆ ตัว รอบๆ เตียง บนเก้าอี้ ก้มมองใต้เตียง สักพักโทรศัพท์ก็ดัง ผมเพ่งหาตำแหน่งของเสียง เสียงนั้นอยู่ใกล้ลังใส่ของแน่นอน ผมคลานลงเตียง ลากตัวไปยังลัง เสียงนั้นยังคงเรียก เหมือนเรียกให้ไปหา

ใกล้เข้าๆ

เจอแล้ว โทรศัพท์ซุกอยู่ใกล้ลังกระดาษ เป็นไงเป็นกัน

"คุณต้องการอะไร" ผมกลั้นใจพูด
"เอา-ของ-ผม-คืน-มา" เสียงนั้นสั่นแผ่วและเบาแต่ได้ความ
"อะไร"
"มือถือ" หนนี้ฟังชัดขึ้น

นิ่งอยู่นานหลายอึดใจ
"คุณเป็นใคร"
"เจ้า-ของ-โทรศัพท์" ฟังชัดและเหมือนอยู่ใกล้มากกว่าก่อน

แทนคำตอบผมกดทิ้งแล้วปิดเครื่อง

รุ่งเช้าเล่าให้ภรรยาอีกครั้ง หนนี้เธอบอกว่าผมอาการหนักแล้ว แล้วเธอก็เดินลงไปหยิบโทรศัพท์ให้ผมดูอีกรอบ เธอชูให้เห็น เขย่าเครื่องในมือไปมา "เครื่องนี้ใช่ไหมที่พี่บอกเก็บได้ มันอยู่ในลิ้นชัก" ผมย้ำว่ามันอยู่ใต้ลังกระดาษเธอเดินไปรื้อค้นให้เห็นว่าไม่มี

จนกระทั่งค่ำคืนมาเยือน ฝนตกหนัก พายุโหมจนไฟฟ้าดับ ภรรยาผมนอนอยู่ด้านข้าง ก่อนนอนเธอย้ำว่าโทรศัพท์อยู่ข้างล่าง ในลิ้นชักตู้โชว์

เมื่อครู่ผมนอนรอฟังเสียงโทรศัพท์ ผมอยากได้ยินเสียง กลัวแต่ก็อยาก...

และแล้วก็สมหวัง เสียงโทรศัพท์ดัง ผมรีบคว้าโทรศัพท์ พูดลงไป "คุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปคืนให้"

ท่ามกลางความมืด เสียงในสายพูดตอบมาฟังแจ่มชัด

"อยู่สุสาน-ไม่ต้องมา-ผมกำลังจะไป-หาคุณ"



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/40014791861176_view_resizing_images_1_.jpg)

จีนร้องไห้
เมื่อตอนฉันเด็กๆ ฉันยังทันได้เห็นนางร้องไห้ ทำหน้าที่ของตัวเองที่งานศพของอากง เธอจะนุ่งชุดกงเต๊กสีขาวเช่นเดียวกับลูกหลานผู้ตายที่มาร่วมงาน เดินเข้ามาด้วยความสงบ ฉันเพิ่งได้รู้ว่า มีอาชีพรับจ้างร้องไห้หน้าศพ สำหรับครอบครัวผู้มีอันจะกินที่ต้องการเพิ่มขั้นตอนการแสดงความรักอาลัยและความเคารพผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ขั้นตอนการทำงานของนางร้องไห้เหล่านี้คือเมื่อมาถึงงานแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้า ทำพิธีไหว้ศพ แล้วเธอก็จะเริ่มท่องบทอะไรสักอย่าง กึ่งกลอนกึ่งเพลง เป็นท่วงทำนองที่โหยหวนเศร้าสร้อย ประกอบกับการร้องไห้สะอึกสะอื้น เนื้อหาอาลัยรักและพรรณนาความดีของผู้ตาย จบงานก็รับเงินกลับบ้านเช่นเดียวกับอาชีพรับจ้างอื่นๆ ค่าจ้างของพวกเขาดีมาก แต่ก็ไม่ค่อยมีใครทำกัน เพราะมองว่าเป็นงานที่หากินกับความอัปมงคล

หลังจากงานศพอากงไม่กี่ปี ฉันได้ไปร่วมงานศพของญาติผู้ใหญ่อีกคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โตและมีลูกหลานหลายคน งานศพถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ มีพิธีรีตองมากมาย อาหารคาวหวานทั้งงานราวกับเทศกาลประจำปี หนึ่งในนั้นก็มีการจ้างนางร้องไห้มาร่วมพิธีด้วย

เรื่องประหลาดก็คือ ในวันที่สามของการตั้งศพ มีชายแปลกหน้าคนหนึ่งสวมชุดกงเต๊กสีขาว ใบหน้าเศร้าสร้อย ตาแดงก่ำ เดินเข้ามาในงาน และเริ่มท่องกลอนรำพันสรรเสริญผู้ตาย เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับว่าตนเองเพิ่งสูญเสียบิดาบังเกิดเกล้า ถ้อยคำแต่ละคำแทบฟังไม่ออก เพราะชายหนุ่มเอาแต่สะอึกสะอื้นไม่หยุด

จนคนในงานสงสัยและสอบถามกันไปมาว่า ชายคนนี้เป็นใคร ใช่คนที่จ้างมาร้องไห้หน้าศพหรือเปล่า ปรากฏว่ามีคนในงานบอกว่า ชายหนุ่มคนนี้อ้างตัวเป็นลูกชายคนโตของผู้ตายที่เกิดกับภรรยาที่เมืองจีน ก่อนที่ผู้ตายจะมาประกอบอาชีพใช้ชีวิตอยู่ที่ไทย ก่อนหน้านี้ทางด้านแม่ของเขาไม่เคยอนุญาตให้เขาติดต่อพ่อและไม่เคยบอกว่าพ่อเป็นใคร แต่พอแม่เสียชีวิตไปเมื่อหลายเดือนก่อน เขาก็สืบตามหาจนรู้ว่าผู้ตายเป็นพ่อ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ความตั้งใจเดิมของเขาคืออยากจะพบหน้าพ่อสักครั้ง แต่ในเมื่อไม่ทันได้พบกันแล้วในชาตินี้ ก็อยากจะขอแสดงความกตัญญูต่อพ่อเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการแสดงความอาลัยต่อพ่อแทนนางร้องไห้ที่ลูกๆ คนอื่นจ้างมา

เรื่องนี้เมื่อคนในงานรู้ก็ฮือฮากันด้วยความสนใจ แต่กลุ่มที่ดูท่าว่าจะเคร่งเครียดที่สุดคือกลุ่มลูกๆ ของคนตาย "ไม่เห็นเคยรู้เรื่องพ่อมีเมียที่เมืองจีน อยู่ๆ พอพ่อตายก็โผล่ขึ้นมาเนี่ยนะ?

ฉันยังเด็กแต่ก็พอเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น การปรากฏตัวของลูกชายคนโตโดยไม่ได้คาดคิด ย่อมเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อคนที่ตายเป็นคนร่ำรวย มีเงินทองมากซึ่งหมายถึงมรดกมาก พี่น้องบางคนออกปากไล่หยาบคาย และว่าเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวง แต่เมื่อชายหนุ่มแสดงหลักฐานหลายอย่างที่ทำให้เชื่อได้ว่าเขาพูดจริง ก็พากันนิ่งอึ้งไป

ตอนนั้นหลายคนในงานแสดงความเห็นใจชายหนุ่มแปลกหน้าที่พูดไทยไม่ได้แม้แต่คำเดียว เพราะเขามาร่วมงานศพและแสดงความเคารพพ่อเท่านั้นจริงๆ แล้วก็กลับบ้าน ไม่เคยมาติดต่อพูดคุยหรือเรียกร้องอะไรเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ตนพึงได้ ลูกสาวคนโตของผู้ตายเชิญให้เขามาพักที่บ้านของเธอเพื่อความสะดวก ให้คิดเสียว่าเป็นพี่น้องกัน

ชายหนุ่มชาวจีนขอบคุณและร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ...

เรื่องแปลกคือในคืนต่อๆ มา ไม่มีใครเห็นเขาในงานศพอีก พี่สาวคนโตบอกทุกคนว่า ชายหนุ่มแปลกหน้าหายไปเฉยๆ อาจจะกลับเมืองจีนไปแล้วก็เป็นได้ และก็ไม่ได้มีใครสนใจไต่ถามอีก

จนกระทั่งวันประกอบพิธีฝังศพ ลูกหลาน เจ้าภาพมาพร้อมหน้ากันแต่เช้าตรู่ และต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง เมื่อชายหนุ่มแปลกหน้าปรากฏตัวอีกครั้งในชุดกงเต๊กที่เกรอะไปด้วยคราบเลือดและน้ำเหลือง เดินร้องไห้มาคุกเข่าต่อหน้าหีบศพ และแสดงกลอนรำพันสดุดีผู้ตายอย่างสุดฝีมือ เสียงดังก้องกังวานไปทั่วสุสานจนน่าขนลุก ลูกๆ คนตายหลายคนหน้าซีดเผือด บางคนปลีกตัวหนีออกไปจากงาน ส่วนพี่สาวคนโตเป็นลมด้วยความตกใจกลัวโดยที่คนอื่นๆ ในงานก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น

ชายหนุ่มจีนแสดงความกตัญญูต่อพ่อจนจบแล้วก็คุกเข่าลงคำนับศพอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆ ลุกขึ้น มองไปรอบๆ ตัวด้วยสายตาแสดงความเจ็บปวด ก่อนที่จะกระโจนพรวดเดียวไปที่โลงศพและหายตัวไปท่ามกลางสายตานับร้อยคู่อย่างน่าพิศวง

ตอนนั้นทุกคนดูทำอะไรไม่ถูก เจ้าหน้าที่และญาติคนอื่นพากันหวาดกลัว แต่ก็ช่วยกันกระตุ้นให้รีบประกอบพิธีฝังศพให้เรียบร้อยโดยเร็ว เพราะฝนใกล้จะตก แต่เมื่อแบกโลงลงมาจากตั่ง โลงศพกลับมีน้ำหนักมากขึ้น จนยกกันไม่ไหว หลายคนร้องบอกให้เปิดฝาโลงออก เพราะหนักผิดปกติเกินไป แต่ก็ไม่มีใครยอมเปิด อ้างว่าจะเป็นการรบกวนดวงวิญญาณผู้ตาย ในที่สุดจึงใช้ไม้ท่อนกลมรองหีบศพและดันกลิ้งไปที่หลุมแทน เพราะยกไม่ไหว

จนกระทั่งตอนหย่อนหีบลงหลุม หีบหนักจนเชือกขาด หีบกระแทกก้นหลุมจนแตกออก และปรากฏต่อสายตาคนทั้งงานว่าในนั้นมีศพอยู่สองศพ อีกศพคือชายหนุ่มลึกลับที่เพิ่งทำพิธีคารวะศพพ่อไปเมื่อครู่นี่เอง

ท่ามกลางสายฝนสาดกระหน่ำ ระหว่างรอตำรวจ คนในงานต่างยกมือขึ้นมาปิดหูเมื่อเสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นอีกครั้งก้องกังวานโหยหวนอย่างน่าเวทนาและชวนหวาดผวายาวนาน



นางร้องไห้
สําหรับงานศพของคนไทยที่จัดในวัดไทย หลายคนน่าจะเคยเห็นและรู้จักวงปี่พาทย์นางหงส์หรือปี่พาทย์มอญที่รับจ้างแสดงต่อหน้าศพ มณีเองเป็นคนใกล้วัด รู้จักคุ้นเคยกับคนในละแวกวัดเป็นอย่างดี รวมถึงคณะปี่พาทย์มอญของนายสมบูรณ์ ที่มีบริการวงปี่พาทย์รับจ้างเล่นในงานศพ ทั้งมีคณะรำหน้าศพ ฉายหนัง รวมถึงนางร้องไห้อีกด้วย เรียกว่าครบวงจรการแสดงมหรสพไว้อาลัย

เมื่อมณีเสียญาติผู้พี่ไป เธอจึงจ้างคณะปี่พาทย์ของนายสมบูรณ์ให้มาร่วมในพิธี นายสมบูรณ์แม้จะเป็นนายวง แต่เป็นนักเป่าปี่พาทย์ฝีมือดีคนหนึ่ง ในงานของคนสนิท คนรู้จัก นายสมบูรณ์มักจะออกโรงทำหน้าที่เป่าปี่เองทุกครั้ง เสียงปี่ของนายสมบูรณ์นั้นเป็นที่รู้ว่าสะท้านสะเทือนใจดียิ่งนัก แม้คนที่ไม่ได้มาร่วมงานศพหากได้ยินเสียงปี่ฟ้าประทานของนายสมบูรณ์เป็นต้องขนลุกน้ำตาคลอไปด้วยกันทั้งนั้น

เนื่องจากเป็นคนรู้จักมักคุ้นกันดังกล่าว นายสมบูรณ์จึงรับปากมณีว่าจะมาช่วยงานศพพี่สาวของเธอ และจะเป็นผู้เป่าปี่ด้วยตนเอง และขอเป็นเจ้าภาพสวดศพด้วยหนึ่งคืน

แต่ทว่า เพียงคืนนั้นเอง มณีก็ได้ทราบข่าวร้ายซ้ำสอง เมื่อเมียของนายสมบูรณ์โทร.มาแจ้งว่านายสมบูรณ์หายสาบสูญไปพร้อมกับรถเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา ตอนนี้ตามตัวอย่างไรก็ไม่พบและแจ้งความแล้ว

"แต่พี่บูรณ์เขารับงานของคุณไว้แล้วเดี๋ยวจะให้วงมาเล่นให้คุณแน่ๆ ค่ะไม่ต้องเป็นห่วง"

วงปี่พาทย์มาตั้งบรรเลงกันในคืนนั้นตามสัญญาจริงๆ และเมียลุงบูรณ์ซึ่งเป็นนางรำหน้าศพก็มารำให้ด้วยตนเอง รวมถึงนางร้องไห้ที่จัดมาให้ครบทีม อันที่จริงเมียคนนี้เป็นเมียเด็กสาว อายุเพียง 20 ปี ห่างจากลุงบูรณ์เจ้าของวงถึง 35 ปี(ลุงบูรณ์อายุ 55) แต่แรกมาเป็นนางรำละครแก้บน ต่อมารับรำหน้าศพด้วย จับพลัดจับผลูอีท่าไหนมาเป็นเมียลุงบูรณ์ได้ก็ไม่มีใครกล้าถาม

เพงปี่พาทย์นางหงส์คืนนั้นรอดพ้นไปได้ด้วยดี เมื่อได้มือเป่าปี่จากคณะอื่นที่มาช่วยรับหน้าที่แทนนายสมบูรณ์ แต่คนเก่าแก่ที่เคยฟังนายสมบูรณ์ต่างก็บ่นอุบอิบว่าเสียงปี่แทนคืนนี้ไม่จับใจเหมือนนายวงคนดังที่ตอนนี้ไม่รู้หายไปอยู่ที่ไหน แต่มณี เจ้าภาพของงานก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเห็นว่าเขาก็ตั้งใจมากันตามสัญญาแล้ว และคิดเอาเองว่านายสมบูรณ์อาจจะไปเมาพับอยู่ที่ไหนตามนิสัยศิลปินขี้เมา วันสองวันอาจจะขับรถกลับมาและโชว์ฝีมือเป่าปี่ให้ทุกคนได้ฟังอีก

จนกระทั่งคืนสวดศพคืนที่สาม นายสมบูรณ์ก็ยังไม่ปรากฏตัว ตำรวจเริ่มสนใจติดตามหาจริงจังขึ้น ในขณะที่งานศพพี่สาวของมณีก็ยังดำเนินต่อไปด้วยความเรียบร้อย

หลายคนในงานเริ่มจับผิดว่าตัวเมียนายสมบูรณ์ มีท่าทางสนิทสนมกับคนเล่นฆ้องมอญวงใหญ่ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเป็นพิเศษ แต่ก็มีคนขัดว่าเป็นธรรมดาของคนหนุ่มสาวหรือเปล่า วัยเขาใกล้ๆ กันก็สนิทกัน คืนนั้นมือปี่พาทย์ของอีกคณะที่มาช่วยงานมาได้แค่ไม่นาน ต้องรีบไปธุระที่อื่น เมียนายสมบูรณ์เลยเสนอว่าจะเล่นเพลงอื่นที่ไม่ต้องใช้ปี่เพื่อรำหน้าศพให้แทน ซึ่งมณีก็ไม่ขัดข้อง

แต่แล้วจู่ๆ เมื่อเพลงจบลง นายฆ้องวงหนุ่มก็มีอาการตัวแข็งทื่อ คว้าปี่มอญที่ตนไม่เคยเป่าขึ้นมาเป่าเพลงพญาโศกด้วยท่าทางคล่องแคล่วอย่างน่าประหลาด เสียงปี่กรีดผ่านอากาศเสียดเข้าไปในอกของทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น บีบหัวใจผู้ฟังจนแทบจะแหลกยับ ทุกคนจำได้ทันทีว่าฝีมือแบบนี้จะเป็นใครไปไม่ได้เป็นอันขาดนอกจากนายสมบูรณ์คนเดียว

เรื่องประหลาดที่ตามมาอีกคือแม้ทุกคนในวงหยุดเล่นเครื่องดนตรีอื่นหมดแล้วด้วยความตกใจ แต่นายฆ้องวงกลับยังคงเป่าปี่พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น พร้อมๆ กันกับที่เมียนายสมบูรณ์ก็ออกมารำหน้าศพไปพลางร้องไห้โหยหวนไปพลางเสียงดังเสียยิ่งกว่านางร้องไห้ตัวจริง ทำเอาคนในงานเริ่มตื่นตกใจ แต่ก็ยังอุตส่าห์คิดว่าเป็นเทคนิคการแสดงเลยนั่งดูกันต่อ

หญิงสาวร่ายรำไปร้องไห้ไปอย่างน่าเวทนาราวครึ่งชั่วโมง คราวนี้มีคนสังเกตเห็นว่าน้ำตาของเธอเริ่มไหลออกมาเป็นเลือดและเริ่มร้องวี้ดว้าย มณีและผู้หญิงคนอื่นๆ เข้าไปจับตัวเขย่าก็ยังคงร้องไห้โฮไม่หยุดและรำต่อไป น้ำตาที่ไหลปนเลือดเลอะเปรอะเสื้อชุดนางรำของเธอเป็นดวง

จนคนในงานได้ยินเธอร้องขึ้นว่า "หนูขอโทษพี่ ยกโทษให้หนูเถอะ ยกโทษให้หนู" ซึ่งไม่รู้ว่าเธอพูดกับใคร

เมียนายสมบูรณ์เป็นลมหมดสติไปในขณะที่จู่ๆ นายฆ้องวงก็วางปี่แล้วลุกขึ้นมาชี้หญิงสาวที่นอนอยู่แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง "มันกับชู้รวมหัวกันฆ่ากู" ก่อนจะล้มลงหมดสติอีกคน

ศพของนายสมบูรณ์ถูกพบในบึงน้ำหลังจากนั้น นายฆ้องวงและเมียสาวสารภาพว่าเป็นคนที่มอมเหล้าผู้ตายจนหมดสติแล้วเอาขึ้นรถกระบะผลักลงบึงน้ำเพื่อซ่อนศพ เนื่องจากนายสมบูรณ์เริ่มระแคะระคายที่สองคนนี่เป็นชู้กัน

หลังจากนั้นอีกไม่นานเมียนายสมบูรณ์ได้ออกจากคุก แต่ต้องไปอยู่ที่ร.พ.จิตเวชแทน เพราะเธอเอาแต่ร้องไห้ตะโกนว่าให้ปิดเพลงๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครได้ยินเสียงเพลงเลยสักนิดและเป็นเช่นนั้นอยู่หลายปี



มอญร้องไห้
ยายทวดของฉันเป็นชาวมอญโดยกำเนิด มีอาชีพรับจ้างร้องไห้หน้าศพ อันที่จริงแล้วงานของยายน่าจะเรียกว่าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมแสดงความเคารพและรำลึกต่อผู้ตาย

ยายทวดของฉันชื่อแก้ว และยังมีน้องสาวอีกสามคน ที่มีชื่อคล้องกันน่ารัก คือ แหวน เงิน และทอง สี่สาวพี่น้องต่างช่วยกันทำมาหากินประกอบอาชีพนางร้องไห้หน้าศพมาตั้งแต่เริ่มเข้ารุ่นสาว เพราะเป็นงานที่สืบทอดมาในตระกูลหลายช่วงคนแล้ว

ทวดแก้วเป็นคณะนางร้องไห้รุ่นแรก ที่เปลี่ยนจากการร้องไห้คร่ำครวญถึงผู้ตาย มาเพิ่มเป็นการประพันธ์บทร้องที่เรียกว่ากลอนรำพัน เพื่อบรรยายคุณงามความดี สดุดีผู้ตายตามรายละเอียดที่ทางครอบครัวให้มาก่อนจะรับงาน ทำให้รูปแบบของพิธีร้องไห้หน้าศพมีมิติที่ลึกขึ้น และเป็นที่พอใจของบรรดาเจ้าภาพ

ตอนหลังๆ งานร้องไห้หน้าศพได้รับความนิยมน้อยลง คณะนางร้องไห้แก้วแหวนเงินทองก็ยังคงมีงานต่อเนื่อง เพราะคนยังอยากแสดงความเคารพต่อผู้หลักผู้ใหญ่หรือพระสงฆ์ที่มีคนนับหน้าถือตามากให้สมเกียรติ ทวดแก้ว ทวดแหวน ทวดเงิน ทวดทอง สืบสานงานนี้กันมาเรื่อยจนแก่เฒ่า และเริ่มล้มหายตายจาก แต่ยังมีลูกศิษย์ลูกหาที่มองเห็นคุณค่าและอยากร่วมอนุรักษ์มาขอเรียนรู้การแต่งกลอนรำพันและการร้องไห้หน้าศพจนเกิดเป็นคณะใหม่ ในภายหลังเหลือเพียงทวดแก้วที่อายุมากแล้ว ช่วยเหลือตัวเองไม่ค่อยได้ แต่ยังขอร้องให้พาไปติดตามดูลูกศิษย์ขับกลอนรำพันเสมอ

ในที่สุดเมื่อถึงเวลาของทวดแก้วก็เป็นธรรมดาที่จะมีคนรักและอาลัยมาก เพราะแกทำคุณกับคนในชุมชนไว้มาก ลูกหลานพากันเตรียมตัวจัดงานศพ ในตอนนั้นเอง ที่ครอบครัวของทวดแก้วเริ่มมีปากเสียงกันและทะเลาะกันในเรื่องที่ว่าฝ่ายหนึ่งต้องการให้มีการจัดงานศพแบบพุทธมีทำบุญ มีสวดศพเผาศพ และมีมหรสพรื่นเริง เพื่อเป็นการส่งทวดแก้วไปสวรรค์ให้ถือเป็นงานมงคล ไม่อยากให้มีเสียงคร่ำครวญ แต่อีกฝ่ายอยากให้มีพิธีขับกลอนรำพันตลอดเจ็ดคืน เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาของทวดแก้วที่ยังมีชีวิตอยู่ได้แสดงความคารวะทวดในฐานะครู

ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าความคิดตนถูก แต่ในที่สุดลูกหลานฝ่ายที่ว่าพวกตนดูแลทวดแก้วมานานโดยเฉพาะในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตน่าจะมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจเรื่องงานศพ อีกฝ่ายได้ยินอย่างนั้นก็น้อยใจพากันถอนตัวจากการเป็นเจ้าภาพ และจบลงที่การตกลงยอมไม่ให้มีการขับรำพันในงานศพของทวดแก้วแต่เปลี่ยนเป็นจ้างวงลูกทุ่งชื่อดังมาเล่นแทน

งานศพของทวดแก้วดำเนินไปถึงคืนสุดท้ายก่อนวันเผา ฉันยังได้ช่วยงานโดยการวิ่งไปมาเสิร์ฟน้ำและอาหารเลี้ยงแขก คืนนั้นวงลูกทุ่งแสดงอยู่ได้เพียงสองเพลง จู่ๆ ไฟก็ดับพรึ่บลง เมื่อไฟติดขึ้นมาอีกครั้ง ลำโพงขนาดใหญ่ก็กระจายเสียงสวดรำพันพร้อมสะอึกสะอื้นดังโหยหวนกึกก้องไปทั่ววัด สุนัขในวัดพากันเห่าหอนคอตั้งบ่า ขนลุกกรูเกรียว

คณะลูกทุ่งหาที่มาที่ไปของเสียงไม่ได้ เพราะไม่มีใครเปิดเทป ไม่มีใครยุ่งกับเครื่องเสียง พากันปอดแหกรีบเก็บข้าวของออกจากวัดไปโดยที่ไม่ฟังใครห้าม แต่ตอนนั้นทางญาติฝ่ายที่เป็นเจ้าภาพยังคิดว่าญาติอีกฝ่ายอาจจะมากลั่นแกล้งที่งานศพทวดไม่ได้ดั่งใจ

จนเย็นวันรุ่งขึ้น ในพิธีเคลื่อนศพทวดแก้วสู่เมรุ จู่ๆ เกิดมีเมฆดำขนาดมหึมาลอยต่ำลงบดบังแสงอาทิตย์จนมืดครึ้มราวพลบค่ำ อากาศที่กำลังร้อนจัดกลับกลายเป็นเย็นเยือกจนหนาว อากาศอับชื้น หลายคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

ทันใดนั้นเอง บนเมรุเผาศพ ท่ามกลางสายตาหลายร้อยคู่ ปรากฏร่างหญิงชราในชุดไทยมอญซิ่นดำ มุ่นมวยผม นั่งเรียงกันสามคนที่หน้าโลงทวดแก้ว คนเฒ่าคนแก่หลายคนตกใจจนหน้ามืด แต่อีกหลายคนยืนยันว่านั่นคือทวดแหวน ทวดเงิน และทวดทอง ในชุดที่เคยสวมประกอบพิธีร้องไห้หน้าศพ

ตอนนั้นไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้บริเวณเมรุ แม้แต่สัปเหร่อก็ยังโดดลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครสังเกต แล้วเสียงหญิงชราสวดรำพันดังกระหึ่มเศร้าสร้อยก็ดังลงมาจากเบื้องบนเหมือนลำโพงมหึมาตั้งอยู่บนฟากฟ้า

ธูปเทียนบูชาถวาย สิบนิ้วนบน้อมประนมก้มกราบ ท่านอาจารย์แก้วผู้ประสาทวิชาสืบสาน ท่วงทำนองอาลัย บูชาผู้วายปราณ สละร่างเสียแล้วที่นี้ ลูกหลาน ศิษย์เบื้องหลังหลั่งน้ำตา ดั่งต้นโพธิ์ใหญ่ไร้รากแก้ว ล้มลงทั้งยืน เสียงสะอื้นไห้ดังก้องไปถึงฟากฟ้า ขอให้ดวงวิญญาณอาจารย์แก้วไปสู่ภพภูมิแห่งสุคติเทอญ

หลังจากกลอนรำพันแห่งความโศกเศร้าและเสียงร้องไห้โหยหวนตามขนบวิธีของคณะนางร้องไห้แก้วแหวนเงินทองที่ดังขึ้นมาอย่างปริศนาจบลงเมฆต่ำที่ครึ้มดำอยู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆ จางหายไป ฟ้าสว่างขึ้นเรื่อยๆ แขกในงานร่วมกันขึ้นวางดอกไม้จันทน์ สัปเหร่อจุดไฟเผาศพของยายทวดแก้ว ไฟลุกโชติช่วง เมื่อควันสีขาวบริสุทธิ์ล่องลอยจากพวยเตาเมรุเผาศพหายขึ้นไปบนฟ้า ลูกหลานทั้งสองฝ่ายและศิษย์ทวดแก้วต่างน้ำตาไหลพรั่งพรู ก้มลงกราบส่งดวงวิญญาณของแม่ครูให้ไปสู่สุคติ



หลอน- นทธี ศศิวิมล
http://daily.khaosod.co.th


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 16 มีนาคม 2559 20:07:33
.

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSPv1WO7iPFGJX8FV7o3k7Uj2sry4Aj7Z9LOeEEBzMyQC_y2vHI)
ร่างทรงเสือสมิง
กลางหมู่บ้านของฤชาเป็นบ้านเป็นสำนักทรงพ่อปู่เสือสมิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่ผู้ที่มีความเชื่อในด้านนี้ แต่ฤชารังเกียจคนพวกนี้ ที่อาศัยความสิ้นหวัง ความทุกข์ ความไม่รู้ของชาวบ้าน หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง อ้างว่าเป็นผู้วิเศษ สามารถดลบันดาลอะไรต่ออะไรได้ เพียงแลกกับค่าครูไม่กี่ร้อยบาท

ชาวบ้านหลายคนเดินทางมาจากจังหวัดห่างไกล บางคนป่วยเป็นโรคร้าย โรคเรื้อรัง สิ้นหวัง หอบเอาเงินก้อนสุดท้ายและความหวังมาหาพ่อปู่เสือสมิง พ่อปู่ที่ว่าก็มักจะให้ยาน้ำมาแลกกับค่าครู ใครบังเอิญหายก็ว่าเป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของพ่อปู่ ใครไม่หายตายไป ก็จะอ้างว่าเป็นกรรมแต่ชาติปางก่อน เป็นเจ้ากรรมนายเวรบ้างอะไรบ้าง ลงท้ายด้วยการเป็นล่ามสื่อสารระหว่างญาติกับวิญญาณคนตาย หาเงินมาทำบุญสะเดาะเคราะห์กับแกได้อีกต่อ

"ดูสิมันมีชีวิตสุขสบาย มีเมียสาวหลายคน มีคนห้อมล้อมปรนนิบัติ ก็จากเงินใคร เงินคนโง่ทั้งนั้น" ฤชาตำหนิและประชดประชันทำนองนี้เสมอ เขาพยายามห้ามญาติพี่น้องและคนรู้จักแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ แถมยังต่อว่าฤชา ทำให้ฤชาเกลียดสำนักร่างทรงนี่ และพยายามแช่งชักหักกระดูกให้พ่อปู่ตายไปเสียเร็วๆ

ไม่รู้ว่าโชคช่วยหรือฤชาศักดิ์สิทธิ์กว่าพ่อปู่ เพราะไม่นานหลังจากที่ฤชาเริ่มแช่ง พ่อปู่ก็เริ่มป่วย ป่วยพิลึกพิสดารด้วยอาการเหมือนของขึ้น ลูกศิษย์พูดตรงกันว่าเสือสมิงลงทรงพ่อปู่ไม่ยอมออก ไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ ร้องจะกินแต่เนื้อหมูเนื้อวัวดิบๆ กลัวไฟธูปไฟเทียน คลานสี่ขา บางทีก็ปีนเสาบ้านขึ้นไปห้อยบนขื่อ ครางฮื่อๆ เหมือนเสือระแวงอยู่ตลอดเวลาและลายสักเสือโคร่งที่กลางหลังก็แดงปลั่งเข้มขึ้นอย่างน่าประหลาด

หลายคนจะพาพ่อปู่ไปโรงพยาบาล แต่แกไม่ยอม ช่วงที่คุยกันรู้เรื่องแกว่าแกป่วยเพราะมีคนแช่ง คนที่ไม่ยอมรับนับถือแกที่ดวงแข็งกว่า แต่ลูกศิษย์บางคนกระซิบกันว่า พ่อปู่รู้ว่าฤชาเกลียดและยุยงชาวบ้าน เลยเสกของใส่ทว่าของเด้งกลับเข้าตัวเอง ฤชานึกสมน้ำหน้า เที่ยวบอกชาวบ้านว่าอาการที่แกเป็นนั่นมันโรคพิษสุนัขบ้าชัดๆ ของเขิงอะไรที่ไหน ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงทำไมแค่นี้รักษาตัวเองไม่ได้

จนวันท้ายๆ ที่พ่อปู่เริ่มไม่ได้สติ ก่อนตายเฮือกสุดท้าย แกสั่งไว้ว่าให้แห่ศพรอบหมู่บ้าน ถึงบ้านไหน บ้านนั้นต้องออกมาไหว้ ถ้าใครไม่ออกมาแกจะตามจองเวรจนกว่าจะยอมกราบขอขมาแก ข่าวนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็ว

รุ่งขึ้นมีการแห่นำด้วยรูปเสือโคร่งและโลงศพพ่อปู่ พร้อมรถปี่พาทย์นางหงส์และนางร้องไห้ มาร้องไห้หน้าศพอีกสองคน ร้องโหยหวนชวนขนลุกเป็นอย่างยิ่ง แห่จากหน้าหมู่บ้านเข้าไปข้างในเรื่อยๆ

ฤชาได้ยินเสียงแห่ศพมาแต่ไกล แม่ของฤชาพยายามลากลูกออกไปให้ได้ แต่ฤชาไม่สนใจหนีขึ้นห้องล็อกประตู ทว่าแอบดูอยู่ทางหน้าต่าง

ขบวนแห่และเสียงปี่เค้นๆ หนักๆ ของวงปี่พาทย์ในเพลงมอญร้องไห้ดังใกล้เข้ามา ผ่านบ้านใดคนในบ้านนั้นก็พากันออกมานั่งไหว้ บางบ้านก็ออกมาไหว้เหมือนให้จบๆ ไป แต่บางบ้านเตรียมธูปเทียนดอกไม้พร้อมซองทำบุญหนาๆ มาด้วย ฤชาเบะปากส่ายหน้า ตายแล้วยังจะรบกวนชาวบ้านอีก

จนในที่สุดขบวนมาถึงหน้าบ้านฤชา เขาเห็นพ่อแม่และน้าๆ ออกไปนั่งไหว้ปลกๆ แล้วนึกขายหน้าพลางฉุนกึกขึ้นมา จึงปิดหน้าต่างปิดม่านไม่อยากรับรู้ คิดว่าหลังจากนี้ไปคงจบๆ กันเสียที

แต่คืนนั้นเองฤชาครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกร้อนทั้งที่นอนในห้องปรับอากาศ เหมือนหายใจไม่สะดวก พอลืมตาขึ้นมาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเห็นร่างเสือโคร่งขนาดใหญ่ตัวสีส้มแดงราวเปลวไฟยืนคร่อมร่างเขาอยู่ ความรู้สึกชัดเจนขนาดได้กลิ่นเหม็นสาบสัตว์คลุ้งอยู่ในจมูกและลมหายใจร้อนชื้นที่พุ่งปะทะใบหน้า เสือยักษ์แยกเขี้ยวขาวโง้งขู่คำรามเสียงดังกึกก้องก่อนที่จะค่อยๆ สลายร่างไป ฤชาลุกนั่ง ใจเต้นตุบตับ เหงื่อไหลโซมกาย ความรู้สึกเมื่อครู่สมจริงเกินกว่า แค่ความฝัน แต่เขาก็ยังไม่อยากยอมรับ

วันต่อๆ มาเสือโคร่งลึกลับยังคงปรากฏกายต่อเนื่องทุกครั้งที่เขาเอนตัวนอนจนแทบไม่กล้านอน ฤชายังพบเรื่องประหลาด คือมักมีของแปลกๆ อย่างฟันมนุษย์ที่ยังเปื้อนเลือดสดๆ เส้นผมคนทั้งกระจุก หรือเศษเล็บที่ทาสีแดง ตกอยู่บนที่นอนของเขา กลิ่นสาบก็อยู่ในจมูกฤชาตลอดเวลา ทำให้คลื่นไส้กินอะไรไม่ได้

ตลอดงานศพพ่อปู่ทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น จะมีชาวบ้านหลายคนรวมทั้งลูกศิษย์พ่อปู่มายืนด่าเขาอยู่หน้าบ้านยิ่งถูกด่าเขาก็ยิ่งโกรธ มิหนำซ้ำพ่อแม่ยังมาตำหนิเขาอีก จนที่สุดก็นึกบางอย่างออก

วันเผาศพ ที่บันไดเมรุเขาขย้อนอาเจียนออกมาเป็นเส้นผมจำนวนมาก ก่อนหมดสติเขาแอบยิ้มกับตัวเอง

ฤชาตื่นขึ้นมาเห็นตัวเองเป็นพ่อปู่เสือสมิงเสียเอง ยกมือยกไม้ออกท่าออกทางจนลูกศิษย์พ่อปู่ก้มลงกราบ

ฤชาย้ายไปอยู่บ้านพ่อปู่ ครอบครองทุกอย่างที่เคยเป็นของพ่อปู่ แม้แต่เมียสาวหลายคนของพ่อ


ยกโลง
เรื่องนี้เกิดเมื่อประมาณสามสิบปีก่อนในงานศพของลุงผม อาแป๊ะหรือลุงเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง จากไปในวัยหกสิบปี ซึ่งว่าไปแล้วก็ยังไม่แก่เลย ก่อนแกจะตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายก็ดูแข็งแรงดี ลุงทำงานเป็นผู้จัดการแพปลาแห่งหนึ่ง ตั้งแต่เข้าวัยรุ่นลุงก็คลุกคลีตีโมงทำงานที่แพปลาแห่งนั้นจนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการแพปลาในวัยเพียงสามสิบต้นๆ

หลายร้อยชีวิตที่ทำงานที่แพปลาแห่งนั้นรักลุงผมมาก เด็กๆ ลูกแม่ค้า ลูกคนคัดแยกปลาจะรักลุงเป็นพิเศษ ลุงแกใจดี ปลาตกพื้นระหว่างการแบกขนซึ่งใช้ตะกร้าทูนขึ้นไหล่ ก็จะปล่อยให้เด็กๆ วิ่งแย่งกันเก็บ ลุงบอกว่าเด็กพวกนี้มักมาจากครอบครัวยากจน ปล่อยเขาเถิด ปกติชาวบ้านและเจ้าของเรือจะไม่เก็บปลาตกพวกนี้ เขาถือเป็นเคล็ด ในแต่ละวันจะมีคนงานมาโกยๆ ตอนเสร็จงานเอาไปขายในราคาถูกหรือนำไปทำอาหารสัตว์ (สมัยก่อนปลาในทะแลและแม่น้ำนั้นหาง่าย ไม่เหมือนทุกวันนี้) หรือยามมีปัญหาลุงก็จะคอยช่วยเหลือสารพัดเรื่องแม้แต่เรื่องเงินๆ ทองๆ ในงานศพลุงจึงมีคนจากสะพานปลาและแพปลามาช่วยงานมาก แม้แต่เด็กๆ ที่เคยเก็บปลาตกก็ไม่พลาดกัน งานศพลุงจึงต้มข้าวต้มปลาเลี้ยงแขก ด้วยปลาดีๆ อร่อยๆ ตลอดห้าคืนของการสวด

เนื่องจากเป็นงานศพอย่างชาวคาทอลิกเชื้อสายจีน จึงไม่ได้เผาแต่ฝังศพแทน ลุงผมมีลูกชายเพียงคนเดียว อายุมากกว่าผมสิบปีชื่อเฮียปิง ตอนนั้นผมยังหนุ่มแน่นยี่สิบต้นๆ ที่ผมเล่าอย่างนี้เพราะตามธรรมเนียมคนไทยเชื้อสายจีนจะมีการแบกโลงศพไปฝัง ตามความเชื่อแล้วคนแบกโลงจะได้บุญมาก ปกติจะให้ลูกชายที่มีทั้งหมดมาช่วยหาม การแบกโลงไปฝังจะใช้กันหกคน ยกกันฝั่งละสามคน หากมีลูกชายไม่ครบหกก็จะเรียกใช้ญาติ หากไม่ครบอีกค่อยหาคนอื่นหรือจ้างมาหาม ในงานวันนั้นจึงมีหลายคนเสนอตัวช่วยแบกโลง นอกจากเฮียปิงแล้วก็มีผม ย้งและฮ้งที่เป็นหลาน อีกสองคนได้พี่พจน์ ลูกน้องของลุงและพี่จามร เพื่อนบ้านสนิทกันมาช่วยอย่างเต็มใจ

ก่อนจะยกป้าสะใภ้ซึ่งผมเรียกว่าอาอึ้ม ก็มาพูดทำนองเตือนกับทุกคนโดยเฉพาะกับลูกชายแกเฮียปิง(ซึ่งชอบพูดเล่นไปเรื่อยๆ ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าปากไม่มีหูรูด หรือปากพล่อย) ว่า อย่าบ่นว่าหนักตลอดทางที่แบกไปถึงหลุม ทุกคนรับคำอย่างดี มีก็แต่เฮียปิงที่พูดขึ้น

"อาป๊าตัวก็ไม่ใหญ่ มีตั้งหกคน สบายมาก"

อาอึ้มรีบสวนกลับ "อย่าทำปากดีไป พูดให้คิดมั่ง"

เฮียปิงไม่โต้ตอบ เอาแต่หัวเราะตามอุปนิสัยของแก

โลงศพตั้งอยู่ใกล้แท่นพิธี เมื่อได้เวลามีคนส่งสัญญาณ คนแบกโลงทุกคนก็ลุกไปที่โลงศพซึ่งตั้งอยู่บนคานไม้ หันหน้าไปทางไม้กางเขนในโบสถ์ เฮียปิงแกตัวใหญ่ประจวบกับเป็นลูกชาย ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งจึงบอกให้เฮีย ปิงอยู่ตำแหน่งหัวโลงด้านขวา อีกฝั่งให้พี่พจน์ซึ่งตัวใหญ่เช่นกันยก อีกสองมุมให้ย้งกับพี่จามรดูแล ผมกับฮ้งอยู่ตรงกลางคนละฝั่ง

ถึงพิธีการแห่ศพไปสุสาน พระสงฆ์ผู้ทำพิธีเดินนำ ญาติผู้ใหญ่ให้สัญญาณเราก็ยก หนึ่ง ส่อง ส้ำ แล้วเราก็ยกพร้อมกัน เวลานั้นผมไม่รู้สึกหนักอะไรเลย ใจก็คิดว่าอาแปะแกก็ตัวไม่ใหญ่ แกสูงราว 160 ซ.ม.หนักไม่น่าจะเกิน 60 กิโลกรัม สบายอยู่แล้ว เมื่อขบวนออกเดินพร้อมเสียงเพลงในโบสถ์ดังขึ้น จากหน้าแท่นพิธีไปถึงหน้าวัดระยะทางไม่เกิน 50 เมตร ผมยังแบกสบายๆ เหมือนไม่ได้ยกอะไรเลย

ถึงช่วงประตูทางออกต้องเลี้ยวขวาไปยังสุสาน คนออแน่นกันเต็มไปหมด เนื่องจากคนมาร่วมงานล้นโบสถ์ จึงมีการกางเต็นท์และเก้าอี้ให้แขกที่เข้าไปในโบสถ์ไม่ได้ร่วมพิธีอยู่บริเวณนี้ เวลาเลี้ยวจึงเลี้ยวลำบาก ประจวบกับติดเสาเต็นท์และเก้าอี้ จึงต้องยกโลงให้สูงขึ้นระดับเอว ก่อนหน้านี้ผมก็ยังยกสะดวก ไม่รู้สึกหนักอะไร แต่จังหวะต้องยกให้สูงขึ้นและสถานที่ที่ไม่สะดวก

ทันใดอย่างไม่คาดคิดเฮียปิงก็พูดขึ้น "ทำไมหนักขึ้นวะ" พวกเราที่เหลือมองหน้ากัน ผมนึกถึงคำเตือนของอาอึ้ม

โลงหนักขึ้นจริงๆ ทันทีที่เฮียปิงพูดจบ เหมือนมีคนราวร้อยคนกระโดดไปนั่งทับโลงที่พวกเราแบกกันอยู่ โลงหนักมากอย่างไม่มีเหตุผลและอย่างปัจจุบันทันด่วน พี่พจน์และ พี่จามรที่ว่าตัวใหญ่ๆ ถึงกับหน้านิ่ว คิ้วขมวด แขนเกร็งและเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก ระยะทางที่เหลือกว่าอีกสามสี่ร้อยเมตรจึงเหมือนเราแบกหินเป็นตันๆ ให้ค่อยๆ เคลื่อนไปทีละนิ้วทีละเซนต์

หลังเสร็จพิธีไม่เพียงผมที่ปวดแขนมาก คนอื่นๆ ก็ร้องบ่นกันเป็นแถว จนอาอึ้มมาถามไถ่ พวกเรามองหน้ากัน เพราะรู้สึกเกรงใจเฮียปิง อาอึ้มจึงพูดขึ้น "ไอ้ปิงมันปากหมาอีกล่ะสิ"

หนักจริงๆ ครับ ใครไม่โดนกับตัวอาจจะหาว่าเหลวไหล หลอกลวง ไร้สาระ แต่นี่ผมเจอกับตัวเองจังๆ ห้ามพูดคำว่าหนักระหว่างแบกโลงศพไปสุสานนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน





(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQGx0TfeRsB9pCLGouKewu5s6Srt-3nvvmNgtrjqVMpGLWHi5OCmA)

ชายชราหลังค่อม

บนถนนสายหนึ่งกลางเดือนธันวาคมคืนนั้นผมกำลังขับรถกลับบ้าน รถเกิดดับ สตาร์ตอย่างไรก็ไม่ติด ถนนโล่งไม่มีรถผ่านมาสักคัน ผมเองไม่มีความรู้เรื่องเครื่องยนต์กลไกเสียด้วย จึงคิดจะโทร.เข้าจส.100 แต่แบตเตอรี่ดันหมดอีก กำลังหัวเสียอยู่ เหลือบไปเห็นชายชราหลังค่อมเดินอยู่ข้างรถ วินาทีนั้นแกหันมาสบตาพอดี แกค่อยๆ เดินงุ่มง่ามมาหาผม บอกตามตรงรูปร่างและสารรูปแกดูน่ากลัวมาก ผมไม่กลัวว่าเป็นโจรหรอก ถ้ามาสภาพอย่างนี้ผมนึกถึงผีลูกเดียว!

ในรถยนต์ที่ว่าเย็นแต่เหงื่อผมกลับแตกพลั่ก ผมกดหลังชิดแนบเบาะแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ เหมือนเฝ้ารอบางอย่างที่น่ากลัวใกล้เข้ามา ยามนั้นไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ เฝ้าคิดว่าถ้าคือผีก็ขอให้อย่าได้น่ากลัวเกินไปหรือหลอกหลอนจนขี้หดตดหายเลย ผ่านคืนนี้ไปจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ระหว่างผมหลับตาพลางพนมมือนึกอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเคาะกระจกดังโป๊กๆ เล่นตาสะดุ้งโหยง ผมค่อยๆ เปิดเปลือกตาช้าๆ ชายชราก้มหน้าแนบชิดกระจกมองเข้ามา แกเคาะกระจกอีกรอบ หน้าตาแกดูโบราณเก่าแก่มาก เหมือนแกเดินมาจากเมื่อร้อยปีก่อนแล้วมาโผล่ปี พ.ศ.2558 นี่ ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก แกทำมือเป็นวงกลมให้ผมเข้าใจว่าเปิดกระจกหรือเปิดประตูรถก่อน

ไม่รู้เพราะเหตุใดตอนนั้นผมกล้าเปิดกระจกลง ซึ่งก็คิดถูก เมื่อผมลดกระจกรถลง ชายชราก็พูดช้าๆ เสียงแกเบามาก ถ้าไม่ตั้งใจฟังไม่ได้ยินแน่ แกพูดว่า "รถเสียใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ

แกบอก "เดี๋ยวลุงดูให้ ลุงเป็นช่างเก่า"

ผมยกฝากระโปรงรถขึ้น แกเดินงุดๆ ไปมุดๆ อยู่ แล้วก็หันมาตะโกนบอก แต่ผมไม่ได้ยินแกเลย เลยเปิดประตูรถออกไปถาม ข้างนอกรถหนาวมาก ผมสงสัยขึ้นมาทันทีว่าแกมาเดินทำไมท่ามกลางอากาศหนาวเย็นขนาดนี้ แกอ้าปากพูด ผมไม่ได้ยินเหมือนเคย จึงเดินไปหาแก

"ลุงบอกให้สตาร์ต ไม่เข้าใจหรือ"

ครับๆ ผมรีบรับคำแล้วก็กลับไปสตาร์ต ปรากฏว่าแค่ทีเดียวเองรถก็ติด ผมดีใจมากรีบลงไปขอบคุณแก แกตอบว่าไม่เป็นไร

"พ่อหนุ่มเคยช่วยลุงเมื่อชาติที่แล้ว"

ผมงงกับคำพูดของแก ยิ่งบรรยากาศและความมืดมีส่วนเอื้อให้ดูแปลกแยกราวกับไม่ได้อยู่บนโลก ผมได้แต่ยิ้ม ใจนึกหวาดๆ แกเป็นคนปกติหรือเปล่านะ ทั้งที่อากาศหนาวแต่เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เหมือนแกจะรู้ แกพูดว่า "พ่อหนุ่มไม่ต้องกลัวลุงหรอก เดี๋ยวลุงก็จะไปแล้ว ลุงมาตอบแทนคุณเท่านั้น"

"อะไรนะลุง"
"ลุงบอก เดี๋ยวลุงก็ไปแล้ว"
"ลุงมาตอบแทนผม ผมเคยทำอะไรให้"
ผมพูดไม่ทันขาดคำ ลุงแกก็หัวเราะเห็นฟันดำๆ เต็มปาก "พ่อหนุ่มคงจำไม่ได้หรอก ลุงเข้าใจ ลุงจะเล่าให้ฟัง เมื่อชาติก่อนพ่อหนุ่มเป็นคนขับรถขนดิน ส่วนลุงเป็นคนธรรมดานี่แหละ ไม่ได้แตกต่างจากพ่อหนุ่ม ลุงทำงานบริษัทแต่ลุงถูกเพื่อนร่วมงานที่ทรยศหักหลังหลอกมาฆ่าแล้วฝังลุงไว้ พ่อหนุ่มไปขุดหน้าดินขายตามเจ้านายสั่ง ขุดแล้วก็โกยใส่รถ ตอนนั้นค่ำๆ รถที่พ่อหนุ่มขับขนดินไปเทอีกที่ ระหว่างที่รถเทดิน ศพลุงก็ไหลลงมา พ่อหนุ่มได้ยินเสียงแปลกๆ และเกิดเอะใจ จึงหยุดลงไปดูก็พบศพลุง พ่อหนุ่มไปแจ้งตำรวจ ความช่วยเหลือนี่เองที่ทำให้คดีคลี่คลายและญาติลุงได้นำศพลุงไปทำบุญไปฝัง ทำให้ลุงได้ไปผุดไปเกิดใหม่"

ฟังถึงตรงนี้ผมนิ่ง เป็นความนิ่งที่รู้สึกกลัวจับใจ ลุงแกจะมายังไงของแกนะ แกยังไม่ยอมหยุด แกยังเล่าต่อ "เราคงทำบุญร่วมกันมา ก่อนหน้านี้สองสามชาติ พ่อหนุ่มก็ช่วยเหลือลุงมาตลอด เราเคยเป็นทหารของพระเจ้าตากรบกับพม่า ในคราวตอนกรุงจะแตก หักวงล้อมพม่าหนีออกมา ลุงถูกพม่าฟันบาดเจ็บก็ได้พ่อหนุ่มที่เป็นทหารเหมือนกัน หอบหิ้วพารอดมาได้ อีกชาติก็ตอนสมัยรัชกาลพระพุทธเจ้าหลวง สมัยที่เพิ่งตัดถนนเจริญกรุงใหม่ๆ เราเป็นไพร่ถูกเกณฑ์มาทำถนนด้วยกัน ลุงเจ็บป่วยก็ได้พ่อหนุ่มช่วยหาหยูกยามาดูแล ล่าสุดก่อนจะถึง ชาติที่แล้ว ลุงเป็นทหารไปรบอินโดจีน พ่อหนุ่มก็ไปด้วย ลุงถูกยิงบาดเจ็บก็ได้พ่อหนุ่มช่วยอีก บุญคุณที่ตกมาแต่ละชาติ ทำให้ลุงต้องตามมาชดใช้พ่อหนุ่มและคงชดใช้ไปอีกหลายๆ ชาติ"

ผมรู้สึกคอเหนียว หิวน้ำชะมัด "ลุง รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง"

"ลุงรู้ได้ยังไงหรือ" แกพูดแล้วก็หัวเราะฮึๆ ไม่พูดต่อ แกหันหลังเดินค่อมๆ ลงป่าหญ้าข้างทางแล้วหายไป ผมยืนงงเป็นบื้อใบ้ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองแกเดินลงข้างทางหายไปดื้อๆ

ทุกวันนี้ผมยังไม่รู้ว่าแกคือใคร มาจากไหน ยามที่ผมเดินทางผ่านถนนเส้นนั้น ก็อดคิดถึงเรื่องในคืนนั้นไม่ได้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/49600545813639_14594118201459411831_1_.jpg)

ศาลตายาย
เมื่อหลายปีก่อนตรงทางโค้งทางเข้าหมู่บ้านมีศาลตายายตั้งอยู่ศาลหนึ่ง ถามใครก็บอกว่ามีมาก่อนหน้านี้นานแล้ว ศาลตายายนี้ก็เหมือนที่ไหนๆ ที่เคยเห็น เป็นศาลาทรงไทยหรือบ้านทรงไทย ที่ตรงทางโค้งก็เช่นกัน

ผมไม่ค่อยเห็นคนมาถวายอาหารคาวหวาน ศาลก็ดูโทรมๆ สกปรก เคยถามพ่อค้าแม่ขายก็บอกว่าขออะไรก็ไม่เคยได้เคยถูก คงหมายถึงหวยล่ะมั้ง มิน่าสภาพถึงดูซอมซ่อนัก

วันนั้นผมกลับบ้านดึก รถยนต์ผมเสีย ต้องเข้าอู่ซ่อม อาศัยรถเมล์เป็นพาหนะไปกลับที่ทำงาน ผมลงรถแล้วก็แวะซื้อบะหมี่เกี๊ยวสองถุงฝากแม่ด้วย ซื้อแล้วก็เดินเข้าหมู่บ้าน ระยะทางราวหกเจ็ดร้อยเมตร ผมเดินอย่างเรื่อยๆ ตากลมเย็นๆ ที่พัดมาจากแม่น้ำซึ่งไม่ไกลจากบ้านผม เดินไปได้ราวสองร้อยเมตรสายตาพลันเหลือบไปเห็นชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ริมทาง เท้า ตอนแรกก็เฉยๆ เพราะเคยเห็นลุงคนหนึ่งชอบออกมาเดินมานั่งเล่น หรือบางทีก็ยืนสูบบุหรี่เพลินๆ เคยหยุดคุยกับแกก็หลายครั้ง แต่วันนั้นกลับมียายแก่ๆ นั่งอยู่ด้วย

กำลังจะเดินผ่านที่สองคนก้มหน้านั่งอยู่ ก็ได้ยินเสียงสะอื้น คนแก่ร้องไห้ไม่ใช่เรื่องน่าดูเลย ผมสงสารจึงถาม "ลุงป้า ทำไมมานั่งร้องไห้ตรงนี้"

ทั้งสองคนยังร้องไห้ฮือๆ ไม่ตอบคำถาม เมื่อถามอีกครั้ง แกจึงชี้นิ้วไปยังข้างหน้า ทว่ามันมืด ทางเดินแถบนี้ไม่มีไฟทาง อาศัยเพียงแสงสว่างจากบ้านช่องใกล้เคียงแถวนั้นพอส่องให้เห็นทาง ผมจึงไม่รู้ว่าแกชี้นิ้วไปทางไหน

"มีอะไรให้ผมช่วยไหม" ผมถาม ลุงป้าแกไม่ตอบ เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ผมจึงลงนั่งข้างๆ กุมมือป้าแล้วถามซ้ำ มือป้าแกเย็นมาก แถมซีดมากด้วย แต่ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้ เวลานั้นเรื่องร้องไห้สำคัญกว่า เมื่อผมถามครั้งที่สามซ้ำด้วยคำถามเดิม คราวนี้ป้าที่ผมกุมมืออยู่เป็นฝ่ายตอบ

"มีคนมาทำลายบ้านป้ากะลุง เละไม่เหลือซากเลยพ่อหนุ่ม"

"ฮะ อะไรนะ" ผมตกใจ "บ้านลุงป้าหลังไหน แล้วนี่ไม่มีใครเลยหรือ ลุงแจ้งตำรวจยัง เรื่องมันเป็นไง" ผมยิงคำถามไปหลายคำถามอย่างคนตกใจ

"ยัง ลุงไม่รู้ทำไง" คราวนี้ลุงตอบแล้วก็ก้มหน้าซุกกับฝ่ามือ

"ไหน ลุงป้าพาผมไปดูบ้าน อยู่ตรงไหน"

"โน่น" ลุงพูดพลางชี้ไปทางเดิมอีก ผมนึกว่าเกิดเรื่องแบบนี้คนไม่สนใจลุงป้าแก่ๆ สองคนเลยหรือ ปล่อยให้มานั่งตากน้ำค้างดึกดื่นมืดค่ำอย่างนี้ จะไม่ใจดำไปหน่อยหรือไง

เวลานั้นเองเสียงโทรศัพท์เรียกเข้าจากแม่ก็ดังขึ้น แม่รีบถามทันที "อยู่ไหนนี่ ยังไม่กลับอีกรึ"

"ถึงบ้านแล้วแม่ กำลังเดินอยู่ ผมซื้อบะหมี่เกี๊ยวฝากแม่ด้วยนะ เดี๋ยวกินกัน"
"นี่แกกำลังเดินเข้ามาหรือ ทำไมไม่นั่งมอ'ไซค์วินล่ะ"
"เปล่าแม่"
"เอ่อ แล้ว..." แม่หยุดไป เหมือนกำลังคิดจะพูดอะไรสักอย่าง
"มีอะไรหรือแม่"
"เปล่าๆ แกเข้ามาก่อนเถอะ เดี๋ยวแม่ค่อยเล่าให้ฟัง"

"เอ่อ แม่" ผมตอบแม่ พอหันกลับมาทางลุงป้าก็หายไปแล้ว ทำไมเร็วจัง ผมจึงตัดสินใจเข้าบ้านก่อน เอาบะหมี่เกี๊ยวฝากแม่ ค่อยคุยกับแม่ เรื่องลุงป้านี่แม่อาจจะรู้เรื่อง แม่อยู่บ้านทั้งวัน

ทันทีที่ถึงบ้าน แม่ซึ่งรออยู่หน้าประตูก็รีบดึงมือผมเข้าบ้าน ก่อนจะพูดอย่างคนตื่นเต้น "แกเดินเข้ามาเห็นอะไรมั้ย"

"เห็นอะไรแม่ ผมไม่เข้าใจ"

"นี่ แกฟังนะ วันนี้ตอนสาย มีคนมาทุบศาลตายายทิ้ง ทุบอย่างโมโห พอคนเข้าขวาง มันก็ด่า บอกว่ามันนี่แหละเป็นคนสร้างศาลเมื่อสิบกว่าปีก่อน คุยไปคุยมาถามไถ่กันตอนทุบเสร็จถึงได้รู้เรื่อง

"เรื่องอะไร"

"ผู้ชายคนนั้นบอกว่ายี่สิบกว่าปีก่อน ลูกสาวแกมามอเตอร์ไซค์คว่ำตายตรงที่ตั้งศาลนั่น ตอนนั้นยังไม่มีหมู่บ้านจัดสรร แถวนี้ยังเป็นทุ่งโล่งอยู่เลย มีหมอดูบอกให้ตั้งศาลแล้วเอาตุ๊กตาตายายมาวางในศาลด้วย หลังจากแกทำตาม แกก็ไม่ได้ผ่านมาแถวนี้อีกเลย ทีนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนแกกลับฝันถึงลูกสาวที่ตายไปแล้ว ลูกสาวแกมาบอกว่ามีตายายมายึดบ้าน ไล่ลูกแกออกมา ลูกแกเลยมาเข้าฝันบอกพ่อ ตาคนนั้นก็เลยจุดธูปบอกตายายว่าให้คืนบ้านให้ลูก ตายายมาเข้าฝันบอกว่าจะไม่ไป แกบอกแต่แรกแกก็ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นศาลตายายอยู่แล้ว ในเมื่อแกสร้างเองได้ แกก็ทุบเองได้ แกก็เลยทุบ"

"มิน่า ผมถึงเห็นตายายนั่งร้องไห้"
"ฮ้า แกเห็นเหมือนกันหรือ" แม่ถามอย่างตกใจ

"ผมเห็นลุงป้าคู่หนึ่งนั่งร้องไห้อยู่ระหว่างทาง แต่ผมไม่เห็นศาลแล้วนะ นั่นน่ะสิ ทำไมผมไม่นึกก็ไม่รู้"

"นั่น น่ะสิ เฮี้ยนมาก โดนทุบปั๊บ ออกมาร้องทุกข์ชาวบ้านทันที มีคนเห็นตั้งแต่หัวค่ำแล้ว แกไม่ใช่คนแรก ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครเห็น พอลำบากปุ๊บโวยวายเลย ฮ่าฮ่า" แม่ผมหัวเราะเสียงดัง ผีก็ไม่ต่างจากคนเลย

หลอน- นทธี ศศิวิมล
http://daily.khaosod.co.t


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 27 มิถุนายน 2559 11:48:54


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/80308655359678_view_resizing_images_3_.jpg)

เด็กระลึกชาติ
ใครๆ ก็ว่ากันว่าน้องจอมลูกสาวของฉันเป็นเด็กน่ารัก ร่าเริง ยิ้มเก่ง แต่ทว่าเธอเป็นเด็กที่พูดช้ากว่าเกณฑ์ไปมาก เพราะตอนนี้สามขวบแล้ว แต่ยังพูดแบบเป็นประโยคได้ไม่กี่ประโยคและพูดไม่ค่อยชัดเสียด้วย ญาติพี่น้องของฉันและสามีที่มาเยี่ยมจอมบ่อยๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน้องจอมอาจจะมีความผิดปกติเรื่องของพัฒนาการ แต่ฉันเองพาลูกไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนหลายครั้งหมอก็ยังระบุว่าน้องจอมปกติดีทุกอย่าง เพียงแต่อาจจะพูดช้าหน่อยเท่านั้น ปีหน้าน้องจอมต้องเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว ฉันกังวลที่ลูกยังไม่ค่อยพูด เพราะกลัวจะสื่อสารกับเพื่อนๆ หรือคุณครูไม่เข้าใจ แล้วลูกจะอยู่โรงเรียนลำบาก

แต่แล้วเช้าวันหนึ่ง ฉันก็ต้องตกใจ เมื่อเห็นลูกตื่นขึ้นมานั่งเหม่อตาค้าง ท่าทางเหมือนกำลังกลัวอะไรบางอย่าง พอฉันถามแกก็ร้องไห้โฮ พูดประโยคยาวๆ ชัดเจนว่า "แม่ขา ช่วยลูกหนูด้วย มันจับลูกหนูไปขังไว้ มันฆ่าหนูแล้วจับลูกหนูไปขังไว้" ฉันกอดลูก และเข้าใจว่าแกฝันร้าย

"จอม หนูฝันไปนะลูก ฝันร้าย หนูเพิ่งสามขวบหนูจะมีลูกได้ยังไงจริงไหม ตอนนี้ตื่นแล้วไม่มีอะไรแล้วนะคะ ไม่ต้องกลัว"

แต่เพียงพักเดียวลูกก็หยุดร้องไห้ไปเฉยๆ แล้วเอนตัวลงนอนต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วพอตื่นอีกทีถามถึงเรื่องนี้ก็บอกว่าจำไม่ได้เสียแล้ว

ฉันคงจะลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้วหากว่าวันต่อๆ มาลูกไม่เกิดอาการเช่นเดิมอีก และเกิดขึ้นหลายครั้งในวันเดียว บางทีลูกกำลังนั่งเล่นอยู่ดีๆ ก็ชะงัก ร้องไห้ออกมาแล้วพูดประโยคเดิมๆ คือ "ช่วยลูกหนูด้วย มันจับลูกหนูไปขังไว้ แล้วมันก็ฆ่าหนู มันเอาเชือกรัดคอหนูจนตาย" แต่แค่พักเดียวลูกก็จะหยุดร้องไห้แล้วกลับมานั่งเล่นต่อเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ครั้งหลังๆ สามีและแม่สามีนั่งอยู่ด้วยถึงกับขนหัวลุก บอกว่านี่มันผิดปกติมากๆ แล้ว สามีนึกเลยไปถึงเรื่องกลัวว่านี่จะเป็นอาการทางสมองอะไรหรือเปล่า แต่แม่สามีมองว่าผีเข้าให้ไปทำบุญ

ฉันไม่เลือกเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เพื่อความสบายใจของทุกคน ฉันพาลูกไปหาหมอเด็กที่พบประจำ ซึ่งหลังจากการตรวจน้องจอมอย่างละเอียด แล้วก็ไม่พบอาการผิดปกติใดๆ คุณหมอยังว่า อาจจะเป็นเรื่องของเพื่อนในจินตนาการที่เด็กวัยนี้จะมีเป็นเรื่องปกติ ต่อจากนั้นก็พากันไปทำบุญตามคำแนะนำของแม่สามี ทั้งทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร รดน้ำมนต์ ถวายสังฆทานจนเรียบร้อยก็พากันกลับบ้าน

แต่ระหว่างทางกลับบ้านนั้นเอง ขณะที่ขับรถผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง จู่ๆ น้องจอมที่กำลังร่าเริงอยู่ดีๆ ก็เริ่มทำท่ากลัวและเริ่มร้องไห้ ฉันกอดลูกไว้แนบอก ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ยอมบอก แต่ดวงตาจ้องออกไปนอกหน้าต่างรถเหมือนกำลังหวาดระแวง ลูกร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านหมู่บ้านจัดสรรเก่าแก่หมูบ้านหนึ่ง ลูกหันไปมองแล้วร้องกรี๊ดๆ ดิ้นไม่ยอมหยุด จนแม่สามีและสามีตกใจ หยุดรถแล้วมาช่วยกันดูน้องจอม น้องจอมหวีดร้อง เบิกตาโตด้วยความหวาดกลัวแล้วชี้นิ้วไปทางหมู่บ้านนั้น

แม่ค้าข้างทางและคนที่ผ่านไปมาแถวนั้นพากันมามุงดู ยังบอกให้รีบพาไปส่งโรงพยาบาล ถามว่าน้องชักหรือเปล่า ฉันกับสามีใจคอไม่ค่อยดี รีบขับรถออกไปกะว่าจะพาน้องจอมไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่พอแค่ผ่านหมู่บ้านนั้นออกมาได้สักห้าร้อยเมตร น้องจอมก็เงียบลง และกลับมาร่าเริงเหมือนกับคนละคน ในขณะที่ฉันยังคงน้ำตาไหลด้วยความกลัวและเป็นห่วงลูก เรื่องแปลกอีกเรื่องคือ จู่ๆ ก็ปรากฏรอยแดงๆ รอบคอน้องจอมคล้ายรอยห้อเลือดทั้งที่ไม่ได้โดนอะไรบาดเจ็บ เกิดขึ้นมาทันทีบนรถนั้นเลย

คืนนั้นสามีของฉันไม่สบายใจมาก และบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องจอมมันไม่ธรรมดาแล้ว เขาลองปรึกษาเพื่อนหลายคน บางคนบอกว่าเคยได้ยินเรื่องของเด็กเล็กๆ ที่มีอาการคล้ายกันแบบนี้ และเชื่อว่าเด็กยังคงมีความทรงจำชาติที่แล้ว ทำให้ยังค้างคาใจอยู่ เราช่วยกันลองกลับไปถามคนแถวหมู่บ้านนั้นและก็ได้พบเรื่องที่น่าแปลกใจ นั่นคือ เมื่อราวสี่ปีก่อน มีคดีแม่กับลูกสาวคู่หนึ่งถูกลักพาตัวหายไป แต่หลังจากนั้นก็กลับพบศพของแม่ถูกแขวนคออยู่ในบ้านซึ่งตำรวจเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรม ส่วนตัวลูกสาวยังคงไม่พบตัว

ฉันกับสามีตัดสินใจพอน้องจอมเข้าไปในหมู่บ้านนั้น ปรากฏว่าน้องจอมขอลงเดินนำตั้งแต่หน้าหมู่บ้านแล้วเดินตรงเข้าไปราวกับว่าคุ้นเคยกับที่นี่ทั้งที่ไม่เคยมาก่อน น้องจอมพาเดินนำเข้าไปจนถึงบ้านที่มีการฆาตกรรมแล้วก็หยุดยืนร้องไห้อยู่พักหนึ่ง ก่อนเดินตรงเข้าไปที่บ้านถัดกันสองสามหลัง แล้วชี้ไปที่บ้านหลังนั้นด้วยสีหน้าเคียดแค้น แล้วล้มลงเป็นลมหมดสติไป

เราต้องใช้เวลานานมากในการทำให้ตำรวจเชื่อว่าบ้านหลังนั้นอาจจะขังเด็กไว้ และในที่สุดเราก็พบตัวเด็ก เพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกับเด็กลักพาตัวเด็กไปขังไว้ในห้องเก็บเสียงปิดทึบและฆาตกรรมแม่เด็ก ปิดคดีที่ค้างอยู่ถึงสี่ปีได้สำเร็จ

หลังจากนั้นน้องจอมก็กลับมาเหมือนเด็กปกติ ไม่เคยพูดถึงเรื่องวันนั้นอีกเลย ใครถามก็จำไม่ได้ ส่วนรอยแดงที่คอก็ค่อยๆ จางหายไป ทิ้งเรื่องราวเหล่านั้นให้ฉันและคนที่ร่วมเหตุการณ์ ยังคงประหลาดใจอยู่จนถึงทุกวันนี้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/65989192492432_view_resizing_images_1_.jpg)

แก้ผ้าไล่ผี
เมื่อสมัยที่ผมยังเด็กๆ จำได้ว่ามีภาพหนึ่งที่ติดตรึงใจอยู่จนทุกวันนี้และอยากบอกเล่าให้ทุกคนได้ฟังกัน สมัยที่หนังกลางแปลงเป็นที่นิยมเป็นความบันเทิงไม่กี่อย่างที่คนบ้านนอกอย่างเราจะหาได้ และต้องรอในวาระโอกาสพิเศษเท่านั้นถึงจะได้ดู ผมมักจะจำหนังกลางแปลงคู่กับรถขายยาถ่ายพยาธิ รถบางคันขายยาถ่ายพยาธิแล้วมีโปรโมชั่นรับซื้อพยาธิที่เด็กๆ ถ่ายออกมาด้วย เป็นความทรงจำที่เหม็นแต่สนุกสนานดีเหมือนกัน

แต่เปล่าหรอกครับเรื่องที่ผมจะเล่าไม่ใช่เรื่องพยาธิแต่เป็นเรื่องผีๆ เนื่องจากสมัยนั้นไฟฟ้าแสงสว่างยังมีไม่มากหนังกางแปลงก็มักไปกางฉายกันที่ลานกว้างๆ กลางทุ่ง พอดีบ้านผมอยู่อีกฟากทุ่ง ก็ต้องเดินเท้าพากันลัดป่าหญ้ามาดูหนังกัน ผมเกิดในบ้านที่มีแม่กับน้าสาวล้วนหลายคน คืนนั้นก็พากันออกไปตั้งแต่ยังไม่มืดห้าคน รวมผมเป็นหก เพื่อไปรอหนังฉาย ตอนนั้นผมสัก 8 ขวบน่าจะได้

ตอนขาไปยังสว่างอยู่นี่ครับ ก็เฮฮากันดีตาม ประสาสาวๆ พากันเดินตามทางคนเดินเล็กๆ ฝ่าพงหญ้าเตี้ยๆ ไป เนื่องจากเป็นหน้าฝน พื้นดินก็เฉอะแฉะอยู่บ้าง พอไปถึงเราก็พากันกางเสื่อที่พกมาด้วย นั่งจองที่ดูหนัง ซื้อลูกชิ้นปิ้ง อ้อยควั่น น้ำหวานมานั่งกินกันเหมือนปิกนิก ผมเป็นเด็กอาศัยกินไปด้วยนั่งดูบ้านอื่นๆ ออกมาคุยเล่นกันไปด้วย ก็รู้สึกสนุกดี

โฆษกประกาศอินโทรอยู่นานมาก เน้นไปทางขายยา กว่าหนังเรื่องแรกจะมาก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม ผมดูเรื่องแรกได้แค่ครึ่งเดียวก็ไม่ไหว เผลอหลับหนุนตักแม่ยาวไปจนหนังเรื่องที่สองจบ

ตอนนั้นเวลาล่วงไปมากแล้ว น่าจะเกินเที่ยงคืนผมจำได้ว่าแม่ปลุกผมให้ตื่นแล้วบอกว่าหนังจบแล้ว แถมลมยังพัดแรงเหมือนฝนกำลังจะตก ถ้าเป็นสมัยนี้คงโทร.ตามแฟนหรือหนุ่มๆ ในบ้านให้ออกมารับ แต่สมัยนั้นอย่าว่าแต่มือถือ โทรศัพท์บ้านยังต้องไปพึ่งบ้านกำนันที่อยู่ห่างไปอีกสองหมู่บ้าน

เนื่องจากคืนนั้นเป็นคืนเพ็ญ ทีแรกพวกสาวๆ เขาคงกะว่าใช้แสงจันทร์เพ็ญที่ปกติสว่างโร่เหมือนกลางวันเดินกลับบ้านได้สบาย แต่คืนนี้ดันไม่เป็นไปตามคาด เพราะมีเมฆครึ้มบังแสงเสียหมด แถมไม่มีใครถือตะเกียงถือไต้ติดมาสักคน

แม่กับพวกน้าๆ เริ่มหวั่นๆ แต่ก็ทำใจแข็งพากันรีบเดินจ้ำฝ่าไปตามทางที่มาเมื่อหัวค่ำ เราเดินไปได้พักเดียวก็ต้องชะงัก เพราะจู่ๆ ลมที่พัดแรงอยู่เมื่อครู่ก็หยุด เงียบสนิทราวกับใครกดสวิตช์ปิด ท่ามกลางความมืดนั้นพวกสาวๆ เริ่มกระซิบกระซาบกัน

"พี่น้อย มันยังไงๆ อยู่นะเนี่ย" น้าคนหนึ่งพูดขึ้นเบาๆ

"เออ อย่าไปทัก ไอ้จ้อน เอ็งมาเดินตรงกลางนี่" แม่พูดเสียงหวั่นๆ พลางคว้าผมมาไว้ตรงกลางระหว่างพวกสาวๆ ราวกับโขลงช้างปกป้องลูกช้างน้อย ทีมสาวๆ นักดูหนังกลางแปลงเหมือนจะชะลอความเร็วลงเล็กน้อย ตอนนั้นนอกจากลมไม่พัดไม่มีใบไม้กระดิกแล้ว อากาศยังเย็นลงฉับพลันอย่างน่าประหลาด ผมรู้สึกได้ถึงความอับชื้นและกลิ่นเหม็นสาบที่ลอยมาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ

ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นเราเริ่มได้ยินเสียงร้องเหมือนเสียงคนหรือสัตว์บางอย่างโหยหวนดังหวูๆๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และเริ่มได้ยินเสียงหมาหอนรับกันมาเป็นทอดๆ จากที่ไกลๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

"พี่น้อย..." ใครคนหนึ่งกระซิบแม่ผมอีกแล้ว ตอนนี้ขบวนหยุดชะงัก ไม่มีใครกล้าก้าวต่อ

"อย่าทัก!" แม่ผมแม้จะเสียงสั่นแต่ก็ยังยืนยันมั่นคง "รีบเดินต่อไป ไม่ต้องพูดอะไรกันแล้ว" ว่าแล้วแม่ก็ออกจ้ำเท้าก้าวเดินต่อไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ

ทันใดนั้นเอง พวกเราเห็นเงาวูบดำของบางอย่างกระโจนพรวดออกมาจากพงหญ้ารูปร่างคล้ายกบยักษ์ มีแสงสีเขียววาบที่จมูกพุ่งผ่านหน้าไปในระยะประชิด คราวนี้พวกเราประสานเสียงร้องกรี๊ดกันอย่างพร้อมเพรียงและย่อตัวนั่งลงทันที

ผมได้ยินเสียงกระชากกันล้มตุบและแม่ตะคอกว่า "อย่าวิ่งๆ อยู่นิ่งๆ"

พวกน้าๆ เข้ามากอดกันกลม บางคนร้องไห้กระซิกๆ แม่ผมในฐานะพี่สาวคนโตเลยพยายามหาทางแก้ปัญหา "จำที่ปู่ย่าเคยสอนได้ไหม ผีผู้หญิงกลัวปู่ ผีผู้ชายกลัวย่า เราจะอยู่กันอย่างงี้ทั้งคืนไม่ได้ เอ้าลุก ถกผ้าถุงขึ้นเอวให้หมด ให้มันรู้ไปว่าคนจะแพ้ผี ไอ้จ้อน เอ็งถอดกางเกงออกเลย"

หลังจากนั้นน้องๆ ทั้งสี่ของแม่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้น ร้องไห้ไปถกผ้าถุงขึ้นเอวกันไปตามที่แม่สั่ง รวมทั้งแม่เองด้วย ผมก็ถอดกางเกงให้แม่ถือเดินตามแม่ต้อยๆ ในความมืดเห็นก้นแม่ก้นน้าขาวอวบแวบเดินส่ายไปมารอบตัว เลยเผลอหัวเราะออกมาคิกคักในขณะที่พวกสาวๆ ยังคงร้องไห้กลัวผี แม่ก้มลงมาหยิกพุงผมจนเลิกหัวเราะ

หลังจากนั้นเราสังเกตว่าสายลมเริ่มกลับมาพัดเป็นปกติ ไม่มีกลิ่นเหม็นสาบสาง ไม่มีเสียงร้องโหยหวน เสียงหมาหอนก็เงียบลงไป เมฆเริ่มขยับออกจากดวงจันทร์ ทำให้มองเห็นทางสว่างขึ้นและเราก็ถึงบ้านโดยปลอดภัยในที่สุด

หลายสิบปีผ่านมาแล้วและผมยังคงจำเรื่องราววันนั้นได้ดี เป็นเหตุผลที่ทุกวันนี้ถ้าคืนไหนกลัวผีผมก็จะแก้ผ้านอน และบางทีก็ชวนเมียแก้เสียด้วยเลย สบายตัวดีแถมกันผีได้ด้วย ไม่เชื่อก็ลองกันครับ




(http://www.sookjaipic.com/images_upload/86782361567020_view_resizing_images_3_.jpg)

พระลึกลับตอนตีสอง
ผมมักจะดื่มเหล้าสังสรรค์ทุกคืนวันศุกร์ ทำอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ๆ เมื่อยี่สิบปีก่อน กลุ่มเพื่อนเปลี่ยนแต่พฤติกรรมดื่มเหล้าทุกวันศุกร์ไม่เคยเปลี่ยน เช่นเดียวกันที่หากสถานที่ ดื่มเหล้าไม่ไกลจากที่พัก ผมก็มักจะเดินกลับที่พัก

คืนนี้วงเหล้าเลิกตอนตีสอง ผมไม่เมา พอมึนๆ ออกจากร้านเลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนน ที่พักผม ห่างไปกิโลเมตรเศษๆ ไฟทางไม่มืด บาทวิถีโล่ง ผมเดินลากเท้าจนไปเจอกับพระภิกษุรูปหนึ่งเข้า

พระรูปนั้นเดินช้าๆ อยู่ข้างหน้าราวร้อยเมตร ผมเพิ่งสังเกตเห็นหลังจากไฟจากรถคันหนึ่งส่องกระทบจีวรเหลืองอร่าม ผมหยุดกึก แต่พระไม่หยุด ยังคงก้าวช้าๆ เหมือนเดินจงกรม ค่อยๆ วางเท้าซ้ายก้าวหนึ่งแล้วก็วางเท้าขวาก้าวหนึ่ง วางเท้าทีละข้างอย่างละเมียดละไม แต่มันแปลกนะสิ ดึกดื่นยามวิกาลเช่นนี้ ไม่ได้อุ้มบาตรเพื่อบิณฑบาต มามือเปล่าเท้าเปล่า ไม่ได้ห้อยถลกบาตร ไม่มีอัฐบริขาร ไม่ใช่พระธุดงค์ แถมเดินด้วยท่าทางสุดประหลาด

ระยะห่างระหว่างผมกับพระหดสั้นลงเรื่อยๆ ผมสงสัยว่าดึกป่านนี้พระยังออกมาเดินท่อมๆ กลางถนนทำไม ตีสองไม่ใช่เวลาเดินบิณฑบาต พระยังน่าจะจำวัดและยังไม่ตื่น มาทำวัตรเช้าเสียด้วยซ้ำ ผมชักหวาดๆ แล้วสิ แถวนี้ก็ไม่มีวัดสักแห่ง แต่ที่จำได้แม่น เมื่ออาทิตย์ที่แล้วมีรถกระบะบรรทุกพระสงฆ์ไปทำบุญบ้านแล้วคว่ำแถวๆ นี้ มรณภาพไปหลายรูป เฮ้! หรือจะ

ผมหันกลับไปมองอีกที คราวนี้พระรูปนั้นหายไปแล้ว ผมโล่งอกในทีแรก แต่แล้วก็ขนลุกซู่ พระจะหายไปไหนได้ ในเมื่อถนนเส้นนี้ด้านหนึ่งเป็นคลองโล่งเลียบถนน แต่อีกด้านเป็นผนังโรงเรียนอาชีวะทอดยาวและไม่มีประตูข้างเลย ผมพยายามรีบจ้ำเดินเร็วขึ้น ด้วยสายตาที่ชัดเจนขึ้น รู้สึกเหมือนจะสร่างแล้ว แต่เดินๆ ไปกลับรู้สึกแปลกๆ เมื่อมองไปรอบตัวอีกที ปรากฏว่าผมกำลังเดินกลับออกไปทางร้านเหล้า ทั้งที่ตั้งใจจะเดินกลับหอ

"นี่เราเมาขนาดนี้เลยเหรอวะ" ผมคิดงงๆ แล้วหันหลังกลับ แต่แล้วก็ต้องผงะตกใจจนแทบจะหงายหลัง เมื่อเห็นพระรูปเดิมเดินเข้ามาทางผมอีก ระยะห่างกันราวห้าสิบเมตร คราวนี้พระเดินเหมือนจะจงกรมแต่แหงนหน้ามองท้องฟ้าคอตั้งฉากกับพื้นถนน ภาพนั้นแปลกประหลาดมากจนผมต้องขยี้ตาหลายครั้ง

พระรูปนั้นเริ่มเดินเซไปมานิดหน่อย แต่ยังคงแหงนคอตั้งฉาก ผมเห็นท่าไม่ปกติแน่แล้วเลยหันหลังวิ่งกลับไปทางร้านเหล้าที่เพิ่งออกมา แต่ยิ่งวิ่งเหมือนจุดหมายยิ่งยืดยาวออกไปทุกที

ผมวิ่งจนเหนื่อย หันกลับไปมองพระรูปนั้นอีกทีด้วยความระแวง ปรากฏว่าคราวนี้แกหยุดเดิน แล้วหันหลังเดินกลับไปอีกทาง ผมแอบโล่งใจนิดหน่อย แต่ก็ยังไม่วางใจนัก

"เชี่ย คนหรือผีวะ" ผมใจสั่นจนทำอะไรไม่ถูก นึกขึ้นมาได้เลยโทร.หาเพื่อนที่เพิ่งแยกย้ายกันไปเมื่อครู่ "ไอ้ปลาเก๋า มึงไปไกลยังวะ มารับกูหน่อยดิ"
"กูออกมาไกลแล้ว" ปลาเก๋าตอบมาในสาย "มึงมีอะไรหรือเปล่าวะ มีเรื่องเหรอ"
"เออ" ผมตอบพลางหันหลังไปดูอีกทีด้วยความระแวง พระรูปนั้นยังคงเดินไปอีกด้าน คราวนี้เดินลากขาซ้ายแปลกๆ เหมือนกำลังบาดเจ็บ "กูเจอพระ น่ากลัวเหี้ยๆ เลย มึงมารับกูหน่อย"
"เขาทำร้ายอะไรมึงป่ะล่ะ"
"เปล่า"
"เออ งั้นจะกลัวทำไม พระนะเว้ยไม่ใช่ผี"
"สัส พูดทำไมวะกูยิ่งกลัวๆ อยู่" ผมด่ามันเสร็จก็เริ่มกังวลน้อยลงเพราะดูท่าพระประหลาดนั่นก็เดินไปไกลแล้ว คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง "เออๆ ไม่น่ามีไรละ เดี๋ยวกูออกไปเรียกแท็กซี่เข้าบ้านดีกว่าว่ะ อย่างน้อยมีเพื่อน"
ไอ้ปลาเก๋าหัวเราะก่อนวางสายไป "ขำไปเหอะมึง ไม่เจอเองบ้างให้รู้ไป" ผมคิด เก็บโทรศัพท์แล้วเดินออกไปทางถนนใหญ่ กะพึ่งแท็กซี่เป็นเพื่อนเข้าบ้าน

ขณะเดินออกไปอย่างสบายใจขึ้น ไม่วายอดใจไม่ได้ หันกลับไปดูอีกที คราวนี้ก็ต้องอุทานดังลั่น ตกใจกลัวจนขนหัวตั้งสร่างเมาสิ้นเชิง เมื่อเห็นพระรูปนั้นวิ่งตรงมาทางผมด้วยความเร็วสูงอย่างไม่น่าเชื่อ!!

"เชี่ยยยยยยย" ผมร้องลั่นแทบไม่เป็นภาษาคน พลางวิ่งซอยเท้าไปทางถนนใหญ่อย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้มาก่อน ก่อนจะพุ่งตัดหน้ารถคันหนึ่ง แสงจากไฟหน้าส่องเข้าตาผมจนมองอะไรไม่เห็นก่อนที่จะวูบไป

เช้าวันต่อมา ไอ้ปลาเก๋ามานั่งข้างๆ ผมที่เตียงโรงพยาบาล "สรุป มึงเมา หลอน วิ่งตัดหน้ารถ ดีนะคนขับเขาเอาส่งหมอแล้วโทร.มาหากูเพราะเป็นเบอร์ล่าสุดในเครื่องมึง"

ตอนนั้นเอง ชายคนที่ขับรถคันนั้นเดินเข้ามา "ตื่นแล้วเหรอน้อง เออ แปลกดีเหมือนกัน เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอ"

ผมกับปลาเก๋าหันไปมองหน้าเขาพร้อมกันด้วยความสงสัย

"ก็ตอนที่น้องวิ่งมาตัดหน้ารถพี่ รถพี่เหมือนชนพระรูปหนึ่งกระเด็นขึ้นมาบนฝากระโปรงรถเลย แฟนพี่กรี๊ดจนเป็นลม แต่พอลงมาก็ไม่เห็นมีพระที่ไหน มีแต่น้องนอนอยู่คนเดียว"

นั่นแหละครับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นกับผม และจนทุกวันนี้ก็ยังตอบไม่ได้ว่าพระที่เห็นนั่นเป็นอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คือผมคงไม่กล้าเดินไปไหนมาไหนดึกๆ คนเดียวอีกแล้วละ




(http://www.sookjaipic.com/images_upload/98840203218989_14652877101465287732l_1_.jpg)

ผีเห็ดเผาะ
ฉันกับครอบครัวชอบกินเห็ดเป็นชีวิตจิตใจ ชอบเอามากๆ โดยเฉพาะเห็ดป่าที่จะมีตามฤดูกาล พวกเราขึ้นเขาหาเห็ดกันเอง ฉันได้รับความรู้จากแม่ว่าเห็ดไหนบ้างที่กินได้ เห็ดไหนที่กินไม่ได้ เห็ดพิษบางชนิดคนต่างจังหวัดเราเรียกว่าเห็ดญาติเยอะ เพราะเวลากินไปแล้วญาติจะมาร่วมงานศพกันเยอะทีเดียว หรือบางทีต้มแบ่งกันกินหลายๆ คนก็พากันไปทั้งวงก็บ่อย แรงที่กินไม่ได้เท่าที่ฉันรู้จักคือ เห็ดไข่ตายซาก เห็ดแดงน้ำหมาก เห็ดระโงกหิน เห็ดสมองวัว เห็ดรูประฆัง เห็ดเกล็ดดาว เห็ดขี้วัว กระนั้นเห็ดที่กินได้หลายอย่างก็คล้ายกับเห็ดพิษมากชนิด ที่ว่าระดับผู้เชี่ยวชาญก็ยังแยกยาก ต้องอาศัยความระมัดระวังมากทีเดียว บ้านฉันบางครั้งถ้าไม่ค่อยแน่ใจ (แม้จะดู มาดีแล้ว) ก็จะใช้วิธีต้มในหม้อพร้อมกับหัวหอม ถ้าเห็ดพิษจะทำให้น้ำต้มกลายเป็นสีดำชัดเจน

ฤดูเห็ดที่คึกคักที่สุด ในรอบปีจะมีสองครั้ง คือหน้าเห็ดเผาะกับหน้าเห็ดโคน ช่วงนี้เพิ่งพ้นหน้าร้อนเข้าฝนก็เป็นเทศกาลของเห็ดเผาะ ภูเขาใกล้บ้านฉันเป็นสถานที่ที่เห็ดออกมาก ยิ่งปีนี้หน้าร้อนร้อนจัดยาวนานและฝนตกจนดินชุ่ม กลิ่นเห็ดเผาะแทบจะโชยออกจากป่ามาตามให้พวกเราเข้าไปเดินค้นหากันเลยทีเดียว

เห็ดเผาะวันแรกราคาจะสูงมาก บางปีเราขายได้ถึงกิโลละ 5-6 ร้อย เห็ดเปลือกอ่อนๆ เนื้อในขาวนุ่มเวลาทำอาหารกลิ่นหอมดินจะโชยขึ้นมาเรียกว่าเห็ดอ่อนซึ่งเป็นยอดปรารถนา เก็บข้ามวันสักวันหรือสองวันเห็ดจะแปลงร่างเป็นเห็ดแก่ที่เหนียวและในแห้ง เป็นผงเคี้ยวแทบไม่ได้และขายไม่ได้ราคา ช่วงหลังๆ ภูเขาท้ายหมู่บ้านจึงแทบจะกลายเป็นสมรภูมิรบ เพราะต้องไวถึงจะมีโอกาสได้เห็ดมากที่สุด

ป้าผิวเป็นมือเก็บเห็ดชำนาญการของหมู่บ้านเรามานาน เก็บมาตั้งแต่จำความได้จนตอนนี้อายุเกือบหกสิบแล้วก็ยังไม่วางมือจากวงการ ป้าผิวจะมีตะขอเขี่ยเห็ด กระชุสานสะพายหลังกับข้องเป็นอาวุธ เก็บเห็ดเผาะใส่ข้องก่อนให้ดินร่วง แล้วค่อยเอาเทย้ายใส่กระชุ ได้มากพอแล้วแกค่อยถอยทัพลงมา ว่ากันว่าบางวันแกเคยได้เต็มกระชุนั่นหมายถึงเห็ดน้ำหนักราวสิบกิโลทีเดียว ว่ากันว่าแกหวงเห็ดเอามาก เพราะหามายาก ราคาดี นานทีจะมีรายได้เป็นกอบเป็นกำแบบนี้ แกเก็บค่าเห็ดทุกบาทส่งให้ลูกสาวเพื่อช่วยเหลือค่าเล่าเรียนของหลานๆ สามคนที่กำลังโต

ปีนี้ไม่เหมือนปีอื่นๆ เนื่องจากป้าผิวเริ่มตรวจพบโรคประจำตัวตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้ว คือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหมอไม่แนะนำให้ทำอะไรที่ต้องใช้แรงมากอย่างยกของหนักหรือ เดินเขา แต่เมื่อกลิ่นเห็ดโชยมาเรียกตามฤดูกาล มือเก็บเห็ดอย่างป้าผิวหรือจะยอมแพ้ แกขึ้นเขาไปตั้งแต่เช้ามืดของวันนั้นและก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

เย็นวันนั้นชาวบ้านหลายคนช่วยกันพาร่างของป้าผิวลงมาจากเขามาที่บ้านของแก ลูกสาวของป้าผิวมาถึงในคืนนั้นและไม่ติดใจเรื่องการตายของป้าผิว เนื่องจากไม่มีบาดแผลภายนอกและหมอสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากอาการเส้น เลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน

พวกที่ไปพบศพป้าผิวเล่ากันว่า พบแกนอนนิ่งอยู่บนเขาตอนบ่ายๆ ในมือยังถือตะขอคุ้ยเห็ดแน่นพอเข้าไปเรียกก็หมดลมหายใจไปเสียแล้ว ตอนนั้นตัวยังอุ่นอยู่เลย

"แล้วเห็ดในกระชุแกไปไหนหมด" ใครคนหนึ่งถามขึ้น แต่หลังจากนั้นก็มีเพียงความเงียบ ทุกคนรู้ดีว่าป้าผิวเป็นมือวางอันดับหนึ่งของการเก็บเห็ดเผาะ หากพบแกยังอุ่นตอนบ่าย ป่านนั้นกระชุก็น่าจะเต็มแล้วด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีเห็ดเผาะเหลือสักเม็ด

คืนนั้นฉันกับแม่ไปช่วยทำกับข้าวที่งานศพป้าผิว ยังได้ยินคนคุยกันเรื่องว่า เห็ดป้าผิวถ้าไม่มีใครขโมยเอาไปน่าจะขายได้หลายพันบาท ลูกหลานแกก็น่าสงสาร ปกติแกหวงเห็ดอย่างกับอะไร

กลางดึกคืนนั้นเองที่มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น คือทีมเก็บเห็ดราวห้าหกคนต่างพากันเกิดอาการเหมือนเมาเห็ด ประสาทหลอน ยกมือไหว้ขอโทษขอโพยอะไรสักอย่างเหมือนกันหมด ผู้ใหญ่บ้านเลยให้รถพาไปส่งโรงพยาบาล ว่าสงสัยจะเมาเห็ดกัน อาจจะกินเห็ดพิษเข้าไป

"เห็ดพิษอะไรที่ไหน มีแต่เห็ดเผาะทั้งนั้น มันจะเมาเห็ดกันได้ยังไง"

คืนนั้นคนที่ไปเฝ้าไข้เล่าว่าพวกคนป่วยทำอย่างไรอาการก็ไม่สงบลง ร้องแต่ว่าขอโทษ กลัวแล้วๆ อยู่ทั้งคืน คนที่ไปเฝ้าบางคนยังว่า ตอนเคลิ้มๆ จะหลับเหมือนเห็นผู้หญิงรูปร่างหน้าตาคล้ายป้าผิวมายืนชะโงกที่เตียงคนป่วย อยู่แวบๆ เป็นระยะจนขนลุกขนพองกันไปหมด

จนกระทั่งเช้ารุ่งขึ้น จึงพากันมากราบขอขมาศพป้าผิวและสารภาพว่าพวกตนนี่แหละที่ขโมยเห็ดของป้าผิวไปตอนที่เห็นแกล้มลง ซึ่งตอนนั้นแกยังไม่ขาดใจตายด้วยซ้ำ ยังร้องโวยวายอยู่ว่าอย่าเอาไป แต่ก็ไม่มีใครฟัง

ลูกสาวป้าผิวนั่งน้ำตาซึมเมื่อได้ฟัง แต่ก็ยอมรับเงินค่าขายเห็ดจากคนกลุ่มนั้นเพื่อให้พวกเขาสบายใจและได้แต่หวังว่าเทศกาลเห็ดเผาะปีหน้าจะไม่มีเรื่องเศร้าแบบนี้อีก



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/91092899027797_14653785791465378595l_1_.jpg)

เจ็ดวันสุดท้าย
โบราณว่าถ้าเห็นคนที่ตายไปแล้วโดยเฉพาะญาติพี่น้องตามที่ต่างๆ อีกไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็จะตายตามกันไป จึงไม่ใช่เรื่องสนุกที่ฉันเห็นพ่อที่เคยผูกคอตายตอนฉันยังเล็กจะมาผูกคอตายที่บันไดในบ้านให้ฉันได้เห็นทุกวันตอนค่ำ

"กว่าแม่จะทำใจ กว่าแม่จะล้างภาพพ่อในหัวแม่ออกไปได้ แม่ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ แม่นั่งที่โซฟารับแขกไม่ได้เลย แม่จะเห็นพ่อห้อยโตงเตงๆ แม่รับไม่ได้จริงๆ" แม่เคยเล่าจากตำแหน่งที่ฉันนั่งบนเก้าอี้รับแขก บันไดจากชั้นบนของบ้านจะอยู่ตรงหน้า ฉันเห็นพ่อทิ้งตัวจากบันไดห้อยโตงเตงดังกับที่แม่เห็นก็เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ฉันตกใจมากนึกว่าฝันไป ขยี้ตาก็แล้ว ตบหน้าตัวเองอีกหลายต่อหลายครั้งก็แล้ว พ่อก็ยังทำซ้ำให้ฉันได้เห็นอีกตอนค่ำทุกวันติดๆ กันอีกหกวันต่อมา

เช้าวันถัดมาฉันเห็นย่าบนเตียงเดียวกันกับที่ฉันนอนเตียงที่ฉันได้นอนมาตลอดยี่สิบห้าปีโดยไม่รู้มาก่อนว่าเป็นเตียงเก่าของย่า ย่านอนเคียงข้างฉันในเช้าวันนั้น นอนหายใจรวยรินก่อนที่จะสะดุ้งเฮือกพูดว่าหายใจไม่ออกแล้ว ก็ดิ้นอีกสองสามเฮือกจนผ้าปูเตียงยับ หมดลมหายใจต่อหน้าต่อตาฉัน ย่าทำอย่างนี้อีกห้าวันเต็มๆ

บ่ายวันรุ่งขึ้นที่ชุดโต๊ะรับประทานอาหาร ฉันกำลังนั่งกินข้าวอยู่พอดีตอนที่ปรากฏร่างชายที่ไม่รู้จักจากเงารางๆ ชัดเจนขึ้นเป็นรูปร่างคนในชุดนอนแล้วเขาก็ฟุบหน้ากับชามข้าวแน่นิ่ง ฉันเขย่าตัวเขาหลายครั้งเขาไม่ขยับอีกเลย จากนั้นมาอีกสี่วันติดกัน ตอนบ่ายๆ เขาก็จะปรากฏร่างขึ้นมาและฟุบหน้าแน่นิ่งกับชามข้าวให้ฉันได้เห็น

แม่บอกในเวลาต่อมาว่าเป็นชุดโต๊ะรับประทานอาหารมือสองที่ปู่ซื้อต่อมาจากร้านขายของเก่า ฉันร้องไห้และหวาดกลัวทุกครั้งที่เห็นย่าในนอนเช้า ชายแปลกหน้าในตอนบ่ายและพ่อในตอนหัวค่ำ พวกเขาทำซ้ำๆ โดยไม่พูดกับฉันสักคำ จนเมื่อสามวันก่อนหลังตื่นนอนและเดินลงมาชั้นล่างแล้ว ฉันก็เห็นลุงพรเพื่อนแม่ที่เคยมาหัวใจวายที่บ้านตอนมาช่วยพวกเราขนของหนีน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ยืนอยู่กลางบ้านกำลังยกกล่องขนาดใหญ่ ก่อนที่จะทิ้งของลงกับพื้นกุมหน้าอกตัวเองแล้วล้มลงเสียชีวิต ลุงพรมาทำเช่นนี้ให้ฉันเห็นเหมือนคนอื่นๆ อีก

ไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นที่จะรอคอยการกระทำของพวกเขา เหงื่อกาฬแตกพลั่กเต็มแผ่นหลังและผุดเต็มหน้าผากเมื่อฉันนึกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อวานนี้ตอนสี่ทุ่มผู้หญิงที่ฉันเคยขับรถชนจนเสียชีวิตเมื่อตอนฉันเริ่ม หัดขับรถใหม่ๆ ตอนอายุสิบเจ็ดก็มาปรากฏร่างให้ฉันเห็นเธอเดินเหมือนคืนนั้นเลย เดินก้มหน้าก้าวช้าๆ เช่นที่เธอเดินข้ามถนนในคืนนั้น

ฉันจะมองไม่เห็นเธอในตอนแรกกว่าจะเห็นเธอเดินอย่างนี้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ฉันตกใจทำอะไรไม่ถูก แทนที่จะเบรกกลับเร่งความเร็วชนเธอที่กำลังเดินข้ามถนนกระเด็นขึ้นสูง ก่อนที่จะตกลงมาถูกรถคันหลังทับซ้ำ ฉันหยุดรถและลงไปดูเธอ อารามตกใจกลัวเมื่อเห็นเธอเสียชีวิตแล้ว ฉันรีบขับหนีจากที่นั่น แม้ตำรวจจะตามมาไม่ถึงฉั แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าฉันจะสลัดภาพผู้หญิงคนนั้นออก

เมื่อวานเธอมาทำท่าถูกรถฉันชน พร้อมกับกระเด็นขึ้นฟ้าและตกลงมานอนบิดตัวร้องครวญคราง หนนี้เธอคลานตรงมาหาฉันก่อนจะพูดว่า "เธอทำไมไม่พาฉันไปโรงพยาบาล ทำไม ทำไม เธอใจร้าย เธอใจร้าย"

วันนี้ตอนสี่โมงเย็นหลังเห็นย่าตอนตื่นนอนเห็นลุงพรตอนลงมาชั้นล่าง เห็นชายแปลกหน้าฟุบกับโต๊ะกินข้าว แล้วก็เห็นกนกพรเพื่อนสนิทเดินมานั่งข้างๆ ฉันแล้วพูดว่า "เรามารอรับเธอนะ"

ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดีอีกแล้ว วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของฉันแล้วสินะ ฉันนั่งรอเวลาหัวค่ำที่พ่อจะมาผูกคอตายให้เห็น รอเวลาสี่ทุ่มที่หญิงคนนั้นจะปรากฏร่างกระเด็นขึ้นบนฟ้าแล้วตกลงมาพูดซ้ำ ว่าฉันใจร้ายๆ ฉันกลัวจนความกลัวหายไปไหนไม่รู้แล้ว แม่ช่วยฉันไม่ได้ ได้แต่ร้องไห้บนโซฟา มองดูลูกหวาดผวาและตื่นกลัวอยู่อย่างนั้น

ฉันนั่งมองเข็มสั้นเข็มยาวบนหน้าปัดนาฬิกาเคลื่อนไป ตอนที่เข็มนาฬิกาบอกเวลาทุ่มตรง ฉันมองไปที่บันไดเพื่อรอพ่อ พ่อไม่มา ทุกอย่างเงียบไม่มีการเคลื่อนไหว แล้วเวลาก็เลยสี่ทุ่ม เวลาผ่านไปพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนล่วงเข้าตีสองตอนที่ฉันหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ฉันสะดุ้งตื่นกลางดึกท่ามกลางความมืดสลัว ข้างกายฉันมีเพื่อนที่เสียชีวิตไปในค่ำคืนนั้น คืนที่พวกเรากลับจากเชียงใหม่สิบกว่าคนอยู่เต็มห้อง

หนึ่งในนั้นพูดอย่างสำนึกผิด "โทษทีนะ ที่เรามาช้า"


หลอน- นทธี ศศิวิมล
http://daily.khaosod.co.t


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 09 สิงหาคม 2559 19:50:31

(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQGx0TfeRsB9pCLGouKewu5s6Srt-3nvvmNgtrjqVMpGLWHi5OCmA)

คนตัดหญ้า

ผมเคยใช้เครื่องมือตัดหญ้ามาทั้งหมดแหละ ตั้งแต่กรรไกรตัดหญ้า รถเข็นตัดหญ้าแบบใช้ไฟฟ้าและแบบใช้น้ำมัน หรือเครื่องตัดหญ้าแบบสะพายบ่าและแบบใช้น้ำมัน เพราะผมมีสนามหญ้าหน้าบ้าน ถือว่าการตัดหญ้าเป็นการพักผ่อนและทำงานไปในตัวอย่างหนึ่ง ฉะนั้นผมจึงโมโหมากตอนที่เพื่อนบ้านใช้รถตัดหญ้าแบบน้ำมันมาตัดหญ้าตอนเจ็ด โมงเช้าวันอาทิตย์

ย้ำเจ็ดโมงเช้าวันอาทิตย์ เครื่องตัดหญ้าแบบใช้น้ำมันนี้ถ้าใครเคยใช้หรือได้ยินเสียงจะนึกออกทันทีว่ามันดังแค่ไหน อีกอย่างผมว่าเป็นสามัญ สำนึกพื้นๆ นะ ที่เราไม่ควรส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นในวันหยุดแถมเป็นตอนเช้าเสียด้วย ยิ่งเช้านั้นฟุตบอลยูโรเพิ่งเตะจบตอนตีห้า ผมจึงนอนได้แค่สองชั่วโมงก็ได้ยินเสียงเครื่องตัดหญ้าคำรามลั่น ผมใช้ผ้าห่มปิดหูพยายามข่มตาหลับ

จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่หยุด ก่อนหน้านี้เพื่อนบ้านคนนี้ก็ทำมาหลายครั้งแล้ว ผมพยายามอดทนไม่อยากมีเรื่องมีปัญหากัน หมอนี่ชอบจอดรถหน้าบ้านผมประจำ เวลาผมกลับบ้านทีไรต้องเดินไปกดออดขอให้มันออกมาถอยรถแทบทุกครั้ง บางครั้งกว่าจะออกมาได้ก็นาน แถมไม่เคยขอโทษหรือแสดงความรู้สึกผิดอะไรเลย หมอนี่มีพ่อเป็นนายตำรวจระดับนายพล มันเคยทะเลาะกับเพื่อนบ้านติดกันอีกฝั่ง มันชักปืนมาขู่เพื่อนบ้านจนเพื่อนบ้านคนนั้นหวาดกลัวประกาศขายบ้านไปในที่สุด

ผมเองก็ไม่อยากมีเรื่องกับอันธพาลพวกนี้ แต่นี่ไม่ไหวจริงๆ ผมจึงลงไปถามเขาว่าเมื่อไหร่จะตัดหญ้าเสร็จ มันหนวกหูผมมาก เขาก็ทำหูทวนลม มองหน้าแต่ไม่สนใจ ผมตะโกนแข่งกับเสียงอีกครั้ง ถามเขาว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ เขามองหน้าผมแล้วก็ตัดต่อ แถมผิวปากแสดงอาการ "กวน" ทันที

ผมโกรธจัดเดินเข้าบ้าน ระหว่างนั้นพยายามข่มอารมณ์ แต่ยิ่งนึกภาพที่เขาไม่สนใจ ทำท่ายียวนกวนอารมณ์ บวกกับเสียงตัดหญ้าก็ยังดังเข้ามาอีก วินาทีนั้นอารมณ์โกรธผมพุ่งขีดสุด ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรแล้ว ผมขึ้นห้องนอน เปิดลิ้นชัก คว้าปืนออกมาแล้วตรงไปกระหน่ำยิงไอ้หมอนั้นหมดลูกโม่

ผลก็คือ เขาเสียชีวิตคารั้วบ้าน

ยิงลูกตำรวจ ในบ้านมันด้วย! ผมไม่หนีก็บ้าแล้ว

ผมจึงหนีไปชายแดนเขมร อาศัยบารมีของนักการเมืองชื่อดังอีกคนที่ผมเคยเป็นลูกน้องเก่าพอมีข้าวกินมีที่นอนรอเรื่องเงียบ ที่บ้านผมลูกเมียก็อยู่ไม่ได้ พ่อมันส่งลูกน้องมาคาดคั้นเอากับเมียผม จนเธอต้องหนีหลบไปอยู่พะเยา ถิ่นพ่อเธอที่เป็นนายกอบต. หลบชั่วคราว ลูกก็ต้องลาออกจากโรงเรียนหนีไปอยู่กับแม่ ทั้งหมดก็เพราะอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ของผมนั่นเอง

บอกตามตรงแม้แค่หมาผมก็ยังไม่เคยยิง ไม่ต้องพูดถึงการยิงคนเลย ผมได้ปืนกระบอกนั้นมาจากสมัยเป็นลูกน้องท่าน ซึ่งลูกน้องท่านก็มีกันทุกคน ผมแค่ทำงานเอกสารในสำนักงานของท่าน ไม่ได้เดินตามหรือใกล้ชิดกับท่านหรอก แต่เมื่อได้มาผมก็เก็บไว้ จนกระทั่งลาออกจากท่าน ปืนก็ยังอยู่กับตัวเพราะท่านให้แล้วให้เลย ผมใช้ยิงครั้งนี้ก็ครั้งที่สาม สองครั้งแรกหัดยิงขวดเบียร์ตอนได้มาใหม่ๆ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเอามายิงคนด้วยซ้ำ

บ้านที่ท่านให้ผมอยู่เป็นหมู่บ้านจัดสรร ในเมือง ตั้งแต่ยิงมันตายจนวันที่หนีมาก็ครบเดือนแล้ว ผมยังจำภาพที่มันจมกองเลือดได้เลย ยอมรับว่าตกใจมาก หลังกดไปจนหมดโม่ ผมไม่เคยเห็นคนนอนจมกองเลือดเลย กลิ่นเลือดมันคาวจนอยากอ้วก ผมกลัวมากบอกตามตรง ภาพมันยังติดตาผมอยู่ แม้แต่ตอนที่มันกำลังเข็นรถตัดหญ้านั่น และนี่แหละที่ทำให้ผมผวาตื่นแทบทุกคืน

ผมไม่ได้ฝัน ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน คืนแรกที่ได้ยินเสียงรถตัดหญ้าผมถึงกับลุกขึ้นมานั่งเหงื่อแตกในห้อง พลางเปิดหน้าต่างเหลียวหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่พบ ผมบอกตัวเองว่าหูฝาด ว่าคิดไปเอง แต่นั่นก็ไม่สำเร็จ

คืนที่สอง คืนที่สามก็ยังได้ยิน เสียงเหมือนจะเข้ามาใกล้ขึ้นทุกคืน เมื่อก่อนผมโกรธ ผมโมโหเสียงนี้มาก แต่ตอนนั้นกลับกลัวอย่างบอกไม่ถูก เสียงมันค่อยๆ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา แล้วก็เงียบหายไป

เป็นอย่างนี้ต่อๆ มาอีกหลายคืน

คืนนี้ เป็นคืนที่เจ็ดแล้ว ผมผวาตื่นกลางดึก เสียงเครื่องตัดหญ้าเหมือนมาดังอยู่หน้าบ้าน ผมกลัวจนเหงื่อแตกพลั่กๆ นั่งสั่นงันงกเหมือนลูกหมาตกน้ำ ตัวสั่น ปากสั่น นั่งกอดเข่าทำอะไรไม่ถูก เมื่อเสียงรถตัดหญ้าใกล้เข้าจนเหมือนจะมาอยู่หน้าห้องแล้ว ผมพุ่งหลบไปตรงมุมห้อง ความกลัวสุดขีดทำให้ผมผวาไปที่หน้าต่างแล้วเปิดพุ่งกระโดดจากชั้นสองลงมา ชั้นล่าง

มาลืมตาตื่นที่โรงพยาบาล นอกจากรักษาข้อเท้าที่หัก ผมยังต้องกินยาระงับประสาทที่ทำให้ง่วงมาก ก่อนจะหลับทุกครั้ง ผมแว่วเสียงเครื่องตัดหญ้าเสมอ

ไม่ยุติธรรมกับผมเลย



ชีวิตก็เท่านี้

สมพล เกิดมาพร้อมกับความยากจน ตั้งแต่เด็กแล้วเขาไม่เคยเห็นหน้าพ่อ แม่เลี้ยงเขามาคนเดียว ด้วยอาชีพกวาดถนนกินเงินเดือนเทศบาล สองแม่ลูกไม่เคยคิดว่าตนเองลำบาก ไม่เคยรันทดทดท้อกับการดำเนินชีวิต แม่เลี้ยงและสอนให้สมพลรู้จักค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ แม่เคยเก็บกระเป๋าสตางค์บนถนนได้หลายครั้งแต่ไม่เคยเก็บไว้กับตัว นำส่งเทศบาลให้ตามหาเจ้าของได้ทุกราย แม่มักจะช่วยคนชราบางคนที่อายุมากพาข้ามไปอีกฝั่งถนนอย่างปลอดภัย มีคราวหนึ่งช่วยคนที่เกิดอุบัติเหตุโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าจะเปื้อนเลือด แถมเป็นพยานให้เจ้าทุกข์ถูกรถฝ่าไฟแดงชนจริงๆ ขณะเดินบนบาทวิถี ไม่ได้เป็นเพราะเดินลงถนนตัดหน้ารถอย่างที่เจ้าของรถกล่าวหา ทำให้ถูกเจ้าของรถอาฆาตมาดร้าย แม่บอกสมพลว่า

"ความดีนั้นทำไปเหอะ ไม่มีวันเน่า"

สมพลจึงเติบโตพร้อมกับความมีน้ำใจและกตัญญูรู้คุณ โดยเฉพาะกับแม่ หลังเลิกเรียนทุกวันเขาไม่เคยไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนๆ เลิกเรียนแล้วก็ตรงมาช่วยแม่กวาดถนนจนเสร็จสรรพกลับบ้านด้วยกัน แถมกลับมาถึงบ้านก็ช่วยแม่ทำอาหาร ทำความสะอาดบ้านเสมอ ห้องเช่าเล็กๆ ห้องนั้นที่เรียกว่าบ้าน จึงเป็น "บ้าน" สำหรับแม่ลูกคู่นี้ทุกวัน

วันนั้นฝนตกหนัก น้ำ(ขังรอการระบาย)ท่วมจนถึงหัวเข่า รถติดแหง็กบนถนนหน้าเทศบาล สมพลออกจากบ้านตรงมาช่วยคนข้ามถนน เพราะนอกจากน้ำบริเวณนั้นแรงมาก ยังมีท่อใหญ่ท่อหนึ่งที่ไม่มีฝาปิด สมพลเกรงคนไม่รู้จะเดินตกลงไป แม้จะเอากิ่งไม้มาปักไว้ในท่อแต่ที่ผ่านมาก็เคยมีคนเดินตกลงไปจนได้รับบาดเจ็บ

สมพลช่วยเด็กนักเรียนข้ามถนนหลายคนแล้ว ตอนที่รถยนต์โฟร์วีลส์คันหนึ่งวิ่งอย่างเร็วนอก จากไม่สนว่าน้ำจะกระเด็นเปรอะเปื้อนคนเดินถนนยังพุ่งเข้าชนสมพลจนบาดเจ็บสาหัส

มีคนช่วยสมพลไปส่งโรงพยาบาล แต่เขาก็จากไปเสียแล้ว ท่ามกลางความโศกเศร้าของแม่ ไม่มีอะไรฉุดรั้งแม่ไว้ แม่ไม่อาจทำใจกับการสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักไปได้ แม่จมกับกองทุกข์ไม่เป็นอันทำการงาน ถึงกระนั้นหัวหน้างานแม่จะเข้าใจ เพื่อนๆ จะช่วยกันปลอบขวัญ แต่ไม่อาจทำให้หัวใจอันเต็มไปด้วยกองทุกข์ลดขนาดลงได้ แม่ผ่ายผอมลงทุกวัน

คืนนั้นฝนตกหนัก จู่ๆ แม่ก็ออกจากบ้านตรงไปยังบริเวณท่อที่ยังไม่มีฝาปิด(ผ่านมาหลายปีแล้ว ฝาก็ยังไม่มี) แม่ยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อมองหาคนที่จะช่วยได้ ทว่าห้าทุ่มเที่ยงคืนแล้ว จะมีใครออกมาข้ามถนนยามดึกดื่นฝนตกหนักอย่างนี้เล่า แม่อยู่ตรงนั้นจนล่วงเข้าตีสองตีสามฝนหยุดตกไปนานแล้ว แม่จึงเข้าบ้านพร้อมกับอาการไข้หวัด ทำงานไม่ได้

ไข้ขึ้นสูง เพื่อนร่วมงานที่มาดูถึงห้องเพราะเห็นไม่ไปทำงาน จึงพาไปหาหมอ เพื่อนเฝ้าปลอบอยู่นานจนเพื่อนเบื่อไปเอง เมื่อแม่ไม่รับรู้ไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น หัวหน้าให้ลางานได้หนึ่งสัปดาห์ นี่ก็เข้าเวลานับเดือนแล้วที่สมพลจากไป

เพื่อนข้างห้องล้วนสงสาร พากันเข้ามาปลอบอกปลอบใจ ชวนคุยสารพัดเรื่อง ไม่พยายามพูดข้องแวะไปเกี่ยวกับสมพล ว่าเรื่องใดที่มีสมพลมาเกี่ยวข้องแม่จะตาโตหูผึ่งอยากฟังทันที

ด้วยความสงสารเพื่อนคนหนึ่งจึงเล่าว่าเมื่อคืนสมพลมาเข้าฝัน บอกว่าคืนนี้ฝนจะตกหนักและจะมีเด็กคนหนึ่งตกท่อ ให้บอกแม่ว่าให้ออกไปช่วยแทนหนูด้วย

เธอพูดเล่นๆ พูดโกหกสร้างเรื่องไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดอะไร ทว่าคืนนั้นฝนตกจริง แม่ออกไปยืนรอที่ท่อที่ยังไม่มีฝาปิดนั้น แล้วเพื่อนบ้านที่พากันตามออกไปสองสามคนก็เห็นว่ามีเด็กวัยรุ่นเดินผ่านมา จริงและเกือบตกท่อจริงๆ ด้วย

"ฉันพูดเล่นนะ แต่งเรื่องเอาตอนนั้น ไม่คิดด้วยซ้ำว่าฝนจะตก คนจะมาเดินตกท่อ ก็เห็นสมพลมันชอบช่วยคนตรงท่อนี้ประจำ"

เรื่องที่ไม่มีเหตุผล บางทีก็เกิดขึ้นจริงๆ เพื่อนข้างห้องเห็นสมพลจริงๆ

ดึกคืนนั้นฝนไม่ตกหรอก แต่มีผู้ชายขี่มอเตอร์ไซค์ชนกับรถยนต์แถวๆ ท่อที่ไม่มีฝานั่น เพื่อนข้างห้องบังเอิญผ่านไป และทันได้เห็นสมพลช่วยพยุงคนเจ็บให้ลุกขึ้นและกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ก่อนจะเดินจากไป หนุ่มคนที่ได้รับการช่วยเหลือก็ยืนยันกับทุกคนว่าจริง พร้อมชี้ภาพสมพลจากรูปถ่ายได้ถูกต้อง

แม่สมพลถึงขั้นเพ้อกับข่าว คราวนี้เธอลงทุนไปนั่งเฝ้านอนเฝ้าบริเวณท่อไม่มีฝานั้นเพื่อจะเจอกับสมพลให้ได้ แต่เธอไม่เห็นเลย หลายคนว่าทำไมสมพลไม่ออกมาให้เห็นจริงๆ เล่า เพื่อแม่ที่คิดถึงจะได้สมหวังสักครั้ง

ผมกับเพื่อนข้างห้องนั่นแหละที่เห็นตรงกันว่าทำถูกแล้ว

แม่เห็นสมพลครั้งนั้น แม้จะเป็นเพียงครั้งเดียวที่เธอได้เห็นลูกอีกครั้งแต่ก็ช่วยให้เธอไม่ต้องเศร้าอีกต่อไป

"สมพลมันบอกฉันว่า แม่ต้องอยู่ให้ได้นะ โดยไม่มีหนู"

เพื่อนข้างห้องบอกกับผมว่า "มึงทำถูกแล้วที่ปลอมตัวไปบอก"



สัมผัสผวา
อดุลย์ยิ้มๆ เมื่อธนน เพื่อนร่วมงานในแล็บของเขาเตือนเกี่ยวกับการนอนค้างในห้องนักวิจัยของมหาวิทยาลัย

"อย่าว่าฉันงมงายเลยนะ แต่ที่ผ่านมาหลายๆคนพูดตรงกันหมด เกี่ยวกับเรื่องแปลกๆ ที่นี่ ถ้าเป็นไปได้แกกลับไปนอนที่บ้านดีกว่า ดึกแค่ไหนก็กลับเถอะ ให้ที่นี่เป็นแค่ที่ทำงานก็พอ" ธนนว่า

"แต่แกก็รู้นี่ธนน ว่าบางงานมันติดพันก็ต้องอยู่ต่อจนกว่างานจะเสร็จ อย่างเพาะเชื้อบางตัวมันต้องคอยดูความเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ทิ้งไม่ได้ ขืนกลับบ้านไปนอนกลับมาก็พอดี ไม่ต้องจดบันทึกกัน"

ธนนขมวดคิ้ว "กรณีแบบนั้นฉันก็ไม่ว่าอะไรแกหรอก เพราะแกก็ต้องอยู่แต่ในแล็บใช่ไหม ถึงจะงีบก็งีบเอาบนโต๊ะแถวนี้ได้ หรือปูผ้านอนบนพื้นก็ได้ ไฟเปิดตลอด ที่ฉันเตือนฉันเตือนเรื่องห้องพักนักวิจัยต่างหาก ถ้าเป็นตอนกลางวันจะเข้าไปงีบบ้างก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วไม่ควรเหยียบเข้าไปเลยล่ะ"

อดุลย์พยักหน้า "โอเค ขอบใจแกที่เตือน" แต่ในใจเขาแอบหัวเราะ เออแปลกจริงทำงานในสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แท้ๆ เพื่อนร่วมงานดันเชื่อเรื่องผีสางไสยศาสตร์ไปเล่าให้ใครฟังคงไม่มีใครเชื่อแน่ๆ

อย่างที่บอก คืองานของอดุลย์ไม่มีเวลาตายตัวเนื่องจากต้องทดลองและติดตามผลในจานเพาะเชื้อที่ผลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางการทดลองต้องเก็บข้อมูลทุกครึ่งชั่วโมงหรือทุกหนึ่งชั่วโมง ทำให้ไม่สามารถไปไหนได้ ต้องจัดสรรเวลาให้ดีๆ คืนไหนจะอยู่ยาวก็ต้องนอนกลางวันมาให้พร้อม บางงานอดุลย์แทบไม่ได้นอนเลยทั้งวันทั้งคืนติดต่อกันด้วยความจำเป็น แต่หลังจากนั้นก็ต้องการการนอนหลับพักผ่อนชนิดหลับเป็นตายข้ามวันข้ามคืนเช่นกัน

ในช่วงแรกของโปรเจ็กต์วิจัยเกี่ยวกับเชื้อจุลินทรีย์ในอาหารกระป๋อง อดุลย์ต้องอยู่เฝ้าแล็บแบบไม่ได้ไปไหน เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมโปรเจ็กต์อีกสามคน คือธนน แก้ว และอิงอร แต่ในฐานะที่เป็นผู้ชาย มีความสะดวกคล่องตัวกว่า ธนนและอดุลย์เลยอาสาอยู่กะกลางคืนเฝ้าแล็บและให้สาวๆ กลับบ้านไปพักผ่อนได้เพื่อมารับช่วงตอนเช้า โดยที่หนุ่มทั้งสองก็อาศัยงีบเอาในแล็บบ้างหรือพักในห้องนักวิจัยบ้าง ตอนนั้นยังไม่มีใครละเมิดคำเตือนที่ว่าห้ามไปนอนในห้องนักวิจัยเวลากลางคืนเพราะความจำเป็นของงานมากกว่าอย่างอื่น

เมื่อผ่านช่วงแรกไปงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับการติดตามผลในจานเพาะเชื้อแบบถี่ๆ ลดลง อดุลย์กับธนนเลยพอมีเวลาสลับกันกลับบ้านบ้าง แม้ในมหาวิทยาลัยจะมีห้องอาบน้ำสะดวกสบาย แต่ทุกคนก็คงคิดตรงกันว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สะดวกสบายไม่เท่าที่บ้าน

"เออ ดุล แกอยู่ไหวนะคืนนี้ ฉันว่าจะกลับไปแช่น้ำอุ่นแล้วนอนยาวๆ หน่อย"

"ไหวๆ ไปเหอะ จะไปแช่อ่างไหนก็ตามใจ" อดุลย์ว่าพลางหัวเราะ

"แช่อ่างที่บ้านโว้ย อ่างอื่นไม่มีแรงจะไปแล้ว อดนอนมาตั้งหลายคืน ว่าแต่แกอย่าลืมที่เตือนไว้ละกัน อย่านอนในห้องพักตอนกลางคืน... ไม่งั้น" หลังจากนั้นอดุลย์ก็ไม่ได้ใส่ใจฟังอะไรอีก และความง่วงทำให้งีบหลับไปบนโต๊ะทำงานโดยไม่รู้ตัว

อดุลย์งัวเงียตื่นมาอีกทีตอนตีสองเพราะยุงกัด เมื่อเดินดูรอบๆ ห้องถึงพบว่าใครบางคนเปิดแง้มหน้าต่างทิ้งไว้บานหนึ่ง ยุงถึงเข้ามาได้ อดุลย์หัวเสียมากตุ่มแดงเต็มแขนเต็มขาไปหมด เลยคว้าเสื้อผ้าเดินไปห้องอาบน้ำ อาบน้ำแล้วหายาหม่องทา

ด้วยความที่ง่วงเพลียอย่างมาก แล็บก็ไม่มีอะไรน่าห่วงมากนัก แถมยุงชุมอีก อดุลย์ตัดสินใจย้ายไปนอนในห้องพักนักวิจัยโดยไม่สนใจคำเตือนของธนน อดุลย์เปิดไฟเข้าไปเห็นเตียงนอนสะอาดๆ และห้องเงียบสงบก็แทบจะหลับผล็อยลงทั้งยืน อดุลย์เปิดแอร์ ปิดไฟ แล้วก็โดดผลุงลงบนที่นอนและหลับสนิทในเวลาไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น

คืนนั้นจำได้ว่าอดุลย์นอนกระสับกระส่ายเพราะฝันร้าย แต่ฝันว่าอย่างไรก็จำไม่ได้แน่นอนนัก อดุลย์ลืมตาขึ้นมาในความมืดขยับตัวไม่ได้ รู้สึกอัดอึดเหมือนมีใครมากดหน้าอกตรึงไว้กับที่ แอร์ที่เปิดไว้แค่ 27 องศา จู่ๆ กลับค่อยๆ ทวีความเย็นจนหนาวเยือก เขาสั่นไปทั้งตัว แสงสว่างที่ส่องออกมาจากซอกประตูด้านล่าง มีเงาวูบไปมาเหมือนมีใครสักคนหรืออะไร สักอย่างเดินผ่าน

ตอนนั้นเองที่อดุลย์รู้สึกคล้ายเส้นผมมนุษย์อ่อนนุ่มยาวสลวย ค่อยๆ ลากผ่านข้อเท้าทั้งสองข้างไปช้าๆ จากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งจนเย็นสันหลังวาบ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว!

ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมานั่งได้ และรีบหายใจเข้าออกอย่างเร็วเพราะหายใจไม่สะดวกมาพักใหญ่ พอสติสัมปชัญญะมาเต็มแล้วก็รีบลุกเปิดไฟและมองไปรอบๆ ห้อง แต่ทั้งห้องว่างเปล่าไม่มีใครอยู่นอกจากตัวเขาเอง

อดุลย์ยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่อีกพักหนึ่ง แล้วก็สรุปกับตัวเองว่าคงเพราะอ่อนเพลียมากไปจากการอดหลับอดนอนทำแล็บก็เลยนอนหลับไม่สนิทและฝันร้าย แล้วคงจะเอาเรื่องที่ธนนเล่ามาผสมด้วยจนมโนบวกฝันไปเองเป็นตุเป็นตะ คิดได้แบบนั้นแล้วก็เอนตัวลงนอนต่อเพราะยังง่วงและเพลียมากแต่เปิดไฟทิ้งไว้จนเช้า คืนนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือจะมีอดุลย์ก็จำไม่ได้แล้ว

เช้ามาอดุลย์รีบลุกอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเฝ้าแล็บเช่นเคย แก้วกับอิงอรมากันแต่เช้าและซื้อขนมจีบซาลาเปา น้ำเต้าหู้มาฝากอดุลย์อีกด้วยและออกจะตื่นตระหนกกันพอสมควรเมื่อรู้ว่าเมื่อ คืนอดุลย์นอนในห้องพักนักวิจัยที่เขาว่ากันว่าผีดุจนไม่มีใครกล้านอน

"เฮ้ย ดุลกล้านอนได้ไงอ่ะนับถือใจเลย นี่เขาเจอกันมาทุกรายไม่มีใครรอดเลยนะ" แก้วว่า

อดุลย์ไม่ได้เล่าเรื่องแปลกๆ ที่เขาเจอเมื่อคืนให้ทั้งสองฟัง กลัวจะถูกหาว่างมงายเพราะเขาแสดงท่าทีแอนตี้เรื่องพวกนี้มาตลอด เพราะเชื่อว่าวิทยาศาสตร์น่าจะอธิบายได้ทุกอย่าง และผีในความหมายที่ทุกคนว่ามาไม่น่าจะมีจริง มีแต่คนเรามโนไปเองทั้งนั้น

"ก็แล้วถ้าผีที่เขาว่าๆ กันมีจริง แล้วมันจะมาจากไหนล่ะ อย่าบอกนะว่ามีฆาตกรรมในห้องนั้นหรืออะไรทำนองนั้นอีก" อดุลย์เกริ่นถาม

อิงอรเหมือนรอจังหวะจะเล่าอยู่นานรีบเสียบทันที "เมื่อสักสิบกว่าปีที่แล้วมีคนตายในห้องนั้นจริงๆ นะดุล ไม่เชื่อแกไปหาข่าวดูได้เลย เขาว่าเป็นนักศึกษาผู้หญิงผมยาวหน้าตาน่ารักระดับพริตตี้ ชอบกับอาจารย์นักวิจัยที่มานอนห้องนั้นบ่อยๆ แหละ คืนที่เกิดเรื่องเห็นว่าน้องเขามานอนรอแฟนที่ห้องนั้น แล้วทีนี้ใครไม่รู้เอาขวด co (สารพิษไร้กลิ่น) ไปไว้ในห้อง แล้วบังเอิญน้องเขาทำขวดแตก แล้วเขาไม่รู้ เอาผ้าเช็ดๆ แล้วนอนต่อ ทีนี้เลยขาดอากาศหายใจตาย"

"หลังจากนั้นแฟนน้องก็ลาออกไป แต่วิญญาณน้องเขาอาจจะยังไม่รู้ เลยเหมือนกลับมารอแฟนที่ห้องเดิมทุกคืน ใครไปนอนตอนกลางคืนทีไร โดยเฉพาะผู้ชายนะ พูดเหมือนกันหมดว่ารู้สึกเหมือนมีผู้หญิงอยู่ในห้องอีกคนนึง เป็นผู้หญิงผมยาวๆ ผิวขาว หน้าตาสวย บางทีก็เดินไปมา บางทีก็มานั่งข้างๆ บอกสัมผัสโดนเหมือนผมน้องเขาลากไปมาตามตัวด้วย"

อดุลย์ใจหาย ขนลุก เมื่อได้ยินเรื่องเส้นผม มันบังเอิญหรือเปล่านะ เขายังจำความรู้สึกที่ข้อเท้าได้แม่นยำ มันชัดเจนจนยากจะเชื่อว่าคือความฝัน

บ่ายวันนั้น อดุลย์มีเหตุให้ต้องเข้าไปหยิบของในห้องพักนักวิจัย เขายังอดคิดถึงเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ ในขณะที่กำลังล้างเครื่องมือเขาก็รู้สึกเหมือนมีใครอีกคนเดินเข้ามา เขายังคิดว่าเป็นธนนเข้ามาเร่ง เลยร้องทักโดยไม่ได้หันหลัง

"เสร็จแล้วๆ เดี๋ยวกำลังจะออกไปละ"

แต่แล้วเขารู้สึกว่าใครคนหนึ่งเดินมาประชิดที่ด้านหลังแล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ เสียงเหมือนลมหายใจแผ่วอยู่ข้างหู แล้วหัวเราะเบาๆ ด้วยเสียงของหญิงสาวที่ชวนให้เย็นสันหลังวาบ

อดุลย์สะดุ้งเฮือกจนขวดแก้วในมือหล่นแตก แต่เมื่อหันไปก็ไม่มีใครสักคน เขาพยายามระงับอาการใจสั่นแล้วรีบเก็บเศษแก้วก่อนหยิบเครื่องมือที่ต้องใช้ทำงานออกไปจากห้อง

ค่ำนั้นเขารู้สึกสับสนในใจเป็นอย่างมาก กลัวก็กลัว แต่ความอยากรู้มีมากกว่า ชายหนุ่มเลยตัดสินใจจะอยู่ท้าพิสูจน์โดยนอนที่ห้องพักนักวิจัยอีกสักคืน เพื่อหาคำตอบให้ตัวเองตามประสานักวิทยาศาสตร์

คืนนั้นอดุลย์เข้านอนที่เตียงในห้องพักตามปกติและปิดไฟแต่หัวค่ำ เขาชาร์จแบตโทรศัพท์ไว้ที่พื้นมุมห้อง ทำให้เห็นจุดแสงไฟเล็กๆ สีแดงในความมืดเวิ้งว้าง เสียงแอร์ในห้องดังหึ่งๆ เบาๆ ชวนให้รู้สึกหวิวหนักเข้าไปอีก เขารออยู่นานไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งเคลิ้มหลับไป

กลางดึกคืนนั้น อดุลย์รู้สึกตัวตื่นเพราะเหมือนมีใครมานอนอยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงเหมือนเด็กสาวหัวเราะสลับกับร้องไห้ เขานอนหงายเหงื่อแตกทั้งตัวทั้งที่อากาศเย็นเฉียบ ตอนนี้ตื่นเต็มที่แล้วแต่กลับขยับตัวไม่ได้ ลืมตาก็ไม่ได้ อดุลย์เริ่มรู้สึกเหมือนคืนก่อน คือเหมือนมีเส้นผมอ่อนนุ่มเคลื่อนผ่านข้อเท้าช้าๆ และได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่นและมีแสงกะพริบวูบวาบที่เปลือกตาเหมือนมีคนโทร.เข้าแต่ไม่มีเสียง

เขารู้สึกได้ว่าเส้นผมอ่อนนุ่มนั้นไม่หยุดแค่ข้อเท้า แต่ยังค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาเรื่อยๆ จากข้อเท้า ขึ้นมาตามขา ลากผ่านแขนที่ทอดอยู่บนเตียง สูงขึ้นๆ จนกระทั่งเส้นผมอ่อนนุ่มมาเคลียอยู่ที่แก้ม!

ตอนนี้อดุลย์กลัวจนตัวสั่น ฟันกระทบกันดังกึกๆ เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะขยับตัวเพื่อจะได้ลุกหนีไปได้ แต่ที่สุดแล้วเขาบังคับได้เพียงเปลือกตา

ชายหนุ่มลืมตาขึ้นและได้เผชิญกับภาพที่น่าหวาดผวาที่สุดในชีวิต ใบหน้าขาวซีดของหญิงสาวปรากฏอยู่ตรงหน้าแทบจะแนบกับหน้าเขา ผมยาวสยาย ผิวขาวซีด ดวงตาแดงก่ำไร้แววในชุดนักศึกษา ภาพนั้นปรากฏเป็นแวบๆ ตามจังหวะของแสงไฟมือถือที่สว่างวูบวาบอยู่ในตอนนั้น ช่วงเวลานั้นช่างยาวนานกว่าอดุลย์จะกลัวจนหมดสติไป และตื่นมาอีกครั้งในตอนสายเมื่อเพื่อนๆ พากันเข้ามาปลุก

หลังจากนั้นเขาไม่ยอมก้าวเข้าไปในห้องพักนักวิจัยอีกเลย และก็ไม่ยอมเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ใครฟังด้วย และก็ไม่พยายามพิสูจน์หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับอะไรอีก เพราะเขาคิดว่าเขาได้รับคำตอบมากเกินกว่าที่จะอยากพิสูจน์อะไรอีกแล้ว



บ้านซอย 15
วิทยาเป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลาย หลังเรียนจบวิทยาไม่ได้เรียนต่อเข้าทำงานโรงงานอยู่หลายแห่ง ขณะที่ผมเรียนรามฯ ไปด้วย ทำงานไปด้วย วิทยาจะมานั่งกินเหล้าที่ห้องผมเสมอ จนกระทั่งวิทยาได้งานใหม่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้านหรูชานเมือง กินเงินเดือนเดือนละหมื่นห้านั่นแหละ นานครั้งจึงจะมาหาผมสักหน ครั้งหนึ่งมาพร้อมกับเรื่องเล่าเรื่องนี้

วิทยาเล่าว่าแค่สองอาทิตย์แรกที่ทำงานก็แทบจะลาออกให้รู้แล้วรู้รอด หน้าที่แลกบัตรเข้าออกนั้นไม่ยาก หน้าที่ขี่จักรยานตรวจตราก็ไม่ยาก ยิ่งทำงานกะกลางคืนยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นนั่นแหละที่ทำให้วิทยาขอร้องหัวหน้าขอทำงานกะกลางวันแทน

วิทยาเข้ากะกลางคืนซึ่งเริ่มตอนหกโมงเย็นร่วมกับเพื่อนร่วมงานอีกคนชื่อมาโนช ซึ่งทำที่หมู่บ้านนี้มาเป็นปีๆ แล้ว การผลัดกันลุกขึ้นทำความเคารพคนผ่านเข้าออกไม่ได้เป็นหน้าที่เฉพาะของใครคนใดคนหนึ่ง แตกต่างกับหน้าที่ขี่จักรยานตรวจตราไปตามซอยต่างๆ ของหมู่บ้าน ซึ่งต้องออกตรวจทุกๆ สามชั่วโมง ครั้งหนึ่งที่ถีบดูแลไปตามซอกซอยที่มีทั้งหมด 20 ซอยใช้เวลาราว 20 นาที ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้นัก

รอบแรกตอนสองทุ่มเป็นหน้าที่ของมาโนชรอบต่อมาห้าทุ่มเป็นหน้าที่ของวิทยา รอบนี้ทุกอย่างปกติ รอบตีสองเป็นหน้าที่ของมาโนช แต่คืนนั้นมาโนชปวดท้อง วิทยาบอกว่าไม่เป็นไรเขาจะจัดการถีบเอง ลมเย็นๆ สบายๆ ไม่ร้อนไม่หนาวของเดือนตุลาคมปีนั้น วิทยาขึ้นคร่อมอานจักรยานถีบไปเรื่อยๆ

เข้าออกซอย 1 ไปซอย 2 ซอย 3 ผ่านไปถึงซอย 14 ทุกอย่างเรียบร้อย จนกระทั่งถึงซอย 15 ทุกคืนวันศุกร์จะมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่หัวมุมพอดีที่เจ้าของบ้านจะออกมานั่งที่สนามหญ้าหน้าบ้านดื่มเหล้ากับเพื่อนสองสามคนเสมอและมักจะดื่มจนถึงตีสองตีสาม อาทิตย์แรกที่เขาทำงานเจ้าของบ้านหยุดเรียกและตักกับแกล้มเหล้าจำพวกไก่ย่าง หมูทอดให้เขาโดยใส่กล่องโฟมยื่นให้ วิทยายกมือไหว้ขอบคุณ อาทิตย์ที่สองนั้นเป็นกุ้งย่างกล่องโต วิทยากล่าวขอบคุณแล้วห้อยกล่องกับแฮนด์จักรยานปั่นต่อไป

ถึงสุดซอยกำลังจะเลี้ยวกลับ วิทยาสะดุดกับบางอย่างบนระเบียงบ้านชั้นสองของบ้านหลังสุดท้ายนั้น จึงส่องไฟฉายในมือไปดู และก็พบผู้ชายคนหนึ่งยืนที่หน้าต่าง เมื่อมองจนแน่ใจว่าคือเจ้าของบ้าน วิทยาก็ยกมือตะเบ๊ะเป็นเชิงขอโทษที่ส่องไฟและทักทายไปในตัว

เป็นเช่นนี้มาหลายคืนแล้วตั้งแต่เขาทำงาน บางคืนก็เห็นนั่งบนเก้าอี้สนามหน้าบ้านบางคืนก็ยืนรดน้ำต้นไม้

เลี้ยวรถและทำความเคารพเจ้าของบ้านแล้ววิทยาก็ถีบสังเกตการณ์บ้านอื่นๆ ในซอยต่อตามหน้าที่ จนครบทุกซอยก็ปั่นกลับป้อมยามหน้าหมู่บ้าน จอดจักรยานพิงกับตัวป้อม เห็นมาโนชมองมาทีหนึ่งแล้วก็มองเขาอย่างจับจ้อง วิทยาจึงถาม "มีไรหรือ"

มาโนชสะบัดหน้าปฎิเสธแล้วก้มหน้ากับสมุดจดรายชื่อคนเข้าออกตรงหน้า วิทยาจึงยื่กล่องโฟมให้เพื่อนเห็น แล้วพูด "บ้านตรงซอย 15 ให้มา" ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ แล้วพูดต่อ "บ้านหลังสุดท้ายตรงซอย 15 ก็แปลกนะ ดึกๆ ชอบออกมาทำอะไรหน้าบ้านแต่คืนนี้กลับเปิดไฟยืนตรงหน้าต่าง"

มาโนชมองวิทยาอย่างจับจ้องแต่ไม่พูดอะไร

หน้าที่เวรยามและถีบจักรยานเป็นไปตามปกติจนถึงเจ็ดโมงเช้าออกเวร ทุกอย่างเรียบร้อยถึงห้องเช่าวิทยาก็อาบน้ำกินข้าวแล้วล้มตัวนอน

อีกวันตามเวรกลางคืนตามปกติ ถึงเวลาปั่นจักรยานตรวจตราวิทยาก็ทำหน้าที่เหมือนเดิม และเช่นคืนก่อนที่มาโนชบ่นว่าปวดท้องอีก เวรปั่นจักรยานตอนตีสองจึงเป็นหน้าที่ของวิทยา

วิทยาปั่นไปถึงซอย 15 วันนี้วันเสาร์บ้านตรงหัวมุมไม่มีกิจกรรมดื่มเหล้า แต่บ้านหลังสุดท้ายคืนนั้นเจ้าของนั่งที่เก้าอี้สนาม นั่งเงียบๆ คนเดียวตอนวิทยาขี่ผ่าน เขาหยุดทักทาย ผู้ชายคนนั้นมองมาแล้วก็ยิ้มให้

กลับมาที่ป้อม มาโนชถึงกับตาโตทำท่าตกใจแต่ไม่พูดอะไร ปากบ่นพึมพำ แล้วก็เอาแต่ก้มหน้า วิทยานึกขำแล้วนั่งลงข้างๆ อย่างเงียบๆ จนถึงรุ่งเช้าไม่ได้คุยอะไรกันเลย

กะดึกวันต่อมามาโนชไม่มาทำงานแต่มีหัวหน้ามาแทน มาถึงก็เรียกวิทยาให้นั่งลงก่อนจะพูดว่า "ผมก็เคยอยู่หมู่บ้านนี้มาก่อน เข้าใจที่มาโนชมันขอย้ายไปที่อื่น ที่จริงผมก็เคยแจ้งให้คณะกรรมการหมู่บ้านทราบเรื่องนี้แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไร"

วิทยางุนงง ไม่เข้าใจที่จู่ๆ หัวหน้าก็พูดอะไรแบบนี้

หัวหน้าทำท่าเข้าใจ จึงถอนใจก่อนจะพูด "คืออย่างนี้ เข้าเรื่องตรงๆ ล่ะกันนะ บ้านตรงซอย 15 ทั้งบ้านหัวมุมและบ้านหลังสุดท้าย ไม่มีคนอยู่มานานเป็นปีๆ แล้ว และมาโนชมันก็เห็นเจ้าของบ้านหลังสุดท้ายในซอย 15 ซ้อนท้ายจักรยานคุณตอนกลับมาตอนเวรตรวจตีสองมาหลายคืนแล้ว มันไม่ไหวจริงๆ เลยขอพักคืนนี้และคงอีกหลายคืน ผมก็มีเรื่องบอกคุณเท่านี้แหละ


หลอน- นทธี ศศิวิมล
http://daily.khaosod.co.t


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 19 ตุลาคม 2559 18:20:13

(https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSWfnEjlgLR2NHAjyhr-ongAqRL24eui1XKEMQGsdGAc-Awe3ZM5A)

เสียงที่รัก
ผมย้ายบ้านมาเกือบเดือนแล้วและแทบทุกคืนที่ผมจะได้ยินเสียงเปียโนบรรเลงแคนอน อิน ดี เมเจอร์ น้ำตาผมก็ไหลพรากทุกคืนและทุกครั้ง

เป็นความทรงจำเฉพาะระหว่างผมกับภรรยา ผมเล่นเพลงนี้ครั้งแรกในโบสถ์แห่งหนึ่งเพื่อป้าของผมที่จากไป ป้าชอบเพลงนี้มาก ภรรยาผมเป็นเพื่อนของลูกสาวป้า เธอมางานศพ ได้ยินผมเล่นเพลงนี้ เธอชอบในความเศร้าละมุนอ่อนโยนและอ่อนไหวของท่วงทำนองมาก ที่จริงเป็นเพลงที่โด่งดังมากในหมู่นักเปียโน ทุกคนต้องผ่านเล่นเพลงนี้มาไม่มากก็น้อย แต่สำหรับเธอแล้วเธอบอกผมอย่างจริงใจว่าเธอไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

ผมเล่นให้เธอฟังเสมอ ที่สำคัญในงานแต่งงานของเรา ผมเล่นเพลงนี้เพื่อเธอ และสองครั้งสุดท้ายในวันที่เธอป่วยหนักใกล้หมดลมหายใจและในงานศพของเธอ

จากนั้นผมก็ไม่เคยเล่นเพลงนี้อีกเลย...

ผมขายบ้านและทุกอย่างที่เราร่วมสร้างกันมารวมถึงเปียโนหลังรักด้วย สิบห้าปีที่เราอยู่ด้วยกันนั้นผมจะเก็บไว้ในหัวใจและความทรงจำของผมคนเดียว

ทว่าใกล้จะครบเดือนแล้วที่ผมได้ยินเสียงเพลงแคนอน อิน ดี เมเจอร์ ในฉบับเปียโนดังทุกคืน จากเปียโนเก่าที่เสียงแน่น กังวานและมีพลัง บางช่วงจังหวะเหมือนผมแว่วได้ยินเสียงไวโอลินอันเศร้าสร้อยคลอมาด้วย ผมฟังอย่างเคลิบเคลิ้มและหลงใหล ผมฟังด้วยน้ำตาที่นองหน้าและคิดอยากจะเห็นคนเล่นเปียโนและเปียโนหลังนั้น

เช้าวันนั้นผมแต่งตัวอย่างสุภาพ ไปกดออดเรียกที่หน้าบ้านเปียโนแคนอน อิน ดี เมเจอร์นั้น ไม่นานป้าคนหนึ่งเดินอย่างช้าๆ มาที่ประตู ผมถามด้วยความสุภาพ

"สวัสดีครับคุณป้า ผมได้ยินเสียงเปียโนแทบทุกคืน"
"ต้องขออภัยพ่อหนุ่มด้วยที่มันดังรบกวน"
"หามิได้ครับคุณป้า ผมกลับชอบเสียด้วยซ้ำ อืม ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมมาด้วยเจตนาที่ดี ผมอยากเห็นเปียโนหลังนั้นและอยากฟังอีกครั้ง ผมเองก็เป็นนักเปียโน ฝีมือพอกล้อมแกล้มคนหนึ่ง ผมเคยเล่นและชอบเพลงนี้มากครับ"

"เคยเล่น? และชอบเพลงนี้ด้วย?"

ผมยิ้มอย่างสุภาพแทนคำตอบ

ป้าเปิดประตูรั้วและผายมือเชิญแทนคำพูด ผมเดินตามเข้าบ้านที่ร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่และไม้พุ่มที่ทั้งปลูกลงดินและลง กระถาง ป้าถอดรองเท้าก้าวเข้าบ้านก่อนเดินนำผมเข้าไปในตัวบ้าน

เปียโนหลังนั้นตั้งตระหง่านอวดอาภรณ์สีขาวอย่างงดงามและสมสง่า ผมเดินเข้าใกล้ นานมาแล้วที่ไม่ได้เห็นเปียโนหลังสีขาวงดงามเช่นนี้

"ถ้าคุณอยากจะเล่นก็เชิญได้นะ" ป้ากล่าวอนุญาต

ผมยืนอย่างลังเล ความประหม่าไม่รู้มาจากไหน กว่าสามปีแล้วนับแต่ภรรยาจากไป ผมไม่ได้เล่นเปียโนอีกเลย ราวกับเป็นเด็กหัดเล่นอีกครั้ง ผมค่อยๆ วางนิ้วและพรมลงทีละโน้ตช้าๆ เรียกความมั่นใจ จากนั้นผมเล่นห้องแรกของเพลงแล้วก็หยุด

ป้ากล่าวขึ้น "มหัศจรรย์ของเพลงแต่แรก คุณคงจะทราบ ผู้ประพันธ์เพลงนี้แต่แรกแต่งขึ้นเพื่อสำหรับไวโอลิน 4 ตัวและเครื่องดนตรีโบราณที่คล้ายเบส เรียกว่า Continuo เพลงนี้เล่นวนแค่โน้ตแปดตัว หรือแปดคอร์ดเอง แคนอน แปลว่า วนหรือซ้ำ"

"ครับ in D : D A Bm F#m G D G A

in C : C G Am Em F C F G

แต่ความมหัศจรรย์ของมันก็คือ ถึงแม้จะเล่นทำนองเดียวกันตลอดทั้งเพลง แต่ไวโอลินแต่ละตัวเล่นพร้อมกันในทำนองที่ต่างกัน ทว่าประสานกันจนกลายเป็นเพลงที่ไพเราะที่สุดเพลงหนึ่งของโลก เป็นเหตุผลว่าทำไมเล่นในแบบฉบับของเปียโนได้ยาก แต่ก็มีคนนำมาเล่นเปียโนจนได้"

ป้าไม่ตอบละทีนี้ ผมสัมผัสโน้ตแปดตัวนั้นจนจบเพลง พร้อมกับน้ำตาแห่งความคิดถึงพร่างพรมไหลอาบแก้ม ผมค่อยลุกขึ้น กล่าวกับป้า "ผมชอบเปียโนหลังนี้ ผมขอซื้อต่อนะครับ"



โบโบ้
สาบานว่าเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง ผมเห็นกับสองตาคู่นี้ ย้อนคิดไปยังขนลุกไม่หาย!

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อปี 2545 ตอนนั้นผมเพิ่งย้ายบ้านไปอยู่แถวบางนา เป็นบ้านเช่าทั้งหลังสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ บริเวณนั้นค่อนข้างเงียบสงบ ห่างไปกำลังก่อสร้างอาคารอยู่ ทราบหลังจากขนของเสร็จว่ากำลังสร้างเป็นอาคารหอพักห้าชั้น จึงมีเพิงพักคนงานปลูกยาวสามสี่หลัง ตกเย็นก็มีเสียงตีกะละมังถังขวดประกอบเสียงร้องเพลงจากพอฟังรู้เรื่องจน อ้อแอ้ช่วงใกล้เที่ยงคืนค่อยหยุด เป็นอย่างนี้ทุกวัน

ครอบครัวผมเลี้ยงหมาตัวหนึ่ง ตั้งชื่อให้มันว่า โบโบ้ โบโบ้เป็นหมาพันทางสีดำเพศผู้ที่รักสงบ ไม่ชอบเห่าและไม่ยุ่งกับใคร ชอบหมอบนิ่งๆ ไม่เคยกัดหรือทำร้ายคนหรือแมวเลย มันอายุสามปีตอนที่เราย้ายมาอยู่บางนา เหตุผลที่เราเลือกบ้านเช่าก็เพราะมีเจ้าโบโบ้นี่แหละ การอยู่บนคอนโดฯ หรืออพาร์ตเมนต์จะเลี้ยงโบโบ้ไม่ได้นั่นเอง

วันหยุดวันหนึ่ง หลังย้ายมาได้ราวสัปดาห์ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาถามหาลูกหมาของเธอ เธอให้ดูภาพถ่าย เป็นลูกหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่น่ารัก อายุเพิ่งสี่เดือน พร้อมทั้งอธิบายว่า ลูกหมาของเธอหายจากบ้านเมื่อสองคืนก่อน เธอหยุดงานเมื่อวานทั้งวันเดินตามหาไปทั่วบริเวณนี้ วันนี้จึงมาไล่ติดภาพหมาน้อยตามเสาไฟ เธอขออนุญาตติดบนเสาไฟหน้าบ้านผม

"ทำไมจะไม่ได้ เดี๋ยวพี่จะช่วยหาให้" ผมบอกน้อง

เย็นนั้นผมกับภรรยาช่วยตามหาไปไกลกว่าสามกิโลเมตร จนสุดท้ายขากลับผ่านเพิงคนงานก่อสร้างที่กำลังร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน ภรรยาก็เอ่ยขึ้น "พี่ว่าเป็นไปได้ไหม ถ้าคนงานเจอจะจับไปกิน"

ผมร้องว่าบ้าคำเดียวแล้วสติก็ถูกดึงสู่โลกแห่ง ความจริงเราเคยได้ยินเรื่องคนงานจับหมาจับแมวไปถลกหนังกิน ผมจึงพูดไปว่า "ขอให้อย่าจริงเลยเหอะ สงสารน้องเขา"

ผมอดคิดเรื่องนี้ไม่ได้ น้องเขาก็ยังหาลูกหมาโกลเด้นฯ ไม่เจอ ประจวบกับละแวกบ้านหลายหลังหมาที่เลี้ยงไว้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย รวมถึงพวกหมาจรรอบๆ บริเวณนี้ด้วย แต่ความคิดเรื่องลูกหมาหายที่จะโยงเข้ากับเพิงพักคนงานผมยังไม่กล้าพูดกับเพื่อนบ้านเพราะยังไม่มีหลักฐาน

ผ่านไปสองสัปดาห์ วันหยุดวันนั้นหลังตื่นนอนทำกิจวัตรส่วนตัวเสร็จผมก็ออกไปดูเจ้าโบโบ้ตามเคย แต่ไม่พบ เดินหาตะโกนเรียกรอบบ้านก็ไม่ได้ยินเสียงโบโบ้เห่าตอบหรือวิ่งมาหา ผมกับภรรยาเริ่มใจไม่ดี เราเดินออกตามหากันทั่วทั้งซอยและไกลออกไป จนกระทั่งภรรยาผมพูดว่า

"เราไปดูที่แถวเพิงพักคนงานดีกว่า"

ยังเช้าอยู่รอบที่พักคนงานจึงเงียบ ผมเดินวนแถวนั้นก็ไม่พบ ภรรยาเดินไปทางด้านหลังเพิงเจอปลอกคอของโบโบ้เข้ารีบตะโกนเรียกผม "มันต้องอยู่แถวนี้แน่" เธอบอก

ด้านหลังเพิงพักค่อนข้างรก เต็มไปด้วยกองถังสีกองไม้และวัสดุก่อสร้างปะปนอยู่ เราเดินหาไปทั่วพบแต่เศษขนหมาขนแมวเป็นกระจุกๆ แม้แต่ปลอกคอแมวก็เจอ ไม่ใช่อันเดียวแต่หลายอันบริเวณถังสีอันหนึ่ง ผมพบเศษกระดูกจำนวนมากและถัดไปบนเตาถ่านก็พบเศษอวัยวะภายในที่ต้มอยู่ในหม้อๆ หนึ่ง

มีผู้ชายคนหนึ่งออกมาจากเพิงพัก ท่าทางเพิ่งตื่นนอน "ทำอะไร" เขาตะโกนถาม

"ผมมาหาหมาของผม"
"หมาของพี่ก็อยู่บ้านพี่สิ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"
"ผมเจอปลอกคอของมันที่นี่ มันหายออกจากบ้าน"

เขาไม่ตอบ แต่ยืนนิ่งหน้าเพิงพักของเขา ผมเดินไปที่หม้อใบนั้น "นี่อะไร"

"ต้มเครื่องใน"
"เครื่องในหมาหรือ"

เขาไม่ตอบ เวลานั้นผมเริ่มแน่ใจแล้วว่าเขากินหมาของผมรวมทั้งหมาแมวบริเวณนี้ที่หายไป "กินหมาหรือ" ผมโพล่งออกไป

เขาไม่ตอบเช่นเคย แต่เดินมาที่หม้อและยกกลับเข้าไปในเพิง

"แบบนี้เรียกว่าลักทรัพย์ คดีอาญา" ผมขู่
"ไปที่อื่นไป ที่นี่ก่อสร้างไม่ใช่บ้านคุณ" เขาโบกมือไล่ผม "คุณไม่มีหลักฐาน อย่ามั่ว"
"เวรกรรมมีจริง ระวังล่ะกัน" ผมพูดอย่างโมโห

เขาแสยะยิ้ม เบะปาก แล้วกลับเข้าห้องเพิงพัก ผมชวนภรรยากลับ ระหว่างทางเธอถามผม "เราทำอะไรเขาไม่ได้เลยหรือ"

"แค่ปลอกคอหมาเรา กับกระดูก เครื่องใน ยังพิสูจน์ไม่ได้ ผมอยากเตะมันมาก ท่าทางมันกวนจริงๆ" ผมได้แต่บ่นออกไป

แต่แล้วดึกคืนนั้นผมกับภรรยาได้ยินเสียงหมาหอนเสียงเหมือนโบโบ้มาก เราจึงรีบเดินออกไปดู เสียงหมาหอนอยู่ตรงเพิงพักคนงานก่อสร้าง คนมุงดูอยู่พอสมควร เมื่อผมขอทางเข้าไปใกล้ๆ ผมก็เห็นผู้ชายท่าทียียวนตอนเช้าคนนั้น ทำท่าหมอบราวกับหมาและแสดงท่าพร้อมทั้งส่งเสียงหอน เสียงนั้นเหมือนหมาหอนมาก

ใครคนหนึ่งแถวนั้นพูดขึ้น "มันเป็นอะไรของมันก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาหอน นี่ยังไม่ยอมหยุดเลย ดูสิ มันคงคิดว่ามันเป็นหมามั้ง นั่นๆ แลบลิ้นแถมเกาคออีก"

ผมขนลุก หันไปมองมองภรรยาที่กระเถิบตัวมาชิดผมและเกาะแขนผมแน่น



ตาสินกับยายจัน
ตาแกชื่อสิน ยายแกชื่อจัน ผมเกิดมาจำความได้ก็เห็นหน้าแกแล้ว พ่อบอกว่าแกเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาซื้อและอยู่อาศัยในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 ก่อนผมเกิดเสียอีก พ่อมาซื้อบ้านที่นี่หลังตายายคู่นี้ประมาณสามปี ตอนนั้นมีศาลตายายตั้งข้างๆ ศาลพระพรหมอยู่แล้ว และศาลตายายของคนในหมู่บ้านสมัยนั้นก็ไม่ได้หมายความถึงตาสินและยายจันเลย

นั่นแหละกลายมาเป็นศาลตาสินกับยายจันตอนไหน? เรื่องนี้ต้องถามผม ผมรู้เป็นอย่างดีเลย

ศาลพระพรหมและศาลตายายอยู่บริเวณสวนหย่อมและอยู่กึ่งกลางหมู่บ้าน หากผมจะเข้าออกบ้านก็จำเป็นต้องผ่าน บ้านผมอยู่ท้ายหมู่บ้าน ทางออกมีทางเดียวคือหน้าหมู่บ้าน บ้านตาสินและยายจันเป็นหลังที่อยู่หน้าศาลพอดี แกอยู่กันสองคน นานๆ จึงจะเห็นคนมาเยี่ยม

คืนนั้นผมกลับบ้านดึก ปกติผมใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะ แต่วันนั้นรถเกิดเสียกลางทาง ลากรถเข้าอู่แล้วผมก็ขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ตั้งใจจะอาศัยมอเตอร์ไซค์วินรับจ้างพาเข้าบ้าน แต่มอเตอร์ไซค์วินก็ดันไม่มีสักคัน ผมรออยู่นานมาก มองดูเวลาก็เลยเที่ยงคืนไปนานแล้ว จึงตัดสินใจเดินเข้าบ้าน ว่าไประยะทางก็ไม่ไกลหรอก จากหน้าทางเข้าถึงบ้านไม่น่าเกิน 1 กิโลเมตร แต่ความที่นั่งรถจนชินจึงไม่คิดจะเดิน พอวันนี้เดินจึงรู้สึกแปลกๆ

ผมเดินมองสองข้างทางที่ต่างก็ปิดประตูบ้านไปหมด เป็นคืนวันศุกร์ที่ไม่มีคนอาศัยหน้าบ้านนั่งดื่มเหล้าใช้เป็นที่สังสรรค์เลย จึงรู้สึกแปลกพิกล อากาศก็เย็น ผมสัมผัสได้ถึงความชื้นในอากาศ เดินเรื่อยๆ มองนั่นนี่เพลินๆ พอถึงหน้าหมู่บ้านก็ไม่ได้ทักทายยามเหมือนปกติ ยามหายไปไหนไม่รู้ ผมเดินลอดที่กั้นเข้าหมู่บ้านอย่างไม่คิดอะไร ไม่มีคนเดินสวนมาหรือรถขับผ่านไปผ่านมาแม้แต่คันเดียว

จังหวะที่ผมเห็นคนอยู่ข้างหน้าตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร พอใกล้เข้าๆ ถึงนึกได้ว่าอยู่ช่วงศาลพระพรหมแล้ว ผมหันไปเห็นว่าคนสองคนนั้นคือตาสินกับยายจัน อย่างที่บอกบ้านของสองตายายเป็นบ้านที่หากผมเข้าออกต้องผ่าน ปกติแกสองคนก็ชอบมานั่งรับลมกันประจำ ถ้าไม่นั่งกินกาแฟก็ตัดแต่งกิ่งไม้หรือกวาดใบไม้รอบๆ บ้าน ผมก็จะทักทายสองสามคำตามมารยาทเป็นปกติ เพราะการเห็นแกก็เหมือนเห็นพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก ไม่ได้คิดอะไร ดึกคืนนั้นที่ผมเดินผ่านตอนแรกก็ไม่คิดจะเอ่ยปากทัก แต่แปลกใจที่ดึกแล้วแกมาทำอะไร

"อ้าวตา อ้าวยาย มาทำอะไรที่นี่ ดึกแล้ว"

สองคนหันมามองผมเป็นตาเดียว ตอนนั้นเองที่มีรถยนต์แล่นมาทางด้านหลังแล้วหยุดรถ ไขกระจกมาทักตายายเหมือนกัน แล้วรถก็ขับไป ผมถามตายายอีกครั้ง แต่แกสองคนยังคงเงียบ ผมนึกในใจว่าอย่ายุ่งเรื่องแกดีกว่า แล้วก็เดินของผมต่อไป พอก้าวเดินไปไม่กี่ก้าว รู้สึกเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง จึงหันไปมอง

ผมตกใจแทบหงายหลัง ตาสินกับยายจันหันหน้าที่มีดวงตาแดงก่ำราวกับเลือดจ้องผม ก่อนจะแลบลิ้นยาวออกมาจนเรี่ยพื้นแล้วตวัดมาทางผม ผมตกใจมาก! พลางก้มหลบลิ้นแก จังหวะนั้นเองตาสินก็กางมือออกแล้วพุ่งเข้ามาเหมือนจะบีบคอผม

ไม่ต้องคิดอะไรแล้วล่ะ ผมโกยอ้าวใส่เกียร์หมาแทบไม่ทัน ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องหนีไปจากบริเวณนั้นให้พ้น ถึงบ้านผมหอบหายใจกดออดเรียกคนในบ้านให้เปิดประตู เข้ามาในบ้านพักเหนื่อยแล้ว ถึงได้รู้ เพราะพ่อเล่าให้ฟังว่า "ตอนบ่ายตาสินกับยายจันเจอโจรเข้าบ้าน แกวิ่งหนีออกมาตายแถวศาล แกถูกยิงที่หัวทั้งสองคน ศพยังอยู่โรงพยาบาล"

ครั้นผมเล่าให้ฟังพ่อแม่ก็ตกใจ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ถึงชั่วโมงเพื่อนบ้านก็เจอเหตุการณ์เดียวกันกับผม พวกเขาไม่รู้จะโทร.ไปหาตำรวจหรือแจ้งเรื่องร้ายกับใครดี

"มิน่าล่ะ ยามหายไปหมด" ผมพูด "นี่ผีแกอาละวาดทั้งๆ ที่ยังไม่เผาเลยหรือ"

คืนนั้นผ่านไป รุ่งเช้าคนในหมู่บ้านจับกลุ่มพูดคุยเรื่องนี้กันทั่ว งานศพแกสองคนแทบไม่มีคนไป ไม่มีใครรู้ว่าทำไมแกถึงออกมาหลอก มาบีบคอคนเดินผ่าน หลังจากนั้นมีคนเจอวิญญาณแกหรือผีแกสองคน อย่างเบาๆ ก็เจอแกเดินๆ นั่งๆ รอบๆ ศาล อย่างแรงก็ถูกแกหลอก ไม่แลบลิ้นปลิ้นตาก็ยื่นมือจะบีบคอ คณะกรรมการหมู่บ้านจึงตกลงกันทำบุญเลี้ยงพระบริเวณศาล เชิญพระทางไสยศาสตร์ทำพิธีเชิญดวงวิญญาณตาสินกับยายจันให้สถิตอยู่ในศาลตายาย ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครเห็นแกอีกเลย แต่คนก็ยังเรียกศาลตาสินยายจันจนติดปาก

หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไปนับสิบๆ ปี จนมีหลายคนเห็นตาสินกับยายจันออกมานั่งออกมาเดินรอบๆ ศาลเมื่อวานนี้ ผมถึงกับขนลุก



ทหารขี้เล่น
เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน สมัยที่ผมยังทำงานในตัวจังหวัดลพบุรี ก่อนจะมาอยู่ห้องเช่านั้น ผมจะอาศัยรถส้มไปกลับทุกวัน ดึกคืนนั้นประมาณสามทุ่มกำลังรอรถคันสุดท้ายซึ่งจะมาถึงสามทุ่มสิบห้า แต่วันนั้นทำไมยังไม่มาก็ไม่รู้ผมรอจนเลยเวลาไปใกล้จะสามทุ่มครึ่งแล้ว สงสัยจะไม่มีรถมาแน่นอน ผมจึงโทร.กลับไปทางบ้านให้ช่วยมารับหน่อย บ้านผมห่างออกไปราวสามสิบกิโลเมตร (บางวันผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาทำงานเหมือนกัน แต่ปกติจะขี้เกียจนั่งรถโดยสารดีกว่าหลับได้ด้วย)

ระหว่างนั่งรอผมเกิดปวดปัสสาวะ ปกติถ้าใครเคยไปแถวนั้นประจำ อาจจะทราบว่าใกล้กันเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดซึ่งจะมีประตูหนึ่งที่เปิดให้คนเดินเข้าออกโรงพยาบาลได้ แม้จะดึกดื่นแค่ไหน (ทุกวันนี้ยังเปิดหรือเปล่าไม่รู้) ประตูนั้นเปิดก็เพื่อให้คนไปเข้าห้องน้ำหรือไปซื้อของกินที่เซเว่นอีเลฟเว่น สาขาโรงพยาบาลได้ ผมไม่อยากอั้นปัสสาวะแล้ว จึงรีบเดินไปเข้าห้องน้ำที่อยู่บริเวณตึกผู้ป่วยนอกเก่า ระหว่างทางเชื่อมตึกมืดมาก มีต้นไม้ใหญ่ บังไฟสีส้มๆ ที่เปิดให้แสงอยู่แต่ ก็ยิ่งทำให้แสงเงาดูสลัวน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

ห้องน้ำของโรงพยาบาลค่อนข้างสะอาดและไม่มีใครอยู่เลย แถมหลอดไฟยังเสียเปิดไม่ติด แต่ผมก็จะราดอยู่แล้วเลยไม่เรื่องมาก เมื่อเสร็จธุระล้างมือแล้วจึงเดินออกมาด้านนอก

คราวนี้ขณะเดินกลับ จึงมีเวลาสังเกตได้ว่าทางเดินตรงนี้มืด เปลี่ยวและวังเวงแค่ไหน ระหว่างทางลาดเชื่อมตึกสองตึกนี้ไม่มีใครผ่านมาบ้างเลยทั้งที่ยังไม่ดึกมาก เรื่องเล่าน่ากลัวต่างๆ เกี่ยวกับโรงพยาบาลแวบมาในหัวชวนให้ขนลุกเข้าไปอีก ผมเลยสะดุ้งโหยงแทบหงายหลังตอนได้ยินเสียงร้องครวญเหมือนคนกำลังได้รับความเจ็บปวดดังมาจากข้างทาง เผลออุทานคำหยาบไปเสียงดังลั่น

ตัวสั่นใจสั่น ตอนที่เห็นเงาร่างตะคุ่มๆ ขยับอยู่ข้างทางนั้น "โอยย ช่วยด้วยยย"

เมื่อเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเป็นชายหนุ่มในชุดทหารนอนหายใจรวยรินอยู่เหมือนกำลังจะหมดแรง ผมรีบเข้าไปประคองเขา "เป็นอะไรไหมพี่"

เขาไม่ตอบเอาแต่ร้องโอดโอย ผมจึงตั้งใจจะพาไปตึกอุบัติเหตุที่อยู่ไกลออกไป มือเขาที่กุมท้อง มีเลือดไหลออกมา เนื้อตัวสกปรกมีแต่ฝุ่นโคลนอย่างน่าประหลาดแต่นาทีนั้นผมไม่ทันได้คิดอะไร รีบพาเขาไปให้เร็วที่สุด ผมถามเขาว่าไปโดนอะไรมา เขาตอบว่าโดนยิง แล้วกระอักออกมาเป็นเลือดสดๆ จำนวนมาก กระเด็นเลอะเสื้อผมเป็นดวงๆ!

ตอนนั้นผมคิดเข้าใจไปเองว่าพี่ทหารคนนี้คงไปมีเรื่องอะไรกับใครมาแล้วโดนยิงเข้า ผมรีบกึ่งลากกึ่งประคองเขาแล้วในตอนนั้นเพราะเลือดไหลออกมามากจนทาพื้นเป็นทางยาว เมื่อถึงห้องอุบัติเหตุผมก็ตะโกนให้คนมาช่วย ปรากฏว่าทุกคนหันมามอง แต่มองอย่างงุนงง บางคนส่ายหัวไม่สนใจ

"เร็วเข้าครับ คนถูกยิง เลือดไหล" ผมตะโกนเสียงดัง

 แทบทุกคนมองผมเหมือนอากาศธาตุ บางคนก็เหมือนไม่ได้ยิน บางคนมองผมแล้วก็ผ่านเลยไป

แต่มีนางพยาบาลอยู่คนหนึ่งเดินมาจูงแขนผมเดินเร็วๆ พาไปทางหนึ่งของตึก ผมรีบบอกว่า "พี่จะพาผมไปไหน รีบช่วยพี่ทหารคนนี้ก่อนจะดีกว่า"

พี่พยาบาลไม่ตอบ เธอถอดพระที่เธอห้อยคอยกขึ้นไหว้จบที่หัวแล้วสวมให้ผม

ผมทั้งตกใจและงุนงง! ผมมองไปรอบๆ ตัวและที่ที่นำทหารคนนั้นไว้ ปรากฏว่าทหารคนนั้นหายไปแล้วไม่มีแม้กระทั่งรอยเลือดที่ชุ่มโชกพื้นอยู่เมื่อสักครู่ ที่เสื้อผมก็ไม่มีเลือดอะไรสักนิด

พี่พยาบาลหันกลับมาพูดกับผม "ทหารที่น้องเห็นใส่เสื้อผ้าแบบนี้ใช่มั้ย" พี่พยาบาลชี้ให้ดูรูปที่แขวนในห้อง

"มันเป็นชุดทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1"
"ผมไม่เข้าใจพี่"

เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกล่าวว่า "บางทีเขาก็มาให้เห็นในชุดทหารสมัยสงครามอินโดจีนที่ไทยรบกับฝรั่งเศสน่ะ" พี่นางพยาบาลบอก "เขามาหลายแบบ แต่เขาชอบหลอกคนด้วยวิธีการที่น้องเห็นมากที่สุด คนในโรงพยาบาลนี้เจอกันมาหมดแล้วทุกแบบ"

ก่อนที่ผมจะขอตัว พี่พยาบาลพูดสั้นๆ ว่า "พี่ทหารเขาไม่มีอะไรหรอก ขี้เล่น"

พอดีสายจากพี่ผมเข้ามาพอดี พี่ชายผมนั่นเอง

"มาถึงแล้ว ออกมาดิ นี่จอดรอหน้าโรงพยาบาลแล้วเร็วๆ ด้วย" พี่ชายว่า

ผมรีบบอกพี่ให้ขับวนเข้ามารับผมในโรงพยาบาลหน่อย ผมไม่กล้าเดินออกไปคนเดียว

ผมยอมทนฟังพี่บ่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะไปกลับรถใหม่แล้วขับวนกลับเข้ามารับผมตามที่ขอ ผมไปยืนรอหน้าห้องฉุกเฉินที่มีแสงสว่างและยังมีคนเดินไปมาพลุกพล่าน พลางนึกในใจว่า พี่ทหารครับคราวหน้าไปเล่นกับคนอื่นเถอ นะครับ อย่ามาเล่นกับผมอีกเลย ผมกลัวจริงๆ



แชนเดอเลียร์สยอง  
ช่วงเดือนก่อนฉันกับเพื่อนคนหนึ่งพากันไปไหว้พระวัดดังแถวสมุทรปราการ เพื่อนยืนยันว่าต้องมาให้ได้ เพราะหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์มากจริงๆ

เพื่อนบนเรื่องสามีที่นอกใจ มันว่าบนหลวงพ่อวัดนี้เห็นผลแทบทุกคน ของที่บนก็ไข่ต้มร้อยฟองเป็นหลัก นอกนั้นก็แล้วแต่ใครจะคิดสรรหา ปกติฉันก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้แต่เห็นใจที่เพื่อนกำลังมีความทุกข์จึงมาด้วย หลังกราบพระประธานระหว่างรอเพื่อนกวาดตามองไปรอบๆ โบสถ์ สิ่งที่สะดุดตาคือแชนเดอเลียร์หรือโคมไฟคริสตัลระย้าสไตล์ยุโรปช่อใหญ่ มโหฬารด้านบน แถมมีสปอตไลต์ส่องจนเกิดแสงสีสวยงามระยิบระยับดูผิดที่ผิดทางพิกล

ฉันสะกิดเพื่อน ให้ดู "แก ดูดิ วัดนี้แชนเดอเลียร์ฝรั่งอันเบ้อเริ่มเลย"

เพื่อนทำท่ารำคาญ "เออ วัดนี้เขาแนวผสมผสาน" ว่าแล้วมันก็ขมุบขมิบปากบนบานต่อ

แม้จะดูประหลาดตา แต่ความสวยงามทำให้ฉันละสายตาแทบไม่ได้ แสงจากคริสตัลส่องประกายสีรุ้งและทองวิบวับเหมือนมีเวทมนตร์ ฉันรู้สึกแปลกๆ คล้ายว่ามันกำลังเรียกให้ฉันรับไปอยู่ด้วย

ห้าวันต่อมาฉันกับเพื่อนกลับไปที่วัดนั้นอีก เพราะต้องหอบไข่ต้มร้อยฟองไปแก้บน ฉันเองยังประหลาดใจแต่เพื่อนฉันเชื่อหมดใจว่าเป็นเพราะพลังอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ คราวนี้ฉันตามไปโดยไม่งอแงเพราะใจยังติดอยู่ที่แชนเดอเลียร์ช่อนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เข้าไปในโบสถ์กลับไม่พบสิ่งที่มองหาด้านในมีการตกแต่งใหม่ มีแชนเดอเลียร์ใหญ่และอลังการกว่าเดิมมาแขวนแทน ได้ยินทางวัดประกาศว่า เป็นของขวัญจากส.ส.ในพื้นที่

ฉันหงุดหงิดจึงเดินออกมาด้านนอก เจอเข้ากับซุ้มขายของมือสองทำบุญของทางวัด ทีแรกฉันเกือบจะเดินผ่านไปแล้ว แต่พอดีหันไปเห็นแสงวาบออกมาจากกล่องใบใหญ่ที่วางไว้ใต้โต๊ะ แชนเดอเลียร์อันนั้นนั่นเอง

"เท่าไหร่คะ" ฉันรีบเข้าไปถาม

คน ขายมองหน้ากันไปมา "เอ่อ อันนี้ยังไม่ได้ตั้งราคาเลยครับ เป็นของที่เขาเอามาให้ ท่านเจ้าอาวาสคนเก่า จริงๆ ท่านเคยบอกว่าให้เอาไว้ที่วัดนี้ตลอดอย่าให้ใครเอาไปจากวัด แต่ว่า นี่เปลี่ยนเจ้าอาวาสแล้ว นโยบายเลยไม่เหมือนกัน"

คุยไปคุยมาฉันเลยได้ของหรูหราสวยงามชิ้นนี้มาในราคาเพียงไม่ถึงพันบาท เพื่อนฉันยังว่าเราสองคนโชคดีคนละอย่าง ต่างก็ได้ของที่อยากได้

ฉันกลับมาที่บ้าน รีบให้แฟนเอาขึ้นแขวนแล้วนั่งดูแสงสวยๆ ของมันอย่างหลงใหล แฟนฉันกลับบอกว่า ดูไปดูมาขนลุกยังไงไม่รู้ และยังว่าไม่เข้ากับบ้านสไตล์โมเดิร์นของเราที่เน้นเรียบๆ มากกว่าจะตกแต่งของหรูหราเตะตาแบบนี้!

หลังจากวันนั้นฉัน รู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนแสงประกายของแชนเดอเลียร์ช่วยเพิ่มพลังด้านบวก ฉันกระตือรือร้นขึ้นและเริ่มใช้เวลาในการนอนหลับพักผ่อนน้อยลง แต่กลับไม่เหนื่อยเลย

ฉันกระตือรือร้นที่จะทำอาหารให้สามีรับประทานทุกมื้อเย็นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่เขาก็เหมือนไม่ค่อยปลื้มกับความเปลี่ยนแปลงของฉันมากนัก

"เชื่อ ผมสักเรื่องนึงสิ ไอ้แชนเดอเลียร์อันนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีจริงๆ นะ แถมเมื่อคืนยังฝันร้าย ผมฝันเห็นผีผู้หญิงนั่งอยู่บนนั้น จ้องมองมาที่คุณ น่ากลัวสุดๆ"

"ก็เรื่องของคุณ" ฉันเถียงอย่างไม่ค่อยพอใจเหมือนกัน "คุณน่ะมองโลกในแง่ร้ายไปหมดฉันเป็นคนซื้อมา และก็ชอบมาก จะไม่ทิ้งไม่ขาย ไม่อะไรทั้งนั้น" ฉันยืนยันในขณะที่สามีถอนหายใจ

หลังจากนั้นฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ เหมือนสามีเปลี่ยนไป ระแวงว่าเขาจะมีคนอื่น วันหนึ่งแกล้งหยิบโทรศัพท์ของสามีไปซ่อน และเอาออกมาดูตอนเขาไปทำงาน พบข้อความพูดคุยหวานซึ้งกับผู้หญิงคนหนึ่ง และมีหลายข้อความที่บ่งบอกได้ว่ามีอะไรกันลึกซึ้งมานาน ฉันลองโทร.ไปที่เบอร์ของเธอคนนั้น เธอรับสายแล้วหัวเราะใส่ก่อนวางหูไปแล้วส่งภาพถ่ายบนเตียงของทั้งคู่มาให้ฉันดูด้วย

ฉันนั่งร้องไห้อย่างทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก ปวดใจรุนแรงจนไม่น่าเชื่อว่าในชั่วเวลาครู่เดียวนั้น ฉันเอาผ้าพันคอมาแขวนเข้ากับแชนเดอเลียร์สุดสวย เตรียมจะฆ่าตัวตายอย่างไม่ลังเล

ฉันเกือบขาดใจไปแล้วตอนที่สามีรีบวิ่งเข้ามาอุ้มฉันลงได้ทันหวุดหวิด

เขาบอกว่าไปสืบหามาและได้ทราบว่าแชนเดอเลียร์นี้มาจากบ้านหลังหนึ่งที่สาวสวยแขวนคอตายกับแชนเดอเลียร์นี้ หลังจากนั้นคนในบ้านอยู่ไม่ได้เพราะเห็นเธอปรากฏอยู่เสมอ เลยขายต่อ แต่ขายไปบ้านไหนไม่นานก็มีคนมาแขวนคอตายอยู่เรื่อย ลงท้ายเลยเอาไปยกให้วัด และเรื่องก็เงียบมานานหลายปี

ทีแรกฉันนึกว่าสามีแต่งเรื่อง เพื่อกลบเกลื่อนความผิดเรื่องนอกใจ แต่เมื่อเปิดโทรศัพท์ดูอีกครั้งก็ไม่มีภาพหรือข้อความอะไรที่ฉันเคยเห็น ไม่มีประวัติการโทร.เข้าออกมาตั้งแต่เมื่อวาน

ในขณะที่ฉันกำลังงุนงง ฉันมองขึ้นไปบนแชนเดอเลียร์ก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อเห็นร่างเลือนรางหญิงสาวคนหนึ่งนั่งจ้องมองฉันลงมาจากบนนั้น  


ข่าวสดออนไลน์


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 19 ตุลาคม 2559 18:41:47
(https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcToLyMfks8jWiw77kj_inOqcy_NwWEOldZiyho6vGXjP6pA64hR)
ในซอกกำแพง
วิรินทร์และสามีตัดสินใจกันเมื่อเดือนก่อนว่า แทนที่จะจ่ายค่าเช่าเดือนละหลายพันบาท น่าจะหาบ้านดีๆ ราคาพอสู้ไหวแล้วทำเรื่องผ่อนกับธนาคารจะดีกว่า และในอนาคตจะได้เป็นสมบัติของลูกด้วย

จากหาตามที่ประกาศในเน็ต ทั้งบ้านโครงการใหม่ๆและบ้านมือสอง แวะเวียนไปดูหลายที่แล้ว ในที่สุดก็มาถูกใจบ้านมือสองหลังหนึ่งซึ่งทำเลไม่ไกลจากที่เดิมมากนัก เป็นบ้านเดี่ยว เนื้อที่ตัวบ้านกว้าง สภาพบ้านยังดูดีมาก แต่เจ้าของประกาศขายไว้ในราคาที่ค่อนข้างถูก

วิรินทร์กับลูกสาวอายุสี่ขวบ พากันเดินไปดูในวันที่สามีเธอออกไปทำงาน แล้วลองเลียบๆ เคียงๆ ถามข้างบ้านหลังนั้นดู เขารีบออกมาบอกว่าบ้านไม่มีอะไร เจ้าของเขาต้องย้ายไปต่างจังหวัดเลยประกาศขายถูกๆ แต่วิรินทร์ดูกิริยาคนพูดแล้วดูร้อนรนแปลกๆ ตอนนั้นเธอยังไม่ได้คิดอะไรมาก

ในที่สุดเมื่อดำเนินการซื้อขายแล้ว วิรินทร์และครอบครัวก็พากันย้ายเข้าบ้านใหม่

บ้านหลังนี้ เธอและลูกสาวชอบมากเพราะกว้าง มีที่ให้วิ่งเล่น อากาศก็ถ่ายเทสะดวก เธอกับลูกซื้อสติ๊กเกอร์ลายน่ารักๆ สำหรับติดกระจกมาช่วยกันประดับประตูหน้าต่าง ในบ่ายวันนั้นเองที่เริ่มได้ยินเสียงเล็กๆ ดังออกมาจากกำแพงด้านหลัง

ลูกสาวของวิรินทร์วิ่งเร็วปรื๋อไปทางนั้น "แม่ขา แม่ขา ลูกแมวร้องค่ะ"

วิรินทร์รีบวิ่งตามออกไป ใช้เก้าอี้เขย่งดูที่ซอกระหว่างกำแพงบ้านเธอกับเพื่อนบ้าน ซึ่งกว้างราวๆ 10 เซนติเมตร พอดีที่แมวผอมๆ ตัวหนึ่งจะเบียดเดินเข้ามาได้ หญิงสาวก้มลงไปมองเห็นแมวลายเสือสีส้มตัวหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาร้องแหงวๆ หน้าตามอมแมม

วิรินทร์พยายามสำรวจดูจนแน่ใจว่าเจ้าแมวไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนและไม่ได้มีส่วนไหนติดอยู่ในซอก มันคงเข้ามาที่ซอกนี้บ่อยๆ ลูกสาวเธอขอให้แม่อุ้มขึ้นไปดูด้วย

"ว้าย แมวน่ารักจังเลยค่ะแม่เหมือนพุซอินบู๊ทเลย" หนูน้อยว่าพลาง รีบปีนลงมาวิ่งกลับเข้าไปหาขนมในบ้าน ได้ซาลาเปาไส้หมูสับที่กินเหลือมาครึ่งลูก เอามาหย่อนลงไปในซอกนั้น

หญิงสาวสังเกตว่าพื้นซอกกำแพงสูงขึ้นมาราวหัวเข่า ไม่รู้ว่าเจ้าของเดิมตั้งใจจะทำอะไรไว้แล้วยังค้างคาอยู่หรือเปล่า เจ้าแมวรีบคาบซาลาเปาแล้วค่อยๆ ถอยหลังออกไปช้าๆ

"ต้องถอยออกเพราะมันไม่มีที่ยูเทิร์นนะคะแม่" เด็กหญิงพูด แล้วสองแม่ลูกก็พากันหัวเราะชอบใจ

หลังจากวันนั้นเจ้าเสือตามที่ลูกสาวเธอเรียกจะเดินมาที่ซอกนี้บ่อยๆ แล้วร้องเรียกขออาหาร วิรินทร์ลองเรียกให้มันมาเข้าทางหน้าบ้าน มันก็ไม่ยอมมา เธอตั้งใจว่าถ้ามันไม่กลั เธออาจจะเก็บมันมาเลี้ยงเป็นแมวบ้าน แต่ดูท่าแล้วมันจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่จะเอื้อมมือลงไปหยิบในซอกนั้นก็ลึกเกินไปและซอกเล็กมาก

คืนหนึ่ง วิรินทร์ลงมาล้างจานที่บริเวณครัวหลังบ้านได้ยินเสียงครางอือ อือ ออกมาจากซอกเดิมที่แมวเคยมา เธอก็ตกใจ คิดในใจว่าทำไมวันนี้เจ้าเสือร้องเสียงแปลกๆ บาดเจ็บอะไรหรือเปล่า เธอเลยรีบปีนเก้าอี้ก้มดู แต่ในความมืดเลือนราง ทำให้มองอะไรในซอกนั้นไม่เห็นเลย

"ไอ้เสือ เสือเอ๊ย แกหรือเปล่า" วิรินทร์ร้องถามโดยที่เสียงครางอือๆ นั้นยังดังไม่หยุด

"แม่ ไอ้เสือมาเหรอคะ" ลูกสาววิรินทร์วิ่งมาร้องถาม "ขอหนูดูเสือหน่อย"

"มองไม่เห็นอะไรเลย หนูเอาไฟฉายให้แม่หน่อยได้ไหมลูก" วิรินทร์ว่า

พอได้ไฟฉาย วิรินทร์ก็เปิดไฟฉายส่องลงไปทันที

แสงไฟกระทบเข้ากับบางสิ่งที่ทำให้เธอผงะแทบตกเก้าอี้ หญิงสาวคาดว่าจะเห็นแมวผอมโซลายเสือ แต่กลับเห็นสิ่งที่น่าขนพองสยองเกล้ากว่านั้นมาก

ในซอกกำแพงที่กว้างไม่ถึง 10 เซนติเมตร ใบหน้าสีขาวเผือด แหงนมองขึ้นมาที่วิรินทร์ พลางส่งเสียงคราง อือ อือ เหมือนกำลังเจ็บปวด ดวงตาแดงฉ่ำไปด้วยเลือดที่ไหลย้อยออกมาพร้อมกันจากหู ตา จมูก ปาก ขยับดุกดิกอยู่อย่างนั้น

"แม่ๆ อุ้มหนูดูไอ้เสือหน่อย" ลูกสาวเธอร่ำร้อง

วิรินทร์รีบลงมาอุ้มลูกวิ่งเข้าบ้าน ปิดประตูอย่างรวดเร็ว สามีเห็นก็ร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น เธอไม่ได้ตอบตอนนั้นแต่รอลูกหลับจึงเล่าให้ฟังด้วยใจสั่น สามีปลอบใจเธอว่าคงตาฝาดมากกว่า ซอกเล็กขนาดนั้นแมวยังลงไปยาก คนจะไปอยู่ได้ยังไง

เธอพยายามคิดเช่นนั้น แต่คืนต่อมาเสียงอือ อือ แปลกๆ ดังขึ้นมาอีก คราวนี้สามีของวิรินทร์อาสาไปส่องดูด้วยตัวเอง แล้วก็ต้องผงะล่าถอยมาอย่างรวดเร็วอีกคน และพาเธอกับลูกไปนอนบ้านแม่ของสามีแทน

คืนต่อๆ มาเสียงร้องยังดังออกมาจากซอกกำแพง จนเช้าวันหนึ่งวิรินทร์และสามีทนไม่ไหว ลองเสี่ยงโทร.แจ้งความให้ตำรวจมาช่วยตรวจดูที่ซอกกำแพงว่ามีอะไรไหม ทีแรกตำรวจพากันหัวเราะขำ แต่ก็มาให้ และให้คนลองทุบกำแพงดู

วิรินทร์แทบจะไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นโครงกระดูกสีขาวโพลนหล่นลงมาปนกับกองปูน ซากศพของใครบางคนถูกโบกปูนอัดไว้ในนั้นมานานแค่ไหนก็ไม่รู้

สามีหน้าตาซีดพูดกับเธอว่าจะรีบประกาศขายต่อบ้านนี้ให้เร็วที่สุด แล้วเดินไปอาเจียนในห้องน้ำ ในขณะที่ลูกสาวของวิรินทร์ชี้ให้เธอดูบางอย่างที่ไหลออกมากับกองปูนเพิ่มเติม

"แม่ดูสิคะ มีโครงกระดูกอันเล็กด้วย"

วิรินทร์มองตามโครงกระดูกเล็กรูปร่างคล้ายแมวขนาดพอๆ กับเจ้าเสือแล้วก็ขนลุกขึ้นมาอีกที



ใต้ถุนบ้านร้าง
เรื่อง นี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน สมัยที่น้ำท่วมยังเรียกว่าน้ำท่วม ไม่ได้เรียกว่ารอการระบายเหมือนอย่างทุกวันนี้ ตอนนั้นน้องชายผมเพิ่งซื้อบ้านต่อจากคนรู้จักกันในราคาถูกแสนถูก ด้วยความที่ถูกมากนี่แหละผมจึงกล่าวตักเตือนน้องชายไปว่าตรวจดูให้ดีๆ เคยเกิดอะไรขึ้นในบ้านหรือไม่ บ้านกลางเมืองหลังใหญ่โตสองชั้นบนเนื้อที่สองร้อยตารางวาราคาสองล้าน แม้จะเป็นสมัยสิบปีก่อนก็ยังถือว่าถูกมากอยู่ดี น้องชายผมบอกไม่มีอะไรหรอก เขาร้อนเงิน บ้านก็มีอีกหลัง หลังนี้กลางเมืองเขาไม่ชอบเขาก็ขาย แม้ผมจะเฝ้าบอกว่าอย่าไปเชื่อคำพูดของคนอยากขาย เขาจะพูดอะไรก็ได้ที่ทำให้ขายได้ก็ตาม น้องชายผมก็ยังไม่เชื่อ จนกระทั่งเกิดเรื่องถึงจะเชื่อ

ตอนแรกก็นึกว่าที่ขายราคาถูกเพราะฝนตกทีไรน้ำในซอยต้องรอการระบายเป็นเวลาหลายวันทุกที บ้านนี้แม้ตัวบ้านจะยกสูง แต่เนื้อที่ในบ้านระดับน้ำถึงครึ่งแข้งทุกที บ้านหลังติดกันนี่สิ เตี้ยและต่ำกว่าทั้งตัวบ้านและเนื้อที่รอบๆ น้ำจะเข้าบ้านแทบทุกครั้ง ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมบ้านร้าง

ถึงจะร้างเพราะน้ำท่วมไม่มีคนอยู่แต่ราคาที่ถูกกว่าบ้านน้องชายผมกลับยังไม่ดึงดูดให้คนมาซื้ออีก ผมไปเยี่ยมน้องชายหลายครั้งถึงเข้าใจ รวมถึงเข้าใจเรื่องราคาบ้านน้องชายผมด้วย

หลายปีก่อนซอยนี้ฝนตกน้ำก็ไม่ต้องรอการระบายหรอก ตกลงพื้นน้ำก็ไหลลงท่อออกคลองไปไหนต่อไหนตามทางของมัน แต่เมื่อมีการถมคลองหลังซอยทำถนนทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ตกทีไรก็เดินลุยน้ำทุกที จนบ้านหลายหลังมีเรือติดบ้าน

น้ำท่วมน้ำขังนานๆ พื้นถนนในซอยและในบ้านก็ทรุด บ้านหลังติดกันกับน้องชายผมหนักกว่าทุกหลัง มันทรุดจนเห็นพื้นบ้านใต้ถุนยกลอยชัดเจน ทรุดจนกว้างขนาดหมาแมวลงไปอาศัยได้

นี่แหละเป็นที่มาของเรื่อง ตอนนั้นยังมีคนอยู่บ้านนี้ แกไม่ได้เลี้ยงหมาหรอก เพื่อนบ้านน้องชายผมเล่าว่าแกเป็นคนดุ ดุแบบประหลาด ชอบทำอะไรพิกลๆ แกปลูกต้นกล้วยรอบบ้านนะ บ้านแถวนั้นก็มีเนื้อที่ไล่เลี่ยกันประมาณสองร้อยตารางวาทุกหลัง แต่บ้านหลังที่ว่านี่กลายเป็นดงกล้วยดูหนาแน่นไปหมด กล้วยก็ขึ้นจนดก แต่แกไม่ยอมให้ใครกิน หรือแม้แต่คิดจะขาย แกปล่อยมันเน่ามันดำคาต้น จึงมีทั้งกระรอก กระแต นก หนูมากัดกินเต็มไปหมด เพื่อนบ้านคนนั้นบอกแกอยู่คนเดียวด้วย นานๆ จะออกมาทีเวลามีรถกับข้าวเร่เข้ามาขายในซอย แกไม่เคยทักไม่เคยคุยกับใครแม้แต่กับพ่อค้าแม่ขายทั้งหลาย จ่ายเงินแล้วก็จบ

ใน อยมีหมาจรหลายตัว วันหนึ่งเทศกิจมาไล่จับ เจ้าหมาแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่งเพิ่งออกลูกครอกหนึ่ง มันหนีการตามล่าของเจ้าหน้าที่พาลูกมาหลบใต้ซอกที่ทรุดนั้น เจ้าของบ้านจอมประหลาดไม่พอใจออกมาขับไล่ ทั้งทำเสียงดัง ทั้งเอาไม้ยาวๆ ลงไปกวนไปไล่ เจ้าหมาก็ไม่ยอมขึ้นมาเสียที เจ้าหน้าที่จับหมาถึงกับเข้ามาช่ายจับก็ยังไม่สำเร็จจนเวลาผ่านไปเป็น ชั่วโมงๆ

หลังเจ้าหน้าที่กลับไปแล้ว แกก็ออกไปหน้าปากซอยแล้วกลับเข้ามาพร้อมปูนลูกหนึ่งและทรายถุงหนึ่ง แกจัดการผสมปูนทรายแล้วโบกทับปากทางที่ทรุดตรงนั้น โบกปิดจนไม่มีทางออก ระหว่างนั้นก็สบถด่าหมาแม่ลูกอ่อนที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาแม่ลูกห้าหกตัวในนั้นอย่างเสียงดัง เพื่อนบ้านต่างได้ยินกันทั่ว

ใช่ แกโบกปิดอุดทางเข้าออกของแม่หมา ฟังไม่ผิดหรอก

ตลอดเวลาหลังจากนั้นเป็นอาทิตย์ๆ เพื่อนบ้านต่างก็ได้ยินเสียงหมาร้องโหยหวนออกมาจากใต้ถุนซอกนั้น เจ้าของบ้านจอมโหดก็ไม่สนใจ แม้จะมีคนมาบอกให้สงสารหมา จะจัดการทุบทำลายและจับหมาออกมาไปเลี้ยงเองแต่เขาก็ไม่ยอม

สุดท้ายเสียงหมาก็เงียบไป

เรื่องแกขังหมาโบกปูนปิดนี้ก็ราวกับจะเงียบไปด้วย แต่วันหนึ่งเกิดไฟไหม้บ้านแก ไฟโหมแรงมาก เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้แต่ฉีดน้ำเลี้ยงรอบๆ บ้านหลังอื่นกันไฟลาม พยายามเข้าไปช่วยแกแต่ไม่สำเร็จ แกติดในบ้านที่แกติดเหล็กดัดอย่างแน่นหนาเสมือนขังตัวเองจากการช่วยเหลือของคนอื่นจนหมด ออกมาเองก็ไม่ได้ ตายอยู่ในกองเพลิงนั้น

หลายคนพูดว่าเป็นเรื่องกรรมตามสนอง แต่เรื่องหลอนที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมานี่สิ

วันดีคืนดีดึกๆ เพื่อนบ้านแถบนั้นจะได้ยินเสียงทั้งคนร้องโหยหวน หมาหอนร้องอย่างยาวนานนับสิบนาทีสลับกันทั้งคนทั้งหมา บ้านเจ้าน้องชายผมนี่สิหนักกว่าด้วยความที่ติดกัน มักจะเห็นชายคนที่ว่านี้ติดอยู่ตรงหน้าต่าง มือไม้ตะเกียกตะกายราวกับกำลังว่ายน้ำ ตาโต ตกใจ ร้องโหยหวนหวาดกลัวตรงหน้าต่าง ที่สำคัญหน้าต่างดันตรงกันนี่สิ

เข้าใจแล้วใช่ไหมว่า ทำไมบ้านจึงราคาถูก

ทุกวันนี้น้องชายผมอยู่ได้ด้วยการสร้างกำแพงสูงสามเมตรกั้นไว้ ส่วนเรื่องเสียงก็ทนฟังต่อไปจนฝ่ายไหนจะทนไม่ได้ไปเอง



หาหนูเจอไหม
ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ฉันกับลูกสาววัยห้าขวบไม่มีโปรแกรมไปไหน จึงพากันหาหนังดูสนุกๆ ตามประสาแม่ลูกในช่วงกลางวันที่พ่อของแกไปทำงาน เจอหนังฝรั่งน่ารักๆ เรื่องนึง ที่เด็กๆ เขาเล่นปิดตาควานหากัน โดยที่การเล่นคล้ายๆ การเล่นซ่อนหาบ้านเรา แต่คนหาต้องปิดตาตลอด ส่วนคนซ่อนต้องคอยตบมือสองครั้งเมื่อคนหาถาม ตามกติกาตบได้สามชุดเท่านั้น หากคนหายังหาคนที่ซ่อนอยู่ไม่เจอ ถือว่าแพ้ ต้องเล่นใหม่ แต่ถ้าหาเจอภายในสามชุด ถือว่าชนะ ต้องสลับตัวกัน

น่าเสียดายที่ปิดเทอมนี้พวกเด็กในหมู่บ้านเดียวกัน พากันตามพ่อแม่ออกไปเที่ยวตามต่างจังหวัด จึงไม่มีใครมาเล่นด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เราสองแม่ลูกเล่นกันเองออกจะบ่อยไป ครั้งแรกๆ ลูกสนุกมาก หัวเราะกรี๊ดกร๊าด เวลาเป็นคนซ่อนมักจะอดขำไม่ได้ หลุดฮาออกมาจนถูกจับได้บ่อยๆ บางทีฉันแกล้งหาไม่เจอนานๆ ลูกก็จะอดถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ว่า "แม่หาหนูเจอไหม" และแน่นอนก็ต้องถูกจับได้ทันที

ถึงเวลาที่ฉันซ่อน บางทีต้องคอยเดินตามลูก กลัวลูกจะเดินชนเดินเตะข้าวของในบ้านเจ็บตัว จนบางทีเผลอร้องให้ลูกระวังชน จนถูกจับได้ แต่ก็สนุกสนานกันไปตามประสาแม่ลูก

แล้ววันหนึ่งมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น ตอนนั้นราวสองทุ่ม สามียังไม่กลับ ฉันกับลูกพากันเล่นปิดตาควานหากันอีกครั้ง คราวนี้ตาลูกสาวเป็นคนปิดตาหา ฉันจับลูกหมุนตัวให้สับสนทิศทางนิดหน่อยตามรูปแบบของเกม แล้วรีบวิ่งไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าห้องนอน พอลูกร้องให้ตบมือ ก็ตบสองทีแล้วนั่งยิ้มรอ

ระหว่างนั้นได้ยินเสียงลูกเดินห่างออกไป จึงแง้มประตูตู้ออกดู เมื่อมองไม่เห็นลูกก็รีบตบมืออีกสองครั้งดังๆ คราวนี้เห็นลูกเดินผ่านหน้าห้องไปและดูเหมือนจะตรงไปทางบันได

ฉันใจหายวาบ รีบตะโกน "หาแม่เจอไหม แม่อยู่ทางนี้" แล้วก็รีบออกจากตู้เพราะกลัวลูกตกบันได

ขณะที่รีบจ้ำเดินเพื่อไปให้ทันลูก ก็ได้ยินเสียงลูกร้องขึ้นมาว่า "จับได้แล้ว"

ทำให้ยิ่งตกใจใหญ่ เพราะเราอยู่กันแค่สองคน แล้วฉันก็อยู่ตรงนี้นี่นา ฉันรีบออกไปหาลูก แล้วก็โล่งใจ เมื่อเห็นลูกทำท่าเหมือนจับใครสักคนได้ที่บริเวณหัวบันไดแต่ไม่มีใคร "แม่แพ้ แม่แพ้"

ฉันหัวเราะทันที "น้องขี้โกงนี่นา แม่อยู่ตรงนี้ต่างหาก"

ลูกสาวรีบถอดผ้าผูกตาออกทันที กวาดตามองไปรอบๆ อย่างงงๆ "อ้าว ทำไมแม่ไปอยู่ตรงนั้นล่ะคะ เมื่อกี๊หนูจับแม่ได้แล้วจริงๆ นะ"

ทีแรกนึกว่าลูกพูดเล่น แต่สีหน้าลูกดูจริงจังมากจนฉันร้อนๆ หนาวๆ ชั่วขณะหนึ่ง ฉันรู้สึกเหมือนมีใครอีกคนเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ตัวแต่มองไม่เห็น "เอ่อ แม่ว่าเราเลิกเล่นกันก่อนดีกว่านะลูกนะ" ฉันว่าแล้วรีบพาลูกเข้าห้องนอนล็อกประตูทันที

คืนนั้นฉันพาลูกสวดมนต์ยาว แผ่เมตตาเต็มสูตร และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สามีฟังหลังจากลูกหลับไปแล้ว

"คุณ ก็คิดมากไป" สามีว่า "ถ้าไม่สบายใจก็ทำบุญซะ แล้วเขาห้ามเล่นซ่อนหากันตอนกลางคืน เพราะอาจจะเกิดอันตรายได้ ทีหลังเล่นตอนกลางวันแล้วกัน"

สองสามวันต่อมาเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ตอนที่ลูกสาวชวนเล่นเกมปิดตาควานหาอีกครั้ง คราวนี้ฉันพยายามชวนแกเล่นอย่างอื่น แต่ลูกไม่ยอม อ้อนวอนขอร้องอยากจะเล่นมาก "นะคะแม่ รอบเดียวๆ นะนะ"

ฉันเห็นว่ายังไม่ดึกมาก เลยใจอ่อน "เอ้า รอบเดียวนะแล้วเล่นแค่ในห้อง ห้ามออกไปข้างนอก"

เราเป่ายิงฉุบกัน ลูกเป็นฝ่ายชนะ ฉันจำต้องเป็นคนปิดตา ทั้งๆ ที่ไม่อยากจะเล่นเลย ฉันหมุนรอบตัวสามรอบ แล้วเริ่มเดินควานหาลูก คราวนี้ลูกสาวไม่ส่งเสียงเลยสักนิด

เธอเริ่มตบมือครั้งแรก ฉันยิ้มออกแล้วเดินไปตามต้นเสียง "ไหนตบอีกทีซิ" เธอตบมือเบาๆ แต่ก็ยังพอได้ยิน ฉันหมุนไปตามเสียงอีกที ไม่รู้เมื่อครู่หมุนตัวมากไปไหน บ้านจึงโคลงเคลงเหมือนอยู่บนเรือ "ตบมืออีกทีจ้ะ"

คราวนี้ได้ยิน เสียงลูกตบมือมาจากที่ไกลๆ ฉันเริ่มไม่สบายใจ "น้อง แม่บอกแล้วไงว่าห้ามออกไปจากห้อง" ไม่มีเสียงตอบจากลูก ฉันไม่สนุกแล้ว รีบเอาผ้าปิดตาออกแล้วก็ต้องตกใจกว่าเดิม เมื่อเห็นว่าทั้งบ้านมืดสนิท

"แม่ หาหนูเจอไหม" เสียงแว่วๆ ดังมาจากที่ใกล้ๆ ฉันรีบเข้าไปรวบตัวไว้ เนื้อตัวลูกนุ่มนิ่มเหมือนเคย แต่กลับเย็นเฉียบ "ทำไมตัวเย็นแบบนี้ กลัวเหรอลูก ไม่ต้องกลัวนะ แค่ไฟดับเดี๋ยวไฟก็มา"

เสียงเดินใกล้เข้า มาทำฉันผวา ฉันจูงลูกย่องเข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้าด้วยความกลัวอย่างบอกไม่ถูก เสียงเดินนั้นใกล้เข้ามา ฉันนึกถึงโจรขโมยและสิ่งลี้ลับน่ากลัวอื่นๆ จนตัวสั่น กอดลูกไว้แนบอกแล้วจู่ๆ ฉันก็ตัวแข็งทื่อขยับไม่ได้ ฉันมองลอดช่องตู้เสื้อผ้าเห็นลูกสาวเดินถือไฟฉายส่องไฟมาเสียงสั่นๆ "แม่อยู่ไหนคะ"

ในขณะฉันภาวนาร่ำร้องในใจขอให้ลูกหนีไป เด็กหญิงผิวขาวซีดขาวเย็นเฉียบมีแสงสีเขียวเรืองๆ ในอ้อมกอดฉันก็แสยะยิ้มน่าสยดสยอง แล้วร้องตอบออกไปด้วยเสียงของฉันเองว่า "หาแม่เจอไหมลูก แม่อยู่นี่ไงเข้ามาอยู่ด้วยกัน สิจ๊ะ"



ผีเข้า
ปี พ.ศ.2550 ผมทำงานธุรการหอพักแห่งหนึ่ง เป็นหอที่เปิดมาประมาณยี่สิบปี ผมมาทำงานต่อจากป้าคนก่อนที่ลาออกไปเลี้ยงหลาน ผมมาทำงานตอนที่ป้าแกลาออกไปแล้ว ก่อนหน้านี้เคยดูแลอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งแถวพระโขนงมาเจ็ดปีตั้งแต่เรียนจบ จึงไม่มีปัญหาเรื่องประสบการณ์ แล้วก็มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ!

ผมฟังจากคนในหอนั้น ห้องปัญหาที่ว่าอยู่ชั้นบนสุดชั้นหกและอยู่ริมสุดพอดีทางซีกขวา หากหันหน้าเข้าหาหอ ปกติห้องแบบนี้หากใครเคยอยู่หอก็จะรู้ว่าห้องริมอย่างนี้แม้จะอยู่บนสุดแต่มีคนชอบ มักว่างได้ไม่นาน และห้องนี้ก็ติดแอร์ด้วย ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องก็ไม่เคยว่างคนเช่า

คนเช่าคนสุดท้ายอยู่ได้เพียงเดือนเดียวก็ยอมทิ้งเงินประกันและเงินล่วงหน้าทิ้ง พี่หนึ่งคนเช่าหอที่อยู่มาหลายปีแล้วเล่าว่า "ใครมาอยู่ก็อยู่ไม่ได้ นอกจากเสียงร้องโอยๆ ทั้งคืน บางทีนอนๆ อยู่ก็ถูกผลักให้ตกเตียง บางทีโทรศัพท์มือถือก็ถูกย้ายที่ ข้าวของหาไม่เจอประจำ เรื่องพวกนี้ยังฟังดูเบา ถ้าเทียบกับกระจกแขวนในห้องน้ำตกแตกบาดหน้า ใครจะอยู่ไหว เล่นกันขนาดนี้"

แล้วเรื่องมันเป็นอย่างไรหรือ พี่สมรคนเก่าแก่ของหอเล่าให้ฟัง  "ก่อนหน้านี้มีผัวเมียคู่หนึ่งเพิ่งแต่งงานมาเช่าอยู่ ทั้งคู่ทำงานโรงงาน แรกๆ พี่ก็เห็นกะหนุงกะหนิงรักกันดี แต่อยู่ได้ไม่ถึงปีก็ทะเลาะกัน วันดีคืนดีสามีเกิดปวดท้อง พี่ยังจำได้มาขอ ยาพี่ พี่ก็ให้ไปแต่หน้าตาเขาดูไม่ดี พี่ยังบอกว่าน่าจะไปหาหมอนะ แต่รู้ไหมรุ่งเช้าผู้ชายก็ตาย เมียร้องห่มร้องไห้วิ่งพล่านไปทั่วหอขึ้นลงจนคนตกใจหมด ปากก็ร้องว่าผัวหนูตายแล้ว ผัวหนูตายแล้ว"

แล้วไงต่อไป เพราะผมยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

"เราก็ไปงานศพกันหลายคนแหละในหอนี้ก็ยังปกติดีนะ ไปปลอบใจเมียมัน แต่แหม อีนี่ มารู้ความจริงทีหลัง ตำรวจยกโขยงมากันใหญ่ อีห่ารากนี่ เลวจริงๆ ฆ่าผัวระดับตุ๊กตาทองเลย"

ผมตกใจตาโตกับเรื่องไม่คาดคิด!   "ตอนแรกมันไม่ยอมรับหรอก แต่ผัวมันมาเข้าฝันพี่ เข้าฝันอีหนึ่งด้วย คืออย่างนี้ตอนแรกพี่ก็ไม่ได้สนใจหรอก ฝันครั้งแรกพี่แค่ฝันว่ามีคนมาบอกว่าให้ช่วยด้วยๆ พี่ฝันแบบนี้หลายคืน ก็แปลกใจอยู่หรอก แต่พอไปคุยกับอีหนึ่งมันก็เจอเหมือนพี่ ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ น้องเข้าใจมั้ย"

ผมพยักหน้ารับอย่างงุนงง นี่แหละครับ เรื่องที่พี่สมรเล่า

"จากนั้นมาห้องนั้นพอใครมาเช่าก็มีอันต้องเจอเสียงผู้ชายร้องโอดโอยจนใครต่อใคร แปลกใจมาก พอหนักเข้าๆ พี่กับคนในหอเลยไปจุดธูปที่หน้าห้อง บอกว่าจะทำบุญไปให้ มีอะไรให้มาเข้าฝัน คืนนั้นเอ พี่ก็ฝันเห็นหน้าชัดเลย ไอ้ผัวมันนี่แหละที่มาบอกพี่ว่าช่วยมันด้วย มันปวดท้องมาก มันตายเพราะเมียมันวางยาพิษ เอาล่ะสิ ทีนี้พี่ก็สะดุ้งตื่น ตกใจมาก มันคนละเรื่องเลย แต่ไม่อยากเชื่อหรอกนะ คงดูหนังมากไปจนเอาไปฝัน พี่เชื่อแบบนั้นในตอนแรก แต่พอตื่นนอนไปเล่าให้อีหนึ่งฟังฉิบเป๋ง มันฝันเหมือนพี่เลย ทีนี้นะ ไม่น่าเชื่อคือมีตำรวจมาที่หอ อีหนึ่งมันก็ลงไปชักดิ้นชักงอ แล้วพูดกลายเป็นเสียงผู้ชายผัวมันบอกว่า เมียมันฆ่า มันไม่ได้ปวดท้องตายเอง คนก็ตกใจกันใหญ่ แล้วพวกเราก็เล่าเรื่องที่หอนี้ห้องที่ผัวเมียเคยอยู่มีแต่เสียงผู้ชายร้อง โอดโอยจนไม่มีใครกล้าพักห้องนั้นแล้วให้ตำรวจฟัง ผัวมันที่เข้าสิงอีหนึ่งก็เดินพาตำรวจกับคนเยอะแยะพาไปที่ที่เมียมันทิ้ง หลอดยาที่ให้ผัวกิน

"อีห่านั่น มันทิ้งขวดยาที่นี่" เสียงผัวมันในร่างอีหนึ่งตะโกนบอก ตำรวจก็สองจิตสองใจ จนมีคนโทร.เรียกกู้ภัยมา คุยไปคุยมา กู้ภัยก็ตัดสินใจเดินเรียงหน้ากระดานหาขวดใส่ยาจนเจอ ตำรวจก็เลยทำคดีใหม่และใช้ขวดนี่เป็นหลักฐาน จับนังเมียสอบจนยอมรับสารภาพ เรื่องของเรื่องคืออีนั่นกำลังจะมีชู้ เลยวางยาฆ่าผัวมัน อีนี่เลวจริงๆ"

ต่อมาเจ้าของก็ทำบุญหอพักครั้งใหญ่ โดยเฉพาะที่ห้องนั้นพระเดินไปรดน้ำมนต์เป็นพิเศษ จากนั้นมาก็ไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรเลย

"คนเช่าห้องต่อๆ มาเราก็ไม่เล่าให้เขาฟัง มันก็ไม่มีอะไรจริงๆ สุขสงบเหมือนห้องทั่วๆ ไป" พี่หนึ่งบอก

ผมทำที่หอนั้นอีกกว่าสามปีก็ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงจากห้องนั้นจนลาออกมาเมื่อปลายปีที่แล้ว



รกแมว
ญาดากับนนท์ ยืนมองแม่แมวจรท้องแก่ที่กำลังยืนกินเศษข้าวหน้าบ้านอยู่อย่างหิวโหย ญาดาได้ยินมันร้องเรียกอยู่เมื่อตอนเย็น เมื่อออกมาดูเห็นเป็นแม่แมวสีดำ ตาสีส้มทองกลมโต ญาดาเป็นคนรักแมว เคยเลี้ยงแมวมาตั้งแต่ก่อนแต่งงาน แต่นนท์ไม่ค่อยชอบสัตว์เท่าไหร่ เมื่อญาดาเอาเศษอาหารมาให้ นนท์เลยดูไม่ค่อยพอใจ

"เอาข้าวให้มันกินแบบนี้เดี๋ยวก็ติดใจมาทุกวันหรอก"

ญาดายิ้มใจเย็น "สงสารมันนะคะนนท์ มันท้องแก่คงหิวมาก อีกหน่อยคงคลอดลูกแมวน่ารักๆ"

นนท์ถอนหายใจอย่างไม่พอใจ "เออ ก็อย่ามาคลอดบ้านเราแล้วกัน ซวยตายห่า แค่นี้ก็แทบจะไม่มีอะไรกินอยู่แล้ว"

หลังจากวันนั้น แม่แมวดำยังคงมาขออาหารกับญาดาทุกวัน นนท์ก็บ่นทุกวัน แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งก็เดินมาพูด กับญาดา "เคยได้ยินมาว่า รกแมวนี่เขาเอาไว้เป็นเครื่องรางนำโชค เรียกโชคลาภได้จริงหรือเปล่า เธอเคยได้ยินเรื่องนี้ไหม"

ญาดาอมยิ้ม "เขาเชื่อกันว่า รกแมวถ้าเอามาคลุกขมิ้นแล้วทิ้งให้แห้งเป็นรูปทรงคล้ายถุง จะสามารถช่วยให้มีทรัพย์สินเงินทองมาก ถ้าค้าขายก็จะขายดี ถ้าทำงาน งานก็จะไหลมาเทมา เงินก็ด้วย"

นนท์ยิ้ม "เออ เข้าท่าแฮะ งั้นให้แม่แมวมันคลอดบ้านเราก็ได้นะ เผื่อจะได้เก็บรกแมวเอาไว้นำโชค"

เพียงไม่ถึงอาทิตย์หลังจากนั้น แม่แมวท้องแก่ก็เดินมาเรียกญาดาแต่เช้าเช่นเคย แต่กลับไม่สนใจอาหารที่ญาดานำมาให้เลยสักนิด กลับร้องกระวนกระวายไม่หยุด ญาดาสงสัยว่ามันคงจะเจ็บท้องคลอดแล้วเลยรีบเข้าบ้านไปหากล่องลังกระดาษใบ ใหญ่ๆ สะอาดๆ มาให้มันใช้เป็นที่คลอด และหาเสื้อผ้าฝ้ายเก่าๆ นุ่มๆ วางไว้ให้ด้วย

แม่แมวดำเดินเข้าไปในกล่องอย่างว่าง่าย ไม่นานก็เริ่มเบ่งคลอดลูกตัวแรกออกมา วันนั้นทั้งวันญาดาเฝ้าแม่แมวที่คลอดลูกออกมาทีละตัวด้วยความตื่นเต้นเอ็นดู ในขณะที่นนท์มองอยู่ห่างๆ และคอยมาดึงเก็บรกลูกแมวแยกไว้

"ไม่ได้นะนนท์ แม่แมวจำเป็นต้องกินรกเพื่อกระตุ้นน้ำนม ไม่งั้นมันจะไม่แข็งแรงนะ"

นนท์ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ไม่ยอมคืนรกแมวให้ แม่แมวคลอดลูกออกมาทั้งหมดสี่ตัว เขาก็เก็บรกมันมาสี่อัน เอามาคลุกกับผงขมิ้นแล้วเอาไปผึ่งไว้รอแห้ง ญาดาถอนหายใจด้วยความไม่สบายใจ เธอหานมสดมาให้แม่แมวเลียกินหลังคลอดเพื่อให้มันมีแรงเลี้ยงลูก

แม่แมวเลี้ยงลูกทั้งสี่อยู่ที่บ้านญาดาในสองสามวันแรก หญิงสาวมีความสุขมาก ยิ่งเห็นลูกแมวที่ออกมาแต่ละตัวมีสารพัดสี ทั้งขาว ส้ม ลาย เทา และลายวัว แต่ละตัวขนฟูฟ่อง เธอยังแอบตั้งชื่อให้แต่ละตัว และมาถ่ายรูปน่ารักๆ เก็บไว้อีกหลายรูป

"น่ารักตรงไหน ตาก็ยังไม่ลืม ยังกะตัวอ่อนเอเลี่ยน" นนท์ว่า "ถ้ามันแข็งแรงดีแล้วก็ให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นนะ เราเลี้ยงไม่ไหวหรอก"

"โธ่ นนท์คะ" ญาดาครวญ "ลูกแมวยังอ่อนมากนะคะ ให้เวลามันสักอาทิตย์เถอะค่ะ"

นนท์พยักหน้าตัดรำคาญ

วั รุ่งขึ้น ญาดาออกไปทำธุระนอกบ้าน นนท์ไปอ่านเจอในเน็ตมาว่า แมวห้าหมาสี่เป็นอัปมงคล เขาเลยมานึกว่า เออ แม่แมวกับลูกแมวในบ้านก็รวมห้าตัวพอดี ยิ่งไม่ชอบแมวอยู่แล้วยิ่งรู้สึกรุนแรงมากขึ้น นนท์ฉวยโอกาสตอนที่ญาดาไม่อยู่ เดินออกไปที่กล่องแมว เห็นแม่แมวกับลูกแมวกำลังหลับอยู่ ก็หยิบลูกแมวลายออกมาตัวหนึ่ง แล้วโยนข้ามกำแพงบ้านทิ้งออกไปนอกถนน ลูกแมวกระแทกพื้นถนนขาดใจตายทันที แม่แมวดำเห็นอย่างนั้นก็รีบลุกวิ่งตามลูกออกไปทั้งที่อ่อนเพลีย คาบลูกที่ตายแล้วเข้ามาริมทางแล้วพยายามเลียเนื้อตัวลูกให้ฟื้น เมื่อเห็นว่าลูกตายแล้วก็ร้องโหยหวนน่าเวทนา นนท์เห็นแล้วใจคอไม่ดีเลยเดินกลับเข้าบ้านไป

ญาดากลับมาตอนเย็นก็ไม่เห็นแม่แมวและลูกแมวแล้ว

"อ้าว หายไปไหนกันหมด"

นนท์ทำหน้าตาเหมือนไม่รู้เรื่อง "ไม่รู้ดิ แม่มันคงคาบย้ายไปที่อื่นแล้วมั้ง หน้าบ้านเราอากาศมันร้อนจะตาย"

ญาดาพยักหน้า "แหม แต่เด็กๆ กำลังน่ารักเลยนะ เสียดายจังเลย"

หลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครเห็นแม่แมวดำและลูกๆ อีก ไม่รู้ว่ามันหายไปทางไหนกันหมด แต่มีอยู่วันหนึ่ง ที่ญาดาขอออกไปเยี่ยมแม่ที่ต่างจังหวัดจะกลับค่ำๆ นนท์จึงอยู่บ้านคนเดียว

ค่ำนั้น นนท์ได้ยินเสียงเปิดประตูรั้วก็เดินออกมาดู เห็นญาดาเดินตัวแข็งทื่อเข้ามาในบ้าน ยืนอยู่หน้าประตู จ้องหน้านนท์แปลกๆ ดวงตาแวววาว พูดเสียงแหลมเล็กผิดปกติ "รกแมวที่จะนำโชคน่ะ ต้องให้แม่แมวทิ้งไว้ให้ ไม่ใช่ขโมยของมันมา"

นนท์ขนลุกอย่างไม่รู้สาเหตุ "ดา เป็นอะไร ทำไมทำเสียงแบบนั้นน่ะแล้วไม่เข้าบ้านเหรอ"

ญาดาทำตาวาวเหมือนกำลังโกรธ "มึงฆ่าลูกกู ถ้ากูไม่เห็นแก่เมียมึงกูไม่เอาไว้แน่"

นนท์ตัวชา มือเท้าเย็นเฉียบ "ดาพูดอะไรน่ะ น่ากลัวจัง"

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ดังมาจากในบ้าน นนท์เดินถอยหลังเข้าบ้านงงๆ รับโทรศัพท์พลางมองมาที่ญาดาที่ยังยืนอยู่หน้าประตูอย่างไม่เข้าใจ

"ฮัลโหล นนท์คะ คืนนี้ดาค้างบ้านแม่นะคะนนท์ ทานข้าวเลยไม่ต้องรอนะ"

นนท์สะดุ้งสุดตัว "เล่นอะไรเนี่ยดา ก็คุณ" เขาว่าแล้วหันไปทางประตู เห็นร่างของญาดายังยืนอยู่ก็ใจหายวาบ เขารีบวางโทรศัพท์แล้ววิ่งขึ้นบนห้อง คว้าห่อผ้าที่ห่อรกแมวไว้ออกมาพนมมือพูดเสียงสั่น "เอาคืนไปเลย กูไม่เอาของมึงแล้ว อย่าจองเวรกูเลยกูขอโทษ"

แต่พอเปิดห่อผ้าดูก็พบเพียงผงสีเทาเหมือนเถ้ากระดูก

"ของอะไรก็ช่างถ้าเจ้าของไม่ได้ให้แล้วมึงขโมยมา ไม่มีวันศักดิ์สิทธิ์จำใส่กบาลไว้ด้วย"

เสียงนั้นดังมาจากทางหน้าต่างห้องนอน เมื่อนนท์หันไปดูก็เห็นเพียงหลังแมวดำตัวหนึ่งกระโดดหายไปในความมืดมิดและไม่กลับมาอีกเลย 


หลอน- นทธี ศศิวิมล
http://daily.khaosod.co.t


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 27 ธันวาคม 2559 16:19:44

(http://images.thaiza.com/content/m/297133.jpg)

โรงเรียนดนตรีอาถรรพ์
ครอบครัวของเราเพิ่งย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้เมื่อสองสามเดือนก่อน ที่นี่เป็นหมู่บ้านระดับกลาง มีสวนสาธารณะ มีอาคารส่วนกลาง มีสระว่ายน้ำ โซนด้านหน้าจะเป็นบ้านเดี่ยว ส่วนบ้านที่เราเลือกเป็นบ้านแถวแบบทาวน์โฮมสองชั้น ต่อเติมหลังคาลานจอดรถและครัวเรียบร้อยพร้อมเข้าอยู่ เจ้าของเดิมซื้อไว้แล้วไม่ค่อยได้อยู่เพราะต้องเทียวทำงานต่างประเทศ ซื้อมาได้สองปีก็ขายต่อผม ผมเห็นว่าบ้านสภาพดีมากและทำเลก็ดี ใกล้โรงเรียนลูก ใกล้รถไฟฟ้า หน้าหมู่บ้านมีป้ายรถเมล์ และยังเป็นย่านชุมชนตอนเย็นมีตลาดนัดหน้าปากซอยของมาขายกันคึกคัก

ผม เมีย และลูกชายวัยสี่ขวบ เข้ามาอยู่แบบไม่ต้องทำอะไรมาก เพราะเจ้าของเก่าจัดการให้หมด เราซื้อบ้านพร้อมเฟอร์นิเจอร์ที่มีการทำความสะอาดและซ่อมบำรุงให้เรียบร้อยทั้งหลัง ลูกชายของผมดูจะร่าเริงมากเป็นพิเศษเพราะได้อยู่บ้านที่หลังใหญ่ขึ้น แถมยังมีห้องนอนส่วนตัว ถึงแม้แกจะติดแม่มากและไม่เคยยอมนอนคนเดียวในห้องส่วนตัวเลยก็เถอะ

เรามาอยู่ได้สักพักก็จะเริ่มทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน บ้านแถวนี้ส่วนใหญ่เป็นข้าราชการทหาร บางคนก็ปลดเกษียณแล้ว อยู่บ้านทั้งวัน จะมีครึกครื้นหน่อยก็บ้านหลังซ้ายติดกับผมนี่แหละ เพราะเป็นบ้านของคุณครูหน้าตาใจดีคนหนึ่ง ที่เปิดเป็นโรงเรียนดนตรีสอนเด็กเล็กๆ เธอชื่อครูพิออน ได้ข่าวว่าเมื่อก่อนเธอทำงานประจำอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากปัญหาสุขภาพของลูกสาวที่ป่วยเป็นโรคทางสมองต้องนั่งรถเข็นตลอด แกเลยลาออกมาเปิดสอนที่บ้านเองเสียเลย ครูพิออนอายุราวสามสิบห้าเห็นจะได้ ผิวขาวตาเล็กหยี ส่วนลูกสาวแกก็สักห้าหกขวบชื่อพิตา หน้าไม่ค่อยเหมือนแม่ แต่ยิ้มเก่งทั้งคู่ เจ้าฟีฟ่าลูกชายผมชอบพี่พิตาเอามาก เย็นๆ มาเป็นต้องขอไปเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้านเขา ซึ่งเมียผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะเห็นบ้านติดกัน ผมยังเห็นสาวๆ เขายกขนมยกแกงแลกเปลี่ยนกันกินบ่อยๆ

แม้บ้านครูพิออนจะทำระบบผนังเก็บเสียงค่อนข้างดีแล้ว แต่บางเย็นเราก็จะได้ยินเสียงเปียโนแทรกออกมาบ้างเบาๆ และเสียงหัวเราะของเด็กๆ ทำให้จิตใจชื่นบานสดใสไปด้วย ได้ยินมาว่า ครูพิออนสอนไม่เหมือนครูดนตรีคนอื่น คือเน้นการสอนให้เด็กเล็กๆ รู้จักตัวโน้ต สอนให้เต้นด้วยท่าทางตามธรรมชาติที่เด็กๆ คิดกันเอง สอนให้ช่วยกันแต่งเพลงจากสิ่งรอบตัว ไม่เน้นการสอนวิชาการเหมือนโรงเรียนชื่อดัง ที่มักจะสอนเพลงคลาสสิคหรือสอนเด็กๆ ร้องเพลงเพื่อเข้าประกวดเวทีต่างๆ โรงเรียนของคุณครูพิออนเลยมีแต่พ่อแม่หัวสมัยใหม่ที่อยากเน้นให้ลูกเป็นเด็กที่มีสุขภาพกาย ใจ ดีมากกว่าจะไปสายประกวด

ผมกับเมียเคยถามครูแกว่า ถ้าจะให้ฟีฟ่าเข้าเรียนดนตรีด้วยได้ไหม เพราะยังไงตอนเย็นๆ กลับมาจากโรงเรียนอนุบาลก็ไปเล่นบ้านแกทุกวันอยู่แล้ว แต่ครูพิออนไม่ยอมคิดค่าเรียน ให้เข้ามาร่วมห้องเรียนกับเด็กรุ่นพี่ได้เลย แกว่า ฟีฟ่ายังเล็ก คิดเสียว่ามาเล่นกับพี่พิตาดีกว่า บ้านใกล้เรือนเคียงกัน เราก็เลยว่าตามกันเช่นนั้น

ทีนี้สักเดือนหนึ่งหลังจากนั้น เริ่มมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้น เรื่องของเรื่องคือผมกับภรรยามักต้องตื่นกลางดึกเพราะฟีฟ่ามักเดินละเมอลุกขึ้นมาร้องเพลงและเต้นอยู่คนเดียว บางทีก็หัวเราะชอบอกชอบใจ พูดคุยเหมือนกับเล่นอยู่กับเพื่อนๆ ในวิชาดนตรีที่แกไปเรียนกับครูพิออนยังไงอย่างงั้น บางทีเราเห็นแกลืมตา ก็ลองพูดคุยด้วย แกก็โต้ตอบปกติว่า กำลังเล่นกับเพื่อนๆ ที่เรียนดนตรีครูพิออนอยู่ ยังชี้บอกไปตามจุดต่างๆ ของห้อง ว่าเพื่อนชื่อนั้นชื่อนี้นั่งอยู่ตรงนั้น เต้นอยู่ตรงนี้ ตอนนั้นเราก็ยังคงสรุปว่าแกฝันแล้วละเมอเป็นเรื่องเป็นราวไปเอง แต่หลังจากนั้นเราเริ่มสังเกตว่า ชื่อเพื่อนที่ฟีฟ่าพูดมาแต่ละคนนั้น มักเป็นชื่อเดิมๆ และไม่มีเพื่อนชื่อนั้นๆ ที่โรงเรียน เช่น โกโก้ แก้ม ป๋อมแป๋ม ต้อม เอิง เพลง

"อาจจะเป็นเพื่อนที่บ้านครูพิออนหรือเปล่า" เมียผมตั้งข้อสงสัย ผมก็ว่างั้น

แต่เรื่องแปลกๆ มันไม่ได้มีแค่นั้นน่ะสิครับ เพราะคืนต่อๆ มา ฟีฟ่ายังคงละเมอลุกมาร้องเพลงและเต้นเช่นเคย เมียผมเดินตามลูกออกไปบริเวณผนังบ้านที่ติดกับบ้านครูพิออน แล้วก็ต้องแปลกใจ ที่เหมือนได้ยินเสียงเพลงเปียโนดังแว่วออกมาจากตรงนั้น มีหนำซ้ำยังได้ยินเสียงเด็กๆ หลายคนหัวเราะเล่นกันสนุกสนาน ได้ยินเสียงวิ่ง เดินเป็นจังหวะดนตรี ย่ำไปมาที่พื้น บางทีก็เหมือนมีเสียงเคาะโต๊ะเคาะเก้าอี้ดังๆ เหมือนดังอยู่ในบ้านทั้งที่ไม่มีคนอื่น ทำเอาผมกับเมียขนลุกเกรียว รีบดึงตัวลูกกลับมาที่ห้องนอน พอถามว่าเมื่อกี้ใครเคาะเก้าอี้ ลูกก็พูดชื่อเพื่อนกลุ่มเดิม คือแก้ม ป๋อมแป๋ม ต้อม เอิง โกโก้ วนไปมาอยู่อย่างนี้

เราไปหาครูพิออนในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้วเล่าเรื่องฟีฟ่าให้ฟัง ครูพิออนดูหน้าตาตื่นๆ และซีดลงครู่หนึ่ง ก่อนรีบปฏิเสธว่าไม่เคยเปิดเพลงตอนกลางคืน และไม่มีเด็กไปอยู่ในบ้านของเธอหลังหนึ่งทุ่ม นอกจากพิตา เสียงนั้นจึงไม่น่ามาจากบ้านของเธอได้ ส่วนรายชื่อเหล่านั้นเป็นพวกนักเรียนเก่าที่เคยเรียนที่นี่แต่เลิกเรียนไปนานแล้ว แล้วรีบเดินเข้าบ้านไป

ผมกับภรรยาเห็นท่าทีแบบนั้นก็แปลกใจอยู่บ้าง เพราะปกติครูพิออนเป็นคนที่ใจดีและอัธยาศัยดีมาก แต่วันนี้นอกจากไม่ยิ้มแล้วยังดูแปลกๆ พิกล เราเลยลองไปคุยกับคุณอาทหารปลดเกษียณที่อยู่บ้านตรงกันข้ามดู และเล่าเรื่องที่ฟีฟ่าละเมอแปลกๆ และมีเสียงแปลกๆ เกิดขึ้นในบ้านให้ฟัง

คุณลุงทำท่าทางลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเล่าว่า ก่อนที่พวกเราจะเข้ามาอยู่ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้น คือ มีเด็กๆ ในละแวกนี้หลายคนหายตัวไปอย่างลึกลับ เท่าที่แกจำชื่อได้แม่นก็คือน้องแก้มกับน้องโกโก้ เพราะสองคนนี้เคยมาวิ่งเล่นที่ถนนหน้าบ้านระหว่างรอเวลามาเรียนดนตรี และหลังจากที่แกหายตัวไปแล้ว พ่อแม่ผู้ปกครองเด็กก็พากันมาถามที่บ้านครูพิออนว่าพอมีเบาะแสข้อมูลเกี่ยวกับการที่เด็กหายไปบ้างไหมแต่ครู พิออนก็ไม่รู้เรื่อง แล้วยังช่วยออกตามหาด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ไม่เจอเด็ก

"คุณลองไปหาข้อมูลเด็กหายดูสิ แปลกจริงๆ ทยอยหายทีละคน สามสี่เดือนคน จนตอนนี้รวมๆ แล้วห้าหกคนได้ เด็กย่านนี้ทั้งนั้นเลย จนพ่อแม่เด็กพากันกลัวไม่กล้าให้ลูกออกจากบ้านไปไหนพักใหญ่ แต่นี่เรื่องก็เงียบมาเกือบปีแล้วนะ คงไม่มีอะไรล่ะมั้ง"

ผมกับแฟนรู้สึกว่าเรื่องมันเริ่มฟังดูน่ากลัวแล้ว เราลองไปหาข้อมูลเด็กหายในเน็ตดู และพบว่าเรื่องที่คุณลุงเล่าเป็นเรื่องจริง

"แล้วทำไมเราถึงได้ยินเสียงเด็กวิ่งตอนกลางคืนล่ะ" แฟนผมตั้งข้อสังเกต "อย่าบอกนะว่าทุกคนที่หายไปเคยมาเรียนที่โรงเรียนครูพิออนกันหมดน่ะ"

ผมไม่ได้ปักใจเชื่อทันที แต่พอนึกถึงเสียงลึกลับตอนกลางคืนพวกนั้นแล้วก็ใจหายวาบ หรือครูพิออนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปของเด็กๆ ไม่น่าเป็นไปได้ แกดูใจดีรักเด็กขนาดนั้น แถมมีลูกเล็กด้วยจะใจร้ายกับเด็กได้ยังไง

แฟนผมยังคงสนใจเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ดูเธอจะปักใจสงสัยครูพิออนไปเต็มที่แล้วด้วย

เย็นวันนั้น อยู่ดีๆ แฟนผมก็วิ่งหน้าตาซีดเซียวออกมาจากห้อง ถามว่าฟีฟ่าไปไหน ผมบอกว่าเล่นอยู่บ้านครูพิออน เธอเลยรีบวิ่งไปตามกลับมาบ้าน ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า เธอค้นข้อมูลและสอบถามกับมูลนิธิเด็กหายดู ปรากฏว่าเด็กที่เคยหายไปในละแวกนี้เคยมาเรียนที่โรงเรียนดนตรีของครูพิออนกันทุกคน แม้จะยังหาความเชื่อมโยงอื่นไม่ได้ แต่เธอก็ว่ามันน่ากลัวเกินกว่าจะให้ลูกไปเสี่ยงที่นั่นอีก

คืนนั้นประมาณเที่ยงคืนฟีฟ่ายังคงละเมอเดินออกไปเล่นตรงห้องเดิมฝั่งที่ติดกับผนังห้องเรียนครูพิออน คราวนี้ผมรีบไปลากลูกกลับมานอน ทันทีและพากันสวดมนต์ไหว้พระ คราวนี้เสียงค่อยๆ เงียบหายไป

แต่ในคืนเดียวกันนั้นเอง เวลาราวตีสอง ผมได้ยินเสียงเหมือนเสียงร้องด้วยความหวาดกลัวดังแว่วออกมาจากผนังฝั่งติดบ้านครูพิออน เสียงดังค่อนข้างนาน แฟนผมบอกว่าจำได้ว่าน่าจะเป็นเสียงน้องพิตา น้องเป็นอะไรหรือเปล่า เราเลยพากันเดินออกไปกดกริ่งบ้านครูพิออนเพราะเป็นห่วงว่าน้องจะเป็นอะไรไหม เผื่อช่วยอะไรได้ พาไปหาหมอได้เพราะเรามีรถ

แต่ครูพิออนเปิดหน้าต่างชั้นบนออกมาตะโกนว่าไม่มีอะไร น้องพิตาแค่อาการป่วยกำเริบกินยาแล้วเดี๋ยวก็หาย เราเลยกลับเข้าบ้านตัวเอง แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงน้องพิตาร้องอีกหลายครั้งชวนให้หดหู่ใจไม่ดีพิกล

"เหมือนเด็กร้องเจ็บเลยนะ" แฟนผมพูดพลางใจคอไม่ดี

"เขาแม่ลูกกันดูแลกันได้มั้ง" ผมว่าทั้งที่ใจคอก็ไม่ค่อยดีพอๆ กัน

ในที่สุด แฟนผมโทร.แจ้งความด้วยความรู้สึกลำบากใจสุดๆ เธอว่าเธอทนไม่ได้จริงๆ เสียงเด็กเหมือนเสียงกำลังเจ็บปวด และถ้าร้องเพราะอาการป่วยจริงขนาดนี้ก็น่าจะต้องพาหาหมอแล้ว

สรุปตำรวจมาถึงตอนตีสามครึ่ง มีเจ้าหน้าที่พยาบาลมาพร้อมรถพยาบาล เพื่อนบ้านหลายคนรวมทั้งบ้านเราพากันมายืนออหน้าบ้านครูพิออน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเข้าไปอุ้มตัวน้องพิตาออกมาขึ้นรถพยาบาลแล้วขับออกไปโดยไม่ได้เล่าอะไร ในขณะที่ตำรวจใส่กุญแจมือครูพิออนที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วพาขึ้นรถตำรวจ บอกว่าทารุณเด็ก

"แต่นั่นลูกสาวเขานะคะ" ใครคนหนึ่งพูดขึ้น

ตำรวจหันมามองหน้า แล้วว่า "คุณรอดูข่าวพรุ่งนี้แล้วกันนะ"

สักพักรถตำรวจมากันอีกหลายคัน คนหลายสิบคนเข้าไปค้นบ้านครูพิออนและกันคนนอกออกไปห่างๆ คราวนี้ตื่นมามุงกันทั้งหมู่บ้าน รอจนเช้าเราถึงได้ทราบเรื่องราวสยองขวัญที่สุดที่เคยได้ยินมา ที่ห้องเล็กด้านบนของบ้านครูพิออน เป็นที่ซ่อนซากศพของเด็กๆ ที่หายตัว ไปถึงหกศพ แต่ส่วนที่น่าตกตะลึงที่สุดยังไม่ใช่ตรงนั้น

"ครูพิออนเคยมีลูกสาว แต่ลูกเสียชีวิตไป เลยขโมยตัวน้องพิตามาเป็นลูกตัวเองเมื่อสามปีที่แล้ว และทารุณน้องจนได้รับความเสียหายทางสมอง เดินไม่ได้ เวลาที่น้องร้องก็จะเอาไม้ฟาดขาแรงๆ จนหักแล้วหักอีก ส่วนเด็กที่ฆ่าเก็บศพไว้ที่บ้านนั้นครูพิออนตั้งใจขังไว้เลี้ยงเป็นลูกเป็นเพื่อนพิตา แต่พอเด็กจะหนีก็โกรธ ทำร้ายเด็กจนตายทุกที"

เรื่องนี้กลายเป็นข่าวใหญ่อยู่แรมเดือนจนเพื่อนบ้านบางหลังรับไม่ได้พากันย้ายออก พวกเราเองก็กำลังมองๆ บ้านใหม่อยู่เหมือนกัน ก็ใครมันจะทนไหวล่ะครับ ที่ลูกชายจะต้องเดินละเมอออกมาเล่นกับเพื่อนกลางดึกทุกคืน แถมยังมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังแว่วออกมาจากบ้านที่ไม่มีคนอยู่ทุกคืนอีกด้วย



ดินถุงมรณะ
เคยซื้อดินถุงจำพวกสี่ถุงร้อยห้าถุงร้อยใช่ไหม ถ้าคุณเจอแบบผมอาจจะเปลี่ยนใจเลิกซื้อไปตลอดชีวิตเลยก็ได้

ผมชอบปลูกต้นไม้ เนื้อที่ไร่เศษรอบๆ บ้าน จึงมีแต่ไม้น้อยใหญ่มากมาย ไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ผลปลูกแซมกันอย่างไม่ค่อยมีระเบียบนัก ที่ปลูกในกระถางก็มี ที่ลงดินแล้วปลูกมานานเกินยี่สิบปีก็หลายสิบต้น พวกในกระถางเราจำเป็นต้องเปลี่ยนดินให้ใหม่อย่างน้อยก็สองปีครั้ง ผมใช้วิธีนำดินเก่าออกครึ่งหนึ่งที่เหลือก็พรวนให้ดินรุ่ยผสมพวกดินหมัก ดินถุงที่มีส่วนผสมของปุ๋ยหมัก ผมเองติดใจดินยี่ห้อหนึ่งที่คนขายนำมาจากฉะเชิงเทรา เป็นดินกลางๆ ที่ใช้ได้กับต้นไม้ทั่วไป จากประสบการณ์การปลูกมาเกินสามสิบปี ผมจึงมักนำมาผสมเองในอัตราส่วนไม่เท่ากัน ใช้ทราย ใช้แกลบ ใช้ผักตบชวาที่ไปหามาจากคลองแถวบ้าน มาสับให้ละเอียด ตากให้แห้ง หมักทิ้งไว้กับดินกับทรายและแกลบ โดยผสมใบไม้แห้งที่มีอยู่เยอะแยะในบ้าน ผมนำดินยี่ห้อนั้นแหละมาผสมกับอินทรียวัตถุเหล่านี้ต่ออีกทีแล้วก็ใช้เป็นดินสำหรับต้นไม้ในบ้านต่อไป

ผมซื้อเขามาเกินสิบปีแล้ว เรียกว่าผูกปิ่นโตกันเลย ทุกหกเดือนก็จะกดโทรศัพท์ถึงเขา เขาก็จะนำมาส่งถึงบ้านทีละร้อยถุง ผมเปลี่ยนดินให้แก่ต้นต่างๆ หมุนเวียนกันไป ผมทำอย่างนี้มาหลายปีอย่างมีความสุข เพิ่งจะมีปีกลายนี่แหละที่ทำให้แทบจะเลิกทำไปเลย

จำได้ว่าช่วงนั้นฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ตอนแรกว่าจะเลื่อน แต่พอดีมีธุระต้องไปต่างจังหวัดเกือบสองอาทิตย์ จังหวะว่างด้วย ไม่อยากอยู่เฉยๆ ประจวบกับครบกำหนดรอบของการเปลี่ยนดิน ผมจึงกดหาเขา เจ้าของธุรกิจขายดินขายต้นไม้คนนั้นชื่อ พี่ศร

พี่ศรนำมาส่งตอนสาย ผมเตรียมดินของผมและอินทรียวัตถุอื่นๆ พร้อมอยู่แล้ว หลังชำระเงินและพี่ศรกลับไปผมก็ไม่รอช้าลงมือทันทีเลย

ถุงแรกๆ ผมพบว่ามีกลิ่นประหลาดๆ จะว่าเหม็น จะว่าเป็นของเสียก็ไม่เชิง ตอนแรกนึกว่ากลิ่นลอยตามลมมาแต่พอเปิดถุงใหม่กลิ่นก็ลอยขึ้นจากถุงทันที ถุงที่เปิดล่าสุดนั้นผมพบเศษเนื้อและเศษขนด้วย!!

ไม่ใช่ถุงเดียวแต่เป็นถึงยี่สิบกว่าถุง เศษเนื้อเศษซากเหม็นตลบอบอวลไปหมด ผมแทบอ้วก ไม่รู้จะหาอะไรมาใส่เก็บได้ มองไปมองมาเจอถังน้ำมันขนาดร้อยลิตร ผมรีบยกมาเทดินทั้งหมดลงไป ผมทำอย่างขยะแขยง ไม่ชอบเลย

ไม่น่าเชื่อว่าผมจะลืมพี่ศรไป คืนแรกผมเข้านอนผมได้ยินเสียงหมาหอนทั้งคืน ทั้งๆ ที่ก่อนนี้ไม่เคยได้ยินเลย ผมออกมามองไปทางที่มาของเสียงก็พบว่าหมามันหอน รอบๆ บ้านผมทั้งหมดแหละ ไม่รู้ว่าทั้งหมาและทั้งเสียงมาจากไหนมากมายเต็มไปหมด ผมนอนไม่ได้ ภรรยาและแม่ที่แก่ชราแล้วของผมก็นอนไม่หลับ ตื่นมานั่งฟังเสียงหมาหอนสยองๆ นี้ทั้งคืนจนเช้ามืด

รุ่งเช้าผมเดินไปยังกองถุงดินและดินในถังร้อยลิตร มองดินทั้งหมดแล้วใบหน้าของพี่ศรก็ลอยเข้ามา ผมโทร.หาแกทันที

ผมเล่าอย่างตื่นตกใจ ยอมรับว่าเกิดมาไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ พี่ศรรีบขอโทษแล้วบอกจะคืนเงินให้พร้อมทั้งมารับกลับไปทั้งหมด แกเองก็แปลกใจมาก แกบอกพักหลังแกไม่ได้ทำดินใส่ถุงขายเองแล้ว มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งรับทำ แกอยากสนับสนุนให้หนุ่มที่เพิ่งมีครอบครัวตั้งตัวได้ จึงรับจากหนุ่มคนนั้นมาขายต่ออีกที

อีกไม่ถึงสองอาทิตย์ก็มีคลิปแชร์ว่อนในเฟซบุ๊กเรื่องผู้ชายชอบทำทารุณกรรมสัตว์ โดยเฉพาะหมาแล้วอัดคลิปไว้เผยแพร่ในกลุ่มเพจปิดเฉพาะของคนพวกชอบดูการทารุณกรรมสัตว์ แต่เกิดหลุดออกมา

พี่ศรโทร.มาหาผมหลังจากนั้นว่าไอ้คนที่ทารุณหมาในคลิปคือหนุ่มคนที่ทำดินถุงมาขายให้เขา ไอ้หมอนั่นจะทรมานหมาแล้วก็ฆ่าสับหมาพวกนั้นเป็นชิ้นๆ ผสมในดินใส่ถุงขาย แต่ล็อตนี้พลาดยังไงไม่ทราบ มาสดๆ จนเป็นที่มาของอารมณ์แหวะๆ ของผม

หนุ่มคนนั้นถูกตำรวจจับแล้ว และพี่ศรก็หันมาทำดินถุงขายเองไม่จ้างใครอีกต่อไป ส่วนผมขอเว้นระยะไม่กล้าแม้แต่จะมองดินถุงพวกนี้ไปอีกนานเลย



วิญญาณในภาพถ่าย
แถวบ้านผมมีคุณลุงคนหนึ่ง เป็นคุณลุงที่ทำขนมหม้อแกงอร่อยมาก แกชื่อลุงชม อายุมากแล้ว สักเจ็ดสิบปีได้ แต่ยังคงแข็งแรง ความทรงจำดี สายตาดี เดินเหินคล่องแคล่วเหมือนคนอายุไม่ถึงหกสิบ เรามักจะจำแกในภาพของคนรักเมีย คือป้าพิศ แกรักเมียมากขนาดที่คนในพื้นที่แถวนั้นยกให้เป็นไอดอล และมักจะมีรายการทีวีมาขอถ่ายแกในช่วงเทศกาลแห่งความรักและขอให้แกเล่าเรื่องของแกกับป้าพิศให้ฟังบ่อยๆ

ลุงชมกับป้าพิศเป็นคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน เห็นกันมาแต่เล็กๆ ลุงชมเป็นเพื่อนของพี่ชายป้าพิศ อายุห่างกันห้าปี ตอนเด็กๆ ป้าพิศจึงมักวิ่งร้องไห้ไล่ตามจะเล่นกับพี่ๆ ในขณะที่พี่ๆ ก็พากันวิ่งหนีเพราะรำคาญ ขี้เกียจดูแลน้อง แต่พอเริ่มเข้าวัยรุ่น ป้าพิศสวยวันสวยคืนจนไม่ต้องวิ่งตามใครอีก มีแต่หนุ่มเดินตามกันต้อยๆ จนพี่ชายต้องกลับมาคอยเฝ้าน้องไม่ให้ใครมายุ่งด้วย

พี่ชายของป้าพิศลืมระวังไปคนหนึ่งคือลุงชมที่สามารถเข้านอกออกในบ้านได้ตลอดเวลาเหมือนตอนเด็กๆ และยังขายขนมจีบให้ป้าพิศได้สม่ำเสมอแบบที่คนอื่นทำไม่ได้ มารู้ตัวกันอีกทีป้าพิศในวัย 16 ปีก็ท้องลูกคนแรกกับลุงชมเสียแล้ว ก็เลยตามเลยตามประสาต่างจังหวัด ผูกข้อมือกันแล้วก็แยกบ้านออกมาอยู่ด้วยกัน ช่วยกันทำมาหากิน ลุงชมเองมีฝีมือทำหม้อแกงเพราะได้สูตรมาจากแม่ที่เสียไป ป้าพิศเป็นฝ่ายบรรจุภัณฑ์และจัดจำหน่าย สองคนช่วยกันทำมาหากินแบบพออยู่พอกิน ทำวันละไม่มากเลยไม่เหนื่อย แถมมีเวลาพากันไปเดินเที่ยวเล่นด้วยกันตามประสาคนรักที่รักกันมาก จนใครๆ เห็นก็พากันอิจฉา ป้าพิศท้องได้ห้าเดือนก็แท้งลูกออกมาและไม่ท้องอีกเลย สร้างความเศร้าเสียใจให้ตัวแกเองและลุงชมมาก นั่นเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกถึงร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงของป้าพิศ

ลุงชมกับป้าพิศอยู่กันมาอย่างราบรื่นหวานชื่นจนกระทั่งเข้าปีที่ยี่สิบ ตอนนั้นเกิดเหตุพลาดอย่างไรไม่ทราบ ชาวบ้านมารู้กันอีกทีก็ตอนที่ป้าพิศร้องไห้ฟูมฟาย พยายามจะแขวนคอตัวเองตายเพราะลุงชมนอกใจไปมีเมียน้อยเป็นสาววัย 20 ลูกคนงานชาวพม่าที่มารับจ้างเฝ้าสวนแถวบ้าน เด็กสาวคนนั้นผิวขาวหน้าตาดีทีเดียว ลุงชมพอถูกจับได้ก็เสียใจมาก ร่ำไห้ขอโทษป้าพิศ และสาบานว่าจะไม่นอกใจไม่มีใครอีกแล้ว แต่ป้าพิศก็เสียใจและแค้นเอามากจนไม่ยอมให้อภัย ตั้งแต่ตอนนั้นแกไม่ยอมปริปากพูดกับลุงชมอีกเลย อยู่กันก็ทำทุกอย่างตามปกติ ช่วยงานขายขนมหม้อแกง กลับบ้านทำงานบ้าน เข้านอนโดยไม่พูดจากัน ลุงชมทรมานใจมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวแกก็ยอมรับว่าตัวเองผิดต่อป้าพิศจริงๆ ได้แต่ยอมให้ป้าพิศลงโทษจนกว่าจะพอใจ

หลังเรื่องนั้นได้สักห้าปี จู่ๆ ป้าพิศก็ล้มลงปากเบี้ยว ขยับตัวไม่ได้ ลุงชมอุ้มวิ่งส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าเส้นเลือดในสมองของป้าพิศแตกและสมองได้รับความเสียหาย ทำให้เป็นอัมพาตขยับตัวไม่ได้ ลุงชมนั่งร้องไห้อยู่สองสามวัน แล้วก็กลับมาฮึดยิ้มแย้มแจ่มใส ดูแลพูดคุยกับป้าพิศเหมือนตอนที่ยังปกติ คอยป้อนข้าวน้ำทำความสะอาดเช็ดตัว และเมื่อว่างจากขายขนมก็พาป้าพิศนั่งรถเข็นออกไปเดินเล่นทุกวัน ทำอย่างนี้มากว่าสามสิบปีโดยที่ป้าพิศแทบไม่มีการตอบสนองอะไรเท่าไหร่นัก

จนปีที่ป้าพิศเสียไป ลุงชมก็ดูหงอยเหงาเศร้าสร้อยลงถนัด แกยังคงพกรูปถ่ายที่เคยถ่ายคู่กันไว้ในกระเป๋าเสื้อทุกวัน และหยิบขึ้นมาดูทุกครั้งที่คิดถึง รูปถ่ายรูปนั้นแกเล่าว่าเป็นรูปที่ถ่ายด้วยกันที่ร้านถ่ายรูป มีเหลืออยู่รูปเดียวเพราะป้าพิศไม่ชอบถ่ายรูป แต่ก็เป็นรูปคู่ที่ไม่สมบูรณ์ เพราะถูกป้าพิศเอามีดขูดหน้าลุงชมในรูปจนเละเทะเพราะโกรธลุงชมตอนที่มีเรื่องนอกใจ

ภาพถ่ายใบนั้น แกพกติดตัวและถนอมอย่างดี ยังคงพูดคุยกับภาพป้าพิศทุกวัน แม้หลายคนที่เห็นจะเป็นห่วง แต่แกก็ไม่สนใจ ลุงชมยังคงค้างคาใจอยู่ว่าป้าพิศยังไม่ได้เอ่ยปากยกโทษให้แกในเรื่องที่เคยหมางใจกันตั้งแต่ครั้งกระโน้น แม้ตายไปแล้วยังไม่เคยกลับมาเยี่ยมมาหา

ลุงชมแข็งแรงอยู่ได้ถึงปีที่ 72 ก็เริ่มล้มป่วย แกขอให้หลานๆ เอารูปใส่กรอบวางไว้ที่หัวเตียงเพื่อแกจะได้เห็นหน้าป้าพิศทุกวัน เรื่องประหลาดเริ่มเกิดขึ้นช่วงนั้นแหละ เพราะหลายคนที่ไปเยี่ยมพูดตรงกันว่า จู่ๆ ภาพถ่ายคู่ที่หัวเตียง ใบหน้าที่ถูกขูดเละของลุงชมกลับค่อยๆ ดูดีขึ้นทั้งที่มันไม่น่าซ่อมได้ เห็นหน้าลุงชมชัดขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ภาพของป้าพิศก็เหมือนเผยอยิ้มมากขึ้นทุกที เช่นกัน ลุงชมเห็นแล้วก็ยิ้ม แกว่าแกฝันเห็นป้าพิศและป้าพิศยิ้มให้แก วันสุดท้ายของชีวิตลุงชม แกบอกว่าป้าพิศมาหาและยอมยกโทษให้แล้ว ลุงชมหลับไปอย่างสงบ ในขณะที่ภาพถ่ายที่หัวเตียงปรากฏใบหน้าของลุงชมยืนยิ้มรื่นคู่กับป้าพิศอย่างมีความสุขท่ามกลางความพิศวงและขนลุกขนพองกับญาติที่มาเฝ้าทุกคน  



เรื่องของตาอิ่ม
ตาอิ่มมาปลูกเพิงหมาแหงนตรงริมสระน้ำติดกับวัดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครจำได้ เช่นเดียวกันกับอายุอานามของแกก็ไม่มีใครรู้ ตั้งแต่ผมจำความได้ เห็นแกเฒ่าชราอย่างไรทุกวันนี้แกก็ยังเฒ่าอยู่อย่างนั้น ยายผมอายุเจ็ดสิบปีแล้วก็ยังบอกว่าตอนเป็นสาวเห็นตาอิ่มแก่ยังไง แกก็ยังแก่อยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยน มีแต่เพิงหมาแหงนของแกที่แกจัดการซ่อมแซมปรับปรุงให้ใหม่อยู่ทุกปี

ตาอิ่มอาศัยข้าวก้นบาตรแลกกับการกวาดลานวัด เก็บถ้วยชามในงานบวชงานศพ บางครั้งก็เงินใส่ซองที่เจ้าภาพหยิบยื่นให้ ไม่มีใครรู้ว่าตาอิ่มมีญาติหรือเป็นคนที่ไหน แกมัธยัสถ์ถ้อยคำจากปาก ไม่สุงสิงไม่คบหากับใคร

หลายคนสงสัยว่าตาอิ่มทำไมไม่บวชเป็นพระเสีย ตาอิ่มมักปฏิเสธ ท่านเจ้าอาวาสก็บอกแต่เพียงว่าตาอิ่มบวชไม่ได้ โดยไม่มีเหตุผลตามมา เราจึงมักเห็นแกเดินงกๆ เงิ่นๆ ในงานพิธีต่างๆ ของวัด หากจะพบแกก็ต้องไปที่กระต๊อบริมสระ แกจะนั่งมวนใบจากสูบอยู่อย่างนั้นทั้งวัน เป็นภาพชินตาของทุกคน

วันนั้นมีคนมากราบท่านเจ้าอาวาสแล้วบอกว่าเห็นตาอิ่มนอนป่วยในกระต๊อบ ท่านจึงให้เด็กวัดหาหยูกยาไปดูแล เด็กที่ไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือผมกับเพื่อน สมัยนั้นผมยังเพิ่งขึ้นป.6 ไอ้จ่อยอายุมากกว่าผมปีนึงแต่เรียนชั้นเดียวกับผม เราตรงไปกระต๊อบของตาอิ่มแล้วกลับมารายงานหลวงพ่อว่าตาอิ่มตัวร้อน ท่านจึงให้ยาไปป้อนแก แล้วบอกให้ผมไปบอกใครก็ได้ที่เป็นผู้ใหญ่ให้แบกแกมาพักที่วัด

ทว่าตาอิ่มไม่ยอมไปวัด ยืนยันดื้อดึงจะอยู่แต่กระต๊อบ จนหลวงพ่อให้ผมกับไอ้จ่อยเฝ้าไว้ หากอาการไม่สู้ดีให้รีบไปบอกหลวงตาเปี๊ยกซึ่งเคยขายยาเร่มาก่อนบวช หลวงตาเปี๊ยกมาดูทีหนึ่งแล้วบอกว่าจะพาไปหาหมอที่ตัวจังหวัด แต่ตอนนั้นค่ำแล้ว การเดินทางเข้าจังหวัดเป็นเรื่องใหญ่ ที่สำคัญตาอิ่มไม่ยอมออกจากกระต๊อบท่าเดียว ไม่ว่าจะพูดจะทำอย่างไร ผมกับจ่อยจึงต้องย้ายจากวัดมานอนเฝ้าตาอิ่มที่หน้ากระต๊อบของแก

ตกดึกยิ่งเงียบยิ่งหนาว จ่อยกลับวัดไปเอาเสื้อหนาๆ มาสวมกัน พวกเรานั่งมองหน้าคุยกันสลับกับเข้าไปดูตาอิ่มเป็นระยะๆ ตอนหัวค่ำเราแอบหลับกันไปคนละงีบสองงีบแล้ว หลังป้อนยาตาอิ่มไปขนานหนึ่ง

ดึกสงัดไม่รู้เวลาเลย รู้แต่ว่าเงียบและหนาวมาก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตาอิ่มไอค่อกๆ แค่กๆ อยู่พักใหญ่แล้วแกก็เปิดฝากระต๊อบของแกออกมาท่าทีไม่เหมือนคนป่วยเลย

"มาทำไรที่นี่" แกถามห้วนๆ
"หลวงพ่อให้มาเฝ้าตา" ผมตอบ
"กลับไปได้ล่ะ" แกบอก

ผมกับจ่อยมองหน้ากัน เรายังงงๆ กันอยู่ ผมพูด "ตาตัวร้อน เพิ่งกินยาไปตอนหัวค่ำ"

"กูหายแล้ว" แล้วแกก็ไล่เราสองคนออกมายังกะหมูยังกะหมา เราจำใจต้องออกมา ไอ้จ่อยบอกว่า "รอตอนบิน ค่อยบอกหลวงพ่ออย่างนี้แล้วกัน"

ผมกับเพื่อนเดินห่างจากกระต๊อบตาอิ่มได้ไม่ไกล เราได้ยินเสียงสวบๆ สาบๆ หันไปก็เห็นความเคลื่อนไหวภายในกระต๊อบ เรามองหน้ากัน ไอ้จ่อยพูดขึ้นก่อน "ไปดูกัน" พูดจบมันก็เดินนำไปก่อน เวลานั้นผมไม่มีเวลาได้คิดรีบตามไอ้จ่อยให้ทัน แล้วเรามาทันได้เห็น!

ตาอิ่มครับ แกกำลังทะยานขึ้นสูง เราเด็กๆ เคยได้ยินเรื่องกระหัง แต่เราไม่คิดว่ามันจะมีจริง ที่แขนสองข้างของตาอิ่มแกมีกระด้งฝัดข้าวติดอยู่ แกขยับมันทีนึง ตัวแกก็จะลอยสูงขึ้น แต่ที่ขาผมไม่เห็นสากตำข้าวหรือสากกะเบืออย่างที่เขาบอกว่าแทนหางหรือแทนขา ตาอิ่มไม่มีแต่แกก็ลอยสูงขึ้นทุกครั้งที่ขยับกระด้ง ผมกับไอ้จ่อยทั้งตกใจทั้งตื่นตาตื่นใจ เราเห็นตาอิ่มบินไปทางสระน้ำ เราก็รีบตาม เมื่อไปถึงเห็นตาอิ่มค่อยๆ ลดระดับต่ำลงๆ แล้วแกก็หยุดขยับปีกก่อนที่จะพุ่งตรงไปที่หนึ่ง

บริเวณที่เราหยุด มองเห็นไม่ชัดว่าตาอิ่มทำอะไร แต่มองดูคล้ายกำลังกัดกินของบางอย่าง เราดูแกอย่างใคร่รู้ ทันใดนั้นเหมือนแกจะรู้ว่ามีคนมอง แกหันมาสบตากับผม ใบหน้าของแกจ้องขมึงทึง ปากแกเต็มไปด้วยเลือด กลิ่นคาวเหม็นเน่านั้นเหมือนห่างจากจมูกผมไม่ถึงสองเซน(ติเมตร) ผมแทบอ้วก

ไม่ต้องบอกต่อก็คงเดาว่าเราสองคนทำอะไรต่อไป เราวิ่งหนีกันไม่คิดจะหันหลังไปดู วิ่งกลับมาที่วัดตรงไปที่กุฏิหลวงพ่อเล่าให้ท่านฟังทันที

ท่านเพียงแต่พยักหน้า ก่อนจะพูดว่า "มันเป็นกรรมของโยมอิ่ม"

ตั้งแต่วันนั้นเราก็ไม่เห็นตาอิ่มอีกเลย แกหายไปจากหมู่บ้านเราอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นผมก็ไม่เคยเห็นผีห่าปีศาจตนใดจังๆ กับตาตัวเองเท่าครั้งนั้น ใครเถียงว่ากระหังแค่เรื่องหลอกเด็ก ผมคนหนึ่งล่ะที่ขอเถียง!



คืนไฟดับที่โรงพยาบาล
ชมพู่นอนร.พ.คืนนี้เป็นคืนที่สามแล้ว หลังประสบเหตุขับรถตกไหล่ทาง ก่อนหน้านั้นข้อเท้าของเธอแพลง ที่จริงก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่หมอก็ใส่เฝือกอ่อนให้ตามใจคนป่วย ในเมื่อทุกอย่างเป็นรายได้ของโรงพยาบาลและเธอก็มีปัญญาจ่ายด้วย

ชมพู่ค่อนข้างแฮปปี้ด้วยซ้ำเพราะเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้อ้อนแฟนหนุ่มนายแบบวัยรุ่นที่ยอมยกเลิกงานช่วงกลางคืนทั้งหมดตลอดสามวัน

ที่ผ่านมาเพื่อจะมาเฝ้าเธอ

อันที่จริงมีอยู่อีกเรื่องหนึ่งที่ชมพู่จำได้รางๆ ก่อนที่รถจะลงข้างทาง แต่เธอแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ เพราะไม่อยากจะรับผิดชอบหรือเกี่ยวข้องอะไรด้วย ดูเหมือนก่อนหน้านั้นเธอจะไปกวาดอะไรสักอย่างเข้าจนกระเด็นหล่นลงข้างทางไปก่อนเหมือนจะเป็นมอเตอร์ไซค์ แต่เธอไม่แน่ใจนัก เพราะเพิ่งเงยหน้าขึ้นมาจากการก้มลงไปควานหาลิปสติกที่หล่นอยู่แถวเท้า

ชมพู่อ้างอาการเจ็บป่วย โทร.ติดต่อทนายและประกันให้ช่วยเคลียร์ให้ โดยที่เธอไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น เธอสบายใจกว่าที่จะไม่ต้องรู้ว่าไปทำใครเจ็บใครตาย คนพวกนี้ถ้ามีปัญญาแค่ขับมอเตอร์ไซค์ก็คงเคลียร์ด้วยเงินได้ไม่ยากนัก เธอคิด

แต่เรื่องที่ทำให้เธอหงุดหงิดคือจู่ๆ คืนนี้แฟนหนุ่มของเธอดันโทร.มาบอกกะทันหันว่ามาไม่ได้ เพราะเจ้าของงานไม่ยอม แต่จะรีบมาทันทีที่ถ่ายงานเสร็จ

ชมพู่หงุดหงิดเหวี่ยงใส่พยาบาลโดยไม่มีเหตุผล พยายามทำใจแช็ตคุยกับเพื่อนบ้าง เพื่อนก็แนะนำให้รีบๆ เข้านอนให้ลืมๆ ไปเสีย เดี๋ยวก็เช้าแล้ว หญิงสาวถอนหายใจ เออคงไม่มีทางอื่นแหละ คิดพลางเอนตัวลงนอนพยายามจะหลับไป ทว่าหลับได้สักพักก็ได้ยินเสียงครืน ก่อนที่ไฟฟ้าและแสงสว่างทุกอย่างรอบตัวจะดับวูบจนมืดสนิท

"ไฟดับอีก อะไรมันจะซวยกันปานนี้" เธอคิดพลางยกโทรศัพท์มือถือดูเวลา ตีสองครึ่งแล้วเธอทั้งไลน์ทั้งโทร.หาแฟนหนุ่มแต่เขาไม่ตอบกลับ ไม่รับสาย หญิงสาวนั่งอยู่บนเตียงท่ามกลางความรู้สึกวังเวง อากาศในห้องก็เย็นลงเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่แอร์ก็ดับอยู่ เย็นจนกระทั่งเริ่มหนาวสั่น

ชมพู่กดออดที่หัวเตียงเพื่อเรียกพยาบาล

แล้วนึกขึ้นได้ว่า ไฟฟ้าม่มี อินเตอร์คอมจะดังได้ยังไง โรงพยาบาลนี้ก็เหลือเกิน นี่หลายนาทีแล้ว ทำไมไฟฟ้าสำรองยังไม่ติดอีก อย่างน้อยๆ มีไฟฟ้าส่องสว่างบ้างก็ยังดี หญิงสาวหยิบผ้าห่มมาห่ม แต่ยังหนาวจนฟันกระทบกันดังกึกๆ

คิดว่าน่าจะผิดปกติมากเกินไปแล้ว เธอพยายามตะโกนเรียกใครสักคนที่อยู่ข้างนอก แต่ไม่มีใครขานตอบ อย่างน้อยต้องมีเสียงพยาบาลหรือ

เจ้าหน้าที่เดินไปมาบ้าง ที่สุดเธอเริ่มหวาดกลัว ค่อยๆ ถัดตัวลงจากเตียง ทั้งๆ ที่ยังห่อผ้าห่มแน่นหนาเดินลากเฝือกกะเผลกๆ ไปทางประตูห้องโดยอาศัยแสงไฟจากมือถือ ชมพู่ค่อยๆ เดินไปทางที่เธอจำได้ว่าเป็นเคาน์เตอร์พยาบาล ทว่ายิ่งเดินเหมือนยิ่งไกล

"มีใครอยู่บ้าง" เธอร้องเรียกแต่เสียงของเธอ

ก็เหมือนถูกซับหายในความเงียบสงัด ถ้าจะวังเวงขนาดนี้กลับไปตั้งหลักที่ห้องก่อนน่าจะดีกว่า เธอคิดหันตัวจะกลับ แล้วก็ลื่นเสียหลักหงายหลังใจหายวาบ โชคดีที่มีใครบางคนคว้าไว้ได้ทัน

"เป็นอะไรไหมคะ" เสียงนั้นกระซิบถามอ่อนโยน ชมพู่คิดว่าเป็นนางพยาบาลเธอโล่งใจแต่ก็ยังไม่วายหงุดหงิด "ไม่เป็นไรค่ะ แต่นี่หายไปไหนกันหมด ไฟดับ ห้องฉันเย็นอย่างกับช่องฟรีซ อยู่ไม่ได้เลย"

"ห้องพี่ก็เย็นเหมือนกันค่ะ หนาวมาก หนาวจนเหมือนอยู่ในตู้แช่" หญิงลึกลับในความมืด

"อ้าว คนไข้เหมือนกันเหรอคะ ห้องพี่อยู่ไหน" ชมพู่ถาม

"ไม่รู้เหมือนกัน พี่ก็งงๆ พี่ตื่นมาทั้งมืดทั้งหนาว ลูกสาวพี่ก็ไปไหนไม่รู้ เลยออกมาเดินตามหานี่แหละ โอย เจ็บไปทั้งตัว"

ชมพู่ชวนคุยจนทราบว่า หญิงที่กำลังพยุงเธอกำลังขับรถมอเตอร์ไซค์กลับบ้านพร้อมลูกสาวที่เพิ่งรับมาจากโรงเรียน แต่จู่ๆ รถคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาชนจนกระเด็นตกถนน เธอและลูกหมดสติไปก่อนจะถูกนำมาส่งที่โรงพยาบาล

ชมพู่ฟังแล้วเริ่มร้อนตัว กลัวจะเป็นคนที่เธอขับชน เลยรีบขอ


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2560 11:15:24

(https://encrypted-tbn3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTNfE_2zdVVzTHZBTSFxYffhp8VC1Mj5hU85KKxaxA091JNymijMA)

พ่อกลับมา

คุณคงเคยได้ยินมาแน่ๆ กับคำกล่าวที่ว่า คนตายมักกลับมาหาคนที่รัก หากเขายังมีห่วง มีเรื่องราวที่ทำไม่เสร็จ พ่อผมก็เช่นกัน

เช้าวันนั้นพ่อกำลังข้ามถนน ทว่าข้ามมาถึงอีกฝั่งไม่สำเร็จ รถกระบะก็พรากเอาลมหายใจจากพ่อไปหมดสิ้น มีคนโทร.มาบอกแม่ แม่ร้องไห้ แม่โทร.หาผม ผมร้องไห้ แล้วผมกับแม่ก็มานั่งงุนงงในงานศพ

 ราแทบไม่รู้เลยว่าอะไรพาให้ผมกับแม่มานั่งตรงนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก คนใส่เสื้อสีดำ ใส่ชุดสีขาว คนมาพูดว่าเสียใจด้วยนะ คนมาไหว้ศพพ่อ พระ เสียงสวดมนต์ ทุกอย่างเหมือนภาพในหนังที่เราไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นกับเราเลย ไม่เคยคิดเลย

พ่อกับแม่มักมีปากเสียงกันเสมอด้วยเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องไร้สาระก็ทำให้คนสองคนทะเลาะกันได้ ผมได้ยินมาตั้งแต่เกิด เห็นมาตั้งแต่เด็ก ผมอยู่กับภาพแม่พ่อทะเลาะกันจนเป็นเรื่องปกติ เหมือนกินข้าว เหมือนอาบน้ำ โดยเฉพาะแม่ เมื่อไม่มีกิจกรรมเหล่านี้แล้ว เราสองคนถึงได้รู้กันเสียทีว่าเรารักพ่อเรามากแค่ไหน

สวดศพผ่านไปสามคืน ผมกับแม่กลับมานอนที่บ้าน ผมนอนไม่หลับ แม่ยิ่งกว่าผมลุกขึ้นมากินยานอนหลับกลางดึก ขณะผมลงไปเข้าห้องน้ำ

"พรุ่งนี้ต้องไปวัด แม่ต้องนอนให้ได้"

ผมพยักหน้าฮือๆ รับคำแล้วก็เข้าห้องน้ำ ออกมาดื่มน้ำแล้วล้มลงนอนที่โซฟา ผมพูดกับแม่

"ผมนอนตรงนี้ดีกว่า แม่ขึ้นไปเหอะ"

แม่ไม่ตอบแล้วก็ขึ้นบันได ผมมองแม่แล้วก็ล้มตัวลงนอน แม้จะคืนที่สามแล้ว แต่สภาพในหัวผมยังงุนงงทำอะไรไม่ถูก ก่อนนอนผมมองไปที่ภาพถ่ายพ่อแม่ลูกของเราที่ตั้งไว้บนตู้รับแขก ด้านในมีแต่ภาพถ่ายตั้งโต๊ะทั้งสิ้น

แล้วผมก็หลับไป ในความฝันผมเห็นตัวเองกำลังยืนอยู่ แล้วพ่อก็เดินมาชี้นิ้วไปข้างบน พ่อเอาแต่ชี้ๆ แล้วก็ชี้ ไม่พูดอะไร ผมสะดุ้งตื่น มองนาฬิกาตีห้าแล้ว ผมนอนต่อจนไปถึงรุ่งเช้าโดยไม่ได้ฝันอะไรเลย

ผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้กับแม่

ความตายของพ่อทำให้ฐานะเราแย่ลง เพราะเป็นเพียงแม่ค้าขายขนม ผมเองเพิ่งเรียนจบและทำงานมาได้ไม่ถึงสองปีกินเงินเดือนหมื่นต้นๆ ในงานศพมีเจ้าหนี้พ่อมาแสดงตัวหลายคน จำนวนเงินกว่าแสนบาททำให้แม่ถึงกับร้องไห้

วันนี้วันเผา เช้าสวดและเลี้ยงพระเพล มีญาติมากันพอสมควร เพื่อนฝูงพ่อจากต่างจังหวัดเพิ่งเดินทางมาถึงกันนับสิบคน พวกเขาต่างตกใจกับข่าวความตายของพ่อ หนึ่งในนั้นมีเพื่อนสนิทพ่อด้วย ผมพอจะรู้จักอาคนนี้ ผมเรียกแกตั้งแต่เด็กแล้วว่าอาอ๊อด แต่ไม่ได้เจอกันนานหลายปีแล้ว ตั้งแต่อาแกย้ายไปอยู่พัทลุง

แล้วงานศพพ่อก็ผ่านไป อาอ๊อดมาปลอบใจผมกับแม่อีกครั้งแล้วบอกว่ามีอะไรให้ช่วยก็บอกมานะ อย่าได้เกรงใจ

คืนนั้นผมฝันถึงพ่ออีกครั้ง ฝันเดิมๆ ว่ายืนอยู่แล้วพ่อเดินมาชี้นิ้วไปข้างบน ผมพยายามเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องราวพ่อในอดีต อาชีพ ผมเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็งุนงงไม่ต่างกับผม

ฝันซ้ำๆ จนกระทั่งคืนหนึ่งผมเห็นพ่อร้องไห้ แต่เฝ้าถามอย่างไรพ่อก็ไม่ตอบ ได้แต่ชี้ๆ ไปข้างบน แล้วหน้าตาพ่อก็หมองคล้ำลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ฝันเห็น

จนกระทั่งคืนหนึ่งอาอ๊อดโทร.มา แล้วผมก็เล่าความฝันเรื่องพ่อชี้นิ้วไปข้างบน อาอ๊อดนิ่งไปพักใหญ่ ผมจึงถามว่า มีอะไรหรือเปล่าครับ

อาอ๊อดบอกว่าพ่อชอบทำท่านี้บ่อยๆ ตอนเล่นทายคำใบ้สมัยเด็กๆ อาจำได้พ่อชี้ขึ้นไป ทีไรหมายถึงของอยู่ข้างบน

"พ่อเขามีอะไรไว้ข้างบนบ้านหรือเปล่า"

ผมนึกไม่ออกตอนนั้น จนรุ่งเช้าที่เจ้าหนี้มาทวงเงินถึงบ้าน แม่ขอร้องขอผัดผ่อนไปอีก แม่นั่งร้องไห้ตอนที่ผมเล่าให้ฟังถึงคำพูดของอาอ๊อด แม่ทำท่าคิด ก่อนที่จะขึ้นไปบนห้องนอน นั่งรื้อหาของจนเจอ

แม่เจอสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือลอตเตอรี่อยู่ชุดใหญ่ 10 ใบ อะไรดลใจไม่รู้แม่รีบบอกผม ผมคิดถึงความฝัน พ่ออาจจะมาบอกสิ่งนี้ จึงรีบเปิดคอมพิวเตอร์เข้าเว็บไซต์สลากกินแบ่งตรวจสลากทั้งชุดนี้

เพียงแค่พิมพ์ลงไป มันก็บอกว่าเป็นสลากชุดที่ถูกรางวัลที่ 1 !

ผมกับแม่กระโดดกอดกันกลม เราร้องไห้ด้วยความดีใจกันนานมาก เพราะเรารู้แล้วว่าพ่อกลับมาหาพวกเราเพื่อจะบอกอะไร



น้ำมันพรายมรณะ

ผมเคยมีเพื่อนร่วมงานอยู่คนหนึ่ง ชื่อพล เป็นประเภทหน้าตี๋ๆ ตาหยีๆ ใส่แว่นหนา สิวเขรอะ เก็บตัว สื่อสารกับใครไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เก่งเรื่องของการใช้คอมพิวเตอร์และบ้าพวกสาวๆ ที่ใส่ชุดคอสเพลย์ญี่ปุ่นน่ารักๆ เหมือนในการ์ตูน ชอบดูหนังโป๊ญี่ปุ่น วันๆ เอาแต่หมกอยู่หน้าคอมพ์ ข้อดีข้อเดียวของมันคือเรื่องงานมันไม่เคยบกพร่อง ส่งตรงเวลาและคุณภาพไม่เคยตก ทำให้เจ้านายชอบ

เรานั่งทำงานอยู่โต๊ะติดกัน เมื่อคุยกันได้สักพักจนเริ่มสนิทและวางใจพลมันก็กลายเป็นคนช่างพูดช่างเล่า อย่างกับคนละคน เล่ามันทุกเรื่องแม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวมากๆ อย่างที่ว่ามันไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิง และไม่เคยมีเซ็กซ์ด้วย

"มึงอายุสามสิบกว่าแล้วยังบริสุทธิ์อยู่เนี่ยนะ" ผมพยายามกลั้นหัวเราะกลัวมันจะยิ่งอาย

"เออ ขนาดคุยยังไม่กล้ามีแต่ดาราเอวีญี่ปุ่นนี่แหละที่เป็นเมียกูทั้งวงการ"

"ก็ดีแล้วไง มีเมียจริงๆ มันต้องมีภาระต้องรับผิดชอบอะไรอีกเยอะเลย" ผมพูด

"เมื่อก่อนกูก็คิดแบบมึงแหละ แต่นั่นมันก่อนที่กูจะเจอน้องแก้ม" ไอ้พลเริ่มเล่า

มันว่ามันเจอน้องแก้มที่งานเทศกาลแอนิเมชั่นที่หนึ่ง น้องแก้มแต่งคอสเพลย์เป็นกระต่ายสาวน้อยน่ารักมากจนตามันไม่อาจเลื่อนไปมองหาใครอื่นได้ หลังจากนั้นมันก็ติดตามอินสตาแกรม เฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์ของน้องอย่างไม่ลดละ เวลาน้องรับงานโชว์ตัวที่ไหนไอ้พลก็ตามไปคอยซื้อของฝากทั้งน้ำหอม ตุ๊กตา ขนมน่ารักๆ จนพักหลังๆ น้องเขาเริ่มระแวงๆ เพราะมันดูเหมือนโรคจิตเข้าไปทุกที

"แล้วน้องเขาเพิ่ง ม.ปลาย เองไม่ใช่เหรอวะ มึงเป็นแฟนคลับอ่ะได้ แต่เป็นแฟนจริงๆ กูว่าไม่ไหวหรอก มึงตัดใจเหอะ"

ไอ้พลส่ายหน้า "ไม่ กูรู้ตัวว่าแก้มนี่แหละคู่แท้ของกูและจะอยู่ด้วยกันไปจนวันตาย เพียงแค่ตอนนี้น้องเขายังไม่รู้ตัว" มันพูดตาลอยๆ พิกลจนผมขนลุก และพยายามไม่พูดเรื่องของน้องแก้มกับมันอีก

มันบ้าน้องแก้มเอามาก พยายามนัดเจอ พยายามไปหาถึงที่โรงเรียน แต่ยิ่งทำเด็กก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นและหลบหน้าไอ้พล จนไอ้พลหงอย ซูบผอมกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะความคิดถึง ผมสงสารเลยแนะนำให้มันเข้าวัดบ้าง ลองไปฟังพระเทศน์ไปนั่งสมาธิให้ใจสบายๆ ซักหน่อย มันก็ว่าง่าย ยอมไปวัดจริงๆ เสียด้วย

แต่เช้าวันจันทร์ต่อมานี่แหละ ผมเลยได้รู้ว่า การไปวัดของมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะมันดันไปเจอป้าคนหนึ่ง ที่เล่าว่าแกใช้น้ำมันพรายดึงผัวที่หนีไปอยู่กับเมียน้อยกลับมาหาแกได้สำเร็จ

"กูดูจากสภาพป้าแล้ว ถ้าน้ำมันพรายตามผัวแกกลับมาได้นี่แสดงว่าขลังมากจริงๆ" ไอ้พลว่า แล้วมันยังยกเอาขวดแก้วเล็กๆ บรรจุของเหลว สีเหลืองๆ ห่อในกระดาษทิชชูมาให้ผมดูด้วย "นี่ไงมึง ป้าแกบอกว่าไม่ได้ผลยินดีคืนเงิน กูเหมาต่อป้าแกมาสองหมื่นถ้วน"

ผมได้กลิ่นเหม็นสาบชวนอาเจียนลอยมาจากขวดนั่น "ห่า..." ผมอุทานพลางเอามือปิดจมูก "มึงโง่หรือมึงบ้ากันแน่วะเนี่ย"

"มึงไม่เชื่อก็เงียบไป ไว้กูจะพิสูจน์ให้ดู"

หลังจากนั้นสามสี่วัน ไอ้พลก็นั่งกระสับกระส่ายอยู่ที่โต๊ะทำงาน พอถามก็ได้ความว่า มันแอบเอาน้ำมันพรายที่ได้ใส่ในขนมที่แก้มชอบ แล้วจ้างเพื่อนห้องเดียวกับแก้มเอาไปให้แก้มกิน และเพื่อนก็ยืนยันว่าแก้มกินแล้ว แต่จนป่านนี้ ก็ยังไม่เห็นผล

"เฮ้ย" ผมอุทานเสียงดังลั่น "มึงไม่รู้เหรอ น้ำมันพรายถ้าจะให้คนหลงต้องป้าย ไม่ใช่แดก ถ้าให้แดกผีพรายในน้ำมันจะเข้าจนคนกินเป็นบ้าได้เลย"

ไอ้พลหน้าซีดเผือด มันว่ามันไม่รู้จริงๆ แต่เย็นนั้นมันก็แอบไปดักดูน้องแก้มที่หน้าโรงเรียน ก็เห็นว่าเดินขึ้นรถที่พ่อแม่มารับกลับบ้านท่าทางร่าเริงปกติมันเลยโล่งใจ แต่ก็โทร.ไปถามน้อง คนที่เอาขนมไปให้แก้ม คาดคั้นอยู่พักใหญ่เด็กจึงสารภาพว่า เพื่อนสนิทของแก้มเป็นคนกินขนมแทนเพราะแก้มกำลังลดน้ำหนัก และตอนนี้เพื่อนคนนั้นก็ป่วยหนักไม่มาโรงเรียนหลายวันแล้ว

ไอ้พลไลน์เล่าให้ผมฟังด้วยความกังวล มันบอกว่าตอนนี้บ้านน้องคนนั้นพ่อแม่เขากำลังพาไปวัดเพื่อหาพระที่เก่งทางอาคมช่วยถอนของให้

หลังจากนั้นไอ้พลก็ขาดงานติดกันสามวันโดยที่ไม่มีใครติดต่อได้ ผมเลยลองไปเยี่ยมมันดูที่ห้องแล้วก็ต้องผงะ เมื่อห้องของมันเต็มไปด้วยอาเจียนกลิ่นเหม็นสาบสางทั่วห้อง ไอ้พลตาโหล หน้าซีดลุกแทบไม่ไหว มันบอกว่ามันอ้วกออกมาเป็นหนองเป็นน้ำเหลืองผีมาตลอดสามวัน และเห็นผีผู้หญิงตายท้องกลมเดินไปมาในห้องเกือบตลอดจนมันจะบ้าอยู่แล้ว มันเล่าพลางร้องไห้เหลียวไปมารอบตัวอย่างหวาดกลัว ผมเลยรีบพาส่งโรงพยาบาล

หลังจากเข้าแอดมิตที่จิตเวชแล้ว ผมเป็นคนโทร.ตามญาติและเล่าเรื่องนี้ให้ญาติๆ ของพลฟัง คาดว่าของที่ถอนแล้วน่าจะกลับมาเข้าตัวเอง จนมีอันเป็นไปแบบนี้ แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่าทางญาติของไอ้พลจะจัดการยังไงกับมันต่อ ส่วนทางหมอก็คงรักษาไปตามอาการ

รู้แต่ว่าถ้าใครมาถามผมเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันพรายหรือยาเสน่ห์อีกผมมักจะเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเสมอ ความรักที่ได้มาจากวิธีที่ไม่ถูกต้อง มันไม่มีวันยั่งยืนได้หรอกครับเชื่อผมเถอะ





หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 07 มีนาคม 2560 19:28:09

(https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSvUG45NC54OQmawaN-XRvHdHE96y2-BUKSv7vMbgUMC28qo18f)

คนเชือดไก่

ฉันกับไอ้ด้วง เคยเป็นเพื่อนกันเมื่อสมัยเรียนประถมฯ พอจบป.6 ไอ้ด้วงไม่ได้เรียนต่อ มันออกไปช่วยพ่อแม่ทำงานที่ไร่ หลังจากนั้นหลายปี พอโรงฆ่าสัตว์เปิดที่หมู่บ้านถัดไป ไอ้ด้วงก็ไปเป็นลูกมือฝึกหัดเชือดหมูเชือดไก่ แต่ตอนนั้นฉันเองก็เกือบลืมๆ มันไปแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องที่จะต้องไปเกี่ยวข้องกับมันอีก

หลังจากเรียนจบปวส. ฉันได้ทำงานบัญชีที่บริษัทแห่งหนึ่งในลำพูน แล้วก็โชคดีได้พบรักกับสามีที่ทำงานเป็นผู้จัดการแผนกตรวจสอบคุณภาพสินค้า เราคบกันสองปี ตั้งใจว่าจะเก็บเงินแต่งงานกัน แต่บังเอิญดันท้องขึ้นมาเสียก่อน พ่อกับแม่โกรธมาก

"เสียผีแบบนี้ ต้องฆ่าหมูห้าตัว ไก่สามสิบตัว ไม่งั้นผีปู่ย่ามาหักคอเอ็งแน่ๆ" ยายของฉันตะโกนโวยวายลั่นบ้าน พ่อกับแม่ไม่ยอมพูดยอมจาและไม่ยอมห้าม ตกลงทางผู้ใหญ่ฝ่ายสามีเลยต้องจำใจตกลงตามที่เรียกมา ทั้งที่ฉันเองไม่ชอบเลย

"จะบ้ากันหรือไงก็ไม่รู้ สมัยนี้ยังเชื่อผีเชื่อสางกันอีก ทำบุญไหว้พระน่าจะดีกว่ามาทำบาปแบบนี้" ฉันพูดระบายกับสามีอย่างอัดอั้น

"พ่อแม่กำลังโกรธ คุณอย่าเพิ่งไปขัดเลย ตามใจเขาเหอะ ผมเองก็ผิดแหละ น่าจะมาขอคุณเร็วกว่านี้อีกหน่อย"

สรุป ที่บ้านของฉันจะทำพิธีเลี้ยงผีแทนทำบุญแต่งงาน ตามคำแนะนำของยาย ทั้งที่รู้ว่าฉันไม่ชอบเรื่องพวกนี้ ไม่อยากให้มีการฆ่าสัตว์ ทำบาปทำกรรม แต่กลับบังคับให้ฉันไปติดต่อที่โรงเชือด เพื่อสั่งหมูสั่งไก่ให้ครบตามจำนวน ฉันน้อยใจจนร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าขัด เลยต้องไป และก็ได้พบกับไอ้ด้วงในวันนั้นเอง

แวบแรกฉันจำชายร่างเล็กแต่กล้ามเป็นปล้องๆ ตัวดำเมี่ยม ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวไม่ได้ แต่ไอ้ด้วงร้องทักฉันก่อน และพอรู้ว่ามาสั่งไก่สั่งหมูไปไหว้ผีเพราะจะแต่งงานก็ดีอกดีใจใหญ่

"ไม่เจอกันนาน มาอีกทีเป็นสาวแล้ว จะแต่งงานแล้วด้วย เวลามันผ่านไปไวเว้ย"

มันมองฉันจาบจ้วงตั้งแต่หัวถึงเท้า จ้องที่หน้าอกอย่างหน้าไม่อาย จนสามีฉันต้องเดินเข้ามากันด้านหน้าเนียนๆ แล้วรีบสั่งงาน

"ไก่สามสิบ หมูสิบ ชำแหละเรียบร้อยแล้วส่งวันงานให้ด้วย คิดราคายังไง"

ไอ้ด้วงจ้องหน้าสามีฉันอย่างไม่กลัว "ไม่รู้เรื่องอย่ามาทำพูดดี ไหว้ผีมันต้องไปเชือดในงานถึงจะขลัง"

"ไม่เอา" ฉันรีบพูดพลางขนลุกซู่เมื่อไอ้ด้วงหันมามองตาขวางเหมือนคนบ้า

"สั่ง ยังไงก็ทำมาแบบนั้นแหละ จ่ายมัดจำที่เถ้าแก่ใช่ไหม" ว่าแล้วฉันรีบพาสามีเดินไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับเถ้าแก่ด้านในโดยไอ้ด้วงยัง มองตาขวางไม่เลิก

"ไอ้ด้วงมันโรคจิต มีคนบอกว่ามันชอบร่วมเพศกับสัตว์ในโรงฆ่า ทั้งหมูวัวไก่ ไม่มีเว้น แถมยังเคยเห็นมันทรมานสัตว์ก่อนฆ่า มันบอกว่าเวลาสัตว์กลัวก่อนตายเนื้อมันจะหวาน" ใครคนหนึ่งเล่า ฉันฟังแล้วอยากอาเจียนขึ้นมาทันที ภาวนาให้งานแต่งจบไปเร็วๆ จะได้ไปจากที่นี่เสียที

ในวันแต่งงาน ฉันกับสามีทำพิธีผูกข้อมือ ไหว้ผีประดามีตามคำสั่งของญาติผู้ใหญ่อยู่บนบ้านในขณะที่ข้างนอก พวกญาติๆ และคนในหมู่บ้านมาช่วยกันทำอาหารเลี้ยงแขก ที่สำคัญมารอแบ่งเนื้อสัตว์หลังไหว้ผีเสร็จด้วย

เนื้อหมูชำแหละพร้อมทำอาหารมาส่งด้วยรถกระบะคันโต สักพักมีเสียงเอะอะดังขึ้น รถอีกคันเข้ามาจอด ฉันวิ่งไปดูทางหน้าต่าง เห็นไอ้ด้วงกับไก่สามสิบตัวที่ยังเป็นๆ ท้ายรถ มันตะโกนว่า

"ไหว้ผีมันต้องแบบนี้โว้ย"

ว่าแล้วไอ้ด้วงก็คว้า ก่ขึ้นมาเชือดคอแล้วโยนลงมาจากท้ายรถทีละตัว คนในงานส่งเสียงหวีดร้องตกใจ ไก่บางตัวโดนเชือดคอร่องแร่งแต่ยังคงวิ่งได้ บางตัวหัวหลุดออกจากตัวแล้วก็ยังวิ่งได้ มันวิ่งหนีเตลิดกันไปคนละทิศละทาง เลือดไก่หยดกระเซ็นกระจายทั่วบริเวณงานจนคาวคลุ้ง คนที่อยู่ในตัวบ้านรีบปิดประตูหน้าต่างกลัวไก่วิ่งเข้าบ้าน หลายคนตะโกนแช่งด่าไอ้ด้วง ส่วนฉันยืนตัวสั่นอยู่กับสามี พ่อแม่และยายหน้าซีดเผือด ทำอะไรไม่ถูก

ไอ้ด้วงโรคจิตยังคงคว้าไก่มาเชือดโยน เชือดโยนทีละตัว จนครบสามสิบตัว ในขณะที่ด้านนอก ผู้ร่วมงานส่วนใหญ่สลายตัวหนีกันไปหมดแล้ว แต่บางคนก็ยังร้องด่าและพยายามห้ามไอ้ด้วงแต่ไม่สำเร็จ

นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันเป็นลมหมดสติไปจริงๆ ด้วยความตกใจกลัวกับภาพ เสียง กลิ่นสยองที่เกิดขึ้นราวกับหนังฆาตกรรม

ฉันมาตื่นอีกทีบนรถของสามีที่ขับมาเกือบถึงลำพูนแล้ว เขาเล่าให้ฟังว่าพอไอ้ด้วงก่อเรื่องเสร็จ มันก็กลับมาขับรถกระบะกลับโรงฆ่าสัตว์ ส่วนสามีถือโอกาสอุ้มฉันหนีขึ้นรถขับออกจากงานมาเลย

"แล้วพ่อแม่ไม่ว่าเหรอ" ฉันถามงงๆ

"คุณ โอเคแล้วนะ" สามีหันมาถามด้วยความเป็นห่วงก่อนเล่าต่อ "นายด้วงรีบออกรถ เข้าเกียร์ผิดหรือไงไม่รู้ พุ่งเข้าไปชนเสาไฟฟ้าอย่างแรง ตัวพุ่งออกมาที่กระจก บาดคอจนเกือบขาดห้อย ร่องแร่ง เลือดงี้สาดเต็มหน้ารถเลย"

ฉันมองหน้าสามี เบิกตาโตด้วยความตกใจ รู้สึกเหมือนจะเป็นลมอีกรอบ

"ไม่แค่นั้นนะ เพื่อนเก่าคุณน่ะหัวขาดร่องแร่งแล้ว แต่ยังออกจากรถวิ่งไปอีกตั้งหลายเมตรก่อนจะล้มลง เหมือนไก่ที่เขาเชือดไม่มีผิด"



อาถรรพ์ที่ร้าง

มีที่ดินผืนหนึ่งแถวทางหลวงเอเชียในจังหวัดสิงห์บุรี เนื้อที่ไม่ใหญ่นักหรอกราวๆ สามไร่แต่เรื่องราวของที่ดินผืนนี้กลับเป็นที่โจษจันกล่าวขวัญกันในหมู่นัก อสังหาริมทรัพย์เมื่อยี่สิบปีก่อน

ตอนนั้นผมตามน้าสาวไปด้วยเนื่องจากปิดเทอมไม่มีอะไรทำ คือมีคนในตัวจังหวัดอ่างทองอยากได้ที่ดินติดทางหลวงละแวกสิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรีเขาจะทำปั๊มน้ำมันหลายแห่ง น้ารู้จากเพื่อนว่ามีที่ดินผืนหนึ่งติดทางหลวงที่ตายายร้อนเงินคู่หนึ่งคิดขาย

เมื่อไปถึงได้รู้ว่าแกปลูกบ้านอยู่อีกที่หนึ่ง ที่ดินผืนนี้แกปล่อยให้คนเลี้ยงวัวนำวัวมากินหญ้าที่ขึ้นเต็มทุ่ง น้าถามว่าทำไมรีบขายมีอะไรหรือเปล่า

จากประสบการณ์ของน้า น้าบอกว่า ถ้ารีบขายอย่างนี้จะกดราคาได้เต็มที่ ปัญหาส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เรื่องมรดกก็เรื่องเจ็บป่วยต้องใช้เงิน หรือร้อนเงินจะเอาเงินไปใช้ทางอื่น เรื่องผีสางๆ เกี่ยวกับที่เกี่ยวกับบ้านไม่ค่อยเจอหรอก

"แต่ถ้าเจอแล้ว แย่ที่สุด เพราะซื้อไปก็จะขายต่อหรือเอาไปทำอะไรลำบาก" น้าบอก "เราต้องสืบให้ดีก่อน"

ตาแกบอกไม่มีอะไร ลูกๆ มันอยากได้เงินกัน แกก็แก่แล้วอยู่อีกที่หนึ่งก็พอแล้ว แกบอกอย่างนี้ ตอนแรกน้าคิดว่าแค่เรื่องมรดก แต่ตอนเดินสำรวจที่ก็แปลกใจที่ที่ดินผืนติดกันมีแต่คนนำวัวมากิน แต่ที่ของตายายแกกลับไม่มีใครนำวัวมากินเลย น้าไปถามคนเลี้ยงวัวก็มีแต่คนเลี่ยงไม่ยอมตอบตรงๆ แต่ราคาที่ตายายบอกไว้ ทำให้น้าตาลุกวาว

น้าบอกตอนหลังว่าใช้เงินตัวเองซื้อไว้ก่อน ตั้งใจจะไปเอากำไรอีกต่อจากคนในจังหวัด วันตกลงโอนกันที่ที่ดินจังหวัดเรียบร้อย ตอนขากลับผมกับน้าจอดรถกินส้มตำไก่ย่างที่ร้านเล็กๆ ใกล้ที่ดินที่น้าซื้อ ความสงสัยที่ทำไมหญ้าในที่ของตายายถึงไม่ค่อยมีคนเลี้ยงวัวเอาวัวไปกิน ทำให้น้าถามลอยๆ กับเจ้าของร้าน

"ใครมันจะกล้า" เจ้าของร้านตอบ "เจ้าที่เขาดุ เขาหวงแม้แต่หญ้าที่ให้วัวกิน"

จากนั้นเรื่องราวก็พรั่งพรูเมื่อน้าผมสั่งส้มตำจานที่สอง จานที่สาม

"เมื่อก่อนมันเป็นที่ของขุนอะไรสักอย่าง เป็นกำนันเก่าตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 แกมีลูกหลานเยอะ ที่ทางแกก็เยอะแต่แกหวงผืนนี้ที่สุด แกไม่ยอมให้ลูกคนไหน แต่พอแกตาย กลับปรากฏว่ายกให้เพื่อนคนหนึ่งซึ่งตอนหลังลูกของขุนแกจับได้ว่าเพื่อนพ่อ จับนิ้วพ่อปั๊มยกที่ให้เพื่อนโดยที่ท่านขุนแกตอนนั้นไม่ได้สติไม่รู้เรื่อง แล้ว จะเรียกว่าปลอมเอกสารก็ไม่ถูก เรียกว่าโกงกันดีกว่า อะไรแบบนั้น พ่อลุงเล่าให้ฟังแบบนั้น" เจ้าของร้านเล่า "จากนั้นมาเพื่อนท่านขุนก็อยู่ไม่เป็นสุข ที่โกงมามันคงร้อนอย่างโบราณว่า อยู่ดีๆ บ้านก็ไฟไหม้ ลูกหลานเอาไปทำอะไรก็ไม่ขึ้น ปลูกอะไรก็ไม่งอกงาม ลูกหลานท่านขุนคงแช่งไว้แรงแหละ"

"แต่ที่หนักสุด คงท่านขุนนั่นแหละ ลูกหลานเพื่อนท่านขุนขายต่อเปลี่ยนเจ้าของไปอีกหลายมือ แต่ทุกมือมักจะพูดตรงกันว่าเห็นคนแก่แต่งตัวฯ โบราณๆ ปรากฏตรงนั้นตรงนี้ไล่ให้คนออกไป แม้แต่คนเลี้ยงวัวก็เจออย่างที่ลุงบอก โดนท่านขุนไล่จนไม่มีใครกล้าเอาวัวไปเลี้ยง ทั้งๆ ที่เรื่องผ่านมาหกเจ็ดสิบปีแล้วแต่ก็ยังมีคนเห็นท่านขุน ตายายคู่นั้นแกได้ที่มายังไงลุงไม่รู้ แต่ไม่เคยเห็นแกปลูกเรือนหรือใช้ที่ทำนาปลูกอะไรเลย แกทิ้งเป็นที่รกร้างมาหลายปีแล้ว มีแต่กระต๊อบหลังหนึ่งทิ้งไว้ให้คนรู้ว่ามีเจ้าของ"

น้าสาวผมไม่กลัวอะไร ขายต่อให้คนในจังหวัดได้กำไรหลายล้าน จากนั้นอีกไม่นานก็ได้รับการติดต่อจากคนในจังหวัดคนเดิมให้ช่วยขายทิ้ง

ไม่ไหว ผมทำปั๊มน้ำมันริมทางหลวงแท้ๆ แต่กลับไม่มีคนเข้า พอรถจะเลี้ยวเข้าก็เห็นคนแต่งตัวโบราณทำหน้าขึงขังคอยไล่ให้ออกไป บางทีพอเลี้ยวเข้าปั๊มก็กลับกลายเป็นบ้านโบราณจนคิดว่าเลี้ยวผิด พอคนร่ำลือกันไปว่าเป็นปั๊มผีสิง คนก็หายหมดผมก็เจ๊งนะสิ"

จากเป็นปั้มน้ำมันทราบต่อมาว่าเจ้าของใหม่เปิดเป็นสวนอาหาร แต่ก็เจ๊ง คนมาใช้บริการถูกผีท่านขุนหลอกหลอนอยู่เรื่อย จากนั้นก็กลายเป็น อู่ซ่อมรถ เป็นอีกหลายแห่ง ตอนเป็นอู่ซ่อมรถยังมีคนเจอผีคนแก่ใส่ชุดโบราณมาให้เห็น ตอนนั้นผมกำลังวัยรุ่นชอบเรื่องผีๆ จึงชวนเพื่อนไปนอนค้างอู่ซ่อมรถที่ร้างไปแล้ว ดึกคืนนั้นผมกับเพื่อนสองคนหนีออกมาแทบไม่ทัน เราเห็นคนแก่แต่งชุดโบราณ ถือดาบจะไล่ฟันเรา หน้าตาแกขึงขังดูน่ากลัว ผมถึงกับเคยเล่าเรื่องนี้ออกรายการเดอะช็อกของน้าป๋องมาแล้ว

ล่าสุด เมื่อเดือนก่อนผมขับรถผ่านเห็นเป็นตึกแถวไปแล้ว ความเป็นเมืองรุกคืบเข้ามา ผมจอดรถถามร้านค้าย่านนั้นหลายร้านก็ไม่เคยมีใครเห็นผีท่านขุน ไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องราวอันเป็นตำนานนี้อีกเลย



ติดตา

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม ผมจำได้ดีเมื่อตอนผมเรียน ม.2 บ่ายวันนั้นรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะเป็นไข้จึงขอลาครูกลับบ้าน ตลอดทางใจคอหวิวๆ อยู่ตลอด ซ้ำระหว่างเดินเข้าซอยแมวดำยังวิ่งตัดหน้าอีก ทำให้ผมใจคอไม่สู้ดี ผมหยุดเดินแล้วก้าวถอยหลังตามที่แม่เคยสอน ก่อนเลี้ยวไปทางขวาเข้าอีกซอยหนึ่งแล้วค่อยวกทางเดิมกลับบ้าน

ที่หน้าบ้านผมกดกริ่งรอแม่มาเปิดประตูอยู่นานมาก จึงปีนรั้วกระโดดเข้าบ้านแล้วเดินไปทางกลุ่มกระถางต้นไม้ยกก้นกระถางใบที่ สามขึ้นแล้วหยิบกุญแจที่อยู่ข้างใต้ไขประตูบ้าน

ทันทีที่เปิดประตู ผมตกใจแทบหงายหลัง บนคานบ้านมีพ่อกับแม่ห้อยคออยู่!!

ภาพพ่อกับแม่ผูกคอตายตามหลอกหลอนผมนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้กินเวลากว่าสามสิบปีแล้ว ทุกวันนี้ผมมีครอบครัว ลูกวัยสามขวบกำลังน่ารัก แต่หลายต่อหลายครั้งยามเปิดประตูและมองตรงมายังกลางบ้าน ผมก็อดไม่ได้นึกไปถึงภาพพ่อแม่แขวนคอตาย

วันนี้ก็เช่นกัน ความทุกข์สุมอก ผมจับได้ว่าภรรยามีชู้ ความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่ที่ทะเลาะกันก่อนตายอย่างหนักจนผมเคยนึกสงสัยว่า พ่อกับแม่คนใดคนหนึ่งมีชู้หรือเปล่า

"พ่อเอ็งเหมือนผูกคอตายจริง แต่แม่เอ็งนี่สิ ลุงว่าเหมือนพ่อเอ็งจะลงมือกับแม่เอ็งก่อนแล้วเอาไปแขวนคอก่อนจะผูกคอตัวเอง ตายตาม" ลุงพูดกับผมหลังเหตุการณ์ผ่านไปหลายปี

แว้บหนึ่งผมคิดจะลงมือจัดการภรรยาเช่นนี้แล้วค่อยจัดการตัวเอง แต่นึกสงสารลูก ทว่าความคิดเช่นนี้ก็ผุดเข้ามาในหัวอยู่ตลอด เช่นเดียวกันกับภาพพ่อแม่แขวนคอตาย

ผมเคยเล่าให้หลวงพ่อที่วัดฟัง ท่านบอกว่าโบราณถือนะ ผีได้ยินจะพยายามหาทางชักจูงโยมต่างๆ นานา จากนั้นหลวงพ่อก็รดน้ำมนต์ให้ศีลให้พร แต่ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย นึกเสียใจที่เล่าให้หลวงพ่อฟัง ความลับไม่มีในโลกจริงๆ แม้แต่ผีก็ยังได้ยิน

ทว่าเรื่องเมียมีชู้นี้ผมรับไม่ได้จริงๆ ผมถือว่าตนเองทำหน้าที่ไม่บกพร่องแม้แต่เรื่องบนเตียง ผมทำงานหนักส่งเสียลูกเรียนโรงเรียนดีๆ แพงๆ เพื่อให้ลูกได้สังคมที่ดีกว่า ผมผ่อนรถให้ภรรยา หาบ้านราคาแพงในย่านคนมีอันจะกินให้อาศัย ทุกอย่างก็เพื่อคำว่าครอบครัว แล้วเธอยังมาทำอย่างนี้กับผมอีก

ผมเฝ้าคิดวนเวียนว่าจะพูดกับภรรยาตรงๆ หรือปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปดี ผมสับสน

ภาพพ่อแม่ผูกคอตายยังคงหลอนไม่เลิกและนับวันยิ่งหนักเข้าเมื่อความเครียดเรื่อง ภรรยามีชู้ทบเข้ามาอีก ในห้องน้ำตอนอาบน้ำ ระหว่างกินกาแฟตอนบ่าย หรือแม้แต่ทำอาหารเย็น มันก็ยังวนเวียนไม่รู้จบ

และคืนนั้นเองหลังส่งลูกเข้านอน ขณะนั่งดูทีวีสะลึมสะลือเหมือนผมจะมองเห็นเงาดำของใครผ่านหน้าไป ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ภรรยายังไม่กลับบ้าน พานนึกไปว่าอาจจะกำลังอยู่กับชู้ คิดเช่นนี้ยิ่งทำให้หงุดหงิดมากขึ้น

ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้ ในความฝันผมเห็นผู้หญิงชุดดำกวักมือเรียกให้ตามไป ผมเดินออกจากบ้านตามหล่อนติดๆ จนถึงชายคลองเธอก็โยนเชือกให้ผม แล้วบอกว่าในเมื่อโลกไม่น่าอยู่ จะอยู่ไปทำไม แล้วหล่อนก็ตวัดเชือกคล้องกับกิ่งไม้แล้วปีนขึ้นคาคบ ก่อนจะทำเชือกเป็นบ่วงบาศคล้องคอแล้วกระโดดลงมาเสียงกระดูกคอลั่นดังกึก เธอดิ้นไปมาสี่ห้าวินาทีแล้วก็แน่นิ่ง ผมยืนตกใจ เธอกลับถลึงตาหันมาตวาดให้ผมรีบทำตาม แน่ล่ะผมกำลังจะทำตามก็สะดุ้งตื่นด้วยเสียงกดออดหน้าบ้าน

ภรรยา กลับมาแล้ว ผมพยายามไม่คิดว่าเธอไปทำอะไร ทักทายเธอด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เธอกลับไม่สนใจ ขอตัวไปอาบน้ำก่อน "เหนียวตัว ง่วงด้วย วันนี้เพลียจริงๆ"

แน่สิ อีเวร ไปล่อกับผู้ชายมาสิ ผมนึกพลางฉุนเฉียวอยากลุกไปตบเธอสักสองสามครั้งให้หายโมโห

ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็เรียกเข้า "จากโรงพยาบาลนะคะ คุณเป็นอะไรกับ" เจ้าหน้าที่หรือไม่ก็นางพยาบาลระบุชื่อภรรยาผม ผมตอบไปว่าเป็นสามี ทางนั้นรีบบอกว่าให้ไปโรงพยาบาลโดยด่วน ภรรยาผมแขวนคอตาย ผมตกใจมาก เมื่อสักครู่ยังปะหน้ากับภรรยาอยู่เลย ผมจึงรีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน วิ่งไล่หาภรรยาตามห้องตามมุมต่างๆ ก็ไม่เจอ

แล้วผมก็ตกใจตื่น นี่ฝันไปอีกหรือนี่ ผมมองไปรอบๆ ไม่พบภรรยา เมื่อลงไปด้านล่าง มองไปยังกลางบ้าน ทันใดภาพพ่อแม่ผมผูกคอตายก็เข้ามาในหัว พ่อกับแม่จะเจ็บแค่ไหนนะ ผมถามตัวเองอยู่หลายครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงออดหน้าบ้าน ผมเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปผมเห็นภรรยาหอมแก้มผู้ชาย ไกลออกไป ผู้หญิงชุดดำกวักมือเรียกผม ทันใดผมนึกถึงภาพพ่อแม่แขวนคอ

ผมตัดสินใจแล้วล่ะ



อย่าไปเชื่อมัน

อยู่ๆ ก็มีสำนักทรงมาเปิดติดกันกับบ้านผม เป็นสองผัวเมียอายุไม่น่าเกิน 40 ปี ขึ้นป้ายรับแก้ปัญหาชีวิตโดยการประทับทรงเจ้าแม่ทุรคา จากนั้นไม่ถึงอาทิตย์มีพิธีครอบขันธ์และไหว้ครู คนมากันพอสมควร รถราจอดเต็มถนน

บอกตามตรงผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ เพราะเคยได้ยินมาว่าทางฮินดูเขาไม่มีการเข้าทรง แล้วเจ้าแม่ทุรคาก็เป็นเทพของฮินดู เชื่อว่าก็แค่คนทำมาหากินบนความหวาดกลัวและความไม่มั่นคงทางจิตใจของคนมากกว่า

ต่อมาโรงงานที่ผมทำอยู่ปิด ออกไปหางานทำเป็นเดือนๆ ก็ไม่ได้เสียที วันหนึ่ง ผมยืนหน้าบ้าน คนเป็นเมียสำนักทรงก็ถามว่าไม่ไปทำงานหรือ ผมก็ตอบตามความเป็นจริงว่าตกงานอยู่ แกก็เลยชวนมาเป็นลูกมือที่สำนักแก

"แค่คอย ต้อนรับคนมาปรึกษา พี่ผู้ชายคนเดียวไม่ค่อยไหว พักนี้คนมากันเยอะ ไหวไหม งานง่ายๆ พี่ให้เงินเป็นรายอาทิตย์ ไม่ยากเลย อาทิตย์นึงทำจันทร์ถึงศุกร์ เที่ยงวันถึงทุ่ม" คนเป็นเมียอธิบาย

ผมกลับมาปรึกษาทางบ้านแล้วก็ตอบตกลง งานสบายจริงๆ พอคนมาก็เชิญให้เข้ามารอที่ชั้นล่าง ถามชื่อนามสกุลแล้วจดไว้ หลังยกน้ำเย็นมาเสิร์ฟก็ชวนคุยอย่างสุภาพเรียบร้อย ทั้งหมดนี้ผมคิดเอาเองว่าควรทำก็ทำไปซึ่งคนเป็นผัวก็ชื่นชมว่าไม่เคยมีสำนัก ไหนเขาทำอย่างนี้

กิจการของเขาดีขึ้นเป็นกราฟ 60 องศาตอนนี้ผมเรียกคนเป็นเมียที่เข้าทรงว่าอาจารย์หญิง คนเป็นผัวว่าอาจารย์ชาย ตามที่คิดเอง จนลูกค้าที่มาหาก็เรียกตาม ทั้งสองคนชอบใจใหญ่ ให้ผมเป็นพิเศษทุกอาทิตย์

จุดหักเหก็มาถึง!

วันนั้นมีคู่ผัวเมียมาหาตอนห้าโมงเย็น อายุประมาณ 50 ด้วยกันทั้งคู่ คนเป็นเมียร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด บอกว่าลูกสาวหายไปเกือบเดือนแล้ว แจ้งความตำรวจก็แล้ว มูลนิธิต่างๆ ก็แล้วยังหาไม่พบ มีคนบอกว่าเจ้าแม่ทุรคาศักดิ์สิทธิ์จึงมาหาให้เจ้าแม่ช่วย แกร้องไห้ตั้งแต่เปิดประตูเข้ามา แล้วเที่ยวหันไปพูดกับคนอื่นว่าขอแซงคิวพร้อมทั้งยกมือไหว้เป็นที่เวทนาแก่คนพบเห็น คนไทยเราก็ใจดีล่ะนะ ไม่มีใครคัดค้านผมก็เลยให้แกได้ขึ้น ไปหาเจ้าแม่ทันที ขึ้นไปไม่ถึงสามนาที อาจารย์ชายก็ลงมาตามผมให้ขึ้นไปช่วย ปกตินานๆ ครั้งผมถึงได้ขึ้นไปบนชั้นสองห้องทำพิธี พอขึ้นไปถึงก็เห็นเจ้าแม่นั่งเคี้ยวหมาก(เจ้าแม่แขกฮินดูแต่ดันเคี้ยวหมากด้วย แว้บแรกผมแปลกใจอย่างนี้) เสียงเจ้าแม่แก่ๆ พูดไทยด้วยสำเนียงไทยชัดเจน บอกให้ผมนำน้ำมนต์ที่มีอยู่ในถังพลาสติกใบใหญ่ให้ราดคนเป็นแม่และพ่อที่มาด้วยทั้งสองคน ผมหันไปมองอาจารย์ชาย แกก็บอกให้ผมพาไปที่ห้องน้ำแล้วให้ทั้งสองคนอาบน้ำมนต์เสีย

ทั้งสองคนก็ไม่ถามนะว่าทำไม ผมก็พาไปตามหน้าที่อย่างไม่เข้าใจเหมือนกัน

"แล้วให้มันกลับบ้านไปก่อน อีผีที่บังตานี่ฤทธิ์มันเยอะนัก เดี๋ยวกูขอจัดการก่อน แล้วอาทิตย์หน้าเอ็งมาหาใหม่ รับรองได้เจอลูกสาวเอ็งแน่" เสียงเจ้าแม่พูดเหมือนตะคอกไล่หลัง

หลังอาบเสร็จ แต่งตัวเรียบร้อยผมก็ออกใบนัดพร้อมรับเงินค่าเข้าทรงจำนวน 2,000 บาทตามปกติ ฝ่ายคนเป็นแม่ก็ดูแช่มชื่นขึ้น ผมย้ำวันนัดอีกครั้ง

ถึงวันนัดแกมาสายไปเกือบสองชั่วโมง ตอนนั้นใกล้สองทุ่มจะปิดทำการแล้ว ฝ่ายภรรยารีบยกมือไหว้ขอโทษยกใหญ่แล้วยัดเงินใส่มือผมห้าร้อยบาทบอกขอขึ้นไปหน่อยนะ ผมมองเงินในมือแล้วก็เปลี่ยนท่าทีให้สุภาพขึ้น พร้อมทั้งผายมือเชิญขึ้นชั้นบน

อาจารย์หญิงพูดอย่างสุภาพ "ไม่เป็นไรๆ " เมื่อผมอธิบายว่าเธอรีบมาแต่รถติดมาก มีการชนกันจนวุ่นวายโกลาหลเป็นเหตุให้มาสาย (ผมแต่งเรื่องเองแหละ) อาจารย์ทำพิธีทันที ไม่นานเจ้าแม่ก็เข้าทรง

"เอ็งมีอะไร วุ่นวายจัง" อาจารย์แม่บ่นเป็นเสียงคนแก่ แต่ทันใดอาจารย์แม่ก็ล้มแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว ทว่าหนนี้หน้าตาดูขึงขังพลางชี้นิ้วตวาด "แม่นี่ วุ่นวายจัง อย่าไปเชื่ออีแก่คนนี้"

เสียงที่ออกมาเป็นเสียงผู้หญิง! ทว่าเป็นผู้หญิงที่สาวมาก นิ้วที่ชี้นั้นก็ชี้ยังอกตัวเอง

"นี่ เจี๊ยบเอง อีแก่นี่มันหลอกเอาเงินแม่ แม่อย่าไปเชื่อมัน หนูไปสบายดีแล้ว พรุ่งนี้ตำรวจก็จะมาหาแม่เองที่บ้าน เขาเจอหนูแล้ว แม่ไม่ต้องห่วงหนู แค่ทำบุญให้หนูก็พอ ขอบคุณค่ะแม่" พูดจบก็ยกมือไหว้แม่ตนเองอย่างสุภาพเรียบร้อย ท่ามกลางความตกตะลึงของอาจารย์ชายและผม

เจ้าแม่ทุรคาก็ยกมือตีหัวตัวเอง ทุบไปตามตัวเองอย่างรุนแรง พลางพูดอย่างหยาบคายด้วยน้ำเสียงหญิงสาวคนเดิม "อีห่าราก อีสิบแปดมงกุฎ เลิกซะนะมึง ไม่งั้นมึงจะเจอดีมากกว่านี้" แล้วก็ล้มลงนอนแผ่หลาหมดสภาพไม่น่าดูเลย

คนเป็นแม่และพ่อมองหน้ากัน แล้วร้องไห้โฮ ก่อนที่จะเดินลงแล้วออกไป โดยที่อาจารย์ชายและผมต่างทำอะไรไม่ถูก อาจารย์หญิงเองลุกขึ้นนั่งมองทุกคนในห้องอย่างงุนงงไม่เข้าใจ

ผมเลิกทำงานกะสองผัวเมียคู่นี้ เลิกเชื่อเรื่องการเข้าทรง ปัจจุบันสองผัวเมียคู่นี้ย้ายบ้านไปแล้ว ไปเปิดสำนักหลอกลวงคนที่อื่นหรือเปล่าผมก็ไม่รู้



แอบรักผี

ผมเป็นคนเห็นผี เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และก็รู้ว่าควรจะอยู่อย่างไรให้ตัวเองไม่ต้องเดือดร้อนเพราะผี

จากประสบการณ์ ถ้าเราเห็นผีแล้วทำกระโตกกระตากให้ผีรู้ว่าเราเห็น เรื่องเดือดร้อนจะตามมานั่นคือ ผีบางตัวอาจจะโกรธแค้นใครสักคนมาอยู่แล้ว หาที่ลงไม่ได้ เพราะไม่มีใครเห็น เพราะฉะนั้นใครเห็นมัน มันก็เล่นคนนั้นเลย ผีบางตนมีความทุกข์ต้องการให้ช่วย บอกใครก็ไม่ได้ยิน พอรู้ว่าเราได้ยิน ก็เลยมาขอร้องเราให้ทำนั่นนี่ให้ แล้วพอผีตนอื่นรู้เรื่องก็เลยตามมาขอที่ผมกันเป็นขบวน พอผมเริ่มโตขึ้นมานิดผมเลยแก้ปัญหานี้ด้วยการแกล้งมึนแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น ผีพวกนี้ไปซะเลย ไม่ว่าจะมาในรูปแบบไหน บางตัวนี่ผมเกร็งจนมือเท้าเย็น ตัวสั่น เพราะน่ากลัวมาก การที่ผมเห็นผีบ่อยๆ ไม่ได้หมายความว่าไม่กลัวนะฮะ กลัวใช่ย่อยเสียที่ไหน

ผมทำอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เริ่มทำงานที่แรก และย้ายเข้ามาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ใกล้ที่ทำงานแล้วก็มาเจอผีที่ตายอยู่ในห้อง อีกตามเคยอย่างที่บอก ก่อนหน้านี้ผมฝึกตนจนแทบจะเรียกได้ว่าเซียนแล้วกับการแกล้งไม่เห็นผี แต่พอมาเจอผีตนนี้ ดันไม่เหมือนผีอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา เพราะเขามองผมไม่เห็น ไม่ว่าผมจะพยายามทำอย่างไรก็ตาม

ตั้งแต่คืนแรกที่ผมมานอนที่นี่ ผมสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะได้ยินเสียงสะอื้นของหญิงสาว ที่ฟังดูเศร้าสร้อยน่าสงสารอย่างยิ่ง ผมรู้ทันทีว่า ผีแน่ เพราะพักอยู่คนเดียวไม่มีใครอื่นเข้ามาได้ แต่ด้วยเสียงสะอื้นๆ หวานๆ เศร้าๆ ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะแอบมองเธอ ผมแกล้งพลิกตัวและหรี่ตามองไปตรงมุมห้อง ตำแหน่งที่มาของเสียง และก็พบว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเพราะเธอกำลังก้มหน้ากอดเข่าร้องไห้โดยไม่สนใจสิ่งอื่นอยู่แล้ว ผมแอบมองอยู่จนกระทั่งเธอเงยหน้าขึ้น ผีสาวตนนี้เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผมเป็นลอนสีน้ำตาลยาวถึงกลางหลังเธอใส่แว่นตากรอบเล็กๆ หน้าตาหมวยๆ จิ้มลิ้ม ผิวขาว ไม่ใช่ขาวซีดแบบผี แต่ขาวสวยเปล่งปลั่งอย่างคนสุขภาพดี น้อยผีนักที่ผมจะเห็นว่าคงสภาพที่ดีก่อนตายไว้ได้แบบนี้ บอกตรงๆ ว่าผมแอบใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ชอบเธอตั้งแต่คืนแรกที่เห็น คืนนั้นเธอเอาแต่ร้องไห้ทั้งคืน ก่อนที่จะค่อยๆ เดินไปที่ระเบียงตอนฟ้าใกล้สาง แล้วเอาผ้าพันคอมาผูกกับราวระเบียงด้านบนและแขวนคอตายไปตอนที่พระอาทิตย์ขึ้นพอดี

นี่เป็นผีตนแรก ตนแรกจริงๆ ที่ผมอยากให้เธอมองเห็น ผมอยากปลอบใจ อยากพูดคุยอะไรกับเธอได้บ้าง แต่ดูเหมือนเธอไม่รับรู้การมีอยู่ของผมบ้างเลย บางครั้งในช่วงกลางวัน ถ้าโชคดีผมจะเห็นเธอเดินไปเดินมาทำกิจวัตรประจำวันซ้ำไปมาอยู่ในห้อง น่าจะเป็นสิ่งที่เธอเคยทำตอนมีชีวิตอยู่ รีดผ้า อ่านหนังสือเรียน นอนโทรศัพท์บนเตียง บางครั้งผมแอบไปนอนใกล้ๆ เธอ มองปากของเธอขยับเหมือนกำลังคุยกับใคร แล้วผมก็คุยตอบ มโนเอาว่าเรากำลังคุยกันอยู่ ผมเห็นใบหน้าของเธอตอนที่หัวเราะตาหยีแก้มยุ้ย น่ารักเหลือเกิน ใครนะช่างทำร้ายเธอให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงขนาดคิดฆ่าตัวตายได้ ในตอนกลางคืนทุกคืน ผมเฝ้ามองเธอร้องไห้ บางทีก็ไปนั่งข้างๆ พยายามโอบไหล่ปลอบใจ เธอก็เช่นเคยที่เธอไม่รับรู้ และลุกขึ้นตอนใกล้รุ่งเพื่อตายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่มีที่สิ้นสุด

ผมรู้ว่าคนที่ฆ่าตัวตายเป็นกรรมหนัก ไม่รู้ว่าเธอต้องวนเวียนอยู่แบบนี้อีกนานเท่าไหร่ และทรมานมานานแค่ไหนแล้ว ผมเลยพยายามไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเธอ อย่างน้อยเพื่อให้เธอหมดกรรมเร็วขึ้น และยังพยายามหาวิธีที่จะติดต่อพูดกับเธอให้ได้แม้จะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ อะไรอีกแล้วก็ตาม จนกระทั่งผมได้ดูหนังเรื่องหนึ่งที่ตัวเอกมันสามารถสื่อกับวิญญาณได้ตอนที่ใกล้ตาย แล้วก็อยู่ในที่ที่ผีเคยตายพอดี ผมเลยเก็ตวิธีขึ้นมา

คืนนั้นผมนั่งอยู่กับเธอทั้งคืนเช่นเคย รอจนกระทั่งถึงเวลาที่เธอจะเดินไปฆ่าตัวตาย แล้วผมก็เอาเชือกคล้องราวแขวนคอตัวเองเช่นกัน แต่เท้ายังแตะพื้น ผมใช้วิธีงอเข่า เอาพอให้คออึดอัด ได้ผล เธอเริ่มหันมาทางผม สักพักเริ่มหายใจไม่ออกจริงๆ คราวนี้เธอลืมตาโพลง เธอคงเห็นจริงๆ แล้วล่ะ เธอลงมาจากเก้าอี้ และยื่นหน้ามามองผมใกล้ๆ ผมยิ้มให้เธอ และบอกเธอในใจว่าผมชอบเธอ อยากเป็นเพื่อนกับเธอ เธอยิ้มตอบ และว่า ขอบคุณค่ะ

แต่หลังจากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนตัวลอย หวือขึ้นเท้าลอยสูงจากพื้น และมองเห็นปลายเชือกอีกด้านมีเธอยืนดึงอยู่ ก่อนจะได้ยินเสียงสุดท้ายที่ทำเอาขนหัวลุกก่อนหมดสติไป "เห็นมาตลอดแหละแต่แกล้งไม่เห็นเอง ขอบคุณนะที่ชอบเรา แต่เราอยากออกไปจากที่นี่เสียที เลยต้องหาคนมาอยู่แทนไงล่ะ บ๊ายบายนะคะคนใจดี" เธอว่าพลางยิ้มแก้มป่องอย่างดีใจ




หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 15 มีนาคม 2560 17:39:41

(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQo891uYh3wHulpTTAeTYNdlrk21scKCJdS7u2495p7wPDIgSJd)
ห้องกระจก ในบ้านผีสิง

ทุกๆ ปี ที่โรงเรียนของวิทย์จะจัดงานประจำปีขึ้นในช่วงหลังปีใหม่ โดยรูปแบบของงานจะเปิดให้ร้านค้ามาเช่าพื้นที่ออกร้าน มีการแสดงของนักเรียน ทั้งดนตรีไทย ดนตรีสากล มีประกวดร้องเพลง และมีการจัดบูธสินค้านักเรียนหลายบูธ และยังมีขนม ของฝากของที่ระลึก สอยดาว ที่ขาดไม่ได้จนเป็นโลโก้ของทางโรงเรียนเลยก็คือบ้านผีสิง ที่ได้รับความนิยมจากทั้งนักเรียนและหนุ่มสาววัยรุ่นพากันมาลองใช้บริการจำนวนมาก ค่าบริการเพียงคนละห้าบาทเท่านั้น

เริ่มจากปีแรกที่ทำเป็นเพิงเล็กๆ ข้างในตกแต่งด้วยหน้า กากผี งูปลอม แมงมุมปลอม มีคนแต่งตัวเป็นผีคอยโดดออกมาหลอกให้คนดูตกใจ 1 ตัว ก็เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ กว้างใหญ่ขึ้น โดยมีนักเรียน ม.ปลาย ครูและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนมาช่วย มีการเพิ่มแสงสีเสียงที่ทำให้บรรยากาศในบ้านผีสิงดูน่าขนลุกเข้าไปอีก ปีนี้เฉพาะบ้านผีสิงอย่างเดียวกินพื้นที่กว้างราวครึ่งสนามฟุตบอล ได้รับการออกแบบให้เดินตามเส้นทางวกวนมีทั้งข้ามสะพานไม้มรณะที่มีศพลอยอยู่ข้างล่าง มีส่วนที่ต้องโหนเชือกข้ามแอ่งน้ำ มีส่วนที่ต้องเลือกเข้าประตูมิติลึกลับ ที่ถ้าเข้าผิดประตูจะกลายเป็นออกจากบ้านผีสิงไป ถ้าจะเข้าก็ต้องเสียเงินเข้ามาใหม่ หรืออีกประตูก็จะโดนซอมบี้โดดเข้ามากัด แต่ถ้าเลือกถูกก็จะปลอดภัยและได้เดินไปต่อ

ทางด้านของผีที่มีคนแต่งผีซ่อนตามจุดต่างๆ ก็มีหลากหลายขึ้นตามจำนวนพื้นที่ พวกผู้ชายอาสาแต่งซอมบี้คอยกระโดดใส่เด็กสาวๆ ที่กรี๊ดกร๊าดวนมาเล่นกันคนละหลายๆ รอบ

วิทย์เองรับหน้าที่เป็นฝ่ายศิลป์ ทำพร็อบประกอบฉากต่างๆ ตามแต่ครูจะสั่ง พวกมือปลอม หน้ากากผี แมงมุมปลอม เลือดปลอมต่างๆ อันที่จริงแล้ววิทย์เป็นคนกลัวผี เลยไม่ค่อยมีไอเดียแนวสยองขวัญอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่ และถ้าครูไม่สั่งก็ไม่ได้อยากมาทำด้วย แต่เนื่องจากคนที่ทำเอฟเฟ็กต์พวกนี้ได้สมจริงที่สุดมีอยู่แค่สองสามคนในโรงเรียน วิทย์เลยเลี่ยงไม่ได้

งานประจำปีโรงเรียนคืนสุดท้าย เวลาราวสี่ทุ่มวิทย์เดินดูงานเล่นเหมือนคนอื่นเพื่อรอเวลา เที่ยงคืนที่งานปิดจะได้ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ต่างๆ เขาเดินเล่นกินนั่นชิมนี่ตามร้านต่างๆ จนเริ่มอิ่ม แล้วมองไปทางบ้านผีสิง ที่ยิ่งดึกคนยิ่งครึกครื้น ได้ยินเสียงวี้ดว้าย เสียงร้องโหยหวนของเหล่าผีในนั้นดังมาเป็นระยะๆ

“มึงเข้าไปลองดูยังวะ บ้านผีสิงปีนี้เจ๋งนะเว่ย” โบกี้ เพื่อนที่เดินกินลูกชิ้นสวนทางมาทักถาม “มึงทำพร็อบให้เขาไม่ลองเข้าไปดูกิจการเขาหน่อยวะ”

วิทย์ส่ายหน้า ไม่กล้าบอกว่ากลัวผีเพราะกลัวจะโดนล้อ แต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาก็หูผึ่ง

“เนี่ย ครูธัญบอกว่ารอบห้าทุ่มนี้โปรโมชั่นคืนกำไรรอบพิเศษนะเว่ย ใครสุ่มเข้าประตูถูก เก็บแต้มครบทุกจุดแล้วออกมาได้ภายในเวลาสามนาทีได้รางวัลคนละร้อย เนี่ยสมัครกันแถวยาวไปโน่นแล้ว ครบห้าสิบ ปิดรับสมัคร สนป่ะ ไปกะกู”

เพราะอย่างนั้นเอง วิทย์จึงเดินไปสมัครเล่นด้วยเพราะอยากได้เงินร้อย พอถึงคิวเล่นเขาเดินตามหลังโบกี้เข้าไปติดๆ และก็เข้าใจทันทีว่าเงินร้อยไม่น่าจะได้ง่าย เพราะบรรดาผีที่อยู่ในบ้านนั้นพากันโดดออกมาดึงทึ้งคนเล่นเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้ออกไปทันเวลาสามนาที เล่นกันมาเกือบครบแล้วเพิ่งมีคนได้รางวัลแค่สองสามคนเท่านั้น

วิทย์เดินตามโบกี้มาถึงประตูสามประตู และให้โบกี้เลือกก่อน โบกี้เดินเข้าไปและร้องลั่น วิทย์เลยรู้ว่าน่าจะไปเจอประตูซอมบี้เข้า เขาเลยเลือกประตูอีกบานหนึ่ง

เพียงเปิดเข้าไปวิทย์ก็ขนลุกซู่ เหมือนตาบอดชั่วคราวจากแสงสีเขียวประหลาดที่จู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาปะทะ รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวทั้งที่เมื่อครู่ยังร้อนชื้นอยู่แท้ๆ เสียงที่ดังครึกโครมในบ้านผีสิงก็หายไปด้วยเงียบสนิทเหมือนกับหูดับ แวบแรกเขานึกว่าตัวเองเปิดบานผิดและหลุดออกมาข้างนอกแล้ว แต่เมื่อปรับสายตาดีๆ อีกที เขาถึงเห็นว่าอยู่ท่ามกลางห้องกระจกบานใหญ่หลายบาน สะท้อนเงาไปมาจนน่าเวียนหัว

วิทย์ประหลาดใจมากเพราะไม่เคยได้ยินเรื่องห้องกระจกในนี้มาก่อน เขามองไปรอบๆ อย่างหวาดๆ เงาของตัวเองที่สะท้อนไปมาอยู่ในแสงสีเขียวแสดงร่างเงาบิดเบี้ยวเพี้ยนไปมา บางบานก็สูงใหญ่ บางบานเล็กจิ๋ว บางบานใบหน้าบิดเบี้ยวปูดโปนและแปรเปลี่ยนตามการเคลื่อนไหว วิทย์อดชื่นชมคนคิดไม่ได้ ห้องนี้ไม่ต้องใช้พร็อบน่ากลัว ไม่มีเลือดหรือพวกหน้ากากผี มือปลอม แต่ก็ทำเอาขนหัวลุกได้เหมือนกัน

เด็กหนุ่มเดินต่อไปอย่างเร็วๆ ส่วนของห้องกระจกกว้างและไกล มีเหลี่ยมมุมประหลาด วิทย์พยายามจะเดินให้พ้นไปให้เร็วที่สุดแต่ก็ไม่พ้นเสียที จากเดินกลายเป็นวิ่ง จนในที่สุดก็สะดุดอะไรบางอย่างล้มลง หัวคนขนาดเท่าของจริงกลิ้งหลุนๆ อยู่ใกล้ๆ หัวนั้นกลิ้งมาใกล้หน้าของวิทย์ดวงตาถลึงถลนจ้องหน้าจนวิทย์ร้องออกมาด้วยความกลัวและฟุบหน้าลงกับพื้น

วิทย์เงยหน้าขึ้นอีกที คราวนี้ประหลาดใจกว่าเดิม เพราะเขานอนอยู่บนพื้นหญ้า บริเวณบ้านผีสิงกำลังถูกจัดเก็บเกือบจะหมดเกลี้ยงรวมทั้งร้านอื่นๆ โบกี้ถามว่าเขาหายหัวไปไหนมา นี่เขาเก็บกันเกือบเสร็จแล้ว วิทย์ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง

“มึงเมายาอะไรมาป่ะกูถามจริง” โบกี้ว่า “บ้านผีสิงโรงเรียนเราไม่มีห้องกระจกสักหน่อย”

วิทย์มองไปรอบๆ พื้นที่ที่ค่อนข้างโล่งมากแล้ว ความรู้สึกเย็นสันหลังวาบยังไม่หายไปไหน เมื่อโบกี้ว่าต่อ “แล้วก็ไม่มีใครทำหัวปลอมด้วยล่ะกูแน่ใจ”


ของขวัญจากเพื่อนเก่า

ใกล้ช่วงคริสต์มาส-ปีใหม่ทีไร ใครก็ต่างรู้สึกได้ถึงบรรยากาศของความสุขสดชื่นและอบอุ่น เป็นเทศกาลแห่งความรัก ความปรารถนาดีและการได้ทำเรื่องดีๆ ร่วมกับคนที่เรารัก นึกถึงโต๊ะอาหารที่ครอบครัวพร้อมหน้า นึกถึงของขวัญในกล่องผูกโบ นึกถึงอากาศเย็นสบายและไฟ ประดับสวยๆ ผมก็เหมือนกัน

แต่นอกจากสิ่งดีงามเหล่านั้นแล้ว ผมยังนึกถึงอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจลบเลือนไปจากใจ แม้เป็นสิ่งที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินกว่าจะเก็บจำ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อราวยี่สิบปีก่อน

ตอนนั้นเป็นช่วงปี 40-41 เป็นช่วงฟองสบู่แตก ผมอยู่ ม.3 พ่อกับแม่ตอนนั้นทำธุรกิจค้าส่งเซรามิกได้รับผลกระทบเต็มๆ ลูกค้า ยกเลิกออร์เดอร์เยอะมาก ของแทบขายไม่ได้ เพื่อนผมชื่อไอ้กล้วยตอนนั้นสนิทกันมาก เลิกเรียนไปเตะบอลด้วยกันตลอด ไอ้กล้วยเป็นคนซื่อๆ ง่ายๆ เข้าได้ทุกวงไม่เคยขัดแย้งกับใคร บ้านไอ้กล้วยขายเซรามิก ก็ เซรามิกที่รับมาจากบ้านผมนี่แหละครับ ตอนเศรษฐกิจดีๆ พ่อแม่ของเรามีความสัมพันธ์ดีเยี่ยม มีการหิ้วของฝากแก่กันอยู่บ่อยๆ ครั้นพอเศรษฐกิจแย่ลง พ่อแม่กล้วยจะขอเปลี่ยนของคืนของ จะขอรับสินค้ามาลองวางขายแบบเชื่อดูก่อน พ่อแม่ผมก็เริ่มไม่ค่อยพอใจ ตอนหลังๆ พอไม่ได้สั่งของเพิ่มพักใหญ่ ก็เลยขาดการติดต่อกันไปโดยปริยาย แต่เด็กกับผู้ใหญ่ไม่เหมือนกัน เพราะผมเป็นเพื่อนกับไอ้กล้วยโดยไม่มีเงื่อนไขธุรกิจ เราสองคนจึงยังคบค้าสมาคมกันได้ตามปกติ

ผมยังจำได้ปีนั้นทางโรงเรียนประกาศจัดงานปีใหม่แบบประหยัด ให้แต่ละห้องตกลงจัดหาอาหารการกินและเรื่องจับสลากของขวัญปีใหม่กันเอง ห้องผมก็ตกลงกันว่าให้แต่ละคนต่างนำอาหารมากันคนละอย่าง และของจับสลากต้องมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 บาท ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มสังเกตได้ว่าไอ้กล้วยดูไม่ค่อยสบายใจ พอถามมันก็ว่า "อย่าว่าแต่เงินจะเอามาซื้อของจับสลาก ของกินที่จะมาร่วมก็คงไม่มี มึงรู้ไหม ถ้าเทอมนี้ กูได้มาเรียนครบเทอมก็นับว่าบุญหัวแล้วล่ะ บ้านกูกำลังจะล้มละลายแล้ว"

"แล้ว ม.4 ล่ะ มึงจะไม่ต่อที่นี่เหรอ" ผมถาม

ไอ้กล้วยมองหน้าผมแล้วถอนหายใจยาว "กูไม่ได้เรียนต่อแน่ๆ แล้ว แต่มึงรู้ไหม กูจะจับของขวัญ กูอยากได้ของขวัญ มึงอาจจะมองว่ากูปัญญาอ่อนทำตัวเป็นเด็ก แต่กูรู้สึกว่าของขวัญในกล่องผูกโบมันเป็นความสุขของชีวิตกู วันเกิดกูปีนี้เป็นปีแรกที่กูไม่ได้กล่องของขวัญจากพ่อกับแม่ เพราะงั้นปีใหม่นี้กูต้องหาของมาร่วมจับสลากด้วยให้ได้"

เหตุการณ์ต่อมาคือไอ้กล้วยโดนตำรวจจับที่ห้างประจำจังหวัด เพราะขโมยตุ๊กตาหมา พ่อแม่กล้วยพยายามขอร้องไม่ให้เขาเอาเรื่อง แต่ทางห้างไม่ยอมฟัง วันที่ไอ้กล้วยถูกฝากขังที่โรงพัก ผมไปถึงก่อนพ่อแม่มันเสียอีก ผมใจสั่นเมื่อมองเห็นเพื่อนผ่านซี่ลูกกรง ไอ้กล้วยร้องไห้น้ำตาซึมตลอดเวลา มันบอกไม่นึกว่าเรื่องจะบานปลายขนาดนี้ ก็แค่อยากได้ของขวัญมาจับสลากกับเพื่อน ผมพยักหน้าเข้าใจและสัญญาว่า ถ้าเรื่องนี้ผ่านไปด้วยดีเมื่อไหร่ จะห่อของขวัญผูกโบสวยๆ มาให้มันเพื่อเป็นกำลังใจ ไอ้กล้วยพยักหน้าน้ำตาไหลออกมาอีก

แต่เรื่องไม่ได้จบลงด้วยดี กล้วยถูกพักการเรียน ไม่มีสิทธิ์สอบ ถูกส่งไปสถานเด็กชายอะไรสักอย่างที่เอาไว้ขังไอ้พวกขี้ยาและชอบตีรัน ฟันแทง ส่วนผมถูกห้ามติดต่อหรือข้องเกี่ยวกับกล้วยอีก ผมเข้ามาเรียน ม.ปลายต่อที่กทม. สอบติดมหา?ลัยชื่อดัง เรียนจบกระทั่งทำงานโดยไม่เคยลืมเรื่องของ ไอ้กล้วย เหมือนเป็นแผลเล็กๆ ในใจที่สะกิดอยู่เสมอเมื่อใกล้สิ้นปี แต่กลับไม่เคยขวน ขวายที่จะตามหาเพื่อน

กระทั่งปีนี้ ผมได้กลับมาที่บ้านเกิดเพราะกำลังจะแต่งงานและจะกลับมาจัดงานที่นี่ ผมนึกถึงมันเป็นคนแรกและตั้งใจจะลบรอยแผลในใจด้วยการจัดหาของขวัญเป็นเสื้อโค้ต สุดเท่ ห่อใส่กล่องสวยงาม ผูกโบอันใหญ่สีฟ้า ขับรถไปที่บ้านมันในค่ำวันหนึ่ง

ผมน้ำตาซึมตอนเห็นมันเดินมาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มันชวนผมเข้าบ้านและยิ้มจนหน้าบานขณะรับของขวัญจากผม "กูนึกว่าชีวิตนี้จะไม่มีวันได้ของขวัญใส่กล่องผูกโบจากใครอีกแล้ว ไม่เสียแรงที่กูรอมึง" ก่อนกลับกล้วยยังว่า ได้เตรียมของขวัญไว้ให้ผมเช่นกัน แต่ผมต้องมาเอาพรุ่งนี้เช้าเท่านั้น ผมงุนงงแต่ก็รับปาก

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมขับกลับมาพบเพียงบ้านร้างว่างเปล่า สภาพทรุดโทรม เพื่อนบ้านออกมาดูและจำผมได้จึงเล่าว่า ครอบครัวกล้วยย้ายหนีเจ้าหนี้ไปนานแล้ว ไอ้กล้วยออกจากคุกเด็กก็กลับมาอยู่บ้านได้ไม่นาน ก่อนไปข้องเกี่ยวกับแก๊งยาเสพติดจนกระทั่งโดนฆ่าตัดตอนเมื่อปี 2546

ผมใจหายวาบ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เจ้าของบ้านก็บอกให้รอเดี๋ยวก่อนหายเข้าไปในบ้านแล้วยื่นถุงใส่กล่องของขวัญผูกโบสวยงามแต่ดูเก่าคร่ำมาให้ผม

"กล้วยมันเอามาฝากไว้ก่อนที่มันจะหนีไปโดนฆ่า มันบอกว่าเอ็งจะต้องกลับมาแน่ๆ เพราะสัญญากันไว้ เออ มันพูดถูก เอ็งกลับมาหามันจริงๆ ด้วย"

ผมยกมือไหว้แล้วรับของเดินกลับมาในรถ นั่งมองห่อของขวัญของไอ้กล้วยด้วยดวงตาพร่าพรายเพราะหยาดน้ำตาก่อนจะขับรถจากมา



ผีคนจร

ใครก็ต่างเห็นเขาอยู่ใต้สะพานข้ามแยกมาหลายปีแล้ว แม่ค้าบางคนบอก 5 ปี พ่อค้าบางคนบอกเกิน 10 ปี พนักงานเซเว่นฯ สาขาเก่าแก่ของละแวกนี้บอกหนูก็เห็นมันอยู่ทุกวัน ตำรวจป้อมยามฯ ใกล้กันยักไหล่แล้วบอกว่า ไม่รู้ ตั้งแต่ย้าย มาประจำตู้ยามฯ นี้เมื่อ 6-7 ปีก่อนก็เห็น “ไอ้บ้า” นี่อยู่แล้ว

จะเป็น “ไอ้บ้า” “คนจร” หรือใครก็ตาม โดยเฉพาะกับพนักงานเซเว่นฯ เขาก็คือลูกค้าคนหนึ่ง ที่มักจะเข้ามาซื้อน้ำดื่มเป็นประจำ แต่มีพนักงาน เซเว่นฯ คนหนึ่งมักพูดจาไม่ดี

“เร็วๆ เอาอะไรเลือกเลย แล้วรีบออกจากร้าน” เสียงแข็งๆ ของพนักงานที่ชื่อนิด ทำเอาลูกค้าคนอื่นหันไปมอง เธอจึงแก้เกี้ยวด้วยการพูดต่อ “อย่างนี้แหละค่ะ ต้องขอโทษด้วยที่เขามา รบกวน จะไม่ให้ซื้อก็สงสาร”

ครั้งหนึ่งมีคนตอบไปว่า “สงสารก็ให้เขาฟรีสิ” พนักงานชื่อนิดแอบค้อน ลูกค้าพูดต่อ “เขามาซื้อไม่ใช่หรือ ถ้างั้นเขาก็เป็นลูกค้าคนหนึ่งเหมือนกัน”

หลังลูกค้าและคนจรออกจากร้าน เพื่อนจึงแซว “เห็นมะ เจอดีแล้วแก ชั้นบอกกี่ทีแล้ว จะไปรังเกียจรังงอนมันทำไม”

นิดหน้าเบ้ ทำเป็นไม่สน “สกปรก น่ารังเกียจ” พูดแล้วก็หันไปทำงานจัดของต่อ

ดูเหมือนคนจรไม่ยี่หระที่ใครจะปฏิบัติต่อเขาเช่นไร แม่ค้าพ่อค้าก็มักจะแสดงท่ารังเกียจตัวเขา ทว่าไม่เคยรังเกียจเงินของเขา เขาอยู่บริเวณใต้สะพาน กินนอนและขับถ่ายตรงที่รกร้างว่างเปล่าฝั่งตรงข้ามที่เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้ เขาได้เงินจากการเก็บขยะขาย บางทีคนเดินผ่านสงสารก็หยิบยื่นเงินให้ ครั้งหนึ่งมีคนเห็นชายคนหนึ่งมอบจักรยานให้ แล้วเรื่องที่ชาวบ้านหลายคนเห็นว่าแสนฉลาดก็คือ เขานำไปขายแลกเงินมาใช้แทน ที่ทุกคนรู้ เพราะพ่อค้าร้านจักรยานใกล้กันนั่นเองที่รับซื้อไป

“มันฉลาดนะ ผมให้สองร้อย มันหัวเราะแล้วบอกว่าเจ็ดร้อย พอผมบอกว่าเต็มที่ห้าร้อย มันขอหกร้อย ผมเลยต้องยอมซื้อมัน” ใครดูด้วยสายตาก็รู้แล้วว่าเป็นจักรยานราคาแพง จะนำไปขายต่อทั้งคันหรือแยกชิ้นส่วนก็ได้ราคาหลายพันบาทแน่นอน

วันนั้นเป็นยามบ่ายที่อากาศอบอ้าว ฝนตกลงมาเพียงไม่กี่หยดกลับยิ่งทวีความอบอ้าวให้กระจายตัวมากขึ้น ชายคนจรลุกจากที่นอนใต้สะพานพลางบิดขี้เกียจก่อนจะล้วงไปในกระเป๋าใบที่ใช้หนุนนอนต่างหมอนล้วงเอาเงินออกมาจำนวนหนึ่งแล้วเดินข้ามถนนมายังร้านเซเว่นฯ ตามปกติ เช่นเดียวกันพนักงานชื่อนิดก็ยังคงทำท่ารังเกียจ เมื่อเขาได้น้ำดื่มแล้วก็ออกจากร้าน หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจคนในร้านก็ได้ยินเสียงรถเบรกและชนเข้ากับของบางอย่าง

พนักงานวิ่งไปดู แม่ค้า คนเดินทางมุงดูกันเต็ม ปรากฏว่าคนจรมีเลือดท่วมตัว อีกไม่นานเขาก็เสียชีวิต ตำรวจออกจากป้อม ไม่นานรถมูลนิธิก็มา

“จบเสียที” นิดพูดขณะประตูอัตโนมัติของร้านเปิดออก เธอมองหน้าพูดกับเพื่อนที่เพียงพยักหน้าเออออไปตามเรื่อง

เช้าวันรุ่งขึ้นและอีกหลายวันต่อมา นิดสารภาพกับเพื่อนว่า “เหมือนชั้นจะรอมันมาซื้อน้ำนะ”

“มัน?”

“ก็ไอ้คนจรจัดไอ้บ้านั่นน่ะ”

“อ๋อ เหรอ คิดถึงมันมากล่ะสิ ไม่มีคนให้ด่า”

นิดเบะปาก เพื่อนพูดต่อ “ระวัง คิดถึงมันมากเดี๋ยวมันจะมาหา”

แล้วหลังจากนั้นเพื่อนหลายคนก็กระเซ้าเย้าแหย่และแกล้งนิดเสมอ ด้วยการ

“เฮ้ ใครเดินมาแล้วนะ”

“นั่นไง มาซื้อน้ำแล้ว หันไปดูสิ”

“มีคนคิดถึงแกนะ นิด”

หลายครั้งเข้า นิดเริ่มสะดุ้งและหันไปมองตามที่ประตู หลายครั้งก็เหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง นานเข้ากลายเป็นสะดุ้งตกใจกลัว เหมือนคนจรจะมาหาจริงๆ

เลิกงานคืนหนึ่ง นิดก้าวออกจากร้านเพื่อนก็แกล้งโดยการชี้ไปที่ใต้สะพานลอย “มันรอแกอยู่ฝั่งนั้นน่ะ” แล้วเพื่อนก็หัวเราะ นิดด่าว่าบ้าคำเดียว แต่เธอก็อดมองและเก็บไปคิดไม่ได้ เธอรู้สึกเหมือนคนจรจะเดินตามเธอขึ้นรถเมล์กลับห้อง เหมือนมันจะเดินขึ้นบันไดไปด้วย เหมือนมันจะนั่งอยู่กับเธอในห้อง ในห้องน้ำ บนที่นอนและในความฝัน นิดสะดุ้งตื่นกลางดึกอย่างเหงื่อโทรมกาย เธอมองไปรอบตัวอย่างตระหนก ในความ มืดมิดนั้นเหมือนเธอจะเห็นคนจรนั่งอยู่มุมห้องอย่างยิ้มแย้มและสาแก่ใจ เหมือนนิดได้ยินคนพูดด้วยว่า “คิดถึงชั้น ใช่มั้ยล่ะ” นิดยกมือปิดหู กรีดร้องอย่างตื่นตระหนก

ตลอดเวลาต่อมานิดทำงานผิดพลาดและเหมือนคนใจลอย เธอทอนเงินผิด เธอสแกนสินค้าซ้ำชิ้น เธอเดินสะดุดหกล้ม ที่สุดผู้จัดการก็ให้เธอลาหยุด

ที่ห้องเธอเหมือนคนไม่มีสติอยู่กับตัว เธอมองเห็นคนจรทั่วห้อง เมื่อเดินออกจากห้องเพื่อหนี เธอก็ยังมองเห็นคนจรติดตามเธอไปในทุกที่

สามวันนิดยังไม่ไปทำงาน เพื่อนคนหนึ่งเอะใจตามไปหาที่ห้องก็พบนิดนอนหมดสติในห้อง เพื่อนเห็นท่าไม่ดี รีบพาไปโรงพยาบาล นิดละเมอตลอดเวลา “มันบอกจะพาชั้นไปอยู่ด้วย”

เพื่อนสะดุ้ง เพื่อนทำท่าตื่นกลัวพลางอดเหลียวมองไปรอบตัวไม่ได้เช่นกัน



เอาไก่ย่างมาฝาก

แท็กซี่คันนั้นเป็นแท็กซี่เขียวเหลือง เจ้าของ ชื่อซ้ง ใช้เงินออมก้อนหนึ่งจากการทำงานบริษัท เกือบยี่สิบปีดาวน์รถแท็กซี่ เมื่อเขาอายุได้ 36 ปี เป็นปีที่ภรรยาเขาคลอดบุตรคนแรก เป็นลูกสาวหน้าตาน่ารัก ซ้งเป็นชายหนุ่มนิสัยดี เอางานเอาการ เขาขอให้ภรรยาลาออกจากงานมาเลี้ยงดูลูกที่บ้าน ด้วยเงินเก็บที่มีกว่าสามแสน บวกกับภรรยาซึ่งมีฝีมือทำเต้าหู้ขายมาก่อน ซ้งบอกว่าน่าจะไม่ลำบาก ซ้งออกไปขับรถตั้งแต่บ่ายถึงตีสองตีสามค่อยกลับมานอนหลับพักผ่อน ตื่นก่อนเที่ยงช่วยเมียเตรียมน้ำเต้าหู้ พอได้บ่ายโมงกว่าๆ ก็ออกจากบ้านไปขับรถหากิน บ่ายวันนั้นก็เช่นกัน เป็นบ่ายวันสิ้นปี 31 ธันวาคมพอดี แต่ซ้งไม่ได้กลับบ้าน

“ซื้อไก่ย่างมาฝากด้วยนะเฮีย” ภรรยาบอก

“อยากกินหรือ” เขาถาม

“จ้ะ ซื้อมาทั้งตัวเลย”

ซ้งรู้ดีว่าหมายถึงอะไร ปกติถ้าอยากกินกันเขาก็มักซื้อเพียงครึ่งตัว ไก่ย่างอบน้ำผึ้งตัวละเกือบสามร้อยบาท นับว่าเป็นอาหารที่แพงไม่ใช่เล่นสำหรับครอบครัวเขา แต่วันนี้วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ไม่มีคำว่าสิ้นเปลือง

“ได้ๆ ฉลองปีใหม่ซะหน่อย” ซ้งตอบ

“เห็นอะไรน่ากินหรือเฮียอยากกินก็ซื้อมาเลยนะ หนูจะรอ เฮียอย่ากลับดึกล่ะ”

“ได้เลย ก่อนเที่ยงคืนทันฉลองแน่นอน” ซ้งยิ้มอย่างอารมณ์ดี

บ่ายจนถึงเย็นซ้งได้ผู้โดยสารมากทีเดียว เขาแวะจอดหน้าห้างสรรพสินค้า โดยเสียเงินให้คนเก็บเงินค่าจอดหน้าห้างซึ่งคือใครเขาก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อมาเก็บเพื่อให้เขาจอดรับผู้โดยสารได้เพียงเที่ยวละ 10 บาทเขาก็ยินยอม ผู้โดยสารที่มาซื้อของในห้างนั้นมักอยู่ไม่ไกลจากห้าง การวิ่งเที่ยวสั้นๆ ส่งแล้วขับกลับมารอรับใหม่ ทำให้วันนั้นซ้งรับผู้โดยสารได้สิบกว่าราย แค่หกโมงเย็นก็ได้เงินพันต้นๆ แล้ว หักค่าแก๊สแล้วก็คุ้มมาก ซ้งวางแผนไว้ว่าจะขับมาซื้อไก่ย่างร้านดังข้างห้างเขายังเล็งเสื้อตัวใหม่ให้ภรรยาด้วย

สามทุ่มเขาได้เป้าตามที่ตั้งใจไว้ นับว่าวันนี้โชคดีรับปีใหม่ เขาวนรถมาซื้อไก่ย่างอบน้ำผึ้ง ก่อนจะเดินกลับมาซื้อชุดเดรสสีเขียวอ่อนที่แผงริมถนน ให้ภรรยา

เมื่อกลับมาที่รถ มีชายคนหนึ่งโบกเรียก เขานึกขึ้นได้ว่าลืมปิดไฟ รู้สึกผิด จึงทดแทนด้วยการหยุดรถจอดผู้โดยสารเป็นชาย ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เปิดประตูแล้วบอกจุดหมายซึ่งไกลจากห้างไม่น้อย เขามองหน้าผู้โดยสาร ลังเล แต่เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร นึกถึงหัวอกสมัยตัวเองเป็นผู้โดยสารและถูกปฏิเสธ อีกทั้งเขาก็ผิดเองที่ไม่ปิดไฟหน้ารถ จึงตอบตกลง

“พี่ช่วยบอกทางผมหน่อยนะ แถวนั้นผมไม่ ค่อยคุ้น” ซ้งบอกผู้โดยสารที่เข้ามานั่งเรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารพยักหน้ารับคำ

รถติดมาตลอดและตลอดทางเช่นกันที่ผู้โดย สารเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดจา เมื่อรถถึงซอยเป้าหมาย ผู้โดยสารไม่ยอมลงกลับบอกให้เลี้ยวเข้าไป ซ้งไม่เคยมาแถวนี้ ยิ่งวิ่งก็ยิ่งลึกและเปลี่ยว เขามอง กระจกหลัง ไม่มีทีท่าว่าจะถึงเป้าหมาย ซ้งเริ่มใจไม่ดี จึงบอกว่า “ถึงหรือยังครับ”

“อีกนิด เดี๋ยวผมโทร.ถามทางเพื่อน” ผู้โดยสาร บอก

ซ้งจึงหยุดรถทันที “ถามให้แน่ดีไหมครับ วนรถแบบนี้เสียเวลา”

“ผมก็จ่ายค่าโดยสารนี่นา ขับไป” เขาเสียงแข็ง

ซ้งมองกระจกหลัง รู้สึกไม่ดีแล้ว สองข้างทางเปลี่ยวและมืดมาก ตัดสินใจจะหักเลี้ยว

“เลี้ยวทำไม” หมอนั่นตวาด

“แถวนี้ไม่มีบ้านคนแน่ๆ เลย ผมว่าเราคงหลงทาง” ซ้งตอบ

วินาทีนั้นเองหมอนั่นก็พุ่งถึงตัวแล้วมีดที่มาจากไหนก็ไม่รู้จ่อคอหอยซ้งอย่างรวดเร็ว ซ้งสะบัดตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน แต่เสี้ยวเวลานั้นเองก็รู้สึกเจ็บแปลบที่คอ ก่อนที่จะเปิดประตูรถแล้วพุ่งตัวออกไปล้มลงอยู่นอกรถ หมอนั่นตามมายืนข้างๆ แล้วเตะเข้าที่ศีรษะซ้งอย่างแรง ก่อนก้มลงใช้มีดแทงเข้าอกซ้ง มันเจ็บแปลบและกลายเป็นจุกแน่นในเวลาต่อมา หมอนั่นค้นไปตามตัวซ้ง ได้เงินทั้งหมดที่เขาหามาได้ตลอดวัน แล้วมันก็วิ่งไป

ซ้งตาพร่าเลือน รู้สึกมีของข้นเหนียวไหลเข้าตา พยายามกระเสือกกระสนพาตัวเองไปที่รถแล้วขับออกจากสถานที่นั้นอย่างเร็ว ต้องเอาไก่เอาเสื้อผ้าไปฝากเมียฝากแม่ เขานึกแต่อย่างนี้

เมื่อรถถึงบ้าน ซ้งไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกแล้ว เขาแปลกใจมาก ตลอดทางที่กลับรถก็ไม่ติด ถนนโล่ง เหมือนมีรถเขาแค่คันเดียว ซ้งจอดรถหน้าบ้านทันที เห็นภรรยายืนอย่างกระสับกระส่าย ซ้งคว้าไก่ย่างและเสื้อผ้ารีบไปหาภรรยา

ไก่ย่างมาแล้วจ้า มีเสื้อมาฝากด้วย เขาบอกภรรยาแต่เหมือนเธอไม่ได้ยิน ซ้งพยายามเรียก พยายามพูดกับภรรยา แต่ทำไมเธอมองไม่เห็นเขาก็ไม่รู้

แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ภรรยารับก่อนที่จะทรุดฮวบลงกับพื้นร้องไห้โฮ

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงเมื่อสิบปีก่อน ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ซ้งเป็นเพื่อนบ้านของผมเขาขับรถแท็กซี่วิ่งหาผู้โดยสารแล้วคืนนั้นก็ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย ภรรยารอจนตีสามเพื่อรอรับประทานอาหารมื้อที่ไม่มีวันได้กินร่วมกัน จนกระทั่งตำรวจโทร.มาแจ้งข่าวว่าซ้งถูกชิงทรัพย์และถูกแทงตายใกล้รถของตัวเอง

ตลอดหลายคืนนั้นจนผ่านไปนับเดือน ภรรยาก็ยังได้กลิ่นไก่ย่าง และเสียงรถแท็กซี่จอดหน้าบ้านเสมอๆ



เพื่อนข้างเตียง

นกแฟนผมต้องมานอนร.พ.จนได้หลังจากดันทุรังพยายามรักษาตัวเองอยู่ที่บ้านมาหลายวัน คืองี้ครับเริ่มแรกเลย นกมีอาการฉี่ไม่ ค่อยออก แล้วพอฉี่เสร็จเหมือนปวดท้องน้อย แปล๊บๆ แล้วยังเริ่มมีฉี่ปนเลือดออกมา แล้วปวด บิดท้องแทบทนไม่ได้ตอนฉี่เสร็จ มิหนำซ้ำ มีอาการไข้สูงหน้าซีด หนาวสั่น ปวดบั้นเอวและ หลัง ผมเห็นอาการไม่ดีเลยรีบพามาโรงพยาบาล หมอจับตรวจนั่นตรวจนี่อยู่พักหนึ่งก็บอกว่านกต้องนอนแอดมิต เพราะน่าจะมีอาการติดเชื้อรุนแรง จนกรวยไตอักเสบ ต้องให้ยาผ่านสายน้ำเกลือ อย่างน้อยเจ็ดวัน

แต่เนื่องจากมาด้วยอาการฉุกเฉินกลางดึก และเป็น ร.พ.รัฐ อย่าว่าแต่เตียงห้องเดี่ยวพิเศษ แค่เตียงห้องรวมยังต้องรออีกพักใหญ่กว่าจะหาได้

ร.พ.มีเวลาเยี่ยมเหมือน ร.พ.รัฐทั่วไป แต่ญาติบางเตียงที่ไม่สะดวกก็ขอตัวกลับบ้านก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่ นกเองก็บอกผมอย่างนั้นเหมือนกัน ที่นั่งที่นอนก็ไม่มีไม่สะดวก พรุ่งนี้เช้าก็ต้องรีบไปทำงานไว้เสร็จงานค่อยแวะมาก็ได้ เดี๋ยวไลน์คุยเรื่อยๆ รายงานอาการให้ฟัง ผมได้ยินแบบนั้นก็เบาใจและกลับบ้านมานอนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนไปตอนตีหนึ่ง

แต่แล้วก็มาสะดุ้งตื่นตอนตีสอง เพราะเสียงเตือนจากโปรแกรมไลน์เด้งขึ้นมา ตอนนั้นผมถอดเลนส์แล้วเลยมองไม่ค่อยเห็น แต่เหมือนนกไลน์มาบอกว่าเตียงข้างๆ มีเสียงแปลกๆ แต่อ่านๆ ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรน่าห่วง ผมเลยเคลิ้มหลับไปจนถึงเช้า

เช้ามาก่อนออกไปทำงานผมโทร.หานก แล้วไปทำงานตามปกติคอยอ่านไลน์ของแฟนเรื่อยๆ เห็นว่าอาการยังไม่ดีนัก แต่หมอให้ยาฆ่าเชื้ออย่างแรงทั้งยากินยาฉีด อาการไข้หนาวสั่นยังมีเป็นระยะเมื่อหมดฤทธิ์ยา แต่พอไข้ลดลงก็ ง่วง ช่วงบ่ายทั้งช่วงผมเลยให้เวลาเธอพักผ่อนยาวๆ บอกนกไม่ต้องเครียด กินน้ำเยอะหลับเยอะๆ จะได้หายไวๆ แต่ไม่วายก่อนที่นกจะนอนบ่ายไปนั้น เธอก็ยังพยายามจะไลน์มาเล่าให้ผมฟังอีกว่า เตียงข้างๆ เมื่อคืนเสียงแปลกๆ แต่ยังเล่าไม่ทันจบก็คงหลับไปเสียก่อนเพราะขาดตอน ไปเลย

ตกเย็นพอเลิกงานผมรีบซื้อผลไม้ นม ขนม อาหารเยี่ยมไปฝากนก แล้วรีบบึ่งไปถึงตอนราวทุ่มนึง ตอนนั้นนกนั่งรออยู่บนเตียงพอดี ท่าทางอ่อนเพลีย บ่นปวดท้องไม่หาย ยังมีฉี่ปน เลือด เห็นบอกว่าหมอเอาไปตรวจหาพวกนิ่วในกระเพาะปัสสาวะหรือกรวยไตแต่ไม่เจอ

ผมพยักหน้าพลางจะแกะอาหาร นกมองซ้ายขวาล่อกแล่กและเน้นไปที่เตียงด้านซ้ายที่กำลังตะแคงหันหลังให้เรานิ่งอยู่ แล้วดึงตัวผมเข้า ไปใกล้ๆ

“เตียงนี้มีอะไรแปลกๆ อ่ะ เมื่อคืนได้ยินตอนละเมอกับตอนกรนเป็นเสียงเหมือนเสียงผู้ชาย พูดสลับกับผู้หญิง แบบว่า หยั่งกะมีสองร่างในคนเดียวเลย”

“ได้ยินดังมากไหม” ผมถาม เผื่อว่าไอ้อาการไข้สูงหนาวสั่นของนกมันอาจจะทำประสาทสัมผัสนกเพี้ยนและได้ยินอะไรแปลกๆ ผิดปกติแบบนี้เอาได้เหมือนกัน

“มันชัดมาก พอดีหันหน้ามาทางนี้อีก เห็น เค้านอนลืมตาทำหน้าตาน่ากลัวมากพูดเหมือน คนเถียงกันลูกมึงลูกกูอะไรสักอย่างแล้วก็ หลับไป”

นกเล่าจากข้อมูลแอบฟังมาว่าผู้หญิงคนนี้มาด้วยอาการปวดท้องมาก เหมือนจะท้องได้สามเดือนแต่อยู่ดีๆ ก็ปวดท้อง หมอบอกยังหาสาเหตุไม่ได้เลยให้นอนรอดูอาการไปก่อน วันๆ ไม่คุยกับใครเอาแต่นอนร้องไห้

แล้วนกก็ขอตัวไปอาบน้ำในห้องน้ำ ผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งมาช่วยเข็นเสาน้ำเกลือพาไป ส่วนผมนั่งรอง่วงๆ เลยเอามือเท้าคางแล้วแอบงีบไปนิดหนึ่ง มารู้ตัวตอนที่เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนชะโงกหน้าอยู่เหนือเตียงข้างๆที่นกเล่านั่นแหละ ทีแรกผมก็เข้าใจว่าเป็นญาติมาเยี่ยม แต่ท่าทางแปลกมาก หน้าตาดูตาโปนแทบถลนออกมานอกเบ้า ผิวคล้ำ ตัวโต ใส่เสื้อสีขาวมีสีแดงที่กลางอกกางเกงบอลดำ ยืนนิ่ง แถมมีกลิ่นเหม็นสาบคลุ้ง แวบหนึ่งรู้สึกเหมือนว่าคนที่ยืนอยู่ไม่ใช่มนุษย์ปกติ

เสียงเข็นเสานกกลับมาผมเหมือนสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ผู้ชายคนนั้นหายไปแล้ว ผมขนลุกนิดหน่อยไม่กล้าเล่าให้นกฟัง กลัวไม่กล้านอน คืนนั้นผมก็ปลอบใจนกแล้วถอดพระที่คอให้สวมจะได้สบายใจหลับได้

คืนนั้นนกไลน์มาอีกช่วงดึกๆ บอกว่า เขาละเมออีกแล้วคราวนี้เสียงผู้หญิงร้องไห้สลับผู้ชายหัวเราะ ดังจนพยาบาลเดินเข้ามาดูและ ปลุกเข็นไปไหนไม่รู้ กลับมาอีกทีก็นอนร้องไห้อย่างเดียว

เช้ามาผมลางานเพราะนึกเรื่องเมื่อวานแล้วใจคอไม่ดี ห่วงนก รีบไปเยี่ยมแต่เช้า คราวนี้ เตียงข้างๆ ไม่อยู่แล้ว นกนอนลืมตาตัวสั่นอยู่ บนเตียง

“น่ากลัวมากเลยพี่ เมื่อคืนอยู่ๆ เขาปวดท้องมาก หมอพาไปซาวด์ ปรากฏว่าอยู่ดีๆ ในท้องเขากลายเป็นท้องแฝดทั้งที่ทีแรกหมอตรวจแล้วมีคนเดียว เขาหันมานอนร้องไห้ตอนรอสามีมาเลยเล่าให้ฟัง เขาว่าแฟนเก่าเขาโดนแฟนใหม่ยิงตายแล้วเข้าฝันว่าจะมาเกิดในท้อง ทำแท้งไปหลายครั้งแล้ว คราวนี้ไปขอลูกกับพระ พอเริ่มท้องก็เหมือนผีแฟนเก่าตามรังควานตลอด จนมีเรื่องเมื่อคืนนี้แหละ”

ผมนึกถึงชายคนเมื่อคืนทันที “แฟนเก่าเขาโดนยิงที่กลางอกป่ะ”

นกหน้าซีดเผือด “เฮ้ย พี่รู้ได้ไง” เธอมองซ้ายขวาล่อกแล่กไปมาน้ำตาคลอๆ “ย้ายโรงบาลกันดีกว่านะพี่”

นั่นสิ ผมก็ว่างั้นแหละ ผมคิดพลางขนลุก



หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 24 มีนาคม 2560 18:50:50

(https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSQh4FQGbBa4g0wfqiDgg3ZpAnDIoYSgaqJfauZsnajQubQeZoKJw)

หลงทางวันปีใหม่

ตอนนั้นคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 31 ธันวาคม พอดิบพอดี ผมอยู่ในระหว่างทางขับรถหาบ้านเพื่อน เพื่อนเก่าสมัยเรียนคนหนึ่งได้ชักชวนให้ผมแวะไปร่วมงานปีใหม่ที่บ้านของเขา ผมตัดสินใจไปร่วมเพราะไม่ได้เจอเพื่อนคนนี้มานานตั้งแต่สมัยเรียนจบ ผมออกจากบ้านโดยเผื่อเวลาหาบ้านเขาด้วย

เพื่อนบอกบ้านเขาอยู่แถวถนนเพชรเกษม เข้าไปในซอย 24 ราวสองกิโลเมตร ผมออกจากบ้านที่อยู่แถวบางบัวทองตั้งแต่ห้าโมงเย็น สมัยนั้นเมื่อราวปี 2527 ทั้งบางบัวทองและถนนเพชรเกษมย่านนั้นไม่เหมือนทุกวันนี้แน่นอน ถนนบรมราชชนนียังไม่ตัดราชพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ หรือทางหลวงเส้น 346 แวะเข้าปทุมธานีตัดติวานนท์ ไม่ต้องพูดถึง ยังไม่สร้างขึ้น สมัยนี้ขนาดนั่งรถเมล์ยังประมาณสองชั่วโมง ถ้าขับรถก็ราวๆ 45 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงในเวลาปกติ ผมจึงเผื่อเวลาเดินทางมากหน่อย

ตอนนั้นผมวิ่งเข้าตัวเมืองนนท์ก่อน แล้วใช้เส้นถนนติวานนท์ ก่อนจะข้ามสะพานปทุมธานีที่เพิ่งเปิดใช้ประมาณปีเศษ เมื่อรู้ตัววิ่งเส้นผิด ผมกลับทางเดิมวิ่งจนถึงปากเกร็ด ขับต่อไปเข้าตัวเมืองนนท์อีกที ก่อนตรงไปตามถนนติวานนท์ผ่านวัดเขมาภิรตาราม ผ่านสะพานพระราม 6 เข้าเกียกกาย ถนนสามเสนแล้วตรงเข้าถนนราชดำเนินข้ามไปฝั่งธนฯ ตรงสะพานพุทธ ก่อนจะไปวงเวียนใหญ่ ผมคลำทางไปจนโผล่ที่แยกท่าพระที่สมัยก่อนยังเป็นแค่สามแยก ยังไม่มีถนนรัชดาภิเษกช่วงรัชดาฯ-ท่าพระซึ่งทำให้มีสี่แยกเหมือนในปัจจุบัน ผมเลี้ยวขวาแล่นไปเรื่อยๆ จนเจอซอยเพชรเกษม 24 ดีใจมาก ผมขับช้าลง ตอนนั้นหัวค่ำแล้ว ผมเลี้ยวเข้าไป

ที่จริงผมน่าจะหยุดหาตู้โทรศัพท์สาธารณะแล้วโทร.เข้าบ้านเพื่อนก่อนเพื่อยืนยันเรื่องเส้นทางให้แน่นอน แต่ผมกลับดื้อดึงเชื่อมั่นในตัวเอง จึงไม่จอดรถหรือขับหาตู้โทรศัพท์ ผมตรงไปเรื่อย สองข้างทางของซอยมีบ้านขึ้นประปราย มีตึกแถวหรืออาคารพาณิชย์อยู่ต้นซอยไม่กี่คูหา จากนั้นก็เริ่มมีบ้านที่ปลูกห่างกันออกไปเรื่อยๆ

เพื่อนบอกเข้าไปไม่ถึงสองกิโลเมตร บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งสีขาว มีรั้วรอบขอบชิด ผมเจอหลังหนึ่งตรงตามที่บอกไว้ทุกอย่างโดยเฉพาะเสียงเพลงที่ดังรอดมา ใช่เลย มีงานเลี้ยงแน่

ขับจอดหน้าบ้าน ลงจากรถเหลียวขวามองซ้าย ไม่พบใคร สงสัยยังไม่มีใครมา หรือไม่ก็ผิดบ้าน ไม่หรอก น่าจะบ้านนี้แหละ คิดๆ อยู่อย่างนี้ก็มี ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาเชิญให้เข้าบ้าน "บ้านคุณพิชิตใช่ไหมครับ" ผมถามเธอ

เธอยิ้มรับพลางเปิดประตูรั้วเหล็กออกกว้าง ผมก้าวเข้าไป บ้านสีขาวสไตล์โมเดิร์นที่นิยมสร้างกันในยุค พ.ศ.2510 ระเบียงบ้านชั้นสองจะกว้าง เหล็กดัดลายฉลุที่หาไม่ได้อีกแล้วในทุกวันนี้ รอบบ้านมีไฟประดับสีสันสดใส สว่างเปิดปิดกะพริบสลับกัน เสียงเพลงสวัสดีปีใหม่ของสุนทราภรณ์วนซ้ำไปมา ผมถามหาพิชิตกับชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามา เขาไม่ตอบ ผมจึงมองหาผู้หญิงคนที่เชิญผมเข้ามา แต่ไม่เจอเธอ ชายคนนั้นบอก นั่งก่อน ปีใหม่แล้ว จะรีบไปไหน

ผมงุนงงกับคำพูดของเขา ตัดสินใจจะลุกออกไป ก็เห็นเด็กๆ ห้าหกคนวิ่งไล่จับกันออกมาจากบ้านพร้อมกับเพลงสวัสดีปีใหม่ดังกระหึ่มขึ้นมา จนผมต้องปิดหู เสียงมันดังมาก แล้วก็มีคนเพิ่มเติมในงานมากมาย เขามากันตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมผมไม่เห็นก็ไม่รู้

คนเดินวนรอบตัวผมเหมือนไม่เห็นผม หลายคนมีจานอาหารในมือ มีแก้วน้ำแก้วเหล้าในมือ เหมือนพวกเขาไม่เห็นผม เว้นแต่ชายคนนั้นที่เดินมาทักแต่แรก เขาเดินเข้ามาหาผมอีกครั้ง หน้าตาเขาดูเปลี่ยนไป แล้วจู่ๆ เขาก็หันไปทางกลุ่มคนแล้วล้วงปืนออกจากกระเป๋าเดินทางที่ห้อยติดตัว เป็นเหมือนปืนเอ็มสิบหกซึ่งผมก็ไม่มีความรู้เรื่องปืน แต่เสียงของปืนที่กระหน่ำออกมานั้นดังมาก เสียงรัวของมันดูน่ากลัวพร้อมกับเลือดของคนที่สาดกระจายไปทั่ว

ผมตกใจ วิ่งออกจากบ้านงาน ก่อนที่จะหมดสติไปในที่สุด

เมื่อลืมตาตื่น ท่ามกลางคนมุงดูนับสิบคน ชายชราคนหนึ่งถามขึ้น "พ่อหนุ่มไปทำอะไรในบ้านหลังนั้น"

ผมหยัดกายลุกขึ้นนั่ง มองไปยังบ้านหลังที่ผมวิ่งออกมา ท่ามกลางแสงไฟวิบวับริมถนน บ้านหลังนั้นไม่มีแสงไฟและงานฉลองแล้ว ผมตอบว่า "ผมหลงทาง หลงเข้าไปในบ้านหลังนั้น"

เขาพยักหน้า ผมถามต่อ "มีอะไรหรือครับ"
"พ่อหนุ่มหวีดร้องเหมือนคนกลัวสุดขีดแล้วก็มาล้มลงตรงนี้แหละ มีคนเห็นพ่อหนุ่มวิ่งออกจากบ้านนั้น"
"ยิงกันครับ เลือดเต็มไปหมด"
"อีกแล้วหรือ"
"มีอะไรหรือครับ"
"บ้านนั้นร้างมาหลายปีแล้ว หลายปีก่อนมีเหตุยิงกันตายในวันปีใหม่ คนตายเป็นสิบ ตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครอยู่ แต่ทุกวันปีใหม่ มักจะมีคนเจอแบบที่พ่อหนุ่มเจอนี่แหละ"

ผมมองกลับเข้าไป เหมือนจะเห็นผู้หญิงคนนั้นกวักมือเชิญชวนผมให้เข้าไปอีกครั้ง



ด้ายแดงสุดหลอน

"เมื่อตื่นจากความฝันในตอนเช้า ตั้งจิตไว้ที่คนที่คุณฝันเห็นและต้องการให้เขาชอบคุณ อย่าวอกแวกเป็นอย่างอื่น เมื่อเดินออกจากบ้าน เจอของสีแดงอะไรที่ตกอยู่ระหว่างทางเป็นอย่างแรก ให้เก็บขึ้นมาและพกติดตัวไว้ คุณจะโชคดีในความรักที่หวังภายในเจ็ดวัน"

ชมพูอ่านออกเสียงให้ฟังหลังจากไปเจอเว็บ ที่รวบรวมเกร็ดความเชื่อเรื่องโชคลางต่างๆ ของหลายๆ ชาติ และว่าวิธีนี้ดูจะง่ายที่สุด

"ง่ายสุดไรว้า ก่อนหน้านั้นต้องนึกถึงคนที่ชอบทั้งคืนแล้วหลับฝันเห็นหน้าเขาให้ได้ก่อนเนี่ยนะ ใครจะไปทำได้" ตุ๊กตาว่า

ใช่ ฉันเองก็นึกในใจแบบนั้น ไหนจะต้องเตรียมก้านไม้มาวางพาดแก้วน้ำที่มีน้ำดื่มอยู่ จินตนาการเป็นสะพานที่มีเรากับคนที่แอบชอบยืนอยู่คนละฝั่งแล้วดื่มน้ำในแก้วนั้นรวดเดียวหมดก่อนเข้านอนอีกด้วย ปวดฉี่ทั้งคืนกันพอดี

ชมพูค้อนตุ๊กตาแล้วก็เปิดอ่านต่อ "นี่ไง งั้นมีอีกวิธีนึง ง่ายเหมือนกัน แต่เห็นว่าได้ผลดีเยี่ยมเลย ด้ายแดงคล้องรัก มีความเชื่อที่ว่า คนที่เป็นคู่รักหรือมีโชคชะตาที่จะได้เป็นคนรักกัน จะมีด้ายแดงที่มองไม่เห็น ผูกนิ้วก้อยซ้ายของแต่ละคนติดกันไว้อยู่ ดังนั้นหากเราเอาด้ายสีแดงมาผูก ที่นิ้วมือซ้ายของเราไว้ แล้วเอาด้ายสีแดงที่ผูกเป็นบ่วงไปใส่ไว้ในกระเป๋าหรือไว้ใกล้ตัวคนที่เราชอบ ถ้าพกติดตัวได้ก็จะดีมาก หลังจากนั้นให้เราจินตนาการว่ามีเส้นด้ายสีแดงโยงจากเราไปถึงเขา ฝึกสร้างภาพในหัวให้ชัดเจนทุกวัน จะทำให้ด้ายแดงที่มองไม่เห็นนี้ผูกพันคนสองคนนี้เข้าไว้ด้วยกันจนต้องมาคบกันในที่สุด ใช้เวลาไม่เกินเจ็ดวันเช่นกัน"

"เอออันนี้ง่ายหน่อย" ฉันว่า พลางนึกไกลไปว่าจะเอาด้ายแดงวงกลมไปซ่อนในกระเป๋าพี่ใบสนที่ฉันแอบชอบได้ยังไง ในขณะที่ชมพูอ่านต่อ

"แต่ถ้าหากอยากให้ได้ผลดีแบบเข้มข้นแน่นอนรวดเร็วทันใจตั้งแต่วันแรกที่ทำ ให้ใช้ด้ายแดงชุบเลือดของทั้งสองคนแล้วทิ้งไว้จนแห้ง นำมาพกติดตัว คนที่เราต้องการให้มาชอบเราจะคิดถึงแต่เราและจะรักเราจนตาย"

"โฮะ พอกันทีแก อ่านหนังสือเรียนกันเถอะ" ตุ๊กตาพูดแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเองหยิบกระเป๋านักเรียนขึ้นมาเตรียมหนังสืออ่าน ฉันกับชมพูมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม เรารู้ดีว่าตุ๊กตาเชื่อเรื่องพวกนี้มากกว่าเราเสียอีกแต่ทำเก๊กไปอย่างงั้นแหละ

วันรุ่งขึ้นฉันมาโรงเรียนพร้อมด้ายแดงเส้นเล็กๆ ที่ผูกรอบนิ้วก้อยซ้ายไว้ ในขณะที่กำอีกเส้น ตื่นเต้นจนมือชุ่มเหงื่อ กำลังคิดว่าจะหาวิธีเอาไปซ่อนในกระเป๋าพี่ใบสนยังไงก็พอดีตุ๊กตาเดินเข้ามาสะกิด "พี่ใบสนใช่ป่ะ เอามาดิ เดี๋ยวฉันเอาไปซ่อนไว้ให้เอง"

ฉันหันไปมอง แอบเห็นด้ายแดงสีคล้ำที่นิ้วก้อยตุ๊กตาแล้วขำออกมา "ไหนว่าไม่เชื่อไง" ตุ๊กตาไม่ตอบ แต่รับด้ายจากฉันเดินเข้าไปในกลุ่มพี่ใบสน ตุ๊กตาเข้าหากลุ่มนั้นบ่อยเพราะมีพี่ชายของมันอยู่ด้วย

หลังจากนั้นฉันก็ใจคอไม่ดีรู้สึกกระวนกระวายอยู่ทั้งวัน เอาแต่ลุ้นว่าด้ายแดงจะได้ผลไหม พี่ใบสนจะมาชอบฉันจริงหรือเปล่า ถามตุ๊กตาว่าเอาด้ายแดงใส่กระเป๋าพี่เขาแล้วแน่นะ ตุ๊กตาก็บอกว่าแน่

จนกระทั่งช่วงเบรกบ่าย ฉันเห็นพี่ใบสนเดินมาที่ห้องของฉัน ฉันเขินจนต้องหลบตาไปมองที่อื่น พี่เขาเอาจดหมายน้อยมายื่นให้ตุ๊กตา แล้วรีบเดินไป ในจดหมายเขียนว่า หลังเลิกเรียนหกโมงวันนี้ ให้ไปรอที่โต๊ะหินอ่อนข้างประตูหลังโรงเรียน ฉัน ตื่นเต้นจนแทบทำอะไรไม่ถูก

หลังเลิกเรียน ฉันไปรอที่โต๊ะหินอ่อน โดยมีตุ๊กตาไปเป็นเพื่อนด้วย "ด้ายแดงนี่ได้ผลเกินคาดนะตุ๊กตา"

ตุ๊กตายิ้ม "อืม ทีแรกก็ไม่น่าเชื่อ แต่พอลองแล้วก็จริงอย่างที่เขาว่า"

ฉันเพิ่งสังเกตเห็นที่นิ้วนางซ้ายของตุ๊กตา มีปลาสเตอร์พันไว้ "โห ของตุ๊กตาชุบเลือดเลย เหรอ เธอชอบใครอ่ะ"

ตุ๊กตายังไม่ทันตอบ พี่ใบสนกับพี่ชายของตุ๊กตาก็เดินมาพอดี

"ฉันไม่ได้โกหกเธอนะ ฉันเอาด้ายแดงไปใส่กระเป๋าพี่ใบสนแล้วจริงๆ แต่แค่มันเป็นของฉันอ่ะ ไม่ใช่ของเธอ" ตุ๊กตากระซิบก่อนลุกขึ้นแล้วเดินไปหาพี่ใบสนที่จ้องมองตุ๊กตาอย่างหลงใหลก่อนเดินจากไป

ในขณะที่ฉันกำลังนั่งงงๆ อยู่ พี่ชายของตุ๊กตาก็นั่งลงใกล้ๆ แล้วว่า "แต่ด้ายแดงของเธอ ก็ไม่ได้ทิ้งหรอกนะจ๊ะ" แล้วก็สบตา ยกนิ้วมือซ้ายที่ผูกด้ายแดงชุบเลือดอีกเส้นไว้ "นี่ของพี่ ส่วนของเธอ พี่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อพี่แล้วล่ะ ใกล้ๆ หัวใจเลย"

ฉันใจหายวูบ คว้ากระเป๋านักเรียนจะรีบหนี แต่ก็เพิ่งเห็นด้ายแดงที่ผูกหูกระเป๋าไว้อีกเส้น ก่อนจะหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม และลืมตามาเห็นหน้าพี่ชายของตุ๊กตาที่ช่วยประคองอยู่ น่าแปลกที่ฉันกลับรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆ เขาทั้งที่ไม่เคยมองเห็นในสายตามาก่อนเลย

"กลับบ้านนะ พี่จะพาไปส่งเอง" ฉันเดินตามอย่างว่าง่าย และหลังจากนั้นก็จำเรื่องด้ายแดงไม่ได้อีกเลย



บทเพลงเก่าแห่งความหลัง
บ้านผมมีธรรมเนียมประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือช่วงเทศกาลปีใหม่ คืนสิ้นปี หลังนับเคานต์ดาวน์ส่งท้ายปี แม่จะต้องปิดเครื่องเสียง ทีวี ที่กำลังจัดงานปาร์ตี้ในครอบครัวกันครึกครื้นแล้วเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงไวนิลเพลงเดิมตรงเวลาทุกครั้ง คือเพลง ลืมไม่ลง ของสุรพล สมบัติเจริญ แต่เวอร์ชั่นที่บ้านเราเปิดนี้เป็นเพลงที่ใครนำมาร้องใหม่ก็ไม่ทราบ แต่เสียงของนักร้องหวานใสเหมือนยังสาว ดนตรีก็เหมือนดนตรีเล่นสดอัดสดตามบาร์ มันก้องๆ ยังไงพิกล เคยถามแม่ แม่ก็ได้แต่พูดว่าแล้วจะเล่าให้ฟัง

จนกระทั่ง คืนสิ้นปีปีนี้นี่แหละ ที่ผมถึงได้รู้ความจริงอันแสนปวดร้าวที่เคยเกิดขึ้นในครอบครัวตัวเอง

ก่อนจะเล่าเรื่องเพลงนั้น ผมต้องเกริ่นก่อนว่าที่บ้านผมนี้เป็นครอบครัวใหญ่ เราจะจัดงานปีใหม่กันทุกปี มากันครบๆ เลยก็เกือบสามสิบคนได้ล้วนแต่เป็นญาติทางแม่ ส่วนทางพ่อมีไม่กี่คน แม่เล่าว่า จริงๆ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีจัดหรอก มาจัดกันหลังจากที่พ่อป่วยแล้วนั่นแหละ

พ่อผมป่วยมาตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ สักห้าหกขวบ แม่กับญาติๆ เล่าให้ฟังว่า พ่อประสบอุบัติเหตุตกลงมาจากตึกชั้นห้า ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว แม่ต้องคอยดูแลตลอดโดยอาศัยเงินจากญาติทั้งทางพ่อและแม่ช่วยๆ กัน บ้านผมปกติอยู่กันแค่พ่อแม่และผม การจัดงานปีใหม่ในแต่ละปีจึงเป็นความรื่นเริงที่แสนจะยิ่งใหญ่และผมเฝ้ารอคอยเสมอ

ทว่าเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากที่พ่อนอนป่วยอยู่นานเกือบ 20 ปี พ่อก็เสียชีวิต หลังจากงานศพที่แสนจะหนักหน่วงสำหรับแม่ หลังจากความโศกเศร้า เพียงสองเดือนหลังจากพ่อตายแม่ก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

คืนข้ามปีปีนี้ไม่มีจัดงาน เราจึงหาอะไรมานั่งกินด้วยกันสองแม่ลูก นั่งโซฟากินขนม น้ำหวาน ดูหนังสนุกๆ และรอเคานต์ดาวน์ด้วยกันเอง สองคนนั่นแหละผมจึงได้โอกาสถามแม่เรื่องเพลงปริศนานั่นอีกครั้ง

แม่หัวเราะร่วน "โธ่เอ๊ย นี่แกคิดว่าแม่เป็นคนปิดเพลงปิดทีวีทั้งบ้านแล้วเดินไปเปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียงนั่นเองทุกปีเลยงั้นเหรอ"

ผมเริ่มงง "อ้าว ไม่ใช่แม่แล้วจะใครล่ะ นี่ผมถามคนอื่นๆ ดูก็ไม่เห็นมีใครตอบ"

แม่ดูสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น แววตาปวดร้าว ยิ้มเศร้าที่มุมปาก "ที่ไม่เคยเล่าเพราะคิดว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา ไม่เกี่ยวกับเด็ก แต่เดี๋ยวนี้แกไม่เด็กแล้ว และพ่อแกก็ตายไปแล้ว จะเล่าให้ฟังก็ได้"

แม่ว่า เมื่อตอนผมได้สักสี่ขวบ พ่อผมกับแม่มีปัญหากัน เนื่องจากแม่จับได้ว่าพ่อไปมีผู้หญิงอีกคน ชื่อ รฐา เป็นนักร้องร้านอาหารแนวเพลงเก่าย้อนยุค เธอเป็นคนสวยหวานแบบไทยๆ ตางี้คมชนิดดาราทีวีแพ้ราบคาบ ร้องเพลงเก่าแม่ผ่องศรี รวงทอง สวลี ดาวใจ เพราะเสียงใสจนมีลูกค้ามาติดทั้งเพลงทั้งรูปโฉมรฐามากมาย หนึ่งในนั้นก็พ่อผมนี่แหละ ไปเจอกันในคือก่อนสิ้นปีที่พ่อพาลูกน้องไปเลี้ยงที่ร้านนั้น

หลังจากนั้นพ่อแอบไปหารฐาเกือบทุกคืนโดยที่แม่ก็เข้าใจว่าพ่อเลิกงานดึก คืนสิ้นปีทุกปี ก็ไปขลุกอยู่ด้วยกันอ้างว่าไปงานเลี้ยงที่ทำงาน ตอนที่แม่รู้เรื่อง พ่อก็ว่าแอบคบกับรฐามาได้สามปีแล้วตอนนี้ก็ท้องกับพ่อ โดยที่หล่อนไม่รู้ว่าพ่อมีครอบครัว

แม่เสียใจมาก แต่ก็สงสารผู้หญิงด้วยกัน แม่เลยจะขอเลิกกับพ่อให้พ่อไปรับผิดชอบเขา แต่พ่อบอกว่าทางแม่กับผมมาก่อนยังไงก็ต้องเลือกก่อน และขอเวลาเคลียร์สักอาทิตย์ ระหว่างนั้นแม่บอกว่ารฐาแอบมาดูที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง หนักข้อขึ้นจนกระทั่งโทร.ข่มขู่ มายืนร้องไห้หน้าบ้าน จนพ่อต้องมาไล่กลับไป

รฐาเสียใจมากจนไปกระโดดตึกที่ทำงานฆ่าตัวตาย เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้พ่อ บอกว่าจะรักตลอดไป และจะกลับมาหาทุกคืนสิ้นปี

แต่พ่อผมทนความเสียใจไม่ไหว เลยไปโดดตึกกะจะฆ่าตัวตายตาม แต่ดันไม่ตาย นอนเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ หลังจากนั้นทุกคืนสิ้นปี เพลงนี้ก็จะดังมาจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเองทั้งที่ไม่มีใครเปิด ทุกคนจำได้ว่าเป็นเสียงรฐาแน่นอนมีคนให้แม่พาพ่อหลบไปที่อื่นจนพ้นช่วงเวลานั้น แต่แม่อยากให้พ่อเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้ยินเสียงนั้น เจ็บเหมือนที่แม่เจ็บมาเสมอ เลยต้องพากันมาจัดงานปีใหม่กลบเกลื่อนที่บ้านเราเพื่อจะได้อยู่เป็นเพื่อนแม่ในช่วงเวลาเลวร้ายก่อนข้ามปีทุกครั้ง อาศัยพวกมากไม่ให้กลัว จนกระทั่งปีนี้พ่อตายไปแล้ว ทุกคนก็คิดว่าเรื่องพวกนี้คงจบลงได้เสียทีเลยเลิกจัดงานกัน

หลังจากแม่เล่าเรื่องนั้นจบลง นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาเที่ยงคืน โทรทัศน์ก็ดับลง และเสียงเพลงที่ร้องอย่างอ่อนหวานทว่าเศร้าสร้อยดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งที่ได้ยินจนชินทุกปีทว่าคราวนี้ทำเอาผมขนหัวลุก ต้องเอานิ้วอุดหู หลับตาปี๋ขยับมา นั่งชิดกับแม่ที่นั่งนิ่งตัวแข็งด้วยความกลัวและเจ็บปวดอยู่เช่นกัน

ไม่ลืม ไม่ลืมสัญญาที่เคยผูกพัน
ว่าเราสองคนจะครองมั่นหมาย
กอดคอกันตายไม่คลายจากกัน

ตราบสิ้นชีวัน ฉันก็ไม่ลืม ... ไม่ลืม ไม่ลืม ไม่ลืม...ไม่ลืม ไม่ลืม ไม่ลืม...




หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 31 มีนาคม 2560 16:20:52

(https://www.yaklai.com/wp-content/uploads/2016/10/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%99-324x160.jpg)

หมูแดงๆ

น้าชายผมแกมาจากขอนแก่น พ่อไม่ได้เจอน้าเกือบสิบปีแล้ว นับแต่น้าแต่งงานและไปตั้งรกรากที่นั่น นานๆ จึงจะโทรศัพท์คุยกันสักครั้ง สบโอกาสช่วงปีใหม่ปีนั้นน้าจึงมาเยี่ยมพ่อ

แถวบ้านผมจะมีร้านบะหมี่หมูแดงอยู่ร้านหนึ่ง สมัยก่อนร้านขายบะหมี่หลายร้านเมื่อขายบะหมี่จะไม่ขายเกี๊ยวไปด้วย ต่างจากสมัยนี้ที่เจอร้านบะหมี่ที่ไหนก็ถามหาเกี๊ยวได้ที่นั่น บะหมี่หมูแดงเป็นอาหารของชาวจีนกวางตุ้ง แต่คนทำแถวบ้านผมกลับเป็นลูกอีสาน แกไม่ได้มีรถเข็นแล้วใช้ไม้ก๊อกๆ แบบเจ้ารถถีบอื่น แต่แกขายอยู่หน้าบ้านเช่าของตัวเองประมาณสิบปีแล้ว อร่อยมาก ความอร่อยไม่ได้อยู่ที่บะหมี่ทำเองเท่านั้น แต่คือหมูแดงที่หอมกรุ่นมาแต่ไกล

เขาไม่เคยบอกสูตรใคร โดยจะอบหมูแดงในถังน้ำมันขนาดสองร้อยลิตร เจาะช่องให้ควันลอยออกมาพร้อมกลิ่น มีฝาปิดด้วย ฝานี่แหละจะมีตะขอทำไว้เกี่ยวชิ้นหมูแดงห้อยๆ ซึ่งแน่นอนด้านล่างของถังเป็นเตา ผมเดาว่าความหอมและพิเศษของหมูแดงน่าจะมาจากเวลาที่ใช้อบ น้ำแดงๆ ที่ทาเคลือบชิ้นหมูก่อนนำไปอบ ที่สำคัญน่าจะเป็นไม้หรือถ่านที่เลือกมาอบหมูด้วย

น้าชายผมถึงกับติดใจเป็นพิเศษ วันแรกถูกใจมาก ขอซื้อหมูที่ห้อยในตู้กระจกกรอบไม้ชิ้นยาวๆ ตั้งใจจะซื้อไปแกล้มเบียร์ แต่เขาไม่ขาย บอกว่าจะเอาไว้สำหรับบะหมี่ชามอื่นๆ หากอยากได้ต้องสั่งล่วงหน้า น้าผมก็ยอม สั่งหนึ่งกิโลฯ สำหรับแกล้มเบียร์วันรุ่งขึ้น!

ทั้งหมดนี้ผมกับพ่อทราบเอาภายหลัง เพราะพ่อมีธุระด่วน บริษัทส่งพ่อไปแก้ปัญหาสาขาที่มาเลเซีย ส่วนผมยังไม่ถึงวันพัก ยังอยู่โรงเรียนประจำ น้ามาถึงเข้าบ้านพ่อก็ต้องรีบไป

หมูแดงร้านนี้ทำเอาน้าผมถึงกับคลั่ง ช่วงที่มาอยู่นั้นหลังจากสั่งครั้งแรกก็มีครั้งต่อไปอีกหลายครั้ง น้าแกกินหมูแดงแกล้มเบียร์ทุกเย็น พ่อบอกน้าผมนิสัยอย่างนี้แหละ ชอบกินอะไรก็กินติดกันเป็นเดือนๆ น้าเคยกินก๋วยจั๊บร้านหนึ่งตอนมื้อเที่ยงติดต่อกันสองเดือนเต็มๆ กินจนเจ้าของร้านต้องถามว่าไม่เบื่อหรือ นั่นแหละน้าผมถึงได้เลิกกิน

หมูแดงร้านนี้ก็ราวๆ นั้น เรียกได้ว่ามาอยู่บ้านผมนานเกินความตั้งใจแต่แรกก็เพราะหมูแดงร้านนี้ก็ว่าได้ แต่ตอนเราพร้อมหน้ากันแล้ว น้ากลับเล่าเรื่องหมูแดงนี้อย่างหวาดๆ น้าเล่าว่า ด้วยความสงสัยในรสชาติและอยากได้สูตรไปทำกินเองบ้าง เพราะอยู่ไกลถึงขอนแก่นน้าผมถึงกับทำที สนิทสนมและเฝ้ามองแกเตรียมหมูแดง รวมถึงแอบตามไปไหนต่อไหน

“สูตรหมูแดง ฟังนะ อย่าเพิ่งขัด มันทำอย่างนี้ มันหมักหมูแดงด้วยผงพะโล้ พริกไทยขาว ซีอิ๊วขาว ใส่เหล้าจีนลงไปด้วยตอนคลุกกับสีผสมอาหาร มันใช้สีแดง มันหมักไว้ในตู้เย็น แต่ละถังที่มันทำมันหมักไว้สองคืนเต็มๆ ตอนจะเอามาทำก็เอาออกมาปล่อยทิ้งไว้ให้ในอุณหภูมิห้องก่อนให้หายเย็น การหมักนี้จะได้น้ำแดงๆ จากการหมัก มันเทเก็บไว้ในชามแล้วเอามาใช้ทำน้ำซอสราดตอนจะย่างหมูอีกที

มันเอาหมูไปแขวนไว้ในถัง ถ่านที่สงสัยว่าถ่านอะไร แท้ที่จริงก็ถ่านไม้ไผ่ แต่ถ่านชนิดนี้หายากมาก เพราะการจะเผาไม้ไผ่ให้เป็นถ่านนี่ต้องใช้ฝีมือ ก็เลยแอบตามมันไปถึงได้รู้ว่ามันไปหามาจากที่ไหน ถ่านไม้ไผ่นี่แพงมาก มันไปซื้อไกลถึงเมืองกาญจน์เลย ซื้อใส่กระสอบปุ๋ยนี่แหละ แอบซ่อนไว้ในบ้าน ไม่ยอมบอกใครถึงเคล็ดลับนี้ ตอนไปซื้อก็ต้องไปตอนกลางคืนดึกๆ มันบ้าขนาดกลัวว่าคนจะรู้ แล้วจะถามขนาดนี้

ที่สำคัญอีกข้อคือการเลือกหมู มันใช้หมูส่วนสะโพกแล้วต้องติดมันหน่อยๆ แล้ววิธีแล่ก็สำคัญ มันแล่ตามความยาวของเนื้อ ความหนาก็ประมาณครึ่งนิ้ว วิธีอบหมูมันติดถ่านให้แรงก่อนแล้วกลบด้วยขี้เถ้า อบแบบนี้ใช้เวลานานมากกว่าหมูจะสุก อบอยู่หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ก่อนจะเปิดฝาออก ตอนแรกนึกว่าเสร็จแล้ว ไม่ใช่ มันทาน้ำซอสจากน้ำแดงที่ออกมาจากการอบอีกทีแล้วอบอีกหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ

ซอสนี่แหละคือ อืม มึงฟังดีๆ นะ นอกจากส่วนผสมที่ว่า เจออีกเคล็ดลับสำคัญของมันที่เอามาผสมกับน้ำที่ได้จากการหมัก น้ำที่ว่าก็คือ

ตามมันออกจากบ้าน ไปบ้านบ้านหนึ่งแล้วก็ออกจากบ้านนั้นพร้อมกับถุงพลาสติกถุงหนึ่ง ถุงนั้นข้างในนี้เป็นน้ำแดงๆ กลิ่นคาวเหมือนเลือดมาก แล้วก็จริง เพราะมันคือเลือด!!

เลือดจากอะไรรู้ไหม เลือดจากหมา!! ไอ้นี่มันใช้เลือดหมาผสมลงกับน้ำที่ได้จากหมักในตู้เย็นมาทาๆ ช่วงที่สอง บอกตามตรงแทบอ้วก ไม่คิดกินอีกต่อไปแล้ว”

น้าผมเล่าให้พ่อฟังอย่างนี้ด้วยสีหน้าและท่าทางอย่างเข็ดหลาบและรังเกียจ พ่อพูดหลังจากปล่อยให้น้าพูดจนจบ พ่อบอก “นี่แกรู้ไหม”

น้าเบิ่งตาสงสัย

“คนขายบะหมี่ มันตายหลายเดือนแล้ว”

ตอนนั้นไม่มีลมพัดเลย แต่น้ากลับขนลุกซู่ ตาเบิกโพลงตกใจกลัวสุดขีด “อะไรนะ”

“เขาตายมาหลายเดือนแล้ว ไม่เชื่อถามหลานมึงดูสิ”

ผมพยักหน้าให้น้า! หมายความว่า พ่อพูดจริง



ประตูแดง
ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนไม่มีใครรู้ว่ามินตราเล่นพนันบอลออนไลน์มานานแล้ว

มินตราเองก็เหมือนกับนักพนันบอลหน้าใหม่เกือบทุกคนที่ไม่เคยรู้ว่าพนันบอลมันเล่นยังไง ได้ยังไงเสียยังไง ต่อรองเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผู้หญิง ยิ่งไม่ค่อยสนใจกีฬายิ่งดูห่างไกล แต่วันหนึ่งขณะที่มินตรากำลังหาเกมออนไลน์ใหม่ๆ เล่นอยู่ ก็เห็นโฆษณาเด้งขึ้นมาที่กรอบด้านขวามือ เชิญชวนให้สมัครเข้าเล่นพนันบอล โดยคนที่สมัครเข้าไปใช้บริการครั้งแรก จะได้รับเงินต้นทุนสำหรับแทงบอลฟรีๆ ทันที 1,000 บาท โดยเอาเงินต้นทุนนี้ไปลงแทง พนันได้ และถ้าแทงถูกก็เอาไปได้ทั้งหมดทั้งทุนทั้งกำไร เป็นการให้เปล่าแบบไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น

มินตราเลยตาลุกวาว อยากลองเล่นขึ้นมาทันที ก็ในเมื่อไม่ต้องเสียอะไร เงินทุนก็ได้มาเปล่าๆ แทงไปเสียก็ไม่เข้าเนื้อ ถ้าได้ก็ได้ กำไรอีก เด็กสาว ม. 2 หารู้ไม่ว่านี่เป็นเหยื่อที่เจ้าของโต๊ะพนันใช้ล่อเด็กวัยรุ่นที่มีความอยากรู้อยากลองอย่างมินตราให้เข้ามาติดกับและเสียเงินเสียเวลาได้รับความเดือดร้อนกันมามากต่อมาก เธอลงแทงคู่แรกไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจ 300 บาท แล้วผลก็ออกมาถูก ทำให้เธอได้เงินรางวัลอีก 300 บาท เป็น 1,300

เด็กสาวตื่นเต้นมาก และอีกสองครั้งต่อมาเธอลงคู่รองซึ่งมีอัตราแต้มต่อรองสูงถึงห้าเท่าก็ถูกอีก ทำให้ตอนนี้เธอมีเงินในมือถึงห้าพันบาท มินตรายังลงทายผลต่อไปอีกจนครบทุกคู่ ก็ได้บ้างเสียบ้าง แต่ได้มากกว่า จนกระทั่งจบฤดูกาลของการแข่งนั้น มินตรามีเงินในเครดิตออนไลน์ถึงสองหมื่นห้าพันบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดที่เธอเคยได้ครอบครอง

เด็กสาวแลกเงินออกมาจำนวนหนึ่ง ซื้อเสื้อผ้าหรูๆ น่ารักๆ ในเน็ตร้านที่เธอเคยอยากได้ น้ำหอมยี่ห้อแพงที่เคยได้ดมแต่กระดาษเทสเตอร์ เพราะราคาขวดนึงสองพันกว่า ตอนนี้เธอก็ได้มา ครอบครองถึงอย่างงั้นก็ยังมีเงินเครดิตเหลือ อีกมาก มินตราจึงเริ่มศึกษาวิธีการ อัตราต่อรอง และติดตามตารางการแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ อย่างใกล้ชิด

แล้วพอผ่านไปสักระยะ เธอก็เริ่มเข้าสู่วงจร ที่เริ่มเสีย ยิ่งเสียมากก็ยิ่งอยากจะได้คืนมากๆ เร็วๆ ร้อนรนกระวนกระวาย ลงไปทีละมากๆ หยิบยืมเครดิตจากเพื่อนคนอื่นๆ ที่เล่นในเว็บเดียวกันจนดินพอกหางหมูหลายหมื่นบาท เด็กสาวทำอะไรไม่ถูก เริ่มเอาของมีค่าที่ตัวเองมีมาโพสต์ขายลงในเน็ตเพื่อหาเงินไปโปะหนี้กระทั่งแอบเอาสร้อยทองที่แม่ให้ไปจำนำเอาเงินมาจ่าย แต่กระนั้นหนี้จำนวน มหาศาลก็กลับยิ่งพอกขึ้น เพราะมินตราอดไม่ได้ ที่จะแสวงหาหยิบยืมเงินเพื่อนคนอื่นมาเล่นอีก

ตอนนั้นเอง ที่เธอได้ยินว่าในโรงเรียนของเธอมีตำนานแปลกๆ อยู่เรื่องหนึ่ง

"เคยได้ยินไหม เรื่องประตูสีแดงที่ห้องเก็บของตรงดาดฟ้า" พี่คนหนึ่งพูดกับพี่อีกคนด้านหน้ามินตราตอนรอเข้าแถวหน้าเสาธง ทั้งสองกระซิบกระซาบยิ่งทำให้คนฟังสนใจฟังหูผึ่ง

"ที่ว่าเคยมีรุ่นพี่เราหายไปในห้องนั้นแล้วก็ไม่มีใครหาตัวเจออีกเลยใช่ป่ะ"

"แหม อันนั้นมันตอนจบแล้ว แกไม่รู้เหรอว่าพี่คนนั้นเข้าไปทำไม คืองี้ เขาว่ากันว่า ที่ตำแหน่งห้องเก็บของดาดฟ้าโรงเรียนเราเคยเป็นที่ที่ครูใหญ่ เอาเงินที่ยักยอกโรงเรียนไปซ่อน แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่ง แกก็ฆ่าตัวตายไป เงินสดหลายล้านในห้องนั้น ก็หายไปด้วย แต่แกทิ้งจดหมายประหลาดไว้ว่าถ้า ใครเข้าไปในห้องนั้นแล้วเปิดประตูออกมาได้ถูกบานทันเวลาหนึ่งนาที ก็จะได้เงินที่เก็บได้ไปเลย"

มินตราฟังเรื่องราวได้แค่นั้นแต่ก็รู้สึกว่าเรื่องมันน่าสนใจมาก โดยเฉพาะถ้ามีเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้ในเวลาที่กำลังร้อนเงินพอดี เด็กสาวเลยพยายามไปตามหาเรื่องเล่านี้ ในเน็ตต่อ ปรากฏว่าในเพจของโรงเรียนเคยมีคนเล่าเรื่องนี้เอาไว้ด้วย รายละเอียดที่เพิ่มเติมขึ้นมา ก็คือ จดหมายของครูใหญ่เขียนไว้ว่า คนที่จะเข้ามาในห้องลับได้ต้องมองเห็นประตูห้องเก็บของเป็น สีแดงเท่านั้น เมื่อเข้ามาแล้ว จะต้องออกไปให้ทันเวลา 1 นาที โดยตอนกลับจะมีประตูสามบานให้เลือก ให้เลือกประตูบานสีฟ้าเพื่อจะออกมาสู่โลกเดิมโดยต้องทำตามข้อความเหนือประตูให้ครบถ้วน ห้ามออก ทางประตูสีแดงเด็ดขาด แต่หากใครออกมาไม่ทันเวลา ประตูทุกบานจะกลายเป็นสีแดงและจะไม่มีวันได้ออกมาสู่โลกเดิมอีก"

มินตราไล่สายตาอ่านไปเรื่อยๆ มีหลายความคิดเห็นที่พูดถึงเรื่องนี้

"เพ้อเจ้อ มันก็เหมือนตำนานผีโรงเรียนทั่วไปนั่นแหละ ครูใหญ่ที่ตายไปก็ไม่มีใครสรุปว่าเกี่ยวกับเงินโรงเรียนสักหน่อย"

"เคยมีรุ่นพี่คนนึงเคยได้เงินจากห้องนั้นมา ด้วยนะ ว่ากันว่า ในเมื่อเป็นเงินโรงเรียน เงินนั้นก็จะเลือกคืนกลับมาเป็นของนักเรียนที่คู่ควรจะได้รับ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่ายังไงถึงจะคู่ควร"

"แล้วเรื่องรุ่นพี่ที่หายตัวไปล่ะมีจริงไหม"

"เรากับเพื่อนเคยขึ้นไปทดลองกันหลายคนละ ที่ดาดฟ้าหลังเลิกเรียน ไม่เห็นมีใครเคยเจอประตูสีแดงเลย มันก็แค่ประตูเหล็กธรรมดา แถมเก่าจนสนิมเกาะเปิดไม่ออก"

เย็นวันนั้น มินตราตัดสินใจปิดโทรศัพท์หลังจาก บรรดาเจ้าหนี้พากันไลน์และกระหน่ำโทร.ตามทวงหนี้ บางคนถึงกับขู่ว่าจะตามทวงถึงบ้าน เด็กสาวบอกแม่ว่าจะไปทำรายงานบ้านเพื่อนก่อนที่จะค่อยๆ หลบสายตาผู้คนขึ้นมาที่ดาดฟ้าโรงเรียน

เธอมองไปที่ห้องเก็บของแล้วถอนหายใจเมื่อเห็นมันเป็นประตูเหล็กธรรมดา แต่ก็ต้องขนลุกเกรียวทั้งตัว เมื่อเห็นมันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานราวกับอาบด้วยเลือดไปต่อหน้าต่อตา

มินตรายืนตัวแข็งอยู่คนเดียวบนดาดฟ้า ตอนนั้นไม่มีลมพัดเลยสักนิด อากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว ท้องฟ้าฉาบสีส้มท่ามกลางแสงสุดท้ายของยามเย็น เธอมั่นใจว่าตาตัวเองไม่ได้ฝาด ประตูตรงหน้ากลายเป็นสีแดงไปจริงๆ ประตูนั่น ห้องลับนั้นเลือกให้เธอเป็นนักเรียนที่จะได้เข้าไป มินตราคิดแล้วเดินตรงเข้าไปที่ประตูนั้นอย่างไม่ลังเล

เด็กสาวใจเต้นตุบตับ เมื่อประตูสีแดงตรงหน้าค่อยๆเปิดออกมาเองโดยที่เธอยังไม่ได้แตะต้อง หลังประตูบานนั้นมีเพียงความมืดสีดำสนิทชวนขนลุก แต่เมื่อมินตรานึกถึงเงินที่อาจจะได้มาจากห้องนั้น เธอก็มีกำลังใจที่จะเดินไปต่อ พลางทบทวนกับตัวเองในใจ

"เข้าไปข้างใน หยิบเงิน แล้วเลือกประตูสีฟ้า ทำตามข้อความเหนือประตู แล้วออกมาทางประตูสีฟ้าให้ทันในเวลา 1 นาที โอเค เอาละ"

เด็กสาวกลั้นหายใจหลับตาแล้วก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป

ทันทีที่พ้นเข้าไปในประตู เธอรู้สึกเหมือนพื้นหมุนคว้าง ก่อนจะหยุดนิ่ง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอมองเห็นห้องโล่งกว้าง ทอดยาวไกลออกไปทุกด้าน

ในขณะที่กำลังยืนงง เธอก็เริ่มสังเกตเห็นบางอย่างวางเรียงกันเป็นแนวเส้นตรง ห่างตัวเธอออกไปเรื่อยๆ และเมื่อปรับสายตาได้ ถึงเห็นว่า นั่นคือธนบัตรใบละพันและห้าร้อยมัดเป็นก้อน วางอยู่ที่พื้น เรียงยาวออกไป

มินตราตาลุกวาว รีบวิ่งตะครุบมัดเงินเหล่านั้นไว้ในอ้อมแขน ตามไปทีละมัด ทีละมัด โดยนับถอยหลังในใจไปด้วย เงินก้อนพวกนั้นวางบนพื้นห่างๆกันราวกองละ 2 เมตร ทำให้ต้องวิ่งสลับก้มเก็บเป็นระยะ

เด็กสาวหัวใจเต้นรัวแรง เลือดสูบฉีดจนหน้าร้อนด้วยความตื่นเต้น เงินจริงๆ ด้วย ตำนานที่ว่านั่นมีจริง นี่เงินจริงๆ แท้ๆ กลิ่นก็ใช่ ยิ่งเห็นเงินฟ่อนในอ้อมแขนมากเกินกว่าจำนวนเงินที่เธอเป็นหนี้แล้ว แต่ยิ่งเก็บเงินกองหน้าก็ยิ่งก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

มินตราตื่นเต้นจนมือสั่น ปลายนิ้วมือเย็นเฉียบบอกตัวเองว่าก้อนที่กำลังเก็บเป็นก้อนสุดท้ายแล้ว ตอนที่กะเวลาว่าเหลืออีกประมาณ 20 วินาทีแต่เงินที่ห่างออกไปอีกกองก็ก้อนใหญ่จนเธอไม่อาจทิ้งไปได้

เด็กสาวหอบเงินทั้งฟ่อน โผหาเงินกองนั้นและสะดุดล้มลง เงินที่หอบมาหล่นกระจายเต็มพื้น เธอใจหายวาบ รีบโกยเงินเท่าที่จะโกยได้ใส่ไว้ในเสื้อ ตอนนั้นยังเสียดายเงินที่เก็บไม่หมด แต่ก็กลัวไม่ทันเวลา เธอลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งกลับมาทางเดิม ตรงไปที่ประตู ซึ่งตอนนี้อยู่ห่างเกือบ 20 เมตร

ประตูปรากฏขึ้นสามบานอย่างที่เล่ากันจริงๆ ตั้งอยู่ห่างๆกันช่วงหนึ่งราวสิบเมตร เป็นประตูที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับประตูห้องเก็บของบนดาดฟ้าทุกประการ ต่างกันที่ว่า บานที่อยู่ด้านซ้ายและขวาห่างไปข้างละสิบเมตรเป็นสีฟ้า ส่วนบานที่อยู่ตรงกลางตรงหน้ามินตราพอดีเป็นสีแดง

เด็กสาวจำได้แม่นว่าต้องออกที่บานสีฟ้า เธอจึงรีบวิ่งไปที่ประตูสีฟ้าบานซ้ายมือ รีบอ่านข้อความที่อยู่ด้านบน หายใจหอบ ตาลายจนแทบอ่านอะไรไม่ออก ตอนนี้เธอเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า เงินในอ้อมแขนมีมากพอใช้หนี้พนันบอลหรือเปล่า เธอพะวักพะวนจนสะกดติดๆขัดๆ

ข้อความเหนือประตูปรากฏขึ้นเป็นตัวอักษรสีขาวสว่าง เขียนว่า "หยิบเงินแค่มัดเดียวแล้วก้าวออกไป ที่เหลือวางทิ้งไว้"

มินตราตกตะลึง แต่ดึงประตูให้เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออก เธอโมโหจัด "บ้าเอ๊ย ยอมลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้ว จะให้ทิ้งเงินทั้งหมดแล้วหยิบออกไปแค่ก้อนเดียวเนี่ยนะ"

เด็กสาวไม่เหลือเวลาลังเล เธอตัดสินใจหอบเงินทั้งหมดวิ่งผ่านประตูแดงบานกลางไปที่ประตูสีฟ้าอีกบาน หัวใจเต้นรัวแทบหลุดออกนอกอก เธอภาวนาขอให้ไปทันเวลา

มินตรามาถึงประตูด้านขวาเงยหน้ามองข้อความด้านบน แต่ตัวหนังสือเลือนละลายหายไปต่อหน้า มินตราหน้าซีดตัวสั่น มือที่กอดเงินอยู่อ่อนแรงจนเงินร่วงหล่นลงพื้น เธอปล่อยมือจากเงินทั้งหมดจ้องมองประตูที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงคล้ำด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต สองมือที่ว่างแล้วทั้งดึง ดัน ทุบประตูอย่างแรงเพื่อให้เปิดออกแต่ก็ไม่เป็นผล

"เปิด เปิดนะ ฉันไม่เอาเงินแล้ว เอาคืนไป เอาคืนไปให้หมด ปล่อยฉันออกไป" มินตราตะโกนและหวีดร้องก้องไปมาอยู่ในห้องลับที่ไม่มีใครได้ยิน?

ในเวลาต่อมา เด็กสาว ม.ปลายสองคนเดินเข้าไปในห้องสมุดโรงเรียน ไม่มีใครสังเกตว่าเธอมาจากไหน ไม่มีใครในที่นั้นรู้จักเธอทั้งสอง แต่เธอทั้งสองรู้จักโรงเรียนนี้เป็นอย่างดี

"จริงสินะ ที่ประตูแดงจะเลือกคนที่เหมาะสมเท่านั้นให้เข้าไป" หนึ่งในนั้นกระซิบพลางมองไปที่เด็กหนุ่ม ม.ต้นอีกคนที่กำลังนั่งกุมขมับเคร่งเครียดอยู่คนเดียว

มินตราในร่างรุ่นพี่ ม.ปลายแปลกหน้าพยักหน้า ยิ้มเศร้า "ใช่ คนโลภอย่างพวกเราไง"

แล้วทั้งสองก็แกล้งเดินไปหยิบหนังสือใกล้เด็กหนุ่มคนนั้นแล้วคุยกันเบาๆ แต่เด็กหนุ่มเบิกตาโพลงหูผึ่งเมื่อได้ยิน

"เคยได้ยินเรื่องประตูแดงที่ดาดฟ้าโรงเรียนไหม เขาว่ากันว่าเคยมีนักเรียนที่เข้าไปเอาเงินออกมาได้ตั้งหลายหมื่น ฟรีด้วยนะ เธออยากลองบ้างไหมล่ะ"



หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 18 เมษายน 2560 05:27:23

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/33447873426808_view_resizing_images_1_.jpg)

อนุชา

ผมชื่อนายอนุชา มีชื่อเล่นว่าเล็ก ผมอายุ 21 ปีแล้ว ยังโสด ทำงานบริษัทเอกชนมาตั้งแต่เรียนจบ ดำเนินชีวิตอย่างคนทั่วไป มีเพื่อนฝูง มีสังคม มีเรื่องที่ผมยังคาใจอยู่บ้าง คือชื่อของผมแปลว่าน้องชาย ทั้งๆ ที่ผมเป็นลูกคนเดียว แต่ก็ไม่เคยถามเรื่องนี้กับใครเลย จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน! พ่อประสบอุบัติเหตุถูกรถชนต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แม่มาท้องร่วงเล่นเอาหนัก เพราะท้องร่วงจนช็อกหมดสติต้องรีบหามกันไปโรงพยาบาล หลังจากพ่อแม่หายป่วย ทั้งคู่ก็บอกกับผมว่ามีเรื่องจะคุยด้วย เป็นเรื่องที่จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องสำคัญก็ไม่เชิง แต่อยากให้ผมได้รู้ เพราะเรื่องราวที่พ่อแม่ประสบมาทำให้ตระหนักชัดว่าความตายเป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะมา หากได้บอกไปพ่อกับแม่คงนอนตายตาหลับ

เล่นเอาผมสงสัยมาก เรื่องที่ว่าจะคืออะไร ถึงขนาดถ้าได้บอกจึงจะนอนตายตาหลับเลยหรือ!

แล้วเรื่องราวประหลาดก็เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา เริ่มต้นจาก! พ่อตกใจตื่นกลางดึก ไม่พูดไม่จาเดินไล่เปิดไฟทั่วทั้งบ้าน ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน แม่เองก็มานั่งเป็นเพื่อนด้วย ตรงกลางบ้านบนเก้าอี้รับแขกกันทั้งสองคน ผมถามอย่างไรพ่อแม่ก็ไม่ยอมตอบ ท่าทางหวาดกลัว ผมพยายามปลอบใจถามว่าเกิดอะไรขึ้น พ่อก็พูดแต่ว่า รอเช้าก่อนๆ พ่อจะเล่าให้ฟัง

แต่ไม่หรอก ไม่ทันได้ถึงเวลาเช้า แม่ซึ่งสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นบนโซฟาก็ผุดลุกขึ้นตะโกนโวยวายจนผมที่นอนบนห้องชั้นสองต้องลงมาดูแม่ แม่พร่ำแต่พูดว่า "แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้ตั้งใจ" แม่พูดประโยคนี้อยู่นับร้อยรอบ พ่อซึ่งก็กอดแม่ไปสายตาก็ล่อกแล่กกวาดตาไปรอบห้องเหมือนคนเสียสติ

ผมรู้สึกไม่ดีเลย "เกิดอะไรขึ้นครับแม่" ผมเฝ้าถามแต่อย่างนี้ แต่พ่อแม่ก็ไม่ยอมตอบ ท่านทั้งสองเอาแต่หวาดกลัว เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเลย โชคดีที่ทั้งสองคนไม่มีโรคประจำตัว นั่งกอดกันกลม ไม่สนใจผม ผมยืนมองพ่อแม่อย่างงุนงง ไม่เข้าใจจนรุ่งเช้า

พ่อกับแม่หลับไปตอนรุ่งสางบนชุดรับแขกนั่นแหละ ผมนั่งเฝ้าไม่ห่างมาทั้งคืนก็พลอยหลับไปด้วย พ่อตื่นก่อนและปลุกผม อย่างไม่รอช้าพ่อรีบพูด "เดี๋ยวพ่อมีเรื่องจะเล่าให้ฟัง"

"พ่อหายดีแล้วหรือ"
"พ่อไม่ได้เป็นไร"
"แต่เมื่อคืนพ่อกับแม่เหมือนคนเสียสติ"
"พ่อแม่ไม่ได้เสียสติ แต่มันน่ากลัว"

ตอนนั้นเองที่แม่ก็ตื่นนอน พอแม่เห็นพ่อเห็นผม แม่ก็รีบลุกขึ้นนั่ง พ่อพูดก่อน "เดี๋ยวเราเล่าให้ลูกฟังนะ"

แม่พยักหน้า  พ่อหันมาทางผม "ฟังให้ดีนะ เรื่องเกิดตั้งแต่ตอนเอ็งเกิด" แล้วพ่อก็หันมาทางแม่ "แม่เล่าเองจะดีไหม"

แม่พยักหน้ารับคำ แล้วแม่ก็เริ่มต้นเล่า "ลูกมีพี่น้องฝาแฝด รู้ไหม"  แม่เริ่มต้นอย่างนี้ ทำเอาผมตกอกตกใจ "อะไรนะแม่"

"ลูกมีพี่น้องฝาแฝดตั้งแต่คลอด ห่างกันราวครึ่งชั่วโมง พี่เอ็งออกมาทีหลัง"

"แล้ว...อีกคนไปไหน ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้เลย"

แม่ลูบหัวผม "แม่กำลังจะเล่านี่ไง เอ็งสองคนสุขภาพแข็งแรงดี แต่พออายุครบสิบเดือน พี่ชายเอ็งเกิดป่วย แรกๆ ก็นึกว่าเป็นหวัด แต่ไข้สูงและซึมลงมาก พ่อแม่รีบพาไปหาหมอ หมอให้แอดมิตเลย แต่อยู่โรงพยาบาลได้สามวัน พี่ชายฝาแฝดของเอ็งก็เสียไป"

"เป็นอะไร"
"หมอบอกติดเชื้อในกระแสเลือด มันเร็วมาก" แม่เล่าถึงตรงนี้ก็ร้องไห้

พ่อพูดบ้าง "ปุบปับ จนพ่อกับแม่ตั้งตัวแทบไม่ทัน กว่าจะทำใจได้ พ่อใช้เวลาเป็นปีๆ แม่เอ็งสิหลายปียังไม่ลืมเรื่องนี้เลย"

ผมพูดบ้าง "แล้วเรื่องมันเกี่ยวอะไรกับที่พ่อแม่กลัวเมื่อคืน"

"คำทำนายไง" พ่อตอบ "หมอเข้าทรงคนหนึ่ง แม่แกไม่สบายใจมากตั้งแต่พี่ชายฝาแฝดเอ็งเสียไป เลยชวนพ่อไปหา หมอคนนั้นบอกว่าอีกยี่สิบปีข้างหน้า พี่ชายเอ็งจะมาหาและจะทวงวิญญาณคนใดคนหนึ่งไป ไม่พ่อก็แม่"

"เหลวไหล ไร้สาระ เขาป่วยตายเอง เกี่ยวอะไรกับพ่อแม่" ผมตะโกน

พ่อพูด "พ่อก็คิดเหมือนเอ็งแหละในตอนนั้น แต่ทุกวันครบรอบการตายของพี่ฝาแฝดเอ็ง เราจะต้องรู้สึกนอนไม่หลับกันแล้วก็จะฝันเหมือนกัน ฝันว่าพี่ชายเอ็งมาโบกมือเรียก ปีนี้หนักกว่าตรงครบรอบยี่สิบปีแล้วน่ะสิ"

"พ่อกับแม่คิดมากกันไปเองมั้ง"

"เมื่อคืนพ่อกับแม่เห็นเด็กหนุ่มหน้าตาเหมือนเอ็งเลย ยืนอยู่ที่นอกหน้าต่าง จ้องหน้าดุมาทางพ่อกับแม่ ต้องเรียกว่าลอยไปลอยมาดีกว่า เพราะนอกหน้าต่างมันยืนไม่ได้"

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้สักนิด พ่อหันมาพูดกับแม่ "พ่อว่า พ่อทำใจได้แล้ว เขาจะมาเอาพ่อไปก็ได้ ตามใจเขา"

"แม่ก็เหมือนกัน" แม่พูดเบาๆ

ผมหัวเราะ แล้วเดินเข้าห้องน้ำ ในห้องน้ำผมหันไปดูกระจก ผมเห็นตัวเองในนั้น แต่เมื่อเพ่งสังเกต กลับเหมือนไม่ใช่ตัวผม ผมยกมือขวาขึ้นแตะศีรษะ แต่เงาในกระจกนั้นกลับยักคิ้วให้!



บุญหลงรอนาย

ผมไม่ได้ไปขอนแก่นบ่อยนักหรอกครับ แต่ว่าตั้งแต่มาทำงานที่บริษัทนี้ก็มีต้องไปตรวจบัญชีปีละสองสามครั้ง ถ้าช่วงไหนมีปัญหาหรือรายละเอียดยุ่บหน่อยก็อาจจะไปถี่ขึ้น นอกนั้นก็กระจายไปตามจังหวัดอื่นๆที่บริษัทเรามีสาขาอยู่

น่าจะสักสองปีที่แล้วนี่แหละ ตอนที่ผมเจอ ไอ้บุญหลงครั้งแรก...

ตอนนั้นไอ้บุญหลงยังสภาพดีมาก เป็นหมาพันธุ์ลาบาดอร์รีทรีฟเวอร์สีช็อกโกแลต ขนเงางามเป็นประกาย เป็นหมาที่สวยสะดุดตา ตอนนั้นมันดูท่าทางกระวนกระวาย วิ่งวนไปมา ข้ามถนนหน้าเมืองใกล้ห้างแฟรี่ ทำเอารถเบรกกะทันหันกันหลายคัน

แม่ค้าร้านตามสั่งเล่าให้ฟังว่า มันน่าจะหล่นจากรถเจ้าของเมื่อคืนก่อน หรือเขาจะเอามาทิ้งก็ดูไม่น่าเชื่ออยู่เพราะหมาสวยมาก มันไม่กล้าไปไหนไกล ได้แต่วิ่งตามหานายไปมาอยู่อย่างนี้ทั้งวัน ใครเรียกใครให้น้ำให้อาหารอะไรก็ไม่ยอมกิน

ผมมองตามแล้วอดสงสารไม่ได้ จริงอย่างที่พี่เขาว่า หมาสวยอย่างนี้ใครที่ไหนจะเอามาทิ้งลงคอ

ผมอยู่ตรวจสอบบัญชีสองสามวันแล้วก็ไปที่อื่นต่อ ตอนนั้นเจ้าหมาดูเหนื่อยและยังคงตื่นตกใจ ผมแอบเอาใจช่วยมันให้เจ้าของกลับมารับมันไวๆ และปลอดภัยจากรถราที่วิ่งกันจอแจบนถนนเส้นนั้น

สี่เดือนต่อมา ผมได้รับมอบหมายให้ไปตรวจสอบบัญชีที่สาขาขอนแก่นอีกครั้ง พักเที่ยงลงมาหาอะไรกิน ก็เห็นเจ้าหมาตัวนี้นั่งหมอบอยู่ใต้ต้นไม้ริมถนน

"เฮ้ย นี่มันตัวที่ตกมาจากรถตอนนั้นหรือเปล่าครับ" ผมถามพี่ร้านอาหารตามสั่งคนเดิม

พี่แกพยักหน้า "ใช่ น่าสงสารมันนะ มีคนพยายามจะเอาไปเลี้ยงหลายคนแล้ว แต่มันหนีกลับมารอนายมันตรงนี้ตลอด ไม่รู้ยังไง คนแถวนี้เลยช่วยกันให้ข้าวให้น้ำ สงสารมันนะ นี่เลยเรียกกันว่าไอ้บุญหลงเพราะมันหลงมาไง"

ไอ้บุญหลงดูผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด ขนที่เคยเงางามเริ่มกระด้าง ดวงตาหงอยเหงา แต่ยังคงมองไปที่ถนนอย่างมุ่งมั่นแน่วแน่ มันคงรักนายเอามากจริงๆ นานขนาดนี้แล้ว

ผมนึกในทางร้ายว่า เจ้าหมาตัวนี้อาจจะโชคร้ายเหมือนเจ้าฮาชิ หมาญี่ปุ่นที่ไปรอนายที่สถานีรถไฟเพื่อรับนายกลับบ้านทุกวัน โดยไม่รู้ว่านายเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตและจะไม่มีวันกลับมาหามันอีกแล้ว

ผมหาซื้ออาหารหมาแบบแห้งถุงเล็กๆ มาเทใส่ชามพลาสติกที่มีคนเอามาวางให้มัน ด้วยความรู้สึกเวทนา

"เอ้า กินซะบุญหลง ปลงๆ ซะมั่งเหอะวะแก นายแกอาจจะกลับมาไม่ได้แล้วก็ได้ ใครเขาจะรับไปอยู่ด้วยก็ไปกับเขาเถอะ"

เจ้าหมาลาบาดอร์นั่งตาละห้อย มองหน้าผมนิ่งเหมือนจะตั้งใจฟังโดยไม่สนอาหารที่ผมเทให้สักนิด สักครู่ต่อมาก็ถอนหายใจยาวและนอนหมอบลงเอาคางเกยพื้น เฝ้ามองถนนเบื้องหน้าต่อไป

ผมกลับมากรุงเทพฯ เคลียร์งาน และไม่ได้ติดใจเรื่องบุญหลงอีก คิดว่าอย่างน้อยๆ คนแถวนั้นก็คงดูแลมันอย่างดีจนกระทั่งหกเดือนต่อมา ผมก็ได้กลับมาที่ขอนแก่นอีกครั้ง คราวนี้ทำงานจนดึก เมื่อเลิกงานก็เดินกลับที่พักที่เขาจัดไว้ให้ ระหว่างทางผมเห็นแสงวาววาบขึ้นข้างทางเป็นแสงสีเขียวจนสะดุ้งเฮือก ทีแรกผมนึกว่าเป็นแมวจรสักตัว แต่พอดูดีๆ

"เฮ้ย บุญหลงนี่หว่า" เจ้าหมาที่เคยผอมซูบซีดที่ผมเห็นคราวก่อน กลายเป็นหมาสวยสมบูรณ์อีกครั้ง ใครคงดูแลมันอย่างดี แต่ดูท่าทางของมันก็ยังอยากจะรอนายต่อไปที่นี่ ดวงตาเปี่ยมความหวังของมันยังส่ายไปมา ยื่นจมูกสูดอากาศหา กลิ่นคนที่มันรัก ผมลูบหัวมันเบาๆ แล้วแบ่งขนมปังไส้หมูหยองให้มันกิน มันก็ไม่กิน นั่งเหม่อต่อไปอีก

ผมง่วงเต็มที เลยเอ่ยลามันก่อนกลับที่พัก "บุญหลง เอ็งรักนายขนาดนี้เลยนะ โชคดีนะเว้ย"

สองวันต่อมา ผมเดินมาแวะร้านตามสั่งเจ้าประจำ แล้วก็ต้องตกใจเมื่อได้ทราบเรื่องบุญหลง

"เฮ้ย ตายเมื่อไหร่พี่ เมื่อคืนก่อนผมยังมานั่งลูบหัวมันอยู่เลย"

"สักสามสี่เดือนแล้ว มีรถกระบะสีขาวคันนึงผ่านมา ไอ้บุญหลงเกิดคิดอะไรขึ้นมาไม่รู้ วิ่งตามรถคันนั้นเอาเป็นเอาตาย แต่ก็ไม่ทัน แล้วก็โดนรถขนทรายขับชนจังๆตรงสี่แยกโน้น ชาวบ้านเขาจะเข้ามาช่วย แต่มันก็ลุกยืนขึ้น พยายามจะวิ่งตามรถคันนั้นอีก แต่ก็หมดแรงล้มลง พี่เองวิ่งตามไปดู เห็นมันหายใจอีกสองสามเฮือกแล้วก็นิ่งไป น้ำตามันไหลออกมาด้วย ตอนนี้เทศบาลเขาเอาไปฝังแล้วล่ะ"

ผมใจหายปนเศร้าปนสยอง สรุปคืนนั้นผมนั่งคุยกับหมาผีโดยไม่รู้สึกระแคะระคายเลยว่ามันตายแล้ว "โธ่เอ๊ย บุญหลง นายเอ็งก็ใจดำเหลือเกิน ทิ้งไว้ให้มันรอจนตาย"

"เดี๋ยวสิยังเล่าไม่จบ" พี่แกรีบขัด "แต่เมื่อเช้าวานนี้ รถกระบะขาวคันนั้นแหละขับกลับมาตรงนี้ แล้วมาถามหาหมาสีน้ำตาล หน้าตาแบบไอ้หลงเลย บอกว่าแฟนเก่าสารภาพว่าเอามาปล่อยแถวนี้เลยจะมา ตามกลับ พี่เลยเล่าให้เขาฟัง"

"แล้วเขาทำยังไงต่อครับ"

พี่ร้านตามสั่งยืนนึกอยู่นิดนึงแล้วว่า "ก็เห็นเขามาจุดธูปร้องไห้อยู่นะ พูดว่า ขอโทษนะโบโบ้ ยังรอแม่อยู่ใช่ไหม กลับบ้านกันนะลูกนะ"

ผมฟังแล้วได้แต่ยืนน้ำตาซึม อย่างน้อยตอนนี้ มันคงได้เจอนายที่มันเฝ้ารอจนลมหายใจสุดท้ายแล้วละ



พระบวชใหม่

ปี พ.ศ.2553 หลังพ่อเสียชีวิต เสร็จงานศพ ผมตัดสินใจบวชให้พ่ออีกครั้ง ก่อนหน้านี้ตอนอายุ 20 ปี ผมบวชแล้วหนหนึ่ง คราวนั้นก็แบบสังคมบ้านนอกทั่วไป จัดงานใหญ่โต มีงานเลี้ยงโต๊ะจีน มีวงดนตรีครึกครื้นในคืนก่อนบวช พ่อเสียเงินเสียทองไปมาก แต่พ่อก็มีความสุขที่ลูกบวชให้จริงๆ หลังบวชเพียงเจ็ดวันหมดไปสองแสน ผมก็ทำงานต่อ ไม่นานก็แต่งงาน จนผ่านไปสิบปี กระทั่งพ่อเริ่มป่วยเมื่อ ปีพ.ศ.2550 เจ็บๆ ออดแอดๆ มาเรื่อย ไม่หายเสียที จนต้องจากไปเพราะโรคถุงลมโป่งพอง ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผ่านโลก ผ่านร้อนหนาว มีลูกถึงสองคน จนพอทุกอย่างแล้ว ผมตัดสินใจบวชให้พ่ออีกครั้งอย่างจริงจัง ตั้งใจบวชทั้งพรรษา เมื่อบริษัทฯ ไม่ให้ลาบวช ผมก็ลาออก บวชเสร็จที่กรุงเทพฯ ก็กลับไปจำพรรษาที่วัดใกล้บ้านเกิด บวชหนนี้เสียเงินสองพันกว่าบาท แต่สุขสงบใจอย่างบอกไม่ถูก

วัดบ้านเกิดที่จังหวัดมหาสารคามเป็นวัดบ้านนอกเล็กๆ ห่างไกลจากชุมชน ผมกลับโล่งสบาย ภายในใจนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ตื่นเช้าทำวัตรเช้าแล้วก็ออกบิณฑบาต กลับวัดก็กวาดลานวัด เดินดูนั่นนี่ ซ่อมแซมนั่นนี่ภายในวัด ช่วยเหลือท่านเจ้าอาวาสกับงานการที่ท่านให้ช่วย ฉันเพลเสร็จก็ศึกษาพระธรรม หนังสือธรรมะมากมายที่ขนจากกรุงเทพฯ ผมตั้งใจหลังสึกจะถวายวัดด้วย ผมขนมาหลายกล่องเบียร์ โชคดีที่ในวัดมีเปรียญเก้าประโยคอยู่รูปหนึ่ง เมื่ออ่านแล้วก็ได้อาศัยท่านสนทนาหาความรู้ ถามไถ่ในเรื่องไม่เข้าใจกับท่าน จึงเป็นการบวชที่สมบูรณ์พร้อมอย่างที่สุด

เข้าสัปดาห์ที่สี่ที่บวช ลูกเมียเดินทางจากกรุงเทพฯ มาใส่บาตรผมแต่เช้าที่หน้าวัด จากนั้นก็รอผมกลับจากบิณฑบาต ถวายเพลแล้วก็กลับกัน ก่อนกลับสีกาภรรยาถามผมว่า กุฏิเป็นไง ที่นอนหลับพักผ่อนเป็นไง ก็ตามประสาเมียที่อยู่กินกันมาสิบกว่าปี ผมจึงนึกเรื่องที่เกิดขึ้นที่กุฏิเมื่อคืนแรกๆ ขึ้นมาได้แต่ไม่ได้เล่าเรื่องอะไรให้เธอฟัง ทราบว่าเธอเป็นคนกลัวผี แต่ก็ชอบฟังเรื่องผี ดูรายการเดอะช็อค ทั้งฟังจากวิทยุ ดูทีวีนี่ของโปรดเธอเลย ตั้งใจว่าหลังจากสึกค่อยเล่าให้ฟัง เกรงเธอจะกลัวและเป็นห่วงผม

คือว่าเรื่องเป็นอย่างนี้ วันแรกที่ผมเดินทางมาถึงวัดแล้วบวชเสร็จ ท่านเจ้าอาวาสก็มอบหมายให้เณรรูปหนึ่งพามาที่กุฏิ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่มีมานานนม พระรูปหนึ่งบอกว่าเป็นวัดโบราณมาก สร้างมาเกินสองร้อยปี ตั้งแต่ดินแดนแถบนี้ยังไม่ได้เป็นอาณาเขตของอาณาจักรใครเลย ต่อมาก็ร้างไปนาน ค่อยกลับมาบูรณะใหม่เมื่อสี่ห้าสิบปีก่อน กุฏิที่ผมจำวัดใกล้ชายป่า เดิมทีเป็นป่าช้าเก่าที่ร้างมานานจนไม่มีใครจำได้ แต่เมื่อสามสิบปีก่อนเจ้าอาวาสองค์ก่อนให้ขุดหลุมที่ไม่มีคนมาทำบุญหรือญาติมาใส่ใจ ขุดขึ้นมาทำบุญครั้งใหญ่แล้วเผารวมใส่เจดีย์ๆ หนึ่งไว้ เนื้อที่ทั้งหมดของป่าช้านำมาใช้สร้างเป็นกุฏิให้พระจำวัด

พระบวชใหม่ทุกรูปมักจะให้มาจำวัดที่นี่ เนื่องจากไกลจากศาลาและบรรดาความยุ่งเหยิงทั้งหลายหน้าวัด ต้องเดินมาไกลมิใช่น้อย พระที่ตั้งใจบวช ตั้งใจศึกษาธรรมมะ ไม่ได้บวชสามวัน เจ็ดวันสึกก็มักมาจำวัดบริเวณกุฏิชายป่านี้ด้วย เนื่องจากเป็นกุฏิครึ่งอิฐครึ่งปูนที่ได้รับ การปรับปรุงซ่อมแซมมาตลอดเวลา กุฏิิทั้งหมดในส่วนนี้มีจำนวนยี่สิบหลัง ผมเองก็มาอยู่บริเวณนี้ วันแรกเณรที่พามาก็บอกว่า ดึกๆ ได้ยินเสียงอะไรให้เงียบไว้ ไม่ต้องออกมาดู จำวัดหรืออ่านหนังสืออยู่ก็ทำไป อย่าได้สนใจ

“ขนาดนั้นเชียว” ผมพูด
“หลวงพี่ไม่เคยได้ยินหรือ พระบวชใหม่บุญแรง เขาชอบมาขอกัน” เณรว่า

ผมพยักหน้าเออออ เคยได้ยินหรอก แต่ก็แค่เคยได้ยิน ผมต่างจากภรรยาที่ไม่ค่อยเชื่อและไม่กลัวผี ในชีวิตไม่เคยเจอเรื่องอย่างนี้แม้แต่ครั้งเดียว

เย็นวันนั้น ภรรยาผมยังโทร.มาถามว่าทุกอย่างราบรื่นดีไหม เธอยังเตือนผมให้กินยาโรคประจำตัวให้ครบ และก็ว่า “หลวงพี่บวชใหม่ หลวงพ่อให้ไปกุฏิหลังป่าช้าเลยเหรอ โอ้โห โหดมาก หลวงพี่ต้องจิตใจเข้มแข้งนะ อย่าหวั่นไหวนะ เจออะไรก็อย่าทัก”

ผมหัวเราะ “เจอผู้เจอคนจะไม่ให้ทักได้ยังไงล่ะเธอ”
“ก็ไม่ได้หมายถึงคน…หลวงพี่ก็พูดเป็นเล่นไปได้ นี่จริงจังนะ”

คืนแรกปกติดีอยู่ ในบรรดาพระที่บวชใหม่และมาจำวัดที่นี่มีมาพร้อมๆ กันสามรูป กุฎิที่ผมอยู่มีห้อง 4 ห้อง คืนที่สองมีพระมาจำวัดใหม่เพิ่มอีกรูปจนกุฏิเต็ม รูปใหม่นี้ก่อนจำวัดในแต่ละคืนชอบสวดมนต์นานมาก ทราบภายหลังว่า เคยบวชมาก่อนถึงสี่พรรษา สึกไปทำงานเกือบสิบปีแล้วก็มาบวชใหม่หนนี้อีกครั้ง และในชีวิตฆราวาสก็ชอบสวดมนต์ก่อนนอนประจำและสวดแทบทุกบทที่มีในหนังสือสวดมนต์ด้วยเพียงแต่ท่านจำได้หมด ไม่ต้องเปิดหนังสือ เมื่อมาบวชก็นำนิสัยนี้มาใช้ด้วย

โถงรวมก่อนแยกไปห้องใครห้องมัน มีโต๊ะหมู่บูชาอยู่ หลวงพี่ที่บวชใหม่เป็นรูปที่สี่ก็มานั่งสวดที่หน้าโต๊ะหมู่บูชานี้ รูปหนึ่งเห็นเข้าก็ทำตาม มาร่วมสวดด้วย จากนั้นผมกับรูปที่เหลือจึงมาร่วมขบวนสวดพร้อมกัน

ห้องโถงนั้นก็มีขนาดราว 10 x 20 ตร.ม. มีเสาอยู่หลายต้น คืนที่สามของการสวดผมสังเกตเห็นมีลุงคนหนึ่งมานั่งพิงเสาพนมมืออยู่ด้วย ตอนแรกผมไม่ได้คิดอะไร เพราะคืนแรกที่ผมมาจำวัดก็มีคนหลายคนมาเมียงมอง ทั้งแก่ทั้งหนุ่ม ตอนเช้าบิณฑบาตก็มีคนหลายคนบริเวณกุฏิ ที่เดินตามคล้ายๆ เด็กวัดคอยดูแลเป็นมือเป็นไม้พระทั่วๆ ไป ผมมองแล้วก็สวดของผมต่อไปจนเสร็จ พอเสร็จหันมองก็หายไปแล้ว

คืนที่สี่ลุงคนนั้นก็มาอีก จนคืนที่หกพระรูปหนึ่งชวนให้ลุงคนนั้นขยับเข้ามาใกล้ "เดี๋ยวยุงกัด ตรงนี้มียากันยุง"

ลุงแกก็พนมมือไหว้แล้วค่อยๆ เดินเข่าอย่างสุภาพเรียบร้อยมาคุกเข่าใกล้พระ แต่ไม่เสมอเท่าไม่ตรงตำแหน่งเดียวกันกับพระ เรียกว่าให้ความเคารพกับพระ

สวดกันจนเสร็จ พระที่ชวนก็หันมาถามลุงแกว่า "ลุงอยู่ไหนนี่"
"อยู่แถวนี้แหละครับ" ลุงแกยกมือไหว้แล้วตอบ
"มาทุกคืน ดึกๆ ไม่กลัวหรือ"

ลุงแกก็ยกมือไหว้แล้วบอกว่า "ไม่กลัวครับ ผมตั้งใจมาฟังสวด นั่งอนุโมทนารับบุญพระใหม่"

"มาฟังพระสวดมนต์น่ะไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้ขัดข้องอะไร แต่เดินฝ่าป่าหญ้าดึกๆ ดื่นๆ ระวัง งูง้อข้อตะเขี้ยวด้วยนะลุง" พระรูปนั้นกล่าวต่อ พอพระพวกเราเตรียมจะเข้าห้องของตัวเอง หันมาลุงแกก็หายไปแล้ว

ลุงแกมาอย่างนี้อีกสามสี่คืนติดๆ กัน คืนสุดท้ายที่เห็นแก แกดูจะมีราศีมาก ผิวที่ดูหมองคล้ำก็ขาวขึ้น เสื้อผ้าที่เก่าแบบชาวบ้านทั่วไปใส่ก็กลายเป็นชุดที่หรูหรา สะอาดเหมือนเพิ่งซื้อใหม่

จนพระรูปนั้นซึ่งถามแกทุกคืนจึงพูดขึ้นอีกว่า "วันนี้หล่อจังลุง แต่งตัวไปไหน มีงานแถวนี้ เหรอครับ"

ลุงพนมมือพูดยิ้มๆ "มีคนเขาให้ครับ" พอลุงแกตอบแบบนี้ ผมถึงกับสะดุ้ง พลางนึกขึ้นได้ว่า วันนี้มีคนมาถวายสังฆทานชุดเสื้อผ้าใหม่ คนถวายเขายังพนมมือไหว้ผมแล้วบอกว่าจะทำบุญให้สรรพสัตว์ วิญญาณเร่ร่อนที่รับได้ทั้งหลายให้มารับ ซึ่งพระที่บวชมาก่อนบอกว่า มักมีคนมาทำสังฆทานแบบนี้ประจำ อาจจะเพราะว่าที่แถวนี้เคยเป็นป่าช้าเก่ามาก่อนและชายคนนี้ก็มักมาถวายสังฆทานแบบนี้ทุกเดือน

พอผมนึกได้ก็หันมองชุดที่ลุงแกใส่ ถึงกับสะดุ้งอีกรอบ ผมจำได้ว่าเขาถวายในชุดสังฆทานเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวใหม่เอี่ยม กางเกงสแล็กส์ขายาวดูหรูหรา ผมรับแล้วจำชุดนี้ได้ เพราะเด็กวัดคนหนึ่ง แกแกะชุดสังฆทานออกแล้วบรรยายสรรพคุณของถวายในชุดให้ฟัง ผมไม่คิดจะรับเป็นของตัวอยู่แล้ว ตั้งใจให้เป็นสมบัติของวัด จะนำไปให้อะไรต่อก็ตามสะดวก สังฆทานชุดนี้แปลกเพราะดูใหม่สะอาดและดูแพง มีทั้งหม้อหุงข้าว กาต้มน้ำไฟฟ้าและอาหาร ข้าวสารที่มีราคาแพงทั้งนั้น

ผมมองลุงแกแล้วก็สะดุ้งอีกหลายรอบ เมื่อแกลุกขึ้นยืนแล้วพนมมือบอกพระทุกรูปในโถงนั้นว่า "ผมจะไปแล้ว หมดกรรมของผมแล้ว ขอบคุณหลวงพี่ทุกรูปมากที่ให้ผมได้ร่วมฟังสวด กระผมได้บุญสุงสุดแล้ว กราบขออนุญาตลาครับ" แล้วแกก็ก้มลงกราบอย่างสวยงาม ก่อนจะลุกขึ้นออกจากกุฏิไป ผมหายตกใจก็เดินอย่างเร็วไปดูแกที่ออกไปทางหน้ากุฏิ ปรากฏว่าไม่เจอแกแล้ว

ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ยังดีแต่ว่ายังมีคนเดิน ไปมาอยู่แถวนั้นอีกหลายคน ทำโน่นทำนี่กันอยู่ บางคนก็นั่งปูเสื่อกันอยู่ใต้ถุนกุฏิ พับเพียบเรียบร้อยพนมมือรอฟังสวด ให้พอเป็นเพื่อน อุ่นใจได้บ้าง ตอนนั้นผมคิดในใจว่า ผมมาดี พระรูปอื่นๆ ก็มีเจตนาที่ดี ในการบวช คิดได้ดังนั้นก็รีบเดินกลับขึ้นไปบน กุฏิและตั้งใจสวดมนต์มากกว่าที่เคย และไม่ลืมแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้บรรดาวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลายที่อาจจะรอรับส่วนบุญส่วนกุศลอยู่ แถวๆนี้ด้วย

เช้าต่อมาหลังบิณฑบาต ผมเล่าเรื่องนี้ให้เด็กวัดอาวุโสคนหนึ่งฟัง ดูแกไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่ได้ยิน กลับยิ้มน้อยๆ เหมือนชอบใจ พลางยกมือไหว้ผม

"อนุโมทนาบุญด้วยเบื้องต้นครับหลวงพี่ ดี แล้วล่ะ เรื่องพวกนี้เกิดปกติครับ พระบวชใหม่ที่นี่มักจะได้เห็นพวกเขามานั่งอนุโมทนารับบุญกัน เพราะเขาเชื่อกันว่าพระบวชใหม่ได้บุญแรง"

ผมถอนหายใจ "แหม ลุงก็แทนที่จะบอกจะเตือนกันหน่อย หัวใจวายตายไปจะว่ายังไง ดีว่ายังมีคนมารอฟังสวดใต้ถุนอีกหลายคนอยู่เป็นเพื่อน ไม่งั้นแย่เหมือนกัน"

ลุงได้ยินดังนั้นกลับยิ่งหัวเราะร่วนทีเดียว "โธ่ หลวงพี่ นี่ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ครับ"

ผมยืนงง "อะไรเหรอ รู้อะไรไม่รู้อะไร" แล้วก็ต้องตกใจขนหัวลุกอีกรอบเมื่อลุงพูดต่อว่า

"แถวนั้นไม่มีบ้านคนไม่มีใครมีธุระมาทำอะไรกลางค่ำกลางคืนหรอกครับ เขาก็พากันมาขอส่วนบุญทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครบอกหลวงพี่หรือไงว่าตรงนั้นมันป่าช้า กู่เก็บกระดูกด้านหลังนั่นไงบ้านพวกเขา ศพไม่มีญาติทั้งนั้นเลย"



หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 19 สิงหาคม 2560 12:55:34

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/51750196640690_Untitled_11_696x375_1_.jpg)

เสือสมิงที่บางน้ำเชี่ยว

บางน้ำเชี่ยว อำเภอพรหมบุรี เขตจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อสามสิบปีก่อน มีคนเคยเจอเสือสมิง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นตึกใหญ่โตผุดขึ้นเต็มไปหมด แต่ที่บางน้ำเชี่ยวยังมีเสือสมิงเพ่นพ่านจนกลายเป็นเรื่องเล่ามาจนถึงทุกวันนี้

ลุงผมเองชื่อสมคิด ชาวบ้านเรียกลุงติดปากว่า ทิดคิด ลุงบวชมานานเกือบสิบพรรษาก่อนจะสึกมาแต่งงาน ลุงคิดจึงเป็นทั้งมัคนายกและผู้มีความรอบรู้เรื่องพุทธศาสนา เป็นที่นับหน้าถือตาของชาวบ้าน

ทว่าลุงคิดเองก็มีเรื่องที่กลัวมากอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังลุงสึกไม่นาน

หลังสึกลุงช่วยปู่ผมทำนา ครอบครัวเรามีนาของตนเองเกือบร้อยไร่ ปู่ดีใจมากที่ลุงรับช่วงทำนา เพราะพ่อตอนนั้นเข้าเรียนต่อที่กรุงเทพฯ มีท่าทีจะไม่ยึดอาชีพทำนาต่อแน่ๆ

คืนนั้นเสร็จจากนา ลุงก็ไปเที่ยวดูหนังกลางแปลงที่วัดที่เคยบวชนั่นแหละ ลุงผมไม่เชื่อเรื่องผีสาง ลุงบอกบวชมานานสิบปีไม่เคยเจอผีเลย ผมบอกว่าก็เป็นพระ ผีก็กลัวสิ ลุงแย้งวัดที่มีป่าช้าใหญ่โต แถมคนมาวัดตอนดึกๆ เจอผีประจำ แต่ลุงตอนบวชกลับไม่เคยเจอเลยแม้แต่ครั้งเดียว

เรื่องเสือสมิง หรือการเล่นของก็เหมือนกัน ลุงไม่เชื่อ ลุงยึดมั่นในพระรัตนตรัยในศีลในธรรมมากกว่า แม้ผมจะพยายามเล่าเรื่องผี หรือทดลองแกล้งลุง ลุงก็เฉยๆ ไม่มีท่าทีกลัวผีออกมาเลย

จนมาคืนนั้นเมื่อดูหนังจบก็กลับบ้าน ระหว่างทางซึ่งดึกดื่นเลยเที่ยงคืนแล้ว ลุงออกจากหน้าวัดกลับทางปกติ ไฟฉายในมือก็ฉายไปตามปกติ ปรากฏว่าพ้นหน้าวัดไม่ทันไรก็เจอผู้ชายสองคนวิ่งตรงเข้ามา แล้วบอกขอให้ลุงช่วยด้วยท่าทีที่ทำให้ลุงตกใจมากกว่าคำพูดเสียอีก หนึ่งในสองพูดขึ้นก่อนว่า “เสือสมิงตามมา” แล้วชี้ไปข้างหน้าซึ่งลุงเห็นว่ามีแต่พระตามมาอีกสามรูป

ลุงเห็นแต่พระ จึงตอบกลับไป “ไหนเสือ มีแต่พระ”

ชายคนแรกรีบเบียดเข้ามาพลางพูดอย่างตกใจกลัว “พระนั่นแหละที่พี่เห็น เสือสมิงมันแปลงตัวมา” พูดจบก็มองชายที่มาด้วยแล้วพูดกับลุง “พี่คนนี้ผมก็ชวนให้มาด้วยกันแหละ เจอตะกี้นี้เหมือนกัน”

ชายคนที่ถูกกล่าวถึงพยักหน้าให้ลุง

ชายคนแรกเร่งให้ลุงรีบกลับเข้าวัด ทั้งกึ่งจูงกึ่งลากให้รีบๆ ลุงจึงพูดอย่างไม่พอใจ “แล้วผมเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”

“ช่วยผมหน่อย เพิ่มเป็นสาม เสือมันจะได้ไม่กล้ารีบลงมือ” ชายคนแรกพูดแล้วพลางชี้ไปที่กุฏิพระ “กุฏิพระต้องมีพระแน่ ไปกันเถอะ” พูดจบก็รีบดึงมือลุงกับชายอีกคนให้ตรงไปที่กุฏิ

ลุงพยายามบ่ายเบี่ยงจะกลับบ้าน ไม่สนใจ เพราะไม่เคยเชื่อผีๆ สางๆ ชายทั้งสองโดยเฉพาะคนแรกมีท่าทีหวาดกลัวจนลุงสงสาร จึงบอกให้ตั้งสติ “นึกถึงคุณพระคุณเจ้าไว้ ตั้งนะโมแล้วสวดมนต์ดีกว่า”

“ไม่ทันแล้ว มันมาแล้วนั่น รีบเข้ากุฏิเถอะ” พูดแล้วอย่างไม่รอใคร สาวเท้าตรงไปกุฏิ

ลุงได้แต่ส่ายหัว นึกเวทนา จึงตามเข้ากุฏิไปด้วย แต่กุฏินั่นไม่มีพระจำวัด ลุงจึงได้โอกาสพูด “ไหนเสือของคุณ ผมไม่เชื่อ นั่นพระแท้ๆ พระท่านมาช่วยคุณละมั้ง รีบเดินมาเชียว”

“พระที่ไหน เสือสมิง” เขายังย้ำพลางส่ายหัว “เดี๋ยวผมทำให้ดู คอยดูนะ” กล่าวจบเขาก็ดึงเส้นผมตนเองแล้วขยุ้มเป็นก้อนขยุกขยุย ไม่กลมเสียทีเดียวนัก ปากก็ร่ายบริกรรมคาถา ก่อนจะร่ายมนต์ใส่ก้อนเส้นผมนั่นแล้วเปิดหน้าต่างกุฏิขว้างเส้นผมก้อนนั้นออกไป

“ผมปล่อยควายธนูออกไปสู้กะมัน คอยดู” เขาบอกลุง

“แล้วทำไมไม่ทำแต่แรก” ชายคนที่สองพูดสวน

“มันต้องที่แบบนี้ถึงทำได้ ปิดประตูหมด มีพระด้วย โน่น” พูดพลางหันไปทางพระพุทธรูปที่ตั้งบนแท่นบูชา

ลุงคิดมองคนทั้งสอง ชายคนที่บอกว่าตนเองปล่อยควายธนู หันมาพูดย้ำกับลุงอีกครั้ง “ต้องทำในที่ปลอดภัยหน่อยพี่ เราอยู่ในกุฏิพระ อย่างน้อยก็มีประตูหน้าต่างลงกลอนแน่นหนา กันไว้ได้อีกด่าน”

พูดจบก็ได้ยินเสียงประตูถูกทุบปึงปัง “เห็นไหม มันเข้ามาไม่ได้”

ตลอดเวลาเป็นชั่วโมงๆ ที่ลุงอยู่ในกุฏิ ได้ยินเสียงเหมือนสัตว์ต่อสู้กัน ดังเป็นช่วงๆ เสียงสัตว์กระแทกตัวกุฏิบ้าง เสียงสัตว์ร้องบ้าง สลับไปมาไม่หยุดหย่อน จวบจนกระทั่งเช้าถึงเงียบลงได้

ชายคนที่ปล่อยของเปิดประตูออก พลางเดินสำรวจด้านนอกแล้วชวนให้ดูซากเสือตัวหนึ่งแล้วชี้ให้ดูที่คอ “เห็นไหม เศษจีวรยังพันรอบคอมันอยู่เลย ตัวที่เหลือคงหนีไปได้ อยู่ข้างในปลอดภัยกว่า เห็นไหม” ชายคนแรกมองหน้าลุงพลางยักคิ้วอย่างมั่นใจ คุยโวต่อ “ผมใช้ควายธนูที่เป็นเส้นผมนั่นแหละออกไปสู้กะมัน ดูสิ เรียบร้อยแล้ว เราปลอดภัยแล้ว เสือหมดแล้ว”

ชายอีกคนที่เงียบมานานก็คลี่ยิ้มแล้วกล่าวว่า “แน่ใจหรือเสือมีแต่ข้างนอก”

พูดจบลุงคิดก็เห็นชายคนที่สองกลายร่างเป็นเสือ พลันคำรามเสียงดัง



เมื่อผมเจอผีแม่ม่าย

ถึงแม้ผมจะมีเชื้อสายทางอีสาน เพราะปู่เป็นคนยโสธร แต่พ่อกับแม่ก็อยู่กรุงเทพฯ นานยี่สิบกว่าปีกว่าผมจะได้เกิดมา ผมเกิดตอนท่านทั้งสองอายุสี่สิบกว่า ผมจึงเติบโตมาอย่างเด็กที่ได้รับการอุ้มชูดูแลอย่างดี ผมเคยไปบ้านเกิดพ่อแม่ที่ยโสธรเพียงสองครั้ง ครั้งแรกตอนจัดงานอายุ 72 ให้ปู่และอีกครั้งในงานศพของปู่ จากนั้นก็ไม่เคยไปอีกเลย เรื่องผีแม่ม่ายก็เคยได้ยินข่าวและพ่อก็เคยเล่าให้ฟัง แต่ผมไม่เคยเจอกับตัว จนกระทั่ง..

พ่อพูดถึงที่ดินผืนที่ปู่ยกให้ ถามผมว่าจะจัดการอย่างไร จะให้ญาติคนอื่น จะขายต่อหรือจะใช้ประโยชน์เองก็ว่าไป อย่าปล่อยทิ้งไว้เลย ผมตอบพ่อว่าจะไปดูและตกลงอย่างไรจะบอกพ่อ ผมตั้งใจไปดูสภาพแวดล้อม หากขายได้ก็จะขายทิ้ง เอาเงินมาลงทุนทำธุรกิจของผมต่อจะดีกว่า แต่หากทำอย่างอื่นได้ก็จะทำ

ตอนนั้นผมอายุ 35 ปีแล้ว บอกตามตรงวันแรกที่ไปถึงที่นั่นผมไม่ประทับใจเลย อากาศก็ร้อน รอบตัวดูแห้งแล้งไปหมดในเมื่อรวมๆ กับความไม่สะดวกสบายที่มีอยู่รอบตัว ผมจึงตั้งใจว่าจะอยู่ทำธุระให้เสร็จก่อนแล้วจะรีบกลับ

ที่ดินของปู่ผืนนี้ก็ไม่มากอะไร แค่ไร่เศษๆ ปลูกบ้านครึ่งอิฐครึ่งปูน มีสารพัดต้นไม้ปลูกจนดูรกในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพทำนาทำไร่กัน บ้านปู่ดูดีมีฐานะที่สุด เพราะปู่เป็นข้าราชการตำแหน่งสูงพอสมควร ได้รับการนับถือมากมาย พลอยตกมาถึงผมด้วยเมื่อผมไปถึง ด้วยเหตุนี้บ้านนี้จึงดูศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของชาวบ้าน แต่เพราะทิ้งรกร้างไว้นาน ปู่เคยให้ญาติมาอยู่และเคยให้เช่ามาก่อน แต่ก็นานมากแล้ว

เมื่อผมไปถึงจึงต้องจ้างคนมาทำความสะอาดอยู่หลายวันกว่าจะเข้าอยู่ได้ ระหว่างนั้นก็พักโรงแรมที่ตัวจังหวัดไปพลางๆ ผมไม่ได้พักบ้านญาติ เนื่องจากห่างกันนาน ไม่ได้ติดต่อ และอยากได้ความเป็นส่วนตัว ผมเพียงให้ญาติคนนั้นช่วยหาคนซื้อให้ โดยให้ค่านายหน้าเขา เมื่อตกลงกันได้เรื่องการว่าจ้างเขา ผมก็เตรียมตัวกลับ เขาถามผมสั้นๆ ว่า “ปัดกวาดเช็ดถูเรียบร้อยแล้ว ไม่ลองเข้าไปพักเหรอ บ้านหลังนี้ปู่รักมากนะ”

ผมนึกถึงปู่ขึ้นมา ท่านให้เป็นสมบัติของผม ผมก็คิดจะขายทิ้ง จะไม่ใจดำไปหน่อยหรือ น่าจะเข้าไปดูสักหน่อย

เมื่อไปถึงครั้งที่สอง ความรู้สึกต่างกับครั้งแรกที่เห็น บ้านที่สะอาดสะอ้าน หญ้าที่รกสูง ถูกถากออกหมด กำแพงรั้วที่เป็นผนังปูนสูงแตกต่างจากบ้านอื่นก็ได้รับการปัดกวาดทำความสะอาดพร้อมกับตัวบ้านที่ดูเอี่ยมอ่องเกินค่าจ้างไม่กี่ร้อยบาท ผมก้าวเข้าบ้านด้วยความรู้สึกประหลาดชอบกล ใจหนึ่งนึกถึงอายุของมันที่มากกว่าสามสิบปี อีกใจก็นึกถึงปู่ที่เคยอยู่อาศัย ปู่ปลูกบ้านหลังนี้ก่อนเกษียณไม่กี่ปี ปู่มีบ้านในตัวจังหวัดอยู่กับย่า แต่ปู่ชอบมาอยู่คนเดียวเวลาว่างหรือต้องการพักผ่อน โดยเฉพาะช่วงสิบปีก่อนเสียชีวิต มีแค่สองปีหลังที่ต้องเทียวไปโรงพยาบาล ปู่จึงให้คนเช่าและญาติมาอยู่อย่างที่เล่าไป

ผมตัดสินใจนอนที่บ้านหลังนี้สักคืนสองคืน การนอนพักมาพร้อมกับข่าวผีแม่ม่ายที่ลือไปทั่ว ช่วงที่มาใหม่ๆ ก็ได้ยิน แต่ผมไม่สนใจ ผมมองว่าเหลวไหล งมงาย ไร้สาระ แต่ตอนที่จะนอนคืนนั้นญาติบอกให้ผมทาลิปสติกก่อนนอน ทาเล็บและใส่ผ้าถุง

“ไม่งั้นผีแม่ม่ายจะมาเอาตัวไป” ญาติบอก

ผมหัวเราะ “งมงายไม่เข้าเรื่อง ผมไม่กลัวหรอก มาสิ จะจับทำผัว” พูดจบก็หัวเราะ

ญาติมองผมไม่สบอารมณ์นัก ได้ยินเขาพูดก่อนออกจากบ้านไป “ปากดีนัก ระวังจะเจอดี”

ผมหัวเราะฮึๆ แล้วก็เข้านอน ผมหลับตามปกติ รู้สึกตัวตื่นตอนปวดปัสสาวะกลางดึก แต่ห้องน้ำชั้นบนน้ำไม่ไหล ต้องลงมาชั้นล่าง ผมสะลึมสะลืองัวเงียลงมาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่างมองมาที่ผม ผมสะดุ้งตกใจ เข้ามาได้ไงเนี่ย!

ทว่าเธอกลับพุ่งตรงมาที่ผมพลางตะโกนว่า จะจับกูทำเมียหรือ ตาเธอเบิกโพลง แล้วเธอก็คว้าหมับเข้าที่คอผมบีบอย่างแรง มือเธอเย็นมากแต่ที่ผมรู้สึกที่สุดก็คือความเจ็บพอๆ กับความกลัว ต้องเป็นผีแม่ม่ายแน่ๆ ผมคิดแล้วพยายามสะบัดตัวให้หลุด ทว่ามือนั้นเหมือนคีมที่บีบคออย่างแรงไม่ยอมปล่อย

ผมนึกถึงปู่ขึ้นมา ปู่ช่วยด้วย ผมยังไม่อยากตาย!

ทันใดนั้นเองก็ปรากฏร่างปู่ผมขึ้น ปู่ตรงเข้ามากระชากผมผีแม่ม่ายนั้นอย่างแรงจนหงายหลังล้มลงกับพื้น ปู่ตวาดว่า “ไปให้ไกลจากบ้านกู!!”

แล้วผีแม่ม่ายก็หายไปทันที ผมตั้งสติได้ รีบหันมาที่ปู่ ปู่ก็ยิ้มให้ผมอย่างรักใคร่ นาทีนั้นผมน้ำตาแทบไหล ผมจะขายบ้านของปู่ แต่ปู่กลับไม่โกรธผม

หลังคืนนั้นผมยกเลิกการขายบ้านปู่ ทุกวันนี้บ้านหลังนี้ก็ยังอยู่ ปีหนึ่งผมจะไปนอนพักอย่างน้อยก็สองสามอาทิตย์และเลิกดูถูกความเชื่อทั้งหมดทั้งมวล ใครเจอกับตัวอย่างผมก็คงคิดแบบผมแหละ



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/54950982663366_view_resizing_images_1_.jpg)

ไอ้ทอง

เรื่องที่ผมจะเล่านี้เป็นเรื่องของนกครับ ไม่ใช่นกตัวเองเสียด้วย แต่เป็นนกของคนข้างบ้าน มันชื่อว่าไอ้ทองครับ

ไอ้ทองที่ว่าถ้าให้เดาจากชื่อคงเดากันถูกว่ามันคือนกขุนทอง ที่นิยมเลี้ยงเพื่อเป็นเพื่อนเล่นแก้เหงา

บางตัวที่เลียนเสียงเก่งๆ ก็จดจำและเลียนเสียงพูดของมนุษย์ได้ชนิดที่ว่าเหมือนเปี๊ยบ ผมยังเคยเห็นไอ้ตัวที่เขาเลี้ยงตามร้านอาหาร มันท่องเมนูอาหารได้หลายรายการเป็นที่สนุกสนานบันเทิงเริงใจของลูกค้าที่เข้ามาซื้อของเป็นอย่างยิ่ง บางตัวที่ผมเคยได้ยินทำได้กระทั่งร้องเพลง ไอ จาม เห่า เลียนเสียงสตาร์ตรถ เสียงเปิดปิดประตู หยั่งกะเครื่องบันทึกเสียงไม่มีผิด

ส่วนไอ้ทอง นกขุนทองที่แขวนกรงอยู่หน้าบ้านผมตอนนี้ มันไม่ค่อยเลียนเสียงแปลกประหลาดอะไร แต่ชอบเลียนเสียงเจ้าของของมันครับ แกมีชื่อว่ายายพร ยายพรรักไอ้ทองมาก เพราะตั้งแต่สามีแกตายไป แกก็อยู่บ้านเหงาๆในช่วงกลางวัน เพราะลูกสาวกับลูกเขยไปทำงานไม่ค่อยมีใครคุยด้วย บางวันแกก็เดินมาคุยกับแม่ผมบ้าง แต่เนื่องจากแม่ผมก็ยังทำงานช่วยมหาวิทยาลัยอยู่แม้เกษียณ ก็เลยไม่ค่อยได้อยู่เป็นเพื่อนยายพรเท่าไหร่

แกสอนประโยคเด็ดให้ไอ้ทองหลายประโยคอย่าง เห็นงานเป็นลมเห็นนมสู้ตาย อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกินอย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา ขี้เกียจตัวเป็นขนระวังจะจนไปทั้งชาติ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว เราก็เดาๆ กันได้ล่ะครับ ว่าแกตั้งใจจะส่งสารเหล่านี้ให้ลูกเขยที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับแกมาตลอดนั่นเอง

ลูกสาวยายพรทำงานบริษัท ไปเช้ากลับเย็น ลูกเขยยายพรเป็นคนขายผลไม้รถเข็นขายบ้างไม่ขายบ้างแล้วแต่อารมณ์ วันไหนขี้เกียจไปก็ไม่ไป มีข้ออ้างสารพัด ปวดแขน ปวดขา ปวดหัว วันพุธขายไม่ดี วันเสาร์คนไม่เดิน วันหวยออกคนไม่ค่อยซื้อผลไม้ นอนอยู่บ้านกินขนมดูทีวีไปวันๆ เสื้อผ้าจานชามไม่เคยช่วยซักช่วยล้าง บางทีก็กองไว้กลางบ้าน โดยไม่สนใจว่าเมียจะทำงานกลับมาเหนื่อยแค่ไหน ลูกสาวยายพรก็ไม่เคยปริปากบ่น มาก็เก็บก็ทำเอง เพราะยายพรเองด้วยความหมั่นไส้ลูกเขยก็ไม่ยอมทำให้ จะด่าก็เกรงใจลูก เลยใช้วิธีแดกดันและแขวะผ่านปากไอ้ทองแทน

ยายพรนี้อยู่บ้านลูกสาวก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ แกเป็นเท้าแชร์ที่มีคนเชื่อถือมาก แกบริหารวงแชร์ในหมู่บ้านอยู่ถึงสามวง แต่ละวงหนักๆ ทั้งนั้น หลักหมื่นหลักแสน และก็มีรายได้จากการเล่นแชร์มากกว่าเงินเดือนลูกสาวเสียอีก ทำให้บางทีแกก็ต้องเป็นฝ่ายช่วยเหลือออกค่าโน่นค่านี่ให้ และเวลาที่แกไม่อยู่ แกกลัวลูกเขยจะทำร้าย ไอ้ทองก็จะเอาไอ้ทองมาฝากแขวนที่บ้านผมประจำ บางทีไม่มีใครอยู่ก็เอาแขวนไว้เฉยๆ พวกเราเลยได้ยินประโยคใหม่ๆ อยู่เรื่อยและก็พากันหัวเราะชอบใจ แต่ผมว่าถ้าลูกเขยยายพรได้ยินคงไม่ขำด้วยแน่ๆ นอกจากนี้ยายพรยังรักต้นชวนชมต้นใหญ่ของแกมาก แกปลูกลงในกระถางมังกรใบใหญ่ วางบนพื้นดินใกล้กำแพงบ้านเรา ยังฝากบ่อยๆ ว่าถ้าแกไม่อยู่ฝากรดน้ำบ้าง ซึ่งแม่ผมก็รดให้บ่อยๆ จนออกดอกสีชมพูงามสะพรั่งเป็นที่น่าเชิดหน้าชูตายายพร

ต่อมาบ้านเราก็ต้องสะดุ้งตื่นกันกลางดึกเพราะได้ยินเสียงทะเลาะเบาะแว้งโวยวายดังมาจากบ้านยายพร เป็นเสียงยายพรกับลูกเขยทะเลาะกันดังลั่น และได้ยินเสียงลูกสาวร้องห้ามเป็นระยะ

ตามวิสัยเพื่อนบ้านที่ดีก็ต้องสอดส่องดูแลกัน ผมกับแม่เลยพากันเดินไปแอบฟังข้างกำแพงจนได้ความว่า เจ้าลูกเขยยายพรอยากได้มอเตอร์ไซค์ใหม่ เลยบอกให้เมียขอเงินแม่มาออกรถให้หน่อย เมียก็ว่าง่ายเดินไปขอเงินแม่ซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่ให้สามี ทีนี้ไอ้ที่สะสมมาเหมือนระเบิดเวลามันก็เลยระเบิดตูม

ยายพรด่าลูกเขยไฟแลบที่แบบสุภาพและหยาบคาย เนื้อหาหลักๆ ก็คือเรื่องที่ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย ขี้เกียจสันหลังยาวเป็นภาระให้ลูกสาวแก นี่แหละ ซึ่งก็คงแทงใจดำเจ้าหนุ่มนั่นจนทนไม่ไหว เดินออกจากบ้านแล้วคว้ารถมอเตอร์ไซค์คันเก่าขับออกไป

หลังจากวันนั้นเราก็ไม่ได้เห็นยายพรอีกเลย ลูกสาวยายพรว่าเป็นห่วงแม่เพราะเพิ่งบ่นว่ามีเรื่องกับคนในวงแชร์สองสามคนเรื่องเงินๆ ทองๆ ติดต่อไปที่บ้านตจว.ก็ไม่มีใครเห็น ส่วนลูกเขยยายพรกลับมาอยู่บ้านได้สองสามวันก็หายหน้าไป โดยก่อนหน้านั้นเอากรงไอ้ทองมาแขวนไว้หน้าบ้านผมโดยไม่บอกอะไรสักอย่าง

สุดท้ายแล้ว ผมและแม่ตัดสินใจพากันไปแจ้งความโดยโกหกตำรวจว่าได้กลิ่นเหม็นเน่าแปลกๆ ลอยออกมาจากข้างบ้านและสงสัยว่าจะเป็นบริเวณใต้กระถางมังกรที่ปลูกชวนชมสีชมพูสวยต้นนั้นแหละ แต่ก็ลังเลกันนิดหน่อยว่าจะเล่าดีไหม ว่าเหตุผลจริงๆ แล้วที่เราแน่ใจเรื่องศพยายพร ก็เพราะเสียงไอ้ทองที่มันพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนยายพรเปี๊ยบทุกคืนตอนตีหนึ่งว่า

"เอากูออกไปที กูอยู่ใต้กระถางชวนชม"



บลูวาฬมรณะ

ต้นอ้อเปิดดูถ่ายทอดสดเด็กสาวที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าจอด้วยความรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ใจหนึ่งเธอก็ภาวนาว่า สิ่งที่จะเห็นในไลฟ์น่าจะแค่ภาพของเด็กสาวรุ่นเดียวกับเธอที่ถูกบุคคลลึกลับบังคับให้ทำอะไรแปลกๆถ่ายทอดสดอย่างที่เธอเคยเห็นหลายคนทำมาแล้ว ทั้งกรีดข้อมือ เปลือยอก เอาบุหรี่ติดไฟจี้หน้าผากตัวเอง เอากรรไกรตัดติ่งหู เอาเข็มเจาะทะลุจมูก…ใช่ ที่ว่ามาทั้งหมดที่เธอเคยเห็นนั้นล้วนแต่เลวร้าย แต่สิ่งที่เธอกำลังกลัวนี้เลวร้ายยิ่งกว่า

เด็กสาวในไลฟ์มีท่าทางหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น มองไปรอบๆ ตัว ดูเหมือนเธอคลิกเปิดอะไรสักอย่างในหน้าจอคอมพ์อ่าน ก่อนที่จะ ยกสองมือขึ้นปิดปากร้องไห้โฮลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างด้านหลังคล้องเชือกกับเหล็กดัดด้านหลังแล้วทำบ่วงแขวนคอตัวเอง

ในเวลานี้หลายคนที่กำลังดูถ่ายทอดสดอยู่ก็พากันตกใจและเอะอะถามกันว่ารู้หรือไม่ว่าเด็กหญิงคนนี้อยู่ที่ไหน หลายคนก็พากันบอกว่าจะโทร.แจ้งความ แต่ก็มีบางส่วนที่ร้องเชียร์ให้เธอฆ่าตัวตายให้สำเร็จ ในขณะที่อีกส่วนก็เชื่อว่าสิ่งที่กำลังดูเป็นเรื่องหลอกลวงแหกตากัน เป็นการแสดงละคร ต้นอ้อเบิกตาโพลงตัวสั่น น้ำตาไหลพราก จ้องมองเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังดิ้นทุรนทุรายตาไม่กะพริบ เธอไม่ได้อยากดูของพวกนี้เลย แต่เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

จนกระทั่งร่างของเด็กสาวในจอกระตุกเป็นจังหวะ ห่างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขาดใจตายไป หลังจากนั้นต้นอ้อยังคงจ้องมองเด็กสาวที่เพิ่งกลายเป็นศพไปต่อหน้าต่อตาอยู่อีกนานราวห้านาที จึงมีคนบุกเข้าไปในห้องนั้น ยกร่างไร้วิญญาณออกจากเส้นเชือก และใครคนหนึ่งก็เดินมาปิดกล้องตัดสัญญาณ

ต้นอ้อร้องไห้โฮ เธอรู้ดีว่าอีกไม่นานหลังจากนี้เธอก็คงไม่ต่างไปจากเด็กสาวที่เพิ่งดูไปเมื่อครู่ เพราะเธอเองก็ตกเป็นเหยื่อของเกมบลูวาฬด้วยเช่นกัน และหากยังไม่มีใครที่สามารถจะคิดวิธีตัดวงจรหรือแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็คงมีคนอีกจำนวนมากที่ต้องตายอย่างเด็กสาวนั่น

เรื่องมันเริ่มมาจากเมื่อราวเดือนก่อน เธอได้รับข้อความจากคนแปลกหน้า ส่งมาทางกล่องข้อความในเฟซบุ๊ก เนื่องจากรูปโปรไฟล์ก็เป็นเด็กสาวหน้าตาดีอายุเท่าๆ กัน ต้นอ้อเลยเข้าใจว่า อาจจะเป็นเพื่อนของเพื่อนขอแอดเข้ามา เธอเลยกดอ่านข้อความนั้นอย่างง่ายดาย และเมื่อเห็นเป็นภาพวาฬสีน้ำเงินที่กำลังลอยอยู่บนฟ้า ทีแรกก็ประหลาดใจพอสมควร เพราะนอกจากรูปนั้นแล้วก็ไม่มีข้อความอื่นใดที่พยายามจะสื่อสารกับเธออีก ต้นอ้อดูภาพนั้นยังคิดว่าภาพสวยดี แต่แล้วก็หมดความสนใจ ปิดข้อความแล้วไปทำอย่างอื่นจนลืมเรื่องภาพนั้นไปสิ้น

จนกระทั่งวันต่อมา ต้นอ้อก็ได้เห็นรายงานข่าวต่างประเทศ ว่าทางการรัสเซียเปิดเผยข้อมูลการฆ่าตัวตายต่อเนื่องกันของวัยรุ่นรัสเซียจำนวนมากกว่า 130 คน ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกันอย่างน่าประหลาด ว่าน่าจะมาจากเกมมรณะที่มีชื่อว่าบลูวาฬ

โดยเหยื่อในเกมนี้จะเป็นวัยรุ่นหน้าตาดีหรือมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย เหยื่อจะได้รับข้อความที่มีรูปวาฬสีน้ำเงินขนาดมหึมาลอยอยู่บนฟ้า โทนของภาพแสดงความรู้สึกเหงา อ้างว้างโดดเดี่ยว เหยื่อที่ได้รับและเปิดดู จะมีการติดต่อลึกลับเข้ามาทางกล่องข้อความหรือโทรศัพท์ บอกว่าได้เข้ามาอยู่ในเกมแล้ว และถ้าอยากรอดชีวิต ต้องทำภารกิจให้ครบ 50 ข้อ ตามโจทย์ที่จะส่งให้มาเรื่อยๆ และห้ามเล่าให้ใครฟัง ไม่อย่างนั้นจะถูกผู้จัดเกมตามไปฆ่าอย่างทารุณ ทำให้เหยื่อเกิดความกลัวต้องยอมทำตาม และหลายคนที่รอดชีวิตระบุว่า จะมีช่วงเวลาที่รู้สึกเหมือนถูกสะกดให้เชื่อว่าโลกนี้เลวร้าย ต้องฆ่าตัวตายเพื่อไปพบโลกใหม่ที่ดีกว่าเดิม อย่างไรก็ดี เกมนี้จะทำอันตรายใครไม่ได้หากผู้นั้นไม่เปิดดูรูปที่ส่งมา

ต้นอ้อฟังข่าวแล้วรู้สึกวูบในใจเหงื่อแตกเต็มตัว รีบลนลานยกรีโมตทีวีปิดข่าว เพราะรู้สึกเหมือนอาถรรพ์หรือโชคร้ายจะโดดออกมาจากทีวีหากรอฟังจนข่าวจบ นี่มันเรื่องบังเอิญละมั้ง รูปวาฬสีน้ำเงินนั่น อาจจะมีเพื่อนสักคนอวตารโปรไฟล์เฟซบุ๊กแล้วส่งมาแกล้งเธอก็ได้

วันนั้นเอง ที่ต้นอ้อเริ่มได้รับข้อความลึกลับจากคนที่ส่งรูปวาฬสีน้ำเงินให้เธอ

“ขอต้อนรับคุณต้นอ้อ ผู้เล่นคนใหม่ สาวน้อยอายุ 14 ปี เข้าสู่เกมบลูวาฬของเรา ทำให้ครบ 50 ข้อตามที่เราสั่ง หากข้ามข้อใดข้อหนึ่ง เราจะตามไปหาคุณถึงที่บ้าน และจัดการปิดเกมให้กับคุณเหมือนผู้เล่นเหล่านี้ เกมนี้ไม่มีรางวัลให้ แต่เราจะไว้ชีวิตคุณหากทำสำเร็จ”

หลังจากนั้นปรากฏเป็นภาพถ่ายอันน่าสยดสยอง ศพของวัยรุ่นหลายคนที่สภาพศพยับเยิน เลือดนองแดงฉานเต็มภาพไปหมด ต้นอ้อร้องวี้ดออกมา หน้าซีดตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวถึงที่สุด

“ภารกิจแรกของคุณต้นอ้อ…โยนแมวของคุณลงมาทางหน้าต่าง”

เด็กสาวใจสั่นน้ำตาคลอ หันไปมองแมวสีเทาที่นอนอยู่บนโต๊ะหนังสือของเธอด้วยความรู้สึกสับสน
 
จริงๆ แล้ว บ้านเธอก็มีแค่สองชั้น ห้องของต้นอ้ออยู่ชั้นสอง เธอลุกขึ้นมองลงไปด้านล่างหน้าต่าง เป็นว่าก็ไม่ได้สูงเท่าไหร่ แถมเจ้า เหมียวก็โดดหนีไปเที่ยวทางนี้อยู่บ่อยๆ ต้นอ้อได้ยินเสียงเตือนว่ามีข้อความในกล่องแช็ตเข้า เธอรีบหันไปมอง ก็เห็นข้อความส่งมาบอกให้รีบทำตามคำสั่งข้อที่ 1 ภายใน 10 วินาทีแล้วข้อความต่อมาเป็นตัวเลขขึ้นมาติดๆ กัน 10 9 8 7…

ต้นอ้อลนลานคว้าแมวของเธอโยนออกไปนอกหน้าต่างทันที เจ้าเหมียวดูตื่นตกใจนิดหน่อย แต่ก็สามารถพลิกตัวลงยืนที่พื้นได้อย่างสวัสดิภาพ และงงงวย เด็กสาวมองตามแล้วถอนหายใจโล่งอก ตัวเลขนับถอยหลังหยุดลง หลังจากนั้นข้อความขึ้นว่า “ภารกิจที่ 1 สำเร็จ”

เด็กสาวทั้งโล่งใจทั้งใจหาย ทีแรกเธอก็ก้ำกึ่งว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องอำกัน แต่ใครคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้เธอได้ทำตามคำสั่งแล้วจริงๆ ต้นอ้อ มองไปรอบตัวอย่างหวาดๆ รู้สึกเหมือนมีดวงตาลึกลับกำลังเฝ้ามองเธออยู่จากที่ไหนสักแห่ง

หลังจากนั้น “บลูวาฬ” ก็ทยอยสั่งให้เธอทำสิ่งต่างๆ ยากบ้าง ง่ายบ้าง วันละ 1 คำสั่ง เช่น ไม่ใส่กางเกงในไปโรงเรียน เต้นโชว์ในไลฟ์ เฟซบุ๊ก เอามีดกรีดต้นขาเป็นรูปหัวใจเล็กๆ ด้วยความ กลัว ต้นอ้อก็ยอมทำตาม ในระหว่างนี้ ก็เริ่มมีข่าวลือแพร่สะพัดเกมบลูวาฬได้แพร่เข้ามาในประเทศไทยแล้ว และเริ่มมีเด็กวัยรุ่นหลายคนเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ตอนนี้ตำรวจกำลังติดตามหาต้นทางของคนที่ควบคุมเกมนี้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน และมีวัตถุประสงค์อย่างไรกันแน่

ข่าวยังรายงานต่อไปอีกว่า ในรัสเซียได้พบตัวชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่ร่วมขบวนการบลูวาฬ เขาปฏิเสธที่จะให้การซัดทอดผู้ร่วมขบวนการ คนอื่นๆ และกล่าวว่า เขาไม่เคยล่อหลอกเด็กๆ ที่ฆ่าตัวตายเหล่านั้น เขาเพียงเสนอสิ่งที่เด็กๆ เหล่านั้นขาดและต้องการ นั่นคือความรู้สึกว่ามีใครสักคนต้องการและใส่ใจ รวมถึงเพื่อนพ้องที่เข้าใจ ชายคนนั้นยังว่า เขาได้มอบโอกาสให้เด็กวัยรุ่นเหล่านั้นได้เลือกเส้นทางของตัวเองในโลกใหม่หลังความตายอีกด้วย

ถึงตอนนี้ต้นอ้อรู้สึกแปลกไป ส่วนหนึ่งก็ดีใจที่เรื่องที่เธอถูกกระทำอยู่นี้กำลังเป็นที่รับรู้และอาจได้รับความช่วยเหลือในเร็ววัน แต่อีกใจหนึ่งก็กลับ รู้สึกโหวงๆ เสียดายอะไรบางอย่างที่เธอก็อธิบายไม่ได้ ตอนนี้เธอทำภารกิจมาได้ 40 อย่างแล้ว อีกเพียง 10 อย่างก็จะได้เป็นไทแก่ตัว บลูวาฬทำให้เธอรู้สึกว่า สิ่งต่างๆ ที่ถูกสั่งให้ทำบลูวาฬต้องการให้เธอได้เรียนรู้ว่าโลกนี้โหดร้ายแค่ไหน ทุกครั้งที่เธอไลฟ์หรือโพสต์การทำร้ายตัวเอง การเต้น หรือการถ่ายโป๊ ข้อความที่ส่งเข้ามาในเวลาเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยข้อความที่ดูถูกเหยียดหยาม ล้อเลียน ด่าทอ กว่าครึ่งเชียร์ให้เธอทำมันให้เลวร้ายลงไปอีก ทำให้รุนแรงขึ้น โป๊ขึ้น โหดขึ้น เกินกว่าคำสั่งของบลูวาฬ แทบไม่มีใครในนั้นที่ใส่ใจห่วงใยเธอจริงๆ เลยสักคน ไม่มีใครถามว่าทำไมเธอถึงทำแบบนี้ ไม่มีเพื่อนคนไหนพยายามจะช่วย

บลูวาฬเน้นความคิดนั้นให้กับเธออีกครั้ง ว่าการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เป็นความทุกข์ เป็น คำสาปของมวลมนุษยชาติ คนที่พ้นจากโลกนี้ไปได้เร็วกว่าคือคนที่โชคดีกว่า บลูวาฬสอนให้เธอเชื่อว่าการฆ่าตัวตายของเพื่อนๆ ที่ทำไปก่อนหน้านั้นเป็นทางเลือกที่อิสรเสรี และเพื่อนๆ ที่ถูกเลือกสรรแล้วเหล่านั้นก็กำลังรอเพื่อนใหม่ ให้ไปสมทบอยู่ในโลกเดียวกัน

ต้นอ้อน้ำตารื้น สิ่งหนึ่งที่ค้างคาใจเธออยู่คือไลฟ์สดเด็กหญิงที่ผูกคอตายที่เธอเคยถูกบังคับให้ดูเป็นภารกิจหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้นั้น ดูไม่มีความสุขหรือเต็มใจจะตายอย่างที่บลูวาฬว่าไว้เลย ดูเหมือนเธอจำใจต้องทำเพราะอะไรสักอยางที่มากับข้อความหน้าจอคอมพิวเตอร์มากกว่า

จนวันต่อมา ขณะที่ต้นอ้อนั่งรอคำสั่งภารกิจต่อไปจากบลูวาฬที่หน้าจอ เพื่อนร่วมชั้นที่เคยสนิทกับต้นอ้อ แนนนี่ ก็ทักเข้ามาพอดี แนนนี่บอกว่าได้รับข้อความลึกลับจากคนที่ไม่รู้จัก แต่ไม่กล้าเปิดดู กลัวจะเป็นข้อความต้องคำสาปเหมือนที่เห็นในข่าว

ต้นอ้อหน้าชา ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ในขณะที่บลูวาฬส่งคำสั่งที่ 41 มาให้พอดี “ให้เลือกระหว่างปล่อยให้แนนนี่เปิดข้อความอ่านแล้วเข้าสู่เกม หรือจบตรงนี้ด้วยการตอบตกลง เพื่อแลกกับ 9 ข้อที่เหลือ แนนนี่จะได้ไปสู่โลกใหม่ทันที”

ทางเลือกช่างน้อยนิด ในที่สุดต้นอ้อเลือกทางที่ไม่ต้องทุกข์ทรมานให้เพื่อนด้วยการตอบตกลง และสักพักภาพบนจอก็ปรากฏภาพศพของแนนนี่ขึ้นมา เพื่อนรักนอนจมกองเลือดตัวแดงฉาน ดวงตาเบิกค้าง ภาพนั้นน่ากลัวจนต้นอ้อหัวใจกระตุก และเหมือนจะได้สติขึ้นมา “นี่เราทำอะไรลงไป”

เด็กสาวตั้งสติได้ ทั้งๆ ที่ร้องไห้ด้วยความตกใจกลัวและรู้สึกผิด เธอกำลังจะวิ่งลงไปบอกพ่อแม่เพื่อแจ้งความจับบลูวาฬ แต่ข้อความต่อไปก็ปรากฏขึ้นมาก่อน

เป็นภาพแม่ของเธอกำลังนอนหลับอยู่อีกห้อง “ภารกิจสุดท้าย เปิดวิดิโอไลฟ์แบบสาธารณะ และแขวนคอตาย หรือเลือกให้เราปลดปล่อยแม่ของคุณ”

ภาพถ่ายแม่ที่กำลังนอนถูกส่งเข้ามาเรื่อยๆ ในขณะที่ต้นอ้อร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัว ภาพนั้นดูราวกับว่าใครบางคนกำลังเข้าใกล้แม่ของเธอไปเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวเลขเริ่มนับถอยหลังจาก 20 คนที่ชมไลฟ์สดมองเห็นเธอหยิบเชือกที่เตรียมไว้มามัดกับเหล็กดัดแล้วค่อยๆ คล้องเข้ากับคอตัวเอง

ต้นอ้อร้องไห้สะอึกสะอื้นขณะอ่านคอมเมนต์สุดท้ายใต้วิดีโอ

“พวกสิ้นคิดเรียกร้องความสนใจอีกแล้ว แน่จริงแขวนเลยดิ เอาเลย เอาให้ตายนะ เอาเลย”


ข่าวสดออนไลน์


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 19 กันยายน 2560 14:41:44

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/16277797809905_view_resizing_images_1_.jpg)

เรื่องที่อยากบอก

แอนตายแล้ว ผมเฝ้าบอกตัวเองเช่นนี้ บอกมาตลอดสองเดือน บอกทุกครั้งที่จะกินข้าว เข้านอน นั่งดูทีวี อยู่ในบ้านที่เราร่วมกันเก็บเงินมาซื้อ หมายมั่นปั้นมือจะสร้างชีวิต สร้างครอบครัวร่วมกัน จะมีลูกด้วยกันสักสองคน แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงไปแล้ว

เวลาที่ยากลำบาก ทรมานที่สุดคือตอนเช้า เมื่อตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงอย่างโดดเดี่ยว ในบางวันยังเผลอคิดว่าแอนแค่เข้าห้องน้ำ รอเป็นนานสองนานก็ยังไม่เดินออกมา จนร้องเรียกเธอออกไปแล้ว หูได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่อแอน จึงนึกได้ว่ แอนไม่มีวันออกมาจากห้องน้ำหรือนอนเคียงข้างผมบนเตียงหลังนี้อีกแล้ว

เวลาเพียงสามปีที่เราได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ช่างเป็นความหอมหวานงดงามที่แสนสั้นเหมือนช่วงชีวิตผีเสื้อปีกสวย ผมรู้สึกว่าเรากอดกันน้อยเกินไป หอมกันน้อยเกินไป และกินข้าวร่วมกันน้อยเกินไป อันที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ไม่มีใครผิด แต่ผมกลับโทษลูก ลูกที่เราทั้งคู่ไม่มีวันได้พบหน้าหรืออุ้มกอดให้สมใจได้ เพราะได้ตายจากไปพร้อมกับแม่ของแกเสียแล้วด้วยอายุครรภ์เพียงห้าเดือน แอนอุ้มท้องต่อทั้งๆ ที่หมอแนะนำให้เอาออกเพราะเด็กไม่สมบูรณ์ แอนรู้อยู่เต็มอกว่าอาจถึงตาย แต่ก็เสี่ยง เรื่องนี้ทำให้ผมโกรธและโทษเด็กนรกนั่นเมื่อแอนจากไปแล้ว

เวลาผ่านไป เหมือนมันไม่เคยผ่านไป สองเดือนเต็มที่ผมทำใจไม่เคยได้ แถมยังรู้สึกว่าแอนยังคงเดินวนเวียนอยู่ในบ้านของเรา หลายคนขอร้องให้ผมย้ายบ้าน ขายบ้านทิ้งซะ แต่ผมทิ้งแอนไม่ได้ ความทรงจำเกี่ยวกับแอนทั้งหมดยังคงอยู่ที่นี่ ยังอยู่กับบ้าน อยู่กับผมทุกชั่วลมหายใจ ผมจะทิ้งไปได้อย่างไร ผมคุยกับผู้คนน้อยลงเลิกใช้โซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก ทั้งไลน์ เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม จนใครต่อใครเป็นห่วง บางคนถึงกับตามมาเยี่ยมหาที่บ้าน แม้กระทั่งคนที่ไม่ยอมมาหาเพราะกลัวผีขึ้นสมองอย่างอี๊ดน้องสาวผมมันก็ยังมา

อี๊ดมันรู้สึกได้จากน้ำเสียงของผมทางโทรศัพท์ ว่ากำลังอาการหนักเลยเป็นห่วง และได้รับคำสั่งจากแม่ให้มาอยู่เป็นเพื่อนผมสักพัก และอี๊ดนี่แหละที่ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ได้คิดไปเองเรื่องแอน...

ทันทีที่ไอ้อี๊ดก้าวเข้ามาในบ้าน มันก็สะดุ้งเฮือก เหงื่อแตกหน้าซีดทันที ลืมเล่าไปครับ ไอ้อี๊ดเป็นประเภทคนมีจิตสัมผัส มันกลัวผีแบบขี้ขึ้นสมองเลยล่ะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ามันก็ดันเป็นคนเห็นผี เห็นเยอะ เห็นจริง เห็นชัวร์กว่าไอ้พวกที่เขาเอาไปออกรายการทีวีเสียอีก เห็นทีไรก็เหงื่อแตกหน้าซีดแบบนี้ทุกทีและนั่นแหละคือเหตุผลที่ผมเบื่อจะทัก รอให้มันเล่าเอง

ก็แปลกที่คราวนี้อี๊ดดันไม่ยอมเล่า ทั้งที่ปกติเจอปุ๊บเล่าปั๊บแถมยังชอบเข้ามาเกาะผมหาพวก เป็นไปได้ว่ามันคงเห็นผมยังอยู่ในอาการโศกเศร้า ไม่ค่อยพร้อมที่จะรับฟัง แต่เมื่อมันอยู่บ้านผมได้สักสามวันมันก็เดินมาหาน้ำตาคลอ ไม่ได้ซึ้งหรอกฮะ มันกลัว

"พี่ต้นๆ พี่ต้นอย่าโกรธหนูนะ" อี๊ดเริ่มอินโทรผมก็รู้เลยว่ามันต้องเห็นแอนแน่ๆ "คือหนูไม่ไหวแล้ว" ว่าแล้วมันก็ร้องไห้โฮออกมา มันว่ามันมาถึงบ้านวันแรกก็เห็นแอนนั่งทำหน้าเครียดอยู่ที่โซฟา ทีแรกๆ ก็ดูไม่ค่อยสนใจมัน แต่เดินตามผมไปมาทั่วบ้านเหมือนพยายามจะพูดบอกอะไรสักอย่าง เป็นร่างเงาจางๆ สีเทาๆ แต่พอสักพัก แอนคงเริ่มสังเกตเห็นว่าอี๊ดมองเห็นเธอ ทีนี้เลยมาตามอี๊ดแทน

น้องสาวผมด้วยความกลัวผีแต่ก็ห่วงพี่ ไม่เล่าให้พี่ฟัง ใช้วิธีเดินหนีผีเอาเอง ทำเป็นไม่ได้ยินบ้าง เดินออกไปนอกบ้านบ้าง แต่ว่าผีแอนก็ยังคงตามและพยายามพูดอะไรบางอย่างกับเธอ

"แอนรักพี่ต้น พี่แอนเขาพูดประโยคนี้ประโยคเดียวซ้ำไปมา ท่าทางดูกระวนกระวาย ไม่รู้ทำไม" อี๊ดเล่า

ผมได้ยินอย่างนั้น น้ำตาที่แห้งแล้วจู่ๆ ก็ไหลพรั่งลงมาอีก ผมจุดธูปดอกหนึ่ง ปักลงในแจกันดอกไม้ที่แอนชอบ พูดในใจว่า ถ้าหากแอนรับรู้ขอให้รู้ว่าผมก็รักแอนเช่นกัน

แต่ทว่ากลับไม่จบเช่นนั้น อี๊ดบอกว่าแอนยังคงตามมาพูดว่า แอนรักพี่ต้นอยู่เรื่อยๆ ไม่ยอมไปไหน แต่คราวนี้มีเพิ่มเติมคือชี้มือไปที่คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กสีฟ้าของเธอที่ตั้งอยู่กลางห้อง

ผมกับอี๊ดเลยพากันไปเปิดโน้ตบุ๊กของแอนดู ปรากฏว่า แอนได้พิมพ์จดหมายไว้ฉบับหนึ่ง วางไฟล์ไว้กลางเดสก์ท็อป ชื่อไฟล์ "ถึงพี่ต้น" ในนั้นเขียนไว้ว่า หากการตัดสินใจเก็บลูกไว้มันจบไม่ดี แล้วเธอตายไปเสียก่อน เธอขอโทษ และแอนได้สะสมเงินไว้จำนวนหนึ่งมานานแล้ว ตั้งใจจะเก็บไว้ให้ลูกในอนาคต เธอขอมอบให้ผม โดยเข้าไปจัดการได้ที่บัญชีออนไลน์ของธนาคารหนึ่ง

ผมลองเข้าไปตามที่เธอว่า ก็เห็นว่าระบบมีการขึ้นยูสเซอร์เนมให้อัตโนมัติ แต่พาสเวิร์ดยังว่างไว้ ผมพยายามลองเดาดูว่าเธอจะตั้งรหัสอะไร แต่ก็ผิดสองครั้ง จนครั้งที่สามซึ่งถ้าผิดอีกบัญชีจะถูกระงับ อี๊ดก็พูดขึ้นว่า พี่ต้นจะเดาอะไรอีก พี่แอนเขาบอกมาเป็นสิบๆ รอบแล้ว

ผมนิ่งอึ้งไปแล้วลองกรอก Annrukton แล้ว เอ็นเตอร์...

หน้าจอบัญชีของแอนแสดงขึ้นมาทันที เงินที่เธอสะสมไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว ผมน้ำตาร่วงลงคีย์บอร์ด ตอนที่อี๊ดแตะมือบนบ่าผมร้องไห้สะอึกสะอื้นเช่นกัน "พี่ต้น พี่แอนเขาบอกว่าแอนรักพี่ต้นอีกแล้ว แต่คราวนี้เขายิ้ม แล้วก็เดินหายไปแล้วล่ะ"



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/31457790649599_2_129_696x390_1_.jpg)

งั่งตาแดง

ตั้งแต่ผมกับเมียหมางเมินกันมา ก็ราวๆ สองปีมาแล้ว สองปีที่ผมต้องทนขมขื่นอยู่ร่วมบ้านเดียวกันแต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลก ทั้งๆ ที่ผมเฝ้าขอโทษเธอครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว

เรื่องมันเริ่มมาจากเมื่อตอนนั้น ที่ทำงานของผมรับน้องๆ นักศึกษามาฝึกงานก่อนจบ ก็มีน้องแหวว น้องนิสิตบัญชี เข้ามาฝึกงานที่แผนกข้างๆ ผม น้องเขาเป็นคนเรียบร้อย น่ารัก และดูขี้อาย หน้าตาก็ธรรมดาครับ ไม่ได้สะสวยโดดเด่นอะไร ตัวเล็กๆ ผิวสองสี แต่เป็นคนใจดีมีน้ำใจ มักจะอาสาช่วยงานคนโน้นคนนี้หรือมีอะไรต่ออะไรมาฝากเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ก็แน่นอนว่าผมอยู่ใกล้ก็พลอยได้รับอานิสงค์ไปด้วย

ผมเห็นว่าน้องเขามีมิตรจิตมิตรใจกันก็อยากตอบแทนบ้าง ก็เลยอาสาไปส่งเขาตอนเย็นๆ กลับหอ ส่งกันไปมาก็พากันกินข้าวบ้าง ดูหนังบ้าง แหววเป็นคนน่าสงสาร เธอไม่มั่นใจ มักจะรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า การที่มีผมมาคอยเอาใจใส่เป็นห่วงเป็นใยเธอเลยกลายเป็นเรื่องพิเศษขึ้นมา ผมเองเรียนจบ ทำงาน แต่งงานมาหลายปี เรื่องพวกนี้ก็แห้งแล้งจืดจางลงไปมาก ในที่สุดสถานการณ์ก็เลยทำให้ผมกับแหววกลายเป็นคนพิเศษของกันและกัน

ถามว่าถึงไหนไหม จริงๆ ก็ไม่ถึงไหนเท่าไหร่หรอกครับ ว่ากันตรงๆ ก็ยังไม่ได้กันนี่แหละ อย่างมากก็จับมือโอบไหล่ หอมแก้ม แต่ผมดูออกว่าแหววก็แอบหวังกับผมมาก แต่กระนั้นเธอก็วิตกกังวล เครียด รู้สึกผิดไปตามประสาผู้หญิงดีๆ ที่ไม่อยากแย่งสามีคนอื่น

จุดแตกหักมาอยู่ตรงที่แหววดันประสาทเสีย แอบเอาไลน์เมียผมมาแอดแล้วเข้าไปคุยกับเมียผมเอง ขอโทษขอโพยที่เข้ามาเป็นมือที่สาม บอกรู้สึกผิดอย่างงั้นอย่างงี้ เมียผมก็เลยรู้ความจริงว่าที่ผมหายๆ ไปหลังเลิกงานหรือวันหยุดนั่นหายไปไหน เราทะเลาะกันใหญ่โตมาก แล้วก็เสียงของเมียเงียบหายไป

หลังจากวันนั้นแหววไม่มาทำงานอีก ผมก็โกรธจนไม่อยากจะไปตาม ส่วนเมียผมเลิกพูดกับผมไปเลย เลี่ยงได้เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ก็พยักหน้าอือออตามที่จำเป็น เรื่องอย่างว่าไม่ต้องพูดถึง แตะตัวยังไม่ยอมให้แตะ มิหนำซ้ำพ่อแม่เร่งอยากมีหลานอีก ดยที่ผมก็บอกพวกท่านไม่ได้ว่าเพราะอะไร

เล่ามาถึงตอนนี้คุณคงพอนึกออกกันแล้วว่าทำไมถึงขมขื่น ความทุกข์ของผมมันคงเห็นได้ชัดจนขนาดเพื่อนร่วมงานหลายคนที่เอาใจช่วยพากันเป็นห่วง และใครคนหนึ่งก็ได้แนะนำให้ผมรู้จักกับ “งั่งตาแดง”

สารภาพเลยว่าเกิดมาก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ คำว่า งั่ง แบบที่ไม่ได้ใช้ด่าคนว่าโง่หรือซื่อบื้อ งั่งนี้เขาว่าให้คุณทางเสน่ห์ จะดึงดูดเพศตรงข้ามให้เข้ามาหา พี่ที่ทำงานของผมพกงั่งนี่ติดตัวตลอดและก็ควงสาวให้เห็นไม่ซ้ำหน้าจริงๆ เสียด้วย

ผมจ่ายค่าบูชาไป 9,999 บาทถ้วน เพื่อจะได้งั่งมา 1 ตัว เป็นงั่งเนื้อสัมฤทธิ์ ดวงตาประดับพลอยสีแดงก่ำเหมือนเลือด พี่เขาบอกว่าถ้าอยากให้ขลังให้เซ่นด้วยเลือดประจำเดือนผู้หญิง แต่แบบผมไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ จะไปเอาที่ไหน แค่ฟังก็สกปรก

พกได้สองสามวันก็ได้เรื่อง อยู่ดีๆ เพื่อนสาวๆ น่ารักๆ ในเฟซก็พากันทักมาคุยมุ้งมิ้งด้วยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มาที่ทำงานรุ่นน้องน่ารักๆ ทั้งที่มีสามีแล้วและยังไม่มีต่างก็พากันยิ้มหวานให้ บางคนถึงกับชงกาแฟเดินเอามาให้เฉยๆ ทั้งที่ปกติไม่เคยพูดกันด้วยซ้ำ ตอนหลังเลยแค่เอามาใส่ไว้ที่ใต้ที่นอนที่บ้าน เพื่อเรียกเมียของผมให้กลับมาดีกันเหมือนเดิม ไม่เอาคนอื่น เบื่อความวุ่นวายเต็มที

ของเขาแรงจริงๆ ครับ เอางั่งมาใส่ใต้ที่นอนแค่วันแรก เมียผมก็เรียกผมไปกินข้าวฝีมือเธอที่ผมไม่ได้กินมานาน เธอยิ้มให้อย่างที่ไม่ได้เห็นมานานเช่นกัน บรรยากาศในบ้านพลิกกลับหน้ามือเป็นหลังมือ คืนนั้นผมได้กลับมากอดเธออีกครั้ง ถึงจะแค่กอดแค่นั้นก็ทำให้จิตใจที่ย่ำแย่ของผมกลับคืนมาสดใสอีกครั้ง

ผมแฮปปี้กับชีวิตมากและตั้งใจว่าต่อไปนี้จะไม่เอาเรื่องปวดหัวมาใส่ตัวอีก แต่เย็นนั้นเอง เมียผมก็เล่าว่าเธอเจอเรื่องแปลกๆ รู้สึกเหมือนมีใครอีกคนอยู่ในบ้าน คอยเดินตาม บางทีเหมือนมีคนแอบดูตอนอาบน้ำ

ผมขนลุกซู่ นึกถึงงั่งตัวนั้น รีบกลับบ้านมาดู ก็ไม่พบตรงที่เดิม เลยออกเดินตามหา ปรากฏว่ามาพบที่พื้นซอกหนึ่งของห้องน้ำ ตามตำราเลยทีเดียว เลยรีบเก็บกลับมาก่อนที่เมียจะเห็น

คืนนั้น ผมกับเมียมีความคืบหน้ามากขึ้น และกำลังจะมีอะไรกัน ระหว่างที่ผมสไลด์ตัวลงต่ำจะทำรักให้เมียด้วยปาก ก็ได้ยินเสียงกรี๊ดและตัวลอยไปกระแทกฝาดังโครม เมียผมบอกว่าเห็นหน้าผมกลายเป็นหน้าผี ดวงตาสีแดงก่ำแลบลิ้นยาว เลยถีบขาคู่เข้าให้

เรื่องของงั่งนี่มาพีกอีกทีที่ตอนเช้าผมหามันเพื่อจะเอาไปขายต่อหรือโยนทิ้งที่วัดเพราะทนความหลอนไม่ไหว หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ไปเจออีกทีก็ตอนที่เมียจะเอาผ้าไปซักแล้วร้องโวยวายว่าตัวอะไรอยู่ในตะกร้ากางเกงในเปื้อนเมนส์ของเธอ …

งั่งตาแดงตัวเดิมนั่นเองครับ พันอยู่กับกางเกงในเมียแน่นทีเดียว



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/42512999930315_1_296_696x382_1_.jpg)

งั่งคู่

เรากับน้องสาวเข้ามาอยู่บ้านในกทม.ได้สักสองปีแล้วค่ะ บ้านนี้แต่เดิมเป็นบ้านของพ่อกับแม่ แต่พ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบความจอแจแออัดวุ่นวาย เลยปล่อยให้คนเช่า แล้วพากันย้ายออกไปอยู่ที่บ้านเก่าของปู่ที่อยุธยา ซึ่งสงบและร่มรื่นกว่ามีพื้นที่สวนหลังบ้านกว้างขวาง เรากับน้องก็เกิดและโตที่นั่นแหละจนกระทั่งเราจะเข้ามหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ พร้อมๆ กับน้องสาวก็สอบเข้าเรียน ม.ปลายโรงเรียนดังได้พอดี พ่อกับแม่เลยพากันย้ายกลับมาอีกรอบ อยู่ยาวมาอีกสิบปี พอพวกเราทำงานกันมีหลักแหล่งดี พ่อกับแม่ก็พากันย้ายกลับไปอยู่บ้านสวนอีก ส่วนพวกเราก็เทียวไปเทียวมาตามจังหวะชีวิตเหมาะ วันเสาร์อาทิตย์บ้าง วันหยุดบ้าง

ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่ไม่ค่อยชอบเรื่องพวกเครื่องรางของขลังอะไรเลย มีก็แต่พระพุทธรูปเอาไว้กราบบูชาและสวดมนต์เวลาก่อนเข้านอนเท่านั้น

ทีนี้ญาติเราคนหนึ่งเป็นลูกอา มาทำงานในกทม. เหมือนกัน แต่เกิดร้อนเงินขึ้นมา เลยมาขอยืมเงินเรากับน้องจำนวนสามหมื่น ซึ่งมากอยู่สำหรับพวกเรา ทีแรกเราปรึกษาพ่อกับแม่แล้ว ท่านก็ว่าให้แล้วแต่เราตัดสินใจกันเพราะโตแล้ว ญาติคนที่ว่าก็รู้จักคุ้นเคยกันมาเมื่อตอนยังเด็ก สรุปเห็นแก่ความเป็นญาติ เรากับน้องเลยแชร์กันช่วยญาติคนนี้ โดยก็ตัดใจไปเลยว่าเงินที่ให้ยืมนี้อาจจะไม่ได้คืน

วันที่มารับเงิน เขามาด้วยท่าทางรีบร้อนมาก และว่าเขามีของดีมามอบให้เป็นสินน้ำใจ เป็นเครื่องรางด้านเมตตา ด้านเสน่ห์ มีราคาสูงมาก แต่นี่เอามามอบให้เป็นกำนัลที่เรามีน้ำใจต่อเขา ว่าแล้วก็ยื่นตลับพลาสติกแดงๆ กลมๆ อันใหญ่เหมือนพวกตลับใส่สร้อยทองสมัยก่อนมาให้ตลับหนึ่งก่อนจากไป

เรากับน้องก็งงๆ ทีแรกนึกว่าจะเอาทองมาฝากไว้เหมือนจำนำ แต่พอเปิดดูก็เจอวัตถุรูปร่างคล้ายๆ พระเครื่องแต่ไม่ใช่ รูปร่างบิดๆ เบี้ยวๆ หัวแหลมๆ ดวงตาสีแดงก่ำ จนน้องสาวที่คาใจเอามากๆ ไปค้นในเน็ตจนเจอว่าสิ่งนี้เรียกว่างั่ง เป็นเครื่องราง ทางคุณไสย เราก็พยักหน้าเออๆ ออๆ ไป ไม่ได้สนใจ แล้วน้องก็เอาไปเก็บไว้ที่ห้องพระ ใต้โต๊ะหมู่บูชา

วันต่อมาเป็นวันหยุดพอดี เราว่างเลยลองมาค้นข้อมูลดู ก็ไปเจอเรื่องที่คนลองของพระงั่งด้วยการนั่งในห้องเงียบๆ หลับตา แล้วจะรับรู้ถึงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวในห้อง เราก็นึกสนุกอยากลองขึ้นมาบ้าง

บ่ายนั้นเราเอางั่งที่ได้ตัวหนึ่งมากำไว้ในมือ แล้วนั่งหลับตาอยู่บนเตียงในห้อง ตามตำราบอกแค่ทำใจให้ว่างไม่ต้องสวดมนต์หรือคิดเรื่องที่เป็นมงคลอะไรเพราะงั่งไม่ชอบ เรานับในใจกะตามวินาที 1-2-3-4…ไปเรื่อย ก็เริ่มได้ยินเสียงเหมือนฝีเท้าแตะพื้นแปะ แปะ รอบๆ ตัว แต่ก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นมาดู เรานั่งนิ่งต่อไปเรื่อยๆ ขนลุกซู่ ใจเต้นตึกตัก เมื่อได้ยินเสียงเดินใกล้ตัวเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนมีใครบางคนกำลังย่องเข้ามาหา กลิ่นเหม็นคาวสาบโชยมาอ่อนๆ เหมือนตัวอะไรตาย เหมือนมีร่างคนวูบไปมาผ่านหลอดไฟข้างบน

จนกระทั่งรู้สึกเหมือนมีลมหายใจอุ่นๆ ร้อนๆ มาหอบๆ อยู่ใกล้ๆ หูก็ทนไม่ไหว เรากลัวจนทำอะไรไม่ถูก ไม่กล้าลืมตา โยนงั่งทิ้งที่พื้น ลุกมันทั้งๆ หลับตาโผไปทิศที่จำได้ว่าประตูอยู่ บิดลูกบิดออกไปแล้วรีบปิดประตู วิ่งออกไปยืนหอบอยู่กลางแดดหน้าบ้าน จนน้องตกใจวิ่งออกมาตามดูว่าเป็นอะไร เราเล่าให้ฟังมันก็หัวเราะขำใหญ่

แต่คืนเดียวกันนั้นเอง น้องก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป เพราะมันต้องลุกมาเคาะห้องเรากลางดึกราวตีสองบอกว่านอนไม่ไหวแล้ว ฝันว่ามีผีตัวใหญ่หน้าตาน่าเกลียดตาแดงๆ ปีนขึ้นมาบนเตียงจะมาข่มขืน เป็นอยู่อย่างงี้หลายรอบจนนอนไม่ได้ มันเชื่อว่าต้องเป็นเพราะงั่งตาแดงแน่ๆ คืนนั้นเราเลยนั่งเล่นเกมออนไลน์กันทั้งคืนไม่ต้องนอนมันละ

เช้าวันต่อมา เรากับน้องก็ไปหางั่งที่เราจำได้ว่าโยนไว้กลางห้อง แต่ตอนนี้หายไปไหนก็ไม่รู้แล้ว แถมงั่งอีกตัวที่จำได้ว่าอยู่ใต้โต๊ะหมู่บูชาก็พลอยหายไปด้วย เรากับน้องประสาทเสียเลยทีนี้เพราะตั้งใจว่าวันนี้จะเอาไปให้คนอื่นหรือเอาไปโยนทิ้งที่สระน้ำในวัดตามที่หาข้อมูลมา

วันนั้นทั้งวัน เรากับน้องรู้สึกแปลกๆ กลัวกันจนไม่กล้าอยู่กันเอง ต้องโทร.ตามเพื่อนมาอยู่ด้วยอีกสามสี่คน และทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหมือนตัวอะไรเล็กๆ ดำๆ วิ่งผ่านไปมา เหมือนหนู หลายครั้งด้วย

เพื่อนคนหนึ่งเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเพราะเหนียวตัว อยู่ๆ ก็ร้องวี้ดขึ้นมา บอกว่าแวบหนึ่งเหมือนเห็นคนตัวดำๆ ตาแดงๆ นั่งยองๆ มองอยู่ที่มุมห้องน้ำ พวกเราเลยพากันแห่เข้าไปดู แล้วก็เจองั่งตัวหนึ่งอยู่ตรงมุมนั้นจริงๆ ส่วนอีกตัวซ่อนอยู่ที่ตะกร้าผ้าอนามัยในห้องน้ำนั่นแหละ

พอได้ตัวมาแล้วเราเลยพากันขึ้นรถไปวัดกันอย่างเร่งด่วนเพราะเย็นมากแล้ว ไปถึงก็จอดข้างสระ เราเอางั่งทั้งคู่กำในมือแล้วอธิษฐานว่า ขอให้พ่องั่งมานั่งฟังเทศน์ฟังธรรมเย็นๆ ใจอยู่ที่นี่เถอะ แล้วก็กลั้นใจโยนลงน้ำไป

พวกเราสะดุ้งเฮือกกันอีกที เพราะงั่งตัวเท่าลูกมะยม พอโยนไปกลับได้ยินเสียงกระแทกน้ำดังตูมใหญ่ ราวกับว่าของที่ตกลงไปนั้นมีขนาดสักเท่าตัวคน แถมน้ำยังกระเพื่อมแรงทั้งสระ หลังจากนั้นเราก็พากันกลับ และทั้งเรา ทั้งน้องสาว และเพื่อนๆ ต่างก็ตั้งใจว่าจะไม่ยอมยุ่งหรือแตะต้องของพวกนี้อีกเลย



หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 05 ตุลาคม 2560 11:28:59

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/59786389105849_images_6_.jpg)

เก้าอี้ท่านขุน

ประยุทธชอบสะสมของเก่า บ้านของเขาเต็มไปด้วยถ้วยโถโอชาม โต๊ะ เก้าอี้ ของเล่นเด็ก ฯลฯ อะไรที่เก่าเขาสะสมหมด เรียกได้ว่าแทบจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ได้เลย

ทว่ากลุ่มเพื่อนที่คบหากันกลับเป็นพวกชอบลองของชอบพิสูจน์เรื่องเกี่ยวกับผี วิญญาณ ทั้งๆ ที่ประยุทธและเพื่อนก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ทำงานทำการมีหน้ามีตาอายุอานามแตะ 40 กันทุกคน แต่ของพรรค์นี้เขาเรียกว่าอยู่ในสายเลือด ทำกันมาตั้งแต่วัยรุ่น

อันที่จริงประยุทธกลัวผีมากตั้งแต่สมัยยังเรียนมัธยมฯ ด้วยกัน เขาคบหากับเพื่อนกลุ่มนี้ก็จริง แต่นานๆ ครั้งจะไปด้วยกันสักครั้ง หลังภารกิจลองของทั้งหมดก็จะตั้งวงดื่มเหล้า ทุกครั้งก็โทร.เรียกประยุทธมา หากประยุทธว่างก็จะมาร่วมวงด้วย แต่ครั้งนี้ประยุทธทราบมาก่อนว่าเป็นบ้านเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ถูกปล่อยร้างหลังคนในบ้านถูกฆาตกรรม!

ประยุทธก็ขอร่วมวงไปด้วย เขาเองก็ตอบไม่ถูกว่าทำไมอยากไป ทันทีที่ได้ยินเรื่องบ้านหลังนี้ก็เหมือนมีอะไรสักอย่างดลใจให้เขาต้องไปให้ได้

เป็นบ้านเก่าของขุนนางเก่าแก่ระดับท่านขุน แต่ชื่อขุนอะไรนั่นไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าเป็นขุนนางมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ท่านขุนก็ไปอยู่ต่างประเทศ ลูกหลานของท่านอาศัยในบ้านนี้เรื่อยมาจนหลังพุทธกาล 2500 ท่านขุนกลับมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่บ้านของท่านหลังนี้จนกระทั่ง วันหนึ่งมีขโมยกลุ่มใหญ่ขึ้นบ้าน จับท่านขุนมัดไว้กับเก้าอี้แล้วข่มขืนหลานสาวท่านสองคน พร้อมฆ่าปาดคอลูกชายและลูกสาวต่อหน้าต่อตาท่าน ทำไมพวกขโมยปล่อยท่านทิ้งไว้ไม่มีใครรู้ เมื่อญาติมาพบได้ช่วยท่านแก้มัด แต่ท่านก็ใช้เก้าอี้ตัวที่มัดท่านไว้นี้เหยียบขึ้นไปแขวนคอเสียชีวิตในวัย 93 ปี

ลูกหลานที่เหลือไม่ได้อาศัยในบ้านหลังเหตุการณ์และปล่อยทิ้งไว้จนร้างไม่มีคนอยู่มาเกือบสามสิบปีแล้ว แม้จะมีคนมาดูแลทำความสะอาดบ้างจากนั้นแต่ช่วงสิบปีหลังไม่มีคนมาเลย ปล่อยให้ทรุดโทรมสกปรกผุพังไปตามกาลเวลา

สภาพที่ประยุทธกับเพื่อนเห็นในเย็นวันนั้น ตัวบ้านถูกปกคลุมด้วยรากไม้เลื้อยเถาวัลย์ตามตัวบ้าน หน้าต่างและบันได แทบไม่มีร่องรอยของการบุกรุกเข้ามาในบ้านเลย

"ใช่นะสิ กูผ่านมาหลายหนแทบไม่เคยรู้เลยว่ามีบ้านในนี้ มึงดูดิรกครื้มซะขนาดนี้" เพื่อนคนที่เจอพูด

"แล้วมึงเจอได้ไง" ประยุทธถาม

"ไม่รู้เหมือนกัน จู่ๆ กูก็ปวดฉี่ เลยจอดรถ ยืนฉี่อยู่ มองเข้าไปเรื่อยเปื่อย เห็นอะไรขาวๆ เลยสังเกตดู นี่มันบ้านคนนี่หว่า ชิบหายกูขับผ่านมาหลายสิบหนไม่เคยสังเกต เลยลองเข้าไป แต่ตอนนั้นไม่ได้เข้าตัวบ้าน จะถามชาวบ้านสักคนก็หาไม่เจอ มาเจอยายคนหนึ่งตอนขับออกมา แกก็เล่าให้ฟัง แถมกำชับกูว่าอย่าได้มาตอน ปกลางคืนเลย เจอหลอกหัวโกร๋น หาหมอกันไปหลายคนแล้ว ฮ่าๆๆ แบบนี้สิของชอบ"

ประยุทธกับพรรคพวกอีกสองคนนั่งรออีกไม่นานก็มืด จึงเดินเรียงหน้าผ่านประตูที่เต็มไปด้วยหยากไย่และใบไม้สุมเต็มทางเหยียบย่ำเกิดเสียงกรอบแกรบ ภายในบ้านเย็นชื้น กลิ่นฝุ่นและอับจนประยุทธที่เป็นโรคภูมิแพ้ถึงกับจามออกมาหลายครั้งจนเพื่อนหันมาบอกให้เงียบ

ประยุทธกวาดตาไปเห็นเก้าอี้ตัวหนึ่งตรงมุมห้อง สภาพเก่าก็จริงแต่เขามองออกว่าคงมีราคามากหากตกอยู่ในตลาดค้าของเก่า เขาอยากได้มาครอบครองทันที แต่จังหวะนั้นเองเพื่อนเร่งให้ขึ้นบันไดไปสำรวจชั้นบน

ทุกคนอยู่ในบ้านได้สองสามชั่วโมง กลุ่มเพื่อนเดินสำรวจจนรู้สึกเบื่อ "ไม่มีอะไรเลยนี่หว่า กลับเถอะ" ใครคนหนึ่งพูดขึ้น ทุกคนเห็นพ้อง ตอนนั้นนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนตรงพอดี ประยุทธแอบย่องไปคว้าเก้าอี้เก่าตรงไปไว้ที่รถโดยเพื่อนไม่รู้

ที่บ้านประยุทธทำความสะอาดเก้าอี้อย่างตื่นเต้นพลางสำรวจลวดลายและลายไม้ เนื้อไม้ยังดี มันคงอยู่ตรงนั้นมานาน แต่ก็นึกแปลกใจที่ทั้งบ้านกลับไม่พบเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใดอีกเลย

ประยุทธลองนั่งพลันรู้สึกสบายตัวอย่างประหลาด ที่เท้าแขนกว้างวางไว้เหมาะมือ ประยุทธเดินไปกดเปิดเพลงฟังทั้งๆ ที่เข้าตีสองแล้ว หลับไปตอนไหนไม่รู้รู้สึกตัวอีกครั้งด้วยอากาศเย็น รอบตัวชื้นมากจนจามและหนาวจนต้องห่อตัวกอดอก เขาเห็นภายในบ้านตัวเองและรู้สึกตัวว่านั่งอยู่บนเก้าอี้เก่าที่เพิ่งได้มาแต่พยายามลุกเท่าไหร่ก็ลุกไม่ขึ้น ประยุทธเห็นกลุ่มเพื่อนที่ไปบ้านร้างด้วยกันแต่เรียกเท่าไหร่เพื่อนก็ไม่ได้ยิน

"ยุทธมันไปไหนของมันนะ ดันไปเอาเก้าอี้เขามา"

"เป็นเดือนแล้วนะที่มันหายไป"

ไม่มีใครเห็นประยุทธอีกเลย ทั้งๆ ที่เขาก็อยู่ในบ้านตัวเองกับเก้าอี้ที่กำลังนั่งอย่างสบาย เพียงแต่ลุกไม่ได้...ก็เท่านั้น!



สามบ้านหกศพ

เป็นเรื่องประหลาดที่ลุงชมผูกคอตาย ใครในชุมชนต่างนึกหาเหตุผลที่แกคิดทำลายตัวเอง แต่ทุกเหตุผลก็ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าจริง ในเมื่อลุงชมไม่ได้ป่วยด้วยโรคร้าย ไม่ได้ป่วยซึมเศร้า แกเป็นคนมีเงินมีทอง มีลูกหลาน วันหนึ่งจู่ๆ ลุงชมก็ผูกคอตายที่ประตูลูกบิดที่เปิดออกสู่ข้างนอกตายอยู่ตรงนั้น เมื่อลูกชายแกมาเยี่ยม ประตูที่เปิดไม่ออกและหนักจึงต้องพังเข้าไปและได้พบศพของแกที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน

อีกเพียงสัปดาห์ต่อมาบ้านติดกันกับลุงชมคือบ้านของพี่เสก เจ๊อ้อยและลูกสาวก็พากันผูกคอตายบนราวบันไดเสียชีวิตยกครัวกันหมด พอดีแกนัดบริษัทกำจัดปลวกไว้ เมื่อเจ้าหน้าที่มากดออดอยู่นานไม่ออกมา เพื่อนบ้านคนหนึ่งเห็นเรียกอยู่นาน จึงออกมาคุยกับพนักงานแล้วตัดสินใจเดินไปเปิดรั้วเข้าไปดู จังหวะที่ผ้าม่านพลิ้วเห็นสามศพลิ้นจุกปาก ทั้งสองตกใจและส่งเสียงร้องดัง พนักงานไม่กล้าเข้าบ้าน เพื่อนบ้านโทร.แจ้งตำรวจ นี่ก็เป็นเรื่องโจษจันกันไปทั่ว ชีวิตที่ดูไม่มีปัญหา ไม่มีใครตกงาน ไม่มีใครป่วยลำบาก แต่ทำไมต้องพากันฆ่าตัวตาย ผู้คนนึกหาสาเหตุกันไม่ออกเลย

สามวันเท่านั้นหนนี้ บ้านฝั่งตรงข้ามกับลุงชมคือบ้านของยายเอิบกับหลานสาวเก้าขวบ ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันด้วยเงินบำนาญของยายเอิบ ทว่าเพื่อนบ้านได้กลิ่นเหม็นๆ โชยมา เมื่อผู้คนสงสัยจึงไปด้อมๆ มองๆ สุดท้ายก็งัดเข้าไปดู พบยายเอิบกับหลานสาวนอนอืดอยู่กลางบ้านแล้ว หลังแจ้งตำรวจและคนติดตามข่าวก็พูดกันต่อมาว่ายายกับหลานตายวันเดียวกับบ้านพี่เสกและครอบครัวที่ผูกคอตาย

“สามบ้านหกศพแล้ว” ประโยคนี้ใครคนหนึ่งพูดขึ้น “แถมเกิดขึ้นในบ้านที่ติดกัน ฝั่งตรงข้ามกันด้วย”

ผมกับเพื่อนอีกสองคนคือ แจ๊คกับเก่ง ยกเรื่องนี้มาคุยกันในวันหนึ่ง หลังเหตุการณ์เกิดสดๆ ร้อนๆ เราสามคนชอบท้าพิสูจน์เรื่องลี้ลับ ออกแนวท้าสู้ผี อะไรประมาณนั้น

“มันจะเกี่ยวอะไรกับผี” แจ๊คเอ่ย

“ลองคิดดูนะ” ผมพูด “บ้านใกล้กันฆ่าตัวตายในเวลาไล่เลี่ยกัน มันต้องมีอะไรสิ”

“ก็ความบังเอิญนะสิ ดันมาตรงกัน” เก่งแย้ง เขากับแจ๊คเป็นฝ่ายเดียวกัน

“กูว่าต้องไปพิสูจน์ดู” ผมพูดขึ้น

“ยังไง” เก่งถามขึ้น

“ไปตอนกลางวันก่อน กูอยากตระเวนดูลาดเลาให้ละเอียด” ผมบอก เมื่อเห็นเพื่อนไม่มีท่าทีสนใจผมจึงตอบไปว่า “กูไปเองคนเดียวก็ได้”

บ่ายวันนั้นผมไม่มีเรียนที่มหา”ลัย ผมจึงไปลาดตระเวนดูตามความคิด บ้านสามหลังส่วนที่อยู่ตรงข้ามกันตอนนี้ปิดตาย ส่วนบ้านลุงชมมีลูกแกมาอยู่ เป็นลูกชายคนที่พบพ่อผูกคอตายคนนั้น แกถามผมว่า “มีธุระอะไรหรือเปล่าน้อง” ผมส่ายหน้า แกบอกผมอย่างไม่ใส่ใจแล้วปิดประตูเข้าบ้าน

ผมหาข้อมูลด้วยตัวเองโดยการเดินไปทั่วบ้าน สังเกตว่าบ้านของยายเอิบมีเห็ดชนิดหนึ่งที่คล้ายเห็ดโคนมาก ผมเกิดในเมืองไม่ค่อยรู้จักพวกต้นไม้ใบหญ้าสัตว์ทั้งหลายนัก จึงถ่ายรูปไปถามแม่ แม่ตอบว่าเป็นเห็ดขี้ควาย ผมถามแม่ว่ากินได้ไหม ถ้ากินได้ผมจะไปเอามาให้กิน

แม่รีบร้องห้าม “กินแล้วจะเมานะเอ็ง อีกอย่างของคนอื่นด้วย ไปบ้านเขาไม่ใช่หรือ อยู่ในบ้านเขาก็ของของเขาสิ”

ผมนึกว่าตัวเองคงไม่ได้อะไรแน่แล้วก็เลยไม่สนใจ ทว่าคืนนั้นบังเอิญผมขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในซอยนั้นหาเพื่อน ขากลับพอผ่านบ้านทั้งสามหลังชักแหยงๆ หลอนๆ เพราะบ้านสามหลังมีคนตายตั้งหกคน ผมเลยจะรีบๆ ขี่ผ่าน

ทันใดผมเห็นแมวล้มลง คือมันเดินผ่านตัวบ้าน จู่ๆ ก็ล้มลงเฉยเลย เป็นแมวสีขาวจึงเห็นชัดท่ามกลางความมืด ผมแปลกใจมาก หยุดรถแล้วตั้งขาตั้งเดินไปดูแมว ประตูบ้านเขาเปิดอ้าซ่า ผมไม่ได้ก้าวเข้าพ้นรั้ว ได้แต่มองเข้าไป เห็นแมวมันนอนหงายขาเกร็งชี้ฟ้า แปลกมาก แล้วมันก็ชักตัวเกร็ง น้ำลายฟูมปาก ผมตกใจ มองมันอย่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับแมวสีขาวตัวนั้น

ผมได้ยินเสียงกรอกแกรกๆ จากบ้านลุงชมเลยเดินออกจากรั้ว เมื่อมาที่รถมอเตอร์ไซค์เห็นลูกชายแกคนหนึ่งออกมาจับแมวที่หยุดดิ้นแล้วใส่ถุงดำใส่ขยะ เขาจัดแจงมัดปากถุงอย่างรวดเร็ว ทำเหมือนกับเคยทำอย่างนี้มาก่อน ผมสงสัยมาก

กำลังนึกสงสัยอยู่นั้นก็รู้สึกว่ามีมือใหญ่ๆ มาปิดปากผมจากด้านหลัง ผมพยายามดิ้นให้หลุดแต่ก็หายใจไม่ถนัดจนรู้สึกหมดสติไป

เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นตัวเองนั่งอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ผมถามที่นี่ที่ไหน เขาตอบว่าจะรู้ไปทำไม เดี๋ยวก็ตายแล้ว ผมจึงรู้สึกว่าตัวเองถูกจับมือไพล่หลังมัดกับเก้าอี้ พยายามดิ้นแต่ก็ไม่หลุด ผมได้ยินเสียงด้านนอกฝนตกหนัก

ผมเพ่งมองท่ามกลางความสลัวจึงเห็นว่าเป็นลูกลุงชม เขาพูดว่า “เสือกยุ่งดีนัก” พูดแล้วก็เอื้อมท่อนไม้ขึ้นสูงฟาดใส่ผมเต็มแรง ผมหลับตาปี๋ ได้ยินบางอย่างโครมคราม และวุ่นวาย

เมื่อไฟในบ้านสว่างขึ้นผมก็เห็นแจ๊คกับเก่ง

“ไม่เป็นไรแล้ว” เก่งบอก แจ๊คเข้ามาช่วยแก้มัด

ภายหลังแจ้งตำรวจจึงเข้าใจว่าลุงชมและคนอื่นๆ ไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่ถูกลูกชายลุงแกซึ่งสติไม่ดีทำทีให้เหมือนฆ่าตัวตาย โดยก่อนตายทุกคนถูกหลอกให้กินเห็ดที่ว่าเข้าไป เมื่อเมาแล้วลูกลุงชมจึงจับแขวนคอให้ดูเหมือนการฆ่าตัวตายเอง

บางทีภัยก็ใกล้ตัวเหลือเกิน



ยายกับหลาน

ละแวกบ้านผมมีครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยยายกับหลานสาวอยู่อาศัยกันเพียงสองคน คนเป็นยายป่วยด้วยโรคอัมพาต คือแกเป็นอัมพาตมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตั้งแต่ผมอยู่มาก็สี่ปีพอดีก็เห็นแกเป็นอัมพาตตั้งแต่วันนั้นแล้ว เพื่อนบ้านเก่าแก่เล่าว่าแกมีลูกสาวคนหนึ่ง แต่หายหน้าหายตาไปนานมากแล้วตั้งแต่ก่อนผมจะมาอยู่นานมาก แกอยู่กับหลานสาวคนหนึ่งซึ่งก็คือลูกสาวของลูกแก หลานคนนี้ทำงานส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือ ตอนแรกยายแกก็ขายแกงทำกับข้าวใส่รถเข็นขายอยู่หน้าบ้าน พอเป็นอัมพาตก็ได้หลานที่เพิ่งโตเป็นวัยรุ่นทำงานเลี้ยงและดูแลมาตลอด เช้าวันหยุดมักจะเห็นเด็กคนนี้เข็นเปลยายมารับแดด รับอากาศที่สดชื่น

ผมและครอบครัวมีโอกาสได้เข้าคลุกคลีกับยายและหลานสาวคนนี้ก็เพราะวันหนึ่งเด็กกตัญญูคนนี้เกิดป่วย ระหว่างออกจากบ้านไปหาหมอที่โรงพยาบาล ผมเห็นหน้าตาไม่ค่อยดี เดินเหินเหมือนปลิวลม ผมจึงอาสาไปส่งที่โรงพยาบาล จึงรู้ว่าแกมีโรคประจำตัวเป็นโรคเกี่ยวกับเลือด จากนั้นยามเจอหน้ากันก็ทักทายกัน เช้าๆ ภรรยาผมไปตลาดแต่เช้า หลายครั้งหลานสาวก็ฝากซื้อของที่ตลาดให้ยายแกด้วย

ยายแกที่เป็นอัมพาตนั้น ได้แต่นอนนิ่ง นอนแบบอยู่กับเตียงแต่พอจะสื่อความกันได้ด้วยการสั่นหน้า เลิกคิ้ว กะพริบตา ถามว่าชอบไหมให้กะพริบตาหนึ่งครั้งหรือเลิกคิ้วแกก็เข้าใจ บางทีผมก็ชวนแกคุยหรือเปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือให้ฟัง ภรรยาผมก็แวะไปช่วยทำความสะอาดกวาดลานเก็บใบไม้ใบหญ้า รดน้ำต้นไม้ให้เป็นครั้งคราวตั้งแต่เด็กแกป่วย คราวนั้นไม่ได้เข้าไปยุ่งยากภายในบ้านไม้ครึ่งอิฐครึ่งปูนสองชั้นแต่อย่างใด ทางเด็กสาวทำงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารหลังเลิกเรียน เจ้าของร้านก็ดูจะใจดำ ทั้งๆ ที่อาหารเหลือก็ไม่เคยให้ติดมือเด็กสาวกลับมาบ้าน ครอบครัวผมเฝ้าดูและช่วยเหลือทั้งหมดก็เพราะเวทนาสงสารทั้งสองยายหลาน

แต่ช่วงที่ผ่านมาสามสี่เดือนผมกับภรรยาห่างกับครอบครัวยายหลานไปพอสมควร ผมเองบริษัทส่งไปดูแลสาขาที่ต่างจังหวัดบ่อยขึ้นๆ ภรรยาผมก็มีงานสัมมนาต่างจังหวัดชุกและคราวละนานๆ สี่ห้าวันกลับมาบ้านก็มีธุระไม่หยุดหย่อน

สัปดาห์ก่อนภรรยาผมพูดถึงยายหลานคู่นี้ ทำให้ผมนึกได้ว่าไม่ได้ไปดูแกที่บ้านนานพอสมควรละ

"เช้าๆ เดี๋ยวหนูแวะไปดูก่อนไปทำงานนะพี่" ภรรยาผมบอก

แต่เช้าวันรุ่งขึ้นยามภรรยาผมเดินผ่านกลับไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ ในบ้าน เธอโทร.มาบอกหลังไปถึงที่ทำงาน ผมย้ำไปว่าเย็นนี้ผมกลับก่อนจะแวะไปเยี่ยมเสียหน่อย

ช่วงเวลาที่ผมกำลังจะกดออดฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก มองฝ่าฝนเข้าไปก็ไม่พบใครเลยผมจึงไม่ได้แวะ

ภรรยาผมกลับมาดึก หอบงานมาทำต่อที่บ้าน เราไม่ได้คุยกันเลย จนกระทั่งตอนเช้าผมเกิดนึกได้ หลังดื่มกาแฟแก้วแรกของวันผมก็ไปเยี่ยมๆ มองๆ เข้าไป ช่วงที่ชายผ้าม่านตลบขึ้นผมเห็นยายแกนอนอยู่บนเตียงที่เคยเห็นเป็นประจำ นาทีที่ผมสบตากับแกเหมือนมีอะไรบางอย่างสะกิดใจให้อยากเข้าไป ผมตัดสินใจปีนกำแพง

ประตูบ้านไม่ได้ลงกลอน เสียงเอี๊ยดๆ ของบานพับฝืดๆ ส่งเสียงทักทายและรู้สึกเสียดแทงใจอย่างประหลาด ผมเห็นเตียงนอนของยายอยู่กลางบ้าน แต่บ้านที่มีแต่กลิ่นอับๆ และกลิ่นยาทำให้ผมชะงัก

"ยาย หลานยายไปไหน" ผมถาม ทำให้นึกได้ว่าไม่เคยรู้เลยว่าทั้งยายและหลานมีชื่ออะไรกันบ้าง ได้แต่เรียกยายๆ หนูๆ มาโดยตลอด

ยายขยับศีรษะมองมายังผมเหมือนจ้อง "อยู่ก็กะพริบครั้งหนึ่ง ไม่อยู่ก็สองครั้งนะยาย"

แกกะพริบครั้งเดียว ผมมองตาแกแล้วกวาดตาไปทั่วบ้าน เมื่อยังไม่เคยเข้าไปด้านในบ้านจึงไม่กล้าเสียมารยาทเดินเข้าไป ได้แต่ตะโกนเรียก "หนูๆ นี่พี่เองนะ อยู่เปล่า"

ไม่มีเสียงตอบรับ ผมก้มลงคุยกับยาย "กินข้าวยัง ยาย"

ยายแกกะพริบตาครั้งเดียว แต่ผมไม่เห็นจานหรือชามข้าว นึกว่าหลานแกคงเก็บไปเรียบร้อยแล้ว สักพักผมเห็นแมวดำวิ่งผ่านหน้า

"อ้าว เลี้ยงแมวด้วยหรือยาย ไม่เคยเห็นเลยนี่" ผมถามยายพลางมองหาคำตอบจากตาแก แกกะพริบสองครั้ง

"อ้าว แล้วมันมาจากไหนนี่ สงสัยหลงเข้ามามั้ง" ผมพูดเองตอบเองพลางสังเกตว่าเจ้าเหมียววิ่งลึกเข้าไปด้านใน ผมเกรงว่าจะเข้าไปยุ่งยากหรือทำข้าวของเสียหาย จึงเดินตามไปหวังจะไล่ ทว่าผมก็พบกับร่างของเด็กสาวนอนกองกับพื้นของบ้านส่วนนั้นที่คาดว่าน่าจะเป็นครัว

ร่างของเธอบวมอืด ส่งกลิ่นเน่าเหม็นตลบอบอวล แปลก! ที่ทำไมผมไม่ได้กลิ่นเน่านี้แต่แรก

หลังแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยได้เข้ามาจัดการศพจนเรียบร้อย รวมถึงเจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพซึ่งบอกว่าเสียชีวิตมาเกินห้าวันเป็นอย่างต่ำ ผมได้ไต่ถามความกับยายด้วยการกะพริบตาและสั่นหัว

ยายแกยืนยันว่า หลานแกทำอาหารมาให้แกกินทุกมื้อ จนกระทั่งมื้อเช้าวันนั้นด้วย



ยายฟื้น

ยายผมแกชื่อฟื้น ยายแข็งแรงดี แม้จะล่วงเข้าวัย 90 ปีแต่ยายยังชอบเดินเข้าบ้านนั้นบ้านนี้ นั่งคุย ช่วยทำอาหาร สติสตังความจำดี เชื่อไหมยายเล่นไลน์เป็น รู้จักคอมพิวเตอร์ รู้จักมือถือ ไวไฟ บลูทูธนี่ปกติเลย ยายตรวจลอตเตอรี่จากมือถือทุกงวด

“ตอนบ่ายยายนั่งเด็ดผักบุ้งแล้วค่อยๆ เอนลงหมดสติ เลยรีบพายายไปอนามัย หมอที่อนามัยบอกว่ายายเสียแล้ว พี่โทร.มาบอกแกให้รีบกลับบ้าน” พี่สาวผมเล่าขณะผมรับสายอยู่ที่ทำงาน วันนั้นว่าจะทำโอทีพอดี สายพี่สาวก็เข้ามาผมเลยรีบบอกหัวหน้าแล้วขึ้นรถไปอนุสาวรีย์นั่งรถตู้กลับบ้านที่มหาชัยทันที

มาถึงบ้านก็ใกล้สามทุ่มแล้ว พ่อตั้งใจคืนแรกสวดที่บ้านก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยยกศพไปตั้งที่วัดสวดอีกสี่คืนแล้วค่อยเผา พระยังไม่มา คืนแรกสวดดึกกว่าที่วัด แต่คนรู้จักและเพื่อนบ้านก็มากันเยอะแล้ว เป็นงานศพที่ครึกครื้นดี เพราะตอนยายยังไม่ตาย ยายสั่งว่างานศพยายอย่าเศร้า ขอให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส

วันนี้จึงมีคนใส่เสื้อผ้าตามที่ยายสั่งไว้เยอะแยะ มีบ้างที่ลืมและไม่ทราบ ที่บอกว่านึกว่ายายพูดเล่นก็มี ยายเป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้กับราชการเสมอ ยายใจดี ยังชอบแจกทุนการศึกษาให้โรงเรียนของอำเภอเราทุกปี ครอบครัวเราไม่ได้ยากจน ยายมีลูกเยอะหลานแยะ แต่ละคนก็ไม่ได้ลำบากยากจนหรือทำตัวเป็นที่รังเกียจของสังคม งานศพยายคืนแรกนั้นจึงมีคนมากันแน่นบ้าน ล้นออกมาในซอย เก้าอี้ที่แต่ละบ้านขนมาช่วยกัน

นอกเหนือจากขนจากวัดยังไม่พอเลย ขนมนมเนย อาหารคาวหวานที่แม่เตรียมไว้ก็ไม่พอ พ่อบอกคืนพรุ่งนี้ที่วัดจะมีวงดนตรีมาเล่นสนุกๆ หน้าศพด้วย ผมดูรายรอบ บรรยากาศเหมือนงานแต่งงานเสียมากกว่า

พระสวดอภิธรรมจบแรกก็ตามธรรมเนียม ขนมนมเนยอาหารคาวหวานที่มีก็ยกขนกันมาเลี้ยงคนมางาน หลังจากตอนเย็นก่อนสวดมีการเลี้ยงไม่จำกัดแก่คนมาร่วมงานอยู่แล้ว ผมกำลังโทร.เล่าให้แฟนผมเรื่องบรรยากาศและคนมาร่วมงานเพราะเธอมาไม่ทัน มันฉุกละหุก จู่ๆ ก็มีคนร้องเสียงตกใจ จากนั้นคนที่อยู่ด้านหน้าโลงศพก็มองและหลายคนก็ชี้ไปยังโลงยาย เพราะเกิดเสียงตึงตังดังจากในโลง

เมื่อเสียงดังขึ้นๆ คนภายนอกก็วิ่งตามกันเข้ามาดู แปลกที่กว่าคนแรกจะตะโกนว่า “ผียายหลอก” ก็หลายนาที ผมเองวิ่งไปทันได้ยินเสียงตึงตังดังจากในโลง มีผู้ชายคนหนึ่งสติแข็งกว่าใครวิ่งไปที่หน้าโลงยาย แล้วหันมาตะโกนว่า มีเสียงยายด้วย

จากนั้นผมเห็นเขาใจกล้ามากที่แนบหูกับโลง เขาบอกทุกคนอย่างหน้าตาตื่น “ยายอาจยังไม่ตาย ฟังสิ” คำพูดของแกพาเอาผู้ชายและผู้หญิงอีกหลายคนไปร่วมมุง

“ยายอาจจะฟื้นก็ได้นะ” ใครคนหนึ่งร้องขึ้น

แล้วก็จริง มีคนที่แนบหูกับโลงตะโกนว่า “ยายแกร้องว่าช่วยกูด้วย เอากูออกไปหน่อย”

เท่านั้นแหละที่แม่และพ่อพากันไปอยู่หน้าโลงและสั่งให้ไปตามสัปเหร่อมา อีกไม่กี่อึดใจสัปเหร่อก็มาพร้อมเด็กวัดและช่วยกันงัดฝาโลง

เมื่อฝาโลงเปิดออกก็เห็นยายดิ้น ยายโยนสำลีก้อนหนึ่งกระเด็น “ไอ้ห่าราก ใครวะ เอาสำลียัดจมูกกู” ทีนี้แหละมีทั้งคนที่แตกตื่นลุกหนีกับคนที่ออกันเข้ามามุงมีจำนวนเท่าๆ กัน

ผมได้ยินพ่อพูดว่า “แม่ใจเย็นๆ ค่อยๆ ลุก” พ่อประคองยายลุกนั่ง

หมอมาถึง แกรีบจับชีพจรที่ข้อมือยายแล้วร้องเสียงดัง “ยายฟื้นแล้ว”

“ชิบหาย กูยังไม่ตาย จะฟื้นได้ไง” ยายร้องเสียงดัง

ใครบางคนตะโกนว่า ฟื้นสมชื่อแล้วก็ร้องโห่ฮิ้ว เสียงดีใจเสียงปรบมือก็ดังตามมา หมอเป็นคนแรกที่พูดบอกว่า “พายายไปโรงพยาบาลตรวจก่อน”

ที่โรงพยาบาลยายถามหาคนยัดจมูกยายด้วยสำลี มีคนบอกว่า อีก้อยเป็นคนยัด “ที่รูก้นกูด้วยใช่ไหม อีก้อย” ยายตวาด อีก้อยก็คือน้าสาวผม ลูกสาวคนเล็กของแม่

หมอสรุปอย่างดีใจว่า ดีที่ไม่มีการฉีดยาศพ ไม่งั้นยาก็คงไปแทนเลือดและยายก็จะตายจริง สองสำลีที่น้าก้อยยัดเข้าทวารทั้งหมดยัดไม่แน่น พอยายฟื้นที่จมูกเลยพอดึงออก และลืมยัดเงินใส่ปากศพยายด้วย ทำให้เป็นการดีทั้งหมด

ยายมีชีพจรกลับคืนมา ความดันก็ปกติ ประโยคแรกๆ ที่ยายพูดก็คือ “กูฟื้นขึ้นมาเพื่อบอกหวยพวกมึง 91 จำไว้ งวดนี้” ยายพูดตลกแหละ เพราะตอนแรกแกยังไม่รู้เลยว่าได้ตายไปแล้วฟื้น แกนึกว่าตัวเองหลับไป

งวดนั้นออกเลขท้ายสองตัว 91 จริงๆ ถูกกันไปเยอะ ทว่ารุ่งขึ้นยายก็เสียชีวิตจริงๆ คราวนี้ยายนั่งแล้วก็ล้มลงเหมือนหนแรก ร่างยายถูกวางไว้ที่บ้านจนผ่านไปสามวันยายก็ไม่ฟื้นเหมือนหนแรก เริ่มมีกลิ่น มดเริ่มไต่ตามตัว คืนนั้นฝนตกด้วย หมาก็หอนไม่หยุด ท้องยายโตใหญ่เหมือนลมอยู่ในท้อง เนื้อตัวยายก็เย็นและแข็ง หมอตรวจร่างกายอีกครั้งก่อนจะยืนยันหนักแน่นว่าหนนี้ยายตายจริงๆ ไม่ฟื้นแน่นอน มีการเรียกหมอจากโรงพยาบาลในจังหวัดมาตรวจยืนยันร่วมด้วย เพราะการฟื้นหนแรกทำให้อยากจะเชื่อกันว่ายายจะฟื้นอีก

งานศพยายจริงๆ จึงเต็มไปด้วยเรื่องเล่าเรื่องนี้และเล่าต่อกันมาในหมู่ญาติและครอบครัวผมอีกหลายปี



ผู้เฝ้ารอ

การเดินทางมาที่นี่หลังจากไปนานเกือบสามสิบปี ไม่ทำให้ความรู้สึกผิด ละอาย และติดค้างต่อสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

ปกรณ์ยังจำได้ดี ครั้งที่เขามาครั้งก่อนนั้นเขาเพิ่งทำงานรับราชการในกรมการปกครองได้สองสามปี พอดีมีวันลาพักร้อนยาวได้หลายวัน ก็เลยเลือกที่จะไปเยี่ยมและพักกับเพื่อนเก่าที่รู้จักกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ชื่อโดม ซึ่งเป็นคนภาคเหนือ เป็นลูกครึ่งแม่เป็นชาวไทยภูเขาแต่งกับพ่อคนไทยพื้นราบ พอเรียนจบก็ไปทำงานเป็นพัฒนาการอยู่ที่หมู่บ้านเดิมของตัวเองซึ่งอยู่บนเขา และยังมีชาวไทยภูเขาที่ยังอยู่และมีธรรมเนียมแบบเดิมเหลืออยู่บ้าง

คืนนั้น โดมชวนปกรณ์ไปแอ่วสาว ซึ่งพอปกรณ์ได้ยินทีแรกก็ตกใจ “เฮ้ย เที่ยวผู้หญิงบนดอยเนี่ยนะ ไม่ดีมั้ง”

โดมหัวเราะลั่น “ไอ้บ้า แอ่วสาวไม่เหมือนเที่ยวผู้หญิง แปลว่าไปเที่ยวบ้านสาวๆ ที่ยังไม่แต่งงานน่ะ ไปพูดคุยกับเขา จีบเขาในสายตาพ่อแม่อะไรอย่างงี้ ป่ะๆ ลองดูจะได้รู้”

ปกรณ์งงๆ แต่ก็ยอมตามไปแต่โดยดี คืนนั้นโดมพาปกรณ์ไปบ้านสาวน้อยหลายคนที่ยังโสด พวกเธอจะเอาผ้ามานั่งปักหรือทำงานจักสานโดยจุดตะเกียงไว้ที่ชานหน้าบ้าน หนุ่มๆ ที่มาถ้าพ่อแม่โอเคก็จะได้รับเชิญให้ขึ้นไปนั่งคุยกันที่ชาน แต่ถ้าเฉยๆ หรือไม่ค่อยโอเคก็ต้องยืนข้างล่างแล้วคุยกันแหงนๆ แบบนั้น

บ้านสุดท้ายของคืนนั้นคือบ้านของสาวสวยดาวของหมู่บ้านที่ชื่อไทยว่าเอื้องผา ที่พอปกรณ์เห็นหน้าครั้งแรกก็แทบหัวใจจะหยุดเต้นเอาให้ได้ เธอรวบผมมวยเรียบตึงประดับดอกไม้ดอกเล็กๆ หน้าใส สดสวยเปล่งปลั่ง คอยาวระหง ลูกผมที่เคลียหน้าผากและผิวแก้มยิ่งทำให้ดูอ่อนเยาว์น่าทะนุถนอมไปอีก จมูกปากเล็กบางจิ้มลิ้ม ดวงตาสองชั้นเรียวโตเหมือนตาหงส์ ขนตายาวเป็นแพ เวลาชำเลืองสะเทิ้นอายแต่ละที ปกรณ์แทบจะลืมหายใจ สวยดูสูงค่า สมชื่อเอื้องผา ที่งามตระหง่านเกินเอื้อมอยู่บนผา

โดมเห็นปกรณ์ชอบก็หลีกทางให้ ตัวเองไปหาแอ่วสาวบ้านอื่นต่อ ในขณะที่ปกรณ์มาทุกคืน โดยต้องเผื่อเวลารอหนุ่มคนอื่นที่เวียนมาไม่ขาดสายกลับก่อน ซึ่งก็ดึกดื่น และก็กลับกลายเป็นผลดี เพราะบางทีพ่อกับแม่เอื้องผาง่วงนอนกันแล้วก็จะขอตัวเข้านอนก่อน ทำให้กระบวนการจีบของปกรณ์เป็นไปได้ราบรื่นขึ้นอีก

ช่วงเวลาเหล่านั้นปกรณ์ไม่ได้นึกถึงการเที่ยวพักผ่อนอย่างอื่นในช่วงพักร้อนเลย เอาแต่เฝ้าเร่งกลางวันให้ผ่านไป รอกลางคืนจะได้ไปหานางในดวงใจ ซึ่งเอื้องผาคนงามแม้จะไม่ค่อยพูดค่อยจาแต่ก็ดูท่ามีใจอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งเข็มตำมือไปหลายรอบ สำนวนสำเนียงผู้ชายแถวนี้ที่ไหนจะมาสู้หนุ่มข้าราชการกรุงเทพฯ ผิวพรรณท่าทางก็ดูสง่างามมั่นใจกว่า

ปกรณ์หลงรักจนไฟรักแผดเผาร่างกายจนเพ้อ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในวันสุดท้ายของการลาพักร้อนรอบนั้น เขาออกปากนัดแนะเอื้องผาให้ไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ บอกเธอว่าหากเธอมีใจให้ กับเขาขอโอกาสให้เขาได้ดูแลเธอ พรุ่งนี้เวลาสิบโมงเช้าให้เธอไปรอที่ศาลารอรถริมทางหลวง เขาจะมารับ

คืนนี้ปกรณ์กลับมานอนกระสับกระส่าย ไม่หลับทั้งคืน จนตอนเช้าคิดตก เหงื่อแตกท่วมตัว เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังจะหาเรื่องวุ่นวายใส่ตัวเอง การลักพาหญิงสาวไปอยู่ด้วยไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไหนจะพ่อแม่เธอ พ่อแม่เขา จนในที่สุดปกรณ์เปลี่ยนใจ จะแอบหนีไป กทม.คนเดียว

แต่ก่อนกลับยังอยากเห็นหน้าสักครั้ง เขาเลยใช้วิธีนั่งรถโดยสารผ่านศาลานั้นและมองผ่านช่องเล็กๆ ของม่าน เวลาราวบ่ายโมง เขาเห็นหญิงสาวยังคงนั่งรอ เหงื่อท่วมตัว หน้ามันแดง ท่าทางกระวนกระวาย เวทมนตร์ของแสงตะเกียงยามดึกหายไป เธอดูเป็นหญิงสาวธรรมดาที่สวยแต่ก็มีอยู่ดาษดื่นเต็มกรุงเทพฯ ปกรณ์ตัดใจได้ทันทีเพราะที่หลงเธอแต่แรกก็หลงเพียงรูปอยู่แล้ว

วันเวลาหลังจากนั้น ยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น ความรู้สึกผิดยิ่งท้นทวี ปกรณ์ใฝ่ฝันจะได้กลับมาขอโทษเธออีกสักครั้ง แต่นี่ก็ล่วงมาถึงสามสิบปี เธอคงไปถึงไหนต่อไหน

ปกรณ์ติดต่อโดม และถามข่าวเอื้องผา และได้ทราบข่าวร้ายว่าเธอเสียชีวิตไปเสียแล้วด้วยโรคไข้มาลาเรีย หลังจากที่เขากลับ กทม.ไม่นาน

“เออ พูดถึงแล้วก็สงสาร ตั้งแต่แกไปแม่คนงามก็รอแกมาตลอดนะ ว่าจะกลับมาอีกเมื่อไหร่ บาปกรรมแท้ๆ หลอกคนงามรอจนวันตายทั้งยังสาวยังแส้ไม่มีผัวสักคน”

ปกรณ์ผ่านศาลานั้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดท่วมท้น ศาลายังอยู่ แต่เปลี่ยนไปให้ทันสมัยมากขึ้น เขาสะดุ้งโหยงจนต้องจอดรถขยี้ตา เมื่อเห็นหญิงสาวคล้ายเอื้องผา นั่งมองมาที่ถนนด้วยท่าทางกระวนกระวายเหมือนกำลังรอใคร แต่พอดูดีๆ ก็ไม่มีใครสักคน

ปกรณ์ถอนหายใจ ขับรถจากมา แต่แล้วก็ต้องขนลุกทั้งตัว เสียวสันหลังวาบ หัวใจแทบหยุดเต้น เมื่อเห็นภาพสะท้อนจากกระจกเห็นเงาร่างหญิงสาวมวยผมสูงลำคอระหงนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง

เธอเอียงตัวชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ “เอื้องรู้ ว่ายังไงพี่ต้องมา พี่ต้องรักษาสัญญา ต่อไปนี้ขอโอกาสให้เอื้องได้ดูแลพี่เองนะจ๊ะ”


่จาก หลอน ข่าวสดออนไลน์


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 28 พฤศจิกายน 2560 13:29:52
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/14604621546135_view_resizing_images_1_.jpg)

ประตูเมรุอาถรรพ์

มีเรื่องประหลาดๆ เกิดขึ้นที่แถวๆ บ้านผมครับ

เรื่องของเรื่อง แถวบ้านผมห่างไปไม่ไกล เป็นร้านรับซื้อของเก่า ทั้งรับซื้อและมีโรงงานอัด หลอม เหล็กใหญ่เป็นเรื่องเป็นราวเลย ก็เลยเป็นศูนย์รวมพ่อค้าแม่ค้าที่รับซื้อของเก่าทั้งหลายพากันมาขายที่นี่ ไม่ใช่แค่พวกที่ปั่นซาเล้งรับซื้อตามบ้านนะครับ บางทีพวกหน่วยงานราชการ ร้านค้า บริษัท เวลามีเคลียร์ของรายปี มีการจัดซื้อของใหม่เข้าก็จะโละของเก่าแล้วขนมาขายที่นี่เหมือนกันเพราะให้ราคาดี ยิ่งบางคนย้ายบ้าน โละของเก่าพวกจักรยานเก่า ตู้เย็นเก่า เหล็กคานต่อเติมเก่าที่ยังไม่มีสนิม ขนมาขายที่นี่ได้เงินเป็นพันเลยครับ

ล่าสุดที่มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นนี่ก็ที่วัดในชุมชนนี่เองครับ คือทางวัดต้องการจะรื้อเมรุเก่าที่เก่าและชำรุดมากแล้ว เพื่อที่จะเคลียร์พื้นที่ก่อสร้างเมรุใหม่ตามงบประมาณที่มีผู้ใจบุญช่วยกันเรี่ยไรมา ระหว่างการทุบทำลายก็ปรึกษากันไปว่า อะไรที่พอจะเอากลับมาใช้ใหม่ได้พวกหลอดไฟสายไฟก็เก็บไว้ บางอย่างไม่รู้จะเอาไปทำอะไรก็แยะเป็นขนทิ้งกับขนขาย ฝั่งที่ขนขายอันที่ดูจะเป็นเรื่องเป็นราวที่สุดก็น่าจะเป็นประตูเมรุเก่าที่ทำจากเหล็กกล้าขนาดใหญ่มีน้ำหนักมาก ที่ใช้งานปิดประตูเมรุเผาศพที่มาประกอบพิธีกรรมที่วัดนี้มาแล้วถ้าจะนับจริงคงเป็นพันศพ จะเก็บไว้ใช้ใหม่ทางผู้รับเหมาก่อสร้างเมรุใหม่ก็บอกว่าน่าจะใช้กันไม่ได้หรอก เพราะเมรุที่จะสร้างใหม่นั้นเป็นเมรุรุ่นใหม่ทันสมัย ใช้เตาเผาศพปลอดมลพิษ โดยใช้เชื้อเพลิงเป็นแก๊สแอลพีจี ต้องมีวัสดุอุปกรณ์เฉพาะที่จัดชุดมาด้วยกันเลย ใช้ประตูเหล็กแบบโบราณไม่ได้

วันที่ผมเห็นพวกทางวัดขนประตูใส่ท้ายรถกระบะมา ผมยังนึกเลยว่าประตูเหล็กกล้าล้วนขนาดนี้ หนักและใหญ่ขนาดผู้ชายตัวโตๆ ต้องช่วยกันยกห้าคน ขนาดนี้ต้องราคาหนักแน่ๆ แล้วผมก็คาดไม่ผิด ราคามันกว่าห้าพันบาท เจ้าของร้านรับซื้อขยะไม่ต่อสักคำเดียว เพราะอยากให้เอาเงินค่าประตูไปร่วมทำบุญกับทางวัดด้วย แล้วก็รับเอาประตูนั้นมาวางเอาไว้ที่ลานคัดแยกขยะกองเดียวกับบรรดาเหล็กเก่าที่รับซื้อมาในวันเดียวกัน

คืนนั้นเองครับ ที่คนแถวละแวกบ้านเดียวกับผมหลายคนพูดตรงกันว่าถนนหน้าบ้านเส้นเดียวกับร้านรับซื้อของเก่า มีคนเดินไปเดินมากันคึกคัก และเหมือนมีเสียงคนพูดคุยกันด้วย จนกระทั่งหลายบ้านพากันเดินออกมาชะโงกดู แต่ก็ไม่เจอใคร บางคนเปิดบ้านออกมาหลายรอบด้วยความงงงวย แต่บ้านที่รู้ว่ามีการรับซื้อประตูเมรุจากวัดต่างพากันปิดประตูเงียบเชียบไม่กล้าออกมาดู

บ้านผมเองก็ได้ยินครับและก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้ว่าประตูเมรุมาอยู่ตรงนี้เลยไม่กล้าออก ยังคุยกับแฟนว่าทางวัดสงสัยไม่ได้ขนมาแค่ประตูแล้วละแบบนี้ ไม่รู้ว่าทางร้านเขาจะทำยังไงนะ ของแบบนี้

เช้าวันต่อมาแค่พอแดดออกเท่านั้น แต่ละคนก็ออกจากบ้านมาคุยกันถึงเรื่องเสียงเมื่อคืน และพากันเดินไปที่ร้านรับซื้อของเก่า ถามว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นบ้างหรือไม่ เจ้าของร้านซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีนและเป็นคนธรรมะธัมโมก็ออกมาบอกว่า ที่บ้านแกพอรู้ว่าวัดจะเอาประตูเมรุมาขายก็เตรียมใจกันไว้ระดับหนึ่งแล้ว ว่าอาจจะมีอะไรตามมาด้วย แต่เมื่อคืนนี้ก็นอนกลัวกันแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน แกเลยว่าจะขอเอาไปคืนที่วัด

ผมเองวันนั้นไม่มีธุระอะไรที่ไหนก็เลยติดตามข่าวเรื่องนี้ไปด้วย ปรากฏว่าไปที่วัดพวกทีมงานที่วัดก็บอกว่าเรามีเจตนาดีไม่ได้ลบหลู่คงไม่น่ามีอะไร ให้รีบหล่อประตูเป็นเหล็กแล้วก็ส่งโรงงานรีไซเคิลอะไรต่อไปเถอะ พี่เจ้าของร้านเป็นคนไม่คิดมากก็เออออไป

แต่ปรากฏยังไงไม่ทราบ เครื่องหลอมเหล็กของโรงงานวันนั้นเกิดมีปัญหาขึ้นมา ซ่อมยังไงก็ไม่หาย ช่างว่าต้องไปหาอะไหล่ในตัวเมือง ซึ่งก็ต้องรอวันรุ่งขึ้นถึงน่าจะซ่อมเสร็จ ให้รอก่อน ตอนนั้นก็เย็นมากแล้วใครจะไปทำอะไรได้ล่ะครับ ก็ต้องวางประตูนั่นไว้ที่เดิมต่อไปอีกวัน

ทีนี้แหละ คืนที่สองนี่แหละ หนักเลย เพราะนอกจากจะมีเสียง มีเงาคนเดินไปเดินมาแล้ว ยังมีคนได้ยินเสียงเปิดปิดประตูเมรุเอี๊ยดปัง เอี๊ยดปังด้วย และพี่เจ้าของร้านกับแฟนก็บอกว่าได้กลิ่นเหม็นเหมือนเนื้อไหม้ฟุ้งตลบเป็นพักๆ แกกลัวจนจะหนีออกจากบ้านตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าลงมาเพราะเห็นเงาคนเดินไปมาในตัวบ้าน ชั้นล่าง

เช้าวันต่อมา คราวนี้พี่เจ้าของร้านไม่รออะไรแล้ว รีบบุกไปที่วัดนิมนต์พระเร่งด่วนแทบจะอุ้มกันมา มาทำพิธีสวดถอนที่บ้านพร้อมกับให้คนงานช่วยกันขนบานประตูเมรุขึ้นรถกลับไปคืนที่วัดโดยไม่ขอเงินคืนแต่อย่างใด หลังจากนั้นทุกอย่างก็ปกติ ทุกวันนี้ประตูเมรุเก่าบานนั้นก็ยังตั้งอยู่ข้างกำแพงวัดตรงที่จะสร้างเมรุใหม่นี่แหละครับ ใครอยากชมจะแวะเข้าไปดูก็ได้ แต่ไปต้องกลางวันนะครับเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน



ผีโรงละคร

ประจักษ์ ก้มลงมองหมายเลขที่นั่งในตั๋วชมละครเวทีของตัวเอง แสงไฟในโรงละครตอนนี้ยังคงเปิดสว่าง ส่งให้เห็นชื่อนายประจักษ์ตัวเลขแถวที่นั่งและหมายเลขเก้าอี้ได้อย่างชัดเจน

ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวเดินไปตามพื้นพรมหนานุ่ม ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เปิดรอไว้จนฉ่ำ ประจักษ์สงสัยอยู่ว่า ละครเรื่องนี้ค่อนข้างจะดังในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก แถมยังมีกระแสตอบรับที่ดี มีการโปรโมตทางรายการทีวี ออกรายการเล่าข่าวที่ดังที่สุดในประเทศ แต่เพราะอะไรรอบนี้ซึ่งเป็นรอบแรก คนดูถึงได้หร็อมแหร็มไม่ถึงครึ่งโรงแบบนี้ แต่ละคนนั่งห่างๆ กันไปคนละที่ละที่ ประจักษ์คิดในทางเอาใจช่วยว่า บางทีคนดูอาจจะยังไม่ทยอยเข้ามาก็ได้มั้ง แต่ในนาทีนั้นเองม่านของโรงละครก็ค่อยๆ เคลื่อนเปิดตัวออกในขณะที่ไฟในโรงค่อยๆ หรี่ลง มีเพียงดวงที่สาดส่องไปทางหน้าเวทีเท่านั้น ที่ค่อยๆ สว่างขึ้น

ประจักษ์รีบหาที่นั่งตัวเองจนเจอแล้วนั่งลงทันที อากาศในโรงละครที่เย็นมากอยู่แล้วดูจะเย็นลงไปอีกทันทีที่แสงไฟมืดลง เขารู้สึกได้ว่าในแถวที่นั่งของตัวเองเริ่มมีคนทยอยเข้ามานั่ง แต่ห่างออกไปข้างละ 2 ที่นั่ง ในขณะที่แถวอื่นๆ ก็เริ่มมีคนเข้ามาเพิ่ม น่าแปลกที่คนดูในรอบนี้ต่างเข้ามากันอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงใครพูดคุยกันเลยแม้แต่คนเดียว

ละครเริ่มขึ้นเมื่อเสียงดนตรีจากไวโอลินแหลมสูงเศร้าสร้อยดังกรีดอากาศแหวกความเงียบในโรงละครให้มีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ตัวละครหญิงใส่ชุดเดรสแขนยาวขายาวเนื้อผ้ารุ่มร่าม ผมสีดำยาวถึงเข่า วิ่งออกมาจากด้านข้างของเวทีแล้วเริ่มเต้นระบำตามเสียงไวโอลินกรีดแทงเศร้าสร้อยนั้น ท่าทางเหมือนคนกำลังมีความทุกข์โศกอย่างร้ายแรง เต้นระบำไปสะอื้นไห้ไปพลางเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้นเวที แวบหนึ่งที่นักแสดงหันหน้ามาทางคนดู ใบหน้าสีขาวจัดเหมือนทาสีริมฝีปากก็ขาวโพลนไปด้วย เห็นเพียงดวงตาสีดำด้านไร้แวว ประจักษ์ถึงกับสะดุ้งเฮือกหน้าชาขนลุกไปหมดทั้งตัว เขารู้สึกเหมือนแวบวินาทีนั้น นักแสดงหญิงคนนั้นจ้องตรงมาทางเขา ใบหน้านั้นคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก

ท่าร่ายรำของเธอและเนื้อผ้าที่พลิ้วไปมานั้นราวกับนางพรายที่กำลังร่ายระบำอยู่ใต้น้ำ ประจักษ์จ้องมองอย่างละสายตาไม่ได้เหมือนถูกสาป ร่างนั้นเคลื่อนไหวไปมาบนพื้นด้วยฝีเท้าเบา นุ่มนวล ลื่นไหลเหมือนไม่ติดพื้น

สักครู่ท่วงทำนองเพลงเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นเร่งกระชั้นมากขึ้นท่วงทำนองโกรธเกรี้ยวดุดัน ตัวละครเต้นรัวฝีเท้าสลับกับกระทืบ กรีดร้องและหัวเราะเสียงดังกึกก้องโรงละครสลับกันไปมา ประจักษ์สะดุ้งและขนลุกทุกครั้งที่มีการกระทืบเท้าดังปัง บางท่วงท่าก็กราดสายตามองไปทั้งโรงละคร และชี้หน้าคนดูที่นั่งอยู่แถวหน้าสุด

ดนตรีดูเหมือนจะโหมกระหน่ำให้ดุดันและเกรี้ยวกราดโหดร้ายจนถึงที่สุด ตัวละครที่ดูราวปีศาจจากขุมนรกคืบคลานบิดเบี้ยวลงมาจากเวทีก่อนยืดตัวขึ้นวิ่งสุดฝีเท้าไปที่คนดูคนหนึ่งอีกฟากของโรงละคร ยืนชี้หน้าด้วยดวงตาดุดันและคว้าข้อมือคนคนนั้น ลากแขนให้เดินตามขึ้นมาบนเวที

ตอนนี้ประจักษ์เหงื่อแตกเต็มตัว นั่งหายใจไม่ทั่วท้อง อยากจะเดินออกไปจากที่นี่ แต่ก็เหมือนถูกสะกดไม่ให้ลุกไปไหน เขามองตามต่อไปจนคนดูคนนั้นเดินตามขึ้นไปบนเวทีที่ตอนนี้มีตะแลง แกงสำหรับแขวนคอคนถูกเลื่อนมาที่กึ่งกลางเวที

นักแสดงชุดดำลากคนดูคนนั้นไปที่ตะแลงแกง ดึงตัวขึ้นไปยืนที่หน้าบ่วงแขวน ไม่ดิ้นรนอะไรเมื่อนางละครเอาบ่วงนั้นคล้องคอเขา วินาทีถัดจากนั้น ดนตรีหยุดบรรเลง ความเงียบสงัดครอบคลุมพื้นที่ ร่างของชายคนนั้นถูกผลักให้ห้อยแขวน ขณะกำลังดิ้นทุรนทุราย ประจักษ์เห็นใบหน้านั้นถนัดขึ้น ให้ตายเหอะ ทั้งชุด ทั้งหน้าตา นั่นมันตัวเขาเอง!

ประจักษ์ตกตะลึง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ ขนหัวลุก นี่มันบ้าอะไรกัน ไม่ใช่การแสดงแล้ว เขาอยากวิ่งออกไปแต่ก็ขยับไม่ได้ ทันใดนั้นตัวละครนางชุดดำวิ่งมาที่เขาแล้วยกมือชี้หน้า ดวงตาดำเหลือกกว้างบนใบหน้าสีขาว “มึง…มึง…มึง…” เสียงนั้นห้าวใหญ่เหมือนเสือคำราม

แล้วประจักษ์ก็สะดุ้ง สุดตัว ระลึกได้ในตอนนั้นเองว่าเธอคนนี้คือใคร

เมื่อหลายปีก่อน เขากับนางละครคนหนึ่งเคยคบหามีความสัมพันธ์กันเขาหลงเธอมาก แต่เมื่อเธอได้รับคัดเลือกให้ไปแสดงที่ต่างประเทศ เขาหวงจนเกิดน้อยใจ ทะเลาะเบาะแว้งที่หลังโรงละครแล้วพลั้งมือบีบคอเธอจนเสียชีวิต หลังจากนั้นประจักษ์อุ้มเธอขึ้นแขวนคอกับผ้าดำที่ใช้ทำฉากทั้งน้ำตา อำพรางศพว่าฆ่าตัวตาย

มือเย็นเฉียบรวมข้อมือเขาแล้วกระชากให้เดินตามขึ้นไปบนเวที ประจักษ์เดินตามอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาเริ่มร้องโวยวายให้คนช่วย แต่ทุกคนก็นิ่งเงียบ จนกระทั่งเขาถูกนำเข้าแขวนคอ ใบหน้าสีขาวกับดวงตาดำกระด้างชะโงกหน้าเข้ามาจนติด “มึงยังจำไม่ได้อีกเหรอ กูไม่ได้ตายคนเดียว”

วินาทีที่ร่วงหล่นและเชือกรัดรอบลำคอนั้นเอง ประจักษ์จึงจำได้ว่า เขาทนความรู้สึกผิดไม่ไหวและแขวนคอตายตามเธอหลังจากนั้นไม่นาน การรับรู้สุดท้ายก่อนจะวูบดับ ประจักษ์เห็นคนในโรงละครทั้งโรงล้วนเป็นตัวเขาที่นั่งมองมาทางตะแลงแกงด้วยความหวาดกลัวถึงขีดสุด

ใบหน้าสีขาวแสยะยิ้มปากกว้างถึงหู “ทีนี้เราก็จะได้อยู่และเล่นละครด้วยกันไปอีกนานแสนนานเลยละค่ะที่รัก” เธอว่าพลางหัวเราะเสียงแหลม ยาวกึกก้องก่อนวิ่งลงไปชี้หน้าและคว้าประจักษ์คนต่อไป



ตาแมวส่องมรณะ 

ตีหนึ่งสี่สิบห้า แท็กซี่เคลื่อนตัวไปได้อย่างรวดเร็วเพราะถนนบริเวณนี้โล่ง เงียบ ตรงกันข้ามกับตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง

อันยานั่งชิดประตู เอนศีรษะพิงกระจกหน้า ต่างมองเหม่อออกไปข้างนอก เส้นประสีขาวที่ขีดเป็นแนวถนน เลื่อนผ่านสายตาไปอย่างรวดเร็วจนมองเห็นเป็นเส้นสีขาวเส้นเดียว หญิงสาวนั่งนึกเรื่องอะไรเพลินไปเรื่อยจนลืมมองว่ารถแล่นใกล้ซอยเข้าอพาร์ตเมนต์เต็มที โดยที่ความเร็วยังไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย...เธอรีบขยับนั่งตัวตรง

"ซอยซ้ายมือนะคะ ที่มีป้ายโฆษณาสีเขียวๆ..."

พูดยังไม่ทันจบ รถก็แล่นผ่านซอยนั้นไปโดยที่ความเร็วไม่ได้ชะลอลงเลยแม้แต่น้อย อันยาหันไปจ้องคนขับรถอย่างตกใจ คนขับรถยังคงนั่งนิ่ง แต่พูดออกมาเบาๆ

"โทษที ลืม ขับเพลินไปหน่อย เดี๋ยวเข้าซอยข้างหน้าก็แล้วกันนะ มันมีทางเชื่อมกันได้"

รถแท็กซี่เลี้ยวเข้าซอยถัดไปอย่างรวดเร็วโดยที่อันยาไม่ทันได้พูดอะไร ได้แต่พยายามปลอบใจตัวเองว่าคงไม่มีอะไร น่ากลัวอย่างที่คิด แต่ถึงพยายามคิดแบบนั้น ก็อดใจสั่นไม่ได้ ทางเข้าซอยนั้นมืดลงทุกที ไฟสาธารณะที่ตั้งเรียงรายห่างๆ กันก็พึ่งพาอะไร ไม่ได้ เพราะดับๆติดๆ เพิ่มความน่ากลัวมากขึ้นไปอีก

อันยาใจเต้นแรงมองออกไปด้านข้าง ดูว่าแถวนี้มีอะไรที่เธอพอจะคุ้นตาบ้างไหม

ตอนนั้นเองเธอก็มองเห็นร่างร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างถนนด้านหน้า เลือดในตัวเธอเย็นเยียบขึ้นมากะทันหัน ร่างนั้นดูคุ้นตาอย่างประหลาด เมื่อรถเคลื่อนตัวใกล้เข้าไปเรื่อยๆ หัวใจของอันยาแทบหยุดเต้น

หญิงสาวกำมือแน่น ตัวสั่นไปด้วยความกลัว เหงื่อตามไรผมไหลออกมาจนชุ่ม เธอพยายามที่จะละสายตาจากร่างนั้น แต่ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างสะกดให้เธอทำตามที่ใจอยากไม่ได้

ร่างเด็กสาวในชุดนักเรียน ม.ปลาย ยืนจ้องเธอเขม็ง ดวงตาแดงก่ำ

เสื้อนักเรียนชุ่มเลือดที่ไหลเรื่อยไม่ยอมหยุด เป็นเส้นสีแดงลากลงมาจากหน้าผาก อาบใบหน้า ลำคอซีดขาวมีรอยถูกปาดลึกยาว

และเมื่อรถแล่นเข้าไปถึงตรงที่ร่างนั้นยืนรออยู่ อันยาก็ต้องหวีดร้องออกมาสุดเสียง

ใบหน้าอาบเลือดพุ่งเข้ามาแนบใบหน้าเข้ากับกระจกข้างที่หญิงสาวนั่งอยู่ และทุบประตูรถอย่างแรงถี่ยิบ ปากดำคล้ำขมุบขมิบอะไรบางอย่างไม่หยุด ทั้งที่เลือดสดๆ สีแดงฉานพรั่งพรูออกมาเป็นสาย กลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจายไปทั่ว

เปิดประตู ช่วยด้วยย...เสียงนั้นดังขึ้นในหัวของเธอ

อันยาหวีดร้องสุดเสียง และพยายามกระเสือกกระสนไปที่ประตูรถอีกด้าน มือข้างหนึ่งคลำเปะปะจนพบที่เปิดประตูและดึงมันขึ้น เธอรีบโผตัวจะออกไปจากรถ

ทันใดนั้น ข้อมือของเธอก็ถูกกระชากอย่างแรง หญิงสาวหันขวับหันไปทันที และก็พบกับภาพที่น่าสะพรึงกลัวที่เบาะคนขับ เด็กสาวในชุดนักเรียนคนนั้น เอื้อมตัวออกมาคว้าข้อมือเธอไว้แน่น

"จะไปไหน" ร่างนั้นตะคอก  "เปิดประตูให้กูเดี๋ยวนี้ เปิดประตู"

ภาพจากช่องตาแมวในวันเกิดเหตุเคลื่อนมาซ้อนทับภาพตรงหน้าอย่างรวดเร็ว อันยาหวีดร้องยาวนานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหมดสติไป

ก่อนหน้านั้นราวหนึ่งอาทิตย์ ขณะอันยากำลังอ่านหนังสือสอบที่ห้องช่วงสายๆ เธอก็แว่วได้ยินเสียงตึงเหมือนมีใครทุบอะไรเบาๆ จึงสะดุ้งหลุดออกมาจากภวังค์ แต่เมื่อปิดเสียงเพลงแล้วตั้งใจฟัง กลับมีเพียงความเงียบเท่านั้น ไม่ได้มีเสียงแปลกปลอมใดๆ ทั้งสิ้น

อันยาคิดว่าตัวเองคงหูฝาด จึงครอบหูฟัง ฟังเพลงต่อไป

แต่สักพักหนึ่งก็ยินเสียงแบบเดิมอีก คราวนี้เธอไม่สนใจจะหยุดฟัง อันยาเร่งเสียงเพลงให้ดังขึ้นอีกจนรู้สึกเหมือนเส้นเลือดในหัวเต้นตุบ ตุบ ตามจังหวะดนตรี เธอหลับตาลงขยับหัวไปมาตามจังหวะ

เสียงเพลงคึกคักฟังแล้วชวนให้นึกถึงสถานบันเทิงยามราตรีที่เธอกับกลุ่มเพื่อนเคยพากันไปสังสรรค์กันเป็นครั้งคราว หญิงสาวชักเริ่มนึกสนุกถึงขนาดว่าอยากจะเอาไฟล์ออกไปเปิดกับเครื่องเสียงชุดใหญ่ให้เสียงกระหึ่มไปเลย

ขยับเนื้อขยับตัวให้สนุกสักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวค่อยมาอ่านต่อ บางทีได้ออกกำลังพอเหงื่อออกเธอคงกระปรี้กระเปร่าขึ้น

อันยาเอื้อมมือไปปิดเพลงเพื่อจะเอาการ์ดออกมาจากเครื่อง แต่เมื่อเสียงเพลงเงียบลง เสียงหวีดร้องอย่างโหยหวนน่าสยดสยองก็ดังผ่านความเงียบเข้ามาทันที เสียงนั้นแหลมดัง กรีดเข้าไปถึงโสตประสาทในหัวของเธอราวกับเจ้าของเสียงกำลังยืนอยู่ข้างๆ

หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ปลายนิ้วก้อยตวัดเกี่ยว ไอโฟนตกลงกับพื้นอย่างแรงจนกระเด็นเข้าไปใต้เตียง

เธอผุดลุกขึ้นยืนนิ่ง รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ มือเท้าเย็นเฉียบ ตาหันไปมองที่ประตูหน้าห้องที่มาของเสียง ชั่งใจอยู่ว่าจะเดินไปดูดีหรือไม่ แต่ยังไม่ทันจะได้ตัดสินใจทำอะไรลงไป ก็มีเสียงทุบประตูดังขึ้นพร้อมเสียงร้องของผู้หญิง

"ช่วยด้วยยยย...."เสียงนั้นคร่ำครวญ

“ช่วยด้วยยยย….” เสียงนั้นคร่ำครวญราวกับว่าเจ้าของเสียงยังคงมีความหวังที่จะรอดชีวิต จากอะไรบางอย่างที่กำลังต้องการชีวิตของหล่อนเดี๋ยวนี้ แม้ว่าความหวังนั้นจะริบหรี่เต็มที

“เปิดประตู…เปิดสิ…ช่วยด้วยยยย…”

เสียงร้องนั้นบีบรัดหัวใจอันยารุนแรงจนรู้สึกเหมือนกำลังจะหายใจไม่ออก หญิงสาวตั้งท่าจะวิ่งไปที่ประตู แต่ไปได้แค่สองสามก้าวเธอก็หยุดชะงัก ด้วยสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์ สัญชาตญาณที่ต้องการจะหลีกหนีจากสิ่งที่เป็นอันตราย…

เสียงทุบประตูดังขึ้นอีก คราวนี้กระแทกรุนแรงเหมือนคนถีบประตู อันยาตกใจทรุดตัวลงหมอบอัตโนมัติ แล้วก็มีเสียงหวีดร้องอู้อี้ออกจมูกเหมือนคนร้องถูกปิดปากไว้ดังตามมา

หญิงสาวต่อสู้กับตัวเองอย่างหนักผัวเมียตีกันละมั้งเธอคิดแล้วก้าวเดินต่อไปอีกก้าว เดี๋ยวสิ เธอหยุด

ถ้าไม่ใช่ล่ะ ถ้าเป็นคนร้ายและมีอาวุธล่ะ ถ้ามันรู้ว่ามีคนอยู่ในนี้มันอาจจะทำร้ายเราด้วยก็ได้… หรือถ้าไม่ใช่…ด้วยความสับสนงุนงงและตกใจ อันยาคิดไพล่ไปถึงขนาดเรื่องผีสาง คิดกลับไปกลับมาจนในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็เป็นฝ่ายชนะเธอค่อยย่องเข้าไปที่ประตู แตะมือลงที่ลูกบิดแผ่วเบา จะเปิดออกไปหรือ เดี๋ยว ไม่ได้สิ อันตรายเกินไป

ประตูถูกกระแทกอย่างแรงอีกครั้ง เสียงต่อสู้กันข้างนอกยังดังต่อเนื่อง หญิงสาวขยับเข้าชิดประตูแล้วแนบตาเข้ากับช่องตาแมวช้าๆ ด้วยใจที่เต้นรัวเร็วราวกับจะหลุดออกมานอกอก มือเท้าเย็นเฉียบมีเหงื่อออกชุ่ม กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว

เด็กสาวในชุดนักเรียนขาวกระโปรงลายสกอตถูกปิดปาก ดวงตาเหลือกลานขณะที่คนร้ายใช้มีดจ้วงแทงอย่างโหดเหี้ยมที่ลำตัวอย่างไม่ยั้งจนเลือดสาดกระจายทั่วบริเวณ อันยากลั้นหายใจ ค่อยๆย่องถอยหลังห่างมาจากประตู ตัวสั่นปากสั่นยังได้ยินเสียงหายใจดังเฮือกๆ ก่อนเสียงฝีเท้าปริศนาจะวิ่งจากไป

ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องมากันเต็มบริเวณหลังจากนั้นทั้งวัน อันยาได้แต่ปิดไฟเก็บตัวนิ่งเงียบอยู่ในห้อง ใครถามก็อ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นอะไรเพราะใส่หูฟัง ข่าวเด็กสาวถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมกลายเป็นข่าวดังและฉายทางโทรทัศน์บ่อยครั้ง

หลังจากนั้นทุกครั้งที่เห็นข่าวอันยานึกสะท้อนสะท้านใจขึ้นมาทันที นึกเห็นภาพเด็กสาวเคราะห์ร้ายที่วิ่งเคาะประตูขอความช่วยเหลือตลอดทางเดินยาวเหยียดของตึก เธอคงหวังว่าจะมีใครเปิดประตูออกมาช่วยเธอบ้าง แต่ในตอนนั้นไม่มีใครอยู่เลย และคนคนเดียวที่อยู่ในห้องตอนที่เธอยังหายใจอยู่แต่ไม่ยอมเปิดออกมาช่วยก็คือตัวเธอนั่นเอง

จริงๆ แล้วถ้าตอนนั้นเราเอะใจสักนิด เดินออกมาเปิดประตูตอนที่คนร้ายยังตามมาไม่ถึง เราอาจจะช่วยเธอเข้ามาหลบในห้องได้ แล้วตอนนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นก็คงยังไม่ตาย อันยาคิด

แต่ดูเหมือนว่าอันยาจะไม่ได้คิดอย่างงั้นคนเดียว เพราะหลังจากนั้นเธอมักรู้สึกว่ามีอะไรติดตามเธอมาอยู่เสมอ เพื่อนๆ พยายามปลอบใจว่าเธอคงคิดมากไปเองเพราะความรู้สึกผิด แต่อันยารู้ดีว่าไม่ใช่แค่คิดไปเองแน่

ร่างที่ตามมานั้น บางทีก็เห็นเป็นรูปร่างคล้ายเด็กสาวใส่ชุดนักเรียนกระโปรงลายสกอตเขียว บางทีก็เห็นรองเท้านักเรียนสีดำมันขลับวางอยู่ที่หน้าห้องตัวเอง แต่พอดูดีๆ อีกทีมันก็หายไปเฉยๆ

อันยาไม่อาจอยู่ห้องคนเดียวได้ เธอต้องขอร้องให้เพื่อนสนิทมาช่วยอยู่เป็นเพื่อนให้หายกลัว และพักหลังก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนกระทั่งมีวันนี้นี่แหละที่เพื่อนมีธุระเธอเลยต้องนั่งแท็กซี่กลับมาห้องคนเดียว และก็เจอเรื่องสยองโหดอีกจนได้

โชคดีที่แท็กซี่เป็นคนใจดี เลยช่วยพาอันยา ส่งร.พ.หลังจากร้องกรี๊ดๆ แล้วก็สลบไปเองเฉยๆ คืนนั้นเด็กสาวไม่กล้ากลับห้อง เธอรอจนเช้า และชวนเพื่อนไปทำบุญถวายสังฆทานให้กับวิญญาณ เด็กสาวที่ถูกฆ่าตายคนนั้น รวมทั้งกล่าวขออโหสิกรรมด้วย

หลังจากได้ทำบุญแล้ว อันยาสบายใจขึ้นมาก ดูเหมือนร่างเงาแปลกๆ นั้นก็จะหายไปด้วย หญิงสาวสบายใจจนกล้ากลับไปนอนห้องตัวเองโดยที่ไม่รบกวนเพื่อนให้ไปนอนเป็นเพื่อนอีก

อันยาถอนหายใจโล่งอก เมื่อเห็นพี่แม่บ้านเข้าลิฟต์มาพร้อมกัน เธอยิ้มให้ ปกติแล้วอันยาไม่ค่อยชอบขึ้นลิฟต์คนเดียว เพราะค่อนข้างกลัวลิฟต์ มีคนมาด้วยก็ค่อยโอเคหน่อย

ลิฟต์เลื่อนจากชั้นหนึ่งไปจนถึงชั้นเก้า แล้วก็กระตุกสองสามครั้งก่อนหยุดนิ่ง ไฟในลิฟต์ดับวูบลง อันยาใจหายวาบ ลิฟต์ค้างแน่ๆ เธอคิด แต่ก็ยังดีพี่แม่บ้านคนนี้ปกติซ่อมลิฟต์ค้างบ่อยๆ

แต่น่าแปลกที่ตอนนี้เธอกลับยืนนิ่งไม่ยอมขยับ ในลิฟต์เย็นเยือกขึ้นมาเฉยๆ อันยาเริ่มใจสั่น

“พี่คะ เปิดประตูหน่อยค่ะ”

ไฟในลิฟต์เริ่มติดๆ ดับๆ อันยาขยับจะเดินไปที่ประตูลิฟต์ แต่เท้าเหมือนย่ำลงไปบนอะไรสักอย่างเหนียวๆ เมื่อก้มลงดูก็เห็นของเหลวสีแดงคล้ำข้นหนืด ไหลนองออกมาจากพื้นใต้เท้าคนที่ยืนข้างๆ อันยากลัวจนน้ำตาคลอเมื่อหางตาเห็นว่าคนที่เธอคิดว่าเป็นพี่แม่บ้าน ใส่รองเท้านักเรียนสีดำมันขลับ ถุงเท้าชุ่มเลือดจนแดงฉาน และเห็นชายกระโปรงลายสกอตคลุมเข่า

“ทีมึงยังไม่เปิดให้กูเลย?” กระซิบนั้นแหบพร่า ก่อนที่โลกใต้ฝ่าเท้าของอันยาจะเหมือนวับหายไปเฉยๆ และตัวเธอร่วงหล่นสู่ความมืดดำไปพร้อมกับตัวลิฟต์


จาก หลอน ข่าวสดออนไลน์


หัวข้อ: Re: เรื่องเล่าเขย่าขวัญ
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 05 ธันวาคม 2560 10:35:47
(http://iam.hunsa.com/users/d/da/daejongkon/uploads/03822_cuyqy.jpg)

เช็งเม้งขนหัวลุก

เมื่อประมาณปี พ.ศ.2522 ตอนนั้นเพิ่งปิดเทอมใหญ่ รอขึ้นชั้นมัธยมหนึ่ง ผมรู้สึกตัวเองโตมาก เมื่อถึงเทศกาลเช็งเม้งผมจึงไม่อยากไปร่วมด้วย ผมมองว่าเป็นเรื่องโบราณ ร้อนก็ร้อน อะไรๆ ที่ผู้ใหญ่ทำในวัยนั้นของเด็กอย่างผมจะมองว่าล้าสมัย น่าเบื่อไปเสียหมด ผมมักต่อต้านแอนตี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ว่าพ่อผมดุมาก เจอบทลงโทษของพ่อ อาจจะถูกตัดเงินประจำสัปดาห์ไปเป็นเดือนๆ เหมือนพี่ชายคนโตของผมที่แอบไปดูดกัญชาแล้วพ่อทราบ เจอบทลงโทษหนึ่งเดือนเต็ม ต้องกินแต่ข้าวบ้านทุกมื้อ กินแต่ข้าวของที่มีแต่ในบ้าน ห้ามแม่หรือใครแอบให้เงิน หากรู้เจอเพิ่มอีกสิบเท่า พ่อทำจริงมาแล้ว ทุกคนจึงเกรงกลัวพ่อมาก

ผมไปเช็งเม้งปีนั้นอย่างต่อต้าน ขึ้นรถก็โอ้เอ้ นั่งในรถก็ฟัง ซาวด์อเบาต์ที่ยุคนั้นกำลังฮิต พอเบื่อก็เอาเกมกดขึ้นมาเล่น เมื่อไปถึงสุสาน มักจะมีพวกโต๊ะข้าวต้มจับเกี้ยมที่พ่อมักเลี้ยงจัดคนมาด้วย เพราะคนที่มาไม่เพียงมีแต่ญาติ แต่พ่อจัดรถบัสขนาดใหญ่ไปอีกสี่คัน จึงมีทั้งเพื่อน ญาติและใครก็ไม่รู้มาด้วย ทุกสุสานที่ไปจะมีการโยนเงินแจกทานอีก อาหารก็มีกิน ขนม แถมของชำร่วยที่แจกทุกสุสานอีก เทศกาลเช็งเม้งวันเดียวพ่อจะไปทุกสุสาน ทั้งอากงอาม่า อาแปะที่ตายไปแล้วและญาติคนอื่นๆ บางปีตอนเด็กไปกันถึงสิบแห่งก็มี ไปกันจนเหนื่อยเลย เหนื่อยขึ้นลงรถนี่แหละ ผมมักประชดให้แม่ได้ยิน

เช็งเม้งที่ชลบุรี เมืองที่มีฮวงซุ้ยเยอะมาก ปีนั้นไปถึงที่แรก ผมขี้เกียจจำหรอกว่าหลุมของญาติคนไหน พอลงผมก็เดินหลบไปนั่งในโถงศาลาซึ่งก็แปลกดี อากาศร้อนมากแต่โถงศาลาพวกนี้จะเย็นสบายอย่างที่สุด พอเห็นคนเดินเสิร์ฟน้ำเย็นก็กวักมือเรียกให้นำมาเสิร์ฟ แม่เห็นเข้าก็เดินมาว่าผม "ไปกวักมือเรียกพี่เขาแบบนี้ได้ไง ไม่มีมารยาท"

ผมทำท่ารำคาญแล้วลุกหนีไป จะอะไรกันนักกันหนาก็แค่เสิร์ฟน้ำ ผมเดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบรินเอง ดื่มอึกๆ ก่อนจะหนีไปยังอีกศาลาใกล้กัน ดึงเก้าอี้เหล็กพับกางออกแล้วนั่ง เปิดเพลงใน ซาวด์อเบาต์ฟังต่อ

จนมีการตะโกนเรียกให้ขึ้นรถ ผมไม่ได้ยินหรอกแต่รู้เข้าใจจากการเดินของคนอื่นๆ ไปขึ้นรถ ผมไม่ได้เดินไปไหว้ฮวงซุ้ย คิดแล้วก็ชักเกรง พ่อไม่เห็น กลับบ้านอาจจะเจอพ่อคิดบัญชี แต่ก็ไม่แน่ พ่อมัวแต่ยุ่งกับคนมากมาย แม่ก็อาจจะแก้ตัวแทนให้ ผมเลยเดินไปขึ้นรถคันเก่าต่อ อ้อ ผมนั่งแยกมาจากครอบครัว ขี้เกียจขึ้นไปปนกับบรรดาญาติขี้โม้ทั้งหลาย นานๆ เจอทีชอบอวดโม้ลูกตัวเองเก่งนั่นเก่งนี่ ผมรำคาญมาก

รถเลี้ยวออกวิ่งบนถนนใหญ่ อึดใจก็เลี้ยวเข้าสุสานอีก พอถึงผมก็ลงเดินไปโถงศาลาที่สุสานไหนก็มีเหมือนๆ กันหมด น้ำก็มาอีก หนนี้มีตั้งโต๊ะจีนแล้ว น่าจะเที่ยงมีการเลี้ยงอาหารกัน คงใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ปีนี้มาถึงช้าสุสานเดียวแล้วก็กินมื้อเที่ยงเลย หรือว่าพ่อวางโปรแกรมไว้แบบนี้ ผมก็คิดไปเรื่อยๆ แล้วก็เดินไปบริเวณที่เป็นโรงครัวทำอาหาร สั่งพนักงานจัดให้ผมชุดหนึ่ง ผมจะกินตรงนี้ พนักงานมองหน้าบอกทำให้ไม่ได้ ผมย้อนไป พ่อผมเป็นเจ้าภาพนะ

มีผู้ชายอีกคนมาถามว่ามีอะไร พอเขาเห็นท่าทางผม คนนี้คงมีอำนาจตัดสินใจ จึงสั่งเด็กจัดอาหารให้ผมชุดหนึ่ง ผมบอกเอาแค่ข้าวผัดและจานปลาสักตัวพร้อมน้ำอัดลมก็พอ อย่างอื่นขี้เกียจกิน ผมว่าไปแล้วนั่งรอที่โต๊ะรอเสิร์ฟ

ลมเย็นนะตอนนั้น เย็นจนไม่รู้เผลอหลับไปตอนไหน เมื่อตื่นขึ้นมาผมตกใจมาก รอบตัวเงียบเชียบไม่มีเสียงใดๆ เลย แม้จะสว่างจ้าแต่ผู้คนหายไปหมด นี่ผมเผลอหลับแล้วรถออกไปแล้วหรือ ทำไมพวกพนักงานเสิร์ฟไม่ปลุกผม หรือว่าเขาไม่พอใจจนต้องกลั่นแกล้งกันขนาดนี้

ผมคิดแต่ไม่มีเวลาโมโหใครจะต้องหาทางออกให้ได้ กำลังเหลียวขวาแลซ้ายอยู่ ก็ได้ยินเสียงโครมดังมาก คล้ายวัตถุอะไรสองอย่างชนกันกระแทกกัน เมื่อหันไปหาก็เจอเข้ากับภาพรถกระบะชนกับรถยนต์ สภาพบู้บี้เหมือนขยำเข้าหากัน ไม่นานก็มีคนในรถทั้งสองคันเดินเขย่งบ้าง คลานบ้างตรงเข้าหาผมพร้อมกันถึงสี่คน ผมทั้งตกใจกลัวและทำอะไรไม่ถูก เพราะทั้งสี่มีเลือดท่วมตัว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บางคนก็ไม่มีแขน บางคนก็ไม่มีขา ไม่ต้องพูดถึงแผลเหวอะหวะตามตัว ที่ตกใจสุดขีดก็คือจู่ๆ ก็มีมือมาดึงผมให้หันจากด้านหลัง แม้จะไม่แรงเหมือนกระชากแต่ก็แรงพอให้เกือบหงายหลัง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยเลือด แล้วเขาก็พูดว่า "ช่วยต่อหัวให้ผมด้วย" พูดจบก็ดึงหัวตัวเองออกให้ผมเห็นคอที่ขาดออกจากศีรษะพร้อมกับเลือดที่ฉีดพุ่งขึ้นฟ้าอย่างแรง

ผมตกใจวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ออกวิ่ง ยิ่งวิ่งก็เหมือนยิ่งไกล ประตูทางเข้าสุสานที่เห็นลิบๆ แต่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเสียที สุดท้ายก็ล้มลงหมดสติ

ฟื้นขึ้นมาด้วยเสียงเรียกของแม่ "ลุกๆ รถจะออกแล้ว"

ผมมองรอบตัวอย่างงุนงง พนักงานเสิร์ฟพูดขึ้น "ขอโทษด้วยพี่ ผมไม่กล้าเรียกพี่ เห็นหลับ แต่ผมใส่ถุงให้แล้ว พี่ไปกินบนรถได้"

กลับบ้านเล่าให้แม่ฟัง แม่ไปสืบทราบจนได้ความว่า มีรถชนกันสองคันหน้าสุสาน ก่อนหน้าครอบครัวผมจะมาเช็งเม้งไม่กี่วันและตายกันหมดทุกคน!



ฝันมรณะ

ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อต่าย เขามีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งที่เจ้าตัวเองก็เพิ่งรู้เมื่อตอนอายุสิบปี นั่นก็คือ เมื่อต่ายฝันเห็นใครได้รับอุบัติเหตุหรือเสียชีวิต คนคนนั้นก็จะเป็นไปตามฝัน แต่ต้องฝันตอนเช้ามืดก่อนฟ้าสว่างด้วยนะ

แต่ก็ใช่ว่าจะฝันเห็นเป็นประจำๆ ต่ายบอก นานๆ จะฝันถึงทีหนึ่ง บางครั้งก็ฝันเห็นเป็นคนไม่รู้จัก แต่เมื่อดูข่าวหรืออ่านหนังสือพิมพ์ ชื่อหรือภาพใบหน้าคนคนนั้นก็จะเป็นที่เคยเห็นในฝัน เจ้าตัวบอกว่าความสามารถพิเศษนี้ไม่ได้ทำให้เขามีความสุขหรือภูมิใจเลย

ผมเคยถามเขาว่าหากฝันแล้วบอกเจ้าตัวให้รู้ตัวก่อนจะได้หรือไม่ ต่ายตอบว่าหากบอกให้เจ้าตัวรู้ เขาเองนั่นแหละที่จะต้องมีเคราะห์อย่างใดอย่างหนึ่งแทน ซึ่งไม่ได้เบาเลย ที่เขาทราบเพราะบอกเพื่อนบ้านให้ระวังตัวเรื่องข้ามถนน ปรากฏว่าเพื่อนบ้านข้ามถนนแล้วถูกรถชน เขาเองก็ถูกรถชนในเวลาต่อมา หรือเขาเคยฝันเห็นพ่อตายเพราะรถโดยสารที่พ่อใช้เดินทางพลิกคว่ำ เขาไปบอกพ่อ ปรากฏว่าพ่อพยายามเลี่ยงการเดินทางด้วยรถ หันไปใช้เครื่องบินแทน แต่สุดท้ายรถสองแถวที่พ่อแค่นั่งช่วงสั้นๆ สี่ร้อยเมตรก็พลิกคว่ำเพราะถูกรถสิบล้อเบรกแตกชนจนพ่อเสียชีวิต แล้วเขาเองก็สูญเสียแขนซ้ายไปข้างหนึ่งจากเครื่องจักรไป

ครั้งหนึ่งที่เขาบอกว่าทุกข์อย่างมากก็คือฝันเห็นยายตัวเองลื่นล้มในห้องน้ำ ต่ายใช้วิธีล้างห้องน้ำทุกวันไม่ให้ห้องน้ำลื่น ใช้น้ำยากันลื่นขัดทาพื้นห้องน้ำทุกสัปดาห์(ปกติยาพวกนี้ทาทุก 6 เดือน) แต่จนแล้วจนรอดยายก็ลื่นในห้องน้ำศีรษะกระแทกอ่างล้างหน้าจนเสียชีวิตจนได้

ต่ายจึงไม่คิดจะมีแฟนหรือคบหาเพื่อนคนไหนสนิทสนมเป็นพิเศษ ต่ายไม่ต้องการเสียใจหากคนใกล้ชิดต้องมาพรากจาก แต่แล้ววันหนึ่งต่ายก็ฝันเห็นแม่ตัวเองเสียชีวิตบนเตียงโรงพยาบาล มีสายระโยงระยางเต็มไปหมด เมื่อตื่นขึ้นมาต่ายทุกข์ใจมาก

ทว่าในชีวิตที่แม่กำลังดำเนินอยู่แม่แข็งแรงมาก ร้อยวันพันปีแม่ไม่เคยป่วยเลย อย่างมากก็แค่เป็นหวัดนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็หายอย่างรวดเร็ว แน่นอนต่ายไม่บอกแม่ พยายามนึกหาวิธีป้องกันหรือผ่อนหนักเป็นเบา แม้แต่หากต่ายจะต้องสูญเสียอวัยวะส่วนใดไป ต่ายก็ยินยอม แต่ต่ายก็ไม่อยากให้แม่รู้เรื่อง ความสามารถพิเศษนี้แม่เองก็รู้ดี แม่เคยถามต่ายหลายหนว่าฝันเห็นใครตายบ้างไหม ต่ายก็ได้แต่โกหกไปว่าหลายปีแล้วที่ไม่เคยฝันเห็นเลย แม้ในความจริงเขาจะฝันเห็นเป็นประจำ แต่นั่นก็คนที่ไม่รู้จัก มาอ่านพบหรือทราบจากข่าวออนไลน์หรือเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก

ต่ายคุยกับแม่เสมอ หากแม่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเขาก็จะพยายามหาข้อมูลว่าจังหวัดนั้นมีโรคใดกำลังระบาด ต่ายมักจะพูดอ้อมๆ อย่าไปในที่ชุมชนหรือโรงพยาบาล แม่ก็ยิ้มถามว่ามีอะไรหรือ เขาก็จะตอบว่าได้ยินข่าวมาว่าที่นั่นที่นี่มีการระบาดของโรค ก็แค่ให้แม่ระวังไว้

อยู่มาวันหนึ่งแม่เกิดท้องเสีย หลายชั่วโมงเข้าแม่เริ่มไม่ไหว แม่จะไปโรงพยาบาล ต่ายห้ามไว้ บอกว่ากินยาเดี๋ยวก็หาย แล้วก็ไปซื้อยาที่เภสัชกรใกล้บ้าน

แม่กินยาแล้วก็นอนพัก แต่อาการถ่ายท้องกลับมาอีก แม่ถ่ายท้องจนหมดแรง ต่ายชงผงเกลือแร่ให้แม่กิน แต่กินไปไม่กี่จิบแม่ก็หมดสติ

ต่ายตกใจมาก เขาไม่สามารถรั้งแม่ไว้ได้แล้ว รีบพาแม่ไปโรงพยาบาล เมื่อถึงมือหมอ หมอบอกว่าแม่ขาดน้ำอย่างรุนแรง ทั้งยังตำหนิที่ไม่พามาแต่แรก

ต่ายขอโทษแม่ในใจ แล้วเตรียมตัวกลับบ้านเพื่อมาเฝ้าแม่ ระหว่างขับรถยังไม่ถึงบ้าน พยาบาลก็โทร.มาบอกว่าให้รีบมาโรงพยาบาล แม่ทรุดหนัก ต่ายตกใจมาก ก่อนจะกลับบ้านแม่ดีขึ้นมาก แม่ยังคุยและยิ้มกับต่ายอยู่เลย

ทว่าเมื่อไปถึงโรงพยาบาล แม่ก็เข้าห้องไอซียูแล้ว หมอบอกเจาะเลือดไปตรวจเพรา แม่มีอาการชัก เวลาผ่านไปสองชั่วโมง ผลเลือดออกมาว่าแม่ติดเชื้อในกระแสเลือด หมอบอกให้ต่ายใจเย็นๆ หมอจะรักษาแม่อย่างดีที่สุด

คืนนั้นที่ม่อยหลับไปตอนเช้ามืด ต่ายฝันเกี่ยวกับตัวเองที่เขาไม่สบายใจเลย ทว่าเมื่อนั่งคิดดูแล้วกลับดีใจ

แม่ยังมีสติ ต่ายเข้าห้องไอซียูไปบอกแม่ว่า ต่ายฝันเห็นแม่ป่วยหนัก ต่ายไม่อยากจะบอกแม่เลย แต่ตอนนี้ขอบอก เพราะเขาฝันว่าตัวเองได้บอกแม่แล้วแม่ก็หายป่วย

แม่มีสีหน้าที่แปลกใจ เพราะต่ายไม่เคยฝันทำนองนี้ แต่แม่ก็ยิ้มให้เขา

แม่มีอาการที่ดีขึ้นตามลำดับ สุดท้ายแม่ก็หายป่วยและออกจากโรงพยาบาลได้ ต่ายดีใจมาก แม่ก็ดีใจ แล้วแม่ก็ถามถึงความฝันนั้นพร้อมทั้งบอกว่าทำไมมาบอกแม่

ต่ายบอก "ผมอาจจะไม่ต้องเป็นอย่างนั้นแล้วแม่"

"หมายถึงต่ายจะไม่ฝันแล้วเป็นจริงใช่ไหม"

"ทำนองนั้นแม่"

ต่ายเล่าให้ผมฟังทั้งหมดนี้ แล้วเขาก็พูดว่า "ผมฝันว่าตัวเองตายเพราะบอกแม่ นี่ผมมาบอกคุณไว้ ผมคงจะตายแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าวันไหน"

ทุกวันนี้ต่ายเสียชีวิตไปแล้ว ผมเล่าให้คุณฟัง เพราะผมก็ค้นพบว่าตัวเองฝันเห็นใครเสียชีวิตหรือได้รับอุบัติเหตุแล้วก็เป็นจริงตามฝันเหมือนกัน วันนี้ผมฝันว่าผมจะตาย จึงเล่าให้คุณฟัง"


 หลอน
 นทธี ศศิวิมล