[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: เงาฝัน ที่ 18 ตุลาคม 2553 20:39:52



หัวข้อ: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ตุลาคม 2553 20:39:52


(http://thaniyo.brinkster.net/milin_problem/milin_problem2507.jpg)

มิลินทปัญหา
มิลินทปัญหา วรรคที่ ๑

ปัญหาที่ ๑ ถามชื่อ
ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ได้เสร็จไปหาพระนาคเสนแล้ว
ทรงปราศรัยพอให้เกิดความร่าเริงยินดีแล้วก็ประทับนั่ง
ฝ่ายพระนาคเสนก็แสดงความชื่นชมยินดี
ทำให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามิลินท์
ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสถามปัญหาข้อแรกต่อพระนาคเสนขึ้นว่า

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมประสงค์จะสนทนาด้วย "
พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า
" เชิญสนทนาเถิด มหาบพิตร อาตมภาพใคร่จะฟัง "
" โยมสนทนาแล้ว ขอผู้เป็นเจ้าจงฟังเถิด "
" อาตมภาพฟังอยู่แล้ว มหาบพิตรเชิญเจรจาเถิด "

" พระผู้เป็นเจ้าได้ฟังว่าอย่างไร ? "
" ก็มหาบพิตรเจรจาว่าอย่างไร ? "
" โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้า "
" จงถามเถิด มหาบพิตร "
" โยมถามแล้ว "
" อาตมภาพก็แก้แล้ว "

" พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร ? "
" ก็มหาบพิตรถามว่าอย่างไร ? "

เมื่อพระเถระตอบอย่างนี้แล้ว พวกโยนกเสนาทั้ง ๕๐๐
ก็เปล่งเสียง สาธุการ ถวายพระนาคเสน
แล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า " ข้าแต่มหาราชเจ้า
คราวนี้ขอพระองค์จงตรัสถามปัญหาต่อไปเถิดพระเจ้าข้า "



(http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTbrhr5Y99qSZkDlZ-GyhYvAKEs-iwTbW6xa1E56cCtckHEsjk&t=1&usg=__terxU6pRAhlLV1HhD6WQG-vCM9c=)

: http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.0 (http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.0)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ตุลาคม 2553 20:50:15

   เริ่มปัญหาจากชื่อ 
  
   ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า
   
   " ข้าแต่พระเจ้าเป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้นเรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร? "
   
   พระนาคเสนตอบว่า
   
   " ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มีวีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " นี้ เพียงเป็นแต่ชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น "
   
   ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า
   
   " ขอให้ชาวโยนกทั้ง ๕๐๐ นี้และพระภิกษุสงฆ์ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด
   
   พระนาคเสนนี้กล่าวว่า เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมาภาพว่า " นาคเสน " ก็แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคำว่า " นาคเสน " นั้น ดังนี้
   
   ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอยู่แล้ว บุคคลเหล่าใดถวายบาตร จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และวัตถุที่เก็บเภสัชไปแล้ว บุญกุศลก็ต้องไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นน่ะซิ
   
   ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่า จะฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็เป็นอันไม่มีน่ะซิ
   
   ถ้าบุคคลตัวตนเราเขาไม่มีอยู่แล้ว ก็ใครเล่าจะถวายจีวร อาหาร ที่อยู่ ยา และที่ใส่ยา แก่พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะบริโภคสิ่งเหล่านั้น ใครเล่ารักษาศีล ใครเล่ารู้ไปในพระไตรปิฏก ใครเล่าเจริญภาวนา ใครเล่ากระทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล นิพพาน ใครเล่ากระทำปาณาติบาต ใครเล่ากระทำอทินนาทาน ใครเล่าประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ใครเล่ากล่าวมุสาวาท ใครเล่าดื่มสุราเมรัย ใครเล่ากระทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕
   
   เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มีแล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มีผู้ทำหรือผู้ให้ทำซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มีผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี
   
   ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้า โทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น
   
   เมื่อถืออย่างนั้นก็เป็นอันว่าอาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี
   
   คำใดที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกเพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า " นาคเสน " อะไรเป็นนาคเสนในคำนั้น
   
   เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้ พระผู้เป็นได้ยินเสียงถามอยู่หรือไม่ ? "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ตุลาคม 2553 20:52:57

  ถามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

   พระนาคเสนตอบว่า

   " ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียงถามอยู่ "

   " ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คำว่า " นาคเสน " ก็มีอยู่ในชื่อนั้นน่ะซิ "

   " ไม่มี มหาบพิตร "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นโยมขอถามต่อไปว่า ผมของพระผู้เป็นเจ้าหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

   " ขนหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ "

   " เล็บหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ฟันหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ "

   " หนังหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ "

   " เนื้อหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ "

   " เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร สมองศีรษะ เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

   " ถ้าอย่างนั้น รูป หรือเวทนา หรือสัญญาสังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

   " ถ้าอย่างนั้น จักขุธาตุและรูปธาตุโสตธาตุและสัททธาตุ ฆานธาตุและคันธธาตุชิวหาธาตุและรสธาตุ กายธาตุและโผฏฐัพพธาตุ มโนธาตุ เหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

   " ถ้าอย่างนั้น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

   " ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่นอกจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณหรือ…เป็นนาคเสน ? "

   " ไม่ใช่ มหาบพิตร "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่ ก็ไม่ได้ความว่าอะไรเป็นนาคเสน เป็นอันว่า พระผู้เป็นเจ้าพูดเหละแหละพูดมุสาวาท "  


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 18 ตุลาคม 2553 22:31:19
เหมือนจะยังไม่จบนะครับ ดูค้าง ๆ ชอบกล




 (:8:) (:8:) (:8:)


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 19 ตุลาคม 2553 20:53:46
 พระนาคเสน กล่าวแก้ด้วยราชรถ

    เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้ว พระนาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาญาณ ผู้ได้อบรมเมตตามาแล้ว จึงนิ่งพิจารณาซึ่งวาระจิตของพระเจ้ามิลินท์อยู่สักครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวขึ้นว่า

   " มหาบพิตรเป็นผู้มีความสุขมาแต่กำเนิดมหาบพิตรได้เสด็จออกจากพระนครในเวลาร้อนเที่ยงวันอย่างนี้ มาหาอาตมภาพได้เสด็จมาด้วยพระบาท ก้อนกรวดเห็นจะถูกพระบาทให้ทรงเจ็บปวด พระกายของพระองค์เห็นจะทรงลำบากพระหฤทัยของพระองค์เห็นจะเร่าร้อน ความรู้สึกทางพระวรกายของพระองค์ เห็นจะประกอบกับทุกข์เป็นแน่ เพราะเหตุไรอาตมภาพจึงว่าอย่างนี้ เพราะเหตุว่า มหาบพิตรมีพระหฤทัยดุร้าย ได้ตรัสพระวาจาดุร้าย มหาบพิตรคงได้เสวยทุกขเวทนาแรงกล้า อาตมาจึงขอถามว่า มหาบพิตรเสด็จมาด้วยพระบาท หรือด้วยราชพาหนะอย่างไร ? "

   พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสตอบว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้มาด้วยเท้า โยมมาด้วยรถต่างหาก "

   พระนาคเสนเถระจึงกล่าวประกาศขึ้นว่า

   " ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ กับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า คือพระเจ้ามิลินท์นี้ได้ตรัสบอกว่า เสด็จมาด้วยรถ ข้าพเจ้าจะขอถามพระเจ้ามิลินท์ต่อไป "

   กล่าวดังนี้แล้ว จึงถามว่า

   " มหาบพิตรตรัสว่า เสด็จมาด้วยรถจริงหรือ ? "

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า

   " เออ…ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมว่ามาด้วยรถจริง "

   พระเถระจึงซักถามต่อไปว่า

   " ถ้ามหาบพิตรเสด็จมาด้วยรถจริงแล้ว ขอจงตรัสบอกอาตมภาพเถิดว่า งอนรถหรือ…เป็นรถ ? "

   " ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ถ้าอย่างนั้น เพลารถหรือ…เป็นรถ ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเพลาหรือ ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ถ้าอย่างนั้น ล้อรถหรือ…เป็นรถ ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในล้อรถหรือ ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ถ้าอย่างนั้น ไม้ค้ำรถหรือ…เป็นรถ ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ถ้าอย่างนั้น กงรถหรือ…เป็นรถ ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ถ้าอย่างนั้น เชือกหรือ…เป็นรถ ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในเชือกหรือ ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ถ้าอย่างนั้น คันปฏักหรือ…เป็นรถ ? "

   " ไม่ใช่ "

   "ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในคันปฏักหรือ ? "

   " ไม่ใช่ "

   "ถ้าอย่างนั้น แอกรถหรือ…เป็นรถ ? "

   " ไม่ใช่ "

   "ถ้าอย่างนั้น รถมีอยู่ในแอกหรือ ? "

   " ไม่ใช่ "

   " ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่เล็งเห็นว่า สิ่งใดเป็นรถเลย เป็นอันว่ารถไม่มี เป็นอันว่ามหาบพิตรตรัสเหลาะแหละเหลวไหล มหาบพิตรเป็นพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปนี้ เหตุไรมหาบพิตรจึงตรัสเหลาะแหละเหลวไหลอย่างนี้

   ? " เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้แล้ว พวกโยนกข้าราชบริพารทั้ง ๕๐๐ นั้น

   ก็พากันเปล่งเสียงสาธุการขึ้นแก่พระนาคเสนเถระแล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ขึ้นว่า

   " ขอมหาราชเจ้าจงทรงแก้ไขไปเถิดพระเจ้าข้า " พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละเหลวไหล

   การที่เรียกว่ารถนี้เพราะอาศัยเครื่องประกอบรถทั้งปวง คือ งอนรถ เพลารถ ล้อรถ

   ไม้ค้ำรถ กงรถ เชือกขับรถ เหล็กปฏัก ตลอดถึงแอกรถ มีอยู่พร้อม จึงเรียกว่ารถได้ "

   พระเถระจึงกล่าวว่า

   " ถูกแล้ว มหาบพิตร ข้อที่อาตมภาพได้ชื่อว่า " นาคเสน

   " ก็เพราะอาศัยเครื่องประกอบด้วยอวัยวะทุกอย่าง คือ อาการ ๓๒ มี ผม ขน เล็บ ฟัน

   หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นต้น อันจำแนกแจกออกไปเป็นขันธ์ ธาตุอายตนะทั้งปวง

   ข้อนี้ถูกตามถ้อยคำของ นางปฏาจาราภิกษุณี ผู้เป็นพระอรหันต์

   กล่าวขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

   " อันที่เรียกว่ารถ เพราะประกอบด้วยเครื่องรถทั้งปวงฉันใด

   เมื่อขันธ์ทั้งหลายมีอยู่ก็สมมุติเรียกกันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาฉันนั้น "

   ดังนี้ ขอถวายพระพร "

   พระเจ้ามิลินท์ทรงฟังแก้ปัญหาจบลงน้ำพระทัยของพระบาทท้าวเธอปรีดาปราโมทย์ออกพระโอษฐ์ตรัสซ้องสาธุการว่า

   " สาธุ..พระผู้เป็นเจ้าช่างแก้ปัญหาได้อย่างน่าอัศจรรย์

   กล่าวปัญหาเปรียบเทียบอุปมาด้วยปฏิภาณอันวิจิตรยิ่ง

   ให้คนทั้งหลายคิดเห็นกระจ่างแจ้งถูกต้องดีแท้ ถ้าพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่

   ก็จะต้องทรงสาธุการเป็นแน่


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 20 ตุลาคม 2553 07:32:08

ปัญหาที่ ๒ ถามพรรษา   

   ครั้งนั้นพระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามอรรถปัญหาสืบไปว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ามีพรรษาเท่าไร ? "

   พระนาคเสนตอบว่า

   " อาตมภาพมีพรรษาได้ ๗ พรรษาแล้ว "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คำว่า " ๗ พรรษา " นั้น นับตัวพระผู้เป็นเจ้าด้วยหรือ…หรือว่านับแต่ปีเท่านั้น?"  


อุปมาเงาในแก้วน้ำ

   ก็ในคราวนั้น เงาของพระเจ้ามิลินท์ผู้ทรงประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวงนั้น ได้ปรากฏลงไปที่พระเต้าแก้ว อันเต็มไปด้วยน้ำ พระนาคเสนได้เห็นแล้ว จึงถามขึ้นว่า

   " มหาบพิตรเป็นพระราชา หรือว่าเงาที่ปรากฏอยู่ในพระเต้าแก้วนี้เป็นพระราชา ? "

   " ข้าแต่พระนาคเสน เงาไม่ใช่พระราชา โยมต่างหากเป็นพระราชา แต่เงาก็มีอยู่เพราะอาศัยโยม "

   " เงาที่มีขึ้นเพราะอาศัยพระองค์ฉันใดการนับพรรษาว่า ๗ เพราะอาศัยอาตมาก็มีขึ้นฉันนั้น ขอถวายพระพร "

   " น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ปัญหาปฏิภาณอันวิจิตรยิ่งถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 20 ตุลาคม 2553 08:01:44

ปัญหาที่ ๓ ลองปัญญา         

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามขึ้นอีกว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน บรรพชามีประโยชน์ อย่างไร อะไรคือจุดมุ่งหมายสูงสุดในการบรรพชาของพระผู้เป็นเจ้า ? "

   พระเถระตอบว่า

   "บรรพชาของอาตมภาพนั้น เป็นประโยชน์เพื่อการดับทุกข์ให้สิ้นไป แล้วมิให้ทุกข์อื่นบังเกิดขึ้นได้ อีกประการหนึ่ง
บรรพชาย่อมให้สำเร็จประโยชน์แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย "


สนทนาอย่างบัณฑิตหรืออย่างโจร

      พระเจ้ากรุงสาคลนครได้ทรงฟังพระนาคเสนเฉลยปัญหาได้กระจ่างแจ้ง ก็มิได้มีทางที่จะซักไซร้ จึงหันเหถามปัญหาอื่นอีกว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าจะสนทนากับโยมต่อไปได้หรือไม่ "

   พระนาคเสนตอบว่า

   " ถ้ามหาบพิตรจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างบัณฑิต อาตมภาพก็จะสนทนากับมหาบพิตรได้ ถ้ามหาบพิตรจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างของพระราชา อาตมาก็จะสนทนาด้วยไม่ได้ "

   " บัณฑิตทั้งหลายสนทนากันอย่างไร ? "

   " อ๋อ…ธรรมดาว่าบัณฑิตที่สนทนากันย่อมเจรจาข่มขี่กันได้ แก้ตัวได้ รับได้ ปฏิเสธได้ ผูกได้ แก้ได้ บัณฑิตทั้งหลายไม่โกรธบัณฑิตทั้งหลายสนทนากันอย่างนี้แหละมหาบพิตร "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระราชาทั้งหลายสนทนากันอย่างไร ? "

   " ขอถวายพระพร พระราชาทั้งหลายทรงรับสั่งสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปแล้ว ผู้ใดไม่ทำตาม ก็ทรงรับสั่งให้ลงโทษผู้นั้นทันที พระราชาทั้งหลายสนทนากันอย่างนี้แหละ มหาบพิตร "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างบัณฑิต จักไม่สนทนาตามเยี่ยงอย่างของพระราชา ขอพระเป็นเจ้า จงเบาใจเถิด พระผู้เป็นเจ้าสนทนากับภิกษุณี หรือสามเณร อุบาสก คนรักษาอารามฉันใด ของจงสนทนากับโยมฉันนั้น อย่ากลัวเลย "

   " ดีแล้ว มหาบพิตร "

   พระเถระแสดงความยินดีอย่างนี้แล้วพระราชาจึงตรัสต่อไปว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน โยมจักถามพระผู้เป็นเจ้า "

   " เชิญถามเถิด มหาบพิตร "

   " โยมถามแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "

   " อาตมภาพแก้แล้ว มหาบพิตร "

   " พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร ? "

   " ก็มหบพิตรตรัสถามว่าอย่างไร ? "

   ( พระเจ้ามิลินท์ไต่ถามปัญหาเช่นนี้ หวังจะลองปัญญาพระนาคเสนว่า จะเขลาหรือฉลาด

   ยั่งยืนอยู่ไม่ครั่นคร้ามหรือประการใดเท่านั้น )

   ในวันแรกนี้ พระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามปัญหา ๓ ข้อ คือ ถามชื่อ ๑ ถามพรรษา ๑
   ถามเพื่อทดลองสติปัญญาของพระเถระ ๑


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2553 13:35:41

นิมนต์พระนาคเสนไปในวัง    
   
   ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ทรงดำริว่าพระภิกษุองค์นี้เป็นบัณฑิต สามารถสนทนากับเราได้ สิ่งที่เราควรถามมีอยู่มาก สิ่งที่เรายังไม่ได้ถามก็มีอยู่เป็นอันมาก แต่เวลานี้ดวงสุริยะกำลังจะสิ้นแสงแล้ว พรุ่งนี้เถิดเราจึงจะสนทนากันในวัง ครั้งทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงตรัสสั่งเทวมันติยอำมาตย์ว่า

   " นี่แน่ะ เทวมันติยะ จะอาราธนาพระผู้เป็นเจ้าว่า พรุ่งนี้จักมีการสนทนากันในวัง "

   ตรัสสั่งดังนี้แล้ว ก็เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับขึ้นทรงม้าพระที่นั่ง แล้วทรงพึมพำไปว่า " นาคเสน… นาคเสน…" ดังนี้

   ฝ่ายเทวมันติยอำมาตย์ก็อาราธนาพระนาคเสนว่า

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระราชาตรัสสั่งว่า พรุ่งนี้จักมีการสนทนาในพระราชาวัง "

   พระเถระก็แสดงความยินดีตอบว่า

   " ดีแล้ว "

   พอล่วงราตรีวันนั้น เนมิตติยอำมาตย์ อันตกายอำมาตย์ มังกุรอำมาตย์ สัพพทินนอำมาตย์

   ก็พร้อมกันเข้าทูลถามพระเจ้ามิลินท์ว่า

   " ข้าแต่มหาราชเจ้า จะโปรดให้พระนาคเสนเข้ามาได้หรือยัง พระเจ้าข้า ? "

   พระราชาตรัสตอบว่า

   " ให้เข้ามาได้แล้ว "

   " จะโปรดให้เข้ามากับพระภิกษุสักเท่าไรพระเจ้าข้า ? "

   " ต้องการมากับภิกษุเท่าใด ก็จงมากับภิกษุเท่านั้น "

   สัพพทินนอำมาตย์ได้กราบทูลขึ้นเป็นครั้งที่ ๒ ว่า

   " ข้าแต่มหาราชเจ้า จะโปรดให้พระนาคเสนมากับพระภิกษุสัก ๑๐ รูป จะได้หรือไม่ ? "

   พระองค์ตรัสตอบว่า

   " พระนาคเสนต้องการจะมากับพระภิกษุเท่าใด ก็จงมากับพระภิกษุเท่านั้นเถิด "

   จึงทูลถามขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๓ ว่า

   " จะโปรดให้พระนาคเสนมากับพระภิกษุสัก ๑๐ รูป ได้หรือไม่ ? "

   พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า

   " เราพูดอย่างไม่ให้สงสัยแล้วว่า พระนาคเสนต้องการจะมากับพระภิกษุเท่าใดจงมากับพระภิกษุเท่านั้น เราได้สั่งเป็นคำขาดลงไปแล้ว เราไม่มีอาหารพอจะถวายพระภิกษุทั้งหลายหรือ ? "

   เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว สัพพทินนอำมาตย์ก็เก้อ ลำดับนั้น อำมาตย์ทั้ง ๔ จึงพากันออกไปหาพระนาคเสน กราบเรียนให้ทราบว่า

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้ามิลินท์ตรัสสั่งว่า

   พระผู้เป็นเจ้าต้องการจะเข้าไปในพระราชวังกับพระภิกษุเท่าใด ก็ขอให้เข้าไปได้เท่านั้นไม่มีกำหนด "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2553 13:40:37

   ปัญหาที่ ๔ ปัญหาของอันตกายอำมาตย์   
   
   เช้าวันหนึ่ง พระนาคเสนก็นุ่งสบงทรงจีวรมือสะพายบาตร แล้วเข้าไปสู่สาครนครกับพระภิกษุ ๘ หมื่นองค์ เวลาเดินมาตามทางนั้น อันตกายอำมาตย์ถามขึ้นว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน ท่านได้บอกไว้ว่าเราชื่อ " นาคเสน " ดังนี้ แต่กล่าวว่าไม่มีสิ่งใดเป็นนาคเสน ข้อนี้ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ ? "

   พระเถระจึงถามว่า

   " เธอเข้าใจว่า มีอะไรเป็นนาคเสน อยู่ในคำว่า " นาคเสน " อย่างนั้นหรือ ? "

   " ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ลมหายใจอันเข้าไปและออกมา นี้แหละ..เป็นนาคเสน "

   " ถ้าลมนั้นออกไปแล้วไม่กลับเข้ามา ผู้นั้นจะเป็นอยู่ได้หรือ ? "

   " เป็นอยู่ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2553 13:47:38

   อุปมาพวกเป่าสังข์   
   
   " ถ้าอย่างนั้นเราขอถามว่า ธรรมดาพวกเป่าสังข์ ย่อมพากันเป่าสังข์ ลมของพวกเขากลับเข้าไปอีกหรือไม่ ? "

   " ไม่กลับ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ก็ถ้าอย่างนั้น เพราะเหตุไรพวกนั้นจึงไม่ตาย พวกช่างทองก็พากันเป่ากล้องประสานทอง ลมของเขากลับเข้าไปอีกหรือไม่ ? "

   " ไม่กลับเข้าไปอีก พระผู้เป็นเจ้า "

   " พวกเป่าปี่ก็พากันเป่าปี่ ลมของพวกเขากลับเข้าไปอีกหรือไม่ ? "

   " ไม่กลับ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ถ้าอย่างนั้น เหตุไรพวกนั้นจึงไม่ตาย ? "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าไม่อาจสนทนากับท่านได้แล้ว ขอท่านจงไขข้อความนั้ให้ข้าพเจ้าเข้าใจด้วยเถิด "

   พระเถระจึงแก้ไขว่า

   " อันลมหายใจออกหายใจเข้านั้น ไม่ใช่เป็นสิ่งที่มีชีวิต (คือคนและสัตว์) แต่เป็น กายสังขาร (คือเป็นเครื่อช่วยให้ชีวิตทรงอยู่) ต่างหาก "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กายสังขารตั้งอยู่ในอะไร ? "

   " กายสังขารตั้งอยู่ใน " ขันธ์ " (คือร่างกาย) "

   ครั้นได้ฟังดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา อันตกายอำมาตย์จึงได้ประกาศตนเป็นอุบาสก ขอนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ดังนี้


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2553 13:55:59

ปัญหาที่ ๕ ถามเรืองบรรพชา

   ครั้งนั้น พระนาคเสนเถระก็ได้เข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ของพระเจ้ามิลินท์ ขึ้นสู่ปราสาทแล้วนั่งลงบนอาสนะที่เขาจัดไว้พระเจ้ามิลินท์ก็ทรงเลี้ยงดูพระภิกษุสงฆ์ด้วยพระองค์เอง เสร็จแล้วจึงถวายผ้าไตรจีวร ครั้นพระนาคเสนครองไตรจีวรแล้ว พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า

   " ขอให้พระผู้เป็นเจ้านาคเสน จงนั่งอยู่ที่นี้กับพระภิกษุ ๑๐ รูป พระภิกษุผู้เฒ่าผู้แก่นอกนั้น ขอนิมนต์กลับไปก่อน "

   เมื่อพระนาคเสนฉันภัตตาหารเช้าเสร็จแล้ว พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน เราจะสนทนากันด้วยสิ่งใดดี ? "

   " ขอถวายพระพร เราต้องการด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ ขอจงสนทนาด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์เถิด "

   " ข้าแต่พระนาคเสน บรรพชามีประโยชน์อย่างไร อะไรเป็นประโยชน์สูงสุดของพระผู้เป็นเจ้า ? "

   " ขอถวายพระพร บรรพชานี้เพื่อจะให้พ้นจากความทุกข์ คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก การเข้าสู่พระนิพพานเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดของอาตมา "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุคคลทั้งหลายบรรพชา เพื่อทำให้แจ้งชึ่งพระนิพพานทั้งนั้น ? "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2553 14:02:31

เหตุของผู้บวช    
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระราชสมภาร คนทั้งหลายไม่ใช่บวชเพื่อพระนิพพานด้วยกันทั้งสิ้น คือ บางพวกก็บวชหนีราชภัย (พระราชาเบียดเบียนใช้สอย) บางพวกก็บวชหนีโจรภัย บางพวกก็บวชเพื่อคล้อยตามพระราชา บางพวกก็บวชเพื่อหนีหนี้สิน บางพวกก็บวชเพื่อยศศักดิ์ บางพวกก็บวชเพื่อเลี้ยงชีวีต บางพวกก็บวชด้วยความกลัวภัย บุคคลเหล่าใดบวชโดยชอบ บุคคลเหล่านั้นชื่อว่า บวชเพื่อพระนิพพาน ขอถวายพระพร "

   พระเจ้ามิลินท์ทรงซักถามต่อไปว่า

   "ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า บวชเพื่อพระนิพพานหรือ ? "

   พระเถระตอบว่า

   "อาตมภาพบวชแต่ยังเป็นเด็ก ยังไม่รู้เรื่องว่าบวชเพื่อพระนิพพานนี้ ก็แต่ว่าอาตมาคิดว่า พระสมณะที่เป็นศากบุตรพุทธชิโนรสเหล่านี้เป็นบัณฑิต จักต้องให้อาตมภาพศึกษา อาตมภาพได้รับการศึกษาแล้ว จึงรู้เห็นว่าบวชเพื่อพระนิพพานนี้ "

   " พระผู้เป็นเจ้า แก้ถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2553 14:06:09

ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องการปฎิสนธิ     

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ตายไปแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีกมีหรือไม่ ? "

   พระนาคเสนตอบว่า

   " คนบางจำพวกก็กลับมาเกิดอีก บางจำพวกก็ไม่กลับมาเกิดอีก "

   " ใครกลับมาเกิดอีก ใครไม่กลับมาเกิดอีก ? "

   " ผู้มีกิเลส ยังกลับมาเกิดอีก ส่วนผู้ไม่มีกิเลศ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก "

   " ก็พระผู้เป็นเจ้าเล่า จะกลับมาเกิดอีกหรือไม่ ? "

   " ถ้าอาตมภาพยังมีอุปาทาน คือการยึดถืออยู่ ก็จักกลับมาเกิด ถ้าอาตมภาพไม่มีการยึดถือแล้ว ก็จักไม่กลับมาเกิดอีก "

   " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 24 ตุลาคม 2553 14:11:29

ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องมนสิการ
 
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดไม่เกิดอีกผู้นั้นย่อมไม่เกิดอีกด้วย โยนิโสมนสิการ  ไม่ใช่หรือ ? "

   พระเถระตอบว่า

   " ขอถวายพระพร บุคคลไม่เกิดอีกด้วย โยนิโสมนสิการ คือด้วย ปัญญา และด้วย กุศลธรรมอื่น ๆ "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยนิโสมนสิการ กับ ปัญญา เป็นอันเดียวกันหรืออย่างไร ? "

   " ไม่ใช่อย่างเดียวกัน คือ โยนิโสมนสิการ ก็อย่างหนึ่ง ปัญญา ก็อย่างหนึ่ง แพะ แกะ สัตว์เลี้ยง กระบือ อุฐ โค ลา เหล่าใดมีมนสิการ แต่ปัญญาย่อมไม่มีแก่สัตว์เหล่านั้นขอถวายพระพร "

   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 09:09:11

ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องลักษณะการมนสิการ   

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน มนสิการ มีลักษณะอย่างไร ปัญญา มีลักษณะอย่างไร ? "

   พระนาคเสนตอบว่า

   " มหาราชะ มนสิการ มีความ อุตสาหะ เป็นลักษณะ และมีการ ถือไว้ เป็นลักษณะ ส่วน ปัญญา มีการ ตัด เป็นลักษณะ "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มนสิการ มีการถือไว้เป็นลักษณะอย่างไร ปัญญา มีการตัดเป็นลักษณะอย่างไร ขอจงอุปมาให้แจ้งด้วย ? "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 09:11:54

อุปมาคนเกี่ยวข้าว


" มหาบพิตรทรงรู้จักวิธีเกี่ยวข้าวบ้างไหม ? "

" อ๋อ…รู้จัก พระผู้เป็นเจ้า "

" วิธีเกี่ยวข้าวนั้นคืออย่างไร ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คือคนจับกอข้าวด้วยมือข้างซ้าย แล้วเอาเคียวตัดให้ขาดด้วยมือข้างขวา "

" มหาราชะ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด คือ พระโยคาวจรถือไว้ซึ่ง มนสิการ คือกิเลสอันมีในใจของตนแล้ว ก็ตัดด้วย ปัญญา ฉันนั้น มนสิการ มีลักษณะถือไว้ ปัญญา มีลักษณะตัด อย่างนั้แหละขอถวายพระพร "

" ถูกดีแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 09:18:34

ปัญหาที่ ๙ ถามลักษณะศีล   
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ในข้อก่อน (ปัญหาที่ ๗) ว่า บุคคลไม่เกิดอีกด้วยได้กระทำ กุศลธรรมเหล่าอื่น ไว้ โยมยังไม่เข้าใจ จึงขอถามว่า ธรรมเหล่าไหน…เป็นกุศลธรรมเหล่านั้น ? "

   พระเถระตอบว่า

   " มหาราชะ ศีล ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เหล่านี้แหละ เป็นกุศลธรรมเหล่านั้น "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ศีล มีลักษณะอย่างไร ? "

   " มหาราชะ ศีล มีการ เป็นที่ตั้ง เป็นลักษณะ คือศีลเป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมทั้งปวงอันได้แก่ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ กุศลธรรมทั้งปวงของผู้ตั้งอยู่ในศีลแล้วไม่เสื่อม "

   " ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดอุปมา "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 09:23:04

อุปมา ๕ อย่าง     

   " มหาราชะ อันต้นไม่ใบหญ้าทั้งสิ้น ได้อาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดินแล้ว จึงเจริญงอกงามขึ้นฉันใด พระโยคาวจรได้อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทำให้เกิด อินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ขึ้นได้ฉันนั้น "

   " โปรดอุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "

   " มหาราชะ การงานทั้งสิ้นที่ทำบนบกต้องอาศัยแผ่นดินตั้งอยู่ในแผ่นดิน จึงทำได้ฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีล จึงทำให้เกิดอินทรีย์ ๕ ขึ้นได้ฉันนั้น "

   " โปรดอุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "

   " มหาราชะ บุรุษที่เป็นนักกระโดดโลดเต้น ประสงค์จะแสดงศิลปะ ก็ให้คนถากพื้นดิน ให้ปราศจากก้อนหินก้อนกรวด ทำให้สม่ำเสมอดีแล้ว จึงแสดงศิลปะบนพื้นดินนั้นได้ฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีลตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทำให้เกิดอินทรีย์ ๕ ขึ้นได้ฉันนั้น "

   " นิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นกว่านี้ "

   " มหาราชนะ นายช่างประสงค์จะสร้างเมืองให้ปราบพื้นที่จนหมดเสี้ยนหนามหลักตอ ทำพื้นที่ให้สม่ำเสมอดีแล้ว จึงกะถนนต่าง ๆ มีถนน ๔ แพร่ง ๓ แพร่ง เป็นต้น ไว้ภายในกำแพง แล้วจึงสร้างเมืองลงฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทำให้เกิดอินทรีย์ ๕ ขึ้นได้ฉันนั้น "

   ขอจงอุปมาให้ยิ่งขึ้นกว่านี้อีก "

   "มหาราชะ พลรบผู้เข้าสู่สงคราม ตั้งมั่นอยู่ในพื้นที่อันเสมอดี กระทำพื้นที่ให้เสมอดีแล้ว จึงกระทำสงคราม ก็จักได้ชัยชนะใหญ่ในไม่ช้าฉันใด พระโยคาวจรก็อาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงทำให้เกิดอินทรีย์ ๕ ให้เกิดได้ฉันนั้น ข้อนี้ สมกับที่สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาตรัสไว้ว่า

   " ภิกษุผู้มีความเพียรรู้จักรักษาตัว มีปัญญาตั้งอยู่ในศีลแล้ว ทำจิตและปัญญาให้เกิดขึ้น ย่อมสะสางซึ่งความรุงรังอันนี้ได้ ศีลนี้เป็นที่ตั้งแห่งกุศลธรรมทั้งหลายเหมือนกับพื้นธรณี อันเป็นที่อาศัยแห่งสัตว์ทั้งหลาย ศีลนี้เป็นรากเหง้าในการทำกุศลให้เจริญขึ้น ศีลนี้เป็นหัวหน้าในศาสนาขององค์สมเด็จพระชินสีห์ทั้งปวง "

   กองศีลอันดี ได้แก่ พระปาฏิโมกข์ ขอถวายพระพร "

   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 09:29:58

ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องศรัทธา   

   " ข้าแต่พระนาคเสน ศรัทธา เป็นลักษณะอย่างไร ? "
   
   " มหาราชะ ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะ และ มีการแล่นไป เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร "

   
ศรัทธา มีความผ่องใส
 
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่า ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะนั้น เป็นประการใด ? "
   
   " มหาราชะ ศรัทธา เมื่อเกิดขึ้นก็ข่ม นิวรณ์ ไว้ ทำจิตให้ปราศจากนิวรณ์ ทำจิตให้ผ่องใสไม่ขุ่นมัว อย่างนี้แหละ เรียกว่า มีความผ่องใส เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 09:36:06

อุปมาพระเจ้าจักรพรรดิ
  
   " มหาราชะ พระเจ้าจักรพรรดิเสด็จพระราชดำเนินทางไกล พร้อมด้วยจตุรงคเสนาต้องข้ามแม่น้ำน้อยไป น้ำในแม่น้ำน้อยนั้น ย่อมขุ่นไปด้วยช้าง ม้า รถ พลเดินเท้าเมื่อพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จข้ามไปแล้ว ได้ตรัสสั่งพวกอำมาตย์ว่า

   " จงนำน้ำดื่มมาเราจะดื่มน้ำ "

   แก้วมณีสำหรับทำน้ำให้ใส ของพระเจ้าจักรพรรดินั้นมีอยู่ พวกอำมาตย์รับพระราชโองการแล้ว ก็นำแก้วมณีนั้นไปกดลงในน้ำ พอวางแก้วมณีนั้นลงไปในน้ำ สาหร่าย จอก แหนทั้งหลายก็หายไป โคลนตมก็จมลงไป น้ำก็ใสไม่ขุ่นมัว พวกอำมาตย์ก็ตักน้ำนั้นไปถวายพระเจ้าจักรพรรดิ กราบทูลว่า

   " เชิญเสวยเถิด พระเจ้าข้า "

   น้ำที่ไม่ขุ่นมัวฉันใด ก็ควรเห็นจิตฉันนั้น

   พวกอำมาตย์ฉันใด ก็ควรเห็นพระโยคาวจรฉันนั้น

   สาหร่าย จอก แหน โคลนตมนั้นฉันใด ก็ควรเห็นกิเลสฉันนั้น

   แก้วมณีอันทำน้ำให้ใสฉันใด ก็ควรเห็นศรัทธาฉันนั้น

   ฉะนั้น พอวางแก้วมณีอันทำน้ำให้ใสลงไปในน้ำ สาหร่ายจอกแหนก็หายไป โคลนตมก็จมลงไป น้ำก็ใสไม่ขุ่นมัวฉันใด เมื่อศรัทธาเกิดขึ้นก็ข่มนิวรณ์ไว้ ทำให้จิตผ่องใส ไม่ขุ่นมัวจาก ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ การไม่ชอบใจ ฟุ้งซ่าน ง่วงและสงสัยฉันนั้น

   อย่างนี้แหละเรียกว่า ศรัทธามีความผ่องใส เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร"


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 09:54:23


ศรัทธามีการแล่นไป      

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้อว่า ศรัทธามีการแล่นไป เป็นลักษณะนั้น คืออย่างไร ? "

   " ขอถวายพระพร พระโยคาวจรเลื่อมใสในปฏิปทาของพระอริยเจ้าแล้ว จิตของพระโยคาวจรเหล่านั้นก็แล่นไปใน โสดาปัตติผลสกิทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตผล เป็นลำดับไป แล้วพระโยคาวจรนั้นก็กระทำความเพียรเพื่อให้ถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อให้บรรลุธรรมที่ยังไม่ได้บรรลุ เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งธรรม ที่ยังไม่ได้กระทำให้แจ้ง อย่างนี้แหละมหาบพิตร เรียกว่า ศรัทธามีการแล่นไป เป็นลักษณะ "

   " นิมนต์อุปมาให้แจ้งด้วย "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 09:59:47

อุปมาบุรุษผู้ข้ามแม่น้ำ
 
   " มหาราชะ เมฆใหญ่ตกลงบนภูเขาแล้วก็มีน้ำไหลลงไปสู่ที่ต่ำ ทำซอกเขาระแหงห้วยให้เต็มแล้ว ก็ล้นไหลไปสู่แม่น้ำเซาะฝั่งทั้งสองไป เมื่อฝูงคนมาถึงไม่รู้ที่ตื้นที่ลึกแห่งแม่น้ำนั้นก็กลัว จึงยืนอยู่ริมฝั่งอันกว้าง

   ลำดับนั้น ก็มีบุรุษคนหนึ่งมาถึง เขาเป็นผู้มีกำลังเรี่ยวแรงมาก ได้เหน็บชายผ้านุ่งให้แน่น แล้วกระโดดลงไปในน้ำ ว่ายข้ามน้ำไป มหาชนได้เห็นบุรุษนั้นข้ามน้ำไปได้ ก็พากันว่ายข้ามตามฉันใด

   พระโยคาวจรได้เห็นปฏิปทาของพระอริยะเหล่าอื่นแล้ว ก็มีจิตแล่นไปในโสดาปัตติผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตผล แล้วก็กระทำความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ไม่ยังถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้งฉันนั้น

   อย่างนี้แหละเรียกว่า ศรัทธามีการแล่นไป เป็นลักษณะข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ว่า

   " บุคคลย่อมข้ามห้วงน้ำได้ด้วยศรัทธา ย่อมข้ามมหาสมุทรได้ด้วยความไม่ประมาท ย่อมล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร ย่อมบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา" ดังนี้ ขอถวายพระพร "

   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 10:04:34

ปัญหาที่ ๑๑ ถามลักษณะวิริยะ    
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน วิริยะ คือความเพียร มีลักษณะอย่างไร? "

   " มหาราชะ ความเพียร มีการ ค้ำจุนไว้ เป็นลักษณะ กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น อันความเพียรค้ำจุนไว้แล้วย่อมไม่เสื่อม"

   " ขอนิมนต์อุปมาก่อน "


อุปมาเรือนที่จะล้ม     

   " ขอถวายพระพร เมื่อเรือนจะล้ม บุคคลค้ำไว้ด้วยไม้อื่น เรือนที่ถูกค้ำไว้นั้น ก็ไม่ล้มฉันใด ความเพียรก็มีการค้ำจุนไว้เป็นลักษณะ กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้นก็ไม่เสื่อมฉันนั้น "

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 10:13:55

อุปมาพวกเสนา
 
   " มหาราชะ พวกเสนาจำนวนน้อย ต้องพ่ายแพ้แก่เสนาหมู่มาก หากพระราชาทรงกำชับไปให้ดี ทั้งเพิ่มกองหนุนส่งไปให้เสนาจำนวนน้อยกับกองหนุนนั้น ต้องชนะเสนาหมู่มากได้ฉันใด

   ความเพียรก็มีการค้ำจุนไว้เป็นลักษณะกุศลธรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น อันความเพียรอุดหนุนแล้ว ก็ไม่เสื่อมฉันนั้น "

   ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทรงธรรม์ตรัสไว้ว่า

   " อริยสาวกผู้มีความเพียรเป็นกำลัง ย่อมละอกุศล เจริญกุศลได้ ละสิ่งที่มีโทษ เจริญสิ่งที่ไม่มีโทษได้ ย่อมไม่เสื่อมจากพระสัทธรรม" ดังนี้ ขอถวายพระพร

   " พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 ตุลาคม 2553 10:17:09

ปัญหาที่ ๑๒ ถามลักษณะสติ     

   " ข้าแต่พระนาคเสน สติ มีลักษณะอย่างไร ? "

   " มหาราชะ สติ มีลักษณะ ๒ ประการคือ

   ๑. มีการเตือน เป็นลักษณะ

   ๒. มีการถือไว้ เป็นลักษณะ

   ขอถวายพระพร "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 26 ตุลาคม 2553 16:17:11
สาธุ อนุโมทนา อ.ป๋าแป๋มครับ


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 11:54:12

   สติมีการเตือน      

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้อว่า สติมีการเตือนเป็นลักษณะนั้นคืออย่างไร ?"

   " ขอถวายพระพร สติเมื่อเกิดขึ้น ก็เตือนให้รู้จักสิ่งที่เป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ
     เลวดี ดำขาว ว่าเหล่านี้เป็นสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้เป็นสัมมัปปธาน ๔ เหล่านี้เป็นอิทธิบาท ๔
     เหล่านี้เป็นอินทรีย์ ๕ เหล่านี้เป็นพละ ๕ เหล่านี้เป็นโพชฌงค์ ๗

     เหล่านี้เป็นอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ อันนี้เป็นสมถะ อันนี้เป็นวิปัสสนา อันนี้เป็นวิชชา
     อันนี้เป็นวิมุตติ เหล่านี้เป็นเจตสิกธรรม ดังนี้

     ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็เกี่ยวข้องธรรมที่ควรเกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวข้องธรรมที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง
     คบหาธรรมที่ควรคบหา ไม่คบหาธรรมที่ไม่ควรคบหา อย่างนี้แหละมหาบพิตร
     เรียกว่า สติมีการเตือน เป็นลักษณะ"

   " ขอได้โปรดอุปมาด้วย "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 11:56:37

อุปมานายคลังของพระราชา   
   
   " มหาราชะ นายคลังของพระราชา ย่อมทูลเตือนพระเจ้าจักรพรรดิ ให้ทรงระลึกถึงราชสมบัติในเวลาเช้าเย็นว่า

   " ข้าแต่สมมุติเทพ ช้างของพระองค์มีเท่านี้ ม้ามีเท่านี้ รถมีเท่านี้ พลเดินเท้ามีเท่านี้ เงินมีเท่านี้ ทองมีเท่านี้ สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เจ้าของมีเท่านี้ ขอพระองค์จงทรงระลึกเถิด พระเจ้าข้า "

   ข้อนี้มีอุปมาฉันใด สติเมื่อเกิดขึ้น ก็เตือนให้ระลึกถึงธรรมที่เป็นกุศล อกุศล มีโทษไม่มีโทษ เลวดี ดำขาว ว่าเหล่านี้เป็นสติปัฏฐาน ๔ เหล่านี้เป็นสัมมัปปธาน ๔ ฯลฯ

   ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็เกี่ยวข้องกับธรรมที่ควรเกี่ยวข้อง ไม่เกี่ยวข้องกับธรรมที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง คบกับธรรมที่ควรคบ ไม่คบกับธรรมที่ไม่ควรคบ

   อย่างนี้แหละมหาบพิตร ชื่อว่า สติมีการเตือน เป็นลักษณะ "

   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 11:57:22

  สติมีการถือไว้   
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่าฃ

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อว่า สติมีการถือไว้ เป็นลักษณะนั้น เป็นประการใด ? "

   " มหาราชะ สติเมื่อเกิดขึ้น ก็ชักชวนให้ถือเอาซึ่งคติแห่งธรรมทั้งหลายว่า ธรรมเหล่านี้มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้มีอุปการะ ธรรมเหล่านี้ไม่มีอุปการะ

   ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็ละธรรมอันไม่มีประโยชน์เสีย ถือเอาธรรมที่มีประโยชน์ละธรรมที่ไม่มีอุปการะเสีย ถือเอาแต่ธรรมที่มีอุปการะ

   อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า สติมีการถือเอาไว้ เป็นลักษณะ "

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ทราบด้วย "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 11:59:32

อุปมานายประตูของพระราชา    

   "มหาราชะ นายประตูของพระราชาย่อมต้องรู้จักผู้ที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์แก่พระราชา ผู้ที่มีอุปการะ หรือไม่มีอุปการะแก่พระราชา เป็นต้น

   ลำดับนั้น นายประตูก็กำจัดพวกที่ไม่มีประโยชน์เสีย รับให้เข้าไปเฉพาะพวกที่มีประโยชน์ กำจัดพวกที่ไม่มีอุปการะเสีย ให้เข้าไปแต่พวกที่มีอุปการะฉันใด

   สติเมื่อเกิดขึ้น ก็ชักชวนให้ถือเอาคติแห่งธรรมทั้งหลายฉันนั้นว่า ธรรมเหล่านี้มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ธรรมเหล่านี้มีอุปการะ ธรรมเหล่านี้ไม่มีอุปการะ

   ลำดับนั้น พระโยคาวจรก็กำจัดธรรมอันไม่มีประโยชน์เสีย ถือเอาแต่ธรรมที่มีประโยชน์ ละธรรมอันไม่มีอุปการะเสีย ถือเอาแต่ธรรมอันมีอุปการะ

   อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า สติมีการถือไว้ เป็นลักษณะ

   ข้อนี้สมกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

   "สติ จะ โข อะหัง ภิกขเว สัพพัตถิกัง วทามิ…

   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสติประกอบด้วยประโยชน์ทั้งปวง"

   ดังนี้ขอถวายพระพร


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:00:43

ปัญหาที่ ๑๓ ถามลักษณะสมาธิ       

   " ข้าแต่พระนาคเสน สมาธิ มีลักษณะอย่างไร ? "

   " มหาราชะ สมาธิมีการเป็น หัวหน้า เป็นลักษณะ
     กุศลธรรมทั้งหลาย มีสมาธิเป็นหัวหน้าน้อมไปในสมาธิ
     โน้มไปในสมาธิ เงื้อมไปในสมาธิ ขอถวายพระพร "

   " ขอนิมนต์อุปมา พระผู้เป็นเจ้า "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:01:47

   อุปมากลอนแห่งเรือนยอด   
   
   " ขอถวายพระพร เช่นเดียวกับกลอนแห่งเรือนยอดทั้งหลาย
     ย่อมไปรวมอยู่ที่ยอด น้อมไปที่ยอด โน้มไปที่ยอด เงื้อมไปที่ยอด ฉันใด

    กุศลธรรมทั้งหลาย ก็มีสมาธิเป็นหัวหน้า น้อมไปในสมาธิ
    โน้มไปในสมาธิ เงื้อมไปในสมาธิฉันนั้น "

   " นิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:02:44

   อุปมาพระราชา       

   " มหาราชะ เวลาพระราชาเสด็จออกสงคราม พร้อมด้วยจตุรงคเสนานั้น
   เสนาทั้งหลาย เสนาบดีทั้งหลาย ช้าง ม้า รถ พลเดินเท้าทั้งหลาย
 
   ก็มีพระราชาเป็นหัวหน้า น้อมไปในพระราชา โน้มไปในพระราชา
   เงื้อมไปในพระราชา ห้อมล้อมพระราชาฉันใด

   กุศลธรรมทั้งหลาย ก็มีสมาธิเป็นหัวหน้า น้อมไปในสมาธิ เงื้อมไปในสมาธิฉันนั้น
   อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า สมาธิ มีความเป็น หัวหน้า เป็นลักษณะ

   ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระมหามุนีตรัสไว้ว่า

   " สมาธิ ภิกขเว ภาเวถะ สมาธิโก ภิกขุ ยถาภูตัง ปชานาติ…

   ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงอบรมสมาธิ ภิกษุผู้ได้สมาธิย่อมรู้ตามความเป็นจริง "

   ดังนี้ ขอถวายพระพร"

   " ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:03:38

ปัญหาที่ ๑๔ ถามลักษณะปัญญา     

   " ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญา มีลักษณะอย่างไร ? "

   " มหาราชะ ปัญญา มีการ ตัด เป็นลักษณะ ตามที่อาตมภาพได้ถวายวิสัชนาไว้แล้ว
     อีกประการหนึ่ง ปัญญา มีการ ทำให้สว่าง เป็นลักษณะ ขอถวายพระพร "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ปัญญามีการทำให้สว่าง เป็นลักษณะอย่างไร? "

   " มหาราชะ ปัญญาเมื่อเกิดขึ้น ก็กำจัดเครื่องทำให้มือคือ อวิชชา
     ทำให้เกิดความสว่างคือ วิชชา ทำให้เกิดความแจ่มแจ้ง คือ ญาณ
     ทำให้อริยสัจปรากฏลำดับนั้น พระโยคาวจรก็เห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า
     อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ขอถวายพระพร "

   " ขอพระคุณเจ้าได้โปรดอุปมา "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:04:32

  อุปมาผู้ส่องประทีป   
   
   " มหาราชะ เปรียบปานบุรุษส่องประทีปเข้าไปในเรือนที่มืด
   แสงประทีปย่อมกำจัดความมืด ทำให้เกิดแสงสว่าง

   ทำให้รูปทั้งหลายปรากฏฉันใดปัญญาเมื่อเกิดขึ้น ก็กำจัดความมืดคือ อวิชชา
   ทำให้เกิดแสงสว่างคือ วิชชา ทำให้เกิดความแจ่มแจ้งคือ ญาณ

   ทำให้อริยสัจทั้งหลายปรากฏลำดับนั้น พระโยคาวจรก็เห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า
   อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
   ฉันนั้นอย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่า ปัญญา มีการ ทำให้สว่าง เป็นลักษณะ

   ขอถวายพระพร"

   " ถูกแล้ว พระนาคเสน "
 
 


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:05:21

  ปัญหาที่ ๑๕ ลักษณะแห่งธรรมที่ต่างๆกัน   
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ธรรมเหล่านี้มีอยู่ต่าง ๆ กัน แต่ให้สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกันหรือ? "

   " อย่างนั้น มหาบพิตร ธรรมเหล่านี้มีอยู่ต่าง ๆ กัน แต่ให้สำเร็จประโยชน์
     อย่างเดียวกัน คือฆ่ากิเลสเหมือนกัน

     ขอถวายพระพร "

   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:06:12

อุปมาเสนาต่าง ๆ  
  
   " มหาราชะ เสนามีหน้าที่ต่าง ๆ กันคือ เสนาช้าง เสนาม้า เสนารถ

     เสนาพลเดินเท้า เสนาเหล่านั้น ย่อมให้สำเร็จสงครามอย่างเดียวกัน

     ย่อมชนะเสนาฝ่ายอื่นในสงครามอย่างเดียวกันฉันใดธรรมเหล่านี้

     ถึงมีอยู่ต่าง ๆ กัน ก็ให้สำเร็จประโยชน์อย่างเดียวกัน คือฆ่ากิเลสอย่างเดียวกัน

     ขอถวายพระพร"
  
      " พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาสมควรแล้ว "
  
  
  จบวรรคที่ ๑


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:07:10

   มิลินทปัญหา วรรคที่ ๒  

   ปัญหาที่ ๑ ความสืบต่อแห่งธรรม  
  
   สมเด็จพระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ พระบาทท้าวเธอได้ตรัสถามปัญหาต่อไปว่า
  
   " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดเกิดก็เป็นผู้นั้นหรือว่ากลายเป็นผู้อื่น? "
  
   พระเถระถวายพระพรตอบว่า
      
        " ไม่ใช่ผู้นั้น และไม่ใช่ผู้อื่น "
        
        " โยมยังสงสัยขอนิมนต์อุปมาก่อน "

   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรเข้าพระทัยว่าอย่างไร…คือมหาบพิตรเข้าพระทัยว่า เมื่อมหาบพิตรยังเป็นเด็กอ่อน ยังนอนหงายอยู่ที่พระอู่นั้น บัดนี้ มหาบพิตรเป็นผู้ใหญ่แล้วก็คือเด็กอ่อนนั้น…อย่างนั้นหรือ? "

   " ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า คือเด็กอ่อนนั้นเป็นผู้หนึ่งต่างหาก มาบัดนี้โยมซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เป็นอีกผู้หนึ่งต่างหาก"

   " มหาราชะ เมื่อเป็นอย่างนั้น มารดาก็จักนับว่าไม่มี บิดาก็จักนับว่าไม่มี อาจารย์ก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีศีลก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีศิลปะก็จักนับว่าไม่มี ผู้มีปัญญาก็จักนับว่าไม่มีทั้งนี้เพราะอะไร

   เพราะว่า

   มารดาของผู้ยังเป็น กลละ อยู่ เป็นผู้หนึ่งต่างหาก

   มารดาของผู้เป็น อัพพุทะ คือผู้กลายจากกลละ อันได้แก่กลายจากน้ำใส ๆ เล็กๆ มาเป็นน้ำคล้ายกับน้ำล้างเนื้อ ก็ผู้หนึ่งต่างหา

   เมื่อผู้นั้นกลายเป็นก้อนเนื้อ มารดาก็ผู้หนึ่งต่างหาก

   เมื่อผู้นั้นกลายเป็นแท่งเนื้อ มารดาก็เป็นอีกผู้หนึ่ง

   เมื่อผู้นั้นยังเล็กอยู่ มารดาก็เป็นผู้หนึ่งอีกต่างหาก

   เมื่อผู้นั้นโตขึ้น มารดาก็เป็นอีกผู้หนึ่งต่างหาก อย่างนั้นหรือ

   ผู้ศึกษาศิลปะ ก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก ผู้สำเร็จการศึกษาแล้ว ก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก

   ผู้ทำบาปกรรมก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก

   ผู้มีมือด้วนเท้าด้วน ก็เป็นผู้หนึ่งต่างหาก อย่างนั้นหรือ ?

   " ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้เป็นเจ้า ในเมื่อโยมกล่าวอย่างนี้ ส่วนพระผู้เป็นเจ้าจะกล่าวว่าอย่างไร ?

   " ขอถวายพระพร เมื่อก่อนอาตมายังเป็นเด็กอ่อนอยู่ บัดนี้ ได้เจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ อวัยวะทั้งปวงนั้น รวมเข้าเป็นอันเดียวกัน เพราะอาศัยกายอันนี้แหละ

   " ขอได้โปรดอุปมาด้วย

   " มหาราชะ เปรียบเสมือนว่า บุรุษคนหนึ่งจุดประทีปไว้ ประทีปนั้นจะสว่างอยู่ตลอดคือหรือไม่ ?

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ประทีปนั้นต้องสว่างอยู่ตลอดคืน

   " มหาราชะ เปลวประทีปในยามต้น ก็คือเปลวประทีปในยามกลางอย่างนั้นหรือ?

   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า

   " เปลวประทีปในยามกลาง ก็คือเปลวประทีปในยามปลายอย่างนั้นหรือ ?

   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า

   " มหาราชะ เปลวประทีปในยามต้น ก็เป็นอย่างหนึ่ง เปลวประทีปในยามกลาง ก็เป็นอย่างหนึ่ง เปลวประทีปในยามปลาย ก็เป็นอย่างหนึ่ง อย่างนั้นหรือ ?

   " ไม่ใช่อย่างนั้น ผู้เป็นเจ้า คือเปลวประทีปนั้นได้สว่างอยู่ตลอดคืน ก็เพราะอาศัยประทีปดวงเดียวกันนั้นแหละ

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ ธรรมสันตติ ความสืบต่อแห่งธรรม ย่อมสืบต่อกัน เมื่อสิ่งหนึ่งเกิด สิ่งหนึ่งดับ ย่อมติดต่อกันไม่ก่อนไม่หลังเพราะฉะนั้น จะว่าผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่าผู้อื่นก็ไม่ใช่ ย่อมถึงซึ่งการจัดเข้าในวิญญาณดวงหลัง ขอถวายพระพร

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก

   " มหาราชะ ในเวลาที่คนทั้งหลายรีดนม นมสดก็กลายเป็นนมส้ม เปลี่ยมจากนมส้ม ก็กลายเป็นนมข้น เมื่อเปลี่ยนจากนมข้น ก็กลายเป็นเปรียง ผู้ใดกล่าวว่า นมสดนั้นแหละคือนมส้ม นมส้มนั้นแหละคือนมข้น นมข้นนั้นแหละคือเปรียง จะว่าผู้นั้นกล่าวถูกต้องดีหรืออย่างไร ?

   " ไม่ถูก พระผู้เป็นเจ้า คือเปรียงนั้นก็อาศัยนมสดเดิมนั้นแหละ

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ธรรมสันตติ คือความสืบต่อแห่งธรรม ก็ย่อมสืบต่อกันไป อย่างหนึ่งเกิด อย่างหนึ่งดับ สืบต่อกันไปไม่ก่อนไม่หลัง เพราะฉะนั้น จะว่าผู้นั้นก็ไม่ใช่ จะว่า ผู้อื่นก็ไม่ใช่ ว่าได้แต่เพียงว่า ถึงซึ่งการสงเคราะห์เข้าในวิญญาณดวงหลังเท่านั้น ขอถวายพระพร "

   " พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขนี้สมควรแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:07:55

   ปัญหาที่ ๒ ถามความรู้สึกของผู้ไม่เกิดอีก
 
   " ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลใดไม่เกิดอีกบุคคลนั้นรู้หรือไม่ว่าเราจักไม่เกิดอีก ?"

   " มหาราชะ ผู้ใดจะไม่เกิดอีก ผู้นั้นก็รู้ว่าเราจักไม่เกิด"

   " ข้าแต่พระคุณเจ้า ผู้นั้นรู้ได้อย่างไร ? "

   " ขอถวายพระพร เหตุปัจจัยอันใดที่ทำให้ถือกำเนิด ผู้นั้นก็รู้ว่าเราจะไม่เกิด เพราะความดับไปแห่งเหตุปัจจัยอันนั้นแล้ว "

   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "

   " มหาราชะ เปรียบเหมือนชาวนาไถนาแล้ว หว่านข้าวแล้ว ได้ข้าวไว้เต็มยุ้งแล้วต่อมาภายหลังเขาก็ไม่ไถไม่หว่านอีก เขามีแต่บริโภคหรือขายซึ่งข้าวนั้น หรือทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามเหตุปัจจัยที่มีมา ชาวนานั้นรู้หรือไม่ว่า ยุ้งข้าวของเราจักไม่เต็ม? "

   " รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า "

   " รู้อย่างไรล่ะ ? "

   " อ๋อ..รู้เพราะไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้ยุ้งข้าวเต็ม"

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้นั้นก็รู้ว่าเราจักไม่เกิดอีก เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะทำให้ถือกำเนิดแล้ว "

   " ถูกแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:08:38

   ปัญหาที่ ๓ ถามที่ดับปัญญา
 
   " ข้าแต่พระนาคเสน ญาณ เกิดแก่ผู้ใด ปัญญา เกิดแก่ผู้นั้นหรือ ? "

   " เกิด…มหาราชะ คือ ญาณ เกิดแก่ผู้ใด ปัญญา ก็เกิดแก่ผู้นั้น"

   " ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งใดเป็นญาณสิ่งนั้นหรือเป็นปัญญา? "

   " ถูกแล้ว…มหาราชะ คือสิ่งใดเป็นญาณก็สิ่งนั้นแหละเป็นปัญญา"

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ญาณได้เกิดแก่ผู้ใดปัญญานั้นได้เกิดแก่ผู้นั้น ผู้นั้นหลงหรือไม่หลง ? "

   " มหาราชะ ผู้มีปัญญาหลงในบางสิ่งบางอย่าง ไม่หลงในบางสิ่งบางอย่าง"

   " หลงในสิ่งไหน ไม่หลงในสิ่งไหน ? "

   " ขอถวายพระพร หลงในศิลปะที่ไม่ชำนาญก็มี ในทิศที่ไม่เคยไปก็มี ในชื่อหรือสถานที่ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังก็มี "

   " อ๋อ…แล้วไม่หลงในอะไร พระผู้เป็นเจ้า ? "

   " ไม่หลงในสิ่งที่ตนรู้แล้วว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็โมหะ คือความหลงของผู้นั้นไปอยู่ที่ไหนล่ะ? "

   " มหาราชะ พอ ญาณ เกิดแล้ว โมหะ คือความหลงก็ดับไปในญาณนั้นเอง"

   " ขอนิมนต์อุปมาเถิด "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:09:29
อุปมาผู้จุดประทีป

   " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่ง จุดประทีปเข้าไปในเรือนที่มืด ในขณะนั้นความมืดก็ดับไป แสงสว่างก็ปรากฏขึ้นฉันใด เมื่อ ญาณ เกิดขึ้นแล้ว โมหะ ก็ดับไปในที่นั้นฉันนั้นแหละ"

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ก็ปัญญานั้นเล่า…ไปอยู่ที่ไหน? "

   " มหาราชะ ปัญญา ทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไปในที่นั้นเอง สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า ปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไป แต่สิ่งใดที่ทำด้วยปัญญานั้นว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สิ่งนั้นไม่ดับ ดังนี้ "

   "ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาด้วย"


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:10:10

อุปมาการเขียนเลข

   " มหาราชะ เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้ใดรู้หนึ่ง อยากดูตัวเลขในกลางคืน
จัดแจงให้จุดประทีปขึ้นเขียนเลข เมื่อประทีปดับแล้วเลขก็ยังไม่หายไป
ข้อนี้มีอุปมาฉันใดปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป
แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น มิได้ดับไปฉันนั้น "

   " ขอพระผู้เป็นเจ้าอุปมาให้ยิ่งขึ้น "
 
 

 


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:12:53
อุปมาโอ่งน้ำ

   " ขอถวายพระพร เปรียบประดุจพวกมนุษย์ในชนบทตะวันออก จัดตั้งโอ่งน้ำไว้ ๕ โอ่งข้างประตู เพื่อดับไฟที่จะไหม้เรือนเมื่อไฟไหม้เรือนแล้ว โอ่งน้ำ ๕ โอ่งนั้นเขาก็นำไปเก็บไว้ในละแวกบ้าน ไฟก็ดับไปชาวบ้านคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำสิ่งที่จำเป็นด้วยโอ่งน้ำเหล่านั้นอีก? "

   " ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า เพราะไม่มีความจำเป็นกับโอ่งน้ำเหล่านั้นอีกแล้ว ด้วยว่าไฟก็ดับแล้วเขาจึงนำไปเก็บไว้อย่างนั้น "

   " มหาราชะ ควรเห็น อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้นว่า เปรียบเหมือนกับโอ่งน้ำทั้ง ๕ พระโยคาวจรเปรียบเหมือนชาวบ้าน กิเลสเปรียบเหมือนไฟ กิเลสดับไปด้วยอินทรีย์ ๕ เปรียบเหมือนกับไฟดับไปด้วยน้ำทั้ง ๕ โอ่งนั้น

   กิเลสที่ดับไปแล้วย่อมไม่เกิดขึ้นอีกฉันใดเมื่อปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วก็ดับไปแต่สิ่งที่รู้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นมิได้ดับไปฉันนั้น "

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:13:29
อุปมารากยา

   " มหาราชะเปรียบปานประหนึ่งว่า แพทย์ผู้ถือเอารากยา ๕ รากไปหาคนไข้ บดรากยาทั้ง ๕ นั้น แล้วละลายน้ำให้คนไข้ดื่ม โรคนั้นก็หายไปด้วยรากยาทั้ง ๕ รากนั้น

   แพทย์นั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจที่ควรทำด้วยรากยาเหล่านั้นอีก ? "

   " ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า "

   " มหาราชะ รากยาทั้ง ๕ นั้น เหมือน อินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น แพทย์นั้นเหมือนพระโยคาวจร ความเจ็บไข้เหมือนกิเลส บุรุษผู้เจ็บไข้เหมือนปุถุชน ไข้หายไปด้วยยาทั้ง ๕ รากนั้นแล้ว ผู้เจ็บไข้นั้น ก็หายโรคฉันใด

   เมื่อกิเลสออกไปด้วยอินทรีย์ ๕ แล้วกิเลสก็ไม่เกิดอีก อย่างนี้แหละ มหาบพิตร ชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งนั้น หามิได้ดับไปฉันนั้น "

   " นิมนต์อุปมาให้ยิ่งกว่านี้อีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:14:22
  อุปมาผู้ถือลูกธนู 

 " มหาราชะ เหมือนกับบุรุษผู้จะเข้าสู่สงคราม ถือเอาลูกธนู ๕ ลูก แล้วเข้าสู่สงคราม เพื่อต่อสู้กับข้าศึก เขาเข้าสู่สงครามแล้วก็ยิงลูกธนูไป ข้าศึกก็แตกพ่ายไป บุรุษนั้นคิดหรือไม่ว่า เราจักต้องทำกิจด้วยลูกธนูเหล่านั้นอีก ? "

   " ไม่คิด พระผู้เป็นเจ้า "

   " มหาราชะ ควรเห็น อินทรีย์ ๕ เหมือนลูกธนูทั้ง ๕ พระโยคาวจรเหมือนกับผู้เข้าสู่สงคราม กิเลสเหมือนกับข้าศึก กิเลสแตกหักไปเหมือนกับ ข้าศึกพ่ายแพ้กิเลสดับไปแล้ว ไม่เกิดขึ้นอีกอย่างนี้แหละ มหาบพิตร

   ชื่อว่าปัญญาทำหน้าที่ของตนแล้วดับไป แต่สิ่งที่รู้ด้วยปัญญาว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นหามิได้ดับไป ขอถวายพระพร"

   " แก้ดีแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:15:20
ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องปรินิพพาน   

   " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดจะไม่เกิดอีก ผู้นั้นยังได้เสวยทุกขเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ ? "

   " ขอถวายพระพร ได้เสวยก็มี ไม่ได้เสวยก็มี "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่าได้เสวยก็มีไม่ได้เสวยก็มีนั้น คือเสวยอะไร ไม่ได้เสวยอะไร ? "

   " ขอถวายพระพร ได้เสวยเวทนาทางกาย ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ"

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่าได้เสวยเวทนาทางกาย แต่ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจนั้น คืออย่างไร ? "

   " ขอถวายพระพร คือเหตุปัจจัยอันใด ที่จะให้เกิดทุกขเวทนาทางกายยังมีอยู่ ผู้นั้นก็ยังได้เสทุกขเวทนาทางกายอยู่ เหตุปัจจัยอันใด ที่จะให้เกิดทุกขเวทนาทางใจดับไปแล้ว ผู้นั้นก็ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาทางใจ ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้ว่า " ผู้นั้นได้เสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ""

   " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ไม่ได้เสวยทุกขเวทนาแล้วนั้น เหตุไรจึงยังไมปรินิพพาน ? "

   " ขอถวายพระพร ความยินดีหรือยินร้ายไม่มีแก่พระอรหันต์เลย พระอรหันต์ทั้งหลายย่อมไม่ทำสิ่งที่ยังไม่แก่ไม่สุกให้ตกไป มีแต่รอการแก่การสุกอยู่เท่านั้น"

   ข้อนี้สมกับ พระสารีบุตรเถระ ผู้เป็นเสนาบดีในทางธรรมได้กล่าวไว้ว่า

   " เราไม่ยินดีต่อมรณะ เราไม่ยินดีต่อชีวิต เรารอแต่เวลาอยู่ เหมือนกับลูกจ้างรอเวลารับค่าจ้างเท่านั้นเราไม่ยินดีต่อมรณะ ไม่ยินดีต่อชีวิต เราผู้มีสติสัมปชัญญะ รอแต่เวลาอยู่เท่านั้น"

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:16:05

ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องสุขเวทนา   

         " ข้าแต่พระนาคเสน สุขเวทนา เป็นกุศลหรืออกุศล หรืออัพยากฤต ? "

   " ขอถวายพระพร เป็นกุศลก็มี อกุศลก็มี อัพยากฤตก็มี"

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเป็นกุศลก็ไม่เป็นทุกข์ ถ้าเป็นทุกข์ก็ไม่เป็นกุศล
     คำกล่าวว่า " สุขเป็นทั้งกุศล เป็นทั้งทุกข์ " ก็ไม่ควร "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:16:55
 
อุปมาก้อนเหล็กแดงและหิมะ

   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะทรงเจ้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…

   คือถ้ามีก้อนเหล็กแดงวางอยู่ที่มือข้างหนึ่งของบุรุษคนหนึ่งและมีก้อนหิมะเย็นว่างอยู่ที่มืออีกข้างหนึ่งมือทั้งสองข้างจะถูกเผาเหมือนกันหรือ…มหาบพิตร? "

   " ถูกเผาเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้า "

   " ถ้าอย่างนั้น มือทั้งสองข้างนั้น จะร้อนเหมือนกันหรือ? "

   " ไม่ร้อนเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้า "

   " ถ้าอย่างนั้น มือทั้งสองข้างนั้น จะเย็นเหมือนกันหรือ? "

   " ไม่เย็นเหมือนกัน พระผู้เป็นเจ้า "

   " ขอมหาบพิตรจงทราบว่า มหาบพิตรถูกกล่าวข่มขี่แล้ว คือ

   ถ้าก้อนเหล็กแดง อันร้อนเป็นของเผา ก็จะต้องเผามือทั้งสองข้าง แต่มือทั้งสองข้างนั้นไม่ร้อน เพราะฉะนั้น ถ้อยคำของมหาบพิตรจึงใช้ไม่ได้

   ถ้าของที่เย็นเป็นของเผา มือทั้งสองข้างก็จะต้องถูกเผา แต่มือทั้งสองข้างไม่เย็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คำของมหาบพิตรจึงใช้ไม่ได้

   ถ้าของที่เย็นเป็นของเผา มือทั้งสองข้างก็จะต้องถูกเผา แต่มือทั้งสองข้างไม่เย็นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คำของมหาบพิตรจึงใช้ไม่ได้

   ขอถวายพระพร เหตุไรจึงว่ามือทั้งสองข้างถูกเผา แต่มือทั้งสองข้างนั้นไม่ร้อนเหมือนกัน ไม่เย็นเหมือนกัน ข้างหนึ่งร้อน อีกข้างหนึ่งเย็น เพราะฉะนั้น คำที่มหาบพิตรตรัสว่ามือทั้งสองข้างถูกเผานั้นจึงใช้ไม่ได้"

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่อาจโต้ตอบกับพระผู้เป็นเจ้าได้แล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขไปเถิด "

   ลำดับนั้น พระเถระจึงทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเข้าพระทัยได้ด้วยคาถาอันประกอบด้วย อภิธรรม ว่า

   " มหาราชะ โสมนัสเวทนา ( ความรู้สึกยินดี ) อันอาศัยการครองเรือน ( กามคุณ ๕ ) มีอยู่ ๖ อาศัยการถือบวชมีอยู่ ๖โทมนัสเวทนา ( ความรู้สึกยินร้าย ) อันอาศัยการครองเรือนมีอยู่ ๖ อาศัยการถือบวชมีอยู่ ๖อุเบกขาเวทนา ( ความรู้สึกวางเฉย ) อันอาศัยการครองเรือนมีอยู่ ๖ อาศัยการถือบวชมีอยู่ ๖

   เวทนาทั้ง ๓๖ อย่างนี้ แยกเป็นเวทนาที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน รวมเข้าด้วยกันเป็น เวทนา ๑๐๘ ขอถวายพระพร"

   " พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:18:02
ปัญหาที่ ๖ การเกิดแห่งนามรูป 
 
          " ข้าแต่พระนาคเสน อะไรปฏิสนธิ คือถือกำเนิด ? "

   " มหาราชะ นามรูป ถือกำเนิด "

   " นามรูปนี้หรือ…ถือกำเนิด ? "

   " มหาราชะ นามรูปนี้ไม่ได้ถือกำเนิด แต่ว่าบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วด้วยนามรูปนี้ นามรูปอื่นก็ถือกำเนิดด้วยกรรมนั้น "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้านามรูปนี้ไม่ได้ถือกำเนิด ผู้นั้นก็จักพ้นบาปกรรมทั้งหลายไม่ใช่หรือ ? "

   " ขอถวายพระพร ถ้าผู้นั้นไม่เกิดแล้วก็พ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย แต่ถ้ายังเกิดอยู่ก็หาพ้นไม่ "

   " ขอนิมนต์ได้โปรดอุปมาด้วย "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:19:40
อุปมาด้วยผลมะม่วง  

   " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนบุรุษผู้หนึ่งไปขโมยผลมะม่วงของเขามา แต่เจ้าของมะม่วงนั้นจับได้ จึงนำไปถวายพระราชา กราบทูลว่า บุรุษผู้นี้ขโมยมะม่วงของข้าพระองค์ บุรุษนั้นจะต้องกราบทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์มิได้ขโมยมะม่วงของบุรุษนี้ มะม่วงที่บุรุษนี้ปลูกไว้เป็นมะม่วงอื่น ส่วนมะม่วงที่ข้าพระองค์นำไปนั้น เป็นมะม่วงอื่นอีกต่างหาก ข้าพระองค์ไม่ควรได้รับโทษ ดังนี้ อาตมภาพจึงขอถามมหาบพิตรว่า บุรุษผู้นั้นควรจะได้รับโทษหรืออย่างไร ? "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุรุษนั้นควรได้รับโทษ "

   " เพราะอะไรล่ะ มหาบพิตร ? "

   " เพราะว่า บุรุษนั้นรับว่าไปเอาผลมะม่วงมาแล้ว แต่บอกว่าเอาผลมะม่วงลูกก่อนไป ถึงกระนั้นก็ควรได้รับโทษด้วยผลมะม่วงลูกหลัง "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วอันใดไว้ด้วยนามรูปนี้ แล้วนามรูปอื่นก็ถือกำเนิดสืบต่อกันด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นไปจากบาปกรรมขอถวายพระพร "

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:20:19
อุปมาด้วยไฟไหม้

   " ขอถวายพระพร มีบุรุษคนหนึ่งก่อไฟไว้ในฤดูหนาว แล้วทิ้งไว้มิได้ดับไฟ ได้ไปเสียที่อื่น ไฟนั้นได้ไหม้นาของผู้อื่น เจ้าของนาจึงจับบุรุษนั้นไปถวายพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ บุรุษนี้เผานาของข้าพระองค์ บุรุษนั้นจะต้องทูลให้การว่า ข้าพระองค์ไม่ได้เผานาของผู้นี้ ไฟนั้นถึงข้าพระองค์ไม่ได้ดับ แต่ไฟที่ไหม้นาของผู้นี้ก็เป็นไฟอื่นต่างหาก ข้าพระองค์ไม่มีโทษ ดังนี้ อาตมภาพขอถามมหาบพิตรว่า บุรุษนั้นจะมีโทษหรือไม่ ? "

   " ต้องมีโทษซิ พระผู้เป็นเจ้า "

   " เพราะเหตุไร มหาบพิตร ? "

   " อ๋อ…เพราะเหตุว่า ถึงบุรุษนั้นจะหมายเอาไฟก่อนก็ตาม แต่ก็ควรได้รับโทษด้วยไปหลัง "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลทำกรรมดีหรือชั่วอันใดไว้ด้วยนามรูปนี้ แล้วนามรูปอื่นก็ถือกำเนิดด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม "

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:21:23
 อุปมาด้วยประทีป  

   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าบุรุษคนหนึ่ง ถือเอาประทีปเข้าไปที่เรือนโรงแล้วกินข้าว ประทีปก็ลุกลามไปไหม้หญ้า หญ้าก็ลุกลามไปไหม้เรือน เรือนก็ลุกลามไปไหม้หมู่บ้าน ชาวบ้านจึงพากันจับบุรุษนั้น แล้วถามว่า เหตุไฉนเจ้าจึงเผาบ้าน บุรุษนั้นจึงตอบว่าเรานั่งกินข้าวอยู่ด้วยประทีปอื่นต่างหาก ส่วนไฟที่ไหม้บ้านเป็นไฟอื่นอีกต่างหาก เมื่อโต้เถียงกันอย่างนี้ เขาพากันมาเฝ้ามหาบพิตร กราบทูลว่า มหาราชเจ้าจะรักษาประโยชน์ของใครไว้ พระเจ้าข้า มหาบพิตรจะตรัสตอบว่าอย่างไร ? "

   " โยมจะตอบว่า จะรักษาประโยชน์ของชาวบ้านไว้ "

   " เพราะอะไร มหาบพิตร ? "

   " เพราะว่า ถึงบุรุษนั้นจะกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ว่าไฟนั้นเกิดมาจากประทีปดวงก่อนนั้นเอง "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถึงนามรูปอันมีในที่สุดแห่งความตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตาม แต่ว่านามรูปนั้นเกิดจากนามรูปเดิม เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม "

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:22:40

อุปมาเรื่องหมั้นเด็กหญิง  

   " ขอถวายพระพร เปรียบปานบุรุษผู้หนึ่งหมั้นเด็กหญิงที่ยังเล็ก ๆ เอาไว้ ให้ของหมั้นแล้วกลับไป ต่อมาภายหลังเด็กหญิงคนนั้นก็เติบโตขึ้น มีบุรุษอีกคนหนึ่งมาให้ของหมั้นแล้วแต่งงาน บุรุษที่หมั้นไว้ก่อนจึงมาต่อว่าบุรุษนั้นว่า เหตุใดเจ้าจึงนำภรรยาของเราไป บุรุษนั้นก็ตอบว่า เราไม่ได้นำภรรยาของเจ้าไป เด็กหญิงเล็ก ๆ คนนั้น ที่เจ้าขอไว้แล้วให้ของหมั้นไว้นั้น เป็นคนหนึ่งต่างหาก เด็กหญิงที่เติบโตแล้ว ที่เราสู่ขอแล้วนี้ เป็นคนหนึ่งอีกต่างหาก เมื่อบุรุษทั้งสองนั้นโต้เถียงกันมาเฝ้ามหาบพิตร พระองค์จะทรงวินิจฉัยให้หญิงนั้นแก่ใคร ? "

   " อ๋อ…ต้องให้แก่บุรุษคนก่อนนะซิ พระผู้เป็นเจ้า "

   " เพราะเหตุใด มหาบพิตร ? "

   " เพราะเหตุว่า ถึงบุรุษนั้นจะกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่เด็กสาวคนนั้นก็เติบโตต่อมาจากเด็กหญิงเล็ก ๆ นั้นเอง "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถึงนามรูปอันมีต่อไปจนกระทั่งตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตาม แต่นามรูปนั้นก็เกิดมาจากนามรูปเดิมนั่นเอง เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม "

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งกว่านี้อีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:23:17

   อุปมาด้วยนมสด  

   " ขอถวายพระพร เช่นเดียวกับบุรุษผู้หนึ่ง ไปซื้อนมสดจากมือนายโคบาล แล้วฝากนายโคบาลนั้นไว้ ด้วยคิดว่า พรุ่งนี้เช้าจึงจะมารับเอาไป ต่อมานมสดนั้นก็กลายเป็นนมส้ม เมื่อบุรุษนั้นมาก็บอกนายโคบาลว่า จงให้หม้อนมสดนั้นแก่เรา นายโคบาลนั้นก็ส่งหม้อนมส้มให้ ฝ่ายผู้ซื้อก็กล่าวว่า เราไม่ได้ซื้อนมส้มจากเจ้า เจ้าจงให้นมสดแก่เรา นายโคบาลก็ตอบว่า นมสดนั้นแหละกลายเป็นนมส้ม ลำดับนั้น คนทั้งสองได้โต้เถียงกันไม่ตกลง จึงพากันมาเฝ้ามหาบพิตร พระองค์จะทรงวินิจฉัยให้คนไหนละ ? "

   " โยมต้องวินิจฉัยให้นายโคบาลชนะ "

   " เพราะอะไร มหาบพิตร ? "

   " เพราะถึงบุรุษนั้นกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่นมส้มนั้นก็เกิดมาจากนมสดนั่นเอง "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงนามรูปที่มีต่อมาจนกระทั่งเวลาตายเป็นนามรูปอื่น ส่วนนามรูปที่ถือกำเนิดเป็นนามรูปอื่นก็ตามแต่ก็เกิดมาจากนามรูปเดิมนั่นแหละ เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม ขอถวายพระพร "

   " พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:24:45
ปัญหาที่ ๗ การเกิดอีก   

   " ข้าแต่พระนาคเสน ก็พระผู้เป็นเจ้าล่ะจะเกิดอีกหรือไม่ ? "

   " อย่าเลยมหาบพิตร พระองค์จะต้องพระประสงค์อันใดด้วยคำถามนี้ เพราะอาตมภาพได้กล่าวไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าอาตมาภาพยังมีอุปาทานก็จักเกิดอีก ถ้าไม่มีความยึดถือแล้ว ก็จักไม่เกิดอีก "

   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "

   " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษผู้หนึ่ง ได้กระทำความดีไว้ต่อพระราชา พระราชาก็ทรงโปรดปรานเขา ได้พระราชาทรัพย์และยศแก่เขา เขาก็ได้รับความสุขในทางกามคุณ ๕ ด้วยได้พระราชาทรัพย์และยศนั้น ถ้าบุรุษนั้นบอกแก่มหาชนว่า พระราชาไม่ได้พระราชทานสิ่งใดแก่เรา มหาบพิตรจะทรงวินิจฉัยว่า บุรุษนั้นพูดถูกหรือไม่ ? "

   " ไม่ถูก พระผู้เป็นเจ้า "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร จะประโยชน์อันใดด้วยคำถามนี้ เพราะอาตมภาพได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าอาตมภาพยังมีความยึดมั่นอยู่ ก็จักเกิดอีก ถ้าไม่มีความยึดมั่นแล้ว ก็จักไม่เกิดอีก ขอถวายพระพร "

   " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:25:29

ปัญหาที่ ๘ นามรูป   

          " ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า นามรูป ที่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้แล้วนั้นอะไรเป็นนามรูป ? "

   " รูปใดเป็นรูปหยาบ รูปนั้นแหละเป็น " รูป " ส่วนสิ่งใดเป็นของละเอียด คือ จิตและเจตสิก สิ่งนั้นเรียกว่า " นาม " "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดจึงถือกำเนิดแต่นาม ส่วนรูปไม่ถือกำเนิดล่ะ ? "

   " ขอถวายพระพร สิ่งเหล่านั้นอาศัยกันและกัน ย่อมเกิดด้วยกัน "

   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "

   " ขอถวายพระพร ถ้าแม่ไก่ไม่มีกลละ ( น้ำใส ๆ เล็ก ๆ ) ไข่ก็ไม่มี กลละกับไข่ทั้งสองนี้อาศัยกัน เกิดร่วมกันไปฉันใด ข้อนี้ก็มีอุปมาฉันนั้นแหละ มหาบพิตรคือถ้านามไม่มี รูปก็เกิดไม่ได้ นามกับรูปทั้งสองนี้อาศัยกัน เกิดด้วยกัน นาม " กับ " รูป " ทั้งสองนี้ เวียนวนมาในวัฏสงสารสิ้นกาลนานนักหนาแล้ว "

   " สมควรแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:26:15

ปัญหาที่ ๙ เรื่องกาลนานยืดยาว   

   " ข้าแต่พระนาคเสน คำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า " สิ้นกาลนานนักหนาแล้วนั้น " คำว่า " นาน " นั้น หมายถึงอะไร ? "

   " ขอถวายพระพร หมายถึง กาล อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สังขารทั้งหลายมีอยู่นานทั้งนั้นหรือ ? "

   " ขอถวายพระพร บางอย่างก็มี บางอย่างก็ไม่มี "

   " อะไรมี…อะไรไม่มี ? "

   " ขอถวายพระพร สังขารที่ล่วงลับดับสลายไปแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ไม่มีส่วนสิ่งที่เป็นผลกรรม และสิ่งที่เป็นผลกรรมให้เกิดต่อไปนั้นยังมีอยู่นาน สัตว์เหล่าใดตายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นไปเกิดในที่อื่น สัตว์เหล่านั้นยังมีอยู่นาน ส่วนพระอริยบุคคลที่ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานแล้ว ไม่มีอยู่อีก เพราะปรินิพพานแล้วขอถวายพระพร "

   " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:27:18

   มิลินทปัญหา วรรคที่๓
   ปัญหาที่ ๑ ถามมูลเหตุแห่งกาลทั้งสาม
   

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
   " ข้าแต่พระนาคเสน อะไรเป็นมูลแห่งกาลนาน อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ? "

   พระเถระตอบว่า

   " ขอถวายพระพร อวิชชา เป็นมูลแห่งกาลนาน อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน
   เพราะว่า อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิด สังขาร สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิด นามรูป
   นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิด สฬายตนะ สฬายตนะ เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน

   อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด ภพ ภพ เป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ
   ชาติ เป็นปัจจัยให้เกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
   ( ตั้งแต่ อวิชชา มาถึง อุปายาส รวมเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท )

   เป็นอันว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้
   ปุริมโกฏิ คือที่สุดเบื้องต้นแห่งกาลนานย่อมไม่ปรากฏ "

   พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:27:57

ปัญหาที่ ๒ ถามที่สุดและเบื้องต้น แห่งสังสาร   

   " คำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า " ปุริมโกฏิไม่ปรากฏนั้น " โยมยังสงสัยอยู่ อะไรเป็นปุริมโกฏิ
     กาลนานอันอันเป็นอดีตนั้นหรือเป็นปุริมโกฏิ ? "

   " มหาราชะ ปุริมโกฏินั้นแหละ เป็นกาลนานอันเป็นอดีต "

   " ข้าแต่พระนาคเสน เพราะเหตุไรปุริมโกฏิจึงไม่ปรากฏ ? "

   " ขอถวายพระพร ปุริมโกฏิบางอย่างก็ปรากฏ บางอย่างก็ไม่ปรากฏ "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อย่างไหนปรากฏอย่างไหนไม่ปรากฏ ? "

   " ขอถวายพระพร สิ่งทั้งปวงที่ไม่เคยมีเบื้องต้นปรากฏเลย ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา อันนี้แหละ เรียกว่า ปุริมโกฏิ
     คือที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ  อีกประการหนึ่ง สิ่งที่ไม่เคยมีมามีขึ้นมีขึ้นแล้วกลับหายไป อันนี้แหละเรียกว่า
    ปุริมโกฏิ คือที่สุดเบื้องต้นปรากฏ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่า ที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏนั้น จะเปรียบเหมือนด้วยสิ่งใด ขอนิมนต์อุปมา"


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:28:41

อุปมาด้วยพืช

   " ขอถวายพระพร พืชเล็ก ๆ ที่อาศัยแผ่นดินแล้วเกิดมีใบ มีดอก มีผล
     ถึงซึ่งความเจริญงอกงามไพบูลย์ไปตามลำดับ ผลก็เกิดจากพืชนั้น ลำดับนั้น
     ต้นของพืชนั้นก็มีใบ ดอกผล ถึงซึ่งความเจริญงอกงามไพบูลย์ไปตามลำดับ
     ที่สุดแห่งการสืบต่อแห่งพืชนี้มีอยู่หรือไม่ ? "

   " ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือที่สุดเบื้องต้นแห่งกาลนานไม่ปรากฏ "

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:30:21

อุปมาด้วยแม่ไก่    

   " มหาราชะ ไข่ออกจากแม่ไก่ แม่ไก่ออกมาจากไข่ ไข่ก็ออกมาจากไก่อีก ที่สุดแห่งการสืบต่อแห่งไก่นี้มีอยู่หรือไม่ ? "

   " ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ที่สุดเบื้องต้นแห่งกาลนานไม่ปรากฏ "

   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:31:01
อุปมาด้วยกงรถ   

" พระนาคเสนจึงขีดเป็นกงรถลงที่พื้นดินแล้วถามพระเจ้ามิลินท์ว่า ที่สุดแห่งกงรถนี้มีอยู่หรือไม่ ? "

   " ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สมเด็จพระธรรมสามิสรตรัสไว้ว่า " กงจักรเหล่านี้ได้แก่ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน " ขอถวายพระพร

   จักขุวิญญาณ ย่อมเกิดเพราะอาศัย จักขุ กับ รูป เมื่อสิ่งทั้ง ๓ นั้นรวมกันก็เป็น ผัสสะ

   ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา"

   เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา

   ตัณหา เป็นปัจจัยให้เกิด อุปาทาน

   อุปาทาน เป็นปัจจัยให้เกิด กรรม

   จักขุ ก็เกิดจาก กรรม อีก ที่สุดแห่งการสืบต่ออันนี้มีอยู่หรือไม่ ? "

   " ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "

   " ขอถวายพระพร โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยเสียงกับหู จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะมโนกับธรรมะ เมื่อสิ่งทั้ง ๓ รวมกันเข้าก็เป็น ผัสสะ แล้วทำให้เกิด เวทนา ตัณหา อุปทาน กรรม แล้ว โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มโน ก็เกิดจากกรรมนั้นอีก ที่สุดแห่งการสืบต่อนี้มีอยู่หรือไม่ ? "

   " ไม่มี พระผู้เจ้าเป็นเจ้า "

   " ข้อนี้ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ ขอถวายพระพร "

   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:31:43
 ปัญหาที่ ๔ การเกิดขึ้นแห่งสังขาร   

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า ที่สุดเบื้องต้นบางอย่างปรากฏบางอย่างไม่ปรากฏ จึงขอถามว่า อย่างไหนปรากฏ อย่างไหนไม่ปรากฏ ? "

   " ขอถามพระพร สิ่งทั้งปวงที่ไม่เคยมีเบื้องต้นปรากฏมาเมื่อก่อนนั้นแหละ เรียกว่า ที่สุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ สิ่งใดไม่เคยมีแต่มีขึ้น ครั้งมีขึ้นแล้วก็หายไป อันนี้แหละ เรียกว่า ที่สุดเบื้องต้นปรากฏ "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สิ่งใดไม่เคยมีมามีขึ้น มีขึ้นแล้วหายไป ที่สุดเบื้องต้นอันขาดไปเป็น ๒ ฝ่าย ก็ได้ความแล้วไม่ใช่หรือ ? "

   " ขอถวายพระพร ถ้าที่สุดเบื้องต้นตัดออกไปเป็น ๒ ฝ่ายแล้วก็ได้ความ "

   " พระผู้เป็นเจ้าอาจให้โยมเข้าได้เป็น ๒ ฝ่ายหรือไม่ ? "

   " ขอถวายพระพร อาจให้เข้าพระทัยได้ "

   " โยมไม่ได้ถามข้อนี้ พระผู้เป็นเจ้าอาจให้โยมเข้าใจได้โดยที่สุดหรือไม่ ? "

   " อาจ ขอถวายพระพร "

   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "

   พระเถระก็ได้ยกเอาต้นไม้ขึ้นอุปมาดังที่ว่ามาแล้วนั้น

   พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า

   " พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:32:16
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความมีขึ้นแห่งสังขารที่ไม่มี      

   " ข้าแต่พระนาคเสน สังขารบางอย่างไม่มี แต่มีขึ้น มีบ้างหรือไม่ ? "
   
   " ขอถวายพระพร ไม่มี สังขารที่มีอยู่เท่านั้นมีขึ้น เช่นพระราชมณเฑียรที่มหาบพิตรประทับนั่งอยู่นี้ เมื่อก่อนไม่มี แต่มีขึ้น "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ในข้อนี้ได้ความว่าสังขารทุกอย่างที่ไม่มี แต่มีขึ้น….ไม่มี มีขึ้นเฉพาะที่มีอยู่เท่านั้น "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:32:52

อุปมาพระราชมณเฑียร   
   
   " ขอถวายพระพร ไม้ที่นำมาทำพระราชมณเฑียรนี้ ได้เกิดอยู่แล้วในป่า
     ดินเหนียวนี้ได้มีที่แผ่นดิน แต่มามีขึ้นในที่นี้ ด้วยความพยายามของสตรีและบุรุษทั้งหลาย
     เป็นอันว่า พระราชมณเฑียรนี้มีขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ฉันใด
   
    สังขารบางอย่างที่ไม่มีแล้วมีขึ้น…ไม่มี มีขึ้นเฉพาะสังขารที่มีอยู่เท่านั้นฉันนั้น "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาอีก


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:33:30
 อุปมาด้วยต้นไม้   
   
   " ขอถวายพระพร พืชเล็ก ๆ เกิดอยู่ในแผ่นดิน พืชเหล่านั้นย่อมมีใบ ดอก ผล ตามลำดับ พืชที่เกิดเป็นลำต้นเหล่านั้นไม่มีอยู่ แต่มีขึ้นหามิได้ "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เป็นอันว่าต้นไม่เหล่านั้นเป็นของมีอยู่แล้ว จึงมีขึ้นได้อย่างนั้นนะ"
   
   " ขอถวายพระพร อย่างนั้นแหละ คือสังขารบางอย่างที่ไม่เคยมี แต่มีขึ้น..เป็นอันไม่มี มีขึ้นเฉพาะแต่ที่มีอยู่เท่านั้น "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้น "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:34:23

อุปมาด้วยช่างหม้อ      

   " ขอถวายพระพร ช่างหม้อขุดเอาดินจากแผ่นดิน แล้วมาทำเป็นภาชนะต่าง ๆ
     ขึ้นภาชนะเหล่านั้นยังไม่เคยมี แต่มีขึ้น จึงว่ามีขึ้นเฉพาะของที่มีอยู่เท่านั้นฉันใด
     สังขารบางอย่างที่ไม่มี แต่มีขึ้น..เป็นอันไม่มี มีขึ้นเฉพาะแต่ที่มีอยู่เท่านั้น ฉันนั้น "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:35:08
อุปมาด้วยพิณ  

 " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า เมื่อก่อนใบพิณไม่มี หนังขึ้นพิณก็ไม่มี รางพิณก็ไม่มี คันพิณก็ไม่มี ลูกบิดก็ไม่มี สายพิณก็ไม่มี นมพิณก็ไม่มี ความพยายามอันเกิดจากการกระทำของบุรุษก็ไม่มี แต่มีเสียงขึ้นอย่างนั้นหรือ ? "
    
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
    
   " ขอถวายพระพร เพราะใบพิณมี หนังขึ้นพิณก็มี รางพิณก็มี คันพิณก็มี ที่รองพิณก็มี สายพิณก็มี นมพิณก็มี ความพยายามอันเกิดจากการกระทำของบุรุษก็มี จึงมีเสียงขึ้นอย่างนั้นหรือ ? "
    
   " อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
    
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือสังขารบางอย่างไม่มี แต่มีขึ้น…เป็นอันไม่มี มีขึ้นเฉพาะแต่ที่มีอยู่เท่านั้น "
    
   " ขอนิมนต์อุปมายิ่งขึ้นไปอีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:36:17
  อุปมาด้วยไฟ
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าแม่ไม่สีไฟไม่มี ลูกไม้สีไฟก็ไม่มี เชือกที่ผูกไม้สีไฟก็ไม่มี ไม้ที่จะหนุนขึ้นไว้ก็ไม่มี ปุ๋ยหรือฝอยในแม่ไม้สีไฟก็ไม่มี ความพยายามอันเกิดจากกการกระทำของบุรุษก็ไม่มี แต่มีไฟขึ้นอย่างนั้นหรือ ? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร เพราะเหตุที่แม่ไม้สีไฟก็มี ลูกไม้สีไปก็มี เชือกรัดแม่ไม้สีไฟก็มี ไม้สำหรับหนุนแม่ไม้สีไฟให้สูงขึ้นก็มี ปุ๋ยหรือฝอยในแม่ไม้สีไฟก็มี ความพยายามอันเกิดจากการกระทำของบุรุษก็มี ไฟนั้นจึงมีขึ้นได้อย่างนั้นหรือ ? "
   
   " อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือสังขารบางอย่างไม่มี แต่มีขึ้น…เป็นอันไม่มี มีขึ้นเฉพาะแต่ที่มีอยู่แล้วเท่านั้น"
   
   " ขอให้อุปมายิ่งขึ้นไปกว่านี้ "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:37:17
  อุปมาด้วยแก้วมณี      

   " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนแก้วมณีไม่มี แสงแดดก็ไม่มี ขี้โคแห้งก็ไม่มี แต่ไฟเกิดขึ้นได้อย่างนั้นหรือ ? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ก็เหตุที่แก้วมณีก็มีแสงแดดก็มี ขี้โคแห้งก็มี ไฟจึงมีขึ้นอย่างนั้นหรือ ? "
   
   " อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือสังขารบางอย่างที่ไม่เคยมี แต่มีขึ้น..ย่อมไม่มีมีขึ้นแต่เฉพาะที่มีอยู่แล้วเท่านั้น "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งไปกว่านี้อีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:38:40
อุปมาด้วยกระจกเงา   

   
   " ขอถวายพระพร เปรียบเช่นกับกระจกเงาไม่มี แสงสว่างก็ไม่มี หน้าคนที่จะส่องก็ไม่มีแต่มีหน้าคนเกิดขึ้นที่กระจกเงานั้นอย่างนั้นหรือ ? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร เพราะเหตุที่กระจกเงาก็มีอยู่ แสงสว่างก็มีอยู่ หน้าคนที่ส่องกระจกนั้นก็มีอยู่ เงาหน้าคนจึงปรากฏที่กระจกอย่างนั้นหรือ ? "
   
   " อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือสังขารบางอย่างที่ยังไม่เคยมี แต่มีขึ้น…ย่อมไม่มีมีขึ้นเฉพาะที่เคยมีอยู่แล้วเท่านั้น ขอถวายพระพร "
   

   " ผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว "
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:39:34
ปัญหาที่ ๖ถามเรื่องผู้ถึงเวทย์    

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน เวทคู คือผู้ถึงเวทย์มีอยู่หรือ? "
   
   พระเถระจึงย้อนถามว่า
   
   " มหาบพิตร ในข้อนี้ใครชื่อว่าเวทคู ? "
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อัพภันตรชีพ คือสิ่งที่เป็นอยู่ในภายในนี้ ย่อมเห็นรูปด้วยตาได้ยินเสียงด้วยหู สูดดมกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องสัมผัสด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ นี้แหละชื่อว่า " เวทคู "
   
   โยมจะเปรียบให้พระผู้เป็นเจ้าฟังเหมือนหนึ่งว่าเราทั้งสองนั่งอยู่ที่ปราสาทนี้ ปรารถนาจะแลดูออกไปทางช่องหน้าต่างใด ๆ ก็แลดูออกไปทางช่องหน้าต่างนั้น ๆ จะเป็นทางตะวันออก หรือทางตะวันตก ทางเหนือ ทางใต้ ก็ได้ตามประสงค์ฉันใด อัพภันตรชีพ คือสิ่งที่เป็นอยู่ในภายในร่างกายนี้ ต้องการจะดูออกไปทางทวารใด ๆ ก็ดูออกไปทางทวารนั้น ๆ แล้วก็ได้เห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู ได้สูดดมกลิ่นด้วยจมูก ได้รู้รสด้วยลิ้น ได้ถูกต้องสัมผัสด้วยกาย ได้รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ฉันนั้น "
   
   พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า
   
   " อาตมภาพจะกล่าวให้ยิ่งขึ้นไป คือเราทั้งสองนั่งอยู่ที่ปราสาทนี้ ต้องการจะแลออกไปทางช่องหน้าต่างใด ๆ จะเป็นทางตะวันออกหรือตะวันตก ทางเหนือ ทางใต้ ก็ได้เห็นรูปต่าง ๆ ฉันใด บุคคลต้องได้เห็นรูปด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อันเป็น อัพภันตรชีพ อย่างนั้นหรือ ? ต้องได้ฟังเสียงด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ? ต้องได้สูดกลิ่นด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ? ต้องได้รู้รสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ? ต้องถูกต้องสัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ ? ต้องรู้ธรรมารมณ์ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉันนั้นหรือ? "
   
   " ไม่ใช่ฉันนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร คำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของมหาบพิตร ย่อมไม่สมควรแก่กัน เหมือนอย่างว่าเราทั้งสองนั่งอยู่ที่ปราสาทนี้ เมื่อเปิดช่องหน้าต่างเหล่านี้ไว้ แล้วแลออกไปภายนอก ทางอากาศอันกว้างใหญ่ ก็ต้องเห็นรูปได้ดีฉันใดอัพภันตรชีพ นั้น เมื่อเปิดจักขุทวารหันหน้าออกไปภายนอกทางอากาศอันกว้างใหญ่ ก็เห็นรูปได้ดี เมื่อเปิดหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้แล้วหันหน้าออกไปภายนอกทางอากาศอันกว้างใหญ่ ต้องเห็นรูปได้ดีฉันนั้น อย่างนั้นหรือ ? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร คำหลังกับคำก่อนหรือคำก่อนกับคำหลังของมหาบพิตร ย่อมไม่สมควรแก่กันเหมือนอย่างว่า มียาจกเข้ามารับพระราชทานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากมหาบพิตร แล้วออกไปยืนอยู่ที่ซุ้มประตูภายนอก มหาบพิตรทรงรู้หรือไม่? "
   
   " อ๋อ…รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ผู้ที่ได้รับพระราชทานแล้วเข้าไปภายใน ยืนอยู่ตรงพระพักตร์ของมหาบพิตร พระองค์รู้หรือว่าผู้นี้เข้ามาในภายใน มายืนอยู่ข้างหน้าเรา ? "
   
   " รู้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ อัพภันตรชีพ นั้น เมื่อวางรสไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่าเป็นรสเปรี้ยว หรือรสเค็ม รสขม รสเผ็ด รสฝาด รสหวานหรือไม่ ? "
   
   " รู้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " เมื่อรสเหล่านั้นไม่เข้าไปภายใน อัพภันตรชีพ นั้น รู้หรือไม่ว่าเป็นรสเปรี้ยว รสเค็ม รสขม รสเผ็ด รสฝาด รสหวาน ? "
   
   "ไม่รู้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " นี่แหละ มหาบพิตร จึงว่าคำหลังกับคำก่อน หรือคำก่อนกับคำหลังของมหาบพิตรไม่สมควรแก่กัน ไม่สมกัน เหมือนกับมีบุรุษผู้หนึ่งให้บรรทุกน้ำผึ้งตั้ง ๑๐๐หม้อ มาเทลงในรางน้ำผึ้ง แล้วมัดปากบุรุษนั้นไว้ จึงเอาทิ้งลงไปในรางน้ำผึ้งบุรุษนั้นจะรู้จักรสน้ำผึ้งหรือไม่? "
   
   " ไม่รู้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " เพราะอะไรล่ะ มหาบพิตร ? "
   
   " เพราะน้ำผึ้ง ไม่เข้าไปในปากของเขา "
   
   " ขอถวายพระพร ด้วยเหตุนี้แหละ จึงว่าคำหลังกับคำต้น หรือคำต้นกับคำหลังของมหาบพิตร ไม่สมควรแก่กัน เข้ากันไม่ได้"
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่อาจสนทนากับพระผู้เป็นเจ้าในข้อนี้ได้แล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงข้อนี้ให้โยมเข้าใจเถิด "
   
   ลำดับนั้น พระเถระจึงแสดงให้พระเจ้ามิลินท์เข้าพระทัย ด้วยถ้อยคำอันเกี่ยวกับ อภิธรรม ว่า
   
   " ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณ ย่อมเกิดขึ้นได้ เพราะอาศัย ตา กับ รูป แล้วจึงมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ อันเกี่ยวข้องกับจักขุวิญญาณนั้น เกิดขึ้นตามปัจจัยถึง โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ก็เกิดขึ้นได้เพราะอาศัย หูกับเสียง จมูกกับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกับธรรมารมณ์แล้วจึงเกิด เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เหมือนกัน เป็นอันว่าผู้ชื่อว่า " เวทคู " ไม่มีในข้อนี้ ขอถวายพระพร"
   
   พระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ ได้ฟังชัดก็โสมนัสปรีดา มีพระราชดำรัสตรัสสรรเสริญว่า
   
   " พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้ สมควรแล้ว


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:40:23
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความเกี่ยวกับแห่ง จักขุวิญญาณกับมโนวิญญาณ 
 
   " ข้าแต่พระนาคเสน จักขุวิญญาณ เกิดในที่ใด มโนวิญญาณ ก็ตามไปเกิดในที่นั้นหรือ ? "
   
   " อย่างนั้น มหาบพิตร "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า จักขุวิญญาณเกิดก่อน มโนวิญญาณเกิดทีหลัง หรืออย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร จักขุวิญญาณเกิดก่อน มโนวิญญาณเกิดทีหลัง"
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ก็จักขุวิญญาณบังคับมโนวิญญาณไว้หรือว่า เราจักเกิดในที่ใดเจ้าจงเกิดในที่นั้น หรือมโนวิญญาณสั่งจักขุวิญญาณไว้ว่า เจ้าจักเกิดในที่ใด เราก็จักเกิดในที่นั้น อย่างนั้นหรือ ?"
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น มหาบพิตร วิญญาณทั้งสองนั้นพูดจากันไม่ได้"
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น ไฉนจึงว่าจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น "
   
   " ขอถวายพระพร ที่ว่าอย่างนั้น เพราะเป็นของลุ่ม ๑ เป็นประตู ๑ เป็นที่สะสมมา ๑ เป็นสิ่งที่เคยประพฤติมา ๑ "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:41:14
เพราะเป็นของลุ่ม   

   " ข้าแต่พระนาคเสน จักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะเป็นของลุ่ม นั้นคืออย่างไร ขอนิมนต์อุปมาด้วย? "
   
   " ขอถวายพระพร เมื่อฝนตกลงมามหาบพิตรทรงเข้าพระทัยว่า น้ำจะไปทางไหน ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ลุ่มมีอยู่ทางใดน้ำก็ต้องไปทางนั้น"
   
   " ขอถวายพระพร เมื่อฝนตกลงมาอีกน้ำจะไหลไปทางไหน ?"
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน น้ำก่อนไปทางใดน้ำใหม่ก็ต้องไปทางนั้น"
   
   " ขอถวายพระพร น้ำก่อนสั่งน้ำหลังไว้หรือว่า เราไปทางใด เจ้าจงไปทางนั้น หรือว่าน้ำหลังสั่งน้ำก่อนไว้ว่า เจ้าจักไปทางใด เราก็จักไปทางนั้น ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า น้ำทั้งสองนั้นพูดจากันไม่ได้ แต่น้ำนั้นไหลไปได้ เพราะทางนั้นเป็นทางลุ่ม เป็นทางต่ำต่างหาก"
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะที่นั้นเป็นที่ลุ่ม เป็นที่ต่ำจักขุวิญญาณไม่ได้สั่งมโนวิญญาณไว้ว่า เราเกิดในที่ใด เจ้าจงเกิดในที่นั้น มโนวิญญาณก็ไม่ได้สั่งจักขุวิญญาณไว้เหมือนกันวิญญาณทั้งสองนั้นไม่มีการพูดจากันแต่ว่าเกิดในที่นั้นในสิ่งนั้น เพราะที่นั้นสิ่งนั้นเป็นเหมือนที่ลุ่มที่ต่ำฉะนั้น"


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:42:01
เพราะเป็นประตู   

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่าจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะเป็นประตู นั้นอย่างไร ขอได้โปรดอุปมาด้วย ? "
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าหัวเมืองชายแดนของพระราชา มีป้อมค่ายประตูหอรบแน่นหนาแข็งแรง แต่มีประตูเข้าออกเพียงประตูเดียว มีผู้อยากจะออกไปจากพระนครนั้น จะออกไปทางไหน ? "
   
   " ออกไปทางประตูซิ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ยังมีบุรุษอีกคนหนึ่งอยากจะออกไป เขาจะออกไปทางไหน? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุรุษคนก่อนออกไปทางประตูใด บุรุษคนหลังก็ต้องออกไปทางประตูนั้นแหละ"
   
   " ขอถวายพระพร บุรุษคนก่อนสั่งบุรุษคนหลังไว้หรือว่า เราออกทางประตูใด เจ้าจงออกทางประตูนั้น หรือบุรุษคนหลังสั่งบุรุษคนก่อนไว้ว่า เจ้าออกทางประตูใด เราก็จักออกทางประตูนั้น ? "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน บุรุษทั้งสองนั้นไม่ได้บอกกันไว้เลย แต่เขาออกไปทางเดียวกัน เพราะทางนั้นเป็นประตู "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร จักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะที่นั้นเป็นประตู ไม่ใช่จักขุวิญญาณสั่งที่มโนวิญญาณไว้ หรือมโนวิญญาณสั่งจักขุวิญญาณไว้ ทั้งสองนั้นไม่มีการพูดจากัน แต่เกิดขึ้นในที่แห่งเดียวกัน เพราะที่นั้นเป็นประตู"
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:42:48
เพราะเป็นที่สะสมมา   

   " ข้าแต่พระเป็นเจ้า ข้อว่าจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะเป็นที่สะสมมา นั้นคืออย่างไรขออุปมาให้แจ้งด้วย ? "
   
   " ขอถวายพระพร เกวียนเล่มแรกไปก่อนแล้ว มหาบพิตรจะเข้าพระทัยว่า เกวียนเล่มที่ ๒ จะไปทางไหน ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เกวียนเล่มแรกไปทางใด เกวียนเล่มหลังก็ต้องไปทางนั้น"
   
   " ขอถวายพระพร เกวียนเล่มก่อนสั่งเกวียนเล่มหลังไว้หรือว่า เราไปทางใดเจ้าจงไปทางนั้น หรือว่าเกวียนเล่มหลังสั่งเกวียนเล่มก่อนไว้ว่า เจ้าจักไปทางใด เราก็จักไปทางนั้น ? "
   
   " ไม่ได้สั่งไว้เลย ผู้เป็นเจ้า เพราะเกวียนทั้งสองนั้นไม่มีการพูดกัน แต่ไปทางเดียวกันเพราะทางนั้นเป็นทางที่สะสมมาแล้ว "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร จักขุวิญญาณกับมโนวิญญาณไม่ได้สั่งกันไว้เลยแต่เกิดในที่แห่งเดียวกันเพราะเป็นที่สะสมมาแล้ว"


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:43:36
เพราะเป็นสิ่งที่เคยประพฤติมา   

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อว่าจักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น เพราะเป็นสิ่งที่เคยประพฤติมา นั้นคืออย่างไร ขอจงอุปมาให้ทราบด้วย? "
   
   " ขอถวายพระพร ผู้ที่เริ่มเรียนศิลปะในการนับด้วยนิ้วมือ หรือนับตามลำดับ หรือขีดเป็นรอยขีด หรือหัดยิงธนู ทีแรกก็ช้าก่อนต่อมาภายหลังก็ไวขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เคยประพฤติแล้ว คือได้กระทำมาเสมอฉันใด จักขุวิญญาณเกิดในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดในที่นั้น จักขุวิญญาณไม่ได้สั่งมโนวิญญาณไว้เลยว่า เราเกิดในที่ใด เจ้าจงเกิดในที่นั้น มโนวิญญาณก็ไม่ได้สั่งจักขุวิญญาณไว้เลยว่า เจ้าจะเกิดในที่ใด เราก็จะเกิดในที่นั้นเพราะเป็นสิ่งที่เคยประพฤติมาแล้ว ฉันนั้น "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า วิญญาณทั้งสองนั้นไม่มีการพูดจากันเลย แต่เกิดในที่แห่งเดียวกันเพราะได้เคยประพฤติมา ถึง โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ก็เหมือนกัน อย่างนั้นหรือ ? "
   
   " อย่างนั้น มหาบพิตร เป็นอันเหมือนกันหมด "
   
   " พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:44:12
ปัญหาที่ ๘ ถามลักษณะผัสสะ   

   " ข้าแต่พระนาคเสน จักขุวิญญาณ เกิดในที่ใด เวทนา ก็เกิดในที่นั้นหรือ ? "
   
   " อย่างนั้น มหาบพิตร คือ จักขุวิญญาณ เกิดในที่ใด เวทนา ก็เกิดในที่นั้น ถึง สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ วิตก วิจาร ก็เกิดใน ในที่นั้น ธรรมทั้งหลายมี ผัสสะ เป็นต้น ก็เกิดในที่นั้น ขอถวายพระพร "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผัสสะ มีลักษณะอย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ผัสสะ มีการ กระทบกัน เป็นลักษณะ"
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับแพะ ๒ ตัวชนกันอยู่ จักขุ เหมือนกับแพะตัวหนึ่ง รูป เหมือนกับแพะอีกตัวหนึ่ง ผัสสะ เหมือนกับการชนกันแห่งแพะทั้งสอง "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งไป "
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า มือทั้งสองที่ตบกัน จักขุ เหมือนมือข้างหนึ่ง รูป เหมือนมืออีกข้างหนึ่ง ผัสสะ เหมือนการกระทบกันแห่งมือทั้งสอง "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "
   
   " ขอถวายพระพร เปรียบประดุจบุรุษเป่าปี่ ๒ เลาขึ้นพร้อมกัน จักขุ เหมือนปี่เลาหนึ่ง รูป เหมือนปี่อีกเลาหนึ่ง ผัสสะ เหมือนการรวมกันแห่งเสียงปี่ทั้งสองเลานั้น "
   
   " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:44:55
ปัญหาที่ ๙ ถามถึงลักษณะเวทนา   

   " ข้าแต่พระนาคเสน เวทนา มีลักษณะอย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร เวทนา มีการ ทำให้รู้สึก เป็นลักษณะ อีกอย่างหนึ่ง มีการ เสวย เป็นลักษณะ "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่ามีบุรุษผู้หนึ่ง ทำความดีความชอบต่อพระราชา เมื่อพระราชาทรงพอพระทัยแล้ว ก็ทรงพระราชทานทรัพย์ ยศ บริวาร ให้แก่บุรุษนั้น บุรุษนั้น ก็เพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ แล้ว เขาก็คิดว่าเราได้ทำความดีต่อพระราชาไว้แล้ว เราจึงได้เสวยความสุขอย่างนี้ อีกนัยหนึ่ง เหมือนกับบุรุษคนหนึ่งทำบุญกุศลไว้แล้ว ได้ขึ้นไปบังเกิดในสวรรค์ เขาก็มีความสุขด้วยทิพย์สมบัติ แล้วเขาก็นึกได้ว่า เพราะเราได้ทำบุญกุศลไว้ในกาลก่อน เราจึงได้เสวยความสุขอย่างนี้ อย่างนี้แหละ มหาบพิตร เรียกว่า เวทนท มีการ ทำให้รู้สึก เป็นลักษณะ หรือมีการ เสวย เป็นลักษณะ "
   
   " พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาสมควรแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:45:31

  ปัญหาที่ ๑๐ ถามลักษณะสัญญา   
     
   " ข้าแต่พระนาคเสน สัญญา มีลักษณะอย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร สัญญา มีการ จำ เป็นลักษณะ "
   
   " จำอะไร ? "
   
   " จำสีเขียว สีแดง สีขาว ขอถวายพระพร "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างเจ้าพนักงานคลังของพระราชา ได้เข้าไปที่คลังแล้ว เห็นเครื่องใช้ต่าง ๆ ของพระราชา อันมีสีสันต่าง ๆ กัน คือ สีเขียวก็มี เหลืองก็มี แดงก็มี ขาวก็มี เลื่อมก็มี ก็จำไว้ได้เป็นอย่าง ๆ ไปฉันใด สัญญา ก็มีการ จำ เป็นลักษณะฉันนั้น"
   
   " ถูกแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:46:13
 ปัญหาที่ ๑๑ ถามลักษณะเจตนา      

   " ข้าแต่พระนาคเสน เจตนา มีลักษณะอย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร เจตนา มีความ จงใจ เป็นลักษณะ อีกอย่างหนึ่งว่า เจตนา มีการ ประชุมแห่งการตกแต่ง เป็นลักษณะ "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าบุรุษผู้หนึ่งตกแต่งยาพิษขึ้นแล้ว ก็ดื่มเองด้วยให้ผู้อื่นดื่มด้วย เขาก็เป็นทุกข์ ผู้อื่นก็เป็นทุกข์ฉันใด บางคนจงใจทำความชั่วแล้วก็ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พวกใดทำตามบุรุษนั้น พวกนั้นก็ไปเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เหมือนกันฉันนั้น อีกประการหนึ่ง บุรุษผู้นั้นตกแต่งเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ให้มีรสอันเดียวกัน แล้วก็ดื่มเองบ้าง ให้ผู้อื่นดื่มบ้างเขาก็เป็นสุข ผู้อื่นก็เป็นสุขฉันใด บางคนจงใจทำความดีแล้วได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์ พวกใดทำตามบุรุษนั้น พวกนั้นก็ได้ขึ้นไปเกิดในสวรรค์เหมือนกันฉันนั้น อย่างนี้แหละ มหาบพิตร เรียกว่า เจตนา มีการ จงใจ เป็นลักษณะ อีกอย่างหนึ่งว่า มีการ ปรุงแต่ง เป็นลักษณะ"
   
   " พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:47:19
ปัญหาที่ ๑๒ ถามลักษณะวิญญาณ
     
   " ข้าแต่พระนาคเสน วิญญาณ มีลักษณะอย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร วิญญาณ มีการ รู้ เป็นลักษณะ "
   
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เปรียบประดุจบุรุษผู้รักษาพระนคร นั่งอยู่ที่ถนน ๔ แพร่งกลางพระนคร ต้องได้เห็นบุรุษผู้มาจากทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ฉันใด บุคคลเห็นรูป หรือฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส นึกถึงสิ่งใดด้วยใจ ก็รู้จักสิ่งนั้นได้ด้วย วิญญาณ ฉันนั้น วิญญาณมีการ รู้ เป็นลักษณะอย่างนี้แหละ มหาบพิตร "
   
   " ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:47:57
ปัญหาที่ ๑๓ ถามลักษณะวิตก   

   
   " ข้าแต่พระนาคเสน วิตก มีลักษณะอย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร วิตก มีการ ประกบแน่น เป็นลักษณะ"
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร ช่างไม่ย่อมเข้าไม้ในที่ต่อ แล้วโบกด้วยปูนหรือทาด้วยสีให้สนิทฉันใด วิตก ก็มีการประกบแน่น มีการแนบแน่นเป็นลักษณะฉันนั้น"
   
   " ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:48:38
ปัญหาที่ ๑๔ ถามลักษณะวิจาร    

   " ข้าแต่พระนาคเสน วิจาร มีลักษณะอย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร วิจาร มีการ ลูบคลำไปตามวิตก เป็นลักษณะ"
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่ากังสดาลอันบุคคลเคาะด้วยสันดาบ ก็มีเสียงดังเป็นกังวานต่อ ๆ กันไปฉันใด วิตก ก็เหมือนกับการเคาะฉันนั้น ส่วน วิจาร เหมือนกับเสียวดังครวญครางไป "
   
   " สมควรแล้ว พระนาคเสน "
   
   จบวรรคที่ ๓


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:49:37
มิลินทปัญหา วรรคที่ ๔   

   ปัญหาที่ ๑ ถามลักษณะมนสิการ
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน มนสิการ มีลักษณะอย่างไร ? "
   
   พระเถระตอบว่า
   
   " ขอถวายพระพร มนสิการ มีการ นึก เป็นลักษณะ "
   
   " ถูกแล้ว พระนาคเสน


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:50:20
ปัญหาที่ ๒ ถามลักษณะสิ่งที่มีภาวะอย่างเดียวกัน   

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าอาจแยกธรรมที่รวมเป็นอันเดียวกันเหล่านี้ ให้รู้ว่าต่างกันว่า อันนี้เป็น ผัสสะ อันนี้เป็น เวทนา อันนี้เป็น สัญญา อันนี้เป็น เจตนา อันนี้เป็น วิตก อันนี้เป็น วิจาร ได้หรือไม่?"
   
   " ไม่อาจ ขอถวายพระพร "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนพ่อครัวของพระราชา เมื่อจะตกแต่งเครื่องเสวยก็ใส่เครื่องปรุงต่างๆ คือ นมส้ม เกลือ ขิง ผักชี พริก และสิ่งอื่น ๆ ลงไป ถ้าพระราชาตรัสสั่งว่า
   
   " เจ้าจงแยกเอารสนมส้มมาให้เรา จงแยกเอารสเกลือ รสขิง รสหวา รสเปรี้ยว มาให้เราทีละอย่าง ๆ "
   
   พ่อครัวนั้นอาจแยกเอารสที่รวมกันอยู่เหล่านั้นมาถวายพระราชาว่า นี้เป็นรสเปรี้ยว นี้เป็นรสเค็ม นี้เป็นรสขม นี้เป็นรสเผ็ด นี้เป็นรสฝาด ได้หรือไม่ ? "
   
   " ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ก็แต่ว่าเขาอาจรู้ได้ตามลักษณะของรสแต่ละรส"
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อ ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา วิญญาณ วิตก วิจาร รวมกันเข้าแล้ว อาตมภาพก็ไม่อาจแยกออกให้รู้ได้แต่ละอย่าง ก็แต่ว่าอาจให้เข้าใจได้ตามลักษณะแห่งธรรมเป็นอย่าง ๆ "
   
   " ขอถวายพระพร เกลือ เป็นของจะต้องรู้ด้วย ตา ใช่ไหม? "
   
   " ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอมหาบพิตรจงจำคำนี้ไว้ให้ดีนะ "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น เกลือ เป็นของรู้ด้วย ลิ้น อย่างนั้นหรือ ? "
   
   " อย่างนั้น มหาบพิตร "
   
   " ถ้าบุคคลรู้จักเกลือทั้งหมดด้วยลิ้นเหตุไฉนจึงบรรทุกเกลือมาด้วยเกวียน ควรบรรทุกมาเฉพาะความเค็มเท่านั้นไม่ใช่หรือ ? "
   
   " ไม่อาจบรรทุกมาแต่ความเค็มเท่านั้นได้ เพราะว่าของเหล่านี้เป็นของรวมกัน ส่วนความเค็มบุคคลอาจชั่งได้ด้วยตาชั่งหรือไม่มหาบพิตร? "
   
   " อาจชั่งได้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " มหาบพิตร จงจำคำนี้ไว้ให้ดีว่า บุคคลอาจชั่งความเค็มได้ด้วยตาชั่ง"
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าว่าบุคคลไม่อาจชั่งความเค็มได้ด้วยตาชั่งอย่างนั้นหรือ? "
   
   " อย่างนั้น มหาบพิตร "
   
   " ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:50:58
ปัญหาที่ ๓ ถามการเกิดแห่งอายตนะ ๕      

   " ข้าแต่พระนาคเสน อายตนะ ๕ ( ตา หู จมูก ลิ้น กาย ) เกิดด้วยกรรมต่าง ๆ กันหรือเกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกัน ? "
   
   " ขอถวายพระพร อายตนะ ๕ นั้น เกิดด้วยกรรมต่าง ๆ กัน ที่เกิดด้วยกรรมอันเดียวกันไม่มี "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร พืชต่าง ๆ ๕ ชนิดที่บุคคลหว่านลงไปในนาแห่งเดียวกัน ผลแห่งพืช ๕ ชนิดนั้น ก็เกิดต่าง ๆ กันฉันใด อายตนะ ๕ เหล่านี้ ก็เกิดด้วยกรรมต่างกันฉันนั้น ที่เกิดด้วยกรรมอย่างเดียวกันไม่มี "
   
   " พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:51:44
ปัญหาที่ ๔ ถามเหตุต่าง ๆ กันแห่งกรรม  
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน เพราะเหตุใด มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่เสมอกัน คือมนุษย์ทั้งหลายมีอายุน้อยก็มี มีอายุยืนยาวก็มี อาพาธมากก็มี อาพาธน้อยก็มี ผิวพรรณวรรณะไม่ดีก็มี ผิวพรรณวรรณะดีก็มี มีศักดิ์น้อยก็มี มีศักดิ์ใหญ่ก็มี มีโภคทรัพย์น้อยก็มี มีโภคทรัพย์มากก็มี มีตระกูลต่ำก็มี มีตระกูลสูงก็มี ไม่มีปัญญาก็มี มีปัญญาก็มี ? "
   
   พระเถระจึงย้อนถามว่า
   
   " ขอถวายพระพร เหตุใดต้นไม้ทั้งหลายจึงไม่เสมอกันสิ้น ต้นที่มีรสเปรี้ยวก็มี มีรสขมก็มี มีรสเผ็ดก็มี มีรสฝาดก็มี มีรสหวานก็มี ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะความต่างกันแห่งพืช "
   
   " ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละคือมนุษย์ทั้งหลายไม่เสมอกันหมด เพราะกรรมต่างกัน ข้อนี้สมด้วยพระพุทธฎีกาของสมเด็จพระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า
   
   " สัตว์ทั้งหลายมีกรรมต่างกัน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมทำให้เกิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นที่อาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวดีต่างกัน "
   
   ดังนี้ ขอถวายพระพร "
   
   " พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:52:27
ปัญหาที่ ๕ ถามถึงสาเหตุที่ควรให้รีบทำเสียก่อน
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้แก่โยมว่า ทำอย่างไรทุกข์นี้จึงจะดับไปและทุกข์อื่นจึงจะไม่เกิดขึ้น ก็ควรรีบทำอย่างนั้น แต่โยมเห็นว่า ประโยชน์อะไรกับการรีบพยายามทำอย่างนั้น ต่อเมื่อถึงเวลา จึงควรทำไม่ใช่หรือ ? "
   
   พระเถระตอบว่า
   
   " ขอถวายพระพร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามก็จะไม่ทำสิ่งนั้นให้สำเร็จไปความรีบพยายามนั้นแหละ จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จไป "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:53:13
อุปมาการขุดน้ำ      

   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าใจความข้อนี้อย่างไร…คือเมื่อใดมหาบพิตรอยากเสวยน้ำ เมื่อนั้นมหาบพิตรจึงจะให้ขุดที่มีน้ำให้ขุดสระโบกขรณี ให้ขุดเหมืองน้ำว่า เราจักดื่มน้ำอย่างนั้นหรือ ? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไมสำเร็จประโยชน์ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสำเร็จประโยชน์ "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:56:13
อุปมาการไถนา      

   " ขอถวายพระพร เมื่อใดมหาบพิตรหิวเมื่อนั้นหรือ…มหาบพิตรจึงจักให้ไถนา ปลูกข้าวสาลี หว่านพืช ขนข้าวมา หรือปลูกข้าวเหนียว ด้วยรับสั่งว่า เราจักกินข้าว ? "
   
   " ทำอย่างนั้นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สำเร็จประโยชน์ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสำเร็จประโยชน์ "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:56:56
อุปมาการทำสงคราม  

   " ขอถวายพระพร เมื่อใดสงครามมาติดบ้านเมือง เมื่อนั้นหรือ…มหาบพิตรจึงจะให้ขุดคู สร้างกำแพง สร้างเขื่อน สร้างป้อม ขนเสบียงอาหารมาไว้ ให้ฝึกหัดช้าง ม้า รถ ธนู ดาบ ? "

   " ทำอย่างนั้นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อถึงเวลาแล้วความพยายามไม่สำเร็จประโยชน์ความรีบพยายามไว้ก่อนนั้นแหละ จึงจะสำเร็จประโยชน์ ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์ตรัสประทานไว้ว่า

   " บุคคลรู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์แก่ตนควรรีบทำสิ่งนั้น ผู้มีความคิด มีความรู้ มีความบากบั่น ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างพ่อค้าเกวียน คือพ่อค้าเกวียนทิ้งทางเก่า อันเป็นทางเสมอ กว้างใหญ่ดี แล้วขับเกวียนไปในทางใหม่ ที่เป็นทางไม่เสมอดี เวลาเพลาเกวียนหักแล้วก็ซบเซาฉันใด บุคคลผู้โง่เขลาหลีกออกจากธรรมะไม่ประพฤติตามธรรม จวนจะใกล้ตายก็จะต้องซบเซา เหมือนพ่อค้าเกวียนที่มีเพลาเกวียนหักไปแล้วฉะนั้น "

   ดังนี้ ขอถวายพระพร "

   " พระผู้เป็นเจ้ากล่าวสมควรแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 12:58:27
ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความร้อนแห่งไฟนรก 
 
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า ไฟนรกร้อนมากว่าไฟปกติ ก้อนหินน้อย ๆ ทิ้งลงไปในไฟปกติ ไฟเผาอยู่ตลอดวันก็ไม่ย่อยยับ ส่วนก้อนหินโตเท่าปราสาททิ้งลงไปในไฟนรก ก็ย่อยยับไปในขณะเดียวดังนี้ คำนี้โยมไม่เชื่อ ถึงคำที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกสัตว์นรกอยู่ในนรกได้ตั้งพัน ๆ ปีก็ไม่ย่อยยับไป ดังนี้ คำนี้โยมก็ไม่เชื่อ "
   
   พระเถระตอบว่า
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยอย่างไร…คือพวกนกยูง ไก่ป่า มังกร จระเข้ เต่า ย่อมกินก้อนหินแข็ง ๆ ก้อนกรวดแข็ง ๆ จริงหรือ ? "
   
   " เออ…โยมได้ยินว่าจริงนะ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ก้อนหินก้อนกรวดเหล่านั้น เข้าไปอยู่ภายในท้องของสัตว์เหล่านั้นแล้ว แหลกย่อยยับไปหรือไม่ ? "
   
   " แหลกย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ก็สัตว์ที่อยู่ในท้องของสัตว์เหล่านั้น แหลกย่อยยับไปไหน ? "
   
   " ไม่แหลกย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " เพราะอะไร มหาบพิตร ? "
   
   " โยมเข้าใจว่า เพราะกรรมคุ้มครองไว้ "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกสัตว์นรกถึงจะถูกไฟไหม้อยู่ในนรกตั้งหลายพันปีก็ไม่ย่อยยับไป เพราะกรรมคุ้มครองไว้ พวกสัตว์นรกเหล่านั้น เกิดอยู่ในนรก เจริญอยู่ในนรก ตายอยู่ในนรก "
   
   ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ว่า
   
   " บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นตราบใด สัตว์นรกก็ยังไม่ตายตราบนั้น "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 13:00:03
อุปมาด้วยราชสีห์     

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลืองตัวเมีย ย่อมเคี้ยวกินของแข็ง ๆ เคี้ยวกินกระดูก เคี้ยวกินเนื้อมีอยู่หรือ ? "
   
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร กระดูกที่เข้าไปอยู่ในท้องของสัตว์เหล่านั้นแหลกย่อยไปไหม ? "
   
   " แหลกย่อยไป พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ลูกในท้องสัตว์เหล่านั้นแหลกย่อยยับไปไหม ? "
   
   " ไม่แหลก พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " เพราะอะไร มหาบพิตร ? "
   
   " โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะกรรมรักษาไว้แต่ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 13:01:00
อุปมาด้วยนกหัวขวาน    

   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือ นกหัวขวาน นกยูง ย่อมเคี้ยวกินไม้อันแข็งมีอยู่หรือ ? "
   
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ไม้อันแข็งเหล่านั้น เข้าไปอยู่ในท้องของนกหัวขวาน นกยูงเหล่านั้นแล้ว ย่อยยับไปหรือไม่ ? "
   
   " ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ลูกนกหัวขวานที่อยู่ในท้อง ย่อยยับไปหรือไม่ ? "
   
   " ไม่ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " เพราะอะไร มหาบพิตร ? "
   
   " โยมเข้าใจ เพราะกรรมรักษาไว้ ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 13:01:42
อุปมาด้วยสตรี      

   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร…คือ นางโยนก นางกษัตริย์ นางพราหมณ์ นางคฤหบดี ที่มีความสุขมาแต่กำเนิด ได้เคี้ยวกินของแข็ง ขนม ผลไม้ เนื้อ ปลาต่าง ๆ หรือไม่ ? "
   
   " เคี้ยวกิน พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ของเหล่านั้นตกเข้าไปอยู่ในท้องของหญิงเหล่านั้นแล้ว ย่อยยับไปหรือไม่ ? "
   
   " ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ก็ลูกในท้องของหญิงเหล่านั้น ย่อยยับไปหรือไม่ ? "
   
   " ไม่ย่อยยับไป พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " เพราะอะไร มหาบพิตร ? "
   
   " โยมเข้าใจว่า เป็นเพราะกรรมคุ้มครองไว้ "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพวกสัตว์นรกถึงจะถูกไฟไหม้ในนรกตั้งหลายพันปี ก็ไม่ย่อยยับไป สัตว์นรกเหล่านั้น เกิดอยู่ในนรก เจริญอยู่ในนรก ตายอยู่ในนรก ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ว่า "
   
   " บาปกรรมที่เขาทำไว้ยังไม่สิ้นตราบใดเขาก็ยังไม่ตายตราบนั้น "
   
   " สมควรแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 13:02:19
ปัญหาที่ ๗ ถามถึงเรื่องเครื่องรองแผ่นดิน   

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า แผ่นดินใหญ่นี้ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้งอยู่บนอากาศ ดังนี้ คำนี้โยมไม่เชื่อ "
   
   พระเถระเมื่อจะวิสัชนาแก้ไข จึงได้เอาธัมกรก คือกระบอกกรองน้ำตักน้ำขึ้นมาแล้วก็เอามือปิดปากธัมกรกไว้ เพื่อมิให้น้ำไหลลงไปได้ ถือไว้ให้พระเจ้ามิลินท์ทอดพระเนตรแล้ว พร้อมกับถวายพระพรว่า
   
   " มหาบพิตรจงทรงสังเกตดูธัมกรกนี้เถิดลมทรงไว้ซึ่งน้ำในกระบอกนี้ฉันใด ถึงน้ำที่รองแผ่นดิน ลมก็รับไว้ฉันนั้น "
   
   " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 13:03:00

   ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเรื่องนิโรธนิพพาน  

   " ข้าแต่พระนาคเสน นิโรธ คือ นิพพาน หรือ ? "   
   " ถูกแล้ว มหาบพิตร "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อย่างไรจึงว่านิโรธคือนิพพาน ? "
   
   " ขอถวายพระพร อันว่าพาลปุถุชนทั้งหลาย ย่อมเพลิดเพลิดยินดีใน อายตนะภายในภายนอก 
     จึงถูกกระแสตัณหาพัดไป จึงไม่พ้นจากการเกิด แก่ ตาย โศกร่ำไร ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ
     และคับแค้นใจ ส่วนอริยสาวกผู้ได้สดับคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมไม่เพลิดเพลินยินดี
     ในอายตนะภายในภายนอก

     เมื่อไม่เพลิดเพลินยินดี ตัณหาก็ดับไป เมื่อตัณหาดับ อุปทานก็ดับ เมื่ออุปทานดับ ภพก็ดับ
     เมื่อภพดับ ชาติก็ดับ เมื่อชาติ คือ การเกิดดับ ความโศก ความร่ำไร ความไม่สบายกาย
     ไม่สบายใจ และความคบแค้นใจก็ดับ เป็นอันว่า ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการ
     อย่างนี้ อย่างนี้แหละมหาบพิตร จึงว่า นิโรธ คือ นิพพาน "
   
   " ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า  


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 13:03:48

ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องการได้นิพพาน 

   " ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลทั้งหลายได้นิพพานเหมือนกันหมดหรือ ? "
   
   " ขอถวายพระพร ไม่ได้นิพพานเหมือนกันหมด "
   
   " เหตุไฉนจึงไม่ได้ ? "
   
   " ขอถวายพระพร ผู้ใดปฏิบัติดี รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ รอบรู้ธรรมที่ควรรอบรู้
     ละธรรมที่ควรละ
     อบรมธรรมที่ควรอบรมกระทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ผู้นั้นก็ได้นิพพาน "
   
   " ถูกต้อง พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 13:05:02

  ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องรู้จักความสุขในนิพพาน 
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานรู้หรือไม่ว่านิพพานเป็นสุข  "   
   " ขอถวายพระพร…รู้ คือผู้ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข "

   " ขอถวายพระพร…รู้ คือผู้ยังไม่ได้นิพพาน ก็รู้ว่านิพพานเป็นสุข "   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่ยังไม่ได้นิพพานทำไมจึงรู้ว่านิพพานเป็นสุข

   " ขอถวายพระพร พวกใดไม่ถูกตัดมือ ตัดเท้า พวกนั้นรู้หรือไม่ว่า การตัดมือตัดเท้าเป็นทุกข์  "   
   " อ๋อ..รู้ซิ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " เหตุไฉนจึงรู้ล่ะ  "   
   " รู้ด้วยเขาได้ยินเสียงผู้ถูกตัดมือตัดเท้าร้องไห้ครวญคราง "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกที่ยังไม่ได้นิพพาน
   ก็รู้ได้ว่านิพพานเป็นสุข เพราะได้ยินเสียงพวกได้นิพพาน "
   
   " ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
   
   จบวรรคที่ ๔


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 13:05:56

มิลินทปัญหา วรรคที่ ๕ 

ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องความมีและความไม่มีแห่งพระพุทธเจ้า
   
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า     
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือ ? "
   
     พระเถระตอบว่า     
   " ไม่ได้เห็น ขอถวายพระพร "
   
   " ถ้าอย่างนั้น อาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าได้เห็นหรือ ? "   
   " ขอถวายพระพร อาจารย์ก็ไม่ได้เห็น "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่มี "   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เห็นโอหานที คือสะดือทะเลหรือไม่ ? "
   
   " ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า "   
   " ถ้าอย่างนั้น พระราชบิดาของพระองค์ได้เห็นหรือไม่ ? "
   
   " ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า "   
   " ถ้าอย่างนั้นสะดือทะเลก็ไม่มี "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถึงโยมและพระราชบิดาของโยม ไม่ได้เห็นสะดือทะเล
     ก็จริงแหล่ แต่ทว่าสะดือทะเลมีอยู่เป็นแน่ "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงอาตมาและอาจารย์ของอาตมา ไม่ได้เห็น
     พระพุทธเจ้าก็จริง แต่พระพุทธเจ้ามีอยู่แน่ ขอถวายพระพร "
   
   " พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 17:18:13
สาธุ อนุโมทนาบุญ

(http://pitbullzone.com/community/uploads/2010/08/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B8.jpg)


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 02 พฤศจิกายน 2553 17:31:41
ขอบคุณครับ อ.ป้าแป๋ม / อ.ขม


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 20:53:17

ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องความยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธเจ้า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่าหรือ ? "
   
   " ขอถวายพระพร จริง "
   
   " พระผู้เป็นเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า พระพุทธเจ้าไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เพราะพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เห็น ?"
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...คือพวกที่ไม่ได้เห็นมหาสมุทร รู้หรือไม่ว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่ มีน้ำลึกประมาณไม่ได้ หยั่งถึงพื้นได้ยาก เป็นที่ไหลไปรวมอยู่แห่งแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ ความพร่องหรือความเต็มแห่งมหาสมุทรนั้นไม่ปรากฏ แม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ ก็ไหลไปสู่มหาสมุทรเนือง ๆ ? "
   
   " รู้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คืออาตมภาพได้เห็นพระสาวกทั้งหลายผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้สำเร็จนิพพานมีอยู่ จึงรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เยี่ยมไม่มีใครเทียมถึง "
   
   " พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว "
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 20:55:48

 ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องการรู้ความยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าอาจรู้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้เยี่ยมไม่มีใครยิ่งกว่า ? "
   
   " อาจรู้ ขอถวายพระพร "
   
   " อาจรู้ได้อย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร เมื่อก่อนมีอาจารย์เลของค์หนึ่ง ชื่อว่า พระติสสเถระ มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่หลายปี แต่ถึงมรณภาพไปแล้วอาจารย์เลของค์นั้น ทำไมชื่อจึงยังปรากฏอยู่ ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อาจารย์เลของค์นั้นยังปรากฏอยู่ เป็นด้วยเลขที่ท่านบอกไว้ "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นก็ได้เห็นพระพุทธเจ้าเพราะธรรมเป็นของที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ "
   
   " สมควรแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
   
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:00:08

 ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องการเห็นธรรม 
 
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นธรรมะแล้วหรือ ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมะอันพระพุทธเจ้าทรงแนะนำสั่งสอนสาวก อันพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว พระสาวกควรปฏิบัติตามจนตลอดชีวิต "
   
   " แก้ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:03:34


ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไม่ก้าวย่างไปแห่งผู้จะเกิด   
 
   " ข้าแต่พระนาคเสนผู้ประเสริฐ ผู้ที่จะไปเกิดใหม่นั้น ไม่ได้ก้าวย่างไปด้วย แต่ถือกำเนิดได้ด้วยอย่างนั้นหรือ ? "
   
   " อย่างนั้น มหาบพิตร"
   
   " ถ้าอย่างนั้นขอนิมนต์อุปมา "
   
   " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนว่าบุรุษผู้หนึ่งเอาประทีปมาต่อประทีป ประทีปจะก้าวไปจากประทีปเก่าหรือไม่ ? "
   
   " ไม่ก้าวไป พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาอีก "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรคงจำได้ว่าในเวลาที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ มีพระชันษาได้ ๑๐ ได้รับวิชาเลขและวิชกการต่าง ๆ ในสำนักอาจารย์หรือ ? "
   
   " ได้รับ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร วิชาเลขและศิลปะต่าง ๆ นั้น ก้าวย่างไปจากอาจารย์หรือไม่ ? "
   
   " ไม่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้ที่จะไปเกิดใหม่นั้น ไม่ได้ก้าวย่างไปเลย แต่ถือกำเนิดได้ "
   
   " ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:06:26

ปัญหาที่ ๖ ถามถึงผู้สำเร็จเวทย์  
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลผู้ถึงเวทย์มีอยู่หรือไม่ ? "
   
   " ขอถวายพระพร เมื่อว่าตามปรมัตถ์แล้ว...ไม่มี "
   
   " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:09:31

  ปัญหาที่ ๗ ถามถึงการก้าวไปแห่งสภาพ    
 
   " ข้าแต่พระนาคเสน สภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ก้าวไปจากกายนี้สู่กายอื่นมีอยู่หรือ ? "
   
   " ขอถวายพระพร ไม่มีเลย "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าสภาพอย่างใดอย่างหนึ่ง ก้าวจากกายนี้ไปสู่กายอื่นไม่มีบุคคลก็จะพ้นจากบาปกรรมทั้งหลายมิใช่หรือ "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้าเขาไม่เกิดอีก ก็จะพ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย แต่เพราะเขายังเกิดอยู่ เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรมทั้งหลาย "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เปรียบเช่นเดียวกับบุรุษคนหนึ่ง ขโมยมะม่วงที่ผู้อื่นปลูกไว้ เขาควรจักต้องได้รับโทษหรือไม่ ? "
   
   " ควรได้รับโทษ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร มะม่วงที่บุรุษนั้นขโมยไป ไม่ใช่มะม่วงลูกที่บุรุษนั้นปลูกไว้เหตุใดผู้ขโมยจึงควรได้รับโทษ "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มะม่วงเหล่านั้นอาศัยมะม่วงลูกที่บุรุษนั้นปลูกไว้ จึงเกิดเป็นลำดับขึ้น เพราะฉะนั้น ผู้ขโมยจึงควรได้รับโทษ "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลย่อมทำกรรมดีหรือชั่วไว้ด้วย นามรูปนี้ แล้ว นามรูปอื่น ก็เกิดขึ้นด้วยกรรมนั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่พ้นจากบาปกรรม "
   
   " แก้ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:11:45

ปัญหาที่ ๘ ถามถึงที่อยู่แห่งผลกรรม   

   " ข้าแต่พระนาคเสน กรรมดีและกรรมชั่ว ที่บุคคลทำด้วยนามรูปนี้ไปอยู่ที่ไหน ? "
   
   " ขอถวายพระพร ติดตามผู้ทำไปเหมือนกับเงาตามตัว "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้หรือไม่ว่า กรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ? "
   
   " ขอถวายพระพร ไม่อาจชี้ได้ "
   
   " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ยังไม่มีผล มหาบพิตรอาจชี้ได้หรือไม่ว่าผลอยู่ที่ไหน ? "
   
   " ไม่อาจชี้ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อการสืบต่อยังไม่ขาด ก็ไม่อาจชี้กรรมเหล่านั้นได้ว่ากรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหน "
   
   พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
   
   " ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:13:22

 ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความรู้สึกของผู้จะเกิดอีก
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดจะเกิด ผู้นั้นรู้หรือว่า เราจะเกิด ? "
   
   " ขอถวายพระพรรู้ "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างชาวนาหว่านพืชลงที่แผ่นดินแล้ว เมื่อฝนตกดีเขารู้หรือว่า พืชจักงอกงามขึ้น ? "
   
   " รู้พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ใดจะเกิด ผู้นั้นก็รู้ว่า เราจักเกิด "
   
   " ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:17:16


 ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องที่อยู่ของพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพาน   
   
    " ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้ามีจริงหรือ ? "
   
   " ขอถวายพระพร มีจริง "
   
   " พระผู้เป็นเจ้าอาจชี้ได้หรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน ? "
   
   " ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าปรินิพพานด้วยการดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เปลวไฟที่ดับไปแล้วมหาบพิตรอาจชี้ได้หรือไม่ว่า เปลวไฟนั้นไปอยู่ที่ไหน ? "
   
   " ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า เพราะเปลวไฟนั้นถึงซึ่งความไม่มีบัญญัติแล้ว "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีใครอาจชี้ได้ว่าไปอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียง พระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น "
   
   " พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนานี้สมควรแล้ว "   

   
   จบวรรคที่ ๕


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:21:25

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๖ 
 
   ปัญหาที่ ๑ ถามถึงความรักร่างกายแห่งบรรพชิต
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ร่างกายเป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลายหรือ? "
   
   พระเถระตอบว่า
   
   " ขอถวายพระพร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย"
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น ทำไมบรรพชิตจึงยังอาบน้ำชำระกาย ถือว่ากายของเราอยู่ ? "
   
   " ขอถวายพระพร ผู้เข้าสู่สงครามเคยถูกบาดเจ็บบ้างหรือไม่? "
   
   " อ๋อ...เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร แผลที่ถูกอาวุธนั้น ฉาบทาด้วยเครื่องฉาบทา ทาด้วยน้ำมัน พันด้วยผ้าเนื้อละเอียดแลหรือ ? "
   
   " ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้า ต้องทำอย่างนั้น "
   
   " ขอถวายพระพร บาดแผลนั้นเป็นที่รักของผู้นั้นหรือ? "
   
   " ไม่ได้เป็นที่รักของผู้นั้นเลย แต่ว่าเขาทำอย่างนั้น เพื่อให้เนื้อตรงนั้นงอกขึ้นเป็นปกติ "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ร่างกายไม่ได้เป็นที่รักของบรรพชิตทั้งหลาย แต่บรรพชิตทั้งหลายรักษาร่างกายนี้ไว้ เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ อันว่าร่างกายนี้เปรียบเหมือนกับแผล บรรพชิตรักษาร่างกายนี้ไว้เหมือนกับบุคคลรักษาแผล"
   
   ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระทศพลตรัสไว้ว่า
   
   " กายนี้มีทวาร ๙ เป็นแผลใหญ่ อันหนังสดปกปิดไว้ คายของโสโครกออกโดยรอบ ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น "
   
   " ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:24:30


ปัญหาที่ ๒ ถามถึงเหตุที่ไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ล่วงหน้า  
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู คือทรงรู้ทุกสิ่ง เป็นสัพพทัสสาวีคือทรงเห็นทุกอย่างจริงหรือ ? "
   
   " ขอถวายพระพร จริง "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าจริง...เหตุไฉนจึงทรงบัญญัติสิกขาบทไปตามลำดับเหตุการณ์แก่สาวกทั้งหลาย ทำไมจึงไม่ทรงบัญญัติไว้ก่อน ? "
   
   " ขอถวายพระพร แพทย์ที่รู้จักยาทั้งหมดในแผ่นดินนี้มีอยู่หรือ? "
   
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ก็แพทย์นั้นให้คนไข้กินยาแต่เมื่อยังไม่เป็นไข้ หรือเมื่อเป็นไข้แล้วจึงให้กินยา ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเป็นไข้แล้วจึงให้กินยา เมื่อยังไม่เป็นไข้ก็ยังไม่ให้กินยา "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ทุกสิ่งเห็นทุกอย่างจริง แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาก็ยังไม่บัญญัติสิกขาบท ต่อเมื่อถึงเวลาจึงบัญญัติสิกขาบทสิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นพระสาวกไม่ควรล่วงละเมิดจนตลอดชีวิต"
   
   " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
   
 
 
 
 


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:29:15

ปัญหาที่ ๓ ถามถึงลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ของพระพุทธมารดาบิดา   

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ และประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ มีสีพระกายดังทองคำ มีพระรัศมีสว่างรอบพระองค์ด้านละ ๑ วาเป็นนิจจริงหรือ? "
   
   " ขอถวายพระพร จริง "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระมาดารบิดาประกอบด้วยลักษณะมหาบุรุษ ๓๒ ประการกับประดับด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีสีพระกายดังทองคำมีพระรัศมีข้างละ๑ วาหรือไม่ ? "
   
   " ขอถวายพระพร พระมารดาบิดาไม่เป็นอย่างนั้น "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อพระมาดารบิดาไม่เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าเจ้าจะเป็นอย่างนั้นได้หรือ เพราะธรรมดาบุตรย่อมคล้ายกับมารดาหรือคล้ายกับข้างบิดา? "
   
   " ขอถวายพระพร ดอกปทุม หรือดอกอุบล ดอกโกมุท ดอกปุณฑริก มีอยู่หรือ ? "
   
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า เพราะดอกบัวเหล่านั้นเกิดอยู่ในน้ำ เกิดอยู่ในดิน แช่อยู่ในน้ำ "
   
   " ขอถวายพระพร ดอกบัวเหล่านั้นมีสี กลิ่น รส เหมือนดินกับน้ำหรือไม่? "
   
   " ไม่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ถ้าอย่างนั้น ดอกบัวเหล่านั้น มีสี กลิ่น รส เหมือนกับโคลนกับตมหรือไม่ ? "
   
   " ไม่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร "
   
   " พระผู้เป็นเจ้าเข้าใจแก้ เป็นอันแก้ถูกต้องดีแล้ว"


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:34:25

ปัญหาที่ ๔ ถามถึงความเป็นพรหมจารีของพระพุทธเจ้า  
 
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าเป็นพรหมจารี คือเป็นผู้ประพฤติเหมือนกับพรหมจริงหรือไม่? "
   
   " ขอถวายพระพร จริง "
   
   " ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็เป็นศิษย์ของพรหมน่ะซิ"
   
   " ขอถวายพระพร ช้างทรงของมหาบพิตรมีอยู่หรือ ? "
   
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ช้างทรงของมหาบพิตรนั้น มีเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียนในบางคราวหรือไม่? "
   
   " อ๋อ...บางคราวก็มีเสียงร้องเหมือนเสียงนกกระเรียน พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ถ้าอย่างนั้น ช้างของมหาบพิตรก็เป็นศิษย์ของนกกระเรียนน่ะซี"
   
   " ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าประพฤติเหมือนพรหมจริง แต่ไม่ได้เป็นศิษย์ของพรหม"
   
   " ขอถวายพระพร พรหมนั้นได้ตรัสรู้ด้วยตนเองหรือไม่"
   
   " ไม่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ถ้าอย่างนั้น พรหมก็ต้องเป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้า"
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:38:01

ปัญหาที่ ๕ ถามถึงการอุปสมบท ไม่อุปสมบท
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน การอุปสมบทดีหรือ...หรือว่าไม่อุปสมบทดี? "
   
   " ขอถวายพระพร อุปสมบทดี "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อุปสมบทของพระพุทธเจ้ามีอยู่หรือ? "
   
   " ถวายพระพร พระพุทธเจ้าเป็นผู้ได้อุปสมบทแล้ว "
   
   เมื่อพระนาคเสนกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสประกาศขึ้นว่า
   
   " ขอพวกโยนกทั้ง ๕๐๐ จงฟังถ้อยคำของเรา คือพระนาคเสนกล่าวว่า พระพุทธเจ้าได้อุปสมบทแล้ว เป็นอุปสันบัน คือเป็นผู้ที่บวชแล้ว ถ้าพระสมณโคดมเป็นอุปสัมบัน ใครเป็นอุปัชฌาย์ ใครเป็นอาจารย์ มีสงฆ์มานั่งหัตถบาสเท่าใด ? "
   
   " ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าไม่มีอุปัชฌาย์ ไม่มีอาจารย์ ได้อุปสมบทเอง ตรัสรู้เอง ที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ พระองค์ได้เป็นผู้อุปสัมบันพร้อมด้วยพระสัพพัญญุตญาณ"
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอุปัชฌาย์อาจารย์ของพระสมณโคดมไม่มี โยมก็เข้าใจว่า พระสมณโคดมเป็นอนุปสัมบัน คือผู้ที่ยังไม่ได้บวชเพราะเหตุไร...พระพุทธเจ้าจึงไม่มีอุปัชฌาย์ ไม่มีอาจารย์ ? "
   
   เมื่อพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามขึ้นอย่างนี้พระนาคเสนองค์อรหันต์ ผู้สำเร็จปฏิสัมภิทาจึงย้อมถามไปว่า
   
   " มหาบพิตร ทรงเสวยแล้วหรือ ? "
   
   " โยมกินแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ใครเป็นครูเป็นอาจารย์บอกให้เสวยล่ะ "
   
   " ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ถ้าอย่างนั้น มหาบพิตรก็เสวยไม่ได้ ? "
   
   " ได้...ไม่ใช่โยมกินไม่ได้ ถึงไม่มีครูบาอาจารย์สั่งสอน โยมก็กินได้ ด้วยเคยกินมาในวัฏสงสารนับไม่ถ้วน "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นขอให้มหาบพิตรเข้าพระทัยเถิดว่า พระพุทธเจ้าได้อุปสมบทแล้วที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ เพราะพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเต็มเปี่ยมแล้ว"
   
   พระองค์อุปสมบทเอง ไม่มีอุปัชฌาย์อาจารย์ ได้อุปสมบทพร้อมกับได้พระสัพพัญญุตญาณ เหมือนกับมหาบพิตรผู้เสวยโดยไม่ต้องมีอาจารย์ เพราะเคยเสวยมาในวัฏสงสารอันไม่ปรากฏเบื้องต้น
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:42:04


อัศจรรย์วันอุปสมบท
   
   ในเวลาที่พระพุทธองค์ได้เป็นอุปสัมบันที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ ด้วยอำนาจพระบารมีนั้น อัศจรรย์ต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นในโลก คือ คนตาบอดแต่กำเนิดก็กลับเป็นคนตาดี ๑ คนหูหนวกก็ได้ยินเสียง ๑ คนง่อยเปลี้ยก็เดินได้ ๑ คนใบ้ก็พูดได้ ๑ คนหลังค่อมก็ยืดตรงเป็นปกติได้ ๑ คนกำลังหิวข้าวก็ได้กินข้าว ๑ คนกระหายน้ำก็ได้ดื่มน้ำ ๑ ผู้ที่อาฆาตต่อกันก็นึกเมตตากัน ๑ ทุกข์ในแดนเปรตก็หายไป ๑ ยาพิษก็กลับเป็นเหมือนยาทิพย์ ๑ หญิงมีครรภ์แก่ก็คลอดได้สบาย ๑ สำเภาที่ไปต่างไปต่างประเทศก็กลับมาถึงท่าของตน ๑ กลิ่นเหม็นก็กลายเป็นกลิ่นหอม ๑ ไฟในอเวจีมหานรกก็ดับ ๑ น้ำเค็มในมหาสมุทรก็กลายเป็นน้ำหวาน ๑ ภูเขาทั้งหลายก็เปล่งเสียงสะท้าน ๑ น้ำในมหานทีทั้งหลายก็หยุดไหล ๑ ผลจันทน์ทิพย์ดอกมณฑาทิพย์ก็ตกลงมาจากสวรรค์ ๑ เทพยดานางฟ้าทั้งหลาย ก็โปรยดอกไม้ทิพย์ลงมา ๑ พรหมทั้งหลายก็ตบมือสาธุการ ๑ ขอถวายพระพร
   
   พระพุทธเจ้าผู้มีสีพระกายดังทองคำ ก็ได้อุปสมบทเองที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ อันเป็นเหมือนปราสาทแก้วจึงได้มีสิ่งอัศจรรย์ปรากฏขึ้นอย่างนี้ ด้วยอานุภาพแห่งการอุปสมบทของพระพุทธเจ้านั้น ได้บันดาลให้พระยาเขาสิเนรุราชหมุนครวญคราง เหมือนกับกงรถกงเกวียนฉะนั้น พวกเทวดาในอากาศพร้อมกับบริวารก็มีใจเบิกบานยินดี ได้โปรยดอกไม้ทิพย์ลงมาบูชา จันทรเทพบุตรก็หยุดก็หยุดมณฑลรถไว้ที่อากาศ โปรยดอกไม้แก้วลงมาบูชาไม่ขาดสายเหมือนกับนมสดที่ไหลหลั่งลงมาจากอากาศฉะนั้น การอุปสมบทของพระตถาคตเจ้าย่อมปรากฏอย่างนี้
   
   " ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาด้วย "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:44:54


อุปมาช้างพระที่นั่ง
   
   " ขอถวายพระพร เมื่อมหาบพิตรขึ้นประทับนั่งบนคอช้างพระที่นั่ง มีผู้ใดผู้หนึ่งนั่งบนคอของพระองค์บ้างหรือไม่ ? "
   
   " ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า หากใครขึ้นนั่งบนคอของโยม ผู้นั้นจะต้องหัวขาด "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่มีผู้อื่นจัดการอุปสมบทให้พระพุทธเจ้า ถ้าผู้ใดจัดการอุปสมบทให้พระพุทธเจ้า ศีรษะของผู้นั้นต้องหลุดไปจากคอทันที เมื่อกี้นี้มหาบพิตรถามอาตมาภาพว่า พระพุทธเจ้าอุปสมบทด้วยสงฆ์นั่งหัตถบาสเท่าไรอย่างนั้นหรือ? "
   
   " อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าไม่ได้อุปสมบทด้วยสงฆ์ มีแต่ มรรค กับ ผล เท่านั้นที่เป็นสงฆ์ "
   
   ข้อนี้สมกับที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
   
   " พระอริยบุคคล ๔ เหล่า คือ ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ ผล ๔ ผู้มั่นอยู่ในปัญญาและศีลเป็นสงฆ์ผู้ตรงแท้ แต่บุคคลบางเหล่าต้องอุปสมบทด้วยสงฆ์ "
   
   " น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ปัญหาอันละเอียดยิ่ง อันไม่มีส่วนเปรียบได้แล้ว ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อุปสมบทเป็นของดีหรือ ? "
   
   " ขอถวายพระพร อุปสมบทเป็นของดี "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน การอุปสมบทของพระพุทธเจ้ามีอยู่หรือไม่มี? "
   
   " ขอถวายพระพร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุปสมบทด้วยความเป็นพระสัพพัญญูที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิแล้วไม่มีผู้ให้อุปสมบทแก่พระพุทธเจ้า เหมือนกับพระพุทธเจ้าทรงให้อุปสมบทแก่สาวกเลย "
   
   " แก้ถูกต้องดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:47:11

 ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความต่างกันแห่งน้ำตา
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน บุรุษคนหนึ่งร้องไห้เพราะบิดามารดาตาย อีกคนหนึ่งน้ำตาไหลเพราะความชอบใจธรรมะ น้ำตาของคนทั้งสองนั้น น้ำตาของใครเป็นเภสัช น้ำตาของใครไม่เป็นเภสัช ? "
   
   " ขอถวายพระพร น้ำตาของคนที่ร้องไห้ด้วยราคะ โทสะ โมหะ เป็นน้ำตาร้อน ส่วนน้ำตาของผู้ฟังธรรมนั้น มีน้ำตาไหลด้วยปีติยินดีเป็นน้ำตาเย็น เป็นอันว่า น้ำตาเย็นเป็นเภสัช น้ำตาร้อนไม่เป็นเภสัช"
   
   " ถูกดีแล้ง พระนาคเสน "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:49:07

ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความต่างกันแห่งผู้เสวยรส
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ปราศจากราคะ กับ ผู้ไม่ปราศจากราคะ ต่างกันอย่างไร ?"
   
   " ขอถวายพระพร ผู้หนึ่งยังมีความยึดถือ อีกผู้หนึ่งไม่มีความยึดถือ"
   
   " ยึดถืออะไร...ไม่ยึดถืออะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร คือผู้หนึ่งยังมีความต้องการ อีกผู้หนึ่งไม่มีความต้องการ"
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ปราศจากราคะ กับ ผู้ไม่ปราศจากราคะ ก็ยังต้องการของเคี้ยวของกินที่ดีงามอยู่เหมือนกัน ไม่มีใครต้องการสิ่งที่ไม่ดีงาม โยมเห็นมีแต่ต้องการสิ่งที่ดีงามเหมือนกันหมด"
   
   " ขอถวายพระพร ผู้ปราศจากราคะ ยังรับรสอาหาร ยังกินอาหารอยู่เหมือนกันก็จริงแหล่ แต่ทว่าไม่ยินดีในรสอาหาร ส่วนผู้ไม่ปราศจากราคะ ยังยินดีในรสอาหารอยู่ ไม่ใช่ไม่ยินดีในรสอาหาร "
   
   " เข้าใจแก้ พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:52:17

ปัญหาที่ ๘ ถามที่ตั้งแห่งปัญญา
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญาอยู่ที่ไหน ? "
   
   " ขอถวายพระพร ปัญญาไม่ได้อยู่ที่ไหน "
   
   " ถ้าอย่างนั้นปัญญาก็ไม่มี "
   
   " ขอถวายพระพร ลมอยู่ที่ไหน ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่อยู่แห่งลมไม่มี "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นลมก็ไม่มี "
   
   " ฉลาดแก้ พระผู้เป็นเจ้า "
 


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 ธันวาคม 2553 21:55:23

ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องสงสาร 
 
   " ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า สงสาร ได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร สัตว์โลกเกิดในโลกนี้ก็ตายในโลกนี้ ตายจากโลกนี้แล้วก็ไปเกิดในโลกอื่น เกิดในโลกนั้นก็ตายในโลกนั้น ตายจากโลกนั้นแล้วก็เกิดในโลกอื่น การเวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้แหละ เรียกว่า สงสาร "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า บุรุษคนหนึ่งกินมะม่วงสุก แล้วปลูกเมล็ดไว้เมล็ดมะม่วงนั้น ก็เกิดเป็นต้นมะม่วงใหญ่ขึ้นจนกระทั่งมีผลมะม่วง บุรุษนั้นก็กินมะม่วงสุกจากมะม่วงต้นนั้น แล้วปลูกเมล็ดมะม่วงไว้อีก เมล็ดมะม่วงนั้นก็เกิดเป็นต้น มะม่วงใหญ่โตขึ้นจนมีผล ต้นแก่ก็ตายไป ที่สุดเบื้องต้นแห่งต้นมะม่วงเหล่านั้น ย่อมไม่ปรากฏว่ามีมาเมื่อไร ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การเวียนตายเวียนเกิดของสัตว์ทั้งหลาย ก็ไม่ปรากฏเบื้องต้นฉะนั้น "
   
   " แก้ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 20:07:58

ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงเหตุที่ให้ระลึกถึงสิ่งที่ล่วงแล้วได้
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลระลึกถึงสิ่งที่ล่วงไปนานแล้วได้ด้วยอะไร? "
   
   " ได้ด้วย สติ ขอถวายพระพร "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่ล่วงไปนานแล้วสิ่งหนึ่ง บุคคลระลึกได้ด้วย จิต ต่างหาก ไม่ใช่ระลึกได้ด้วยสติ"
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้แล้ว ระลึกไม่ได้มีอยู่หรือไม่? "
   
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ในเวลานั้นพระองค์ไม่มีจิตหรือ ? "
   
   " จิตมี แต่เวลานั้นสติไม่มี "
   
   " ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า บุคคลระลึกได้ด้วย สติ ไม่ใช่ระลึกได้ด้วย จิต "
   
   " ถูกดีแล้ว พระนาคเสน "
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 20:11:17
ปัญหาที่ ๑๑ ถาม สติเกิดขึ้นได้เอง หรือเกิดจากผู้อื่น  
 
   ข้าแต่พระนาคเสน สตินั้นเกิดขึ้นเอง หรือเกิดขึ้นต่อเมื่อมีคนเตือน
   
   ขอถวายพระพร มหาบพิตร เกิดขึ้นได้ทั้ง ๒ ทาง
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ตามความเห็น  เห็นว่า เกิดขึ้นเอง มิต้องมีคนอื่นเตือน
   
   ขอถวายพระพร มหาบพิตร ถ้าเป็นอย่างพระองค์ตรัส  ก็ไม่ต้องมีครูอาจารย์คอยตักเตือนว่ากล่าว
   แต่เพราะมิได้เป็นเช่นนั้น จึงต้องมีครูอาจารย์ คอยให้สติในเมื่อเราพลั้งเผลอ
   
   ถูกดีแล้วพระผู้เป็นเจ้า
   
   จบวรรคที่ ๖


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 20:15:01

 มิลินทปัญหา วรรคที่ ๗
   
   ปัญหาที่ ๑ ถาม สติเกิดแต่อาการเท่าไร
       
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า  สติความระลึกและความจำ เกิดแต่อาการเท่าไร
   
   ขอถวายพระพรมหาบพิตร  เกิดแต่อาการ ๑๗ อย่างคือ
   
   (๑) เกิดแต่ความรู้ยิ่ง ดังผู้รู้ประวัติการณ์ที่ล่วง มาแล้ว ความรู้นั้นย่อมระลึกถึงเหตุการณ์แต่หลังได้   
   (๒) เกิดแต่การที่ได้กระทำเครื่องหมายไว้   
   (๓) เกิดแต่การได้ขยับฐานะสูงขึ้น ซึ่งเป็นเหตุให้นึก ให้จำกิจการที่ตนได้กระทำมาแต่หลัง   
   (๔) เกิดแต่การได้รับความสุข ถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว   
   (๕) เกิดแต่การได้รับความทุกข์  นึกถึงเหตุแห่งความทุกข์นั้น ๆ
   
   (๖) เกิดแต่การได้รู้เห็นสิ่งที่คล้ายกัน เป็นเหตุให้ ระลึกอีกสิ่งหนึ่งได้   
   (๗) เกิดแต่การรู้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม   
   (๘) เกิดแต่การได้รับคำเตือน   
   (๙) เกิดแต่รู้เห็นตำหนิ หรือลักษณะ   
   (๑๐) เกิดแต่นึกขึ้นได้โดยลำพัง
   
   (๑๑) เกิดแต่การพินิจพิเคราะห์   
   (๑๒) เกิดแต่การนับจำนวนไว้   
   (๑๓) เกิดแต่การทรงจำไว้ได้ตามธรรมดา   
   (๑๔) เกิดแต่การอบรม     
   (๑๕) เกิดแต่การได้จดบันทึกไว้
   
   (๑๖) เกิดแต่การเก็บไว้   
   (๑๗) เกิดแต่การเคยพบ เคยเห็น
   
   ข้าแต่พระผู่เป็นเจ้า มี มากอย่าง


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 20:20:22

 ปัญหาที่ ๒ ถามว่า ผู้ที่ทำบาปมาตั้ง ๑๐๐ ปี ถ้าเวลาจะตาย ทำจิตให้ผ่องใสได้ก็ไปสุคคติ จะไปได้จริงหรือ
     
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า  คำที่เธอว่าผู้ที่ทำบาปกรรมเรื่อยมาแม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าเวลาจะตาย มีสติระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมนำไปเกิดในสวรรค์ ส่วนผู้ที่ทำบาปแม้แต่ครั้งเดียวก็ย่อมไปเกิดในนรกนั้น ดูไม่สมเหตุผล
   
   ขอถวายพระพรมหาบพิตร  ศิลาแม้ก้อนเล็กโดยลำพังจะลอยน้ำได้หรือไม่
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ย่อมไม่ได้
   
    ขอถวายพระพรมหาบพิตร  ก็ถ้าศิลาตั้ง ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้นจะลอยน้ำได้หรือไม่
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เป็นไปได้
   
   ขอถวายพระพรมหาบพิตร  เปรียบบุญกุศลเหมือนเรือ บาปกรรมเหมือนศิลา อันคนที่กระทำบาปอยู่เสมอจนตลอดชีวิต ถ้าเวลาจะตาย มิได้ปล่อยจิตใจให้ตามระทมถึงบาปที่ตัวทำมาแต่หลังนั้น สามารถประคองใจไว้ในแนวแห่งกุศลอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นแน่วแน่อยู่ในพุทธานุสติ  ถ้าตายลงในขณะจิตนั้น ก็เป็นอันหวังได้ว่าไปสู่สุคติ ประหนึ่งศิลา ซึ่งมีเรือทานน้ำหนักไว้ มิให้จมลงฉะนั้น ส่วนผู้ที่กระทำบาปที่สุดแต่ครั้งเดียว ถ้าเวลาใกล้จะดับจิต เพียงแต่จิตหวนไปพัวพันถึงกิริยาอาการที่ตัวกระทำบาปกรรมไว้  ก็จักเป็นหนักพอที่จะถ่วงตัวไปให้เกิดในนรก เหมือนศิลาที่เราโยนลงไปในน้ำ แม้จะก้อนเล็กก็จมเช่นเดียวกัน
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า นับเป็นเหตุผลถูกต้องแล้ว


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 20:25:09

ปัญหาที่ ๓ ถามว่า จะเพียรดับทุกข์ที่ยังไม่มาถึงจะได้หรือไม่   
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า  พระองค์ได้ฝึกฝนตน ด้วยมีประสงค์จะละทุกข์ที่ล่วงมาแล้วกระนั้นหรือ   
   ขอถวายพระพรมหาบพิตร  หามิได้
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า หรือจะละทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง   
   หามิได้มหาบพิตร
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเช่นนั้น ก็จะละทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้   
   ขอถวายพระพร มหาบพิตร จะว่าเฉพาะทุกข์ในบัดนี้ก็ไม่ใช่
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้า เพียรพยายามทำไม   
   ขอถวายพระพร อาตมภาพพยายามด้วยหวังว่า จะดับทุกข์ที่มีอยู่ และทุกข์ที่จะมีในกาลข้างหน้า
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทุกข์ที่ยังมาไม่ถึงนั้น จะพยายามไม่ให้มีขึ้นได้หรือ   
   ขอถวายพระพรมหาบพิตร ได้
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นความพยายามจะละทุกข์ที่ยังมีมาไม่ถึงก็ได้   
   ขอถวายพระพรมหาบพิตร  พระองค์เคยถูกราชศัตรูยกพลมาเพื่อจะชิงเอาพระนครบ้างหรือไม่   

   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เคยถูกอยู่บ้าง   
   ถวายพระพรมหาบพิตร ในทันทีนั้น พระองค์ตรัสสั่งให้ลงมือขุดคู สร้างป้อมปราการ และฝึกหัดทหารซ้อมเพลงอาวุธ หรือไม่   

   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ต้องมีการจัดทำเตรียมไว้ก่อน
   ถวายพระพร มหาบพิตร พระองค์มีพระประสงค์อย่างไร จึงเตรียมล่วงหน้าไว้
 
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า  เมื่อเกิดสงครามขึ้น จะได้ทำการต่อสู้ข้าศึกได้ทันท่วงที มิฉะนั้น ถึงเวลาสงครามก็จะหาโอกาสจัดทำได้ยาก ที่สุดก็จะต้องพ่ายแพ้ข้าศึก และการที่เตรียมจัดทำไว้ในเวลาปกติย่อมทำได้ดี ทั้งเป็นที่เกรงขามของข้าศึกที่ยังมีมาไม่ถึงได้ด้วย
   
   ขอถวายพระพร ข้าศึกที่ยังมีมาไม่ถึงก็มีด้วยหรือ   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มี
   
   ขอถวายพระพรมหาบพิตร เหตุผลที่พระองค์ตรัสถามเบื้องต้นก็มีเช่นนี้แล การที่อาตมภาพเพียรฝึกฝนกาย วาจา ใจ ไว้ให้อยู่ในความควบคุมของจิตที่อบรมดีแล้ว ก็เพื่อปราบทุกข์ที่มีอยู่ในบัดนี้ และเพื่อไว้ต่อสู้ หรือป้องกันทุกข์ที่ยังมาไม่ถึง เช่นเดียวกับพระองค์เหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ย่อมเป็นช่องทางที่จะให้ความทุกข์เข้ามาผจญใจได้ เมื่อกำลังใจมีไม่พอที่จะต้านทาน ก็ต้องยอมเป็นเชลยแห่งความทุกข์เรื่อยไป เป็นอันหาโอกาสที่จะทำเช่นนี้ได้อีกยาก เพราะฉะนั้น อาตมภาพจึงต้องพยายามฝึกฝนตนไว้ก่อน
   
   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่กล่าวมานี้ชอบแล้ว
 


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 20:29:57

ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความไกลแห่งพรหมโลก
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน พรหมโลกไกลจากโลกนี้สักเท่าไร ?"
   
   " ขอถวายพระพร พรหมโลกไกลจากโลกนี้มาก ถ้ามีผู้ทิ้งก้อนศิลาโตเท่าปราสาทลงมาจากพรหมโลก ก้อนศิลานั้นจะตกลงมาได้วันละ ๔๘,๐๐๐ โยชน์ ต้องตกลงมาถึง ๔ เดือน จึงจะถึงพื้นดิน "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวว่า ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ผู้มีอำนาจทางจิต หายวับจากชมพูทวีปนี้ ขึ้นไปปรากฏในพรหมโลกได้เร็วพลัน เหมือนกันกับบุรุษผู้มีกำลังคู้แขนเหยียดแขนฉะนั้นดังนี้ โยมไม่เชื่อ เพราะถึงเร็วอย่างนั้น ก็จักไปได้เพียงหลายร้อยโยชน์เท่านั้น"
   
   " ขอถวายพระพร ชาติภูมิ ของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน? "
   
   " อยู่ที่เกาะอลสัณฑะ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร เกาะอลสัณฑะไกลจากที่นี้สักเท่าไร ?"
   
   " ไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ในที่นั้น แล้วเคยนึกถึงมีอยู่หรือ ? "
   
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรนึกไปถึงทีไกลประมาณ ๒๐๐ โยชน์ ได้โดยเร็วพลันไม่ใช่หรือ ? "
   
   " ถูกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 20:33:39

*   ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความไปเกิดในพรหมโลกและเมืองกัสมิระ

   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้ามีคน ๒ คนตายจากที่นี้แล้วไปเกิดในที่ต่างกัน คือคนหนึ่งขึ้นไปเกิดในพรหมโลก อีกคนหนึ่งเกิดในเมืองกัสมิระ คนสองคนนี้ คนไหนจะไปช้าไปเร็วกว่ากัน ? "   
   " ขอถวายพระพร เท่ากัน "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "   
   " ขอถวายพระพร ชาติภูมิของมหาบพิตรอยู่ที่ไหน ? "
   
   " อยู่กาลสิรคาม "   
   " ขอถวายพระพร กาลสิรคามอยู่ไกลจากที่นี้สักเท่าไร? "
   
   " ประมาณ ๒๐๐ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า "   
   " เมืองกัสมิระไกลจากที่นี้สักเท่าไร ? "
   
   " ประมาณ ๑๒ โยชน์ พระผู้เป็นเจ้า "   
   " เชิญมหาบพิตรนึกถึงกาลสิรคามดูซิ "
   
   " โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "   
   " เชิญมหาบพิตรนึกถึงเมืองกัสมิระดูซิ "
   
   " โยมนึกแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "   
   " ขอถวายพระพร ทางไหนนึกถึงช้าเร็วกว่ากันอย่างไร ?"
   
   " เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า "   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ เร็วเท่ากัน ไปถึงพร้อมกัน"

   
   " ขอนิมนต์อุปมาอีก "


       (:SY:)

อุปมาด้วยเงาของนก
   
   " ขอถวายพระพร ถ้ามีนก ๒ ตัวบินมาจับต้นไม้พร้อมกัน ตัวหนึ่งจับต่ำ ตัวหนึ่งจับสูง
   เงาของนกตัวไหนจะถึงพื้นดินก่อนกัน"
   
   " ถึงพร้อมกัน พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาอีก "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 20:40:54

อุปมาด้วยการแลดู 
 
   " ขอถวายพระพร ขอได้โปรดแลดูอาตมา "
   
   " โยมแลดูแล้ว "
   
   " ขอได้โปรดแหงนดู ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ "
   
   " โยมแหงนดูแล้ว "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรแลดูอาตมากับแลดูดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ อันอยู่ไกลถึง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ข้างไหนจะเร็วช้ากว่ากัน? "
   
   " เท่ากัน พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ที่ขึ้นไปเกิดในพรหมโลก กับผู้ที่ไปเกิดในเมืองกัสมิระ ไปถึงพร้อมกัน "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เป็นเช่นนั้น "
 


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 20:47:42

ปัญหาที่ ๖ ถามถึงวรรณะสัณฐานของผู้ไปเกิดในโลกอื่น  
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอีกว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน โยมจักถามถึงเหตุอันยิ่งขึ้นไป คือผู้ไปสู่โลกอื่น ไปด้วยสีเขียว แดง เหลือง ขาว แสด เลื่อม อย่างไร...หรือ ไปด้วยเพศช้าง ม้า รถ อย่างไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ข้อนี้พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกพุทธวจนะ"
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระสมณโคดมไม่บัญญัติไว้ว่า ผู้ไปเกิดในโลกอื่น ในระหว่างทางนั้นต้องมีสีเขียว หรือสีเหลือง แดง ขาว แสด เลื่อม อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จะว่าพระสมณโคดมทรงรู้จักทุกสิ่งได้หรือ... คำของ คุณาชีวก ผู้เป็นอาจารย์ใหญ่กล่าวไว้ว่า ผู้ไปสู่โลกอื่นไม่มี ก็ต้องเป็นของจริง ผู้ใดกล่าวว่า โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี ผู้ไปเกิดในโลกอื่นไม่มี ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่ากล่าวถูก ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต "
   
   พระนาคเสนตอบว่า
   
   " ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจงตั้งพระทัยฟังถ้อยคำของอาตมภาพ"
   
   " โยมตั้งใจฟังผู้แล้ว "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้อยคำของอาตมภาพที่พ้นออกไปจากปาก ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตรนั้น ในระหว่างที่ยังไปไม่ถึงนั้นเสียงของอาตมภาพมีสีอย่างไร มีทรวดทรงอย่างไร ? "
   
   " เห็นไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้ามหาบพิตรว่าเห็นไม่ได้ เสียงของอาตมภาพก็ไม่ไปถึงพระกรรณของมหาบพิตร มหาบพิตรก็ตรัสคำเหลาะแหละน่ะซิ "
   
   " โยมไม่ได้พูดเหลาะแหละ ถึงถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าไม่ปรากฏสีเขียว หรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้าก็มาถึงโยมจริง"
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้น จะไม่ปรากฏสีเขียวหรือสีเหลืองในระหว่างทางก็จริง แต่ผู้ไปเกิดในโลกอื่นนั้นก็มีอยู่ เหมือนกับถ้อยคำของอาตมา "
   
   " น่าอัศจรรย์ พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงเสวยราชสมบัติใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้นนี้เถิด เพราะขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์ ๕ ไม่มีอะไรตกแต่ง เกิดขึ้นเอง สงสารก็ไม่มี "

   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 21:07:27

  อุปมาด้วยการทำนา
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยโปรดให้ทำนาหรือไม่ ? "
   
   " อ๋อ...เคยให้ทำ "
   
   " ขอถวายพระพร ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงข้าวสาลีงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเองหรืออย่างไร? "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดินย่อมมีรวงงอกขึ้น จะว่างอกขึ้นเอง ไม่มีผู้ใดกระทำไม่ได้ "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้าข้าวสาลีที่ปลูกลงในพื้นดิน ยังไม่มีรวงงอกขึ้น เมื่อรวงยังไม่งอกขึ้น จะว่าไม่มีผู้ปลูก จะว่าข้าวสาลีไม่มีจะได้หรือไม่? "
   
   " ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถ้าขันธ์ ๕ นี้ไปเกิดเอง คนตาบอดก็จะเกิดเป็นคนตาบอดอีก คนใบ้ก็จะเกิดเป็นคนใบ้อีก บุญก็ไม่มีประโยชน์อันใด ถ้าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งใดตกแต่ง เป็นของเกิดขึ้นเอง ขันธ์ ๕ ก็จะต้องไปนรกด้วยอกุศลกรรม"
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้น "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 21:16:02

 อุปมาด้วยการจุดประทีป
   
   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างมีผู้เอาประทีปมาจุดต่อกัน เปลวประทีปดวงเก่าก้าวไปสู่ประทีปดวงใหม่หรืออย่างไร ประทีปทั้งสองนั้น มีขึ้นเองไม่มีผู้กระทำอย่างนั้นหรือ? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ขันธ์ ๕ นี้ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น ขันธ์ ๕ นี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสิ่งใดทำให้เกิดขึ้น"
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน เวทนาขันธ์ ไปสู่โลกอื่นหรือ ?"
   
   " ขอถวายพระพร ถ้าเวทนาขันธ์ไปสู่โลกอื่น ผู้ที่ไปเกิดในโลกอื่น ก็คือเวทนาขันธ์อย่างนั้นซิ ? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร เพราะเหตุนั้นแหละมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า เวทนาขันธ์ในอัตภาพนี้ไม่ได้ ไปสู่โลกอื่น "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สัญญาขันธ์ ไปสู่โลกอื่นหรือ? "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้าสัญญาขันธ์ไปสู่โลกอื่น ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนในอัตภาพนี้ ไปสู่โลกอื่น ผู้มีมือด้วนเท้าด้วนในอัตภาพนี้ ไปสู่โลกอื่นแล้ว ก็จะต้องมีมือด้วนเท้าด้วนอีกหรืออย่างไร ? "   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " เพราะเหตุนั้นแหละ มหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า สัญญาขันธ์ในอัตภาพนี้ ไม่ได้ไปสู่โลกอื่น "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาให้ยิ่งขึ้นไปอีก "   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 21:25:02

อุปมาด้วยกระจก
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรจงทรงหยิบเอากระจกส่องพระพักตร์หรือไม่? "
   
   " มี พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรจงทรงหยิบเอากระจกมาวางไว้ตรงพระพักตร์มหาบพิตร"
   
   " โยมหยิบมาตั้งไว้แล้ว "
   
   " ขอถวายพระพร ดวงพระเนตร พระกรรณ พระนาสิก พระทนต์ ของมหาบพิตรปรากฏอยู่ในกระจกนี้เอง หรือว่ามหาบพิตรทรงกระทำให้ปรากฏ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดวงตา หู จมูก ฟัน ของโยมปรากฏอยู่ในวงกระจกนี้ ด้วยโยมกระทำขึ้น "
   
   " ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นเป็นอันว่ามหาบพิตรได้ควักเอาพระเนตร ตัดเอาพระกรรณ พระนาสิก และถอนเอาพระทนต์ของมหาบพิตร เข้าไปไว้ในกระจกแล้ว มหาบพิตรก็เป็นคนตาบอด ไม่มีพระนาสิกและพระทนต์อย่างนั้นซิ? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า เงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยโยมกระทำขึ้น ไม่ใช่ว่าเพราะโยมไม่ได้กระทำขึ้น"
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ นี้ไปสู่โลกอื่น ทั้งไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ ไม่มีสิ่งกระทำ เป็นของเกิดขึ้นเอง สัตว์ถือกำเนิดในครรภ์มารดาด้วยกุศลกรรม อกุศลกรรม ที่ตนกระทำไว้ เพราะอาศัยขันธ์ ๕ นี้แหละ จึงเหมือนเงาปรากฏในกระจก เพราะอาศัยการกระทำของมหาบพิตรฉะนั้น "
   
   " ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "

   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 18 ธันวาคม 2553 21:30:28
 
ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องถือกำเนิดในครรภ์มารดา
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อสัตว์จะเข้าถือกำเนิดในท้องมารดา เข้าไปทางทวารไหน ? "
   
   " ขอถวายพระพร ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทางทวารไหน "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร หีบแก้วของมหาบพิตรมีอยู่หรือ ? "   
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร ขอจงนึกเข้าไปในหีบแก้วดูซิ "
   
   " โยมนึกเข้าไปแล้ว "
   
   " ขอถวายพระพร จิตของมหาบพิตรที่นึกเข้าไปในหีบแก้วนั้น เข้าไปทางไหน ? "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน จิตของโยมไม่ปรากฏว่านึกเข้าไปทางไหน"
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สัตว์ที่เข้าไปถือกำเนิดในท้องมารดา ก็ไม่ปรากฏว่าเข้าไปทางไหนฉะนั้น "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน การที่พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาปฏิภาณอันวิจิตรยิ่งนี้ได้เป็นอัศจรรย์นักหนา
   ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่คงจะประทานอนุโมทนาสาธุการเป็นแน่แท้"


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 19 ธันวาคม 2553 12:05:14
สาธุ ๆ อนุโมทนาครับ

เพิ่งไปโหลดดีวีดีการ์ตูน มิลินทปัญหามา ยังไม่ได้ดูเลย


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 10:23:12


  ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องโพชฌงค์ ๗
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน โพชฌงค์ มีเท่าไร ? "
   " ขอถวายพระพร มี ๗ ประการ "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์เท่าไร? "
   " ขอถวายพระพร บุคคลตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ข้อเดียว "

   " คือข้อไหน พระผู้เป็นเจ้า ? "
   " ขอถวายพระพร คือข้อ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗ ไว้ทำไม ? "

   " ขอถวายพระพร พระองค์จะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...
     คือดาบที่บุคคลสวมไว้ในฝัก
     บุคคลไม่ได้ชักออกจากฝัก อาจตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ขาดได้หรือ ? "

   " ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือบุคคลปราศจาก ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
      แล้วตรัสรู้ด้วยโพชฌงค์ ๖ ไม่ได้"

   " ถูกแล้ว พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 10:24:46


  ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมากกว่ากันแห่งบาปและบุญ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน บุญและบาปข้างไหนมากกว่ากัน ? "   
   " ขอถวายพระพร บุญมากกว่าบาป บาปน้อยกว่า "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทำไมจึงว่าบุญมากกว่า บาปน้อยกว่า? "
   
   " ขอถวายพร บุคคลทำบาปแล้วย่อมร้อนใจในภายหลังว่า เราได้ทำบาปไว้แล้วเพราะเหตุนั้นบาปก็ไม่ได้มากขึ้น ส่วนบุญเมื่อบุคคลทำเข้าแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลัง มีแต่เกิดปราโมทย์ ปีติ ใจสงบมีความสุข จิตเป็นสมาธิ เพราะฉะนั้น บุญจึงมากขึ้น ดังมีบุรุษผู้มีมือมีเท้าขาดแล้ว ได้บูชาพระด้วยดอกบัวเพียงกำเดียว ก็จักได้เสวยผลถึง ๙๑ กัปด้วยเหตุนี้แหละ จึงว่าบุญมากกว่า ขอถวายพระพร"
   
   " ชอบแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "




หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 10:31:04



   ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงการทำบาปแห่งผู้รู้กับผู้ไม่รู้

   " ข้าแต่พระนาคเสน สมมุติว่ามีคน ๒ คน คนหนึ่งรู้จักบาป อีกคนหนึ่งไม่รู้จัก
     แต่กระทำบาปด้วยกันทั้งสองคน ข้างไหนจะได้บาปมากกว่ากัน ? "

   " ขอถวายพระพร ข้างไม่รู้จักได้บาปมากกว่า "
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ราชบุตรของโยมหรือราชมหาอำมาตย์คนใดรู้ แต่ทำผิดลงไป
     โยมลงโทษแก่ผู้นั้นเป็นทวีคูณ "

   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร...
     คือสมมุติว่ามีคน ๒ คน จับก้อนเหล็กแดงเหมือนกัน
     คนหนึ่งรู้ว่าเป็นก้อนเหล็กแดง อีกคนหนึ่งไม่รู้ คนไหนจะจับแรงกว่ากัน ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คนไม่รู้จับแรงกว่า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ไม่รู้บาปได้บาปมากกว่า"
   
   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "




หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 13:51:06



   ปัญหาที่ ๑๑ ถามถึงผู้ที่ไปอุตตรกุรุทวีปและสวรรค์

   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ไปสู่อุตตรกุรุทวีปหรือพรหมโลก หรือไม่ทวีปอื่น
     ด้วยกายนี้มีอยู่หรือ ? "
   
   " ขอถวายพระพร มีอยู่ "   
   " ข้อนี้คืออย่างไร พระผู้เป็นเจ้า ? "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยกระโดดที่แผ่นดินนี้ได้คืบหรือศอก? "   
   " อ๋อ...โยมเคยกระโดดได้ ๘ ศอก ? "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรกระโดดอย่างไร...จึงได้ถึง ๘ ศอก ? "
   
   " พอโยมคิดว่าจะกระโดด กายของโยมก็เบา โยมจึงกระโดดได้ถึง ๘ ศอก "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือภิกษุผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจทางจิตภาวนา
     อธิษฐานจิตแล้ว ก็เหาะไปสู่เวหาสได้"
   
   " ถูกแล้ว พระนาคเสน "




หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 13:56:29



 ปัญหาที่ ๑๒ ถามเรื่องกระดูกยาว

   
   " ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวว่า มีกระดูกยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์ โยมไม่เชื่อ
     เพราะต้นไม้ที่สูงตั้ง ๑๐๐ โยชน์ ก็ยังไม่มี กระดูกที่ไหนจักยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์"
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ทรงสดับหรือไม่ว่า ปลาในมหาสมุทร
     ตัวยาวตั้ง๕๐๐ โยชน์ มีอยู่?"
   
   " เคยฟัง พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ถ้าอย่างนั้น กระดูกของปลาที่มีตัวยาวตั้ง ๕๐๐ โยชน์ จักยาวตั้ง ๑๐๐ โยชน์มิใช่หรือ ? "
   
   " ใช่แล้ว พระผู้เป็นเจ้า "




หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 14:03:24



ปัญหาที่ ๑๓ ถามเรื่องเกี่ยวกับลมหายใจ

   
   " ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลอาจทำลมหายใจให้ดับได้หรือ? "
   
   " ขอถวายพระพร ได้ "   
   " ได้อย่างไร...พระผู้เป็นเจ้า ? "
   
   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยได้ยินเสียงคนนอนกรนบ้างหรือ? "   
   " อ๋อ..เคยซิ พระผู้เป็นเจ้า"
   
   " ขอถวายพระพร เวลาเขาพลิกกายเสียงกรนเงียบไปไหม ?"
   
   " เงียบไป พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ขอถวายพระพร เสียงกรนนั้นเป็นเสียงของผู้ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต แต่เมื่อพลิกตัวก็ยังหายไป ส่วนลมหายใจของผู้ได้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต เข้าจตุตถฌาน จะไม่ดับหรือ...มหาบพิตร ? "
   
   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "




หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 14:12:16

          (http://www.bangkokbookclub.com/shop/b/bangkokbookclub/img-lib/spd_20071223152929_b.jpg)

   ปัญหาที่ ๑๔ ถามว่าอะไรเป็นสมุทร
   

   " ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวกันอยู่ว่า " สมุทร ๆ " น้ำหรือชื่อว่าสมุทร ? "
   
   " ขอถวายพระพร น้ำเค็มมีอยู่ในที่เท่าใดที่เท่านั้นแหละ เรียกว่าสมุทร "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดสมุทรจึงมีรสเดียว คือรสเค็ม? "
   " ขอถวายพระพร เพราะมีน้ำขังอยู่นานจึงเค็ม "

   " สมควรแล้ว พระนาคเสน "




หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 14:20:52


          (http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:3goTFKUE4A2JFM::&t=1&usg=__oM8GEiTvf_6wX9WVwJ5baPl-VCc=)

  ปัญหาที่ ๑๕ ถามเรื่องการตัดสิ่งที่สุขุม

   
   " ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลอาจตัดสิ่งที่สุขุมกว่าสิ่งทั้งหลายได้หรือ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อะไรชื่อว่าเป็นสิ่งสุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย"
   
   " ขอถวายพระพร พระธรรม ชื่อว่าสุขุมกว่าสิ่งทั้งหลาย แต่ธรรมะไม่ใช่สุขุมไปทั้งหมด
     คือ สุขุมก็มี หยาบก็มี แต่ว่าสิ่งที่ควรตัดด้วยปัญญามีอย่างเดียว คือ ธรรมะ นอกจากนั้นไม่มี "
   
   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "





หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 14:25:14



  ปัญหาที่ ๑๖ ถามความต่างกันแห่งวิญญาณเป็นต้น

   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ปัญญา วิญญาณ ชีพในภูต เหล่านี้ มีอรรถะ พยัญชนะต่างกันหรือว่ามีอรรถะอย่างเดียวกัน มีพยัญชนะต่างกัน ? "
   
   " ขอถวายพระพร วิญญาณ มีการ รู้สึก เป็นลักษณะ ปัญญา มีการ รู้ทั่ว เป็นลักษณะ ชีพในภูต คือในผู้ที่เกิดแล้วไม่มี"
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าไม่มีชีพเป็นตัวเป็นตน ก็ใครเล่าเห็นรูปด้วยตา ได้ฟังเสียงด้วยหู สูดกลิ่นด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้มสัมผัสด้วยกาย รู้จักอารมณ์ด้วยใจ ?"
   
   " ขอถวายพระพร ถ้าชีพเห็นรูปด้วยตาตลอดถึงรู้จักอารมณ์ด้วยใจแล้วเมื่อเปิดตาขึ้น ชีพนั้นก็ต้องมีหน้าไปข้างนอก ต้องได้เห็นรูปดาวได้ดีเมื่อเปิดหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีพนั้นก็ต้องหันหน้าไปภายนอก รู้จักอารมณ์ได้ดีอย่างนั้นหรือ ? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "   
   " ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ชีพก็ไม่มีในภูต "
   
   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "




หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 14:30:19



  ปัญหาที่ ๑๗ ถามถึงเรื่องสิ่งที่ทำได้ยากของพระพุทธเจ้า

   
   " ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งที่ทำได้ยากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำนั้น ได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก ได้แก่การทรงแสดงซึ่งธรรมอันไม่มีรูปร่าง อันมีอยู่ในจิต เจตสิกอันเป็นไปในอารมณ์อันเดียวเหล่านี้ได้ว่า อันนี้เป็นผัสสะ อันนี้เป็นเวทนา อันนี้เป็นสัญญา อันนี้เป็นเจตนา อันนี้เป็นจิต "
   
   " ขอนิมนต์อุปมาด้วย "
   
   " ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษคนหนึ่งลงเรือไปที่มหาสมุทร วักน้ำขึ้นมาวางไว้ที่ลิ้น ก็รู้ว่านี้เป็นน้ำคงคา นี้เป็นน้ำยมนา นี้เป็นน้ำสรภู นี้เป็นน้ำอจิรวดี นี้เป็นน้ำมหิ ดังนี้ได้ เป็นของง่ายหรือยากล่ะ ?"
   
   " เป็นของยาก พระผู้เป็นเจ้า "
 
   " ขอถวายพระพร การที่พระพุทธเจ้าทรงบอกสิ่งที่ไม่มีรูปร่าง ที่มีในจิตใจ ที่เป็นอารมณ์อันเดียวกันว่า นี้เป็นผัสสะ นี้เป็นเวทนา นี้เป็นสัญญา นี้เป็นเจตนา นี้เป็นจิต ดังนี้ยิ่งยากกว่านั้น "
   
   " ถูกดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "




หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 15:44:52


   ปัญหาที่ ๑๘ พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสได้ปวารณาพระนาคเสน

   
     พระนาคเสนถวายพระพรว่า   
   " มหาบพิตรทรงทราบว่า เวลานี้เป็นเวลาอะไรแล้ว ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมทราบว่าเวลานี้เป็นเวลามัชฌิมยามแล้ว เพราะคบเพลิงสว่างไสว "
   
     ขณะนั้นพวกเจ้าพนักงานก็นำผ้า ๕ พับมาถวาย ข้าราชการโยนกทั้งหลายก็ทูลขึ้นว่า
   
   " พระภิกษุองค์นี้ฉลาดมาก เป็นบัณฑิตแท้ พระเจ้าข้า"
   
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า   
   " ถูกแล้ว...เธอทั้งหลาย ถ้ามีอาจารย์อย่างนี้ มีศิษย์อย่างนี้ ไม่ช้าก็ต้องรู้ธรรมะได้ดี "
   
     พระเจ้ามิลินท์ทรงยินดีด้วยการแก้ปัญหาของพระนาคเสน จึงถวายผ้ากัมพลราคาแสนตำลึงแก่พระนาคเสนแล้วตรัสว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป โยมจะให้จัดอาหารไว้วันละ ๑๐๘ สำรับ สิ่งใดที่สมควรอันมีในพระราชวังนี้ โยมขอปวารณาพระผู้เป็นเจ้าทั้งนั้น"
   
   " อย่าเลย มหาบพิตร อาตมภาพพอมีชีวิตอยู่ได้ก็แล้วกัน"
   
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน โยมรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพอมีชีวิตอยู่ได้ ก็แต่ว่าขอพระผู้เป็นเจ้าจงรักษาตัวของพระผู้เป็นเจ้า และรักษาตัวของโยมไว้ ข้อที่ว่า ขอให้พระผู้เป็นเจ้ารักษาตัวพระผู้เป็นเจ้าไว้นั้น

คืออย่าให้มีผู้ติเตียนได้ว่าพระนาคเสนทำให้พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสแล้ว ก็ไม่ได้อะไร ข้อที่ว่า ขอให้รักษาตัวโยมไว้นั้น คืออย่างไร...คืออย่าให้มีผู้กล่าวได้ว่า พระเจ้ามิลินท์ทรงเลื่อมใสแล้ว ไม่ได้ทรงแสดงอาการเลื่อมใสแต่อย่างใด"
   
     พระเถระจึงตอบว่า   
   " แล้วแต่พระราชประสงค์ "
   
     พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พญาราชสีห์อันบุคคลขังไว้ในกรงทอง ย่อมหันหน้าไปภายนอกฉันใด ถึงโยมจะอยู่ครองบ้านครองเมือง ก็หันหน้าไปภายนอกฉันนั้น ถ้าโยมออกไปบรรพชา ก็จะมีชีวิตอยู่ไม่นาน เพราะศัตรูโยมมีมาก "


   แสดงความชื่นชมต่อกัน

   ครั้นพระนาคเสนเถระแก้ปัญหาพระเจ้ามิลินท์เสร็จแล้ว จึงกลับไปสู่สังฆาราม เมื่อพระนาคเสนกลับไปแล้วไม่ช้า พระเจ้ามิลินท์ก็ทรงคิดดูว่า เราได้ถามเป็นอย่างไร พระผู้เป็นเจ้าแก้เป็นอย่างไร จึงทรงนึกได้ว่า สิ่งทั้งปวงเราก็ได้ถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าก็ได้แก้ดีแล้ว ฝ่ายพระนาคเสนก็นึกอย่างเดียวกันกับพระเจ้ามิลินท์ เช้าขึ้นจึงได้ครองจีวรสะพายบาตรเข้าไปที่พระราชนิเวศน์ แล้วนั่งลงบนอาสนะ พระเจ้ามิลินท์กราบไหว้แล้ว จึงตรัสขึ้นว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าคิดว่า โยมได้ถามปัญหาพระนาคเสนแล้ว พระผู้เป็นเจ้าย่อมให้ราตรีที่ยังเหลืออยู่ สิ้นไปด้วยความยินดีนั้น ขออย่าเห็นอย่างนี้ "

   โยมได้นึกอยู่ตลอดราตรีว่า การถามของเราเป็นอย่างไร การแก้ของพระผู้เป็นเจ้าเป็นอย่างไร ก็นึกได้ว่า เราถามดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้าแก้ดีแล้ว พระเถระก็ตอบว่า

   " ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรอย่าคิดว่า อาตมภาพได้แก้ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์แล้ว มหาบพิตรย่อมทรงบรรทมหลับตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่ด้วยความยินดีนั้น ขออย่าทรงเห็นอย่างนี้ อาตมภาพได้คิดอยู่ตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่ว่า พระเจ้ามิลินท์ถามอะไรแล้ว เราได้แก้อะไรแล้ว ก็นึกได้ว่า พระเจ้ามิลินท์ได้ถามสิ่งทั้งปวงแล้ว เราก็ได้แก้สิ่งทั้งปวงแล้ว "

   เป็นอันว่า ปราชญ์ทั้งสองนั้น ได้แสดงความชื่นชมยินดีต่อกันและกันอย่างนี้


  จบวรรคที่ ๗ จบมิลินทปัญหา



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 มกราคม 2554 18:32:52


    มิลินทปัญหา
    นอกวรรค โคตมีปัญหา

   
    เรื่องถวายผ้าของพระนางโคตมี
   
     พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า"
   
     ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อ พระมหาปชาบดีโคตมี จะถวายผ้าคู่ใหม่แก่พระพุทธเจ้านั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า
   
   " ขอพระนางจงถวายสงฆ์เถิด เมื่อพระนางถวายสงฆ์แล้ว ก็จักเป็นอันบูชาแก่เราด้วยบูชาสงฆ์ด้วย "
   
   ดังนี้ โยมจึงขอถามว่า พระตถาคตเจ้าไม่เป็นผู้มีพระคุณหนัก มีพระคุณวิเศษ เป็นผู้ควรแก่ถวายกว่าพระสงฆ์หรือ เพราะว่าผ้าคู่นั้นเป็นผ้าที่พระเจ้าแม่น้าทรงปลูกฝ้ายเอง เก็บเอง ดีดเอง ปั่นเอง กรอเอง ทอเอง ถ้าพระตถาคตเจ้ามีพระคุณยิ่งกว่าวิเศษกว่าพระสงฆ์แล้ว ก็จะต้องตรัสว่า เมื่อถวายเราก็จักมีผลมาก ต้องไม่ให้ถวายสงฆ์ เพราะเหตุที่พระตถาคตเจ้าไม่ให้ถวายพระองค์ ให้ถวายแก่พระสงฆ์เสียนี้แหละ โยมจึงยังสงสัยอยู่ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขให้โยมสิ้นสงสัยเถิด "
   

   " พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า "
   
   " เมื่อพระนางมหาปชาบดีโคตมีผู้เป็นพระเจ้าแม่น้า น้อมนำผ้ามาถวาย พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า จงถวายสงฆ์ เมื่อถวายสงฆ์แล้วเป็นอันเชื่อว่า บูชาเราด้วย บูชาสงฆ์ด้วย ที่ไม่ได้ทรงโปรดให้ถวายพระองค์นั้น ไม่ใช่เพราะพระองค์เป็นผู้ไม่ควรเคารพ หรือไม่ควรถวาย เป็นเพราะทรงเล็งเห็นประโยชน์ในอนาคตว่า เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จักเป็นที่สักการบูชา เมื่อจะทรงยกย่องคุณของสงฆ์ให้ปรากฏ จึงได้ตรัสว่า ขอพระนางจงถวายสงฆ์ เมื่อถวายสงฆ์แล้ว จักเป็นอันชื่อว่าได้บูชาเราด้วย ได้บูชาสงฆ์ด้วย"
   

   อุปมาเหมือนบิดายกย่องบุตร"
   
   เปรียบเหมือนบิดาเมื่อยังมีชีวีตอยู่ ย่อมยกย่องคุณความดีอันมีอยู่ของบุตร ในที่เฝ้าพระราชาซึ่งประทับในท่ามกลางของหมู่อำมาตย์นายประตู หมู่โยธา ราชบริพาร ทั้งหลายให้ปรากฏ ด้วยคิดว่าต่อไปข้างหน้า บุตรของเราจักได้เป็นที่บูชาของคนทั้งหลาย ข้อนี้มีอุปมาฉันใด พระตถาคตเจ้าเมื่อจะทรงยกย่องคุณของพระสงฆ์ในปรากฏ ดัวยทรงเล็งเห็นประโยชน์ในอนาคตว่า เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จักเป็นที่บูชาของคนทั้งหลายจึงได้ตรัสว่า
   
   " จงถวายแก่สงฆ์ เมื่อถวายสงฆ์แล้วจักเป็นอันบูชาเราด้วย บูชาสงฆ์ด้วย "
   
   ฉันนั้น ขอถวายพระพร ไม่ใช่ว่าสงฆ์จะมีคุณยิ่งวิเศษกว่าพระตถาคตเจ้า เพียงด้วยเหตุที่โปรดให้ถวายผ้าเท่านั้น
   
   อีกประการหนึ่ง มารดาบิดาย่อมให้บุตรนุ่งผ้า แต่งตัวให้บุตร อาบน้ำให้บุตรขัดสีให้บุตรเป็นธรรมดา บุตรเป็นผู้ยิ่งกว่าหรือวิเศษกว่ามารดาบิดา ด้วยเหตุเพียงมารดาบิดานุ่งผ้าให้แต่งตัวให้ อาบน้ำให้ ขัดสีให้เท่านั้นหรืออย่างไร ? "
   
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่บุตรประเสริฐกว่ามารดาบิดาด้วยเหตุเพียงเท่านี้"
   
   "ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่ใช่พระสงฆ์ยิ่งกว่า วิเศษกว่า ด้วยเหตุเพียงโปรดให้ถวายผ้าเท่านั้น แต่เมื่อพระตถาคตเจ้าจะทรงกระทำสิ่งที่ควรกระทำแก่สงฆ์ จึงโปรดให้ถวายผ้าแก่สงฆ์ "
   

   อุปมาเหมือนพระราชา"
   
   อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่ามีบุรุษคนใดคนหนึ่ง น้อมนำเครื่องบรรณาการมาถวายพระราชา พระราชาได้พระราชทานเครื่องบรรณาการนั้นแก่ข้าราชการ หรือทหาร หรือปุโรหิต คนใดคนหนึ่ง ผู้ที่ได้รับพระราชาทานนั้น จะได้ชื่อว่ายิ่งกว่า วิเศษกว่าพระราชา ด้วยเหตุเพียงได้รับพระราชาทานของนั้นเท่านั้นหรืออย่างไร? "
   
   " ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "
   
   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือไม่ใช่พระสงฆ์เป็นผู้ยิ่งกว่า วิเศษกว่า พระตถาคตเจ้า ด้วยการให้ถวายผ้าเท่านั้น อีกประการหนึ่ง พระสงฆ์ย่อมเกิดจากพระตถาคตเจ้า เมื่อพระตถาคตเจ้าจะตั้งพระสงฆ์ไว้ในตำแหน่งควรบูชาแทนพระพุทธเจ้า จึงได้โปรดให้ถวายผ้า
   
   อีกประการหนึ่ง พระตถาคตเจ้าทรงดำริว่า พระสงฆ์เป็นผู้ควรบูชาอยู่ตามความจริงแล้วไม่ใช่ว่าพระตถาคตเจ้าจะทรงยกย่องพระสงฆ์ว่า เป็นผู้ควรบูชายิ่งกว่าพระองค์
   
   อีกประการหนึ่ง ผู้ใดควรแก่การบูชา พระตถาคตเจ้าก็ทรงสรรเสริญการบูชานั้น
   
   ดูก่อน มหาราชะ มหาบพิตรพระราชสมภาร องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาอื่น เมื่อจะทรงยกย่องข้อปฏิบัติ คือความมักน้อยไว้ ก็ได้ตรัสไว้ใน คัมภีร์มัชฌิมนิกาย อันว่าด้วยธรรมทายาทว่า
   
   " ภิกษุองค์ก่อนโน้น เป็นผู้ควรบูชากว่า ควรสรรเสริญกว่า"
   
   ดังนี้ ไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งในโลก จะยิ่งกว่า วิเศษกว่า พระตถาคตเจ้า พระตถาคตเจ้าเป็นผู้ควรแก่การถวายทานเป็นผู้เยี่ยม เป็นผู้ยิ่ง "
   
   ภาษิตสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า
   
   ดูก่อนมหาราชะ มีเทวบุตรองค์หนึ่งชื่อว่า มาณวคามิกะ ได้กล่าวขึ้นในท่ามกลางเทพยดาและมนุษย์ ต่อพระพักตร์พระพุทธเจ้าว่า
   
   " ภูเขาเวปุลลบรรพต เป็นภูเขาประเสริฐกว่าภูเขาทั้งปวง อันมีในแขวงราชคฤห์ ภูเขาเสตบรรพต เป็นภูเขาใหญ่กว่าภูเขาทั้งหลายในป่าหิมพานต์ ดวงอาทิตย์ประเสริฐกว่าสิ่งที่มีในอากาศทั้งสิ้น มหาสมุทรใหญ่กว่าแม่น้ำทั้งหลาย ดวงจันทร์ดีกว่าดวงดาวทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเลิศกว่ามนุษย์โลกและเทวโลกทั้งสิ้น "
   
   ดังนี้ คำนี้ มาณวคามิกะเทพบุตร ได้กล่าวไว้ถูกต้องดีแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงเห็นชอบด้วยแล้ว อนึ่ง พระสารีบุตรเถระ ได้กล่าวไว้ว่า
   
   " ผู้ถึงสรณะ หรือยกมือไหว้ ด้วยใจเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียวเท่านั้นก็อาจช่วยผู้นั้นให้ข้ามพ้นได้" ดังนี้ ส่วนองค์สมเด็จพระชินสีห์ผู้ทรงกำจัดพลมารเสียได้แล้ว ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาทั้งหลาย ก็ได้ตรัสไว้ว่า
   
   " บุคคลเอก เมื่อจะเกิดขึ้นในโลก ก็เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์สุขของโลก บุคคลเอกนั้นได้แก่ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"
   
   ดังนี้ ขอถวายพระพร "
   
   " ดีแล้ว พระนาคเสน โยมขอรับไว้ด้วยดีซึ่งการกล่าวแก้ปัญหาข้อนี้"
   

   จบนอกวรรค

http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.135 (http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.135)


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 19 มกราคม 2554 18:14:47


(http://www.bloggang.com/data/lawofnature/picture/1177309954.jpg)
Law of nature

                 มิลินทปัญหา
ปรารภเมณฑกปัญหา

(http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:VZEk4mot-t3ggM)

ลำดับนั้น พระนาคเสนเถระได้กลับสู่สังฆารามอีก พระเจ้ามิลินท์
ผู้มีพระวาจาเฉลียวฉลาด ผู้ชอบไต่ถาม ผู้มีความรู้ยิ่ง ผู้เฉียบแหลม
ได้เข้าใกล้พระนาคเสน เพื่อให้ความรู้แตกฉาน เมื่อมีการไต่ถามโต้เถียงกับพระนาคเสน
อยู่เนือง ๆ ไม่ขาดสาย ก็มีความรู้แตกฉานชำนาญในพระไตรปิฎก

อยู่มาคืนวันหนึ่งเมื่อทรงรำลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า อันประกอบด้วย
องค์ ๙ ก็ได้ทรงเห็น
เมณฑกปัญหา (คือปัญหาสองแง่ ) อันเป็นปัญหาที่แก้ไขยาก
ด้วยถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นปริยาย ( คือโดยอ้อม) ก็มี
ตรัสไว้โดยอรรถะ ( คือมีความหมายลึกซึ้ง ) ก็มี เป็นคำของพระสาวก ก็มีอยู่

ความหมายของถ้อยคำเหล่านั้นเป็นของรู้ได้ยาก เปรียบเหมือนแพะชนกัน
นานไปเบื้องหน้า จะเกิดวิววาทกันในถ้อยคำเหล่านั้น
เราควรจักให้พระนาคเสนเลื่อมใสต่อเราแล้ว ให้กล่าวแก้ซึ่ง
เมณฑกปัญหา
คือปัญหาอัน อุปมาจับแพะชนกัน ให้แจ้งไว้
ปัญหาที่แก้ยากเหล่านั้น " จักมีผู้แก้ได้ " ตามทางที่ พระนาคเสน " ได้ชี้ไว้ "

(http://www4.pantown.com/data/18781/board10/19-20080202024727.jpg)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: คนดีศรีอยุธยา2 ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2554 12:33:19
 (:LOVE:) (:LOVE:) (:LOVE:)

ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่ท่านเจ้าของกระทู้ด้วยเถิด
ขอบคุณ ในการรวบรวมมาครับ


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 02 กุมภาพันธ์ 2554 12:39:01
ป้าแป๋ม กับ อ.มด เค้าสุดยอดอยู่แล้วครับ เรื่องรวบรวมข้อมูล

ขนาดผมเล่นคอมมาทุกวัน ทั้งวัน ยังหาไม่ได้อย่างนี้เลย

สมาชิกหลายท่านตอนนี้ เป็นมันสมองของเวบสุขใจไปแล้ว

ถ้าไม่ได้พวกท่านเหล่านี้ คงไม่มีสาระความรู้ดี ๆ ได้ขนาดนี้แน่นอนครับ

 (:88:) (:88:) (:88:) (:88:)


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: คนดีศรีอยุธยา2 ที่ 03 กุมภาพันธ์ 2554 11:37:23
 (:LOVE:)
ที่สำคัญมันเป็นฉบับเดิมสะด้วยสิ
ของ ส ธรรมภักดี มันมีเติมอ่านแล้วเยิ่นเย้อไม่กระชับ
เก่งมากเลย แต่ไม่รู้คนที่มาลงได้อ่านด้วยป่าว ฮิฮิ ;D


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 03 กุมภาพันธ์ 2554 19:14:22
อ่านกันอยู่แล้วครับ สองท่านนั้น

บทความที่เอามาลงส่วนมาก จะอ่านกรองกันมาก่อนแล้วครับ


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:31:55


  ทรงสมาทานวัตรบท ๘

   เมื่อพระเจ้ามิลินทร์ทรงดำริดังนี้แล้ว รุ่งเช้าขึ้นก็เสด็จเข้าสู่ที่สระสรง ทรงประดับประดาพระองค์ดีแล้ว ก็ทรงระลึกถึงสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าในอดีต อนาคต ปัจจุบัน แล้วทรงสมาทานวัตรบท ๘ ว่า เราจะประพฤติตบะ จักทำให้อาจารย์ยินดีแล้ว จักถามปัญหา ทรงดำริดังนี้แล้ว ก็ทรงเปลื้องเครื่องประดับของกษัตริย์ ทรงแต่งพระองค์เป็นมุนี สมาทานคุณธรรมทั้ง ๘ คือ

   ๑. จักไม่ทรงวินิจฉัยอรรถคดีตลอดถึง ๗ วัน
   ๒. ไม่ให้เกิดราคะ
   ๓. ไม่ให้เกิดความโกรธ
   ๔. ไม่ให้เกิดความหลง

   ๕. จักนบนอบกระทั่งทารกทาริกาของพวกทาสี
   ๖. จักรักษากายวาจาให้ดี
   ๗. จะรักษาอายตนะทั้ง ๖ ให้ดี
   ๘. จักทำใจมีเมตตา

   ครั้นทรงมั่นอยู่ในคุณธรรมทั้ง ๘ นี้ ตลอด ๗ วันแล้ว รุ่งเช้าวันที่ ๘ ก็เสวยพระกระยาหารเช้า แล้วสำรวมพระเนตรเป็นอันดี มีพระวาจาพอประมาณ มีพระอริยาบถอันดี มีพระหฤทัยมั่นคงเบิกบาน แล้วเข้าไปหาพระนาคเสนเถระ กราบไหว้แล้วทรงยืนตรัสว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน โยมมีเรื่องที่จะสนทนากับพระผู้เป็นเจ้าในป่าที่เงียบสงัดโดยลำพังสองคนไม่มีผู้อื่นปะปน ป่านั้นต้องเป็นป่าประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นป่าที่สมควรแก่สมณะ เป็นป่าที่สมควรถามปัญหา ในการถามและแก้นั้นไม่ควรให้มีข้อลี้ลับ ควรให้แจ่มแจ้งทุกข้อ ควรให้เข้าใจได้ด้วยอุปมา

   ข้าแต่พระนาคเสน แผ่นดินใหญ่นี้ ย่อมเป็นที่เก็บเป็นที่ซ่อน ซึ่งสิ่งที่ควรเก็บควรซ่อนฉันใด โยมก็สมควรฟังข้อลึกลับ ที่ควรเก็บควรซ่อนไว้ฉันนั้น เมื่อมีข้อควรปรึกษาเกิดขึ้น โยมก็สมควรแก่การปรึกษา "

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสอย่างนี้แล้ว ก็พร้อมกับพระเถระออกไปสู่ป่าใหญ่แห่งหนึ่งแล้วตรัสต่อไปอีกหลายอย่าง



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:34:35


ที่ไม่ควรปรึกษากัน ๘ ประการ

พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน บุรุษผู้จะปรึกษาหารือกัน ควรรู้ไว้ว่า ที่ควรงดเว้นมีอยู่ ๘ คือ

๑. ที่อันไม่สม่ำเสมอ
๒. ที่มีภัย
๓. ที่มีลมแรง
๔. ที่กำบัง

๕. ที่ศาลเจ้า
๖. ที่ถนนหนทาง
๗. ที่ก้าวขึ้นก้าวลง
๘. ที่ท่าน้ำ

ที่ทั้ง ๘ นี้ เป็นที่ควรงดเว้นเพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า

เมื่อปรึกษากันในที่ไม่สม่ำเสมอ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่สบาย เรื่องที่ปรึกษาหารือกันก็จะไม่สม่ำเสมอดี
เมื่อปรึกษากันในที่มีภัย ใจก็จะสะดุ้งกลัว จะไม่แลเห็นเหตุผลได้ดี
เมื่อปรึกษากันในที่มีลมแรง เสียงลมพัดตลบอบไป มิอาจที่จะคิดความหมายนั้นได้
เมื่อปรึกษากันในที่กำบัง ก็จะมีผู้แอบฟัง

เมื่อปรึกษากันที่ศาลเจ้า ของหนัก ๆ ก็จะหักพังลงมา
เมื่อปรึกษากันที่หนทาง ก็จะไม่ได้ความดี เพราะมีคนเดินไปมาสับสน
เมื่อปรึกษากันในที่ขึ้นลง จิตใจก็จะไม่มั่นคง
เมื่อปรึกษากันในที่ท่าน้ำ ก็จะมีผู้รู้แพร่งพราย

เพราะฉะนั้น จึงควรเว้นที่ทั้ง ๘ คือ ที่ไม่สม่ำเสมอ ที่มีภัย ที่มีลมแรง ที่มีกำบัง ที่ศาลเจ้า ที่หนทาง ที่ก้าวขึ้นก้าวลง ที่ท่าน้ำ เหล่านี้เสีย "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:35:56


คนที่ไม่ควรปรึกษา ๘ จำพวก

เมื่อพระเจ้ามิลินท์ทรงแสดงที่ควรเว้น ๘ แห่งดังนี้แล้ว จึงทรงแสดงบุคคลควรเว้นอีก ๘ จำพวกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลผู้ที่ถูกปรึกษาแล้ว ทำเรื่องให้เสียไปมีอยู่ ๘ จำพวก คือ

๑. คนมีราคะจริต คือหนักในทางราคะ
๒. คนโทสะจริต มากด้วยโทสะ
๓. คนโมหะจริต มากด้วยความลุ่มหลง
๔. คนมานะจริต มากด้วยการถือตัว

๕. คนโลภเห็นแต่จะได้
๖. คนขี้เกียจ ย่อท้อ อ่อนแอ
๗. คนเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว
๘. คนพาล คือคนโง่มุทะลุ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:37:56


พระนาคเสนจึงถามว่า
" คนทั้ง ๘ จำพวกนั้น ให้โทษอย่างไร ? "

" คนราคะจริต เมื่อปรึกษาด้วยอำนาจราคะ ก็ทำเรื่องที่ปรึกษาให้เสียไป ถึงคนจำพวกอื่นอีก ๗ จำพวกก็เหมือนกัน
"เพราะฉะนั้น บุคคล ๘ จำพวก คือ คนหนักในราคะ โทสะ โมหะ มานะ โลภะ เกียจคร้าน เห็นแก่ตัว โง่เขลา จึงเรียกว่า " คนทำให้เสียเรื่องปรึกษา "

คนที่ปิดความลับไม่ได้ ๙ จำพวก
" ข้าแต่พระนาคเสน บุคคล ๙ จำพวกปิดข้อความอันลี้ลับไว้ไม่ได้ บุคคล ๙ จำพวกนั้น ได้แก่จำพวกไหนบ้าง คือ

๑. คนราคะจริต หนักในราคะ
๒. คนโทสะจริต มากด้วยโทสะ
๓. คนโมหะจริต มากด้วยความหลง
๔. คนขี้เกียจ ขี้กลัว
๕. คนหนักในอามิส

๖. สตรีทั้งปวง
๗. นักเลงสุราและนักเลงต่าง ๆ
๘. คนชอบแต่งตัว
๙. เด็กทั่วไป ทั้งหญิงทั้งชาย "

พระเถระถามอีกว่า
" บุคคล ๙ จำพวกนั้น มีโทษอย่างไรบ้าง "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" บุคคล ๙ จำพวกนั้น

จำพวกราคะ ก็ปิดความลับไม่ได้ด้วยอำนาจราคะ คือเมื่อรักใครแล้ว ก็เปิดความลับให้ฟัง
จำพวกโทสะ เมื่อโกรธขึ้นมา ก็พูดความลับโพล่งออกมา
จำพวกโมหะ เมื่อใครพูดดีก็หลงเชื่อแล้วเปิดความลับให้ฟัง
จำพวกขี้ขลาด เมื่อกลัวก็เปิดความลับ
จำพวกหนักในอามิส เมื่อมีผู้ให้อามิสสินจ้าง ก็บอกความลับ

จำพวกสตรี เป็นจำพวกมีปัญญาน้อย เมื่อถูกซักดักหน้าดักหลัง ก็เปิดความลับให้ฟัง
จำพวกนักเลงสุรา เมื่อเมาแล้วก็เปิดความลับง่าย
จำพวกชอบแต่งตัว ก็กังวลอยู่แต่เรื่องแต่งตัว อาจจะเผลอพูดความลับออกมาได้ง่าย
จำพวกทารก ก็มีความคิดยังอ่อนเกินไป ไม่อาจปิดความลับไว้ได้"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:39:38


เหตุให้เจริญความรู้ ๘ ประการ

" ข้าแต่พระนาคเสน เหตุจะให้ความรู้ดีขึ้นมีอยู่ ๘ ประการ คือ

๑. เจริญด้วยวัยอายุ
๒. ความได้ยศศักดิ์
๓. การชอบการซักไซ้ไต่ถาม
๔. ไม่คบพวกเดียรถีย์

๕. การนึกถูกทาง
๖. การสนทนาเรื่องต่าง ๆ
๗. มากด้วยความรักในเหตุผล
๘. อยู่ในประเทศอันสมควร"

"ข้าแต่พระนาคเสน ภูมิภาคนี้ประกอบด้วยองค์ ๘ อีกอย่างหนึ่ง โยมก็เป็นเพื่อนร่วมคิดอย่างเยี่ยมในโลก โลกนี้ยังเป็นไปอยู่ตราบใด โยมยังมีชีวีตอยู่ตราบใด ก็จะรักษาความลับไว้ให้ได้ตราบนั้น

ความรู้ย่อมเจริญขึ้นด้วยเหตุ ๘ อย่างนี้ ศิษย์ผู้ปฏิบัติชอบเหมือนอย่างทุกวันนี้หาได้ยาก ส่วนอาจารย์ก็ควรปฏิบัติชอบให้ประกอบด้วยคุณของอาจารย์ ๒๕ ประการ



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:40:59


คุณของอาจารย์ ๒๕ ประการ

๑. ดูแลศิษย์เนือง ๆ
๒. รู้จักคนที่ควรคบและไม่ควรคบ
๓. รู้ว่าศิษย์ประมาทหรือไม่ประมาท
๔. รู้เวลาที่ศิษย์นอน
๕. รู้เวลาศิษย์เจ็บไข้

๖. รู้ว่าศิษย์ได้อาหารหรือยังไม่ได้
๗. รู้คุณวิเศษต่าง ๆ
๘. รู้จักแจกแบ่งอาหารให้ศิษย์
๙. รู้จักปลอบศิษย์ไม่ให้กลัว
๑๐. สอนให้ศิษย์ประพฤติตามเยี่ยงอย่างคนดี

๑๑. ต้องรู้จักรอบ ๆ บ้าน
๑๒. ต้องรู้จักรอบ ๆ วิหาร
๑๓. ไม่ควรเล่นหัวตลกคะนองกับศิษย์
๑๔. ควรรู้จักอดโทษศิษย์
๑๕. ควรตั้งใจทำดีต่อศิษย์

๑๖. ควรประพฤติให้เป็นระเบียบต่อศิษย์
๑๗. ไม่ควรปิด ๆ บัง ๆ ศิษย์
๑๘. สอนความรู้ให้ศิษย์สิ้นเชิง
๑๙. ควรคิดอยากให้ศิษย์รู้ศิลปะ
๒๐. ควรคิดแต่ทางที่จะให้ศิษย์เจริญ

๒๑. ควรคิดอยากให้ศิษย์ชอบเรียน
๒๒. ควรมีจิตอันเมตตาต่อศิษย์
๒๓. ไม่ควรทิ้งศิษย์เวลามีอันตราย
๒๔. ไม่ควรประมาทกิริยาต่อศิษย์
๒๕. ควรประคองศิษย์ผู้พลั้งพลาด

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คุณของอาจารย์มีอยู่ ๒๕ ประการ ดังที่ว่านี้ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงประพฤติชอบต่อโยม ด้วยคุณธรรมเหล่านี้ ศิษย์ผู้เป็นเช่นโยมนี้หาได้ยาก ความสงสัยใหญ่ได้มีอยู่แก่โยมเพราะ " เมณฑกปัญหา "คือปัญหาอันเปรียบดัวยแพะชนกัน สมเด็จพระภควันต์ได้ทรงแสดงไว้แล้ว ต่อไปข้างหน้าจักมีการถือผิดกัน ทะเลาะกันในเมณฑกปัญหานั้น อาจารย์ผู้ถูกปรวาที ( ฝ่ายตรงข้าม ) ไต่ถาม เมื่อรู้ก็จะแก้ได้ จะจำแนกแจกเนื้อความได้ จักทำลายปัญหาที่เป็นข้อเป็นปมออกได้ ต่อไปข้างหน้าพระภิกษุผู้เหมือนกับพระผู้เป็นเจ้าจักหาได้ยาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้จักษุ ให้ปัญหาแก่โยมไว้ เพื่อจะข่มเสียซึ่งคำที่เป็นเสี้ยนหนามต่อพระศาสนา"

พระนาคเสนเถระรับว่า
" ดีแล้ว มหาบพิตร "

แล้วจึงแสดงคุณแห่งอุบาสก ๑๐ ว่า
" มหาบพิตร คุณของอุบาสกมีอยู่ ๑๐ ประการ คืออะไรบ้าง?



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:42:32


คุณแห่งอุบาสก ๑๐ ประการ

๑. เป็นผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์กับพระภิกษุสงฆ์
๒. รักษากายวาจาดี
๓. ถือธรรมะเป็นใหญ่
๔. ยินดีในการจำแนกแจกทาน
๕. พยายามเพื่อให้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า

๖. เป็นผู้มีความเห็นถูก
๗. เป็นคนเชื่อกรรม
๘. ไม่ถือผู้อื่นว่าดีกว่าพระพุทธเจ้า
๙. ยินดีในความพร้อมเพรียง
๑๐. ไม่เป็นคนลวงโลก มีแต่นับถือพระรัตนตรัยโดยตรง

ขอถวายพระพร คุณของอุบาสกทั้ง ๑๐ นี้ มีอยู่ในมหาบพิตรแล้ว การที่มหาบพิตรเล็งเห็นความเสื่อมเสียแห่งพระพุทธศาสนามุ่งแต่ความเจริญแล้วนั้น เป็นการสมควรแท้ อาตมภาพถวายโอกาสแก่มหาบพิตร ขอมหาบพิตรจงทรงไต่ถามตามพระทัยเถิด"

จบตอนปรารภเมณฑกปัญหา



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:43:55


   (http://upic.me/i/u7/lotus-flower-dscn1628.jpg)

เมณฑกปัญหา
วรรคที่ ๑

(http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRcl1sZyVcxqMCBYHJ_4Bat0HOoniGBsKGUecSZg5TRZQ0omrQ&t=1&usg=__FWKgmu0od29u40yNYg0Rch7bEc4=)

ปัญหาที่ ๑ ว่าด้วยการบูชาพระพุทธเจ้า

ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงทรงดำริว่า พระนาคเสนให้โอกาสแก่เราแล้ว ครั้งทรงดำริดังนี้แล้ว จึงทรงหมอบลงในที่ใกล้เท้าของพระนาคเสน แล้วทรงประนมอัญชลีขึ้นที่พระเศียรแล้วตรัสว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน พวกเดียรถีย์กล่าวว่า ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงยินดีต่อการบูชาอยู่ ก็ยังไม่ชื่อว่าปรินิพพาน ยังเกี่ยวข้องอยู่กับโลก ยังติดอยู่ในโลก ยังสาธารณะอยู่กับโลก การบูชาพระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นหมัน ยังมีผลอยู่ ถ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกับโลกแล้ว หลุดพ้นไปจากภพทั้งปวงแล้ว การบูชาพระพุทธเจ้าก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะผู้ปรินิพพานแล้ว ย่อมไม่รู้จักยินดีต่อสิ่งใด การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ไม่รู้จักยินดีก็เป็นหมัน ไม่มีผลอันใด

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ปัญหานี้เป็น อุภโตโกฏิ สองเงื่อนสองแง่ ไม่ใช่วิสัยของผู้มีความคิดสติปัญญาน้อยเลย เป็นวิสัยของผู้มีความคิดสติปัญญามาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงทำลายข่ายคือทิฏฐินี้เสีย พระผู้เป็นเจ้าสามารถทำลายข่าย คือ ทิฏฐินี้ได้โดยแท้ ปัญหานี้ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้ดวงตา คือปัญญาแก่พระชินบุตรทั้งหลายในอนาคต เพื่อจะได้ข่มเสียซึ่งถ้อยคำอันเป็นหลักตอในพระพุทธศาสนา พระคุณเจ้า "

ลำดับนั้น พระนาคเสนเถระจึงตอบว่า
" มหาราชะ ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระราชสมภาร สมเด็จพระพิชิตมารปรินิพพานแล้วจริง พระองค์เมื่อยังไม่ปรินิพพาน ก็ไม่ทรงยินดีต่อการบูชา เพราะว่าได้ทรงสละความยินดีเสียที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิโน้นแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงพระพุทธเจ้า ผู้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว "

ข้อนี้สมกับที่ พระสารีบุตร ผู้เป็นพระธรรมเสนาบดีได้กล่าวไว้ว่า
" พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เสมอกับพระพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอเหมือน ผู้อันเทพยดา มนุษย์ทั้งหลายสักการบูชาแล้วนั้น ย่อมไม่ทรงยินดีต่อสักการบูชาเลย อันนี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย "

" ดังนี้ ขอถวายพระพร "
พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน ธรรมดาบุตรก็ย่อมสรรเสริญบิดา บิดาก็ย่อมสรรเสริญบุตร ข้อนี้ไม่เป็นเหตุให้ข่มขี่ถ้อยคำของผู้อื่นได้ ข้อนี้ยังเชื่อฟังไม่ได้ก่อน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงกล่าวถึงเหตุการณ์ทั้งปวง เพื่อให้ถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้ามั่นคงเพื่อทำลายเสียซึ่งข่าย คือ ทิฏฐินี้เถิด "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:46:06


อุปมาเหมือนกองไฟใหญ่

ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าได้ดับขันธปรินิพพานแล้วจริง พระองค์นั้นย่อมไม่ทรงยินดีต่อการบูชา แต่เทพยดามนุษย์ทั้งหลายกระทำซึ่งพระอัฏฐิธาตุของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่รู้จักทรงยินดีผู้ปรินิพพานแล้วนั้น ให้เป็นอารมณ์ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็ย่อมได้สมบัติ ๓ ประการ ( คือมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ) เนื้อความข้อนี้ควรทราบได้ด้วยอุปมา จะอุปมาเหมือนอะไร...เปรียบเหมือนกองไฟใหญ่ลุกรุ่งเรืองแล้วดับไป อาตมาขอถามว่ากองไฟใหญ่นั้น ยินดีต่อเชื้อไฟ คือหญ้าและไม่หรือ...มหาบพิตร ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กองไฟใหญ่นั้น ถึงจะยังลุกโพลงอยู่ ก็ไม่ยินดีต่อเชื้อ คือหญ้าและไม้ ไม่ต้องพูดถึงไฟที่ดับไปแล้ว เพราะไฟไม่มีเจตนาจะยินดีอย่างไร "

" ขอถวายพระพร เมื่อไฟนั้นดับไปแล้วโลกมิสูญจากไฟหรือ...พวกมนุษย์ที่ต้องการไฟก็ไม่สมหวังน่ะซิ ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะว่าไม้ย่อมเป็นวัตถุที่จะให้เกิดไฟขึ้นได้ พวกที่ต้องการไฟก็เอาไม้มาสีกัน แล้วก็ทำให้เกิดไฟขึ้นได้ "

" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นถ้อยคำของพวกเดียรถีย์ที่ว่า การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ไม่รู้จักยินดี เป็นของหมัน ไม่มีผลนั้นก็ผิดไป เพราะว่าพระพุทธเจ้าย่อมรุ่งเรืองอยู่ในหมื่นโลกธาตุด้วยพระพุทธรัศมี เหมือนกับกองไฟใหญ่ฉะนั้น ขอถวายพระพร

กองไฟใหญ่รุ่งเรืองแล้วดับไปฉันใด พระพุทธเจ้าก็ทรงรุ่งเรืองด้วยพระพุทธรังสีในหมื่นโลกธาตุ แล้วดับไปด้วยการดับขันธ์ฉันนั้น ไฟที่ดับแล้วย่อมไม่ยินดีต่อเชื้อ คือหญ้าและไม้ฉันใด เทพยดามนุษย์ทั้งหลายนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่รู้จักยินดีแล้ว ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ได้สมบัติ ๓ ประการฉันนั้น ด้วยเหตุนี้แหละ มหาบพิตร การสักการบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ดับขันธปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่ทรงยินดีต่อสิ่งใด จึงไม่เป็นหมัน จึงมีผล "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:47:19


อุปมาเหมือนลมใหญ่

" ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจงทรงสดับเหตุการณ์อื่นอีกให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ ถ้ามหาบพิตรยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ด้วยเหตุที่การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่ทรงยินดีว่า ไม่เป็นหมัน ยังมีผลอยู่นั้น อาตมภาพจะอุปมาถวาย กล่าวคือ ลมใหญ่พัดมาแล้วหายไป ขอถามว่า ลมที่หายไปแล้วนั้น จะกลับพัดมาอีกหรือไม่ ? "

" ไม่กลับพัดมาอีก ผู้เป็นเจ้า เพราะลมนั้นไม่มีความผูกใจ หรือการกระทำไว้ในใจที่จะพัดมาอีกเลย ด้วยเหตุว่า ลมนั้นไม่มีเจตนา "

" ขอถวายพระพร ลมที่หายไปแล้วนั้นชื่อว่าขาดหายไปด้วยหรือ ? "

" ไม่ขาดหายไป ผู้เป็นเจ้า คือมนุษย์เหล่าใดร้อนขึ้นมาแล้ว มนุษย์เหล่านั้นก็ทำให้ลมเกิดขึ้นด้วยใบตาล หรือด้วยเครื่องพัดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามเรี่ยวแรงกำลังของตน แล้วกระทำให้ความร้อนนั้นหายไปด้วยลมนั้น "

" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นคำที่พวกเดียรถีย์ว่า การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ดับขันธปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่รู้จักทรงยินดี เป็นของหมัน ไม่มีผลนั้นก็ผิดไป เพราะพระพุทธเจ้าได้พัดสัตว์โลกให้เย็นด้วยลมคือ พระเมตตาพรหมวิหาร อันเกษมศานต์ สุขุมเย็นใจ แผ่ไปทั่วหมื่นโลกธาตุเหมือนกับลมใหญ่พัดให้สัตว์โลกเย็นฉะนั้น

ลมใหญ่พัดมาแล้วหายไปฉันใด พระพุทธเจ้าก็พัดสัตว์โลกในหมื่นโลกธาตุ ให้เย็นด้วยเมตตาอันสุขุมยิ่ง แล้วก็ดับขันธ์ไปฉันนั้น

ลมที่หายไปแล้วกลับพัดขึ้นมาอีก ก็ไม่รู้สึกยินดีฉันใด ความยินดีของพระพุทธเจ้าผู้ทรงเกื้อกูลโลกก็สงบไปแล้วฉันนั้น พวกมนุษย์ที่ร้อน ที่มีอุปมาฉันใดเทพยดามนุษย์ทั้งหลายที่เร่าร้อนด้วยไฟกิเลส ๓ กอง ก็มีอุปมาฉันนั้น

ใบตาลและเครื่องพัด ย่อมเป็นเหตุให้ลมเกิดขึ้นฉันใด พระธาตุรัตนะ พระญาณรัตนะของพระพุทธเจ้า ก็เป็นเหตุให้ได้สมบัติ ๓ ประการ ฉันนั้น

เมื่อพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หรือเมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็ดี ผู้ใดสักการบูชาด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ผู้นั้นก็ได้ความรื่นเริงบันเทิงใจ พวกที่ปรารถนาสมบัติ ๓ ประการ ก็ได้สำเร็จสมความปรารถนา

พวกมนุษย์ที่ร้อนทำให้ลมเกิดขึ้นด้วยใบตาล หรือด้วยเครื่องพัดอย่างใดอย่างหนึ่งก็ทำให้ความร้อนนั้นดับไปได้ฉันใด เทพยดา มนุษย์ทั้งหลาย บูชาพระธาตุรัตนะ และพระญาณรัตนะ ของพระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่ทรงยินดี ทำกุศลให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับความเร่าร้อน ๓ ประการ ด้วยกุศลนั้น

ด้วยเหตุนี้แหละ มหาบพิตร จึงเป็นอันว่า การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่รู้จักทรงยินดี ไม่เป็นหมัน ยังมีผลอยู่ "

" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวบรรยายมากเกินไป ขอจงกล่าวเฉพาะใจความให้กระทัดรัดเถิด "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:48:30


อุปมาเหมือนเสียงกลอง

" ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจงทรงสดับเหตุอื่นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก เพื่อข่มขี่ถ้อยคำของผู้อื่นเสีย คือบุรุษคนหนึ่งตีกลองทำให้เกิดเสียงขึ้น เสียงกลองที่บุรุษนั้นทำให้เกิดขึ้นก็หายไป เสียงกลองที่หายไปแล้วนั้น ยินดีที่จะเกิดมาอีกหรือไม่ ? "

" ไม่ยินดี ผู้เป็นเจ้า เพราะว่าเสียงกลองนั้น ไม่มีความผูกใจหรือใส่ใจอันใด เมื่อดังขึ้นแล้วหายไปก็เป็นอันขาดเสียง แต่กลองนั้นยังเป็นของที่จะทำให้เกิดเสียงได้อยู่ เมื่อเหตุปัจจัยมีอยู่บุรุษก็ตีกลองให้เกิดเสียงได้อีก "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าทรงตั้งพระธาตุรัตนะ อันพระองค์ทรงอบรมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติ ญาณทัสสนะ ไว้แล้ว ทรงตั้งพระธรรมวินัยให้แทนพระองค์ไว้แล้ว จึงดับขันธปรินิพพานไป ไม่ใช่ว่าเมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว การได้สมบัติจะขาดไป คือสัตว์ทั้งหลายที่ถูกความทุกข์ในโลกบีบคั้นแล้ว ก็กระทำพระธาตุรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระวินัยรัตนะ ให้เป็นปัจจัยสืบต่อไปแล้ว ก็ทำให้เกิดสมบัติได้ตามปรารถนา เหมือนกับกลองทำให้เกิดเสียงได้ฉะนั้น ขอถวายพระพร

ถ้ากลองที่จะทำให้เกิดเสียงมีอยู่ เมื่อมีผู้ตีกลองก็ทำให้เกิดเสียงได้อีกฉันใด เมื่อพระธาตุรัตนะมีอยู่ ผู้ปรารถนาสมบัติกระทำพระธาตุรัตนะ ให้เป็นปัจจัยสืบต่อไป ก็ย่อมได้สมบัติฉันนั้น ด้วยเหตุอันนี้จึงชี้ให้เห็นว่า การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่รู้จักทรงยินดี ยังมีอานิสงส์ ยังมีผลอยู่ ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระศากยมุนีได้ตรัสไว้ว่า

" ดูก่อนอานนท์ ต่อไปข้างหน้าจะมีผู้กล่าวว่า ศาสนาไม่มีพระศาสดาแล้ว พระศาสดาของพวกท่านก็ต้องไม่มี ดังนี้ แต่ว่าอานนท์ไม่ควรเห็นอย่างนี้ คือธรรมวินัยอันใดที่เราแสดงไว้แล้ว บัญญัติไว้แล้ว ธรรมวินัยอันนั้นแหละ เมื่อเราล่วงไปแล้ว จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย "

ดังนี้ เพราะเหตุนี้แหละ มหาบพิตร จึงว่าคำที่พวกเดียรถีย์ว่า การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่จักทรงยินดี เป็นของหมัน ไม่มีผลนั้น ผิดไป "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:49:49


อุปมาเหมือนแผ่นดินใหญ่

" ขอถวายพระพร ขอจงทรงสดับเหตุอย่างอื่นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก เพื่อให้ทรงเข้าพระทัยว่าการบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ปรินิพพานแล้วนั้น ยังมีอานิสงส์ ยังมีผลอยู่ คือแผ่นดินอันใหญ่นี้ย่อมยินดีว่า พืชทั้งปวงงอกงามขึ้นในตัวเราหรือไม่ ? "

" ไม่ยินดีเลย พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร เมื่อแผ่นดินอันใหญ่ไม่ยินดี เหตุใดพืชทั้งปวงนั้นจึงงอกงามขึ้น มีรากมั่นคง มีต้น มีแก่น กิ่งใบ ดอกผลเล่า ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถึงแผ่นดินใหญ่จะไม่ยินดี.. ก็ดี ก็เป็นที่ตั้งแห่งพืชเหล่านั้น พืชเหล่านั้นจึงงอกงามขึ้นได้ "

" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่าได้กำจัดถ้อยคำของพวกเดียรถีย์ให้หมดสิ้นไปแล้ว ด้วยอุปมาข้อนี้ ขอถวายพระพร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาจรณะผู้เสด็จไปดี ผู้รู้ตลอดโลก เหมือนกับแผ่นดินอันใหญ่ คือแผ่นดินใหญ่ไม่รู้จักยินดีต่อพืชใด ๆ ฉันใด พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงยินดีต่ออะไรในโลกฉันนั้น ขอถวายพระพร พืชทั้งปวงนั้น ได้อาศัยแผ่นดินแล้วก็งอกงามขึ้น มีราก มีลำต้น กิ่งใบดอกผลฉันใด เทพยดามนุษย์ทั้งหลาย ได้อาศัยพระญาณรัตนะของพระพุทธเจ้า ผู้ปรินิพพานแล้วผู้ไม่ทรงยินดีต่อสิ่งใด ก็เกิดรากคือกุศลมั่นคงเกิดแก่นคือสมาธิธรรม มีกิ่งคือศีล มีดอกคือวิมุตติ มีผลคือโลกุตตรผล ฉันนั้น ดัวยเหตุอันนี้จึงชี้ให้เห็นว่า การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่เป็นหมันยังมีผลอยู่ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:51:00


อุปมาเหมือนสัตว์เลี้ยง

" ขอถวายพระพร จงทรงสดับเหตุอื่นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือ อูฐ โค ลา ช้าง กระบือ สัตว์ของเลี้ยง และมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้ ยินดีต่อหมู่หนอนที่มีอยู่ในท้องของตนหรือไม่ ? "

" ไม่ยินดีเลย พระผู้เป็นเจ้า "

" ในเมื่อไม่ยินดี เหตุไรหมู่หนอนเหล่านั้นจึงมีลูก หลาน เหลน เกิดขึ้นมากมายในท้องของสัตว์เหล่านั้น ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพราะเหตุบาปกรรมของสัตว์เหล่านั้น ทำให้เกิดหมู่หนอนในท้องน่ะซิ "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สักการบูชาที่บุคคลกระทำต่อพระพุทธเจ้า จึงไม่เป็นหมัน ยังมีผลอยู่ เพราะพระธาตุรัตนะ พระญาณรัตนะ ของพระพุทธเจ้านั้น ยังมีกำลังแรงกล้าอยู่ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:52:14


อุปมาเหมือนกับโรคต่าง ๆ

" ขอมหาบพิตรจงทรงสดับเหตุอื่นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือมนุษย์ทั้งหลายยินดีให้ฉัพพนวุติโรค คือโรค ๙๖ ประการ เกิดขึ้นในร่างกายของตนหรือไม่ ? "

" ไม่ยินดีเลย พระผู้เป็นเจ้า "

" ในเมื่อไม่ยินดี เหตุไรโรคเหล่านั้น จึงเกิดขึ้นในร่างกายของมนุษย์ ? "

" เหตุทุจริตที่เขาทำไว้ในปางก่อนน่ะซิ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ถ้าอกุศลที่เขาทำไว้ในชาติก่อน ทำให้ได้รับผลในชาตินี้ กุศลกรรม อกุศลกรรม ที่เขาทำไว้ในชาติก่อนก็ดี ในชาตินี้ก็ดี ก็ต้องไม่เป็นหมัน ยังมีผลอยู่ ถึงด้วยเหตุอันนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า การบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็ไม่เป็นหมัน ยังมีผลอยู่"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:53:05


เรื่องนันทกยักษ์

" มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า นันทกยักษ์ มีจิตคิดร้ายต่อ พระสารีบุตรเถระ แล้วถูกแผ่นดินสูบ ? "
" ไม่เคยสดับ ผู้เป็นเจ้า เพราะเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในโลก"
" ขอถวายพระพร พระสารีบุตรยินดีให้นันทกยักษ์ถูกแผ่นดินสูบหรือไม่? "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถึงมนุษย์โลก เทวโลกเป็นไปอยู่ก็ดี ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จะตกลงมาที่พื้นดินก็ดี พระยาเขาสิเนรุจะแตกกระจัดกระจายก็ดี พระสารีบุตรก็ไม่ยินดีต่อทุกข์ของผู้อื่น เพราะเหตุว่าพระเถระนั้น ได้ตัดมูลเหตุที่ให้เกิดความยินดีร้ายเสียแล้ว ถึงจะมีผู้ทำลายชีวิตของท่าน ท่านก็ไม่โกรธ "

พระนาคเสนจึงถามต่อไปว่า
" ขอถวายพระพร ถ้าพระสารีบุตรไม่ยินดีให้แผ่นดินสูบนันทกยักษ์ เหตุใดนันทกยักษ์จึงถูกแผ่นดินสูบจมลงไปใต้พื้นดิน ?"

" อ๋อ...เพราะเหตุอกุศลกรรมของเขาแรงกล้าน่ะซิ พระผู้เป็นเจ้า"

" ขอถวายพระพร ถ้านันทกยักษ์จมลงไปในพื้นดิน เพราะอกุศลกรรมของเขาแรงกล้า การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ไม่รู้จักทรงยินดี ก็ไม่เป็นหมัน ยังมีอานิสงส์อยู่ เพราะกุศลกรรมเป็นของแรงกล้า ด้วยเหตุอันนี้ก็ดี จึงชี้ให้เห็นว่า การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ดับขันธปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่รู้จักทรงยินดี ก็ยังมีผลอยู่ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:54:29


(http://www.larnbuddhism.com/puttaprawat/image/22.gif)

ผู้ที่ถูกแผ่นดินสูบมี ๔ คน

" ขอถวายพระพร พวกมนุษย์ที่ถูกแผ่นดินสูบในครั้งพุทธกาลนี้ มีอยู่สักเท่าไร...มหาบพิตรได้เคยสดับหรือไม่ ? "
" เคยสดับ ผู้เป็นเจ้า "

" ขอเชิญมหาบพิตรว่าไป คือใครบ้าง ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คนที่ถูกแผ่นดินสูบนั้น โยมได้สดับมาว่ามีอยู่ ๕ คน คือ
นางจิญจมาณวิกา ๑ สุปปพุทธสักยะ ๑ พระเทวทัต ๑
นันทกยักษ์ ๑ นันทมาณพ ๑"

" ขอถวายพระพร บุคคลเหล่านั้นผิดต่อใคร ? "
" ผิดต่อพระพุทธเจ้าก็มี ผิดต่อพระสาวกก็มี พระผู้เป็นเจ้า"

" ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าทรงยินดีให้บุคคลเหล่านั้นถูกแผ่นดินสูบจนลงไปในแผ่นดินหรือไม่ ?"
" ไม่ทรงยินดีเลย พระผู้เป็นเจ้า "
" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นขอจงเข้าพระทัยเถิดว่า การบูชาพระพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ผู้ไม่รู้จักทรงยินดี จึงไม่เป็นหมัน ยังมีผลอยู่ "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสสรรเสริญว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาอันรู้ได้ยาก พระผู้เป็นเจ้าทำให้รู้ได้ง่ายแล้ว ปัญหาอันลึก พระผู้เป็นเจ้าทำให้ตื้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้าได้ทำลายข้อลี้ลับแล้ว ทำลายข้อยุ่งยากแล้ว ทำลายถ้อยคำของผู้อื่นแล้ว ความเห็นอันชั่วร้ายของพวกเดียรถีย์สิ้นแล้ว พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว ซึ่งความเป็นผู้ประเสริฐในหมู่ผู้ประเสริฐ"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:55:44


            (http://larndham.org/uploads/av-1072.jpg)

ปัญหาที่ ๒ ถามถึงความเป็น พระสัพพัญญูของพระพุทธเจ้า

"ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู คือรู้ทุกสิ่งจริงหรือ? "
" ขอถวายพระพร จริง แต่ว่าความรู้ความเห็นของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ปรากฏอยู่เป็นนิจ คือเป็นของเนื่องด้วยการนึก พระพุทธเจ้าทรงนึกอยากรู้สิ่งใด ก็รู้สิ่งนั้นสิ้นเท่านั้น"

" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พระสัพพัญญู เพราะถ้าความรู้สิ่งทั้งปวง ยังเป็นของต้องแสวงหาอยู่ "
" ขอถวายพระพร มีข้าวเปลือกอยู่ ๑๐๐ เกวียน บุคคลตักออกคราวละ ๕ ทะนาน ๔ ทะนาน ๓ ทะนาน ๒ ทะนาน จิตที่เป็นไปในขณะลัดนิ้วมือเดียว อันกำหนดข้าวเปลือกว่ามีเท่านั้น ๆ ก็ถึงซึ่งความสิ้นไป"

   จิตของผู้ที่ยังไม่ได้อบรม
   บุคคลเหล่าใดยังมีราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา กิเลสอยู่ ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต ไม่ได้อบรมปัญญา จิตของบุคคลเหล่านั้นก็เกิดช้า เป็นไปช้า เพราะไม่ได้อบรมจิต เหมือนกับบุคคลตัดไม้ไผ่ที่มีแขนง เกี่ยวกระหวัดรัดรึงหุ้มห่อ รกรุงรัง ให้ขาดแล้ว ก็ดึงมาได้ช้าฉันนั้น อันนี้เป็น จิตดวงที่ ๑

   จิตของพระโสดาบัน
   จิตดวงที่ ๒ นั้นได้แก่จิตของพระโสดาบัน คือพระโสดาบันทั้งหลาย ผู้พ้นอบายภูมิแล้ว ผู้ถึงความเห็นแล้ว ผู้รู้แจ้งพระพุทธศาสนาแล้วมีอยู่ จิตของพระโสดาบันทั้งหลายนั้น ย่อมเกิดไว เป็นไปไวในที่ทั้ง ๓ ( คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ) แต่เกิดช้า เป็นไปช้า ในชั้นสูงขึ้นไป เพราะยังไม่ได้ละกิเลสชั้นสูง ข้อนี้เหมือนกับบุคคลตัดไม้ไผ่แล้ว ลิดข้อลิดปมทั้ง ๓ ข้อ แต่ยังไม่ได้ตัดยอดเบื้องบนให้ขาด ให้หายรุกรัง ก็ดึงมาได้ช้าฉะนั้น

   จิตของพระสกิทาคามี
   จิตดวงที่ ๓ นั้น ได้แก่จิตของพระสกิทาคามี คือจิตของสกิทาคามี ผู้มีราคะ โทสะ โมหะ น้อยเบาบางลงมากนั้น ย่อมเกิดเร็ว เป็นไปเร็ว ในฐานะทั้ง ๕ แต่เกิดช้า เป็นไปช้า ในชั้นสูงขึ้นไป เปรียบเหมือนกับบุคคลตัดไม้ไผ่ ลิดข้อทั้ง ๕ ให้ขาดแล้ว ก็ดึงมาได้ไวหน่อย แต่ว่าเมื่อข้างปลายยังรกรุงรังอยู่ ก็ยังดึงมาได้ช้าเพราะเบื้องบนยังรุงรัง อันเปรียบเหมือนยังไม่ได้ละกิเลสชั้นสูงฉะนั้น

   จิตของพระอนาคามี
   จิตดวงที่ ๔ ได้แก่จิตของพระอนาคามีที่ละสังโยชน์ ๕ เบื้องต่ำได้ขาดแล้ว จิตของพระอนาคามีย่อมเกิดเร็ว เป็นไปเร็ว ในฐานะทั้ง ๑๐ แต่เกิดช้า เป็นไปช้าในชั้นสูงขึ้นไปเพราะยังไม่ได้ละกิเลสชั้นสูง เหมือนกับบุคคลตัดไม้ไผ่ ลิดข้อทั้ง ๑๐ ให้เกลี้ยงเกลาดีแล้ว ก็ดึงมาได้เร็วเพียง ๑๐ ปล้องเท่านั้น พ้นจากนั้นยังดึงมาได้ช้าฉะนั้น

   จิตของพระอรหันต์
   จิตดวงที่ ๕ ได้แก่จิตของพระอรหันต์คือจิตของพระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวกิเลสทั้งหมดแล้ว ย่อมเกิดเร็ว เป็นไปเร็วในวิสัยของสาวก แต่เกิดช้า เป็นไปช้า ในภูมิพระปัจเจกพุทธเจ้าที่สูงกว่า เปรียบเหมือนบุคคลตัดไม้ไผ่ ลิดข้อทั้งปวงให้ตลอดลำแล้ว ก็ดึงมาได้เร็วฉันนั้น

   จิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า

   จิตดวงที่ ๖ ได้แก่จิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้เอง ไม่มีอาจารย์ ก็เกิดได้เร็ว เป็นไปเร็ว ในภูมิของตนเท่านั้น แต่เกิดช้า เป็นไปช้า ในภูมิของพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเพราะภูมิของพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น เป็นของใหญ่ เปรียบเทียบเหมือนบุรุษผู้ไม่กลัวน้ำ ก็ว่ายข้ามแม่น้ำน้อยได้ตามสบาย แต่พอไปถึงน้ำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แลไม่เห็นฝั่งก็กลัวก็สะดุ้ง ก็ช้า ก็ไม่อาจข้ามไปได้ฉะนั้น



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:57:08


จิตของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า

จิตดวงที่ ๗ ได้แก่จิตของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้ทรงทศพลญาณ จตุเวสารัชชญาณ ประกอบด้วยพุทธธรรม ๑๘ ชนะไม่มีที่สิ้นสุด มีญานไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมเกิดรวดเร็วเป็นไปรวดเร็วในสิ่งทั้งปวงเพราะจิตบริสุทธิ์ในสิ่งทั้งปวงแล้ว

" ขอถวายพระพร ลูกศรที่ไม่มีข้อ มีปมที่เกลี้ยงเกลา ไม่มัวหมอง อันนายธนูยกขึ้นสู่แล่งธนู อันไม่คดโก่ง อันเลี่ยงสุขุมเป็นอันดีแล้วยิงไปที่ผ้าฝ้าย หรือผ้ากัมพลเนื้อละเอียด ลูกศรนั้นจะทะลุไปได้ช้า หรือว่าจะข้องอยู่ที่ผ้าประการใด ? "
" อ๋อ...ไม่ช้า พระผู้เป็นเจ้า ลูกศรนั้นต้องทะลุไปได้อย่างรวดเร็ว"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ความคิดของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็ทะลุปรุโปร่งไปในสิ่งทั้งปวงได้รวดเร็วฉะนั้น

ขอถวายพระพร จิตของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ได้ล่วงเลยจิตทั้ง ๖ ไปแล้ว จึงเป็นจิตบริสุทธิ์ เป็นจิตรวดเร็ว เป็นจิตหาเครื่องเปรียบมิได้ ด้วยคุณอันคณานับมิได้ เพราะเหตุที่จิตของพระพุทธเจ้า เป็นจิตบริสุทธิ์รวดเร็วนั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ได้ จิตของพระพุทธเจ้าในเวลาทรงทำยมกปาฏิหาริย์นั้น เป็นไปรวดเร็วนักไม่มีใครอาจชี้เหตุการณ์ได้ มหาบพิตร ปาฏิหาริย์เหล่านั้น เมื่อเทียบกับจิตของพระสัพพัญญูทั้งหลายแล้ว ยังไม่ได้เสี้ยวหนึ่ง เพราะพระสัพพัญญุตญาณของพระพุทธเจ้า เนื่องด้วยการนึกด้วยจิตนั้น พอนึกก็รู้ได้ตามประสงค์"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 11:59:14


อุปมาเหมือนผู้ยกสิ่งของ

" ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าบุรุษยกของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่วางอยู่ที่มือข้างหนึ่งมาไว้บนมืออีกข้างหนึ่ง หรืออ้าปากพูด กลืนอาหาร ลืมตา หลับตา คู้แขน เหยียดแขน อันนับว่าเร็วอยู่แล้ว แต่ยังช้ากว่าพระสัพพัญญุตญาณ คือพอพระพุทธเจ้าทรงนึกก็รู้ได้ทันที ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จะไม่เป็นพระสัพพัญญูด้วยเหตุเพียงนึกเท่านี้"

" ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อยังนึกหาอยู่ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นพระสัพพัญญู ขอนิมนต์ชี้แจงให้โยมเข้าใจตามเหตุการณ์อีกเถิด "

อุปมาเหมือนบุรุษผู้มั่งคั่ง

" ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษผู้หนึ่ง เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีเครื่องกินมาก มีเงินทองมาก มีเครื่องปลื้มใจมาก มีธัญชาติ ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ข้าวสาร งา ถั่ว ฟักแฟง แตงเต้า เนยใส น้ำมัน นมข้น นมสด นมส้ม น้ำผึ้ง น้ำอ้อย อยู่มาก เวลามีแขกมาหา ซึ่งเป็นผู้ควรต้อนรับด้วยอาหาร อาหารก็ทำเสร็จแล้ว ยังแต่จะต้องคดข้าวออกจากหม้อเท่านั้น บุรุษนั้นจะเรียกว่า เป็นผู้มีทรัพย์มาก หรือจะเรียกว่าไม่มีทรัพย์มาก ด้วยเหตุเพียงเวลาคดข้าวจากหม้อเท่านั้นหรืออย่างไร ?"

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทำไมจึงว่าอย่างนี้ ถึงในราชมณเฑียรของพระเจ้าจักรพรรดิก็ตาม ถ้านอกเวลาก็ต้องรอเวลาอาหารสุก ไม่ต้องพูดถึงในบ้านเรือนของคฤหบดี "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือ พระสัพพัญญุตญาณอันเนื่องด้วยการนึกของพระพุทธเจ้านั้น พอถึงก็รู้ได้ตามประสงค์ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 12:05:59


อุปมาเหมือนต้นไม้ที่มีผล

" ขอถวายพระพร ต้นไม้ที่มีผลดกเต็มต้นยังไม่มีผลหล่นลงมาเลย เมื่อรอเวลาผลหล่นลงมา จะเรียกว่าต้นไม้นั้น ไม่มีผลได้หรือไม่? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า เพราะต้นไม้นั้นเนื่องด้วยการหล่นแห่งผล พอผลหล่นลงคนก็เก็บเอาได้ตามประสงค์ "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระสัพพัญญุตญาณก็เนื่องด้วยการนึกของพระพุทธเจ้า พอนึกก็รู้ทันที "

" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงนึกก็รู้ได้ทันทีอย่างนั้นหรือ? "
" อย่างนั้น มหาบพิตร คือพระเจ้าจักรพรรดิพอทรงนึกถึงจักรแก้ว จักรแก้วก็มาปรากฏทันทีฉันใด พระพุทธเจ้าพอนึกก็รู้ทุกสิ่งฉันนั้น ขอถวายพระพร"

" ข้าแต่พระนาคเสน โยมตกลงรับว่าพระพุทธเจ้าเป็น พระสัพพัญญู แน่ละ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 14:00:30


       (http://www.larnbuddhism.com/atatakka/pratera/Bud44.jpg)

ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องโปรดให้พระเทวทัตบรรพชา

ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่าพระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณา เป็นผู้แสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายอย่างนั้นหรือ ? "
" อย่างนั้น มหาบพิตร "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระเทวทัต ใครบวชให้ ขอจงว่าไปตามจริง ? "
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าทรงบวชให้พร้อมกับ พระภัททิยะ พระอนุรุทธ พระอานนท์ พระภัคคุ พระกิมพิละ พระอุบาลี "

" ข้าแต่พระนาคเสน พระเทวทัตบวชแล้วจึงทำสังฆเภทได้ เพราะคฤหัสถ์ หรือ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี ทำสังฆเภทไม่ได้ ทำได้แต่เฉพาะภิกษุ ผู้ยังเป็นภิกษุอยู่ตามปกติ ยังร่วมกับสงฆ์ได้อยู่ อยู่ในเสมาอันเดียวกันกับสงฆ์เท่านั้น "

" ถูกอย่างนั้น มหาบพิตร พระเทวทัตบวชแล้วจึงทำสังฆเภทได้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 14:21:08


พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุการณ์ล่วงหน้า

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทำสังฆเภทได้รับกรรมอย่างไร ? "
" ขอถวายพระพร ผู้ทำสังฆเภทต้องตกนรกอยู่ตลอด ๑ กัป "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระตถาคตเจ้าทรงทราบหรือไม่ว่า พระเทวทัตบวชแล้วจักทำสังฆเภท แล้วจักไปตกนรกอยู่ตลอดกัป ? "
" ขอถวายพระพร ทรงทราบ "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าทรงทราบ คำที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาแสวงหาประโยชน์ โปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น ก็ผิดไป ถ้าไม่ทรงทราบ พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่พระสัพพัญญู ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิมีสองแง่ ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขให้สิ้นสงสัย พระภิกษุมีความรู้ดังพระผู้เป็นเจ้า ในภายหน้าโน้นจักหาได้ยาก  ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงกำลังปัญญาของพระผู้เป็นเจ้าไว้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 06 กรกฎาคม 2554 14:32:39


(http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRPM_gNDM9rgijLJjb1m19FHz12q5cV9X6PK7zdIDrIIxE_nqAtsg)         

ทรงใช้วิธีผ่อนหนักเป็นเบา (http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcQQafo0zwmApK8a5yBpZXT0OtiWmHuNWNhk3Fo9c0sC6jNkq4IfXg)

" ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาจริง เป็นพระสัพพัญญูจริงเป็นพระสัพพทัสสาวี คือเห็นทุกสิ่งจริง เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงเล็งดูคติของพระเทวทัตด้วยพระสัพพัญญุตญาณ อันประกอบด้วยพระมหากรุณา ก็ได้ทรงเห็นว่า พระเทวทัตถ้าเป็นคฤหัสถ์ ก็จักทำบาปกรรมอันจักให้ไปตกนรก เกิดเป็นเปรต อสุรกาย เดรัจฉาน หลายกัป และทรงทราบว่า กรรมของพระเทวทัตจักไม่มีที่สิ้นสุด แต่เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็จักมีสิ้นสุดได้ เมื่อบรรพชาแล้ว ก็จักทำกรรมเพียงให้ตกนรกอยู่ ๑ กัปเท่านั้น ทรงเห็นอย่างนี้ จึงได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา ด้วยอำนาจพระมหากรุณา"

" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นอันว่า พระตถาคตเจ้าทุบตีพระเทวทัตแล้วทาน้ำมันให้ ผลักให้ล้มแล้ว ดึงแขนให้ลุกขึ้นฆ่าแล้วชุบชีวิตให้ เพราะให้ทุกข์ก่อนแล้วจึงให้สุขต่อภายหลัง "

(http://www.larnbuddhism.com/milintapanha/thevada01.GIF)  http://agaligohome.com/index.php?topic=205.180 (http://agaligohome.com/index.php?topic=205.180)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 16:14:05

   อุปมามารดาบิดาลงโทษบุตร

   " ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าทรงทำอย่างนั้นจริง ข้อนี้ควรทราบด้วยอุปมา เหมือนมารดาบิดาเฆี่ยนตีบุตรแล้ว ให้ประโยชน์ทีหลังฉันใด พระตถาคตเจ้าก็ทรงทำฉันนั้น พระเทวทัตถ้าจักไม่ได้บรรพชา ยังเป็นคฤหัสถ์อยู่ ก็จักทำบาปกรรม อันจักให้ไปตกนรกอยู่หลายแสนกัป เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงทราบอย่างนี้ จึงได้ทรงพระกรุณาให้บรรพชา ได้ทรงทำทุกข์หนักให้เป็นทุกข์เบา ด้วยทรงเล็งเห็นว่า เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาในศาสนาของเราแล้วทุกข์ก็จักมีที่สิ้นสุด "

  อุปมาบุรุษผู้มีอำนาจ

   " มหาราชเจ้า เปรียบประดุจบุรุษผู้มีกำลังทรัพย์ ยศ ศักดิ์ ญาติวงศ์ รู้ว่าญาติหรือมิตรจะต้องได้รับพระราชอาญาหนัก ก็ช่วยให้เบาตามความสามารถของตนฉันใด สมเด็จพระจอมไตรทรงทราบว่า พระเทวทัตจะได้รับทุกข์อยู่หลายแสนกัป จึงให้บรรพชาช่วยให้หนักเป็นเบา ด้วยอำนาจศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณฉันนั้น "

   อุปมาเหมือนหมอผ่าตัด

   " อีกอย่างหนึ่ง หมอผ่าตัดย่อมตัดโรคที่หนัก ๆ ออกเสียทำให้เบาลง ด้วยอำนาจยาอันแรงกล้าฉันใด พระพุทธเจ้าผู้ทรงเห็นว่า พระเทวทัตจะได้รับทุกข์อยู่หลายแสนกัป จึงโปรดให้บรรพชาทำทุกข์หนักให้เป็นทุกข์เบาด้วยกำลังยา คือพระธรรม อันประกอบด้วยพระมหากรุณาฉันนั้น ขอถวายพระพร เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงทำพระเทวทัตผู้จะได้รับทุกข์มาก ให้ได้รับทุกข์น้อย จะได้บาปอย่างใดอย่างหนึ่งหรือ ? "

   " ไม่ได้บาปอย่างใดเลย พระผู้เป็นเจ้า "
   " ขอถวายพระพร เหตุการณ์ข้อนี้ มหาบพิตรจงรับไว้ตามความจริงว่า พระพุทธเจ้าได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา เพราะทรงพระมหากรุณาแท้ ๆ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 16:25:17


อุปมาเหมือนผู้จับโจร

" อีกประการหนึ่ง เมื่อมีผู้จับโจรมาถวายพระราชาให้ลงพระราชอาญา พระราชาก็ตรัสสั่งให้นำไปตัดศีรษะ แต่มีผู้ที่ได้รับพรจากพระราชาทูลขอชีวิตไว้ ให้ตัดเพียงมือและเท้าเท่านั้นผู้ที่ขอชีวิตไว้นั้น จะได้บาปอย่างไรหรือ ? "
" ไม่ได้บาปอย่างไรเลย พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าทรงพระกรุณาให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยทรงพิจารณาเห็นว่า เมื่อพระเทวทัตได้บรรพชาแล้ว กรรมของพระเทวทัตก็จักมีที่สิ้นสุด ในเวลาที่พระเทวทัตจะถึงมรณะ ก็ได้เปล่งวาจานับถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งด้วยคำว่า

"ข้าพเจ้าขอนับถือพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคลอันล้ำเลิศ ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาทั้งหลาย ผู้ฝึกฝนบุคคลที่ควรฝึกฝน ผู้มีพระจักษุรอบพระองค์ ผู้มีลักษณะแห่งบุญอันคูณด้วย ๑๐๐ ด้วยกระดูกของข้าพเจ้า ที่ยังมีลมหายใจอยู่อีก " ดังนี้ " ด้วยอานิสงส์เพียงเท่านี้ "

ขอถวายพระพร กัปที่ยังเหลืออยู่นี้ แบ่งออกเป็น ๖ ส่วน พระเทวทัตได้ทำสังฆเภทให้ส่วนแรก จักไปตกนรกอยู่ตลอด ๕ ส่วนพ้นจากนรกแล้ว จักได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "อัฏฐิสสระ" ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าผู้ทรงทำอย่างนี้ ได้ชื่อว่าทรงทำสิ่งที่ควรทำต่อพระเทวทัตแล้วหรือ ? "

" ข้าแต่พระนาคเสน พระตถาคตเจ้าผู้ทรงทำอย่างนี้ ชื่อว่าทรงประทานสิ่งทั้งปวงแก่พระเทวทัตแล้ว ข้อที่พระตถาคตเจ้าได้ทรงทำให้พระเทวทัต ได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ชื่อว่าได้ทรงทำสิ่งทั้งปวงให้พระเทวทัตแล้ว ไม่มีอะไรที่จะได้ชื่อว่า ไม่ได้ทรงกระทำ "

" ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าจะได้บาป เพราะเหตุที่พระเทวทัตทำสังฆเภทแล้วไปทนทุกข์อยู่ในนรกบ้างหรือ ? "
" เปล่าเลย พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระเทวทัตไปตกนรกด้วยกรรมของพระเทวทัตเอง พระพุทธเจ้าจะได้บาปมาแต่ไหน "

" ขอถวายพระพร แม้เหตุการณ์ดังนี้ ก็ขอมหาบพิตรจงทรงรับเถิดว่า พระพุทธเจ้าได้ให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยพระมหากรุณาแท้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 16:30:01


อุปมามารดาบิดาผู้ให้กำเนิด

" ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือมารดาบิดาทำให้บุตรเกิดขึ้นมาแล้ว ก็กำจัดปัดเป่าสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เสีย มีแต่ทำให้เป็นประโยชน์ ทำให้บุตรเติบโตขึ้น แต่เมื่อบุตรเติบโตขึ้นแล้ว บุตรก็ได้ทำบาปกรรมไว้ มารดาบิดาจะพลอยได้รับบาปกรรม ที่บุตรกระทำนั้นหรือไม่ ? "

" ไม่ได้รับเลย พระผู้เป็นเจ้า มารดาบิดาผู้เลี้ยงบุตรให้เติบโตขึ้นนั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีอุปการคุณมากแท้ แต่บุตรจักได้รับโทษแห่งบาปกรรมที่เขาทำด้วยตนเองต่างหาก "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระพุทธเจ้าก็เสมอกับมารดาบิดา ที่ได้ให้พระเทวทัตบรรพชา ก็เพราะทรงพระมหากรุณา เหตุอันนี้ขอจงทรงรับเถิดว่า พระพุทธเจ้าให้พระเทวทัตบรรพชาด้วยพระมหากรุณาแท้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 16:33:10


อุปมาหมอรักษาแผล

" ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเหมือนอย่างว่าหมอผ่าตัดจะรักษาแผล อันเต็มด้วยบุพโลหิต มีรูอยู่ข้างใน มีลูกศรฝังอยู่ อันเป็นที่ไหลออกแห่งของเปื่อยเน่า มีกลิ่นเหม็นฟุ้ง ต้องชำระล้างปากแผลด้วยยาอันกล้าแข็งเผ็ดร้อน ทำให้ปากแผลอ่อนดีแล้ว จึงตัดด้วยมีดแล้วจี้ด้วยซี่เหล็กแดง แล้วราดด้วยน้ำด่างอันแสบเค็ม แล้วทายา แล้วเนื้อที่แผลก็งอกขึ้น แผลก็หายเป็นลำดับไป จึงขอถามมหาบพิตรว่า จะว่าแพทย์ผ่าตัดนั้น ไม่มีจิตเมตตาหรืออย่างไร ?"

" ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า แพทย์ผ่าตัดนั้น เป็นผู้มีจิตเมตตาแท้ทีเดียว "

" ขอถวายพระพร ทุกขเวทนาอันเกิดแก่ผู้บาดเจ็บนั้น ด้วยการรักษาของหมอมีอยู่ หมอนั้นจะได้บาปอย่างไรหรือไม่ ? "
" ไม่ได้บาปอย่างใดเลย ผู้เป็นเจ้า มีแต่จะได้บุญไปสวรรค์ "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าได้โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา ด้วยทรงพระมหากรุณา เพื่อจะปลดเปลื้องพระเทวทัตให้พ้นทุกข์ จึงไม่ได้บาปอะไร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 16:37:54


อุปมาผู้ถูกหนามตำที่เท้า

" ขอมหาบพิตร จงทรงสดับเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเปรียบประดุจบุรุษคนหนึ่งถูกหนามปักเข้าไปที่เท้า หรือโดนหลักตอ มีบุรุษอีกคนหนึ่งมุ่งจะให้บุรุษนั้นสุขสบาย จึงบ่งด้วยหนามอันแหลม หรือด้วยมีดแหลม ๆ แล้วชักหนามหรือตอนั้นออก ทั้งที่มีโลหิตไหลอยู่ จะว่าบุรุษผู้ชักหนามหรือตอออกนั้น ไม่มีจิตเมตตาหรือ ? "

" ว่าไม่ได้เลย พระผู้เป็นเจ้า เพราะบุรุษนั้นมุ่งให้มีความสวัสดีแท้ ๆ ถ้าเขาไม่ช่วยนำหนามหรือตอนั้นออก บุรุษนั้นก็จะต้องถึงซึ่งความตาย หรือถึงซึ่งทุกข์แทบประดาตาย "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถ้าพระพุทธเจ้าไม่โปรดให้พระเทวทัตบรรพชา พระเทวทัตก็จะต้องไปไหม้อยู่ในนรกหลายแสนกัป "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงช่วยพระเทวทัต ผู้ไหลไปตามกระแสน้ำ ให้ไหลทวนขึ้นมาเหนือน้ำ ผู้ถึงซึ่งความวิบัติให้ถึงซึ่งความเจริญ ผู้ตกไปในเหว ให้ขึ้นจากเหว ผู้เดินทางผิด ให้มาเดินทางถูก ข้าแต่พระนาคเสน เหตุการณ์เหล่านี้ไม่มีบรรพชิตอื่นจะชี้บอกให้เห็นได้ นอกจากผู้มีความรู้ดี ดังพระผู้เป็นเจ้านี้เท่านั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 16:42:28

ปัญหาที่ ๔ ถามถึงเหตุให้แผ่นดินไหว

พระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นคำขาดว่า " เหตุปัจจัยที่จะทำให้แผ่นดินไหวใหญ่นั้นมีอยู่ ๘ ประการเท่านั้น " ไม่มีถึง ๙ ถ้าคำนั้นจริงแล้ว คำที่ว่า " แผ่นดินไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยมหาทานของ พระเวสสันดร " นั้นก็ผิด ถ้าว่าคำที่ว่า " แผ่นดินไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยมหาทานของพระเวสสันดร " นั้นถูก คำที่ว่า " เหตุให้แผ่นดินไหวใหญ่มีเพียง ๘ อย่างเท่านั้น " ก็ผิด เพราะว่าการให้ทานไม่นับเข้าในเหตุอย่างหนึ่ง ในเหตุ ๘ อย่างที่แผ่นดินไหวนั้น เพราะฉะนั้น ปัญหาข้อนี้จึงเป็นอุภโตโกฏิมีสองง่ามสองแง่ เป็นปัญหาละเอียด เป็นปัญหาใหญ่ เป็นปัญหาชี้ให้เห็นได้ว่า เป็นปัญหาที่ให้เกิดความมืด แต่ปัญหานี้ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีจักษุญาณแล้ว ผู้อื่นนอกจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ "

พระนาคเสนจึงตอบว่า

" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนี้จริงทั้งนั้นคือคำที่ว่า " เหตุให้แผ่นดินไหวใหญ่มีอยู่ ๘ " ก็เป็นของจริง คำที่ว่า " แผ่นดินใหญ่ได้ไหวถึง ๗ ครั้ง เพราะมหาทานของ พระเวสสันดร " ก็เป็นของจริง ไม่ใช่ของเหลาะแหละ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 16:46:54


   อุปมาเมฆนอกฤดูกาล

   " ขอถวายพระพร ในโลกนี้มีเมฆอยู่เพียง ๓ ฤดู คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อนเท่านั้น ถ้าเมฆอื่นนอกจาก ๓ ฤดูนั้น จะทำให้ฝนตกลงมา เมฆนั้นก็ไม่นับเข้ากับเมฆที่คนทั้งหลายรู้กัน เรียกว่า " อกาลเมฆ " ฉันใด การที่แผ่นดินใหญ่ไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยอำนาจมหาทานของพระเวสสันดร ก็เป็น " อกาลกัมปนัง " คือแผ่นดินไหวนอกจากเหตุ ๘ ประการ ฉันนั้น "

   อุปมาด้วยแม่น้ำ

   " นที ๕ สายย่อมไหลมาจากภูเขาหิมพานต์อีก ๑๐ นที คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ สินธุ สตธู วิชา ปิปาสิ จันทภาคี ก็นับรวมเข้าในคำว่า " นที " นทีนอกนั้นไม่นับเข้าในนที เพราะไม่มีน้ำประจำอยู่เป็นนิจฉันใด การที่แผ่นดินใหญ่ไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยอำนาจมหาทานของพระเวสสันดรนั้น ก็ไม่นับเข้าในเหตุ ๘ อย่าง เพราะว่าไม่ใช่เหตุที่จะให้แผ่นดินไหวเสมอไปฉันนั้น "

   อุปมาหมู่เสนาอำมาตย์

   " ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่าอำมาตย์ของพระราชามีอยู่ ๑๐๐ หรือ ๒๐๐ ก็ดี ก็นับเข้าในหมู่อำมาตย์เพียง ๖ คน เท่านั้น อำมาตย์ ๖ คนนั้น คือ เสนาบดี ๑ ปุโรหิต ๑ ผู้ตัดสินถ้อยความ ๑ ผู้รักษาพระราชทรัพย์ ๑ ผู้กั้นเศวตฉัตร ๑ ผู้ถือพระขรรค์ ๑ เท่านั้น นอกจาก ๖ คนนี้ไม่นับเข้าว่าเป็นอำมาตย์ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด การที่แผ่นดินไหวถึง ๗ ครั้ง ด้วยมหาทานของพระเวสสันดรนั้นก็ไม่นับเข้าในเหตุ ๘ อย่างฉันนั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 16:59:12


ผู้ได้รับผลบุญเห็นทันตา ๗ คน

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า ผู้ที่ทำบุญในพระพุทธศาสนานี้แล้ว ได้รับผลบุญเห็นทันตา มีกิตติศัพท์ลือชาและยศศักดิ์ ปรากฏไปในเทพยดาและมนุษย์ ? "

" เคยได้ฟัง พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร บุคคลเหล่านั้นมีอยู่กี่คน ? "
" มีอยู่ ๗ คน พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร คือใครบ้าง ? "

" คือ นายสุมนมาลาการ ๑ พราหมณ์เอกสาฏก ๑ ลูกจ้างชื่อว่า นายปุณณะ ๑ พระนางมัลลิกาเทวี ๑ พระนางโคปาลมาตาเทวี ๑ นางสุปิยาอุบาสิกา ๑ นางปุณณทาสี ๑ รวมเป็น ๗ คนเท่านี้แหละ พระผู้เป็นเจ้า "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 17:02:50


ผู้ที่ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ๗ คน

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับมาหรือไม่ว่า ผู้ที่ได้ทำความดีไว้ในพระพุทธศาสนาก่อน ๆ โน้น ได้ไปสวรรค์ทั้งเป็นไปด้วยรูปร่างมนุษย์มีอยู่หรือไม่ ? "

" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ได้แก่ใคร...มหาพิตร ? "

" ได้แก่ โคตติลคันธัพพราชา ๑ สาธินราชา ๑ เนมิราชา ๑ มันธาตุราชา ๑ ทั้ง ๔ คนนี้ ได้ขึ้นไปดาวดึงส์สวรรค์ทั้งเป็น เพราะคนเหล่านั้น ได้ทำความดีไว้นานแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 17:06:19

ทานของผู้อื่นไม่เป็นเหตุให้แผ่นดินไหว

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า ผู้มีชื่ออย่างนี้ ๆ ให้ทานอยู่ในอดีตกาล หรือในปัจจุบันกาล ทำให้แผ่นดินใหญ่นี้ไหวครั้งหนึ่ง หรือสองสามครั้ง ? "

" ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร อาตมาภาพผู้มีอาคมคือพระปริยัติธรรม และอธิคม คือมรรคผลกับการสดับฟังพระปริยัติ การเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า การฟังดี การไต่ถาม การอยู่ร่วมกับอาจารย์ การปฏิบัติอาจารย์ ก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังว่า เมื่อผู้อื่นให้ทานได้เกิดแผ่นดินไหวเพียงครั้งเดียว หรือ ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง นอกจากการให้ทานของพระเวสสันดรเท่านั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2554 17:24:17


อุปมาด้วยเกวียน

" ขอถวายพระพร ในระหว่างพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือพระศากยมุนีพุทธเจ้า กับ พระกัสสปพุทธเจ้านั้น
ล่วงมาแล้วหลายโกฏิปีในระหว่างนั้นก็ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ถึงเลือกค้นดูก็ไม่เห็นว่าผู้อื่นให้ทาน
ทำให้แผ่นดินไหว แผ่นดินอันใหญ่นี้ไม่ไหวด้วยความความเพียรเท่านั้น ด้วยความบากบั่นเพียงเท่านั้น
แผ่นดินอันใหญ่หนักด้วยของหนัก คือคุณความดีของบุคคล จนไม่อาจรับไว้ได้ จึงสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว
เกวียนที่บรรทุกหนักเกินไป จนดุมเกวียนกำเกวียน กงเกวียนทนไม่ไหว เพลาเกวียนก็หักฉันใด
       แผ่นดินอันใหญ่อันหนักด้วยคุณความดีของบุคคล จนไม่อาจรับไว้ได้จึงไหวฉันนั้น "

( หน้่า ๑๓ ตอบ #๑๙๔ )



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 16:05:33


   อุปมาด้วยท้องฟ้า

   " อีกประการหนึ่ง ท้องฟ้าอันปกคลุมด้วยก้อนเมฆ หนักด้วยก้อนเมฆ มีลมพัดแรงเกินไป ก็มีเสียงดังกึกก้องฉันใด แผ่นดินใหญ่ เมื่อไม่อาจทรงของหนัก คือความไพบูลย์แห่งกำลังทานของพระเวสสันดรจึงไหวฉันนั้น เพราะว่าพระหฤทัยของพระเวสสันดรนั้น ไม่ได้เป็นไปด้วยอำนาจราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ความโกรธ ความริษยา อย่างใดเลย เป็นไปมากด้วยอำนาจแห่งทานอย่างเดียวเท่านั้น คือพระเวสสันดรคิดอยู่ว่า พวกยาจกที่ยังไม่มาก็ขอให้มา ที่มาแล้วก็ขอให้ได้ตามประสงค์ ได้แล้วขอให้มาอีก "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 16:11:04


คุณธรรมของพระเวสสันดร

" พระเวสสันดรนั้น มีพระหฤทัยมั่นอยู่ในธรรม ๑๐ ประการ คือ ความฝึกใจ ๑ ความสำรวม ๑ ความอดทน ๑ ความระวัง ๑ ความแน่นอน ๑ ความไม่โกรธ ๑ ความไม่เบียดเบียน ๑ ความจริง ๑ ความสะอาดใจ ๑ ความเมตตา ๑ พระเวสสันดรนั้น ได้ละการแสวงหากามารมณ์เสียแล้ว ระงับการแสวงหาภพเสียแล้ว มุ่งแต่การแสวงหาพรหมจรรย์เท่านั้น พระเวสสันดรนั้น สละการรักษาตัวเสียแล้ว มุ่งแต่รักษาผู้อื่นทุกเวลาว่า ทำอย่างไรหนอ สัตว์บุคคลทั้งสิ้นจึงจะพร้อมเพรียงกันจึงจักไม่มีโรค จึงจักมีทรัพย์ จึงจักมีอายุยืน พระเวสสันดรนั้น ไม่ได้ทรงให้ทานเพราะปรารถนาภพ หรือทรัพย์ หรือการตอบแทน การสรรเสริญ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ยศ บุตร ชีวิต แต่อย่างใดเลย พระองค์ทรงมุ่งแต่ " พระสัพพัญญุตญาณ " เท่านั้น ข้อนี้สมกับที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า "

เมื่อเราให้ทานบุตรธิดา คือ ชาลี กัณหา และเทวี คือพระนางมัทรี เราไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย เรามุ่งต่อพระโพธิญาณอย่างเดียวเท่านั้น " ดังนี้ พระเวสสันดรนั้น ชนะคนโกรธด้วย ความไม่โกรธ ชนะคนไม่ดีด้วยความดี ชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ ชนะคนเหลาะแหละด้วยความจริง ชนะอกุศลทั้งปวงด้วยกุศล "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 16:13:49


   เหตุอัศจรรย์เพราะมหาทาน

   " เมื่อพระเวสสันดรให้ทานอยู่อย่างนั้นลมใหญ่ภายใต้ก็ไหว เมื่อลมใหญ่ภายใต้ไหวน้ำที่อยู่บนลมก็ไหว เมื่อน้ำไหว หินที่อยู่บนน้ำก็ไหว เมื่อหินที่อยู่บนน้ำไหว แผ่นดินใหญ่นี้ก็ไหว ครั้งนั้น พวกอสูร ครุฑ นาค ยักษ์ทั้งหลาย ที่มีฤทธิ์มีเดชน้อย ก็สะดุ้งตกใจกลัวว่า แผ่นดินไหวใหญ่เพราะอะไร ไม่ทราบว่าเป็นเพราะการให้ทานของพระเวสสันดร ต่อเมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องสาธุการของเทพยดาทั้งหลายจึงรู้ เป็นอันว่า แผ่นดินใหญ่นี้ตั้งอยู่บนหิน หินตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม เมื่อลมข้างล่างไหว ก็ไหวเป็นลำดับขึ้นมาจนถึงแผ่นดินใหญ่ ดังนี้ "





หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 16:20:32


   อุปมาเหมือนแก้วต่าง ๆ

" ขอถวายพระพร แก้วต่าง ๆ ย่อมมีอยู่ที่พื้นดินเป็นอันมาก คือ แก้วอินทนิล แก้วมหานิล แก้วโชติรส แก้วไพฑูรย์ แก้วอุมมารบุปผา แก้วมโนห์รา แก้วสุริยกันต์ แก้วจันทกันต์ แก้ววิเชียร แก้วกโชปักมกะ แก้วบุษราคัม แก้วแดง แก้วลาย แก้วมณีของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมแผ่รัศมีไปข้างละ ๑ โยชน์โดยรอบฉันใดทานที่มีอยู่ทั้งสิ้น มี อสทิสทาน เป็นอย่างเยี่ยม ก็สู้มหาทานของพระเวสสันดรไม่ได้ฉันนั้น เมื่อพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญมหาทานอยู่ แผ่นดินใหญ่ได้ไหวถึง ๗ ครั้ง ขอมหาบพิตรจงทรงพระสวนาการฟังให้เข้าพระทัยในกาลบัดนี้ "

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาที่ลี้ลับลึกซึ้ง พระผู้เป็นเจ้าก็ได้คลี่คลายขยายออกแล้ว ได้ทำให้ตื้นแล้ว ได้ทำลายข้อที่ฟั่นเฝือได้สิ้นแล้ว "


 



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 16:30:22


ปัญหาที่ ๕ สีวิราชชาดก

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คำที่ว่า คนตาบอดมีจักษุประสาทพิการแล้ว ย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับเห็นได้อย่างเดิมอีกนั้น มีกล่าวไว้ในพระสูตรบ้างหรือไม่
ขอถวายพระพรมหาบพิตร มี

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าเช่นนั้น เรื่อง สีวิราชชาดก ที่ว่า พระเจ้าสีวิราชทรงควักพระเนตรทั้ง ๒ ให้เป็นทาน มีพระจักษุประสาทพิการแล้ว ต่อมาทรงได้พระจักษุประสาทคืนดี ทอดพระเนตรเห็นได้อย่างเดิมนั้น จะมิไม่จริงหรือ
ขอถวายพระพรมหาบพิตร จริง

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า จะให้ลงความเชื่อคำไหนได้เล่า
ขอถวายพระพร คำต้นนั้น ท่านกล่าวตามปรกติวิสัยของนัยน์ตา ซึ่งเมื่อพิการแล้ว ย่อมคืนดีอย่างเดิมไม่ได้ ส่วนที่ท่านกล่าวไว้ในชาดกซึ่งผิดจากคำเบื้องต้นไปนั้น ก็เพราะท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งอานุภาพของสัตยาธิษฐาน คือความตั้งใจไว้มั่นในความจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง

ขอถวายพระพร พระองค์เคยทอดพระเนตรเห็น หรือเคยได้ทรงสดับบ้างหรือไม่ ว่าผู้ที่กระทำสัตยาธิษฐานแล้ว อาจทำให้ฝนตกหรือไฟดับ หรือกำจัดกำลังแห่งยาพิษเสียก็ได้
ข้าแต่พระนาคเสน เคยได้เห็น ได้ยินอยู่บ้าง

มหาบพิตรนั่นพระองค์ทรงเข้าพระหฤทัยว่าเป็นได้ด้วยอะไร
ข้าพเจ้าเข้าใจว่า เป็นด้วยอานุภาพแห่งสัตยาธิษฐาน

ขอถวายพระพรมหาบพิตร นั่นแลฉันใด นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จักษุประสาทของพระเจ้าสีวิราชย่อมกลับคืนดีได้อย่างเดิม ก็ด้วยอานุภาพแห่งสัตยาธิษฐาน คือการที่ทรงตั้งพระหฤทัยมั่นอยู่ในความจริงอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นเอง

ขอถวายพระพรมหาบพิตร อาตมภาพจะเล่าเรื่องของพระเจ้าอโศกถวาย คือครั้งหนึ่ง พระเจ้าอโศกเสด็จไปประพาสริมแม่น้ำคงคา ครั้นแล้วมีพระราชดำรัสถามเหล่าอำมาตย์ว่า ผู้ที่สามารถทำให้น้ำในแม่น้ำคงคานี้ไหลกลับทวนกระแสไปได้เห็นจะไม่มี

ก็ขณะนั้น มีหญิงเพศยาคน ๑ ชื่อ นางพินทุมดี อยู่ ณ ริมฝั่งน้ำนั้น เมื่อได้ยินพระราชดำรัสดังนั้น จึงกระทำสัตยาธิษฐาน ขอให้น้ำไหลกลับทวนกระแส เพื่อถวายทอดพระเนตร น้ำในแม่น้ำคงคาก็ไหลกลับทวนกระแสตามความประสงค์

พระเจ้าอโศกทรงพิศวงในพระราชหฤทัย จึงตรัสถามว่า เหตุอะไรจึงเป็นเช่นนี้ อำมาตย์จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านางพินทุมดีกระทำสัจจกิริยา ขอให้น้ำไหลกลับ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปตรัสถามนางพินทุมดีว่า อะไรเป็นกำลังในสัจจกิริยาของเจ้า

ขอเดชะ หม่อมฉันมีความจริงใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ การบำเรอบุรุษ กระหม่อมฉันกระทำเสมอหน้ากันหมด จะเป็นใคร มีฐานะอย่างไรก็ตาม เมื่อให้ทรัพย์แก่กระหม่อมฉันแล้ว ย่อมได้รับการบำเรอเป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น กระหม่อมฉันอ้างความจริงใจนี้ กระทำสัตยาธิษฐาน ขอถวายพระพร

เรื่องนี้พระองค์ทรงเชื่อหรือไม่
ข้าแต่พระนาคเสน พอเชื่อได้ เพราะมีเหตุมีผลพอที่จะคิดเห็นได้

ขอถวายพระพร นี่ชี้ให้เห็นว่า การกระทำสัตยาธิษฐาน คือกิริยาที่กล่าวอ้างถึงความจริงอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้เป็นความจริงในสิ่งลามก ก็ให้เกิดผลได้สมประสงค์ ก็เมื่อความจริงมีอยู่เช่นนี้ จึงจะไม่ได้ควักพระเนตรกลับคืนดีอย่างเดิม ในเมื่อทรงกระทำสัตยาธิษฐาน อ้างถึงความจริงนั้น ๆ ได้เล่า

พระนาคเสนพระองค์กล่าวนี้ชอบแล้ว



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 16:35:07


ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องการตั้งครรภ์

"ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า การตั้งครรภ์ย่อมมีด้วยประชุม ๓ คือ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน ๑ มารดามีระดู ๑ มีสัตว์มาเกิด ๑ ดังนี้ ถ้าไม่พร้อมด้วยองค์ ๓ ย่อมเกิดไม่ได้

ข้อนี้ทำให้โยมสงสัย เพราะเพียง ทุกุลดาบส ถูกต้องสะดือของ นางปาริกาตาปสินี ในเวลามีระดู ด้วยปลายนิ้วมือข้างขวา เพียงหนเดียวเท่านั้น ก็เกิด สุวรรณสามกุมาร ขึ้นได้

มาตังคฤๅษี ถูกต้องท้องของนางพราหมณีด้วยปลายเล็บข้างขวาในเวลามีระดู เพียงหนเดียวเท่านั้น ก็เกิด มัณฆพยมาณพ ขึ้นได้
อิสิสิงคฤๅษี เกิดขึ้นด้วยนางมฤดี ดื่มกินน้ำปัสสาวะของฤๅษี
สังกิจจฤๅษี เกิดขึ้นได้ด้วยกิริยาอย่างเดียวกัน
พระกุมารกัสสป เกิดขึ้นด้วยการกลืนกินซึ่งสัมภวะ ของบุรุษ

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าการตั้งครรภ์มีขึ้นด้วยการประชุม ๓ จริงแล้ว คำที่ว่าบุคคลเหล่านั้น เกิดด้วยอาการอย่างนั้นก็ผิดไป ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ ลึกละเอียดมาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงตัดความสงสัยของโยมด้วยเถิด "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 17:21:56


ผู้ที่เกิดขึ้นด้วยการประชุม ๒

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" มหาบพิตรได้ทรงสดับมาว่า สุวรรณสาม อิสิสิงคดาบส พระกุมารกัสสป เกิดขึ้นด้วยเหตุอย่างนี้ ๆ หรือ ?"

พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" ถูกแล้วพระผู้เป็นเจ้า โยมได้สดับมาว่ามีแม่เนื้อ ๒ ตัว ไปสู่ที่ถ่ายปัสสาวะของดาบส ๒ องค์ในเวลามีระดู ได้ดื่มกินน้ำปัสสาวะอันเจือด้วยสัมภวะของฤๅษี จึงเกิด อิสิสิงคฤๅษี และ สังกิจจฤๅษี เมื่อ พระอุทายี ไปในที่พักของภิกษุณีก็นึกรักนางภิกษุณี จึงได้เพ่งดูนางภิกษุณีนั้น เมื่อเพ่งดูสัมภวะก็ไหลออกมา เวลานั้นนางภิกษุณีกำลังมีระดู จึงอ้าปากรับสัมภวะนั้นแล้วก็ตั้งครรภ์ อยู่มาก็เกิดเป็น พระกุมารกัสสป "

พระนาคเสนจึงถามต่อไปว่า
" คำที่ว่านี้ มหาบพิตรทรงเชื่อหรือ ? "

" โยมเชื่อ พระผู้เป็นเจ้า "
" เชื่ออย่างไร ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พืชที่หว่านลงไปในดินที่ทำไว้ดีแล้ว ย่อมงอกขึ้นได้ไวฉันใด การตั้งครรภ์ของนางภิกษุณีนั้นก็ฉันนั้น"
" เป็นอันมหาบพิตรทรงรับว่า การตั้งครรภ์ของ พระกุมารกัสสป มีอย่างนั้นจริงหรือ ? "

" โยมเชื่อว่ามีอย่างนั้นจริง "
" ขอถวายพระพร ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่า มหาบพิตรทรงเชื่อแล้วว่า แม่เนื้อนั้นดื่มน้ำปัสสาวะแล้วตั้งครรภ์ "

" เชื่อแล้ว พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าสิ่งใด ๆ ที่บุคคลดื่มแล้ว กินแล้ว เคี้ยวแล้ว ลิ้มเลียแล้ว ตกลงไปในดินที่ดี ก็ย่อมงอกขึ้นได้ การตั้งครรภ์ด้วยการดื่มกินน้ำปัสสาวะ ก็มีขึ้นได้ฉันนั้น "
" เป็นอันว่า มหาบพิตรทรงแน่พระทัยแล้วหรือว่า อิสิสิงคดาบส พระกุมารกัสสป เกิดขึ้นด้วยการประชุม ๒ "

" แน่ใจแล้ว พระผู้เป็นเจ้า "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 17:26:30


ผู้ที่เกิดขึ้นด้วยการประชุม ๓

" ขอถวายพระพร สุวรรณสามก็ดี มัณฑพยมาณพก็ดี ได้เกิดขึ้นด้วยการประชุมทั้ง ๓ นั้น คือ ทุกุลดาบส และ นางปาริกาตาปสินี ทั้งสองนี้ได้ยินดีต่อวิเวกอยู่ในป่า มุ่งแสวงหาทางไปเกิดในพรหมโลกไม่นึกเกี่ยวข้องกับทางโลกเลย แต่คราวนั้น พระอินทร์ ทรงเล็งเห็นว่าต่อไปข้างหน้าคนทั้งสองนั้นจักเสียจักษุจึงได้กล่าวขึ้นว่า

" ขอท่านทั้งสองจงกระทำตามถ้อยคำของข้าพเจ้าสักอย่างหนึ่งเถิด คือขอให้ท่านทั้งสองจงทำให้เกิดบุตรสักคนหนึ่ง บุตรจักได้ปรนนิบัติท่านทั้งสอง"
ดาบสและดาบสินีทั้งสองนั้นก็ตอบว่า

" อย่าเลยมหาบพิตร อย่าตรัสอย่างนี้เลย "
พระอินทร์ก็ได้อ้อนวอนขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๒ และที่ ๓ ดาบสดาบสินีทั้งสองจึงกล่าวขึ้นว่า

" ถึงแผ่นดินนี้จะถล่มลงไป ท้องฟ้าจักตกลงมา พระยาเขาจักโค่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์จักตกลงมาก็ตาม เราทั้งสองก็จักไม่ยินดีในโลกธรรม ขอมหาบพิตรอย่ามาหาเราทั้งสองอีก เพราะความคุ้นเคยของมหาบพิตรจะทำให้เราทั้งสองเสีย"

เมื่อพระอินทร์ทรงขออย่างนั้นไม่ได้ จึงตรัสขึ้นว่า
" เมื่อใดดาบสินีมีระดู เมื่อนั้นขอให้ท่านดาบสเอาปลายนิ้วก้อยข้างขวา แตะต้องสะดือของดาบสินี ก็จะเกิดตั้งครรภ์ขึ้น ท่านดาบสจะทำเพียงเท่านี้ได้หรือไม่ ? "

ท่านดาบสตอบว่า
" เพียงเท่านี้พอทำได้ เพราะจะไม่ทำให้เสียศีลเสียธรรมของเรา"

เมื่อดาบสรับอย่างนี้แล้ว พระอินทร์จึงกลับขึ้นสู่สวรรค์ ได้เสด็จไปอ้อนวอนเทพบุตรองค์หนึ่งซึ่งจวนจะจุติ ให้ลงมาถือกำเนิดในครรภ์ของนางดาบสินี เทพบุตรนั้นก็ไม่ยอมรับ ต่อเมื่อพระอินทร์ทรงอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง จึงยอมรับ

พออยู่มาไม่ช้านางดาบสินีก็มีระดู ดาบสจึงแตะต้องสะดือด้วยปลายนิ้วก้อยข้างขวาตามคำสั่งของพระอินทร์ ก็พอดีเทพบุตรนั้นจุติลงมาถือกำเนิด เป็นอันว่า เทพบุตรนั้นเกิดขึ้นด้วยการประชุม ๓ คือนางดาบสินีเกิดราคะตัณหาในเวลาที่ดาบสเอาปลายนิ้วก้อยแตะต้องสะดือ ๑ มีระดู ๑ วิญญาณของเทพบุตรมาถือกำเนิด ๑



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 17:34:41


เหตุตั้งครรภ์อีก ๔ ประการ

อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายย่อมตั้งครรภ์ด้วยเหตุ ๔ คือ
ด้วยกรรม ๑
กำเนิด ๑
ตระกูล ๑
การอ้อนวอน ๑

ที่เกิดด้วยกรรม นั้น คืออย่างไร...
คือพวกที่ได้สะสมกุศลมูลมาแล้ว ย่อมได้เกิดในตระกูลกษัตริย์มหาศาล หรือพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล หรือเกิดเป็นเทพเจ้าหรือเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตามประสงค์ เปรียบเหมือนผู้มั่งมี จะซื้อสิ่งใดก็ซื้อได้ตามประสงค์ ฉะนั้น

ที่เกิดด้วยกำเนิด นั้น คืออย่างไร...
คือพวกไก่ป่าย่อมตั้งท้องด้วยถูกลมพัด ฝูงนกยางย่อมตั้งท้องด้วยได้ยินเสียงฟ้าร้อง ส่วนเทพยดาทั้งหลายนั้นไม่ได้เกิดในครรภ์ เป็นอันว่าการตั้งครรภ์ของสัตว์ทั้งหลายย่อมมีต่าง ๆ กัน เหมือนกับกิริยาของมนุษย์ทั้งหลาย ที่ต่าง ๆ กันด้วย การนุ่งห่ม การแต่งตัว เป็นต้น ฉะนั้น

ที่เกิดด้วยอำนาจตระกูล นั้น คืออย่างไร...
คือตระกูลที่มีอยู่ ๔ อันได้แก่

ตระกูลเกิดในฟองไข่ ๑
ตระกูลเกิดในท้อง ๑
ตระกูลเกิดในเหงื่อไคล ๑
ตระกูลเกิดเอง ๑
สัตว์ทั้งหลายย่อมเกิดในตระกูลทั้ง ๔ นี้

ที่เกิดด้วยอำนาจการขอ นั้น คือตระกูลที่ไม่มีบุตร แต่มีทรัพย์สมบัติมาก มีศรัทธา มีศีลธรรมอันดี แล้วอ้อนวอนขอให้มีบุตร ก็มี พระอินทร์ ช่วยอ้อนวอนเทพบุตรองค์ใดองค์หนึ่ง ให้ลงมาเกิดในตระกูลนั้น ขอถวายพระพร สุวรรณสาม ได้ลงมาเกิดในครรภ์ของนางปาริกาตาปสินี ตามคำอ้อนวอนของพระอินทร์ สุวรรณสามนั้นเป็นผู้ทำบุญไว้แล้ว ส่วนมารดาบิดาก็เป็นผู้มีศีลธรรมอันดี พอเหมาะกัน เปรียบเหมือน กับพืชที่หว่านลงในที่ดินที่ดี ก็งอกงามขึ้นได้ฉันนั้น



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 17:38:15


สุวรรณสามเกิดด้วยเนรมิต ๓

" มหาบพิตรได้เคยทรงสดับว่า มีบ้านเมืองพินาศไปด้วยความข่มใจแห่งฤๅษีทั้งหลายบ้างหรือ? "
" เคยได้ยิน พระผู้เป็นเจ้า คือบ้านเมืองของ พระราชาทัณฑกะ พระราชาเมชฌะ พระราชากาลิงคะ พระราชามาตังคะ ได้ถึงความพินาศไปด้วยความขุ่นแค้นของฤๅษีทั้งหลาย"

" ขอถวายพระพร พวกที่ได้ความสุขเพราะใจผ่องใสของฤๅษีทั้งหลายมีอยู่หรือ? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นขอจงทรงจำไว้เถิดว่า สุวรรณสามเกิดด้วยใจผ่องใสของสิ่งทั้ง ๓ ที่มีกำลังแรงกล้า คือ ฤๅษีเนรมิต ๑ เทวดาเนรมิต ๑ บุญเนรมิต ๑ อีกประการหนึ่ง เทพบุตรทั้ง ๔ องค์ก็ได้ลงมาเกิดด้วยพระอินทร์ทรงอ้อนวอนเทพบุตรทั้ง ๔ องค์นั้น คือ สุวรรณสาม ๑ พระเจ้ากุสราช ๑ พระเจ้ามหาปนาท ๑ พระเวสสันดร ๑ ขอถวายพระพร "

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์นี้ พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ไขถูกต้องดีแล้วโยมรับว่าเป็นจริงทุกประการ"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 17:42:03


ปัญหาที่ ๗ เรื่องอายุพระพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี

สมเด็จพระบรมกษัตริย์ตรัสถามว่า
"ข้าแต่พระนาคเสน ด้วยสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า

" ดูก่อนอานนท์ บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปี เท่านั้น "
แต่ในเวลาจะปรินิพพาน สุภัททปริพาชก ทูลถาม ได้ตรัสอีกว่า

" ดูก่อนสุภัททะ ถ้าพระภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย "





หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 17:46:03


คำนี้เป็นคำไม่มีเศษ เป็นคำเด็ดขาด

ถ้าสมเด็จพระบรมโลกนาถได้ตรัสไว้ว่า " โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย " ดังนี้เป็นคำจริงแล้ว คำที่ว่า " บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น " ก็ผิด

ถ้าคำว่า " พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น " เป็นคำถูก คำที่ว่า " โลกจักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายนั้น " ก็เป็นคำผิด
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขให้โยมสิ้นสงสัยด้วยเถิด "

พระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า
" ขอถวายพระพร ถูกทั้งสอง คือคำที่สมเด็จพระชินวรตรัสไว้ว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ก็เป็นคำที่ถูก ส่วนที่ตรัสไว้ว่า ถ้าภิกษุเหล่านั้นยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลายนั้นก็ถูก

คำทั้งสองนั้นมีอรรถพยัญชนะต่างกัน คำหนึ่งเป็น สาสนปริจเฉท คือ เป็นคำกำหนดพระศาสนา อีกคำหนึ่งเป็น ปฏิปัตติปริทีปนา คือ เป็นการแสดงซึ่งปฏิบัติ เป็นอันว่าคำทั้งสองไกลกันมาก ไกลกันเหมือนแผ่นดินกับแผ่นฟ้า เหมือนนรกกับสวรรค์ เหมือนกุศลกับอกุศล และเหมือนทุกข์กับสุขฉะนั้น

แต่ว่าอย่าให้พระดำรัสถามของมหาบพิตรเป็นโมฆะเลย อาตมาภาพจักแสดงคำทั้งสองนั้น ให้เข้าเป็นอันเดียวกันได้

คือคำที่ตรัสว่า " พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีนั้น " เป็นการกำหนดความตั้งอยู่แห่งพระสัทธรรม คือถ้าภิกษุณีไม่บรรพชา พระสัทธรรมจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี เมื่อพระตถาคตเจ้าตรัสอย่างนี้ ชื่อว่าตรัสถึงความอันตรธานแห่งพระสัทธรรม หรือชื่อว่าปฏิเสธการบรรลุมรรคผล อย่างนั้นหรือ...มหาบพิตร ? "
" ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร เมื่อสมเด็จพระชินวรจะทรงกำหนดสิ่งที่หมดไปแล้ว จะทรงกำหนดสิ่งที่ยังเหลืออยู่ ก็ได้ทรงกำหนดไว้อย่างนั้น เหมือนอย่างบุรุษกำหนดของที่หมดไป ถือเอาของที่เหลือขึ้นแสดงแก่ผู้อื่นว่า ของเราหมดไปแล้วเท่านั้น นี้เป็นส่วนที่ยังเหลืออยู่ฉันใด เมื่อสมเด็จพระจอมไตรจะทรงกำหนดพระศาสนาที่หมดไป ก็ได้ทรงแสดงส่วนที่ยังเหลืออยู่ในท่ามกลางเทพยดามนุษย์ทั้งหลายว่า บัดนี้พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น

คำว่า พระสัทธรรมจักตั้งอยู่เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น เป็น สาสนปริจเฉท คือเป็นการกำหนดพระศาสนา ส่วนคำที่ตรัสไว้ในเวลาจะปรินิพพานว่า " ถ้าภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย " ดังนี้นั้น เป็น ปฏิปัตติปริทีปนา คือเป็นการแสดงซึ่งปฏิบัติ

ขอมหาบพิตรจงทรงกระทำ ปริทีปนา กับ ปริจเฉท ให้เป็นอันเดียวกัน ถ้ามหาบพิตรพอพระทัย อาตมาภาพจักแสดงถวายให้เป็นอันเดียวกัน ขอมหาบพิตรอย่ามีพระทัยวอกแวก จงตั้งพระทัยสดับให้จงดีเถิด "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 17:49:33


อุปมาดังสระน้ำ

เมื่อพระนาคเสนถวายพระพรอย่างนี้แล้วจึงถวายพระพรต่อไปว่า

" เหมือนอย่างสระน้ำเต็มเปี่ยมด้วยน้ำใหม่มีน้ำเต็มเสมอปากขอบสระ เมื่อเมฆใหญ่ทำให้ฝนตกลงมาที่สระนั้นเนือง ๆ น้ำในสระนั้นจะแห้งจะหมดไปหรือไม่ ? "
" ไม่แห้งไม่หมด พระผู้เป็นเจ้า "

" เพราะอะไร มหาบพิตร "
" เพราะฝนยังตกลงมาอยู่เนือง ๆ น่ะซิ พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือสระใหญ่อันได้แก่พระสัทธรรมที่เป็นพระศาสนาของสมเด็จพระชินสีห์ เต็มเปี่ยมด้วยน้ำใสสะอาด คือ อาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ได้ตรัสมรรคภาวนาไว้แล้ว ผู้ใดกระทำให้ฝนคือ อาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ ตกลงมาเนือง ๆ ผู้นั้นได้ชื่อว่าได้อบรมมรรคภาวนาไว้แล้ว เมื่อเป็นอย่างนั้นสระใหญ่ คือ พระสัทธรรม อันเป็นพระศาสนาสูงสุดของสมเด็จพระบรมสุคต ก็จักตั้งอยู่ตลอดกาลนาน โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายความอย่างนี้ จึงได้ตรัสไว้ว่าถ้าภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 17:51:46


อุปมาเหมือนกองไฟใหญ่

" ขอถวายพระพร เมื่อกองไฟใหญ่กำลังลุกรุ่งเรืองอยู่ มีคนทั้งหลายเอาหญ้าแห้ง ไม้แห้ง มูลโคแห้ง มาทิ้งเข้าในกองไฟใหญ่นั้นเรื่อย ๆ ไป กองไฟใหญ่นั้นจะดับไปหรือไม่ ? "
" ไม่ดับเลย พระผู้เป็นเจ้า มีแต่จะลุกใหญ่เท่านั้น "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระศาสนาอันประเสริฐของพระศาสดา ได้สว่างรุ่งเรืองอยู่ในหมื่นโลกธาตุ ด้วย อาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ ถ้าศากยบุตรพุทธชิโนรสยังประกอบด้วยองค์ของผู้มีความเพียร ยังฝึกฝนดี ยังไม่ประมาท ยังเต็มใจใน ไตรสิกขา ยังทำสิกขาให้บริบูรณ์ ทำจารีตและสีลสัมปทา ให้บริบูรณ์พระศาสนาก็ยังจักตั้งอยู่ตลอดกาลนาน โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายความอย่างนี้ จึงได้ตรัสไว้ว่า ถ้าภิกษุเหล่านี้ยังปฏิบัติชอบอยู่ โลกก็จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 กรกฎาคม 2554 17:54:04


อุปมาเหมือนกระจก

" อีกประการหนึ่ง กระจกอันบุคคลขัดดีแล้ว ทำให้ผ่องใสดีแล้ว และมีผู้ขัดอีกเนือง ๆ กระจกนั้นจะมัวหมองได้หรือไม่ ? "
" ไม่มัวหมอง พระผู้เป็นเจ้า มีแต่จะผ่องใสยิ่งขึ้นไป "

" ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละคือพระศาสนาของสมเด็จภควันบรมศาสดาผ่องใสอยู่เป็นปกติ คือไม่มัวหมองด้วยกิเลสตัณหาแต่อย่างใด ถ้าพระพุทธบุตรเหล่านั้นศึกษาพระศาสนาอันประเสริฐนั้นไว้ให้ผ่องใส ด้วย อาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ สัลเลข ธุดงคคุณ อยู่แล้ว พระศาสนาก็จะตั้งอยู่ตลอกกาลนาน โลกนี้จักไม่ว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย พระพุทธศาสนามีการปฏิบัติเป็นราก มีการปฏิบัติเป็นแก่น ตั้งอยู่ได้ด้วยการปฏิบัติ "

" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อว่า พระสัทธรรมอัตรธานนั้น มีอยู่กี่ประการ ? "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 07:49:05

อันตรธาน ๓ ประการ

" ขอถวายพระพร อันตรธานนั้น มีอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. อธิคมอันตรธาน
๒. ปฏิปัตติอันตรธาน
๓. ลิงคอันตรธาน

เมื่อ อธิคมอันตรธาน แล้ว ถึงมีผู้ปฏิบัติดี ก็ไม่มีธรรมาภิสมัย คือการได้รู้ยิ่งซึ่งธรรม
เมื่อ ปฏิปัตติอันตรธาน แล้ว สิกขาบทบัญญัติก็อันตรธาน ยังเหลือแต่เพศเท่านั้น
เมื่อ ลิงคอันตรธาน แล้ว ก็ขาดประเพณี คือความสืบต่อแห่งเพศบรรพชิตในพระพุทธศาสนา
อันตรธานมีอยู่ ๓ ประการเท่านี้แหละ มหาบพิตร "

" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้ทำปัญหาอันลึกให้ตื้นแล้ว
ได้ทำลายข้อยุ่งยากแล้ว ได้ทำให้ถ้อยคำของผู้อื่นหมดไปแล้ว
พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว ซึ่งความเป็นผู้องอาจในหมู่คณะอันประเสริฐ "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 08:13:56

ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องสำเร็จสัพพัญญุตญาณ

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา สมเด็จพระตถาคตเจ้าทรงเผาอกุศลสิ้นแล้ว จึงถึงพระสัพพัญญุตญาณ หรือว่าเผาอกุศลยังไม่สิ้นแต่ถึงพระสัพพญญุตญาณ? "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าเผากุศลทั้งปวงสิ้นแล้ว จึงถึงพระสัพพัญญุตญาณ การที่จะเผาอกุศลที่ยังเหลืออยู่ ไม่มีอีกเลย "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ทุกขเวทนาเคยเกิดในพระกายของพระพุทธเจ้าบ้างหรือไม่ ? "
" เคยเกิด มหาบพิตร คือครั้งประทับที่กรุงราชคฤห์ พระบาทได้ถูกสะเก็ดศิลา ครั้งทรงจำพรรษาที่เวฬุวคาม ก็ทรงเกิดโลหิตปักขันทิกาพาธ หมอชีวกก็ถวายยาประจุ อีกครั้งหนึ่งเกิดพระอาพาธลม พระอานนท์ก็ได้เที่ยวหาน้ำร้อนมาถวาย "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามต่อไปว่า
"ถ้าพระตถาคตเจ้าเผาอกุศลทั้งปวงสิ้นแล้ว จึงสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ คำที่ว่า "พระอาพาธเกิดในพระสรีรกายของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า" นั้นก็ผิด

ถ้าคำว่า "พระอาพาธเกิดในพระสรีรกายของพระพุทธเจ้านั้นถูก" คำว่า
"พระตถาคตเจ้าเผาอกุศลทั้งปวงสิ้นแล้ว จึงสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ" นั้นก็ผิด
บุคคลย่อมได้เสวยทุกขเวทนานอกจาก กรรม ไม่มี กรรมเท่านั้นเป็นมูลราก
บุคคลได้เสวยเวทนาเพราะกรรมเท่านั้น ปัญหาอันเป็นอุภโตโกฏินี้
ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงกำจัดเสียซึ่งความสงสัยเถิด "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 08:24:51
 
เหตุให้เกิดทุกขเวทนามี ๘

" ขอถวายพระพร ไม่ใช่ว่าเวทนาทั้งปวงมีกรรมเป็นมูลรากทั้งนั้น
เพราะเหตุที่จะให้เกิดเวทนาอันเป็นทุกข์นั้นมีอยู่ ๘ ประการ คือ

๑. ทุกขเวทนามีลมเป็นสมุฏฐาน
๒. ทุกขเวทนามีดีเป็นสมุฏฐาน
๓. ทุกขเวทนามีเสมหะเป็นสมุฏฐาน
๔. ทุกขเวทนามีประชุมลม ดี เสมหะเป็นสมุฏฐาน

๕. ทุกขเวทนามีการเปสี่ยนฤดูเป็นสมุฏฐาน
๖. ทุกขเวทนามีการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอเป็นสมุฏฐาน
๗. ทุกขเวทนามีการกระทำของผู้อื่นเป็นสมุฏฐาน
๘. ทุกขเวทนาอันเกิดด้วยผลแห่งกรรม

บุคคลเหล่าใด ถือว่าเกิดด้วยผลแห่งกรรมเดียว ไม่เกี่ยวกับเหตุ ๘ นี้ คำพูดของคนเหล่านั้นผิดไป "
" ข้าแต่พระนาคเสน ทุกขเวทนาอันมีสิ่งทั้ง ๘ นี้เป็นสมุฏฐาน ก็เป็นอันว่า มีกรรมเป็นสมุฏฐานทั้งนั้น เกิดด้วยกรรมทั้งนั้น"

#212


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 08:44:26

เหตุให้ ลม ดี เสมหะ กำเริบ

" ขอถวายพระพร ถ้าทุกขเวทนาเหล่านั้นมี กรรม เป็นสมุฏฐาน สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ต้องมีลักษณะต่างกัน แต่นี่มีลักษณะต่างกัน คือ

ลม เมื่อจะกำเริบก็กำเริบด้วยเหตุ ๑๐ อย่าง อันได้แก่ กำเริบด้วยเย็น ร้อน หิว กระหาย กินมากเกินไป ยืนนานเกินไป เพียรมากเกินไป วิ่งเร็วเกินไป การกระทำของผู้อื่น และผลแห่งกรรม๙ อย่างข้างต้น จะเกิดขึ้นในอดีต อนาคตก็หาไม่ ย่อมเกิดแต่ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรกล่าวว่า เวทนาทั้งปวงเกิดจากกรรม

ส่วน ดี เมื่อกำเริบ จะกำเริบด้วยเหตุ ๓ อย่าง คือ เย็น ร้อน กินไม่เป็นเวลา
เสมหะ กำเริบด้วยเหตุ ๓ อย่าง คือด้วยเย็น ร้อน ข้าว น้ำ
ลม ดี เสมหะ กำเริบด้วยเหตุเหล่านี้แล้วเจือกันชักมาซึ่งเวทนา อันเป็นส่วนของตน ๆ

เวทนาอันเกิดด้วยเปลี่ยนฤดู ก็เกิดขึ้นด้วยการเปลี่ยนฤดู
เวทนาอันเกิดด้วยบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ก็เกิดด้วยการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ
คือเปลี่ยนอิริยาบถไม่พอสมควรกัน

เวทนาอันเกิดจากความเพียร เป็นกิริยาก็มี เป็นวิบากก็มี
เวทนาอันเกิดจากกรรม ย่อมเกิดด้วยกรรมที่ได้กระทำไว้ในปางก่อน

ด้วยเหตุตามที่ว่ามานี้แหละ ชี้ให้เห็นว่าเวทนาอันเกิดด้วยกรรมมีน้อย เกิดด้วยอย่างอื่นมีมาก พวกโง่เขลาก็เข้าใจว่า เกิดด้วยกรรมทั้งนั้น กรรมนั้นไม่มีใครรู้ได้ นอกจากพระพุทธญาณเท่านั้น"


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ ที่ 26 กรกฎาคม 2554 08:51:49
มีแต่เรื่องดี ๆ มีแต่สิ่งดี ๆ มาเผยแพร่เป็นทั้งวิทยาทาน และธรรมทาน

ขอผลบุญสำเร็จแด่โยมป้าแป๋ม เกื้อหนุนให้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต

เจริญพร


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 08:58:51

พระเทวทัตกลิ้งก้อนศิลา

" การที่พระบาทของพระพุทธเจ้าถูกสะเก็ดศิลาแล้ว ทำให้เกิดเวทนานั้น ไม่ใช่มีลม หรือดี เสมหะ หรือสิ่งทั้ง ๓ นี้ เป็นสมุฏฐานเลย ไม่ใช่เกิดด้วยการเปลี่ยนฤดู หรือด้วยการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ เกิดด้วยการกระทำของผู้อื่นต่างหาก คือพระเทวทัต ผู้ผูกอาฆาตต่อพระตถาคตเจ้ามาหลายแสนชาติแล้ว ได้กลิ้งก้อนศิลาใหญ่ลงไปจากยอดภูเขา ด้วยคิดจักให้ตกถูกพระพุทธองค์ แต่ก้อนศิลาที่กลิ้งลงมานั้น ได้มากระทบก้อนศิลาใหญ่อีก ๒ ก้อน ก้อนศิลานั้นได้แตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ กระจายไป มีสะเก็ดเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งได้กระเด็นไปถูกพระบาทของพระพุทธเจ้าทำให้พระโลหิตห้อขึ้น จะว่าเวทนานั้นเกิดด้วยผลแห่งกรรม หรือด้วยการกระทำของพระองค์ไม่ได้ทั้งนั้น เกิดด้วยการกระทำของผู้อื่นต่างหาก "

ยกอุปมาขึ้นเปรียบเทียบ

" พืชย่อมงอกงามไม่ดี ย่อมเป็นเพราะที่ดินไม่ดี หรือเพราะพืชไม่ดีฉันใด เวทนานั้นก็เกิดแก่พระพุทธเจ้า เพราะผลแห่งกรรม หรือเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉันนั้น นอกนั้นย่อมไม่มี

โภชนะที่กินเข้าไปแล้วย่อยไม่ดี ย่อมเป็นเพราะท้องไม่ดี หรือเพราะโภชนะนั้นไม่ดีฉันใด เวทนาของพระพุทธเจ้านั้น ก็เกิดด้วยผลแห่งกรรม หรือเกิดด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งฉันนั้น

ก็แต่ว่า เวทนาอันเกิดด้วยผลแห่งกรรม และเกิดด้วยการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้า มีด้วยเหตุ ๑ อย่างนอกจาก ๒ อย่างนี้ ต่างหาก


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 09:10:21

ใครไม่อาจปลงพระชนม์ของพระพุทธเจ้าได้

แต่ว่าเวทนาทั้งที่น่าต้องการ และไม่น่าต้องการ ดีและไม่ดี ย่อมมีในพระวรกายอันประกอบด้วยธาตุ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้

เป็นของธรรมดาก้อนดินที่บุคคลขว้างขึ้นไปในอากาศ ย่อมตกลงมาที่พื้นดิน ก้อนดินเหล่านั้นได้ตกลงมาที่พื้นดิน ด้วยกรรมที่ได้ทำไว้ในปางก่อนหรือ...มหาบพิตร? "

" หามิได้ พระผู้เป็นเจ้า ก้อนดินเหล่านั้นไม่ได้ตกลงมาที่พื้นดินด้วยกรรมอะไร"

" ขอถวายพระพร ควรเห็นว่าพระวรกายของพระตถาคตเจ้า ก็เปรียบเหมือนกับพื้นดินฉะนั้น การที่สะเก็ดศิลาถูกพระบาทของพระตถาคตเจ้านั้น ไม่ใช่เป็นเพราะบุพพกรรม

อาตมภาพขอถามมหาบพิตรว่า การที่แผ่นดินใหญ่นี้ ถูกมนุษย์ทั้งหลายทำลายและขุดนั้น เป็นด้วยบุพพกรรมหรือ ? "
" ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อที่สะเก็ดศิลาถูกพระบาทของพระพุทธเจ้า ทำให้พระโลหิตห้อนั้น ก็ไม่ใช่เพราะบุพพกรรมฉันนั้น ถึงพระโรคลงแดงก็ไม่ได้เกิดด้วยบุพพกรรม เกิดด้วย ลม ดี เสมหะ ๓ อย่าง กำเริบต่างหาก

ทุกขเวทนาทางพระกายของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดด้วยบุพพกรรมเลย เกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ ต่างหาก
ข้อนี้ สมกับที่สมเด็จพระมหามุนีได้ตรัสไว้ใน " โมลิยสีวกเวยยากรณะ" ในสังยุตตนิกายว่า

" ดูก่อนสีวกะ เวทนาบางอย่างเกิดขึ้นเพราะมี " ดี " เป็นสมุฏฐาน บางอย่างมี " ลม " เป็นสมุฏฐาน บางอย่างมี " สิ่งทั้ง ๓ " นั้นเป็นสมุฏฐาน บางอย่างเกิดขึ้นเพราะเปลี่ยนฤดู บางอย่างเกิดขึ้นเพราะบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ บางอย่างเกิดขึ้นเพราะการกระทำของผู้อื่น บางอย่างเกิดขึ้นเพราะผลของกรรม

สมณพราหมณ์เหล่าใดเห็นว่า สุข ทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุขทั้งสิ้น เกิดขึ้นเพราะบุพพกรรมทั้งนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าแล่นเลยความจริงไป ความคิดความเห็นของสมณพราหมณ์เหล่านั้นผิดไป "
เพราะฉะนั้นแหละ มหาบพิตร อาตมาจึงว่า เวทนาทั้งสิ้นไม่ใช่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน ไม่ใช่เกิดเพราะกรรมทั้งนั้น เป็นอันว่า พระตถาคตเจ้าได้เผาอกุศลกรรมสิ้นแล้ว จึงได้ถึงพระสัพพัญญุตญาณ ขอให้มหาบพิตรทรงจำไว้อย่างนี้เถิด ขอถวายพระพร "

" ดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า โยมขอรับจำไว้อย่างนี้ "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 09:16:08

ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องสิ่งที่ควรทำยิ่งของพระพุทธเจ้า

สมเด็จพระราชาธิบดินทร์มิลินทราชพระบาทท้าวเธอตรัสถามปัญหาข้อต่อไปอีกว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า สิ่งที่ควรทำทั้งสิ้น สมเด็จพระมหามุนินทร์ทรงทำสำเร็จแล้วที่ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ ไม่มีสิ่งที่ควรทำให้ยิ่งขึ้นไปอีก ไม่มีการสะสมสิ่งที่ทำแล้ว ดังนี้ แต่มีปรากฏอยู่ว่า พระตถาคตเจ้าได้ทรงประทับอยู่ในที่สงัดถึง ๓ เดือน

ถ้าพระตถาคตเจ้าได้ทำสิ่งที่ควรทำหมดแล้ว คำที่ว่า พระตถาคตเจ้าทรงเจ้าอยู่ในที่สงัดอยู่ถึง ๓ เดือนนั้นก็ผิดไป
ถ้าถือว่าการที่พระตถาคตเจ้าเข้าอยู่ในที่สงัดตลอด ๓ เดือนนั้นถูก คำที่ว่า พระตถาคตเจ้าได้ทำสิ่งที่ควรทำหมดแล้วนั้นก็ผิดไป

ข้าแต่พระนาคเสน การอยู่ในที่สงัด คือการเข้าฌานสมบัติ ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จแล้ว เหมือนกับความจำเป็นที่จะต้องทำด้วยยา ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีโรค ความจำเป็นด้วยโภชนาหาร ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่หิวฉะนั้น ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้วขอได้โปรดแก้ไขด้วยเถิด "

พระนาคเสนเถระวิสัชนาว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรได้ทำสิ่งที่ควรทำเสร็จแล้ว ที่ภายใต้โพธิพฤกษ์ไม่มีสิ่งที่ควรทำอีก ไม่มีการสะสมสิ่งที่ควรทำไว้แล้วนั้นก็จริง คำที่ว่า พระตถาคตเจ้าได้ทรงเข้าฌานสมาบัติอยู่ตลอด ๓ เดือนนั้นก็จริง คือเมื่อพระตถาคตเจ้าทั้งหลายทรงเจ้าฌาน อันมีคุณมาก มีคุณเป็นเอนก แล้วจึงสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ เมื่อทรงระลึกถึงคุณที่ฌานเหล่านั้น ได้กระทำไว้แล้ว จึงทรงเข้าฌานอีก เหมือนกับผู้ได้รับพรจากพระราชา คือได้ลาภยศจากพระราชาแล้ว เมื่อระลึกถึงพระคุณของพระราชา ก็ไปเฝ้าพระราชาอยู่เนือง ๆ หรือเหมือนกับบุรุษผู้เจ็บไข้ได้หายเจ็บไข้เพราะหมอคนใด เมื่อระลึกถึงคุณของหมอคนนั้น ก็ไปหาหมอเนือง ๆ ไปเพิ่มทรัพย์ให้หมอคนนั้นอีกเนือง ๆ ฉะนั้น "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 09:23:32

การเข้าฌานมีคุณ ๒๘

" ขอถวายพระพร การเข้าฌานมีคุณ ๒๘ เมื่อสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ทรงระลึกถึงคุณ ๒๘ นั้น ก็ทรงเข้าฌาน คุณแห่งการเข้าฌาน ๒๘ นั้น คือ

๑. รักษาตัว
๒. ทำให้อายุเจริญ
๓. ให้เกิดกำลัง
๔. ปิดเสียซึ่งโทษ
๕. กำจัดเสียซึ่งสิ่งที่ไม่ใช่ยศ
๖. ทำให้เกิดยศ
๗. กำจัดเสียซึ่งความไม่ยินดีในธรรม

๘. ทำให้เกิดความยินดีในธรรม
๙. กำจัดเสียซึ่งภัย
๑๐. กระทำให้เกิดความกล้าหาญ
๑๑. กำจัดเสียซึ่งความเกียจคร้าน
๑๒. ทำให้เกิดความเพียร
๑๓. กำจัดเสียซึ่งราคะ
๑๔. ระงับเสียซึ่งโทสะ

๑๕. กำจัดเสียซึ่งโมหะ
๑๖. กำจัดเสียซึ่งมานะ
๑๗. ทิ้งเสียซึ่งวิตก
๑๘. ทำจิตให้มีอารมณ์เป็นหนึ่ง
๑๙. ทำให้จิตรักในที่สงัด
๒๐. ทำให้เกิดร่าเริง
๒๑. ทำให้เกิดปีติ

๒๒. ทำให้เป็นที่เคารพ
๒๓. ทำให้เกิดลาภ
๒๔. ทำให้เป็นที่รักแก่ผู้อื่น
๒๕. รักษาไว้ซึ่งความอดทน
๒๖. กำจัดเสียซึ่งอาสวะแห่งสังขารทั้งหลาย
๒๗. เพิกถอนเสียซึ่งการเกิดในภพต่อไป
๒๘. ให้ถึงซึ่งสามัญผลทั้งปวง

ดูก่อนมหาราชะ การเข้าฌานย่อมมีคุณ ๒๘ ประการดังนี้ สมเด็จพระชินสีห์ทั้งหลายจึงทรงเจ้าฌาน อีกประการหนึ่งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายทรงต้องการเสวยสุขอันสงบ ก็ทรงเข้าฌาน

อนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายย่อมทรงเข้าฌานโดยเหตุ ๔ คือ เพื่อความอยู่เป็นสุข ๑ เพื่อความไม่มีโทษมีแต่มากด้วยคุณ ๑ เพื่อความเจริญแห่งพระอริยะอย่างไม่เหลือ ๑ เป็นของที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงสรรเสริญว่าประเสริฐ ๑ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงเจ้าฌานด้วยเหตุเหล่านี้ ไม่ใช่ทรงเข้าฌานด้วยเหตุที่ยังมีสิ่งที่ควรทำอยู่ หรือด้วยเหตุเพื่อจะสะสมสิ่งที่ควรทำแล้ว ทรงเข้าด้วยทรงเล็งเห็นคุณวิเศษโดยแท้ขอถวายพระพร "

" พระผู้เป็นเจ้าโปรดนี้ โยมไม่มีข้อสงสัย โยมจะรับไว้ซึ่งถ้อยคำของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยประการดังนี้ "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 09:32:30

ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องกำลังอิทธิบาท

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า

"ดูก่อนอานนท์อิทธิบาททั้ง ๔ เป็นของที่พระตถาคตเจ้าได้อบรมแล้ว กระทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นยานพาหนะแล้ว ทำให้เป็นที่ตั้งแล้ว ตั้งไว้เนือง ๆ แล้ว สะสมไว้มั่นแล้ว ปรารภไว้ดีแล้ว เมื่อพระตถาคตเจ้าจำนงจะดำรงอยู่ตลอดกัป หรือเกินกัปกัปก็ได้ "
แล้วตรัสอีกว่า
" เมื่อล่วง ๓ เดือนจากนี้ไป พระตถาคตเจ้าจักปรินิพพาน "

ดังนี้ ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระตถาคตเจ้าทรงเจริญอิทธิบาท ๔ จนสามารถให้อยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัปนั้นเป็นของจริง การกำหนดเดือนนั้นก็ผิดไป
ถ้าการกำหนดเดือนนั้นถูก คำว่า จะดำรงอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่านั้นก็ผิดไป

คำของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ผิดเป็นคำจริงทั้งนั้น ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ เป็นปัญหาลึกละเอียด รู้ได้ยาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงทำลายเสียซึ่งข่าย คือความเห็นเถิด "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ว่าพระตถาคตเจ้าทรงเจริญอิทธิบาท อาจให้ทรงอยู่ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่านั้นก็เป็นของจริง การกำหนดเดือนนั้นก็เป็นของจริง เพราะกัปที่ตรัสไว้นั้น หมายถึงอายุกัป

ไม่ใช่ว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงกำลังของพระองค์ จึงได้ทรงตรัสไว้อย่างนั้น แต่เมื่อจะทรงแสดงกำลังแห่งอิทธิบาท จึงได้ตรัสไว้อย่างนั้นต่างหาก ขอถวายพระพร

เมื่อพระราชาจะทรงแสดงกำลังรวดเร็วแห่งม้าอาชาไนย ก็ได้ตรัสขึ้นในท่ามกลางมหาชนว่า ม้าตัวประเสริฐนี้อาจวิ่งไปรอบโลก แล้วกลับมาถึงที่นี้ได้ในขณะเดียว ดังนี้ ไม่ใช่ว่าตรัสอย่างนี้ เพื่อจะทรงแสดงความรวดเร็วของพระองค์ ทรงประสงค์เพื่อจะทรงแสดงความรวดเร็วของม้าอาชาไนยต่างหาก

ข้อที่พระตถาคตเจ้าตรัสอย่างนั้นก็เพื่อจะทรงแสดงกำลังอิทธิบาทเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อจะทรงแสดงกำลังของพระองค์เลย พระตถาคตเจ้าไม่ต้องการความมีความเป็นทั้งปวงแล้ว ทรงติเตียนภพ คือ ความมีความเป็นทั้งสิ้น ข้อนี้สมกับพระพุทธฎีกาขององค์สมเด็จพระมหามุนีทรงตรัสไว้ว่า

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันว่าคูถถึงมีเล็กน้อย ก็มีกลิ่นเหม็นฉันใด ภพถึงมีเพียงเล็กน้อย ชั่วดีดนิ้วมือเดียว เราตถาคตก็ไม่สรรเสริญ "

มหาบพิตรทรงเข้าพระทัยว่า พระพุทธเจ้าทรงพอพระทัยในภพทั้งปวง เพราะอาศัยอิทธิฤทธิ์หรือไม่ ? "
" หามิได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงแสดงกำลังอิทธิบาท จึงได้ทรงบันลือพระพุทธสีหนาทไว้อย่างนั้น ขอถวายพระพร "
" ถูกแล้ว พระนาคเสน โยมยินดีรับคำที่พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนามานี้ "

จบวรรคที่ ๑


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 09:52:43

(https://lh3.googleusercontent.com/_7nCdfCV-TPM/Tb1uz6_a0BI/AAAAAAAABxw/J7MbG7hDMls/original_1853_1049_080404223811_0a.jpg)

เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๒
ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องสิกขาบทเล็กน้อย

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง ไม่ใช่แสดงธรรมอันไม่ควรรู้ยิ่ง "

ดังนี้ แต่ต่อมาได้ตรัสไว้ในพระวินัยบัญญัติว่า
" ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราล่วงไปแล้ว สงฆ์จำนงถอนขุททานุขุททกสิกขาบท ก็ถอนเถิด "

ดังนี้ จึงขอถามว่า พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขุททานุขุททกสิกขาบทนั้น ทรงบัญญัติไว้ไม่ดีหรือ หรือว่าทรงบัญญัติไว้ในเวลายังไม่มีเรื่องเกิดขึ้น จึงทรงอนุญาตให้ถอนขุททานุขุททกสิกขาบท ในเมื่อพระองค์ล่วงลับไปแล้ว
ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระตถาคตเจ้าทรงแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง การโปรดให้ถอนสิกขาบทก็ผิดไป ถ้าการโปรดให้ถอนสิกขาบทเป็นการถูก การที่ว่าแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่งผิดไป ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ เป็นปัญหาอันสุขุมละเอียด ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงความกว้างขวางแห่งกำลังญาณ เหมือนกับมังกรที่อยู่ในท้องสาครฉะนั้นเถิด "

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" มหาราชะ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เราแสดงธรรมอันควรรู้ยิ่ง ไม่ใช่แสดงธรรมอันไม่ควรรู้ยิ่ง ดังนี้จริงและตรัสไว้อีกในพระวินัยบัญญัติว่า เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว สงฆ์จำนงจะถอนขุททานุขุททกสิกขาบท ก็จงถอนเถิด ดังนี้ก็จริง เป็นอันว่าจริงทั้งสองคำ ขอถวายพระพร เมื่อพระตถาคตเจ้าจะทรงทดลองภิกษุทั้งหลายว่า สาวกของเราจักเลิกถอนขุททานุขุททกสิกขาบทที่เราอนุญาตไว้ หรือจักยึดมั่นไว้ ดังนี้ จึงได้ตรัสไว้อย่างนั้น มหาราชะ เหมือนอย่างว่า พระเจ้าจักรพรรดิตรัสแก่พระราชโอรสว่า

" ลูกเอ๋ย...บ้านเมืองอันกว้างขวางนี้ มีมหาสมุทรเป็นที่สุดในทิศทั้งปวง เป็นของปกครองยาก เมื่อบิดาล่วงลับไปแล้ว จงสละปัจจัตประเทศตามความประสงค์เถิด "
พระราชกุมารเหล่านั้น จะยอมสละปัจจัตประเทศ อันตกอยู่ในเงื้อมมือของตน ตามพระดำรัสสั่งของพระราชบิดาหรือไม่ ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระราชกุมารเหล่านั้น มีแต่อยากจะหาเพิ่มขึ้นอีกถึงสองเท่า ด้วยความโลภ จะสละทิ้งบ้านเมืองที่อยู่ในเงื้อมมือของตนแล้วได้อย่างไร "
" ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละพระพุทธบุตรทั้งหลาย ก็มีแต่จะเพิ่มสิกขาบทอื่นเข้าไปอีก ด้วยความโลภในธรรม เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ อย่าว่าแต่สิกขาบทอื่นที่ทรงบัญญัติไว้แล้วเลย "

" ข้าแต่พระนาคเสน ขุททานุขุททกสิกขาบทนั้น ได้แก่อะไร ? "
" ขอถวายพระพร ขุททกสิกขาบท ได้แก่ ทุกกฎฯ อนุขุททกสิกขาบท ๆ ได้แก่ ทุพภาษิตฯ ขุททานุขุททกสิกขาบททั้งสองนี้เมื่อก่อนพระอรหันต์ทั้งหลายเกิดความสงสัย ท่านจึงได้รวมเข้าไว้เป็นอันเดียวกับสิกขาบทอื่น ๆ ด้วย ธรรมสังคีตปริยาย เพราะเห็นว่าปัญหานั้นสมเด็จพระภควันต์ได้เข้าไปเห็นแล้ว "

" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อลี้ลับของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เก็บไว้นานแล้ว ได้เปิดให้ปรากฏขึ้นในโลกวันนี้แล้ว "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 10:01:04

ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องปัญหาที่แก้ด้วยการพักไว้

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
" ดูก่อนอานนท์ อาจริยมุฏฐิ คือกำมือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ไม่มีแก่พระตถาคตเจ้า "
แต่ภายหลัง พระมาลุงกยบุตร ได้ทูลถามก็ไม่ทรงแก้ จึงว่าปัญหานี้ จักเป็นปัญหาที่เด็ดขาดลงไปใน ๒ อย่าง ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง คือไม่ทรงแก้เพราะไม่รู้ หรือเพราะกระทำข้อลี้ลับไว้อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า กำมือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่พระตถาคต ดังนี้เป็นคำจริงแล้ว การที่ไม่ทรงแก้นั้น ก็ต้องเป็นเพราะไม่ทรงล่วงรู้ ถ้าทรงล่วงรู้แต่ไม่แก้ คำว่า "กำมือแห่งอาจารย์ในธรรมทั้งหลาย ก็ต้องมีแก่พระตถาคต "
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ละเอียดลึกซึ้งนัก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงทำลายเสียซึ่งข่าย คือ ทิฏฐิเถิด "

พระนาคเสนเถระถวายพระพรว่า
" สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้อย่างนั้นจริง แต่ที่ไม่ทรงแก้นั้น ไม่ใช่เพราะไม่ทรงล่วงรู้ ไม่ใช่เพราะกระทำให้เป็นข้อลี้ลับไว้ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ได้แสดงแก้ปัญหาไว้เป็น ๔ประการ คือ

๑. เอกังสพยากรณ์ เมื่อมีผู้ถามก็แก้ออกไปทีเดียว
๒. วิภัชชพยากรณ์ แยกแล้วจึงแก้
๓. ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ย้อนถามแล้วจึงแก้
๔. ฐปนียพยากรณ์ แก้ด้วยการงดไว้

ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ เรียกว่า ฐปนียปัญหา เหตุไรปัญหานั้นจึงเป็นฐปนียปัญหา เหตุว่าไม่มีเหตุที่จะให้ทรงแก้ปัญหานั้น เพราะการเปล่งพระวาจาอันไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอถวายพระพร "

" สาธุ... พระนาคเสน โยมยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น "


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 10:16:10

ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องมรณภัย

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสไว้ว่า " บุคคลทั้งปวงกลัวอาชญา บุคคลทั้งปวงกลัวความตาย " ดังนี้ และตรัสไว้อีกว่า "พระอรหันต์ล่วงเสียซึ่งความกลัวทั้งปวงแล้ว "
จึงขอถามว่า ความกลัวอาชญา หรือความสะดุ้งมีอยู่แก่พระอรหันต์หรือ...อีกอย่างหนึ่ง พวกสัตว์นรกที่ถูกไฟไหม้อยู่เป็นนิจนั้น เมื่อจะพ้นจากนรกใหญ่อันมีเปลวไฟลุกอยู่เป็นนิจนั้นยังจะกลัวความตายหรือ?

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้นถูกแล้ว คำที่ว่าพระอรหันต์ล่วงความกลัวทั้งปวงแล้วก็ผิด
ถ้าคำว่า พระอรหันต์ล่วงความกลัวทั้งปวงแล้วนั้นถูก คำว่าบุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้นก็ผิด
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแสดงให้สิ้นสงสัยเถิด พระคุณเจ้าข้า"

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร คำว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้น ไม่ได้หมายถึงพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ได้ตัดต้นเหตุที่จะให้เกิดความกลัวแล้ว

บุคคลเหล่าใดยังมีกิเลสอยู่ ยังมีความเห็นเป็นตัวเป็นตนแรงกล้าอยู่ ยังเอนเอียงในสุขทุกข์อยู่ สมเด็จพระบรมครูหมายถึงบุคคลเหล่านั้น จึงได้ตรัสว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวความตาย พระอรหันต์ทั้งหลายได้ตัดคติทั้งปวงแล้ว ตัดเสียซึ่งปฏิสนธิมิได้เกิดในภพทั้งสาม หักซึ่งโครงแห่งนายช่าง คือตัณหาแล้ว ตัดเหตุแห่งภพทั้งปวงแล้ว กำจัดสังขาร กุศล อกุศล เสียสิ้นแล้ว กำจัดอวิชชาไม่ให้มีพืชต่อไปแล้ว เผากิเลสทั้งปวงแล้ว ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายแล้ว เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ทั้งหลายจึงไม่สะดุ้งต่อภัยทั้งปวง


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 10:24:39

อุปมามหาอำมาตย์ทั้ง ๔

ขอถวายพระพร มหาบพิตรพระราชสมภาร เปรียบปานดุจมหาอำมาตย์ทั้ง ๔ ของพระราชาที่ได้รับพระราชทานยศศักดิ์ฐานันดรแล้วมีอยู่ เมื่อมีกรณียกิจเกิดขึ้นพระราชาก็ตรัสสั่งว่า
" คนทั้งปวงในแผ่นดินของเรา จงกระทำพลีแก่เรา มหาอำมาตย์ทั้ง ๔ จงทำให้เรื่องนี้สำเร็จ "
อาตมภาพขอถามว่า ความสะดุ้งต่อภัยคือ พลี จะมีแก่มหาอำมาตย์ทั้ง ๔ นั้นหรือไม่ ? "
" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "

" เพราะเหตุไร มหาบพิตร ? "
" เพราะเหตุว่ามหาอำมาตย์ทั้ง ๔ นั้น เป็นที่ผู้พระราชาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งสูงแล้ว เป็นผู้ล่วงเสียซึ่งพลีแล้ว คำที่พระราชาตรัสสั่งว่า บุคคลทั้งปวงจงกระทำพลีนั้น หมายบุคคลเหล่านั้น นอกจากมหาอำมาตย์ทั้ง ๔ นั้น อย่างนี้แหละพระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสไว้ว่าบุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญา กลัวต่อความตายนั้น สมเด็จพระภควันก็ไม่ได้ตรัสหมายถึงพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ได้ตัดต้นเหตุที่จะให้สะดุ้งกลัวเสียหมดแล้ว หมายเฉพาะผู้ยังมีกิเลสเท่านั้น"
"ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า " ทั้งปวง" นี้จะว่าเป็นคำมีเศษหามิได้ เป็นคำไม่มีเศษโดยแท้ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงชี้แจงเหตุการณ์ในข้อนี้ให้โยมฟัง"


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 กรกฎาคม 2554 10:38:02

อุปมาดั่งนายบ้าน

" มหาราชะ เปรียบประดุจดังนายบ้านสั่งให้บอกลูกบ้านว่า
"พวกที่อยู่ในบ้านของเราทั้งสิ้น จงมาประชุมกันในสำนักของเรา"
ผู้รับสั่งก็ไปยืนประกาศในท่ามกลางบ้านขึ้นด้วยเสียงอันดังถึง ๓ ครั้งว่า

" ชาวบ้านทั้งสิ้น จงรีบไปประชุมในสำนักเจ้าของบ้าน"
ลำดับนั้น ชาวบ้านก็รีบไปประชุมกันผู้รับคำสั่งนั้นก็บอกเจ้าของบ้านว่า
"ชาวบ้านทั้งปวงมาประชุมกันแล้ว สิ่งใดที่ควรกระทำขอจงกระทำเถิด"

เป็นอันว่า เมื่อนายบ้านผู้นั้นจะให้ลูกบ้านเท่าที่เห็นปรากฏมาประชุม ก็สั่งลูกบ้านทั้งหมด ลูกบ้านที่รับคำสั่งแล้ว ก็ไม่ได้มาประชุมหมด แต่นายบ้านก็รับว่า ลูกบ้านของเราประชุมหมดแล้ว ความจริงที่ไม่ได้มาประชุมก็มีอยู่อีกเป็นอันมาก คือ สตรี บุรุษ ทาสี ทาส ลูกจ้าง คนตาบอด หญิงมีครรภ์ แพะ แกะ ช้าง สุนัข โค แม่โคนม แต่พวกนั้นก็ไม่ได้นับเข้าในพวกที่ไม่ได้มาประชุมฉันใด

บุคคลเหล่าใดที่ยังมีกิเลสอยู่ สมเด็จพระบรมครูก็ทรงหมายบุคคลเหล่านั้น จึงตรัสว่า บุคคลทั้งปวงสะดุ้งต่ออาชญาฉันนั้นขอถวายพระพร

ถ้อยคำมีเศษ ก็มีความหมายมีเศษก็มีฯ
ถ้อยคำมีเศษ ส่วนความหมายไม่มีเศษก็มีฯ
ถ้อยคำไม่มีเศษความหมายมีเศษก็มีฯ
ถ้อยคำไม่มีเศษความหมายไม่มีเศษก็มีฯ

เพราะฉะนั้น จึงควรพิจารณาความหมาย ควรรับทราบความหมายอนุโลมตามกัน ๑ มีความหมายยิ่งไปกว่าเหตุ ๑ มีความหมายเกี่ยวกับจะต้องถามอาจารย์ ๑ มีความหมายที่จะต้องอธิบายออกไป ๑ เมื่อเข้าใจความหมายอย่างนี้ จึงจะเป็นอันวินิจฉัยตัดสินปัญหานั้นได้ดี ขอถวายพระพร "

# ๒๒๔ น.๑๕ / http://agaligohome.com/index.php?topic=205.225 (http://agaligohome.com/index.php?topic=205.225)


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 13:55:07


   สัตว์นรกยังกลัวตายหรือ

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนี้จงยกไว้ โยมรับละ คือจงยกพระอรหันต์ทั้งหลายเสียให้สะดุ้ง แต่สัตว์นอกนั้น โยมจะขอถามว่าพวกสัตว์นรกที่ได้รับทุกขเวทนาเผ็ดร้อนกล้าแข็ง มีร่างกายทั้งสิ้นถูกไฟเผา เร่าร้อนหวั่นไหวอยู่ด้วยไฟมีหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาที่ร้องไห้รำพันคร่ำครวญ ถูกทุกข์เผ็ดร้อนกล้าแข็งครอบงำอย่างเหลือเกิน ไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีเวลาสร่างทุกข์โศก มีแต่จะได้รับทุกขเวทนาไปท่าเดียว มีแต่จะได้รับทุกข์โศกไปอย่างเดียว ถูกไฟเผาลนอย่างร้ายกาจ มีเสียงร้องน่าสะพรึงกลัว มีเปลวไฟ ๖ อย่างห้อมล้อมอยู่ ไม่ว่างจากเปลวไฟอันแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์ เมื่อจะตายไปจากนรกใหญ่อันเผ็ดร้อนอย่างนั้น ยังจะกลัวตายอยู่หรือพระผู้เป็นเจ้า ?"
 
   พระนาคเสนชี้แจงว่า
   " ขอถวายพระพร ยังกลัวตายอยู่ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน นรกมีแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียวไม่ใช่หรือ เหตุไรพวกสัตว์นรกที่ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างเดียว เมื่อจะตายจึงยังกลัวตายอยู่ สัตว์นรกเหล่านั้น ยังยินดีอยู่ในนรกหรือ ? "
   " ขอถวายพระพร สัตว์นรก เหล่านั้นได้ยินดีอยู่ในนรกเลย มีแต่อยากพ้นไปจากนรก แต่ที่กลัวตายนั้น เป็นเพราะอานุภาพแห่งความตาย"

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า คำที่ว่าสัตว์นรกอยากพ้นจากนรก แต่ยังกลัวตายนั้น โยมไม่เชื่อ เพราะผู้ที่อยากพ้นจากทุกข์ จะกลัวอย่างไร สัตว์ทั้งหลายได้สิ่งใดสมความปรารถนาก็ร่าเริงดีใจ เพราะฉะนั้น ขอจงให้โยมเข้าใจความข้อนี้ด้วยเถิด "

   " ขอถวายพระพร อันความตายย่อมเป็นเหตุให้เกิดความสะดุ้งแก่สัตว์ทั้งหลายที่ยังไม่เห็นสัจจะ พวกที่ยังไม่เห็นสัจจะ คือความจริง ย่อมสะดุ้ง ย่อมพรั่นพรึง ผู้ใดกลัวงูเห่าดำ ผู้นั้นก็กลัวตาย ผู้ใดกลัวตาย ผู้นั้นก็กลัวงูเห่าดำ ผู้ใดกลัวช้าง สิงห์ เสือโคร่ง เสือ เหลือง หมี หมาไน กระบือป่า กระบือบ้าน โจร ไฟ น้ำ ตอหนาม ยักษ์ ผีเสื้อน้ำ ผู้นั้นก็กลัวความตาย ความตายมีเดชแรงกล้าอย่างนี้ พวกที่มีกิเลสจึงกลัวตาย พวกสัตว์นรกอยากพ้นจากนรกก็จริงแต่ก็ยังกลัวตาย"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 15:27:12


อุปมาบุรุษผู้เป็นฝี

" ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่า บุรุษคนหนึ่งเป็นฝีทนทุกขเวทนา อยากจะหมดทุกข์จึงให้หาหมอผ่าตัด เมื่อหมอผ่าตัดมาถึง ก็วางเครื่องมือไว้แล้วลับมีดให้คม เผาซี่เหล็กให้แดง บดยากัดไว้ เวลาหมอทำอย่างนั้นอยู่ คนที่เป็นฝีนั้น จะสะดุ้งกลัวต่อการกระทำของหมอนั้นหรือไม่ ? "

" สะดุ้งกลัว พระผู้เป็นเจ้า "
" ขอถวายพระพร ผู้อยากจะหายโรคยังสะดุ้งกลัวต่อวิธีการรักษาอยู่ฉันใด พวกสัตว์นรกก็ยังสะดุ้งกลัวต่อความตายฉันนั้น "


อุปมาบุรุษผู้ถูกงูพิษกัด

" ขอถวายพระพร เปรียบเหมือนกับบุรุษถูกงูพิษกัดล้มกลิ้งอยู่ มีบุรุษอีกคนหนึ่ง เรียกงูพิษนั้นกลับมาด้วยอำนาจมนต์ ให้มาดูดเอาพิษไป บุรุษผู้ถูกงูกัดนั้นจักกลัวหรือไม่? "

" กลัว พระผู้เป็นเจ้า "
" ความกลัวย่อมมีแก่บุรุษผู้ถูกงูกัด ผู้กำลังจะหายจากงูพิษฉันใด ถึงพวกสัตว์นรกอยากจะพ้นนรกก็ยังกลัวความตายอยู่ฉันนั้น ความตายเป็นของที่ไม่ต้องการ ไม่รักใคร่พอใจของสัตว์ทั้งปวง เพราะฉะนั้น พวกสัตว์นรกจึงกลัวตาย ขอถวายพระพร "

"ถูกแล้วพระนาคเสน โยมยินดีรับว่าถูกต้อง "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 15:40:40


ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องพ้นจากบ่วงมรณะ

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามปัญหาสืบไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายจะเร้นซ่อนตนอยู่ในที่ใด ๆ ก็ตาม ที่พ้นความตายไม่มี ที่ความตายจะครอบงำไม่ได้ไม่มีดังนี้ แต่ได้ทรงแสดงพระปริตร คือพระพุทธมนต์อันเป็นเครื่องป้องกันไว้พระปริตรนั้นได้แก่อะไรบ้างคือ ขันธปริตร ๑ สุวัตถิปริตร ๑ โมรปริตร ๑ ธชัคคปริตร ๑ อาฏานาฏิยปริตร ๑ ถ้าผู้อยู่ในอากาศ หรือในท่ามกลางมหาสมุทร หรืออยู่ในท่ามกลางภูเขา ไม่พ้นจากอำนาจความตายแล้ว พระปริตรนั้นก็ผิดไป ถ้าพ้นจากความตายด้วยพระปริตรคำว่า "ที่ความตายไม่ครอบงำไม่มีนั้น" ก็ผิดไป ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ ยุ่งยากมากขอพระผู้เป็นเจ้าจงแก้ไขให้ง่ายเถิด"

พระนาคเสนจึงตอบว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสไว้อย่างนั้นจริง และได้ทรงแสดงพระปริตรไว้เป็นอันมากจริง พระปริตรนั้นย่อมป้องกันได้เฉพาะผู้ที่ยังไม่หมดอายุขัย ทั้งไม่มีบุพพกรรมมาตัดรอนเท่านั้น ส่วนผู้ที่หมดอายุขัยแล้ว ไม่สามารถที่กระทำอย่างใดที่จะให้มีอายุสืบต่อไปได้ ขอถวายพระพร

ต้นไม้ที่ตายแล้วแห้งผุแล้ว ไม่มียางแล้ว มีเปลือกกระพี้ร่วงไปหมดแล้ว ถึงจะตักน้ำมารดวันละพันโอ่งก็ตาม ต้นไม้แห้งนั้นก็ไม่กลับสดเขียวขึ้นได้อีกฉันใด ผู้ที่หมดอายุขัยแล้ว จะทำให้มีอายุด้วยยา หรือด้วยพระปริตรก็ไม่ได้ฉันนั้น

ยาทั้งสิ้นในแผ่นดินนี้ ไม่มีประโยชน์แก่ผู้ที่หมดอายุขัยแล้ว มีประโยชน์แก่ผู้มีอายุขัยยังเหลืออยู่เท่านั้น พระปริตรทั้งหลายก็รักษาคุ้มครองอยู่แต่ผู้ยังไม่ถึงที่ตาย ผู้ไม่มีบุพพกรรมตามทันเท่านั้น สมเด็จพระทรงธรรม์ได้ทรงแสดงพระปริตรไว้เพื่อผู้มีอายุขัยยังเหลืออยู่ ทั้งไม่มีบุพพกรรมเท่านั้น ชาวนาเมื่อข้าวแก่แล้ว ก็กั้นน้ำไม่ให้ไหลเข้าไปในนา ส่วนข้าวกล้าที่ยังไม่แก่ ก็งอกงามขึ้นด้วยน้ำที่มีอยู่ฉันใด ยากับพระปริตรก็มีไว้สำหรับผู้ยังมีอายุขัยเหลืออยู่ฉันนั้น"

" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าผู้หมดอายุขัยแล้วย่อมตายไป ผู้ยังไม่หมดอายุขัยก็ยังมีชีวิตอยู่เป็นธรรมดา พระปริตรกับยาก็ไม่มีประโยชน์อันใด ? "
" ขอถวายพระพร ผู้ที่หายจากโรคด้วยยา มหาบพิตรเคยเห็นหรือไม่? "

" เคยเห็นหลายร้อยราย พระผู้เป็นเจ้า "
" ถ้าอย่างนั้น คำที่มหาบพิตรว่า ยากับพระปริตรไม่มีประโยชน์ก็ผิดไป"

" ข้าแต่พระนาคเสน โรคย่อมหายไปด้วยการกระทำของหมอทั้งหลายมีปรากฏอยู่"
" ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับเสียงของผู้สวดพระปริตรจนสิ้นแห้งอ่อนใจ คอแหบ แล้วหายจากความเจ็บไข้ทั้งปวง หายจัญไรทั้งปวง และเคยเห็นหรือไม่ว่า ผู้ถูกงูกัดแล้วหายด้วยอำนาจมนต์? "
" เคยได้สดับ ผู้เป็นเจ้า เพราะในโลกได้เคยมีอย่างนี้ จนกระทั่งทุกวันนี้ "

" ขอถวายพระพร กุศลที่พระพุทธองค์ได้ทรงบำเพ็ญมานั้น เป็นของที่ให้สำเร็จประโยชน์ แต่กุศลนั้นอันมารผู้ใจบาปปิดไว้เสียด้วยกำลังอกุศลจิตอันแรงกล้าของตน "
"ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น ก็จะมีคำกล่าวเข้ามาได้ ๒ ประการ คือประการหนึ่งว่า "อกุศลมีกำลังมากกว่ากุศล" อีกประการหนึ่งว่า " มารมีกำลังมากกว่าพระพุทธเจ้า"

ข้างปลายไม้หนักกว่าข้างต้น ผู้ที่ลามกมีกำลังกว่าผู้สมบูรณ์ด้วยความดี จะมีได้เพราะเหตุใด ? "

" ขอถวายพระพร ไม่ใช่อกุศลมีกำลังมากกว่ากุศลเลย ไม่ใช่มารมีกำลังมากกว่าพระพุทธเจ้าเลย แต่มีเหตุอยู่อย่างหนึ่งซึ่งเป็นของควรรู้ คือมีบุรุษคนหนึ่ง นำเอาน้ำผึ้ง น้ำอ้อยข้าวน้ำ อย่างใดอย่างหนึ่งมาถวายพระเจ้าจักรพรรดิ นายประตูบอกว่า ไม่ใช่เวลาเฝ้าพระราชา พวกท่านจงขับคนนี้ออกไปเสียโดยเร็ว อย่าให้พระราชาทรงลงโทษ บุรุษนั้นกลัวพระราชอาญา จึงรีบถือเอาของเหล่านั้นกลับไปโดยเร็ว ขอถามมหาบพิตรว่า จะว่าพระเจ้าจักรพรรดิมีกำลังน้อยกว่านายประตู ด้วยเหตุเพียงไม่ให้นำของเข้าไปถวาย ทั้งไม่ให้ผู้อื่นได้รับของนั้นด้วยหรืออย่างไร? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่นายประตูนั้นมีกำลังมากกว่า"
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ไม่ใช่ว่ามารที่เข้าดลใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีที่บ้านปัญจสาลคามด้วยความริษยานั้น จะมีกำลังมากกว่าพวกเทวดาอื่นอีกตั้งหลายแสนกล่าวกันว่า พวกเราจักถือเอาทิพยโอชาอันไม่รู้จักตายเข้าไปโปรยลงในพระกายของพระพุทธเจ้า แล้วก็พากันไปยืนประนมมือเฝ้าอยู่ "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนี้จงยกไว้ อันปัจจัย ๔ เป็นของพระพุทธเจ้าผู้สูงสุดในโลกนี้ได้โดยง่าย พระพุทธเจ้าย่อมได้เสวยพระกระยาหารตามพระพุทธประสงค์ พระพุทธเจ้าผู้ที่เทวดาทั้งหลายทูลอ้อนวอนแล้ว ย่อมเสวยปัจจัย ๔ แต่ว่าความประสงค์อันใดของมารมีอยู่ ความประสงค์อันนั้นก็สำเร็จด้วยเหตุที่ไม่ให้พระพุทธเจ้าได้อาหารบิณฑบาต เป็นอันว่า มารได้ทำอันตรายแก่โภชนาหารของพระพุทธเจ้า โยมยังสงสัยในข้อนี้มาก เพราะสมเด็จพระบรมโลกนาถผู้ล้ำเลิศในโลก ผู้ได้สะสมบุญกุศลไว้เต็มที่แล้วผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เกลียด แต่มารยังทำอันตรายแก่ลาภอันเล็กน้อยได้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 15:53:03


อันตรายแห่งลาภ ๔ ประการ

" ขอถวายพระพร อันตรายแห่งลาภมีอยู่ ๔ ประการ คือ อทิฏฐันตราย ๑ อุทิสกตันตราย ๑ อุปักขตันตราย ๑ ปริโภคันตราย ๑

อทิฏฐันตราย นั้นคืออย่างไร ? คือมีผู้ใดผู้หนึ่งกระทำการขัดขวางซึ่งลาภ อันบุคคลตกแต่งไว้โดยเฉพาะเจาะจง และไม่ทันได้เห็นผู้จะรับด้วยการกล่าวว่า " ประโยชน์อะไรในการให้แก่ผู้อื่น " ดังนี้ อันนี้ชื่อว่า อทิฏฐันตราย
อุทิสกตันตราย นั้นได้แก่อะไร ? ได้แก่การขัดขวางซึ่งโภชนะ อันบุคคลจัดไว้เฉพาะเจาะจงผู้รับ

อุปักขตันตราย นั้นได้แก่สิ่งใด ? ได้แก่การขัดขวางซึ่งลาภ อันผู้ใดผู้หนึ่งตกแต่งไว้แล้ว แต่ผู้รับยังไม่ได้รับ
ปริโภคันตราย นั้นเป็นประการใด ? คือการขัดขวางลาภในขณะที่บริโภคอยู่

มหาบพิตร มารผู้ลามกได้เข้าสิงใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีในบ้านปัญจสาลคาม ไม่ให้ใส่บาตรพระพุทธเจ้านั้น เป็นการขัดลาภที่บุคคลยังไม่ได้ตกแต่งไว้ และไม่ได้กระทำไว้เฉพาะว่าจะถวาย หรือให้แก่ผู้นั้นผู้นี้ ทั้งยังไม่ได้เห็นผู้รับด้วย ไม่เข้าในลักษณะ ๔ นั้น การที่มารขัดขวางลาภคราวนั้น ไม่ใช่ขัดขวางเฉพาะลาภของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น แม้พวกนิครนถ์ทั้งหลาย ก็ไม่ได้โภชนาหารเลยในวันนั้น อาตมภาพไม่เล็งเห็นผู้จะขัดขวางลาภ ๓ ประการ คือลาภที่จะ จัดไว้เฉพาะ ๑ จัดตั้งไว้แล้ว ๑ กำลังเสวยอยู่ ๑ ของพระพุทธเจ้าได้ ถ้าผู้ใดขัดขวางลาภ ๓ ประการนี้ของพระพุทธเจ้า ด้วยความริษยาเกลียดชัง ศีรษะของผู้นั้น จะต้องแตกร้อยเสี่ยงพันเสี่ยงเป็นแน่แท้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 16:00:12


อนาวรณิยฐาน ๔ ประการ

" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้ามีของอยู่ ๔ ประการ ที่ไม่มีใครหวงห้ามกั้นกางได้ เรียกว่า อนาวรณิยฐาน ของ ๔ ประการนั้นคืออะไรบ้าง คือลาภที่บุคคลตั้งใจจัดไว้เฉพาะพระพุทธองค์ ๑ พระรัศมีด้านละวาที่ประจำพระองค์ ๑ พระสัพพัญญุตญาณ ๑ พระชนม์ชีพ ๑ ของ ๔ ประการนี้ ไม่มีใคร ๆ ในโลกจะทำอันตรายได้ ของ ๔ ประการนี้ มีรสเป็นอันเดียวกัน คือเป็นของที่แน่นอน คงที่ ไม่มีใครทำให้แปรปรวนเป็นอย่างอื่นได้ การที่มารผู้ลามกเข้าสิงใจของพวกพราหมณ์และคฤหบดี ในปัญจสาลคามคราวนั้น ด้วยการลอบเข้าสิงใจ เหมือนกับหญิงที่มีสามีลอบคบบุรุษอื่นฉะนั้น ขอถวายพระพร ถ้าหญิงคบหาบุรุษต่อหน้าสามี เขาจักได้รับความสวัสดีหรือไม่? "

" ไม่ได้รับเลย พระผู้เป็นเจ้า ถ้าสามีได้เห็นก็จะต้องฆ่าตี จองจำ หรือปลดให้เป็นทาสี อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่"

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือมารลอบเข้าสิงใจพวกพราหมณ์และคฤหบดีในบ้านปัญจสาลคาม ถ้าได้กระทำอันตรายแก่ลาภของพระพุทธเจ้า ที่เขาทำไว้ด้วยตั้งใจถวายพระพุทธเจ้าแล้ว ยกเข้าไปตั้งไว้แล้วหรือพระพุทธเจ้ากำลังเสวยอยู่ มารนั้นจะต้องแหลกเป็นผงไปเหมือนขี้เถ้า หรือไม่อย่างนั้นศีรษะของศีรษะของมารนั้น ก็จะต้องแตกออกไปร้อยเสี่ยงพันเสี่ยง

อีกประการหนึ่ง เหมือนกับพวกโจรลอบทำร้ายคนเดินทาง ในปลายแดนพระราชอาณาเขต พระราชาได้พบเห็นก็จะต้องให้ผ่าศีรษะของโจรนั้น ด้วยขวานให้แตกเป็นร้อยเสี่ยงพันเสี่ยงฉะนั้น ขอถวายพระพร"

" สาธุ... พระผู้เป็นเจ้า ปัญหานี้ลึกซึ้งยากยิ่งนัก ยากที่บุคคลอื่นจะแก้ไขได้ พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนาให้แจ้งกระจ่างแล้ว โยมจะขอรับเอาไว้ในกาลบัดนี้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 16:12:39


ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องทรงบำเพ็ญ ประโยชน์แก่สรรพสัตว์

พระเจ้ามิลินท์มีพระราชดำรัสถามว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า สมเด็จพระบรมศาสดามีแต่กำจัดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายออกไปทรงเพิ่มให้แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์เท่านั้น ดังนี้

แล้วกล่าวไว้อีกว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมปริยาย อันเปรียบด้วยกองเพลิงให้ภิกษุทั้งหลายฟัง จิตของภิกษุ ๖๐ รูป ก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ภิกษุอีก ๖๐ รูปก็ได้สึกไป ส่วนภิกษุอีก ๖๐ รูป ก็อาเจียนเป็นโลหิตออกมา

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระตถาคตเจ้ามีแต่กำจัดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย แล้วเพิ่มสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ คำว่า "เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมปริยายอันเปรียบด้วยกองเพลิง โลหิตร้อน ๆ ก็พลุ่งออกจากปากของภิกษุ ๖๐ รูป" นั้นก็ผิด

ถ้าคำว่า "เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมปริยายอันเปรียบด้วยกองเพลิง โลหิตร้อน ๆ ก็พลุ่งออกจากปากของภิกษุ ๖๐ รูป" นั้นถูก คำว่า "พระพุทธเจ้าทรงกำจัดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย เพิ่มให้แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นก็ผิด "

ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ ถอนได้ยากลึกมาก ได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว "

พระนาคเสนถวายพระพรว่า

" มหาราชะ ข้อว่า พระพุทธเจ้าทรงกำจัดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์แห่งสัตว์ทั้งหลายออกไปเสีย เพิ่มแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ก็ถูก คำว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมปริยายอันเปรียบด้วยกองเพลิง โลหิตร้อน ๆ ของภิกษุ ๖๐ รูปได้พลุ่งออกมาจากปากนั้น ก็ถูก แต่ว่าการที่โลหิตร้อน ๆ พลุ่งออกจากปากภิกษุเหล่านั้น ไม่ใช่ด้วยการกระทำของพระพุทธเจ้า เป็นด้วยการกระทำของภิกษุเหล่านั้นต่างหาก "

" ข้าแต่พระนาคเสน การแก้อย่างนี้ไม่มีเหตุผลเพียงพอ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงธรรมปริยาย อันเปรียบด้วยกองเพลิงหรือภิกษุเหล่านั้นไม่ได้ฟัง โลหิตร้อน ๆ จะพลุ่งออกจากปากของภิกษุเหล่านั้นหรือ ? "

" ขอถวายพระพร ไม่พลุ่ง ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติผิดได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย โลหิตร้อน ๆ ก็ได้พลุ่งออกจากปากด้วยความเร่าร้อนนั้น "

" เป็นอันว่า พระตถาคตเจ้าได้ทรงกระทำให้ภิกษุเหล่านั้น อาเจียนเป็นโลหิตออกมา ข้าแต่พระนาคเสน เปรียบเหมือนงูเลื้อยเข้าไปอยู่ในรูจอมปลวก มีบุรุษคนหนึ่งต้องการฝุ่นดิน จึงไปขุดจอมปลวกนำฝุ่นไป ดินก็ได้ไปถมรูจอมปลวก งูหายใจไม่ได้ก็ต้องตาย จะว่างูนั้นตายเพราะการกระทำของบุรุษนั้นได้หรือไม่ ? "

"ได้ มหาบพิตร "

" ข้อนี้มีอุปมาฉันนั้นแหละ พระนาคเสน ก็เป็นอันว่า ภิกษุเหล่านั้นอาเจียนเป็นโลหิตร้อน ๆ ออกมาด้วยการกระทำของพระพุทธเจ้า "

"ขอถวายพระพร พระพุทธเจ้าเมื่อทรงแสดงธรรมไม่ได้ทรงแสดงด้วยความคิดยินดียินร้ายอย่างไร ทรงแสดงด้วยปราศจากความยินดียินร้าย เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงแสดงธรรม พวกใดปฏิบัติถูก พวกนั้นก็รู้ธรรม พวกใดปฏิบัติผิด พวกนั้นก็ตกไป บุรุษผู้รักษาต้นมะม่วงหรือต้นหว้า ต้นมะซาง ที่กำลังมีผล ผลเหล่าใดที่มั่นคงดี ผลเหล่านั้นก็ไม่หล่น ส่วนผลเหล่าใดมีขั้วรากเน่า ผลเหล่านั้นก็หล่นไปฉันใด สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ทรงแสดงธรรมไปตามวิถีธรรม แต่เมื่อทรงแสดงธรรม พวกใดปฏิบัติถูก พวกนั้นก็รู้ธรรม พวกใดปฏิบัติผิด พวกนั้นก็ตกไปจากธรรมฉันนั้น

อีกประการหนึ่ง พวกชาวนาอยากจะหว่านข้าวจึงไถนา เมื่อไถนาไปหญ้าก็ตายตั้งพัน ๆ ฉันใด สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงธรรม เพื่อให้ผู้มีบารมีแก่กล้ารู้ธรรม เมื่อทรงแสดงธรรมอยู่พวกปฏิบัติถูกก็รู้ธรรม พวกปฏิบัติผิดก็ตายไป เหมือนกับหญ้าทั้งหลายฉันนั้น อีกอย่างหนึ่ง เมื่อพวกมนุษย์จะหีบอ้อยด้วยต้องการน้ำอ้อย ก็นำอ้อยเข้าเครื่องหีบ บุ้ง หนอน ตัวเล็กๆ ที่อยู่ในอ้อยนั้นก็ตายไปฉันใด สมเด็จพระบรมโลกนาถก็บีบเวไนยสัตว์ผู้มีบารมีแก่กล้าด้วยเครื่องยนต์คือ พระธรรมเพื่อให้รู้แจ้ง พวกปฏิบัติผิดก็ตายไปเหมือนตัวบุ้งตัวหนอนเล็ก ๆ ฉะนั้น "

"ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นพระภิกษุทั้ง ๖๐ รูปนั้น ก็ตกไปด้วยพระธรรมเทศนานั้นอย่างนั้นหรือ ? "

" อย่างนั้น มหาบพิตร แต่อาตมภาพขอถามว่า ช่างถากไม้ย่อมถากไม้ให้เกลี้ยงให้ตรงใช่ไหม ? "

" ใช่แล้ว พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือสมเด็จพระพิชิตมารผู้รักษาบริษัท ไม่อาจให้ผู้ไม่ใช่พุทธเวไนยรู้ได้ ก็กำจัดพวกปฏิบัติผิดเสีย แล้วกระทำพวกปฏิบัติถูกให้รู้ธรรม พวกปฏิบัติผิดก็ตกไปด้วยการกระทำของตน อนึ่ง โจรได้ถูกควักลูกตาเสียก็มี ถูกเสียบหลาวทั้งเป็นก็มี ถูกตัดมือตัดเท้า ตัดศีรษะก็มี เพราะการกระทำของเขาฉันใด พวกปฏิบัติผิดก็ตกไปจากพระพุทธศาสนาฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง ต้นกล้วย ไม้ไผ่ แม่ม้าอัศดร ย่อมตายไปด้วยผลของตนเองฉันใด พวกปฏิบัติผิดก็ตกไปจากพระพุทธศาสนาฉันนั้น พวกภิกษุ ๖๐ รูป ได้อาเจียนเป็นโลหิตร้อน ๆ ออกมานั้น ไม่ใช่เป็นด้วยการกระทำของพระพุทธเจ้า หรือของผู้อื่นเลยเป็นด้วยการกระทำของตนต่างหาก

อีกประการหนึ่ง เหมือนดังเช่นบุรุษคนหนึ่งให้ยาอมฤตแก่คนทั้งปวง คนทั้งปวงนั้นได้ดื่มยาอมฤตแล้ว ก็หายโรคมีอายุยืนหมดจัญไร แต่อีกพวกหนึ่งหายโรคมีอายุยืน อีกพวกหนึ่งตายเพราะการทำไม่ดีของตน ขอถามว่าบุรุษผู้ให้ยาอมฤตนั้น จะได้บาปอย่างไรหรือไม่ ? "

" ไม่ได้บาปอะไรเลย ผู้เป็นเจ้า "

"ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระตถาคตเจ้าย่อมทรงประทานธรรมอันไม่รู้จักตายให้แก่เทพยดามนุษย์ในหมื่นโลกธาตุ พวกใดได้อบรมวาสนาบารมีมาแล้วพวกนั้นก็รู้ธรรม พวกนั้นก็ตกไปด้วยยาอมฤต คือพระธรรม พวกฟังอมตธรรมแล้วตกไปจากความเป็นสมณะนั้นเปรียบเหมือนพวกกินยาอมฤตแล้วตายไปฉะนั้น ธรรมดาโภชนะย่อมรักษาชีวิตสัตว์ทั้งปวงไว้ แต่บางคนกินแล้วก็เสียดท้องตายผู้ที่ให้โภชนะนั้นก็ไม่ได้บาปอะไร ขอถวายพระพร "

"ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาข้อนี้ โยมขอรับทราบไว้ว่าถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 16:18:34


ปัญหาที่ ๗ ถามถึงธรรมอันประเสริฐสุด

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระธรรมเป็นของประเสริฐสุด ทั้งในโลกนี้และโลกอื่น แต่ตรัสไว้อีกว่า คฤหัสถ์ถึงความเป็นพระโสดาบัน ละอบายภูมิทั้ง ๔ แล้ว ถึงความเห็นแล้ว รู้แจ้งศาสนาแล้ว ก็ยังกราบไหว้ลุกรับ ซึ่งพระภิกษุสามเณรผู้เป็นปุถุชนอยู่

ถ้าถือว่าพระธรรมประเสริฐสุดจริง คำที่กล่าวถึงการที่คฤหัสถ์ผู้เป็นพระโสดาบันกราบไหว้พระภิกษุสามเณรปุถุชนนั้นก็ผิดไป

ถ้าคำว่า คฤหัสถ์ผู้เป็นพระโสดาบันกราบไหว้พระภิกษุสามเณรผู้เป็นปุถุชนนั้นถูก คำว่าพระธรรมประเสริฐสุดในโลกนั้นก็ผิดไป

ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ แก้ได้ยาก ขอได้โปรดแก้ให้สิ้นสงสัยด้วยเถิดพระคุณเจ้าข้า "

พระนาคเสนวิสัชนาแก้ไว้ว่า

"ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้นถูกต้องทั้งนั้น แต่ว่าเหตุที่ให้คฤหัสถ์ผู้เป็นพระโสดาบันกราบไหว้พระภิกษุสามเณรปุถุชนนั้น มีอยู่ต่างหาก

เหตุนั้นคืออะไร ? คือ สมณกรณธรรม ๒๐ อย่าง และ เพศ ๒ อย่าง



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 16:21:56


สมณกรณธรรม ๒๐ นั้นคือ

๑. มีภูมิอันประเสริฐ
๒. มีความนิยมอันเลิศ
๓. ความประพฤติอันดีงาม
๔. ธรรมเป็นเครื่องอยู่
๕. ความสำรวมอินทรีย์ ๖

๖. ความระวังปาฏิโมกข์
๗. ความอดทน
๘. ความยินดีในธรรมอันดี
๙. ความยินดียิ่งในธรรมอันแท้
๑๐. ความประพฤติในธรรมเที่ยงแท้

๑๑. ความอยู่ในที่สงัด
๑๒. ความละอาย
๑๓. ความสะดุ้งกลัว
๑๔. ความเพียร
๑๕. ความไม่ประมาท

๑๖. บำเพ็ญสิกขา
๑๗. ตั้งใจเล่าเรียนสอบถาม
๑๘. ยินดียิ่งในศีลเป็นต้น
๑๙. ไม่มีความอาลัย
๒๐. ทำสิกขาบทให้เต็ม



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 16:27:41


เพศ ๒ นั้นได้แก่ นุ่งห่มผ้าเหลือง ๑ มีศีรษะโล้น ๑

ภิกษุย่อมถือสรณกรณธรรม ๒๐ กับเพศ ๒ ไว้อย่างนี้ ภิกษุนั้นชื่อว่าย่างลงสู่ภูมิของพระเสขะ ชื่อว่าย่างลงสู่ภูมิพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมเหล่านั้นอย่างบริบูรณ์ สมควรเรียกว่าผู้ถึงซึ่งระหว่างแห่งภูมิอันประเสริฐ ผู้ถึงซึ่งที่ตั้งแห่งเหตุอันจะให้เป็นพระอรหันต์

เพราะฉะนั้นอุบาสกผู้เป็นพระโสดาบันจึงควรกราบไหว้ ลุกรับ พระภิกษุปุถุชนด้วยคิดว่า
ท่านผู้สิ้นอาสวะแล้วย่อมเข้าถึงความเป็นสมณะ คุณวิเศษอย่างนี้ย่อมไม่มีแก่เรา ๑

คิดว่าท่านเข้าถึงความเป็นบริษัทอันเลิศ และได้เพื่อจะฟังปาฏิโมกข์อุทเทส เราไม่ได้ฟัง ๑
ท่านให้บรรพชาอุปสมบทได้ อาจให้พระพุทธศาสนาเจริญได้ เราให้บรรพชาอุปสมบทไม่ได้ ๑

ท่านเป็นผู้ปฏิบัติในสิกขาบาท อันไม่มีประมาณ เราไม่ได้ปฏิบัติ ๑
ท่านประกอบด้วยเพศสมณะ ถูกต้องตามพระพุทธประสงค์ เราห่างไกลจากเพศนั้น ๑

ท่านไม่ปล่อยขนรักแร้ เล็บมือเล็บเท้า หนวดเคราให้รกรุกรัง ทั้งไม่หวั่นไหวในกามารมณ์ ไม่ได้ประดับประดาร่างกาย ไม่ได้ลูบไล้เครื่องหอม ส่วนเรายังยินดีอยู่ในการตกแต่งร่างกาย ๑

ขอถวายพระพร สมณกรณธรรม ๒๐ กับ เพศ ๒ นั้นย่อมมีแก่ภิกษุ พระภิกษุนั้นย่อมทรงธรรมเหล่านั้นไว้ และให้ผู้อื่นศึกษาในธรรมเหล่านั้น อุบาสกผู้เป็นพระโสดาบัน ควรกราบไหว้ลุกรับภิกษุปุถุชน ด้วยคิดว่า ความรู้ความดีเหล่านั้น ไม่ได้มีอยู่แก่เรา "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 16:32:02


อุปมาพระราชโอรส

" ขอถวายพระพร เนื้อความข้อนี้ควรกำหนดทราบด้วยอุปมาอย่างเช่นว่า พระราชโอรสย่อมศึกษาวิชาในสำนักปุโรหิต เมื่อทรงพระเจริญวัยขึ้นก็ได้อภิเษกเป็นพระราชา พระราชกุมารนั้นย่อมกราบไหว้ลุกรับอาจารย์ด้วยคิดว่า เป็นผู้สอนวิชาให้ฉันใดพระภิกษุก็เป็นผู้ในศึกษา เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความสำรวม เพราะฉะนั้น อุบาสกผู้เป็นพระโสดาบัน จึงควรกราบไหว้ ลุก รับ ภิกษุปุถุชน

อีกประการหนึ่ง ขอจงทราบว่า ภูมิของภิกษุเป็นภูมิใหญ่ ไม่มีภูมิอื่นเสมอ เป็นภูมิไพบูลย์ด้วยปริยายอันนี้ ถ้าอุบาสกผู้เป็นพระโสดาบันได้สำเร็จพระอรหันต์ มีคติอยู่ ๒ คือต้องปรินิพพานในวันนั้น หรือเข้าถึงความเป็นภิกษุในวันนั้นจึงจะได้ เพราะว่าบรรพชานั้นเป็นของใหญ่ เป็นของบริสุทธิ์ เป็นของถึงซึ่งความเป็นของสูง คือภูมิของภิกษุ ขอถวายพระพร "

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหานี้พระผู้เป็นเจ้าผู้มีญาณ ผู้มีกำลัง ผู้มีวุฒิยิ่ง ได้ชี้แจงไว้แล้ว ผู้อื่นนอกจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีใครสามารถให้รู้แจ้งได้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 16:42:31


ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเรื่องความไม่แตกกัน แห่งบริษัทของพระพุทธเจ้า

" ข้าแต่พระนาคเสนพระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า สมเด็จพระบรมศาสดามีบริษัทไม่แตก แต่กล่าวอีกว่า พระเทวทัตทำให้ภิกษุ ๕๐๐ แตกออกจากพระพุทธเจ้าได้ด้วยการกระทำเพียงครั้งเดียว

ถ้าพระตถาคตเจ้ามีบริษัทไม่แตกจริง ข้อที่ว่า พระเทวทัตทำให้ภิกษุ ๕๐๐ นั้นแตก ก็ผิดไป
ถ้าคำว่า พระเทวทัตทำลายภิกษุ ๕๐๐ ให้แตก นั้นถูก ข้อว่า พระตถาคตเจ้ามีบริษัทไม่แตก นั้นก็ผิดไป
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิยุ่งยากมาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงกำลังญาณเถิด "

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" มหาบพิตรพระราชสมภาร สมเด็จพระพิชิตมารเป็นผู้มีบริษัทไม่แตกจริง พระเทวทัตก็ทำให้ภิกษุ ๕๐๐ แตกไปจริง เพราะเมื่อเหตุให้แตกมีอยู่ ความต้องแตกระหว่างมารดากับบุตร บุตรกับมารดา บิดากับบุตร บุตรกับบิดา พี่ชายกับพี่หญิง พี่หญิงกับพี่ชาย สหายกับสหาย ก็ยังต้องแตกกัน ถึงเรือที่ขนานด้วยไม้ต่าง ๆ ก็ยังแตกด้วยถูกลูกคลื่นซัด ต้นไม้ที่มีรสหวาน เมื่อปะปนกับสิ่งที่มีรสขม ก็ยังมีรสแปรไป ทองคำหรือเงินปนทองแดงก็ยังเปลี่ยนสีไปได้ ก็แต่ว่าความแตกอย่างนั้น ไม่ใช่ความประสงค์ของผู้รู้ทั้งหลาย ไม่ใช่พระพุทธประสงค์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่ใช่ความพอใจของบัณฑิตทั้งหลายว่า พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีบริษัทแตก ( หมายความว่า ผู้รู้ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลาย ไม่ลงความเห็นว่า พระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีบริษัทแตก )

ข้อที่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีบริษัทไม่แตกนั้นมีอยู่ คือพระตถาคตเจ้าเป็นผู้มีบริษัทไม่แตกด้วยกระทำ หรือด้วยการถือเอา หรือด้วยการกล่าวถ้อยคำอันไม่เห็นเป็นที่รัก หรือด้วยการไม่ช่วยเหลือ หรือด้วยการวางตนไม่สมควรของพระพุทธเจ้าเอง ขอถวายพระพร

ความข้อนี้มีปรากฏอยู่ในพระพุทธพจน์อันมีองค์ ๙ หรือไม่ว่าบริษัทของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แตกไป ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงกระทำไว้ ในเวลายังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ? "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสยอมรับว่า
" ไม่มีเลยพระผู้เป็นเจ้า โยมไม่เคยได้ฟังเลยว่า บริษัทของพระตถาคตเจ้าได้แตกไปด้วยกรรมที่พระองค์กระทำไว้ ในเมื่อพระองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ โยมจึงขอรับว่าพระผู้เป็นเจ้าแก้ไขข้อนี้ถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 16:48:41


ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องการทำบาปของผู้ไม่รู้

สมเด็จพระบรมกษัตริย์แห่งสาคลนครจอมบพิตรอดิศร ตรัสถามอรรถปัญหาอีกว่า

" ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า ผู้ไม่รู้ทำปาณาติบาต ย่อมได้บาปมากกว่าผู้รู้ แต่กล่าวไว้ในพระวินัยบัญญัติว่า ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัติ ดังนี้

ถ้าผู้ไม่รู้ทำปาณาติบาต ได้บาปมากกว่าคำว่า " ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัติ" ก็ผิดไป
ถ้าคำว่า " ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัติ " นั้นถูก คำว่า " ผู้ไม่รู้ทำปาณาติบาตได้บาปมากกว่า " ก็ผิดไป
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ข้ามไปได้ยากนะ พระคุณเจ้าข้า "

พระนาคเสนจึงมีเถรวาจาว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าได้ตรัสไว้จริงว่า ผู้ไม่รู้ทำปาณาติบาต ย่อมได้บาปมากกว่า และที่ทรงบัญญัติไว้ก็จริงว่า ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัติ แต่ความหมายในข้อนี้มีอยู่ต่างหาก คืออย่างไร...คืออาบัติแยกเป็นหลายอย่างเช่น เป็น สัญญาวิโมกข์ คือพ้นเพราะรู้ เพราะเข้าใจก็มีและที่เป็น นสัญญาวิโมกข์ คือไม่พ้นเพราะรู้ เพราะเข้าใจก็มี ข้อที่ว่า ภิกษุผู้ไม่รู้ไม่ต้องอาบัตินั้น หมายอาบัติที่เป็น สัญญาวิโมกข์ ขอถวายพระพร "

" ถูกดีแล้ว พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 กรกฎาคม 2554 16:59:24


ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องความไม่ทรงห่วงพระภิกษุสงฆ์

" ข้าแต่พระนาคเสนผู้ปรีชา สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์ มีพระพุทธฎีกาโปรดประทานไว้ว่า
" ดูก่อนอานนท์ พระตถาคตเจ้าย่อมไม่คิดว่า เราปกครองภิกษุสงฆ์ หรือภิกษุสงฆ์มุ่งเฉพาะเรา " ดังนี้

แต่เมื่อจะทรงแสดงสภาวคุณของ พระเมตไตรยโพธิสัตว์เจ้า ก็ได้ตรัสไว้ว่า
" พระศรีอาริยเมตไตรยนั้น จักบริหารภิกษุสงฆ์ไม่ใช่พันเดียว เหมือนเราบริหารพระภิกษุสงฆ์ไม่ใช่ร้อยเดียวอยู่ในบัดนี้" ดังนี้

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระตถาคตเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่า " เราไม่ได้คิดว่าเราบริหารพระภิกษุสงฆ์ หรือว่าพระภิกษุสงฆ์มุ่งเฉพาะต่อเรา" นั้นถูก คำที่ว่า " พระเมตไตรยโพธิสัตว์เจ้า จะบริหารพระภิกษุสงฆ์ไม่ใช่พันเดียว เหมือนเราบริหารภิกษุสงฆ์ไม่ใช่ร้อยเดียวอยู่ในบัดนี้" ก็ผิดไป

ถ้าคำนี้ถูก คำที่ว่า " พระพุทธเจ้าไม่ได้คิดว่า เราบริหารภิกษุสงฆ์" ก็ผิดไป
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดวิสัชนาให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด"

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" ข้อความทั้งสองข้อนั้น จริงทั้งนั้น ถูกทั้งนั้น แต่ว่าในปัญหาข้อนี้ ข้อหนึ่งเป็นคำมีเศษ อีกข้อหนึ่งเป็นคำไม่มีเศษไม่มีเหลือ ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าไม่ใช่ผู้ติดตามบริษัท ส่วนบริษัทก็ไม่ได้ติดตามพระตถาคตเจ้า คำว่า "เรา...ของเรา" เป็นคำสมมุติ ไม่ใช่คำปรมัตถ์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้ปราศจากความรัก ความใยดีเสียแล้ว การถือว่าเป็น " ของเรา " ย่อมไม่มีแก่พระองค์ แต่มีการอาศัยเนื่องถึงเท่านั้น"

ต่อที่ # ๒๔๐  http://agaligohome.com/index.php?topic=205.240 (http://agaligohome.com/index.php?topic=205.240)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 01:26:35


อุปมาอุปมัย

" แผ่นดินย่อมเป็นที่อาศัยของสัตว์ทั้งหลายที่อยู่บนภาคพื้น แต่แผ่นดินไม่ได้มีความเยื่อใยว่า สัตว์เหล่านี้เป็นของเราฉันใด

สมเด็จพระจอมไตร ก็เป็นที่พึ่งที่อาศัยของสัตว์ทั้งปวง แต่ไม่ทรงห่วงใยว่า เป็นของเราฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง เมฆใหญ่ที่ตกลงมาย่อมให้ความเจริญแก่ต้นหญ้า ต้นไม้ สัตว์เลี้ยงและมนุษย์ทั้งหลาย ย่อมเลี้ยงรักษาสัตว์ทั้งปวงไว้ สัตว์ทั้งปวงก็มีชีวิตอยู่ได้เพราะน้ำฝน แต่ว่าน้ำฝนไม่ได้ถือว่าเป็นของเราฉันใด

สมเด็จพระพุทธองค์ก็ทรงทำให้เกิดกุศลธรรมแก่สัตว์ทั้งปวง ทรงรักสัตว์ทั้งปวงไว้ด้วยศีล สัตว์ทั้งปวงที่ไว้ด้วยศีล สัตว์ทั้งปวงที่เลื่อมใสก็ได้อาศัยพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงห่วงใยว่า "เป็นของเรา" ฉันนั้น

ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร...เป็นเพราะเหตุว่า สมเด็จพระบรมศาสดาทรงละอัตตานุทิฏฐิคือ ความเห็นว่าเป็นตัวตนอย่างเด็ดขาดเสียแล้วขอถวายพระพร"

"ปัญหาข้อนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ไขชัดแล้ว "

จบวรรคที่ ๒



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 01:46:10


เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๓

ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องทรงแสดงของลับ

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระพิชิตมารได้ตรัสประทานไว้ว่า

" ความสำรวมทางกาย วาจา ใจ เป็นของดี ความสำรวมในที่ทั้งปวงเป็นของดี" ดังนี้ แต่มีกล่าวไว้ว่า พระตถาคตเจ้าประทับนั่งในท่ามกลางบริษัท ๔ ได้ทรงแสดงวัตถุคุยหะ ( ของลับ ) อันอยู่ในฝักแก่ เสลพราหมณ์ ต่อหน้าเทพยดามนุษย์ทั้งหลาย ทั้งทรงแลบพระชิวหาออกแยงช่องพระโสตทั้งสอง และทรงแลบพระชิวหาออกปิดพระนลาต คือหน้าผาก ไม่สำรวมสิ่งที่ควรปกปิด

ถ้าได้ตรัสไว้ว่า " การสำรวมเป็นการดีจริงแล้ว " คำที่ว่า " ทรงแสดงวัตถุคุยหะแก่เสลพราหมณ์นั้น " ก็ผิด

ถ้าคำว่า " ทรงแสดงวัตถุคุยหะแก่เสลพราหมณ์ " นั้นถูก คำว่า " การสำรวมเป็นความดีนั้น " ก็ผิด

ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด"

พระนาคเสนเฉลยปัญหานี้ว่า

" ขอถวายพระพร คำทั้งสองข้อนั้นถูกทั้งนั้น แต่ว่าผู้ใดมีความสงสัยในพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ก็ทรงแสดงเงาแห่งพระกายคล้ายกับสิ่งนั้นด้วยฤทธิ์ เพื่อให้ผู้นั้นสิ้นสงสัยผู้นั้นก็ได้เห็นปาฏิหาริย์นั้น"

" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนั้นใครจักเชื่อถือ คือผู้อยู่ในที่ประชุมนั้น ได้เห็นวัตถุคุยหะนั้นแต่ผู้เดียว นอกนั้นไม่มีใครเห็น ขอพระผู้เป็นเจ้าจงชี้แจงให้โยมเข้าใจอีก "

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรเคยเห็นบุรุษผู้เจ็บไข้ เกลื่อนกล่นด้วยญาติมิตรหรือไม่? "

" อ๋อ...เคยเห็นซิ พระผู้เป็นเจ้า "

"ขอถวายพระพร ญาติมิตรที่อยู่ในที่ประชุมนั้น ได้เห็นทุกขเวทนาของบุรุษนั้นหรือไม่ ? "

" ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้อุปมาฉันใด ผู้ที่ยังสงสัยอยู่ ผู้นั้นก็ได้เห็นเพียงแต่เงาแห่งวัตถุคุยหะ ที่อยู่ในภายในผ้าสบงของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงบันดาลให้เห็นฉันนั้น อีกอย่างหนึ่ง เวลาภูตผีปีศาจเข้าสิงบุรุษ มีผู้เห็นหรือไม่ ? "

" ไม่เห็น พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้ใดสงสัยในเรื่องวัตถุคุยหะของพระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นแต่ผู้นั้นเท่านั้น "

" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า สิ่งที่ไม่น่าจะเห็นได้แต่ผู้เดียว พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้เห็นได้แต่ผู้เดียว เป็นการกระทำได้ยาก"

" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าไม่ได้ทรงแสดงพระคุยหะด้วยกิริยาปกติธรรมดา ได้ทรงบันดาลให้เห็นเพียงเงาเท่านั้น แต่เมื่อเสลพราหมณ์ได้เห็นแล้วก็สิ้นสงสัยถึงสิ่งที่กระทำได้แสนยาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคก็ทรงกระทำ เพื่อให้ผู้ที่ควรรู้ธรรมได้รู้ธรรม"

ถ้าพระตถาคตเจ้าไม่ทรงทำอย่างนั้น ผู้ที่ควรรู้ธรรมก็จะไม่รู้ธรรม พระตถาคตเจ้าชื่อว่าเป็นพระสัพพัญญูไม่ใช่หรือ เพราะเหตุที่พระองค์เป็นพระสัพพัญญู ผู้ที่ควรรู้ธรรมด้วยการประกอบอย่างใด ๆ พระตถาคตเจ้าก็ทรงให้รู้ธรรมด้วยการประกอบอย่างนั้นๆ

เหมือนกับนายแพทย์ผู้ฉลาด รู้ว่าโรคจะหายไปด้วยยาชนิดใด จะเป็นยาถ่าย หรือยาทา หรือผ่าตัด อบ รม อย่างใด ก็ทำอย่างนั้น

อีกประการหนึ่ง หญิงที่มีครรภ์แก่ถ้วนแล้ว ย่อมแสดงกระทั่งของลับ ซึ่งไม่ควรแสดงแก่หมอฉันใด สมเด็จพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงพระคุยหะอันไม่ควรทรงแสดงแก่เวไนย เพื่อให้รู้ธรรมด้วยฤทธิ์ฉันนั้น

โอกาสอันชื่อว่าไม่ควรแสดงด้วยการกำหนดบุคคลย่อมไม่มี ถ้ามีใครได้เห็นพระหฤทัยของพระพุทธเจ้า จึงจะรู้ธรรมได้ พระองค์ก็ต้องทรงแสดงพระหฤทัยให้ผู้นั้น

สมเด็จพระภควันต์เป็นโยคัญญูคือทรงรู้จักวิธีประกอบ เป็นเทสนากุสโล คือทรงฉลาดในทางทรงแสดง พระตถาคตเจ้าทรงทราบอธิมุตติ คือนิสัยของ พระนันทะ ได้ดี จึงทรงนำพระนันทะขึ้นไปสู่สวรรค์ ให้เห็นพวกเทพกัญญา ด้วยทรงดำริว่า กุลบุตรผู้นี้จักรู้ธรรมได้ด้วยอุบายอันนี้ แล้วกุลบุตรนี้ก็ได้รู้ธรรมด้วยอุบายนั้น

เป็นอันว่า สมเด็จพระบรมศาสดาทรงติเตียน เกลียดชัง ศุภนิมิต คือสิ่งที่เห็นว่าสวยงามไว้เป็นอันมาก แต่ได้ทรงแสดงนางอัปสรผู้ประดับด้วยเครื่องแก้วเครื่องทอง มีสีเท้าแดงดังสีเท้านกพิราบแก่พระนันทะ เพื่อจะให้พระนันทะรู้ธรรม พระนันทะก็ได้รู้ธรรมด้วยอุบายอันนั้น พระตถาคตเจ้าเป็นโยคัญญู เป็นเทสนากุสโลอย่างนี้

ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง มหาบพิตร คือสมเด็จพระพิชิตมารถูกพราหมณ์ โมฆราช ทูลถามปัญหาถึง ๓ ครั้ง ก็ไม่ทรงแก้ ด้วยทรงเห็นว่ามานะของกุลบุตรนี้ จักหายไปด้วยอาการอย่างนี้ เมื่อมานะหายไปธรรมวิเศษก็จักมี ดังนี้ ด้วยอาการที่ทรงกระทำอย่างนั้น มานะของกุลบุตรนั้นก็สงบไป มานะสงบไปแล้ว ก็ได้สำเร็จอภิญญา ๖ แม้ด้วยอาการอย่างนี้ สมเด็จพระชินสีห์ก็ชื่อว่าเป็นโยคัญญู คือผู้รู้จักวิธีประกอบ หรือวิธีการชื่อว่าเทสนากุสโส ผู้ฉลาดในเทศนาขอถวายพระพร "

" ดีแล้ว พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ปัญหานี้ออกให้แจ่มแจ้ง ด้วยอ้างเหตุการณ์หลายอย่างแล้ว ได้ทำลายป่ารกแล้ว ทำมืดให้สว่างแล้ว ทำลายข้อยุ่งยากเสียแล้ว หักล้างถ้อยคำของผู้อื่นเสียหมดแล้ว ทำให้เกิดจักษุคือปัญญา แก่ศากยบุตรพุทธชิโนรสได้แล้ว"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 01:56:33


ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องผรุสวาจาของพระพุทธเจ้า

" ข้าแต่พระนาคเสน พระสารีบุตรธรรมเสนาบดี กล่าวไว้ว่า " พระตถาคตเจ้ามีวจีสมาจารอันบริสุทธิ์  แล้ว ไม่ต้องรักษาวจีทุจริต ว่า ขออย่าให้ผู้อื่นล่วงรู้วจีทุจริตนี้ของเรา" และกล่าวไว้อีกว่า " เมื่อพระสุทินกลันทกบุตรกระทำความผิด พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติปาราชิก ก็ได้ทรงเปล่งพระวาจาว่า พระสุทินเป็นโมฆบุรุษด้วยผรุสวาจา "

ด้วยเหตุที่สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสเรียกว่า " โมฆบุรุษ " นั้น พระสุทินก็สะดุ้งใจ ด้วยความสะดุ้งใจอย่างแรงกล้า แล้วเกิดความกินแหนง ไม่อาจแทงตลอดอริยมรรคได้

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าคำว่า " พระตถาคตเจ้ามีวจีสมาจารบริสุทธิ์ คือมีวาจาอ่อนโยนแล้วไม่มีวาจาทุจริต " นั้นถูก

ข้อที่ว่า " ตรัสเรียกพระสุทินด้วยพระวาจาว่าเป็นโมฆบุรุษนั้น เพราะความผิดของพระสุทินนั้น" ก็ผิดไป

ถ้าคำว่า " ได้เปล่งวาจาเรียกพระสุทินว่าเป็นโมฆบุรุษ เพราะความผิดนั้น " เป็นของถูก ข้อว่า " พระตถาคตเจ้ามีวจีสมาจารย์บริสุทธิ์ ไม่มีวจีทุจริตนั้น " ก็ผิดไป

ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิมาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ขอได้โปรดวิสัชนาต่อไปเถิด "

พระนาคเสนแก้ไขว่า

" ขอถวายพระพร ข้อที่ว่า " พระสารีบุตรเสนาบดีกล่าวไว้ว่า พระตถาคตเจ้ามีวจีสมาจารบริสุทธิ์ ไม่มีวจีทุจริตที่จะต้องปิดบังไว้ด้วยคิดว่า อย่าให้ผู้อื่นรู้ " ดังนี้เป็นของจริง ข้อที่ว่า " ทรงเปล่งพระวาจาว่า โมฆบุรุษเวลาจะทรงบัญญัติปฐมปาราชิก เพราะความผิดขอพระสุทินนั้น " ก็เป็นของจริง

แต่การทรงเปล่งพระวาจานั้น ได้มีขึ้นด้วยพระหฤทัยไม่ขุ่นมัว ด้วยความไม่แข่งดี ด้วยลักษณะตามเป็นจริง อะไรเป็นลักษณะจริงในข้อนั้น ?

การรู้อริยสัจ ๔ ในอัตภาพนี้จะไม่มีแก่ผู้ใด ความเป็นบุรุษของผู้นั้นก็เป็นโมฆะ ซึ่งแปลว่าบุรุษเปล่า คือจะทำบุญภาวนาสักเท่าใดจะได้สำเร็จมรรคผลก็หาไม่ ผู้นั้นจึงเรียกว่า " โมฆบุรุษ " ด้วยเหตุนี้แหละ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ทรงเรียกพระสุทินว่า โมฆบุรุษตามเป็นจริง ไม่เป็นจริง "

" ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ที่ด่าผู้อื่น ก็ย่อมด่าตามเป็นจริง แต่โยมก็ลงโทษปรับสินไหมเพราะเขามีความผิด อาศัยเรื่องที่เขาด่านั้นเป็นของจริง"

" ขอถวายพระพร ผู้ที่กระทำผิด มหาบพิตรเคยทรงกราบไหว้ หรือลุกรับ หรือสักการบูชา หรือพระราชทานรางวัล หรือพระราชทานทรัพย์ให้มีอยู่หรือไม่ ? "

" ไม่มีเลย พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กระทำผิดย่อมสมควรแก่การด่าว่า ขู่เข็ญ กระทั่งศีรษะของเขาก็ควรตัด ควรฆ่า "

" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น สมเด็จพระภควันต์ก็ทรงกระทำถูกแล้ว ไม่ใช่ทรงกระทำผิด "

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าควรจะกระทำให้เหมาะ ให้ดีกว่านั้นเพราะเพียงแต่เทพยดามนุษย์ ได้ยินพระนามของพระศาสดาจารย์เท่านั้น ก็เคารพยำเกรงสะดุ้งกลัว ละอายใจอยู่แล้ว ยิ่งได้เห็นหรือได้เข้าไปเฝ้า ได้เข้าไปใกล้ ก็ยิ่งเคารพเกรงกลัว "

" ขอถวายพระพร แพทย์ย่อมให้ยาถ่ายที่แรงกล้า ตามสมควรแก่โรคในลำไส้ เพื่อให้กัดเสมหะอันร้ายในลำไส้ออกเสีย มีบ้างไหม ?"

" มี พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขามุ่งความหายจากโรค "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อสมเด็จพระธรรมสามิสร์จะทรงประทานยาถ่ายโรค คือกิเลสทั้งสิ้น ก็ได้ทรงประทานยาถ่ายที่สมควรแก่โรค คือกิเลส ถึงผรุสวาจา คือคำด่าว่าของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสด้วยพระทัยเมตตา ก็ทำให้สัตว์ทั้งหลายรักใคร่ ใจอ่อนโยนได้

น้ำร้อนย่อมทำของอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มียางเหนียวให้เหนียวได้ ให้อ่อนได้ฉันใด ผรุสวาจาของพระตถาคตเจ้า อันประกอบด้วยพระกรุณาก็มีประโยชน์ฉันนั้น

อนึ่ง ถ้อยคำของบิดาอันประกอบด้วยกรุณา ก็มีประโยชน์แก่บุตรทั้งหลายฉันใด วาจาของพระตถาคตเจ้า ถึงจะเป็นผรุสวาจา แต่ประกอบด้วยพระกรุณาก็มีประโยชน์ฉันนั้น

วาจาสมเด็จพระทรงธรรม์ ถึงจะเป็นผรุสวาจา ก็ทำลายกิเลสของสัตว์ทั้งปวงได้

น้ำมูตร โค ที่ดองยา ถึงจะมีกลิ่นเหม็น แต่เมื่อบุคคลดื่มกินเข้าไปแล้วก็แก้โรคทั้งปวงได้ฉันใด พระวาจาของพระตถาคตเจ้า ถึงจะเป็นผรุสวาจา ก็ไม่ทำให้เกิดทุกข์แก่ใครฉันนั้น

ปุยนุ่นถึงจะใหญ่ เวลาตกถูกร่างกายของผู้อื่น ก็ไม่ทำให้เจ็บปวดฉันใด พระวาจาของพระตถาคตเจ้า ถึงจะเป็นผรุสวาจา ก็ไม่ทำให้เกิดทุกข์แก่ใครฉันนั้น ขอถวายพระพร "

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาข้อนี้พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขดี ด้วยเหตุหลายอย่างนี้แล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 02:01:48


ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องวิญญาณของต้นไม้

" ข้าแต่พระนาคเสน พระตถาคตเจ้าได้ตรัสไว้ว่า " ดูพราหมณ์ เหตุไฉนเธอผู้มีความรู้ มีความเพียร มีความไม่ประมาทจึงถามสุขไสยากับต้นไม้ ซึ่งไม่มีเจตนา ฟังอะไรไม่ได้ ไม่รู้อะไร " ดังนี้ แต่ตรัสไว้อีกว่า " นี่แน่ะภารทวาชพราหมณ์ เธอจงไปถามต้นสะคร้อ ต้นสะคร้อจะตอบเธอตามถ้อยคำของเรา" ดังนี้

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าต้นไม้ไม่มีเจตนา คำที่ว่า " ภารทวาชพราหมณ์ไปพูดกับต้นสะคร้อนั้น" ก็ผิดไป
ถ้าคำว่า " ภารทวาชพราหมณ์ไปพูดกับต้นไม้นั้น" เป็นคำถูกต้อง คำว่า " ต้นไม้ไม่มีเจตนา " ก็ผิด
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ ขอได้โปรดแก้ให้สิ้นสงสัยเถิด"

พระนาคเสนชี้แจงแสดงว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ว่า สมเด็จพระบรมศาสดาตรัสว่า "ต้นไม่มีเจตนานั้น " ก็ถูก ข้อที่ว่า " ภารทราชพราหมณ์ได้พูดกับต้นสะคร้อนั้น" ก็ถูก คือถูกตามโลกสมัญญา อันได้แก่ตามความเชื่อถือของคนทั้งหลาย ความจริงนั้น การพูดแห่งสิ่งไม่มีเจตนา คือไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มี แต่ว่ามี เทวดา ที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นสะคร้อนั้น พราหมณ์นั้นได้ไปถามต้นสะคร้อขึ้น เทวดาจึงตอบแทนต้นสะคร้อ แต่คนทั้งหลายก็เรียกว่าพูดกับต้นไม้ อันนี้เป็นโลกบัญญัติ ขอถวายพระพร

เกวียนอันเต็มด้วยข้าวเปลือก คนก็เรียกว่า " เกวียนข้าวเปลือก " คือเกวียนอันบรรทุกเต็มด้วยข้าวเปลือก คนจึงเรียกว่า " เกวียนข้าวเปลือก "

แต่เกวียนนั้นเป็นเกวียนทำด้วยไม้ ไม่ใช่ทำด้วยข้าวเปลือก ที่เขาเรียกว่า " เกวียนข้าวเปลือก" ก็เพราะบรรทุกข้าวเปลือกฉันใด ต้นไม้พูดไม่ได้ ต้นไม้ไม่มีเจตนา แต่เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นั้นต่างหากเป็นผู้พูดคนทั้งหลายจึงถือว่าต้นไม้พูดฉันนั้น

อีกประการหนึ่ง เหมือนกับคนกำลังเอานมส้ม มากระทำให้เป็นน้ำมันเปรียงอยู่ เขาก็เรียกว่า " เราทำน้ำมันเปรียง " ความจริงนั้น นมส้มนั้นยังไม่เป็นน้ำมันเปรียง เพียงแต่เขากำลังกระทำอยู่ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ข้อที่ว่าต้นไม้พูด ซึ่งหมายถึงเทวดาที่อยู่ที่ต้นไม้นั้นพูด ก็เป็นคำโลกบัญญัติขึ้นฉันนั้น คนพูดกันตามความเข้าใจของโลกฉันใด พระตถาคตเจ้าก็ทรงแสดงธรรมตามความเข้าใจของโลกฉันนั้น ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องแล้ว พระนาคเสน โยมยอมรับว่าถูก "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 02:08:13


ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องอานิสงส์แห่งบิณฑบาตทั้งสองคราว

" ข้าแต่พระนาคเสน พระเถระทั้งหลายผู้กระทำธรรมสังคีติ  ได้กล่าวไว้ว่า
พระพุทธองค์ทรงเสวยอาหารของนายจุนท์ ผู้เป็นบุตรช่างทอง แล้วก็เกิดอาพาธหนัก มีมรณะเป็นที่สุด ดังนี้

และกล่าวไว้อีกว่า
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสไว้ว่า บิณฑบาตทั้งสองคราวนี้มีผลเสมอกัน มีวิบากเสมอกัน มีผลอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตอื่น ๆ บิณฑบาตทั้งสองคราวนี้ คือเมื่อใดบ้าง คือบิณฑบาตที่ นางสุชาดา ถวายก่อนที่จะได้ตรัสรู้ ๑ และบิณฑบาตที่ นายจุนท์ ถวายก่อนที่จะปรินิพาน ๑ ดังนี้

ข้าแต่พระนาคเสน
" ถ้าอาพาธแรงกล้าทำให้เกิดทุกขเวทนา มีมรณะเป็นที่สุดแก่พระตถาคตเจ้า เพราะเสวยอาหารของนายจุนท์" ถูกแล้ว คำที่ว่า " บิณฑบาตนั้นมีผลเสมอกันมีวิบากเสมอกัน มีผลอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตอื่น ๆ " ก็ผิดไป

ถ้าคำว่า " บิณฑบาตนั้น มีผลวิบากเสมอกัน มีผลานิสงส์ยิ่งกว่าบิณฑบาตอื่นๆ " ถูกแล้ว คำที่ว่าเกิดอาพาธแรงกล้า มีทุกขเวทนาหนัก มีมรณะเป็นที่สุด เพราะเสวยอาหารของนายจุนท์นั้น " ก็ผิดไป

ข้าแต่พระนาคเสน บิณฑบาตนั้นจะมีผลมาก เพราะเจือยาพิษ เพราะทำให้เกิดโรค เพราะทำให้สิ้นอายุ ทำให้จักษุของชาวโลกพินาศไป ทำให้พระผู้มีพระภาคเจ้าสิ้นพระชนม์ แล้วเหตุไรจึงมีผลมาก ขอพระผู้เป็นเจ้าจงชี้แจงแสดงไว้ เพื่อข่มขี่ถ้อยคำของผู้อื่นเสียในเรื่องนี้ ประชุมชนหลงเข้าใจว่า โรคพระโลหิตได้เกิดแก่พระพุทธเจ้า เพราะเสวยมากเกินไปด้วยอำนาจความโลภ ดังนี้ เรื่องนี้จึงเป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด "

พระนาคเสนจึงตอบว่า
" ขอถวายพระพร คำที่ว่า " พระพุทธองค์ทรงเสวยอาหารของนายจุนท์แล้ว เกิดอาพาธหนักมีมรณะนั้น " ก็ถูก คำที่ว่า " บิณฑบาตทั้งสองคราวนั้น มีผลเสมอกัน มีวิบากเสมอกัน มีผลานิสงส์ยิ่งกว่าบิณฑบาตอื่นๆนั้น " ก็ถูก

เพราะว่าบิณฑบาตนั้นมีคุณมาก มีผลมาก มีวิบากมาก มีอานิสงส์ไม่ใช่น้อย เทวดาทั้งหลายมีความยินดีเลื่อมใส ด้วยคิดเห็นว่า บิณฑบาตคราวนี้เป็นคราวสุดท้ายของพระพุทธองค์แล้ว จึงโปรยผงทิพย์ลงในสุกรมัททวะ  ผลทิพย์นั้นสุกเสมอกัน สุกมาก เป็นที่ยินดีแห่งใจ ร้อนด้วยไฟในท้อง

แต่ใช่ว่าโรคจะบังเกิดด้วยอาหารนั้นหามิได้ แต่เพราะพระพุทธเจ้ามีพระวรกายไม่สู้มีกำลังอยู่แล้ว อายุสังขารก็สิ้นแล้ว โรคที่เกิดขึ้นจึงกำเริบ เหมือนกับกระแสน้ำไหลอยู่ตามปกติแล้ว เมื่อฝนตกลงมาใหญ่ ก็ยิ่งมีกระแสน้ำมากขึ้นฉะนั้น

อีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับไฟอันลุกอยู่ตามปกติแล้ว เมื่อใส่เชื้อไฟอย่างอื่นลงไปก็ยิ่งลุกมากขึ้น

อีกนัยหนึ่ง เหมือนลมในท้อง ซึ่งพัดไปมาอยู่ตามปกติแล้ว เมื่อกินของไม่สุกอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป ก็เกิดลมมากขึ้นฉะนั้น

ไม่มีใครอาจชี้โทษในบิณฑบาตนั้นได้ว่า บิณฑบาตนั้นทำให้เกิดโรค ขอถวายพระพร "

" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นเพราะเหตุไรบิณฑบาตทั้งสองนั้น จึงมีผลวิบากเสมอกัน มีผลานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตอื่น ๆ ? "

" ขอถวายพระพร เพราะอำนาจคุณธรรมในการเข้าสมาบัติอยู่เนือง ๆ "
" คุณธรรมในการเข้าสมาบัติอยู่เนือง ๆ นั้นได้แก่อะไร พระผู้เป็นเจ้า ? "
" ขอถวายพระพร ได้แก่การเข้า อนุบุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙  กลับไปกลับมา ถอยหน้าถอยหลัง "

" ข้าแต่พระนาคเสน พระตถาคตเจ้าได้เข้าอนุบุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ กลับไปกลับมาถึง ๓ ครั้ง เมื่อก่อนจะนิพพานนั้นไม่เคยมีบ้างหรือ? "
" ไม่เคยมี มหาบพิตร "

" น่าอัศจรรย์ ! พระนาคเสน ทานอย่างเยี่ยมซึ่งไม่มีทานอื่นใดเสมอเหมือน อันไม่นับเข้าในบิณฑบาตทั้งสองคราวนี้ก็มีอยู่น่าอัศจรรย์ ! ที่ทานนั้นมีผลานิสงส์ยิ่งกว่าทานอื่นๆ ด้วยอำนาจแห่งอนุบุพพวิหารสมาบัติทั้ง ซึ่งเป็นของใหญ่"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 02:22:53


ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องทรงอนุญาตพุทธบูชา

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า " ดูก่อนอานนท์ เธอทั้งหลายไม่ต้องขวนขวาย เพื่อบูชาพระสรีระของพระตถาคตเจ้า " แล้วตรัสไว้อีกว่า " เธอทั้งหลาย จงบูชาธาตุของผู้ควรบูชา เพราะผู้ทำอย่างนั้น เวลาจากโลกนี้แล้ว จักได้ไปบังเกิดในสวรรค์"

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระตถาคตเจ้าได้ตรัสไว้ว่า " ดูก่อนอานนท์ พวกเธอไม่ต้องขวนขวาย เพื่อบูชาพระสรีระของพระตถาคตเจ้า" ดังนี้ถูกแล้ว คำว่า " เธอทั้งหลายจงบูชาธาตุของผู้ควรบูชา เพราะผู้ทำอย่างนั้น จากโลกนี้แล้วจักได้ไปสู่สวรรค์" ดังนี้ก็ผิด

ถ้าพระตถาคตเจ้าได้ตรัสว่า " พวกเธอจงบูชาธาตุของผู้ควรบูชา เพราะผู้ทำอย่างนั้นจากโลกนี้แล้วจักได้ไปสวรรค์ " ดังนี้ถูก คำที่ว่า " พวกเธอไม่ต้องขวนขวาย เพื่อบูชาพระสรีระของพระตถาคตเจ้า" ดังนี้ก็ผิด
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว"

พระนาคเสนแก้ข้อสงสัยว่า
" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้น จริงทั้งนั้น คำที่ตรัสห้ามไม่ให้ขวนขวายบูชาพระสรีระของพระตถาคตเจ้านั้น ทรงห้ามเฉพาะ พระภิกษุสงฆ์ เท่านั้น เพราะการบูชาพระสรีระศพของพระตถาคตเจ้านั้น ไม่จำเป็นแก่พระภิกษุทั้งหลาย จำเป็นแก่เทวดามนุษย์นอกนั้นต่างหาก

อุปมาเรียนศิลปศาสตร์ ข้อนี้มีอุปมาเหมือนกับการศึกษาทางช้าง ม้า รถ ธนู หอก ดาบ เลข คำนวณ เวทย์ มนต์ กลยุทธ์ต่างๆ จำเป็นสำหรับราชบุตรทั้งหลายเท่านั้น ไม่จำเป็นแก่พวกเวศย์ พวกศูทร เพราะพวกนี้จำเป็นที่จะต้องทำกสิกรรม พาณิชกรรม และเลี้ยงโคเท่านั้น

การพิจารณาสังขาร การกระทำโยนิโสมนสิการ การเจริญมหาสติปัฏฐาน การค้นหาแก่นธรรม การสู้รบกับกิเลส การฝึกฝนอยู่เนือง ๆ ซึ่งประโยชน์ของตนนั้น เป็นของจำเป็นสำหรับพระภิกษุทั้งหลาย
ส่วนการบูชาพระสรีระศพ หรือพระธาตุของพระพุทธเจ้านั้น จำเป็นสำหรับเทพยดา - มนุษย์นอกนั้น

อีกประการหนึ่ง เวทต่าง ๆ คือ อุรุเวท รู้ภาษาสัตว์ ยชุเวท รู้บูชายัญ อาถัพพเวท รู้ผูกแก้อาถรรพณ์ลักขณะ รู้ทายลักษณะเป็นต้น เป็นของจำเป็นที่พวกพราหมณ์มาณพจะต้องศึกษา ส่วนพวกเวศย์ พวกนอกนั้น จำเป็นที่จะต้องกระทำกสิกรรม พาณิชกรรมและเลี้ยงโคเท่านั้น เพราะฉะนั้น สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาจึงทรงห้ามเสีย ถ้าไม่ทรงห้าม พระภิกษุทั้งหลาย ก็จะสละกระทั่งบาตรจีวรของตน ออกกระทำพุทธบูชา ขอถวายพระพร "

" ถูกแล้ว พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 02:23:47


ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องสะเก็ดศิลาถูกพระบาท

" ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวว่า เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เสด็จดำเนินไปบนพื้นปฐพีในเวลาใด พื้นปฐพีอันไม่มีจิตวิญญาณ ก็ทำอาการเหมือนมีจิตวิญญาณ คือที่ต่ำก็สูงขึ้น ที่สูงก็ต่ำลง แต่มีกล่าวไว้อีกว่า สะเก็ดศิลาได้กระเด็นมาถูกพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหตุใดสะเก็ดศิลาที่กระเด็นมานั้น จึงไม่กระเด็นกลับไปให้เหมือนของที่มีจิตวิญญาณ ถ้าคำว่า " เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปบนแผ่นดินในที่ใด แผ่นดินในที่นั้น ที่ต่ำก็สูง ที่สูงเป็นต่ำ เหมือนมีจิตวิญญาณ จริงแล้ว ข้อที่ว่า " สะเก็ดศิลากระเด็นมาถูกพระบาท " ก็ผิดไป

ถ้าข้อว่า " สะเก็ดศิลากระเด็นมาถูกพระบาท " นั้นถูก ข้อว่า " แผ่นดินอันไม่มีจิตวิญญาณ ก็แสดงอาการสูงต่ำเหมือนมีจิตวิญญาณ" ก็ผิด
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ เป็นปัญหาลึก หยั่งรู้ได้ยาก มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว "

พระนาคเสนเถระตอบว่า
" ขอถวายพระพร จริงทั้งสองอย่าง นั่นแหละ แต่สะเก็ดศิลานั้น ไม่ได้กระเด็นมาตามธรรมชาติของมัน ตกลงมาด้วยการกระทำของ พระเทวทัต ต่างหาก พระเทวทัตได้อาฆาตต่อสมเด็จพระบรมโลกนาถมาหลายแสนชาติแล้ว

พระเทวทัตคิดว่า จักให้ก้อนศิลาตกลงมาทับพระพุทธเจ้า จึงได้กลิ้งก้อนศิลาใหญ่โตเท่าเรือนยอด ลงมาด้วยกำลังเครื่องยนต์ ขณะนั้นมีก้อนศิลา ๒ ก้อน ได้ผุดขึ้นจากฟื้นดิน มารับก้อนศิลานั้นไว้ ก้อนศิลานั้นถูกกระทบ ก้อนศิลา ๒ ก้อนนั้นก็แตกกระจายไป สะเก็ดศิลาก้อนหนึ่ง จึงได้ตกไปถูกพระบาทของพระพุทธเจ้า"

" ข้าแต่พระนาคเสน ก้อนศิลา ๒ ก้อนนั้น ได้รับก้อนศิลานั้นไว้แล้ว ก็ควรจะรับสะเก็ดศิลาไว้ด้วย"

" รับไว้แล้วมหาบพิตร แต่ว่าสะเก็ดศิลามีมาก บางสะเก็ดก็รับไว้ไม่หมด จึงได้ตกกระเด็นไปเปรียบเหมือนกับนมสด หรือน้ำมันเปรียงน้ำอ้อย น้ำผึ้ง เนยใส น้ำมัน เนื้อหมี เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่บุคคลกำไว้ในกำมือ เล็ดลอดไหลออกไปตามช่องนิ้วมือก็มีฉันใด สะเก็ดศิลาที่เล็ดลอดไปจากการรับไว้แห่งศิลา ๒ ก้อนนั้น ก็มีได้เช่นกันฉันนั้น ก้อนที่เล็ดลอดไป ก็ได้ไปตกพระบาทของพระพุทธเจ้า

ข้อนี้เปรียบได้อีกอย่างหนึ่ง คือเหมือนกับทรายละเอียดที่บุคคลกำไว้ แล้วเล็ดลอดออกตามช่องนิ้วมือฉะนั้น
หรืออีกอย่างหนึ่งเปรียบเหมือนกับคำข้าวที่บุคคลรับไว้ด้วยปากตกร่วงออกจากปากก็มีได้ฉันนั้น"

" ข้าแต่พระนาคเสน ก้อนศิลา ๒ ก้อนนั้นได้รับก้อนศิลาไว้แล้ว สะเก็ดศิลานั้นก็ควรจะเคารพพระพุทธเจ้า เหมือนแผ่นดินใหญ่แสดงความเคารพ ต่อพระพุทธเจ้าเช่นกันไม่ใช่หรือ ? "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 02:27:29


ผู้ที่เคารพผู้อื่นไม่ได้ ๑๒ จำพวก

" ขอถวายพระพร ผู้ที่เคารพผู้อื่นไม่ได้มีอยู่ ๑๒ จำพวกคือ

๑. ผู้กำหนัดยินดี
๒. ผู้โกรธ
๓. ผู้หลง

๔. ผู้กำเริบ
๕. ผู้เนรคุณ
๖. ผู้มีใจกระด้างเกินไป

๗. ผู้ชั่วช้า
๘. ผู้จักลงโทษ
๙. ผู้ไม่สละ

๑๐. ผู้กำลังทุกข์
๑๑. ผู้โลภครอบงำ
๑๒. ผู้วุ่นอยู่กับการงาน

มหาราชะ ถ้าสะเก็ดศิลานั้น ไม่แตกไปจากก้อนศิลา ก้อนศิลาใหญ่ทั้งสองที่ผุดขึ้นรับนั้น ก็จะได้รับสะเก็ดศิลานั้นไว้ได้ สะเก็ดศิลานั้น ได้ตั้งอยู่ที่อากาศ ได้แตกกระเด็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีทิศที่หมาย ตกไปตามแต่จะได้ จึงไปตกถูกพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า

อีกอย่างหนึ่ง ใบไม้แห้งที่ถูกลมหัวด้วนพัดขึ้นไป ก็ไม่มีทิศที่หมาย ย่อมตกไปตามแต่จะได้ฉันใด สะเก็ดนั้นก็ไม่มีทิศที่หมายตกไปตามแต่จะได้ฉันนั้น

อนึ่ง สะเก็ดศิลานั้น ได้ตกไปถูกพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะให้พระเทวทัตผู้อกตัญญู ผู้กระด้าง ได้เสวยทุกข์ในนรก ขอถวายพระพร "

" ดีแล้วพระนาคเสน โยมรับว่าถูกต้อง "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 02:37:51


ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องการถวายโภชนาหาร

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า " โภชนะอันได้ด้วยการกล่าวคาถา ไม่สมควรที่เราจะบริโภค ดูก่อนพราหมณ์ ข้อนี้เป็นธรรมดาของผู้รู้แจ้งเห็นจริงทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมกำจัดเสียซึ่งการกล่าวคาถา ดูก่อนพราหมณ์ ความประพฤติข้อนี้อยู่ในธรรม" ดังนี้

แต่ต่อมา เมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาจะทรงแสดงธรรม ก็ทรงแสดงไปตามลำดับคือทรงแสดง ทานกถา ก่อนแล้วจึงทรงแสดง สีลกถา ในภายหลัง เทพยดามนุษย์ทั้งหลายได้ฟังถ้อยคำของพระพุทธเจ้าผู้เป็นใหญ่ในโลกจึงได้ชวนกันถวายทาน พระสาวกทั้งหลายก็ได้บริโภคทานอันนั้น

ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงกำจัดการกล่าวคาถา จริงแล้ว ข้อที่ว่า ทรงแสดงทานกถาก่อนก็ผิดไป
ถ้าข้อว่า ทรงแสดงทานกถาก่อนนั้นถูก ข้อที่ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมกำจัดการกล่าวคาถานั้นก็ผิด

ข้อนั้นเพราะเหตุไร....เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ควรแก่การถวายทานนั้น ได้ทรงแสดงผลแห่งการถวายบิณฑบาตให้คฤหัสถ์ทั้งหลายฟัง คฤหัสถ์ทั้งหลายฟังแล้วมีใจเลื่อมใสได้ถวายทานเรื่อย ๆ ไป พวกที่ได้บริโภคทานนั้นก็ชื่อว่า บริโภคสิ่งที่ได้ด้วยการกล่าวคาถา
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า โภชนะอันได้ด้วยการกล่าวคาถา ไม่สมควรที่เราจะฉัน แล้วทรงแสดงทานกถาก่อน อันกิริยานั้น เป็นกิริยาของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย

คือพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงทำให้สาธุชนยินดียิ่งด้วยทานกถาก่อน แล้วจึงทรงชักนำในเรื่องศีล ต่อภายหลัง เปรียบเหมือนคนทั้งหลายที่ให้ของเล่นแก่เด็ก ๆ ซึ่งกำลังเล่นฝุ่นเล่นทราย มีไถและค้อนเล็ก ๆ หม้อข้าวเล็ก ๆ ตุ๊กตาเล็ก ๆ ภาชนะเล็ก ๆ รถเล็ก ๆ ธนูเล็ก ๆ เสียก่อน จึงแนะนำให้เรื่องการงานต่อภายหลังฉะนั้น

อีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับแพทย์ที่ให้คนไข้หนักดื่มน้ำมันสัก ๔ วัน หรือ ๕ วันก่อน พอมีกำลังดี จึงให้กินยาถ่ายภายหลังฉะนั้น

กล่าวคือ เมื่อจิตของผู้ถวายทานทั้งหลายอ่อนแล้ว ก็เป็นสะพานเป็นเรือช่วยให้ข้ามฝั่งสาคร คือสงสารได้ เพราะฉะนั้น สมเด็จพระทรงธรรม์ จึงทรงสอนตามสมควรแก่ภูมิเสียก่อน คำสอนของพระองค์นั้น ไม่แสดงการขอด้วยกาย หรือแสดงการขอด้วยวาจา"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 02:42:45


การขอ

" ข้าแต่พระนาคเสน คำว่า การขอ นั้นมีอยู่เท่าใด? "
" ขอถวายพระพร มีอยู่ ๒ ประการ คือ การขอทางกาย ๑ การขอทางวาจา ๑

การขอทั้งสองนี้ แยกออกไปอย่างละ ๒ คือ มีโทษ ๑ ไม่มีโทษ ๑
การขอทางกายที่มีโทษ นั้นได้แก่สิ่งใด....

ได้แก่การที่ภิกษุบางรูปเข้าไปถึงตระกูลแล้วยืนอยู่ในที่ไม่สมควร ไม่ละที่นั้นไป พระอริยะทั้งหลายย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการขอทางกายนั้น ส่วนบุคคลนั้น เป็นผู้ที่พระอริยเจ้าดูหมิ่นติเตียน ครอบงำ ไม่ยำเกรง ดูแคลน นินทา ถึงซึ่งอันนับว่าเป็นผู้เสียอาชีพ

ยังมีอีกข้อหนึ่งมหาบพิตร ภิกษุบางรูปเข้าไปถึงตระกูล แล้วยืนอยู่ในที่ไม่สมควร ยื่นคอเล็งดูประหนึ่งว่านกยูง ด้วยเข้าใจว่าคนจักไม่เห็นเรา แล้วคนก็เห็นภิกษุนั้น อันนี้ก็เป็นการขอทางกายที่มีโทษ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ไม่เลี้ยงชีพด้วยการขอทางกายนี้ ภิกษุนั้นย่อมเป็นที่ดูหมิ่นติเตียนของพระอริยะทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความนับว่า เลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควร

การขอทางกายที่ไม่มีโทษ นั้นได้แก่สิ่งใด...
ได้แก่การที่ภิกษุบางรูปเข้าไปถึงตระกูลมีสติสัมปชัญญะ ไปยืนอยู่ในที่สมควร ด้วยคิดว่า ผู้ประสงค์จะให้ก็ต้องมา ผู้ไม่ประสงค์จะให้ก็ต้องหลีกไป พระอริยะเจ้าทั้งหลายเลี้ยงชีพด้วยการขออย่างนี้ ภิกษุนั้นย่อมเป็นที่สรรเสริญเชยชมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งความนับว่ามีความประพฤติขัดเกลากิเลส มีอาชีพบริสุทธิ์

ข้อนี้ สมกับที่สมเด็จพระบรมสุคต ผู้เป็นวิสุทธิเทพยิ่งกว่าเทพยดาตรัสไว้ว่า
" ผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมไม่ขอ ผู้มีความคิดดีทั้งหลายย่อมติเตียนการขอ พระอริยะทั้งหลายได้แต่ยืนเฉพาะ การยืนเฉพาะเป็นการขอของพระอริยะทั้งหลาย" ดังนี้ การขอด้วยกายอย่างนี้ เป็นของไม่มีโทษ



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 02:47:07


การขอทางวาจาที่มีโทษ นั้นคืออย่างไร

คือภิกษุบางรูปย่อมขอสิ่งต่างๆ ด้วยวาจา คือขอจีวร บิณฑบาต ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ที่เก็บเภสัช พระอริยะทั้งหลายย่อมไม่เลี้ยงชีวิตด้วยการขออย่างนี้ ภิกษุนั้นย่อมเป็นที่ดูแคลน เป็นที่ติเตียนในธรรมเนียมของพระอริยะทั้งหลาย ย่อมถึงซึ่งอันนับว่าผู้เสียอาชีพ

ยังอีกข้อหนึ่งมหาบพิตร คือภิกษุบางรูปเมื่อจะให้ผู้อื่นได้ยินเสียง ก็กล่าวว่า เราต้องการของสิ่งนี้ เมื่อคนเหล่านั้นถูกขอด้วยวาจาอย่างนั้น เขาก็ต้องให้ การพูดขออย่างนี้ก็เป็นของมีโทษ

ยังอีกข้อหนึ่ง คือภิกษุบางรูปย่อมเปล่งวาจาให้คนอื่นได้ยินว่า ควรถวายแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนี้ ๆ พวกที่ได้ยินก็จักถวาย อันนี้ก็เป็นวจีที่มีโทษ ขอถวายพระพร

พระสารีบุตรเถระ เป็นไข้ในเวลากลางคืน เมื่อพระมหาโมคคัลลาน์ถามถึงยา ก็ได้เปล่งวาจาออกมาแล้วก็ได้ยา ครั้งนั้น พระสารีบุตรเถระก็ได้ทิ้งยานั้นเสีย ไม่ฉันยานั้น ด้วยกลัวเสียอาชีพว่า ยานี้ได้เกิดแก่เราเพราะการเปล่งวาจา อย่าให้อาชีพของเราเสียไปเลย

พระอริยะทั้งหลายย่อมไม่ฉันของที่ขอด้วยวาจาอย่างนั้น



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 02:52:15


การขอทางวาจาที่ไม่มีโทษ นั้นคืออะไร

คือเมื่อความจำเป็นมีขึ้น ภิกษุก็ขอยาต่อพวกญาติหรือผู้ที่ปวารณาไว้ การขออย่างนั้นเป็นของไม่มีโทษ ผู้นั้นก็เป็นที่สรรเสริญของพระอริยะทั้งหลายนับว่าเป็นผู้มีอาชีพบริสุทธิ์ "

" ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อพระตถาคตเจ้าจะเสวย เทวดาทั้งหลายได้โปรยทิพยโอชาลงไปทุกคราวหรือ...หรือเฉพาะในบิณฑบาตทั้งสองคราวนั้น คือ เนื้อสุกรอ่อนของนายจุนท์ กับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาเท่านั้น? "

" ขอถวายพระพร ทุกคราวที่สมเด็จพระชินวรเจ้าเสวย เหมือนกับเมื่อพระราชากำลังเสวย พวกพนักงานเครื่องเสวยก็ได้หยิบเอากับข้าวใส่ลงไปในคำข้าวฉะนั้น

ครั้งหนึ่ง เมื่อพระตถาคตเจ้าเสวยข้าวสำหรับเลี้ยงม้า ที่พวกพ่อค้านำไปถวาย เทวดาทั้งหลายก็ทำให้ข้าวนั้นอ่อนด้วยผงทิพย์แล้วน้อมเข้าไปถวาย ทำให้เกิดความสบายพระกายแก่พระตถาคตเจ้า "

" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นลาภอันดีของพวกเทวดา ที่คอยปฏิบัติพระพุทธเจ้าอยู่เสมอไป เป็นอันว่า ปัญหาข้อนี้พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 03:00:25

ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องทรงขวนขวายน้อยในการแสดงธรรม

" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้ว่า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมาตลอดถึง ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัป เพื่อจะช่วยชนหมู่ใหญ่

แต่กล่าวอีกว่า เมื่อสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จิตขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมเพื่อทรงแสดงธรรม ดังนี้

โยมเห็นว่า ข้อที่พระพุทธองค์ทรงย่อท้อในการแสดงธรรมนั้น เหมือนกับนายขมังธนูหรือศิษย์ของนายขมังธนู ที่ฝึกหัดธนูไว้เป็นอันมากแล้ว พอสงครามเกิดขึ้นก็ย่อท้อฉะนั้น
หรือไม่อย่างนั้นก็เปรียบเหมือนกับนักมวย หรือศิษย์ของนักมวยที่ฝึกหัดไว้มากแล้ว เมื่อจะเกิดต่อยกันขึ้นก็ท้อใจฉะนั้น

ข้าแต่พระนาคเสน พระตถาคตเจ้าทรงย่อท้อพระทัยเพราะความกลัว หรือเพราะความขวนขวายน้อย หรือเพราะไม่มีกำลังพอ หรือเพราะไม่รู้ทุกสิ่ง ขอจงแก้ไข
ถ้าพระตถาคตเจ้าผู้สร้างบารมีมาตลอดถึง ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัป เพื่อโปรดเทพยดามนุษย์เป็นอันมากจริงแล้ว ข้อที่ว่าเมื่อสำเร็จพระสัพพัญญุตญาณแล้ว พระหฤทัยได้น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรมนั้นก็ผิดไป

ถ้าข้อนี้ถูก ข้อที่ว่า ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา เพื่อจะทรงเทศนาโปรดเทพยดามนุษย์เป็นอันมากนั้นก็ผิดไป
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดวิสัชนาให้สิ้นสงสัยเถิด"

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" มหาบพิตรพระราชสมภาร ข้อที่ว่า ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา เพื่อจะทรงเทศนาโปรดเทพยดามนุษย์เป็นอันมาก เวลาได้สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณแล้ว พระหฤทัยของพระองค์ได้น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อยไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรมนั้น เป็นเพราะเหตุว่า

๑. ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้น เป็นของลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก เป็นของละเอียดเป็นของหยั่งรู้ได้ยาก
๒. สัตว์โลกทั้งหลายก็มีความอาลัยอยู่ในโลกเป็นอันมาก เพราะมากไปด้วย สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวตนเราเขา ดังนี้

อุปมาอุปมัยเปรียบเหมือนแพทย์ที่จะรักษาคนไข้ซึ่งมีโรคมากอย่าง ก็คิดว่าโรคทั้งปวงของบุรุษนี้จะหายไปด้วยการกระทำชนิดใด หรือด้วยยาชนิดใด ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
สมเด็จพระจอมไตรก็ได้ทรงเห็นหมู่สัตว์ที่เป็นโรคกิเลสทั้งสิ้น และทรงเห็นธรรมอันเป็นของเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก ก็มีพระหฤทัยน้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรมฉันนั้น

อีกประการหนึ่ง พระราชาผู้ได้เสวยราชย์แล้ว ได้ทรงพิจารณาเห็นประชาราษฏร์ที่พึ่งพระองค์ มีนายประตู แม่ทัพนายกอง ราชบริพาร ข้าราชการ ชาวนิคม อำมาตย์ราชกัญญาทั้งหลายแล้ว ก็ทรงรำพึงว่า เราจะสงเคราะห์คนเหล่านี้อย่างไร ข้อนี้ฉันใด พระตถาคตเจ้าทรงเล็งเห็นธรรมอันเป็นของลึก เป็นของละเอียด เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก และทรงเล็งเห็นจิตของสัตว์ทั้งหลาย ผู้ยินดีในกามารมณ์ มากไปด้วยความเห็นว่าเป็นตัวตนเราเขา ก็มีพระหฤทัยน้อมไปในความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรมฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง ข้อที่มีพระหฤทัยน้อมไปในความขวนขวายน้อยนั้น เป็นธรรมดาของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ผู้ที่ ท้าวมหาพรหม ทูลอาราธนาแล้วจึงทรงแสดงธรรม เพราะเหตุว่าในคราวนั้น ดาบส ปริพาชก สมณพราหมณ์ เทพยดา มนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้นับถือพระพรหมทั้งนั้น เมื่อพรหมได้อาราธนาแล้วจึงจักแสดงธรรม ข้อนี้เปรียบเหมือนพระราชา หรือมหาอำมาตย์ แสดงความเคารพต่อผู้ใด คนทั้งหลายก็จะเคารพผู้นั้นยิ่งขึ้น ฉันนั้น

เพราะฉะนั้น ท้าวมหาพรหมจึงได้ทูลอาราธนาพระตถาคตเจ้าทั้งปวง เพื่อให้ทรงแสดงธรรม พระตถาคตเจ้าทั้งปวงที่มหาพรหมทูลอาราธนาแล้ว จึงได้ทรงแสดงธรรม ดังนี้ ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 03:05:33


ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมีอาจารย์และไม่มีอาจารย์ของพระพุทธเจ้า

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
" อาจารย์ของเราไม่มี ผู้เสมอเราไม่มี ผู้เปรียบกับเราในมนุษย์โลกหรือเทวโลกไม่มี" ดังนี้

แต่ตรัสไว้อีกแห่งหนึ่งว่า " อาฬาระ กาลามะ ผู้เป็นอาจารย์ของเรา ได้ยกย่องเราผู้เป็นศิษย์ว่า มีความรู้เสมอกับตน ได้บูชาเราด้วยการบูชาอย่างเยี่ยม" ดังนี้

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระตถาคตเจ้าไม่มีอาจารย์ ข้อที่ว่า " อาฬาระ กาลามะ ผู้เป็นอาจารย์ของเราได้ยกย่องเรา" ก็ผิดไป
ถ้าข้อที่ว่า " อาฬาระ กาลามะ ผู้เป็นอาจารย์ของเราได้ยกย่องเรา" นั้นถูก ข้อที่ว่า " เราไม่มีอาจารย์" นั้นก็ผิด
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ขอได้โปรดวิสัชนาให้สิ้นสงสัยเถิด"

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสไว้ทั้งสองนั้นถูกทั้งนั้น แต่ข้อที่ตรัสว่า " อาฬาระ กาลามะ ผู้เป็นอาจารย์ของเราได้ยกย่องเรานั้น" ตรัสหมายถึงพระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้ คือในเวลานั้นมีอาจารย์สั่งสอนอยู่ถึง ๕ จำพวกคือ

๑. พราหมณ์ทั้ง ๘ ที่เป็นผู้ทำนายพระลักษณะ ได้ถวายสวัสดิมงคล กระทำการรักษาซึ่งนับว่าเป็นอาจารย์จำพวกแรก
๒. สัพพมิตตพราหมณ์ ที่พระเจ้าสุทโธทนะทรงมอบให้สอนศิลปวิทยา
๓. เทวดา ที่ทำให้สลดพระทัยแล้วเสด็จออกบรรพชา
๔. อาฬารดาบสกาลามโคตร
๕. อุทกดาบสรามบุตร

อาจารย์ทั้ง ๕ จำพวกนี้ เป็นอาจารย์ในทางโลกิยธรรม ของพระโพธิสัตว์ผู้ยังไม่ได้ตรัสรู้ต่างหาก ส่วนในทางโลกุตรธรรมนั้น ไม่มีอาจารย์สั่งสอน พระองค์ทรงสำเร็จได้ด้วยพระบารมีของพระองค์เอง จึงตรัสว่าพระองค์ไม่มีอาจารย์ ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 03:10:14


ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงสมณะที่เลิศและไม่เลิศ

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
" ชื่อว่าเป็นสมณะเพราะสิ้นอาสวะทั้งหลาย "
แล้วตรัสไว้อีกว่า " เราเรียกผู้ที่ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ ว่าเป็นสมณะ"

ธรรม ๔ ประการนั้น คือ ขันติ ความอดทน ๑ อัปปาหารตา ความเป็นผู้บริโภคอาหารน้อย ๑ รติวิปปหานัง การละความยินดี๑ อากิญจัญญัง ความไม่มีอะไรเหลือ ๑

ธรรมทั้ง ๔ นี้ ย่อมมีแก่ผู้ยังไม่สิ้นอาสวะ ผู้ยังมีกิเลส
ถ้าชื่อว่าเป็นสมณะเพราะความสิ้นอาสวะทั้งหลาย เป็นของถูกแล้ว ข้อที่ว่าผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้เป็นสมณะก็ผิดไป

ถ้าผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้เป็นสมณะ ข้อที่ว่า เป็นสมณะเพราะสิ้นอาสวะนั้นก็ผิดไป
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ให้สิ้นสงสัยเถิด "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสไว้ทั้งสองประการนั้นถูกทั้งนั้น ส่วนข้อที่ตรัสไว้ว่า " ผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ชื่อว่าสมณะนั้น" ตรัสไว้ด้วยทรงถือ คุณวิเศษ เป็นสำคัญ

ส่วนข้อที่ตรัสว่า " ชื่อว่าเป็นสมณะเพราะสิ้นอาสวะนั้น" เป็นคำที่ตรัสไว้อย่างไม่เหลือ

อนึ่ง ผู้สิ้นอาสวะแล้ว ชื่อว่าเป็นสมณะยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติเพื่อให้สิ้นกิเลสทั้งสิ้น ดอกไม้ที่เกิดบนบกทั้งหลาย มีดอกมะลิเป็นอย่างเลิศ ดอกไม้ที่ร้อยแล้ว ดีกว่าดอกไม้ที่ไม่ได้ร้อยฉันใด ข้าวสาลีดีกว่าข้าวทั้งปวงฉันใด ผู้สิ้นอาสวะแล้ว ก็เป็นสมณะ ดีกว่าสมณะทั้งหลายฉันนั้น ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องแล้ว พระนาคเสน "

จบวรรคที่ ๓



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 03 สิงหาคม 2554 03:24:31


เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๔

ปัญหาที่ ๑ ถามเกี่ยวกับเรื่องสรรเสริญ

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีผู้สรรเสริญเรา หรือสรรเสริญธรรม สรรเสริญสงฆ์ พวกเธอไม่ควรทำความร่าเริง ความดีใจ ความมีใจแปรปรวน อย่างใดอย่างหนึ่ง "
แล้วตรัสไว้อีกว่า
" เมื่อเสลพราหมณ์สรรเสริญตามความเป็นจริง พระตถาคตก็ทรงดีพระทัย "

แล้วได้แสดงพระคุณของพระองค์ยิ่งขึ้นไปว่า
" ดูก่อนเสลพราหมณ์ เราเป็นพระธรรมราชาผู้เยี่ยม ได้ยังธรรมจักรอันไม่มีผู้ปฏิบัติได้ให้เป็นไปโดยชอบธรรม" ดังนี้

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระตถาคตเจ้าได้ตรัสว่า " เวลามีผู้สรรเสริญเราหรือสรรเสริญธรรม สรรเสริญสงฆ์ พวกเธอไม่ควรร่าเริง ไม่ควรดีใจ ไม่ควรมีใจตื่นเต้น" ดังนี้ถูกแล้ว คำที่ตรัสว่า " เมื่อเสลพราหมณ์สรรเสริญตามเป็นจริง เราตถาคตก็ร่าเริงดีใจ แล้วได้แสดงคุณของเราตถาคตให้ยิ่งขึ้นไป" ดังนี้ก็ผิด

ถ้าคำว่า " เมื่อเสลพราหมณ์สรรเสริญเราตามจริง เราก็ร่าเริงดีใจ ได้แสดงคุณของเราให้ยิ่งขึ้นไป " ดังนี้ถูกแล้ว คำที่ตรัสว่า " เวลามีผู้อื่นสรรเสริญมา หรือธรรม หรือสงฆ์ พวกเธอไม่ควรร่าเริงดีใจ มีใจตื่นเต้น " ดังนี้ก็ผิด
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดวิสัชนาให้สิ้นสงสัยเถิด "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้นจริงทั้งนั้น เมื่อสมเด็จพระภควันต์จะทรงแสดงลักษณะแห่งสภาวธรรมตามความเป็นจริง ก็ได้ตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายไว้อย่างนั้น เมื่อเสลพราหมณ์สรรเสริญพระองค์ตามความเป็นจริง ก็ได้ทรงแสดงคุณของพระองค์ให้ยิ่งขึ้นไป ดังที่ว่าแล้วนั้น

แต่การที่ทรงแสดงคุณของพระองค์ให้ยิ่งขึ้นไปนั้น ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ลาภยศ พรรคพวกบริวารอย่างไร เป็นเพราะทรงพระเมตตากรุณาแก่ผู้ฟังทั้งหลายว่า ความรู้แจ้งธรรมจักมีแก่พราหมณ์นั้น พร้อมกับมาณพ ๓๐๐ คน จึงได้ทรงแสดงคุณของพระองค์ให้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ขอถวายพระพร "

" ดีแล้วพระนาคเสน โยมรับว่าถูกต้องดี "

ต่อที่ #๒๕๕ น.๑๘ http://agaligohome.com/index.php?topic=205.255 (http://agaligohome.com/index.php?topic=205.255)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 05:16:42


ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องไม่เบียดเบียนและไม่ข่มเหง

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
" จงอย่าเบียดเบียนผู้อื่นในโลก จงถือว่าผู้อื่นจงเป็นที่รักของเราจงเป็นพวกของเรา" ดังนี้

แล้วตรัสอีกว่า " ควรข่มขี่ ผู้ที่ควรข่มขี่ ควรยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง " ดังนี้
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า การตัดมือ ตัดเท้า การฆ่า การจองจำ การทำให้ตาย การทำให้สิ้นเครื่องสืบต่อชีวิต ชื่อว่าการข่มขี่ คำว่า " ข่มขี่ " นี้ ไม่สมควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ไม่ควรจะตรัสคำนี้

ถ้าตรัสว่า " อย่างเบียดเบียนผู้อื่นในโลกจงรักผู้อื่น ถือว่าผู้อื่นเป็นพวกของเรา " ดังนี้ถูกแล้ว คำที่ว่า"ควรข่มขี่ผู้ที่ควรข่มขี่ควรยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง" ก็ผิด

ไปถ้าคำว่า " ควรข่มขี่ผู้ที่ควรข่มขี่ ควรยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง" ดังนี้ถูกแล้ว คำที่ว่า " อย่าเบียดเบียนผู้อื่นในโลก จงทำผู้อื่นให้เป็นที่รักของตัว จงนึกว่าเป็นพวกของตัว" ดังนี้ก็ผิด

ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ ควรแก้ไขให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด"
พระนาคเสนตอบว่า

" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้นถูกทั้งนั้นคำว่า " อย่าเบียนเบียดผู้อื่นในโลก" เป็นคำอนุมัติ เป็นคำพร่ำสอน เป็นคำแสดงธรรมของพระตถาคตเจ้าทั้งปวง เพราะว่าธรรมมีความไม่เบียดเบียนเป็นลักษณะ การที่ตรัสอย่างนั้น ตรัสตามสภาพ คือความเป็นจริง

คำที่ตรัสว่า " ควรข่มขี่ผู้ที่ควรข่มขี่ ควรยกย่องผู้ที่ควรยกย่อง" เป็นการมุ่งการปฏิบัติธรรม คือจิตที่ฟุ้งซ่านควรข่ม จิตที่หดหู่ควรประคองขึ้น จิตที่เป็นอกุศลควรข่มขี่เสีย จิตที่เป็นกุศลควรประคองไว้ การนึกผิดทาง ควรข่มขี่เสีย การนึกถูกทาง ควรประคองไว้ การปฏิบัติผิดควรข่มขี่เสีย การปฏิบัติถูกควรประคองไว้ ผู้ไม่ใช่อริยะควรข่มขี่เสีย ผู้เป็นอริยควรประคองไว้ ผู้เป็นโจรควรข่มขี่เสีย ผู้ไม่ใช่โจรควรประคองไว้ ขอถวายพระพร "

" เอาละ พระนาคเสน คราวนี้พระผู้เป็นเจ้าหวนกลับมาสู่วิสัยของโยมแล้ว โยมถามถึงข้อความอันใด ข้อความอันนั้นได้เข้ามาถึงโยมแล้ว โยมจึงขอถามว่า ผู้ที่เป็นโจร เราจะควรข่มขี่อย่างไร? "
" ขอถวายพระพร โจรที่ควรด่าว่าก็ต้องด่าว่า ที่ควรปรับไหมก็ต้องปรับไหม ที่ควรขับไล่ก็ต้องขับไล่ ที่ควรจองจำก็ต้องจองจำ ที่ควรฆ่าก็ต้องฆ่า ควรข่มขี่โจรอย่างนี้ "

" ข้าแต่พระนาคเสน การฆ่าโจรเป็นพระอนุมัติของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายหรือ ? "
" ไม่เป็น มหาราชะ "
" ถ้าไม่เป็น เพราะเหตุไรจึงกล่าวว่า โจรนั้นเป็นผู้ควรสั่งสอนตามพระอนุมัติของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย? "

" ขอถวายพระพร การฆ่าโจรนั้น คนทั้งหลายไม่ได้ฆ่าตามพระอนุมัติของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย โจรนั้นถูกฆ่าด้วยความผิดที่เขากระทำเอง ก็แต่ว่าโจรนั้นบุคคลควรสั่งสอนตามเหตุผล บุคคลอาจจับบุรุษผู้ไม่มีความผิด จูงตระเวนไปตามถนน แล้วฆ่าเสียตามมติได้หรือ ? "

" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
" เพราะเหตุไรล่ะ ? "
" เพราะเขาไม่ได้ทำความผิด "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร โจรไม่ได้ถูกฆ่าด้วยพระอนุมัติของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ถูกฆ่าด้วยการกระทำของเขาเองต่างหาก ผู้ที่สั่งสอนโจรจะได้รับโทษอย่างไรบ้างหรือ? "
" ไม่ได้รับโทษอย่างไรเลย ผู้เป็นเจ้า "

" ถ้าอย่างนั้น คำสอนของพระตถาคตเจ้าก็เป็นคำสอนที่ถูกต้องดีแล้ว ขอถวายพระพร "
" พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาข้อนี้ดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 05:24:32


ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องทรงขับไล่ภิกษุ

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
" เราเป็นผู้ไม่โกรธ เป็นผู้ไม่มีตะปู คือความโกรธแล้ว"
แต่ภายหลังได้ทรงประณามขับไล่ พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พร้อมทั้งบริวาร

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงขับไล่ เพราะความโกรธ หรือเพราะความดีพระทัย ขอได้โปรดแก้ไขให้โยมเข้าใจ
ถ้าทรงขับไล่ด้วยความโกรธ ก็เป็นอันว่าพระตถาคตเจ้า ยังไม่ทรงละความโกรธ ถ้าทรงขับไล่ด้วยยินดี ก็เป็นอันว่าไม่รู้ แต่ทรงกระทำให้เมื่อยังไม่มีเหตุสมควร
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ ควรแก้ให้สิ้นสงสัยนะ พระคุณเจ้าข้า "

พระนาคเสนชี้แจงว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่สมเด็จพระชินวรเจ้าตรัสว่า เราเป็นผู้ไม่มีความโกรธ เป็นผู้ที่ไม่มีตะปู คือความโกรธแล้ว แต่ได้ทรงขับไล่พระโมคัลลาน์พระสารีบุตร พร้อมทั้งบริวาร การทรงขับไล่นั้น ไม่ใช่ทรงขับไล่ด้วยความโกรธ มหาราชะ

เหมือนอย่างบุรุษผู้หนึ่งพลาดล้มลงที่พื้นดิน หรือล้มลงที่แผ่นหิน ถูกก้อนกรวด หลักตอ ที่ไม่สม่ำเสมอ ที่มีตมมีโคลนย่อมมีอยู่ อาตมภาพขอถามว่า แผ่นดินโกรธหรือ จึงทำให้ผู้นั้นพลาดล้ม ? "
" แผ่นดินไม่ได้โกรธเลย ผู้เป็นเจ้า ความโกรธหรือความเลื่อมใสไม่มีแก่แผ่นดิน แผ่นดินไม่มีความยินดียินร้าย เขาพลาดล้มของเขาเอง"

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร สมเด็จพระพิชิตมารไม่มีความโกรธ ความยินดีร้ายอันใด แต่พระอัครสาวกทั้งสองนั้น ถูกขับไล่เพราะการกระทำผิดของตนต่างหาก อาตมภาพขอถามว่า ธรรมดามหาสมุทรย่อมไม่อยู่ร่วมกับซากศพ หรือจอกแหนสาหร่าย แต่อย่างใด มีแต่พัดเอาจอกแหนสาหร่าย ขึ้นไปบนฝั่งเสียโดยเร็ว มหาสมุทรนั้นโกรธหรือ จึงได้ทำอย่างนั้น ? "
" ไม่โกรธ ผู้เป็นเจ้า เพราะมหาสมุทรไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไร"

" ข้อนี้มีอุปมาฉันใด สมเด็จพระจอมไตรก็ไม่ทรงยินดียินร้ายแต่อย่างใด พระอัครสาวกทั้งสองนั้น ถูกขับไล่เพราะความผิดพลาดของตนต่างหาก สมเด็จพระผู้มีพระภาคมีแต่ทรงมุ่งประโยชน์สุข ได้ทรงขับไล่ด้วยทรงเห็นว่าภิกษุเหล่านี้ จักพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยอาการอย่างนี้ ขอถวายพระพร "

" สาธุ...พระนาคเสน โยมขอรับว่า ถูกอย่างพระผู้เป็นเจ้ากล่าวแล้วทุกประการ"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 05:33:58


   ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความเป็นสัพพัญญูของพระพุทธเจ้า

   พระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ตรัสถามว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า พระพุทธเจ้าเป็นพระสัพพัญญู แต่กล่าวไว้อีกว่า เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงขับไล่พระภิกษุสงฆ์ มี พระโมคคัลลาน์พระสารีบุตร เป็นหัวหน้าไม่ให้เช้ามาเฝ้า แล้วพวกกษัตริย์ศากยราชกับท้าวสหัมบดีพรหม ได้พร้อมกันเข้าไปเฝ้าทูลขอโทษต่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคำอุปมากับพืชและลูกโค

   ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อุปมาทั้งสองข้อ ที่ทำให้สมเด็จพระบรมศาสดาทรงอดโทษนั้น พระตถาคตเจ้าไม่ทรงทราบหรือ ถ้าไม่ทรงทราบจะว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูได้อย่างไร

   ถ้าทรงทราบ แต่ทรงพระประสงค์จะทดลองใจของภิกษุเหล่านั้นว่าจะคิดอย่างไรจึงได้ทรงขับไล่ ก็เป็นอันว่า พระตถาคตเจ้าไม่มีพระกรุณา
   ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิได้มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว "

   พระนาคเสนตอบว่า
   " ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าเป็นพระสัพพัญญูจริง แต่ว่าทรงอดโทษด้วยอุปมาทั้งสองข้อนั้น คือเทพยดามนุษย์ทั้งหลายย่อมทำให้พระตถาคตเจ้า ผู้เป็นเจ้าของแห่งธรรม ทรงเลื่อมใสได้ด้วยธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้แล้ว ขอถวายพระพร

   ภรรยาย่อมให้สามีดีใจ ด้วยทรัพย์ของสามีที่หามาได้เอง คือเมื่อได้เห็นภรรยานำทรัพย์ที่ตนหามาได้นั้นออกมาให้ดูก็ดีใจฉันใด พวกกษัตริย์ศากยราช กับท้าวสหัมบดีพรหม ก็ได้ทำให้พระตถาคตเจ้าทรงชื่นชมยินดี ด้วยธรรมของพระองค์เองฉันนั้น

   อีกประการหนึ่ง ช่างกัลบกผู้ตกแต่งพระเกศของพระราชา ก็ทำให้พระราชาทรงพอพระทัย ด้วยเครื่องประดับของพระราชาเอง ถึงกับได้รับพระราชทานรางวัลฉันใด พวกนั้นก็ได้ทำให้พระตถาคตเจ้า ทรงโปรดปรานด้วยธรรมของพระองค์เอง พระตถาคตเจ้าก็ได้ทรงแสดงความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ให้พวกนั้นฟังฉันนั้น

   อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนสัทธิวิหาริก ได้ทำให้อุปัชฌาย์ดีใจ ด้วยอาหารที่อุปัชฌาย์บิณฑบาตมาได้เอง คือเมื่ออุปัชฌาย์บิณฑบาตได้อาหารมาไว้แล้ว สัทธิวิหาริกก็จัดน้อมเข้าไปถวาย อุปัชฌาย์ก็ดีใจฉะนั้น ขอถวายพระพร "

   " สาธุ...พระนาคเสน โยมรับว่าถูกต้องดีแล้ว"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 05:44:56


   ปัญหาที่ ๕ ว่าด้วยบรรพชิตมีโอกาสได้มรรคผลมากกว่าฆราวาส

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธพจน์มีอยู่ว่า ฆราวาสก็ดี บรรพชิตก็ดี เมื่อหมั่นปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว ก็ย้อมได้บรรลุมรรคผลเหมือนกัน ฉะนี้มิใช่หรือ
   
   พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นดังพระองค์ตรัสนั้นแล

   ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น จะบวชทำไม  ต้องโกนผม โกนหนวด ต้องสำรวมกายวาจาใจ ส่วนฆราวาส
   มีของบำเรอสุขสบายทุกอย่างทุกประการ แต่เมื่อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว ก็ย่อมได้บรรลุมรรคผลเหมือนกัน ถ้าเป็นเช่นนี้ ฆราวาสจะมิดีกว่าหรือ

   ขอถวายพระพรมหาบพิตร   เพศบรรพชิตย่อมทรงคุณพิเศษ กว่าฆราวาส ยังมีทางที่จะได้บรรลุมรรคผลได้
   เพราะบรรพชิตไม่ต้องเสียเวลาแสวงหาสิ่งที่จำเป็น เช่นเครื่องนุ่งห่ม อาหาร หรือที่อยู่อย่างฆราวาส มีโอกาสที่จะพึงประพฤติมักน้อย สันโดษ ยินดีในที่สงัดเงียบ และตัดความกังวลทั้งหลายเสียได้ ไม่มีสิ่งบำเรอความสุขซึ่งจะมาหน่วงเหนี่ยวใจให้เกิดความยินดีและความอาลัย โอกาสที่จะพึงกระทำศีลสมาธิปัญญาให้บริบูรณ์ยิ่ง ๆ จึงมีได้

   ขอถวายพระพร ก็เมื่อบรรพชิตมีโอกาสได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบถึงอย่างนี้ บรรพชิตจะมิดีกว่าฆราวาสหรือ

   ข้าแต่พระคุณเจ้า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดีกว่า



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 05:50:29


ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องไม่มีที่อยู่ประจำและไม่มีอาลัย

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า
" การไม่มีที่อยู่ประจำไม่มีความอาลัยในสิ่งใดเป็นความเห็นของมุนี"

ดังนี้ แล้วตรัสอีกว่า
" บุคคลควรสร้างวิหารให้น่ายินดี ควรให้ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพหูสูตรมาอยู่ในวิหารนั้น"
ดังนี้ ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิควรแก้ไขให้สิ้นสงสัย"

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าได้ตรัสคำทั้งสองนั้น ไว้อย่างนั้นจริง ๆ คำที่ตรัสว่า " การไม่มีที่อยู่ประจำ ไม่มีความอาลัยในสิ่งใด เป็นความเห็นของมุนีนั้น " เป็นคำที่ตรัสออกไปด้วยทรงเห็นว่า สิ่งทั้งสองนั้นสมควรแก่สมณะ เพราะสมณะไม่ควรมีที่อยู่ประจำ ไม่ควรอาลัยในสิ่งใดควรทำตนเหมือนกับเนื้อในป่าฉะนั้น

ข้อที่ตรัสไว้ว่า
" บุคคลควรสร้างวิหารให้น่ายินดี แล้วให้ภิกษุผู้เป็นพหูสูตรทรงพระไตรปิฎกมาอยู่นั้น ตรัสด้วยทรงเล็งเห็นประโยชน์ ๒ ประการ คือ

ประการที่ ๑ ทรงเล็งเห็นว่า วิหารทาน การให้ที่อยู่ที่อาศัยเป็นทาน เป็นของที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญว่าดี พวกสร้างวิหารให้เป็นทาน อาจสำเร็จแก่พระนิพพาน พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อันนี้เป็นอานิสงส์ในการสร้างวิหารทานเป็นข้อแรก

ประการที่ ๒ เมื่อมีวิหารอยู่ ก็จักมีพระภิกษุผู้มีความรู้ มาอาศัยอยู่เป็นอันมากใครอยากพบเห็นก็จะพบเห็นได้ง่าย อันนี้เป็นอานิสงส์ในวิหารข้อที่สอง

แต่พระภิกษุไม่ควรมีความอาลัยเกี่ยวข้องในที่อยู่ จึงทรงสอน อย่างนั้น ขอถวายพระพร

" ถูกแล้ว พระนาคเสน"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 06:00:41


ปัญหาที่ ๗ ถามเรื่องสำรวมท้อง

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
" ภิกษุไม่ควรประมาทในอาหารที่ลุกขึ้นยืนรับ ควรเป็นผู้สำรวมท้อง"

ดังนี้แล้วตรัสอีกว่า
" ดูก่อนอุทายี บางคราวเราตถาคตได้ฉันอาหารเต็มเสมอขอบปากบาตร บางคราวก็ยิ่งกว่านั้น"

ดังนี้ ถ้าทรงสอนให้สำรวมท้อง คำที่ตรัสว่า
" บางคราวเสวยอาหารเต็มเสมอขอบปากบาตรและยิ่งกว่าก็มีนั้น" ก็ผิดไป

ถ้าไม่ผิด คำว่า " ควรสำรวมท้อง " ก็ผิดไป
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ ควรแก้ไขให้สิ้นสงสัยเช่นกัน"

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร คำที่ตรัสไว้ทั้งสองอย่างนั้น เป็นจริงทั้งนั้น ส่วนคำที่ตรัสว่า " ไม่ควรประมาทในอาหารที่ลุกขึ้นยืนรับ ควรเป็นผู้สำรวมท้องนั้น" เป็นถ้อยคำที่ปรากฏทั่วไปของพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัพพัญญูเจ้าทั้งหลาย

เพราะเหตุว่า ผู้ไม่สำรวมท้อง ย่อมทำบาปต่าง ๆ ได้ คือทำปาณาติบาติก็มี ทำอทินนาทานก็มี ทำกาเมสุมิจฉาจารก็มี กล่าวมุสาวาทก็มี ดื่มน้ำเมาก็มี ฆ่ามารดาบิดาก็มี ฆ่าพระอรหันต์ก็มี ทำสงฆ์ให้แตกกันก็มี ทำโลหิตุปบาทก็มี

พระเทวทัต ทำสงฆ์ให้แตกกัน ไม่ใช่เพราะไม่สำรวมท้องหรือ...

สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ จึงได้ทรงสอนให้สำรวมท้อง ผู้สำรวมท้องย่อมล่วงรู้อริยสัจ ๔ สำเร็จ สามัญผล ๔ มีความชำนาญในปฏิสัมภิทา ๔ สมาบัติ ๔ อภิญญา ๖ ทรงไว้ซึ่งสมณธรรมทั้งสิ้น ลูกนกแขกเต้าเป็นผู้สำรวมท้อง จึงได้ทำให้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์หวั่นไหว ทำให้พระอินทร์เสด็จลงมาหา ใช่หรือไม่ สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นอานิสงส์ต่าง ๆ อย่างนี้จึงได้ทรงสอนให้สำรวมท้อง

ส่วนข้อที่ตรัสว่า" บางคราวได้เสวยอาหารเสมอขอบปากบาตรก็มี ยิ่งกว่าก็มีนั้น" เป็นคำที่พระตถาคตเจ้าผู้สำเร็จกิจทั้งปวงแล้วได้ตรัสไว้ด้วยมุ่งหมายพระองค์เองเท่านั้น ผู้เป็นโรคเมื่อต้องการหายจากโรค ควรงดเว้นของแสลงฉันใด ผู้ยังมีกิเลสอยู่ ยังไม่เห็นของจริง ก็ควรสำรวมท้องฉันนั้น อีกอย่างหนึ่ง แก้วมณีที่บริสุทธิ์ผ่องใสอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องขัดสีฉันใด พระพุทธเจ้าผู้สำเร็จพุทธวิสัยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องห้ามในพุทธจริยาทั้งหลายฉันนั้น ขอถวายพระพร "

" ถูกดีแล้ว พระนาคเสน"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 06:09:55


ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องปกปิดพระธรรมวินัย

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จมหามุนีได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า
" ธรรมวินัยอันพระตถาคตเจ้าประกาศไว้แล้ว มีผู้เปิดเผยจึงสว่างไสว เมื่อปิดก็ไม่สว่างไสว " แล้วตรัสไว้อีกว่า

" พระปาฏิโมกข์และพระวินัยทั้งสิ้น เป็นของอันภิกษุทั้งหลายปกปิดแล้ว"
ดังนี้ ถ้าบุคคลได้ความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนา เปิดพระวินัยบัญญัติไว้ จะทำให้งามดี การศึกษา การสำรวมในพระวินัยบัญญัติและศีลคุณ อาจารบัญญัติ อรรถรส ธรรมรส วิมุตติรส จะปรากฏรุ่งเรืองขึ้น

ถ้าคำว่า " เปิดพระธรรมวินัยไว้ จะรุ่งเรืองดี " เป็นคำถูก คำว่า " พระปาฏิโมกข์และพระวินัยทั้งสิ้น เป็นของอันภิกษุทั้งหลายปกปิดแล้ว" ก็เป็นของผิด

ถ้าคำว่า " เปิดพระธรรมวินัยไว้ จะรุ่งเรืองดี " เป็นคำผิด คำว่า " พระปาฏิโมกข์และพระวินัยทั้งสิ้น เป็นของอันภิกษุทั้งหลายปกปิดแล้ว" ก็เป็นของถูก
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ ควรแก้ไข"

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้น ถูกต้องทั้งนั้น ก็แต่กว่าการปิดนั้น ไม่ได้ปิดทั่วไปปิดมีเขตแดนต่างหาก คือสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปิดพระปาฏิโมกข์ อันมีสีมาเป็นเขตแดน ด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ

๑. ปิดตามวงค์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อน
๒. ปิดด้วยความเคารพพระธรรม
๓. ปิดด้วยความเคารพภูมิของภิกษุ

๑. ปิดตามวงค์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อน คืออย่างไร... คือพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ทรงแสดง พระปาฏิโมกข์ ในท่ามกลางภิกษุทั้งหลาย ปิดเฉพาะพวกนอกจากภิกษุเท่านั้น เหมือนกับขัตติยมายา คือประเพณีของกษัตริย์ทั้งหลาย ย่อมรู้เฉพาะในวงศ์กษัตริย์เท่านั้น ปกปิดพวกอื่นไม่ให้รู้

๒. ปิดเพราะเคารพพระธรรมนั้น คืออย่างไร...คือพระธรรมเป็นของควรเคารพเป็นของหนัก ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระธรรมจึงจะสำเร็จธรรมได้ ถ้าไม่ปกปิดไว้ ผู้ไม่ปฏิบัติชอบในระบอบธรรมวินัย คือพวกคฤหัสถ์ก็จะติเตียนได้ จึงทรงโปรดให้ปกปิดพระปาฏิโมกข์ไว้ ด้วยเคารพพระธรรมว่า อย่าให้พระธรรมอันเป็นแก่นอันประเสริฐนี้ เป็นที่ดูหมิ่นดูแคลนดูถูกติเตียน ของพวกที่ไม่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลย

เปรียบเหมือนจันทร์แดง อันมีแก่นประเสริฐ สมควรแก่ขัตติยกัญญาเท่านั้น ฉะนั้น

๓. ปิดเพราะความเคารพภูมิของภิกษุนั้น คืออย่างไร...คือความเป็นภิกษุเป็นของมีคุณ ชั่งไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ตีราคาไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเสมอ เปรียบเหมือนทรัพย์อันประเสริฐอย่างใดอย่างหนึ่ง คือเครื่องนุ่งห่ม เครื่องปู ม้า ช้าง รถ ทอง เงิน ที่ช่างทองตกแต่งดีแล้ว ย่อมสมควรแก่พระราชาทั้งหลายฉันใด คุณธรรม คือการศึกษาเล่าเรียน การสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ย่อมสมควรแก่ภิกษุสงฆ์ฉันนั้น ขอถวายพระพร "

" ถูกดีแล้ว พระนาคเสน"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 06:14:41


ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องความหนักเบาแห่งมุสาวาท

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
" เป็นปาราชิกเพราะแกล้งกล่าวเท็จ"

แต่ตรัสอีกว่า " แกล้งกล่าวเท็จเป็นอาบัติเบา แสดงในสำนักภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้"
ความ ๒ ข้อนี้ต่างกันอย่างไร เหตุไรข้อหนึ่งจึงเป็น อเตกิจฉา คือแก้ไขไม่ได้ อีกข้อหนึ่งเป็น สเตกิจฉา คือแก้ไขได้

ถ้าที่ตรัสว่า " แกล้งกล่าวเท็จเป็นปาราชิก " ถูกแล้ว คำที่ตรัสว่า " แกล้งกล่าวเท็จเป็นอาบัติเบา " ก็ผิดไป
ถ้าที่ตรัสว่า " แกล้งกล่าวเท็จเป็นอาบัติเบา " นั้นถูก ที่ตรัสว่า " แกล้งกล่าวเท็จเป็นปาราชิก" นั้นก็ผิดไป
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ควรแก้ไข "

พระนาคเสนตอบว่า " ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสว่า " แกล้งกล่าวเท็จเป็นปาราชิก " นั้นก็ถูก ที่ตรัสว่า " แกล้งกล่าวเท็จเป็นอาบัติเบา " นั้นก็ถูก
เพราะว่าการแกล้งกล่าวเท็จนั้น เป็นของหนักและเบาตามวัตถุ มหาบพิตรจะเข้าพระทัยความข้อนี้อย่างไร ถ้ามีบุรุษคนหนึ่งตบตีบุรุษอีกคนหนึ่งด้วยมือ พระองค์จะทรงลงโทษแก่ผู้ตบนั้นอย่างไร ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าบุรุษนั้นไม่ขอโทษก็จะต้องไหมเขา เป็นเงิน ๑ กหาปณะเป็นอย่างมาก "
" ขอถวายพระพร ถ้าบุรุษคนเดียวกันนั้นเอง ตีมหาบพิตรด้วยฝ่ามือ บุรุษนั้นจะได้รับโทษอย่างไร ? "
" ข้าแต่พระนาคเสน ต้องให้ตัดมือบุรุษนั้นจนกระทั่งถึงตัดศีรษะ ริบบ้านเรือน ให้ฆ่าเสียถึง ๗ ชั่วตระกูล "
" ขอถวายพระพร การตบตีด้วยมืออย่างเดียวกัน เหตุไฉนจึงมีโทษหนักเบากว่ากันล่ะ ? "

" อ๋อ...เพราะเป็นเหตุด้วยวัตถุ "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร การแกล้งกล่าวเท็จ ก็มีโทษหนักเบาตามวัตถุขอถวายพระพร "

" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 06:32:09


ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงเรื่องผู้ควรแก่การขอ

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์ได้ตรัสประทานไว้ว่า " เราเป็นพราหมณ์ ผู้ควรแก่การขอ ผู้มีมืออันล้างไว้เนือง ๆ ผู้ทรงไว้ซึ่งร่างกายสุดท้าย ผู้เยี่ยม"

แล้วตรัสอีกว่า " พระพากุละเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของเรา ในทางมีอาพาธน้อย " ดังนี้

อาพาธได้เกิดในพระวรกายของพระพุทธเจ้าหลายครั้ง ถ้าพระตถาคตเจ้าเป็นผู้เยี่ยมจริง คำที่ว่า " พระพากุละเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวกของเรา ในทางมีอาพาธน้อย " ก็ผิดไป ถ้าพระพากุละเป็นผู้มีอาพาธน้อยจริงคำที่ว่า " พระตถาคตเจ้าเป็นผู้เยี่ยม" ก็ผิดไป
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ สมควรแก้ไขอีก "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสไว้ทั้งสองนั้นถูกทั้งนั้น ข้อที่ตรัสไว้นั้น เป็นความดีภายนอกต่างหาก คือพระสาวกทั้งหลายที่ไม่นอนเลย ได้แต่ยืนกับเดินเท่านั้นตลอดวันก็มี ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้ามีทั้งทรงยืน เดิน นั่ง นอน สาวกเหล่านั้น จึงมีการยืน กับการเดินนั้น เป็นคุณพิเศษ

พวกสาวกที่นั่งฉันในอาสนะเดียว ถึงจะเสียชีวิตก็ไม่ยอมนั่งฉันในอาสนะที่สองก็มี ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเสวยในอาสนะที่สองก็ได้ พวกนั้นจึงมีการนั่งฉันในอาสนะเดียวนั้นเป็นคุณวิเศษ

ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่าเป็นผู้เยี่ยมนั้น คือเยี่ยมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ทศพลญาณ เวสารัชชญาณ พุทธธรรม ๑๘ ที่ว่าเป็นผู้เยี่ยมทรงหมายพุทธวิสัยทั้งสิ้น ในหมู่มนุษย์ ผู้หนึ่งมีชาติตระกูลสูงผู้หนึ่งมีทรัพย์ ผู้หนึ่งมีวิชา ผู้หนึ่งมีศิลปะ ผู้หนึ่งแกล้วกล้า ผู้หนึ่งเฉียบแหลม มีคุณวิเศษต่าง ๆ กัน แต่พระราชาย่อมสูงสุดกว่าบุรุษเหล่านั้นฉันใด สมเด็จพระจอมไตรก็เป็นผู้ล้ำเสิศประเสริฐสุดกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น พระพากุละผู้มีอาพาธน้อย จึงเลิศกว่าผู้อื่นในทางอาพาธน้อยเท่านั้น ไม่ใช่เลิศกว่าผู้อื่นในสิ่งทั้งปวง ขอถวายพระพร "

" ถูกแล้วพระนาคเสน โยมรับรองว่าถูกต้องดี"

จบวรรคที่ ๔



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 06:47:37


ปัญหาที่ ๑ ถามถึงอำนาจฤทธิ์และกรรม

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

" บรรดาภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา มหาโมคคัลลาน์เป็นผู้เลิศในทางฤทธิ์ " แล้วมีปรากฏว่า พระมหาโมคคัลลาน์นั้นถูกพวกโจรทุบตีจนศีรษะแตก กระดูก เส้นเอ็น สมอง แหลกละเอียด เหมือนกับเมล็ดข้าวสาร แล้วพระมหาโมคคัลลาน์ก็ปรินิพพานด้วยเหตุนั้น ดังนี้

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระโมคคัลลาน์เป็นผู้เลิศในทางฤทธิ์จริง ข้อที่ว่า
" พวกโจรทุบตีแหลกละเอียดจนปรินิพพาน " นั้นก็ผิด
ถ้าข้อที่ว่า " ถูกพวกโจรทุบตีแหลกละเอียดจนปรินิพพาน " นั้นถูก
ข้อที่ว่า " พระมหาโมคคัลลาน์เป็นผู้เลิศในทางฤทธิ์ " นั้นก็ผิด พระมหาโมคคัลลาน์ไม่สามารถกำจัดพวกโจรอันจักมีแก่ตนด้วยฤทธิ์ได้หรือ...ไม่อาจเป็นที่พึ่งของมนุษย์โลกเทวโลกได้หรือ...
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ ควรแก้ไขให้สิ้นสงสัยเช่นกัน "

พระนาคเสนชี้แจงว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสว่า " พระมหาโมคคัลลาน์เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ " นั้นก็ถูก ข้อที่ว่า " พระมหาโมคคัลลาน์ถูกโจรทุบตีถึงปรินิพพาน " นั้นก็ถูก แต่ข้อนั้นเป็นด้วย กรรม เข้ายึดถือ "

" ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งทั้งสอง คือ วิสัยของผู้มีฤทธิ์ ๑ ผลของกรรม ๑ เป็นอจินไตยใคร ๆ ไม่ควรคิดไม่ใช่หรือ ? "

" ขอถวายพระพร สิ่งที่ไม่ควรคิดทั้งสองอย่างนี้ อย่างหนึ่งมีกำลังมากกว่า ข้อนี้เปรียบเหมือนพระราชากับประชาชน พระราชองค์เดียว ย่อมมีอำนาจครอบประชาชนฉันใด ผลของกรรมอันมีกำลังยิ่งกว่า ก็ครอบสิ่งทั้งปวงฉันนั้น

กิริยาอย่างอื่นของผู้ที่กรรมเข้ายึดถือแล้ว ย่อมไม่ได้โอกาส มีบุรุษคนหนึ่งกระทำผิดพระราชาอาชญาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ย่อมไม่มีใครช่วยได้

มารดาบิดา พี่หญิงพี่ชาย มิตรสหาย ก็ช่วยไม่ได้ พระราชาต้องทรงลงโทษแก่ผู้นั้น ตามความผิดของเขาฉันใด ผลของกรรมก็มีกำลังแรงกว่าฤทธิ์ ย่อมครอบงำฤทธิ์ได้ฉันนั้น

อีกประการหนึ่ง เมื่อไฟไหม้ป่าลุกลามมาใหญ่ ถึงจะตักน้ำไปดับตั้งพันโอ่ง ก็ไม่อาจดับได้ สู้ไฟป่านั้นไม่ได้ เพราะไฟป่ามีกำลังมากกว่าฉันใด ผลของกรรมก็มีกำลังมากกว่าฤทธิ์ ครอบงำฤทธิ์ได้ฉันนั้น

เพราะฉะนั้นแหละ มหาบพิตร พระมหาโมคคัลลาน์ผู้ที่กรรมเข้ายึดถือแล้ว จึงถูกพวกโจรทุบตี ไม่สามารถกางกั้นได้ด้วยฤทธิ์ "

" สาธุ...พระนาคเสน โยมรับว่าถูกต้องดีแล้ว"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 06:58:49


ปัญหาที่ ๒ ถามถึงธรรมดาของพระโพธิสัตว์

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสไว้ในธัมมตาปริยายว่า
" มารดาบิดาของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในปางก่อนย่อมเป็นนิตตะ คือแน่นอน การตรัสรู้ก็แน่นอน อัครสาวกทั้งสองก็แน่นอน พระโอรสก็แน่นอน อุปัฏฐากก็แน่นอน" ดังนี้

แต่มีกล่าวอีกว่า พระโพธิสัตว์ผู้ยังประทับอยู่ในดุสิตสวรรค์ได้เล็งดู มหาวิโลกนะ ๘ คือเล็งดูกาลเวลา ๑ เล็งดูทวีป ๑ เล็งดูประเทศ ๑ เล็งดูพระชนนี ๑ ตระกูล ๑ อายุ ๑ เดือน ๑ การเสด็จออกบรรพชา ๑ ดังนี้

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เมื่อญาณยังไม่แก่กล้าการตรัสรู้ย่อมไม่มี เมื่อญาณแก่กล้าแล้ว ไม่อาจรอเวลาพิจารณาได้ เหตุไรพระโพธิสัตว์จึงเล็งดูเวลาว่า เป็นเวลาที่เราสมควรจะลงไปเกิดในมนุษย์หรือไม่...

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้ามารดาบิดาของพระโพธิสัตว์แน่นอนแล้ว ข้อที่ว่า " เล็งดูตระกูลบิดามารดานั้น" ก็ผิด
ถ้าข้อที่ว่า " เล็งดูตระกูลบิดามารดานั้น " ถูก ข้อที่ว่า " มารดาบิดาของพระโพธิสัตว์แน่นอนนั้น " ก็ผิด
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ มาถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว พระผู้เป็นเจ้าควรแก้ไข

" พระนาคเสนวิสัชนาว่า
" ขอถวายพระพร มารดาบิดาของพระโพธิสัตว์เป็นของแน่นอนนั้นก็จริง พระโพธิสัตว์เล็งดูตระกูลมารดาบิดานั้นก็จริง การเล็งดูตระกูลของมารดาบิดานั้นเล็งดูอย่างไร...คือเล็งดูว่ามารดาบิดาของเราเป็นกษัตริย์หรือพราหมณ์

ผู้ที่เล็งดูมี ๘ จำพวก
สิ่งที่เป็นอนาคต แต่ควร
เล็งดูก่อนนั้นมีอยู่ ๘ อย่าง คือ

๑. พ่อค้า ต้องเล็งดูสินค้าก่อน
๒. ช้าง ต้องคลำหนทางด้วยงวงก่อน
๓. พ่อค้าเกวียน ต้องพิจารณาดูท่าข้ามก่อน
๔. ต้นหน คือนายท้ายสำเภา ต้องพิจารณาดูฝั่งเสียก่อน

๕. แพทย์ ต้องตรวจดูอายุก่อน จึงเข้าใกล้คนไข้
๖. ผู้จะข้ามสะพาน ต้องดูว่าสะพานมั่นคงหรือไม่เสียก่อน
๗. พระภิกษุ ต้องพิจารณาเสียก่อนจึงฉัน
๘. พระโพธิสัตว์ชาติสุดท้าย ต้องพิจารณาดูตระกูลเสียก่อน ดังนี้ ขอถวายพระพร "

" สาธุ...พระนาคเสน โยมรับว่าถูกต้อง"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 07:22:41


ปัญหาที่ ๓ ถามถึงเรื่องฆ่าตัวเอง

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเสจ้าได้ตรัสไว้ว่า

" ภิกษุไม่ควรทำตนให้ตกไป  ภิกษุใดทำตนให้ตกไป ต้องปรับอาบัติภิกษุนั้น ตามสมควรแก่เหตุการณ์"

แต่พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้อีกว่า เมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า จะทรงแสดงธรรมแก่สาวกทั้งหลายไม่ว่าในที่ใด ๆ ย่อมทรงแสดงเพื่อตัดการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้ขาดไป ผู้ใดพ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ ก็ทรงสรรเสริญผู้นั้นด้วยวาจาสรรเสริญอย่างเยี่ยม

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามไม่ให้ภิกษุทำลายตนเองนั้นถูก ข้อที่ได้ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ตัดขาด ซึ่งเกิดแก่ เจ็บ ตาย ก็ผิด

ถ้าการทรงแสดงธรรม เพื่อตัดการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้ขาดนั้นเป็นของถูก ข้อที่ห้ามไม่ให้ทำลายตัวเองก็ผิด
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ ควรแก้ไขให้สิ้นสงสัยต่อไป "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสห้ามไม่ให้ภิกษุทำลายตัวเองนั้นก็ถูก ข้อที่ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ตัดการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นให้ขาดก็ถูก แต่ในข้อนั้น ย่อมมีเหตุการณ์ที่ให้ทรงห้ามและทรงชักนำ ขอถวายพระพร

ผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ย่อมเป็นผู้ทำกิเลสให้พินาศ เหมือนกับยาดับพิษงู
ย่อมดับพิษร้าย คือกิเลสของสัตว์ทั้งหลาย เหมือนกับยาทั่วไป
ย่อมกำจัดเหงื่อไคล คือกิเลสของสัตว์ทั้งหลาย เหมือนกับน้ำ
ย่อมให้ได้สมบัติอันประเสริฐทั้งปวง เหมือนกับแก้วมณีโชติ

ย่อมทำให้ข้ามแม่น้ำใหญ่ทั้ง ๔ เหมือนกับเรือ
ย่อมพาข้ามที่กันดาร คือการเกิด เหมือนกับนายเกวียน
ย่อมดับไฟ ๓ กองของสัตว์ทั้งหลาย เหมือนกับลม
ย่อมทำให้ความปรารถนาของสัตว์ทั้งหลายเต็มบริบูรณ์ เหมือนกับฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมา

ย่อมให้สัตว์ทั้งหลายศึกษาสิ่งที่เป็นกุศล เหมือนอาจารย์
ย่อมบอกทางปลอดภัยให้แก่สัตว์ทั้งหลาย เหมือนกับผู้นอกทิศบอกทาง

สมเด็จพระพิชิตมารผู้มีพระคุณมาก มีพระคุณเป็นเอนก มีพระคุณหาประมาณมิได้ เต็มไปด้วยกองพระคุณ เป็นผู้ทำความเจริญให้แก่สัตว์ทั้งหลายอย่างนี้ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามไม่ให้ทำลายตัวเอง ด้วยทรงพระมหากรุณาว่า อย่าให้ผู้มีศีลพินาศไป พระกุมารกัสสปเถระ ผู้แสดงธรรมได้อย่างวิจิตร เมื่อจะแสดงโลกหน้าถวายแก่ พระเจ้าปายาสิ ได้กล่าวไว้ว่า

" สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีศีลธรรมอันงาม อยู่ในโลกนี้ตลอดกาลนาน ด้วยอาการใด ๆ ก็ตาม ก็มีแต่ปฏิบัติเพื่อให้เป็นประโยชน์สุขแก่สัตวโลกทั้งหลาย ด้วยอาการนั้น ๆ "

แต่เพราะเหตุไร สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงแสดงว่า
" ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โศกเศร้ารำพัน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คับแค้นใจเป็นทุกข์

การประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การตายของมารดาบิดา พี่น้อง บุตร ธิดา ญาติ ก็เป็นทุกข์

ความเสื่อม
ญาติ ความเกิดโรค ความเสียทรัพย์ ความเสียศีล ความเสียทิฏฐิ ราชภัย โจรภัย เวรภัย ทุพภิกขภัย อัคคีภัย อุทกภัย อุมมิภัย คือลูกคลื่น กุมภิรภัย คือจระเข้ อาวัฏฏภัย คือน้ำวน สุสุกาภัย ปลาร้าย อัตตานุวาทภัย ติเตียนตนเอง ปรานุวาทภัย ถูกผู้อื่นติเตียน อสิโลกภัย เสื่อมลาภ ปริสารัชชภัย ครั่นคร้ามในที่ประชุม ทัณฑภัย ถูกราชทัณฑ์ ทุคคติภัย ทุคติอาชีวิตภัย หาเลี้ยงชีพ มรณภัย ถึงซึ่งความตาย เหล่านี้ทั้งสิ้น เป็นทุกข์ทั้งนั้น

การถูก
ตัดมือ ตัดเท้า ตัดหู ตัดจมูก ตัดปาก การถูกถลกหนังศีรษะ แล้วเอาก้อนเหล็กแดงวางลงไป การถลกหนังทั้งตัวแล้วขัดด้วยหินหยาบ ๆ ให้ขาวเหมือนสังข์

การทำปากราหู คือเอาขอเหล็กงัดปากขึ้นแล้วจุดประทีปทิ้งเข้าไปในปากให้ไฟลุกโพลงอยู่ในปาก
การทำเปลวไฟให้สว่าง คือผู้ขี้ริ้วชุบน้ำมัน พันตลอดตัวแล้วจุดไฟ

การ
จุดนิ้วมือต่างประทีป คือเอาผ้าชุบน้ำมันพันนิ้วมือ แล้วจุดให้เหมือนประทีป
การให้นุ่งผ้าแกะ คือถลกหนังตั้งแต่คอลงไปจนถึงข้อเท้า แล้วไล่ให้วิ่ง ให้วิ่งเหยียบหนังของตัวเองไป

การให้
นุ่งผ้าเปลือกปอ คือถลกหนังตั้งแต่ศีรษะลงไปพักไว้ที่สะเอวตอนหนึ่ง ถลกจากสะเอวไปถึงข้อเท้าตอนหนึ่ง ทำให้เป็นเหมือนท่อนล่างนุ่งผ้าเปลือกปอ

การทำให้ยืนแบบแพะ คือให้คุกเข่าคุกศอกลงบนหลาวเหล็ก แล้วเสียบปักไว้กับพื้นดิน
การตกเบ็ด คือเอาเบ็ดเกี่ยวเนื้อให้ตัวดึงให้หนัง เนื้อ เอ็น ขาดออกไปทีละชิ้น ๆ

การ
ทำให้เป็นรูปเงิน คือเอามีดคม ๆ เชือดเนื้อออกไปทีละก้อน ๆ เท่ากับรูปเงินกลม ๆ
การรดด้วยน้ำแสบ คือฟันแทงให้ทั่วตัวแล้วเอาน้ำแสบน้ำเค็มรดราดลงไป จนกระทั่งหนัง เนื้อ เอ็น หลุดออกไปเหลือแต่กระดูก

การตอก
ลิ่ม คือให้นอนตะแคงลง แล้วเอาหลาวเหล็กแทงช่องหูข้างบน ให้ทะลุลงไปปักแน่นอยู่กับพื้นดินข้างล่าง แล้วจับเท้าหมุนเวียนไปรอบ ๆ
การ
ทำให้เหมือนมัดฟาง คือเชือดผิวหนังออกจนหมด ทุบกระดูกให้แตกด้วยก้อนหินแล้วจับที่ผมดึงขึ้น ผูกผมไว้ให้เหมือนกับมัดฟาง

การเอาน้ำมันเดือด ๆ เทรดตัว
การให้สุนัขกัดกิน
การปักไว้บนหลาว เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นทุกข์ใหญ่ทั้งนั้น
สัตว์โลกทั้งหลายย่อมได้รับทุกข์ต่าง ๆ อย่างที่ว่ามานี้

เมื่อ
ฝนตกลงที่ภูเขาหิมพานต์ ก็มีน้ำไหลหลั่งไปสู่แม่น้ำ พัดเอาหิน กรวด ไม้แห้ง กิ่งไม้ รากไม้ น้อยใหญ่ในป่า ให้ไหลไปฉันใด ทุกข์ต่าง ๆ เป็นอันมากอย่างที่กล่าวมานี้ ก็ไหลไปตามกระแสน้ำ คือสงสารฉันนั้น

การเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์ การไม่เวียนว่ายตายเกิดเป็นสุข เมื่อสมเด็จพระบรมสุคตจะทรงแสดงคุณการไม่เวียนว่ายตายเกิด และทรงแสดงโทษแห่งการเวียนว่ายตายเกิด จึงได้ทรงแสดงทุกข์ต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก เพื่อให้สำเร็จการไม่เวียนว่ายตายเกิด เพื่อให้พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตายไป อันนี้แหละ เป็นเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงทุกข์ไว้ต่าง ๆ ขอถวายพระพร "

" สาธุ...พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ปัญหาข้อนี้ถูกต้องดีแล้ว"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 07:40:15


ปัญหาที่ ๔ ถามเกี่ยวกับอานิสงส์เมตตา

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า " เมตตาเจโตวิมุตติ " คือความหลุดพ้นแห่งจิตด้วยเมตตา อันบุคคลอบรมแล้ว ทำให้มีแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เหมือนยานพาหนะแล้ว ทำให้เป็นที่ตั้งแล้ว ตั้งไว้เนือง ๆ แล้ว สะสมไว้ดีแล้ว อบรมไว้แก่กล้าแล้ว ย่อมหวังได้อานิสงส์ ๑๑ ประการคือ

๑. นอนหลับสบาย
๒. เวลาตื่นก็สบาย
๓. ไม่ฝันลามก
๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย

๖. เทวดาทั้งหลายรักษา

๗. ไฟไม่ไหม้ ไม่ถูกพิษและอาวุธ
๘. หน้าตาเบิกบาน ใจมั่นคง
๙. สีหน้าผ่องใส
๑๐. ไม่หลงใหลในเวลาตาย
๑๑. เมื่อยังไม่สำเร็จอรหันต์ ก็ได้เกิดในพรหมโลก

แล้วมีเรื่องกล่าวไว้อีกว่า สุวรรณสาม ผู้อยู่ในเมตตา ผู้มีหมู่เนื้อเป็นบริวาร อยู่ในป่าใหญ่ ถูกพระยาปิลยักษ์ ยิงด้วยลูกศรอันอาบด้วยยาพิษ ล้มสลบอยู่ในที่นั้นทันที ดังนี้

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอานิสงส์เมตตามีอยู่อย่างนั้นจริง เรื่องที่ว่าสุวรรณสามลูกศรพระยาปิลยักษ์นั้นก็ผิด
ถ้าเรื่องที่ว่าสุวรรณสามถูกศรพระยาปิลยักษ์ นั้นถูก ข้อที่ว่า ถึงอานิสงส์เมตตานั้นก็ผิด
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ เป็นปัญหาละเอียดลึกซึ้ง ขอได้โปรดแก้ให้สิ้นสงสัยแก่บุคคลในภายหน้าด้วย"

พระนาคเสนแก้ไขว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ว่า ด้วยอานิสงส์เมตตานั้นก็ถูก ที่ว่าสุวรรณสามถูกลูกศรพระยาปิลยักษ์นั้นก็ถูก แต่ว่าในข้อนั้นมีเหตุการณ์อยู่

เหตุการณ์นั้นคืออะไร...คือคุณอานิสงส์เหล่านั้น ไม่ใช่คุณอานิสงส์ของบุคคล เป็นคุณอานิสงส์แห่งเมตตาภาวนาต่างหาก เมื่อสุวรรณสามยกหม้อน้ำขึ้นบ่านั้น เผลอไปไม่ได้เจริญเมตตา คือในขณะใด บุคคลเจริญเมตตาอยู่ ในขณะนั้น ไฟก็ไม่ไหม้ ยาพิษก็ไม่ถูก อาวุธก็แคล้วคลาด ผู้มุ่งทำร้ายก็ไม่ได้โอกาส จึงว่าคุณเหล่านั้น เป็นคุณแห่งเมตตาภาวนา ไม่ใช่คุณแห่งบุคคล ขอจงทรงทราบด้วยอุปมาดังนี้

เปรียบประดุจบุรุษผู้แกล้วกล้า สวมเกราะแน่นหนาดีแล้วย่อมเข้าสู่สงคราม เมื่อบุรุษย่างเข้าสู่สงคราม ลูกศรที่ข้าศึกยิงมาถึงถูกก็ไม่เข้า การที่ลูกศรถูก ไม่เข้านั้น ไม่ใช่คุณความดีของผู้แกล้วกล้าในสงคราม เป็นคุณความดีของเกราะต่างหาก ข้อนี้มีอุปมาฉันใด อานิสงส์ ๑๑ อย่างนั้นก็ไม่ใช่คุณความดีของบุคคล เป็นคุณความดีของเมตตาภาวนาต่างหากฉันนั้น

อีกประการหนึ่ง เหมือนกับบุรุษมีรากยาทิพย์หายตัว ยังอยู่ในมือตราบใดก็ไม่มีใครเห็นตราบนั้น การไม่มีผู้เห็นนั้น ไม่ใช่เป็นความดีของบุรุษนั้น เป็นความดีของรากยานั้นต่างหาก "
" น่าอัศจรรย์ ! พระนาคเสน เป็นอันว่า เมตตาภาวนา ป้องกันสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงได้ "

" ขอถวายพระพร เมตตาภาวนาย่อมนำคุณความดีทั้งสิ้นมาให้แก่บุคคลทั้งหลาย ผู้ที่ต้องการอานิสงส์เมตตา ควรเจริญเมตตา ขอถวายพระพร"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 08:04:33


ปัญหาที่ ๕ ถามถึงความเสมอกันและไม่เสมอกันแห่งกุศลและอกุศล

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน วิบากของบุคคลทั้งสอง คือผู้ทำกุศลกับทำอกุศล มีผลเสมอกันหรือต่างกันอย่างไร ? "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ต่างกัน คือกุศลมีสุขเป็นผล ทำให้ไปเกิดในสวรรค์ อกุศลมีทุกข์เป็นผล ทำให้ไปเกิดในนรก "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวไว้ว่า พระเทวทัต มีแต่ดำอย่างเดียว ประกอบด้วยความดำอย่างเดียว ส่วน พระโพธิสัตว์ มีแต่ขาวอย่างเดียว ประกอบด้วยของขาวอย่างเดียว

แต่มีกล่าวไว้อีกว่า พระเทวทัตเสมอกันกับพระโพธิสัตว์ ด้วยยศและพรรคพวกในชาติ ในนั้น ๆ ก็มี ยิ่งกว่าก็มี

อย่างเช่น คราวหนึ่ง พระเทวทัตได้เกิดเป็นบุตรปุโรหิตของพระเจ้าพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เกิดในตระกูลเทหยากเยื่อ แต่เป็นผู้มีวิชา ร่ายวิชาให้เกิดผลมะม่วงได้นอกฤดูกาล เป็นอันว่า คราวนั้น พระโพธิสัตว์ต่ำกว่าพระเทวทัตด้วยชาติตระกูล

ในคราวหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระโพธิสัตว์เกิดเป็นช้างของพระเจ้าแผ่นดินองค์นั้น
อีกเรื่องหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นมนุษย์ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นวานร

อีกเรื่องหนึ่ง พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างฉัททันต์ พระเทวทัตเกิดเป็นนายพรานฆ่าพญาช้างฉัททันต์นั้นเสีย
อีกเรื่องหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพรานป่า พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกกระทา

อีกเรื่องหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็น " พระเจ้ากาสี " ที่พันธุมตีนคร พระโพธิสัตว์เกิดเป็น " ขันติวาทีฤๅษี" ถูกพระเจ้ากาสีให้ตัดมือตัดเท้าเสีย
เรื่องเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า พระเทวทัตยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์ด้วยชาติ ตระกูล ยศ ศักดิ์ บริวารก็มี และยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น

เรื่อง พระเทวทัตเกิดเป็นชีเปลือย ชื่อว่า " โกรัมภิกะ" พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญานาค ชื่อว่า " ปันทรกะ "
อีกคราวหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็น " ชฎิลดาบส " พระโพธิสัตว์เกิดเป็นสุกรใหญ่

อีกชาติหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นพระราชา ผู้ทรงพระนามว่า " อุปริปราช " ผู้เที่ยวไปในอากาศได้ พระโพธิสัตว์เกิดเป็น " กบิลพราหมณ์ราชครู "
อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นมนุษย์ชื่อว่า " สามะ" พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาเนื้อชื่อว่า " รุรุ"

อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นนายพราน ชื่อว่า " สุสามะ " พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างเผือก ถูกพระเทวทัตตามไปเลื่อยงาถึง ๗ ครั้ง
อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพญาสุนัขจิ้งจอก เป็นใหญ่กว่าพระราชาทั้งหลายในชมพูทวีป ส่วนพระโพธิสัตว์เกิดเป็น " วิธุรบัณฑิต "

เรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น ก็ชี้ให้เห็นว่าพระเทวทัตยิ่งกว่าด้วยชาติ ตระกูล ยศ ศักดิ์ บริวาร

ที่เสมอกันก็มี คือ ชาติหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นพญาช้างฆ่าลูกนางนกไส้ พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นพญาช้างอีกฝูงหนึ่งเหมือนกัน
คราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นยักษ์ ชื่อว่า " อธรรม " พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นยักษ์เหมือนกัน ชื่อว่า " สุธรรม "

คราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นนายเรือเป็นใหญ่กว่าตระกูล ๕๐๐ พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นนายเรือ เป็นใหญ่กว่าตระกูล ๕๐๐ เหมือนกัน

อีกคราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นพญาเนื้อชื่อว่า " สาขะ " พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นพญาเนื้อเหมือนกันชื่อว่า " นิโครธะ "
ที่ยิ่งหย่อนกว่ากันก็มี เช่น คราวหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็นปุโรหิต ชื่อว่า " กัณฑหาลพราหมณ์ " พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชกุมารชื่อว่า " พระจันทกุมาร "
อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน ๕๐๐ พระโพธิสัตว์ก็เกิดเป็นหัวหน้าพ่อค้าเกวียน ๕๐๐ เหมือนกัน

ชาติหนึ่งพระเทวทัตเกิดเป็น " อลาตเสนาบดี" พระโพธิสัตว์เกิดเป็น " นารทพรหม "
อีกคราวหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพระราชากาสี พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรสทรงพระนามว่า " มหาปทุมกุมาร "

อีกชาติหนึ่ง พระเทวทัตเกิดเป็นพระราชามหาตปาตะ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชโอรส ถูกพระราชบิดาให้ตัดมือ เท้า และ ศีรษะเสีย
มาถึงชาติปัจจุบันนี้ บุคคลทั้งสองนั้นก็ได้มาเกิดในตระกูลศากยราชเหมือนกัน แต่พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า พระเทวทัตก็ได้ออกบวชสำเร็จฌานโลกีย์

โยมจึงสงสัยว่า ข้อที่ว่า " กุศลให้ผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ อกุศลให้ผลเป็นทุกข์ทำให้เกิดในนรก กุศลและอกุศลมีผลไม่เสมอกัน"

แต่เหตุใดบางชาติพระเทวทัตก็ยิ่งกว่า บางชาติก็เสมอกัน บางชาติก็ต่ำกว่า จะว่ามีผลไม่เสมอกันอย่างไร จะว่าต่างกันอย่างไร ถ้าดำกับขาวมีคติเสมอกัน กุศลกับอกุศลก็ต้องมีคติเสมอกัน พระคุณเจ้าข้า ? "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร กุศลกับอกุศลไม่ใช่มีผลเสมอกัน ไม่ใช่ว่าพระเทวทัตจะทำผิดต่อคนทั้งหลายเสมอไป ส่วนพระโพธิสัตว์ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ทำความผิดเลย ผู้ใดทำผิดต่อพระโพธิสัตว์ผู้นั้นก็ได้รับผลร้าย

เวลาพระเทวทัตได้เกิดเป็นพระราชา ก็ได้ปกครองบ้านเมืองดี มีการให้สร้างสะพาน สร้างศาลาและสระน้ำก็มี ให้ทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนขอทานก็มี แล้วเขาก็ได้รับสมบัติในชาตินั้น ด้วยผลแห่งบุญอันนั้น ใครไม่อาจกล่าวได้ว่า พระเทวทัตได้เสวยสมบัติด้วยไม่ได้ให้ทานรักษาศีล ฟังธรรม อบรมจิตใจเลย

ข้อที่มหาบพิตรตรัสว่า พระเทวทัตกับพระโพธิสัตว์พบกันเสมอนั้นไม่จริง ตั้งร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติก็ไม่พบกัน นานจึงจะพบกันสักชาติหนึ่ง เหมือนกับเต่าตาบอดอยู่ในมหาสมุทร โผล่ขึ้นมาตั้งแสนครั้ง ก็ไม่พบขอนไม้สักทีก็มี
หรือเปรียบเหมือนกับการที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นของได้แสนยากฉะนั้น

พระสารีบุตรเถระได้เกี่ยวเนื่องกับพระโพธิสัตว์ คือเป็นบิดา เป็นปู่ เป็นอาว์ เป็นพี่ชาย น้องชาย เป็นบุตร เป็นหลาน เป็นมิตรสหาย กันกับพระโพธิสัตว์ก็มี แต่ว่าหลายแสนชาติ กว่าจะได้เกี่ยวเนื่องกันสักชาติหนึ่ง

ด้วยเหตุว่า สัตว์ทั้งหลายในวัฏสงสาร ที่ถูกกระแสสงสารพัดไป ย่อมพบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็มี พบกับสิ่งอันเป็นที่รักก็มี เหมือนกับน้ำที่ไหลบ่าไป ย่อมพบของสะอาดก็มี ไม่สะอาดก็มี ดีก็มี ไม่ดีก็มี

ฉะนั้น พระเทวทัตคราวเกิดเป็น " อธรรมยักษ์ " ตัวเองก็ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ยังแนะนำผู้อื่นไม่ให้ตั้งอยู่ในธรรมอีก แล้วไปตกนรกใหญ่อยู่ถึง ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี ส่วนพระโพธิสัตว์ เมื่อคราวเกิดเป็น " สุธรรมยักษ์" ตัวเองก็ตั้งอยู่ในธรรม ยังชักนำบุคคลเหล่าอื่นให้ตั้งอยู่ในธรรมอีก ชาตินั้นได้ขึ้นไปเสวยทิพยสมบัติอยู่ในสวรรค์ตลอด ๕๗ โกฏิ ๖ ล้านปี

มาชาติปัจจุบันนี้ พระเทวทัตก็ไม่เลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้า จนถึงกับทำสังฆเภท แล้วจมลงไปในพื้นดิน ส่วนสมเด็จพระชินสีห์ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง แล้วก็ดับกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงจึงควรเห็นว่า กุศลกับอกุศลให้ผลต่างกันมากขอถวายพระพร"

" สาธุ...พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าแก้ปัญหาข้อนี้ถูกต้องดีแล้ว"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 11 สิงหาคม 2554 08:21:11


(#269) ปัญหาที่ ๖ ถามเกี่ยวกับนางอมราเทวีของมโหสถ

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า

" ถ้าสตรีทั้งปวงได้ขณะ คือ โอกาส ๑ ได้ที่ลับ ๑ ถูกเกี้ยว ๑ พร้อมด้วยองค์ ๓ นี้แล้ว ต้องทำความชั่ว ถึงไม่พบเห็นบุรุษอื่นที่ดีกว่าคนง่อยเปลี้ย ก็ต้องทำความชั่วกับคนง่อยเปลี้ย " ดังนี้

แต่มีกล่าวไว้อีกว่า " นางอมราภรรยาของมโหสถ ถูกมโหสถทิ้งไว้ที่กระท่อมยายแก่คนหนึ่ง ให้อยู่ในที่สงัดโดยลำพังแล้ว ให้บุรุษไปเล้าโลมด้วยทรัพย์ตั้งพัน ก็ไม่ยอมทำความชั่ว "
ถ้าข้อที่ตรัสไว้นั้นเป็นของจริง ข้อที่กล่าวถึงนางอมรานั้นก็ไม่จริง
ถ้าข้อที่กล่าวถึงนางอมรานั้นจริง ข้อที่ตรัสไว้นั้นก็ไม่จริง

ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด"

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสไว้ทั้งสองอย่างนั้นจริงทั้งนั้น แต่นางอมรานั้น ไม่ได้ขณะโอกาส ไม่ได้ที่ลับ ไม่ถูกเกี้ยว

ข้อที่ว่า นางอมราไม่ได้โอกาสนั้น คือนางอมรากลัวถูกติเตียนในโลกนี้ ๑
กลัวไฟนรกในโลกหน้า ๑
ยังไม่สละมโหสถซึ่งเป็นที่รักของตน ๑
ยังเคารพมโหสถอยู่มาก ๑

ยังเคารพธรรมอยู่มาก ๑
ยังมีนิสัยติเตียนความเลวอยู่ ๑
ไม่อยากจะทำลายความดีของตน ๑

รวมเป็นเหตุหลายอย่างด้วยกัน ดังนี้จึงเรียกว่าไม่ได้โอกาส

ข้อที่ว่า ไม่ได้ที่ลับนั้น คือนางอมราเห็นว่าถึงมนุษย์ไม่เห็น อมนุษย์ก็ต้องเห็น ถ้าอมนุษย์ไม่เห็น ผู้รู้จักจิตใจของผู้อื่นก็ต้องเห็น ถ้าผู้รู้จิตใจของผู้อื่นไม่เห็น ตัวเองก็ต้องเห็น นึกอยู่อย่างนี้ จึงไม่ทำความชั่วในคราวนั้น

ข้อที่ว่า ไม่ถูกเกี้ยวนั้น คือถูกเกี้ยวก็จริง แต่ว่าเหมือนกับไม่ถูกเกี้ยว เพราะนางอมรานึกเกรงความดีของ มโหสถอยู่มาก นางรู้ว่ามโหสถเป็นเจ้าปัญญา ประกอบด้วยองค์คุณถึง ๒๘ ประการคือ

เป็นผู้แกล้วกล้า ๑
เป็นผู้มีความละอายต่อความชั่ว ๑
เป็นผู้กลัวความชั่ว ๑
มีพรรคพวก ๑
มีมิตรสหาย ๑

อดทน ๑
มีศีล ๑
พูดจริง ๑
มีความบริสุทธิ์ ๑
ไม่ขี้โกรธ ๑

ไม่ถือตัว ๑
ไม่ริษยา ๑
มีความเพียร ๑
รู้จักหาทรัพย์ ๑
รู้จักยึดเหนี่ยวน้ำใจผู้อื่น ๑

ชอบแบ่งปัน ๑
มีวาจาไพเราะ ๑
รู้จักเคารพยำเกรง ๑
เป็นคนอ่อนโยน ๑
ไม่โอ้อวด ๑

ไม่มีมารยา ๑
มีความคิดดีมาก ๑
มีวิชาดีมาก ๑
มีชื่อเสียง ๑
เกื้อกูลผู้อาศัย ๑

เป็นที่พอใจของคนทั้งปวง ๑
มีทรัพย์ ๑
มียศ ๑

นางอมราเห็นว่าผู้ที่มาเกี้ยวนั้นสู้ พระมโหสถไม่ได้ จึงไม่ยอมทำความชั่ว ดังนี้ ขอถวายพระพร "
" สาธุ...พระนาคเสน คำแก้ของพระผู้เป็นเจ้านี้ ถูกต้องดีแล้ว"

(ต่อที่ #270 : http://agaligohome.com/index.php?topic=205.270 (http://agaligohome.com/index.php?topic=205.270))



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 สิงหาคม 2554 14:33:03


ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความไม่กลัวแห่งพระขีณาสพ

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
" พระอรหันต์ทั้งหลายหมดความสะดุ้งกลัว หมดความหวังต่อสิ่งใด ๆ แล้ว " ดังนี้

แต่มีกล่าวไว้อีกว่า
" พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ ได้เห็นช้างธนบาล ( พระเทวทัตปล่อยมา ) วิ่งตรงมาข้างหน้าก็พากันสละพระพุทธเจ้าแยกกันไปคนละทิศละทาง ยังเหลือแต่ พระอานนท์ องค์เดียวเท่านั้น "

จึงขอถามว่า พระอรหันต์เหล่านั้นหลีกไปเพราะความกลัว ด้วยคิดว่า พระพุทธเจ้าจะปรากฏด้วยกรรมของพระองค์เอง หรืออยากเห็นพระปาฏิหาริย์อันชั่งไม่ได้ อันไพบูลย์อันไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ ของพระตถาคตเจ้าหรือย่างไร...

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าคำว่า " พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีความกลัว ความสะดุ้ง ความหวัง " จริงแล้ว ข้อที่ว่า " พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เห็นช้างวิ่งตรงมา ก็ทิ้งพระพุทธเจ้าเสียวิ่งไปองค์ละทิศละทาง ยังเหลือแต่พระอานนท์องค์เดียวเท่านั้น " ก็ผิด

ถ้าว่าข้อนี้ถูก ข้อที่ว่า " พระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่มีความกลัว ไม่มีความสะดุ้ง ไม่มีความหวังต่อสิ่งทั้งปวงนั้น" ก็ผิด
ปัญหานี้เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขให้สิ้นสงสัยเถิด"

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้นจริงทั้งนั้น ก็แต่ว่าการที่ทิ้งพระพุทธองค์ไปนั้น ไม่ใช่เพราะความกลัว เพราะเหตุที่ให้กลัวนั้น พระอรหันต์ตัดขาดไปสิ้นแล้ว ขอถวายพระพร ปฐพีใหญ่นี้ เมื่อถูกขุดหรือถูกทำลาย หรือรองรับไว้ซึ่งทะเล และภูเขาต่าง ๆ นั้น รู้จักกลัวหรือไม่? "
" ไม่รู้จักกลัว พระผู้เป็นเจ้า "

" เพราะอะไร มหาบพิตร? "
" เพราะเหตุที่ให้กลัวหรือสะดุ้งนั้น ไม่มีแก่ปฐพีใหญ่นี้"

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เหตุที่ให้กลัวหรือสะดุ้ง ก็ไม่มีแก่พระอรหันต์ทั้งหลายอนึ่ง ยอดภูเขาเวลาถูกทำลาย หรือถูกตี ถูกเผาด้วยไฟ รู้จักกลัวหรือไม่ ? "
" ไม่รู้จักกลัว พระผู้เป็นเจ้า "

" เพราะอะไร มหาบพิตร ? "
" เพราะยอดภูเขานั้นไม่มีเหตุที่จะให้กลัวหรือสะดุ้ง"

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระอรหันต์ทั้งหลายก็ไม่มีเหตุที่ให้กลัว ให้สะดุ้ง ถึงสัตว์โลกทั้งหลายในแสนโลกธาตุ จะถืออาวุธมาล้อมพระอรหันต์องค์เดียว ก็ไม่อาจทำจิตของพระอรหันต์ให้สะดุ้งกลัวได้

ก็แต่ว่าพระอรหันต์ทั้งหลายในคราวนั้นได้นึกว่า วันนี้ เมื่อพระพุทธองค์ผู้ประเสริฐกว่าเทพยดามนุษย์ทั้งหลาย เสด็จเข้าสู่เมืองนี้ ช้างธนบาลก็วิ่งตรงมา พระอานนท์ผู้เป็นอุปฏฐาก ก็จะไม่สละพระพุทธองค์ ถ้าพวกเราไม่สละพระพุทธองค์ไป คุณของพระอานนท์ก็จะไม่ปรากฏ เหตุที่จะให้ทรงแสดงธรรมก็ไม่เกิดขึ้น เมื่อพวกเราสละไป มหาชนหมู่ใหญ่ที่ได้ฟังธรรมแล้ว ก็จักพ้นจากกิเลสเป็นอันมาก คุณของพระอานนท์ก็จะปรากฏ พระอรหันต์ทั้งหลายนั้น เล็งเห็นอานิสงส์อย่างนี้ จึงได้แยกไปองค์ละทิศองค์ละทาง ขอถวายพระพร "

" สาธุ...พระนาคเสน โยมรับว่า ความกลัวหรือความสะดุ้ง ไม่มีแก่พระอรหันต์ทั้งหลาย "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 สิงหาคม 2554 14:44:27


ปัญหาที่ ๘ ถามคุณและโทษแห่งสันถวไมตรี
ปัญหาข้อนี้ซ้ำกับปัญหาที่ ๖ เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๔

ปัญหาที่ ๙ ถามถึงเรื่องผู้ควรแก่การขอ
ปัญหาข้อนี้ซ้ำกับปัญหาที่ ๑๐ เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๔


ปัญหาที่ ๑๐ ว่าด้วยมรรคเป็นของเก่าหรือใหม่
(เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร
จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน พระพุทธพจน์มีอยู่ว่า เราตถาคตเป็นผู้ยังมรรคที่ยังไม่ได้เกิดให้เกิดขึ้นแล้ว ฉะนี้มิใช่หรือ
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร มีอยู่เช่นนั้น

ม. ก็ถ้าเช่นนั้น จะมิแย้งกับพระพุทธพจน์ที่ว่า เราตถาคตได้เห็นมรรคของเก่า ทางของเก่า อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อนเสด็จดำเนินมาแล้ว ฉะนี้หรือ

น. ขอถวายพระพร ไม่แย้ง เพราะว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน เสด็จเข้านิพพานไปแล้ว ศาสนาก็อันตรธานเสื่อมสูญไป โดยไม่มีใครสั่งสอนและปฏิบัติกันสืบมา เมื่อเป็นเช่นนั้น มรรคคือหนทางที่พระพุทธเจ้านั้น ๆ ได้เสด็จดำเนินมา ก็เลอะเลือนเสื่อมสูญไป ครั้นมาถึงวาระที่พระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงอุบัติขึ้น มรรคคือหนทางอย่างเดียวกับของเก่านั้น ก็เกิดขึ้นมาด้วย เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เราตถาคตเป็นผู้ยังมรรคที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นแล้ว ขอถวายพระพร ความข้อนี้เปรียบเหมือนหนทางที่กรุยและปราบเรียบร้อยแล้วต่อมาปล่อยให้รก เดินไม่ได้ ภายหลังมีผู้ทำให้เตียนขึ้นได้อีก ฉะนั้น

ม. เธอฉลาดว่า

จบวรรคที่ ๕



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 สิงหาคม 2554 15:04:27


วรรคที่ ๖

ปัญหาที่ ๑ ถามถึงโทษแห่งปฏิปทา

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า "ข้าแต่พระนาคเสน นับแต่พระโพธิสัตว์เจ้าได้ทำทุกกรกิริยาแล้วมา ก็ไม่ได้ทำความเพียรสู้รบกับกิเลส กำจัดเสนามัจจุ กำหนดอาหาร ในที่อื่นอีก ในการทำความเพียรยิ่งใหญ่อย่างนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าก็ไม่ได้ความดีใจอย่างใด จึงได้ทรงเปลี่ยนความคิดอย่างนั้นเสีย แล้วได้ตรัสไว้ว่า

" เราไม่ได้สำเร็จความรู้ความเห็นพิเศษอันเป็นของพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ธรรมดา ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนนี้เลย ทางตรัสรู้ทางอื่นเห็นจะมี "

ทรงดำริดังนี้แล้ว ก็เลิกทุกกรกิริยานั้นเสีย แล้วได้สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณด้วยทางอื่น แล้วทรงแนะนำสั่งสอนพวกสาวกด้วยปฏิปทานั้นอีกว่า
" เธอทั้งหลาย จงทำความเพียร จงประกอบในพระพุทธศาสนา จงกำจัดเสนามัจจุ เหมือนช้างหักไม้อ้อฉะนั้น " ดังนี้
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระตถาคตเจ้าทรงเบื่อหน่ายในปฏิปทาใดแล้ว เหตุไรจึงทรงชักนำพวกสาวกในปฏิปทานั้น ? "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ในคราวนั้นก็ดี ในบัดนี้ก็ดี ปฏิปทานั้นก็คงเป็นปฏิปทานั้นเอง พระโพธิสัตว์เจ้าปฏิบัติตามปฏิปทานั้นแล้ว จึงสำเร็จความเป็นพระสัพพัญญู ในเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าทรงทำความเพียรอันยิ่ง ก็ได้ตัดอาหารไม่ให้เหลือ เมื่อตัดอาหารหมดแล้ว ก็หมดกำลังใจ เมื่อหมดกำลังใจ ก็ไม่อาจสำเร็จความเป็นพระสัพพัญญูได้ เมื่อทรงเสวยอาหารที่เป็นคำ ๆ ตามสมควร ไม่ช้าก็ได้สำเร็จความเป็นพระสัพพัญญูด้วยปฏิปทานั้น ปฏิปทานั้นแหละ ทำให้ได้พระสัพพัญญุตญาณ แก่พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย เหมือนกับอาหารอันให้ความสุขสำราญแก่สัตว์ทั้งหลายฉันนั้น

องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ไม่ได้สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณในขณะนั้นด้วยสิ่งใดสิ่งนั้นไม่ใช่โทษแห่งการทำความเพียร ไม่ใช่โทษแห่งการสู้รบกับกิเลส เป็นโทษแห่งการตัดอาหารเท่านั้น ปฏิปทานั้นเป็นของมีอยู่ทุกเมื่อ บุรุษเดินทางไกลด้วยความรีบร้อนจะต้องเสียกำลังแข้งขา หรือเป็นง่อยเปลี้ยเดินไปมาไม่ได้ การที่เดินไปมาไม่ได้นั้น จะว่าเป็นโทษแห่งแผ่นดินอย่างนั้นหรือ...มหาบพิตร ?"

" ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า แผ่นดินอันใหญ่นี้ย่อมมีประจำอยู่ทุกเมื่อ การที่บุรุษนั้นเสียกำลังแข้งขาจนเดินไม่ได้นั้น ไม่ใช่เป็นโทษแห่งแผ่นดิน เป็นโทษแห่งความพยายามต่างหาก "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร การที่สมเด็จพระพิชิตมาร ไม่สำเร็จสัพญญุตญาณในขณะนั้น ไม่ใช่เป็นโทษแห่งความเพียร ไม่ใช่เป็นโทษแห่งการสู้รบกิเลส เป็นโทษแห่งการขาดอาหารต่างหาก ปฏิปทานั้นมีอยู่ทุกเมื่อ

อีกอย่างหนึ่ง
บุรุษนุ่งผ้าที่เศร้าหมองไม่รู้จักซัก ปล่อยให้เศร้าหมองอยู่นั่นเอง การที่ผ้าเศร้าหมองนั้น ไม่ใช่เป็นโทษแห่งน้ำ น้ำมีอยู่ทุกเมื่อ เป็นโทษแห่งบุรุษนั้นต่างหากฉันใด การที่พระโพธิสัตว์ไม่สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ ในขณะที่บำเพ็ญทุกกรกิริยานั้นไม่ใช่เป็นโทษแห่งความเพียร ไม่ใช่เป็นโทษแห่งการสู้รบกับกิเลส เป็นโทษแห่งการขาดอาหารต่างหากฉันนั้น

ปฏิปทานั้นมีอยู่ทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น สมเด็จพระภควันต์จึงทรงสั่งสอนชักชวนพวกสาวก ด้วยปฏิปทานั้น ปฏิปทานั้นเป็นของดีไม่มีโทษ เป็นของมีอยู่อย่างนั้นแหละ มหาบพิตร "

" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนี้พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 สิงหาคม 2554 15:18:32


(http://www.bothong.ac.th/Geography31101/image/eueu3.jpg)

ปัญหาที่ ๒ ถามถึงธรรมที่ไม่ให้เนิ่นช้า

"ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า " ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีเครื่องไม่เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี จงยินดีในเครื่องไม่เนิ่นช้า " ดังนี้ โยมขอถามว่า เครื่องไม่เนิ่นช้านั้นได้แก่อะไร?"

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร เครื่องไม่เนิ่นช้าได้แก่ โสดาปัตติผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตผล "

พระเจ้ามิลินท์ซักถามต่อไปว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าโสดาปัตติผลตลอดถึงอรหัตผลเป็นเครื่องไม่เนิ่นช้าแล้ว เหตุใดภิกษุทั้งหลายจึงเล่าเรียนสอบถามซึ่งพระพุทธวจนะมีองค์ ๙ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติวุตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ( รวมเรียกพระไตรปิฎก ) อยู่ และยังเกี่ยวข้องอยู่กับ นวกรรม คือการก่อสร้าง และเกี่ยวข้องอยู่กับทาน การบูชา ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่ากระทำกรรมที่ทรงห้ามไม่ใช่หรือ? "

พระนาคเสนชี้แจงว่า
" ขอถวายพระพร ภิกษุเหล่าใดยังเล่าเรียนสอบถามอยู่ ยังเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างอยู่ ยังเกี่ยวข้องกับทานอยู่ เกี่ยวข้องกับการบูชาอยู่ ภิกษุเหล่านั้นทั้งสิ้น ชื่อว่า กระทำเพื่อถึงเครื่องไม่เนิ่นช้าทั้งนั้น ขอถวายพระพร

ภิกษุเหล่านั้นได้บริสุทธิ์ตามสภาพอยู่แล้ว มีวาสนาบารมีอันได้อบรมไว้ในปางก่อนมาแล้ว ภิกษุเหล่านั้นย่อมเป็นผู้ไม่มีเครื่องเนิ่นช้า ด้วยขณะแห่งจิตดวงเดียว ( ได้บรรลุมรรคผลในชั่วขณะจิตเดียว) ส่วนภิกษุเหล่าใด ยังเป็นผู้ศึกษาอยู่ ภิกษุเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้ไม่มีเครื่องเนิ่นช้าด้วยประโยค คือยังต้องบำเพ็ญบารมีด้วยสิ่งเหล่านี้อยู่ เนื้อความข้อนี้ควรทราบด้วยอุปมา

คือสมมุติว่ามีบุรุษชาวนาผู้หนึ่ง หว่านพืชลงในนาแล้ว ก็เก็บผลแห่งพืชข้าว ได้ด้วยกำลังและความเพียรของตน โดยไม่ต้องล้อมรั้วก็มีบุรุษอีกคนหนึ่ง หว่านพืชลงในนาแล้ว ต้องเข้าป่าตัดเอากิ่งไม้ ใบไม้ และหลักรั้ว มาทำรั้วจึงได้ผลแห่งพืชข้าว การแสวงหาเครื่องล้อมรั้วนั้น ก็เพื่อพืชข้าวฉันใด

ภิกษุเหล่าใดบริสุทธิ์อยู่ตามสภาพแล้ว ได้อบรมวาสนาบารมีไว้ในปางก่อนแล้ว ภิกษุเหล่านั้นก็เป็นผู้ไม่มีเครื่องเนิ่นช้า ด้วยขณะจิตเดียว เปรียบเหมือนบุรุษที่ได้ข้าวด้วยไม่ต้องล้อมรั้วฉะนั้น

ส่วนภิกษุเหล่าใดยังศึกษาอยู่ ภิกษุเหล่านั้นย่อมเป็นผู้ชื่อว่าไม่เนิ่นช้า ด้วยการบำเพ็ญบารมีสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับบุรุษที่ล้อมรั้ว แล้วจึงได้ข้าวฉะนั้น

อีกประการหนึ่ง ขั้วผลไม้ย่อมอยู่บนยอดต้นไม้ใหญ่ มีผู้มีฤทธิ์คนใดคนหนึ่ง มาถึงต้นไม้ใหญ่นั้น ก็นำเอาผลไม้นั้นไปได้ทีเดียว ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นผู้ไม่มีฤทธิ์ เมื่อมาถึงต้นไม้นั้นแล้ว ต้องหาตัดไม้และเถาวัลย์มาผูกเป็นพะอง พาดขึ้นต้นไม้ใหญ่นั้น จึงจะเก็บเอาผลไปได้

การที่บุรุษนั้นหาไม้มาทำพะอง ก็เพื่อต้องการผลไม้ฉันใด ภิกษุเหล่าใดบริสุทธิ์อยู่ตามสภาพแล้ว ได้อบรมวาสนาบารมีแล้วภิกษุเหล่านั้นก็เป็นผู้ไม่เนิ่นช้า คือสำเร็จได้ด้วยขณะจิตเดียวเท่านั้น เปรียบเหมือนผู้มีฤทธิ์นำผลไม้นั้นไปได้ฉะนั้น

ส่วนพวกที่ยังศึกษาอยู่ ก็ย่อมสำเร็จมรรคผล ด้วยการบำเพ็ญบารมีสิ่งเหล่านี้เหมือนกับบุรุษนำผลไม้ไปได้ ด้วยอาศัยมีพะองพาดขึ้นไปฉะนั้น

อีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับผู้จะทำประโยชน์คนหนึ่งมีความเข้าใจดี ก็ทำให้สำเร็จได้โดยลำพังผู้เดียว อีกคนหนึ่งเป็นคนมีทรัพย์ แต่ไม่เข้าใจดี ต้องจ้างคนอื่นให้ช่วยทำจึงสำเร็จได้ การที่บุรุษนั้นมีทรัพย์ จ้างคนอื่นก็เพื่อกิจธุระนั้นฉันใด พวกใดที่บริสุทธิ์ตามสภาพแล้วได้อบรมวาสนาบารมีไว้ในปางก่อนแล้ว พวกนั้นก็ได้สำเร็จอภิญญา ๖ ด้วยขณะจิตเดียว เปรียบเหมือนบุรุษสำเร็จประโยชน์โดยลำพังผู้เดียวฉะนั้น ส่วนพวกใดยังศึกษาอยู่ พวกนั้นย่อมสำเร็จอริยสัจ ด้วยการบำเพ็ญบารมีสิ่งเหล่านี้เหมือนกับบุรุษผู้ให้สำเร็จประโยชน์ ด้วยเอาทรัพย์จ้างผู้อื่นฉะนั้น "

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาข้อนี้ พระผู้เป็นเจ้าแก้ถูกต้องดีแล้ว โยมขอรับทราบว่าถูกต้องดีแท้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 สิงหาคม 2554 15:31:40


ปัญหาที่ ๓ ถามถึงความเป็นพระอรหันต์แห่งคฤหัสถ์

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า

" ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวไว้ว่า " คฤหัสถ์ผู้สำเร็จอรหันต์แล้ว ย่อมมีคติ ๒ ประการ คือบรรพชาในวันนั้น ๑ ปรินิพพานในวันนั้น ๑ ไม่อาจเลยวันนั้นไปได้ " ดังนี้

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าในวันนั้น ไม่ได้อาจารย์ หรืออุปัชฌาย์ หรือบาตร จีวร ผู้สำเร็จอรหันต์แล้วนั้นจะบรรพชาเอง หรือเลยวันนั้นไป หรือมีพระอรหันต์ผู้มีฤทธิ์องค์ใดองค์หนึ่งมาให้บรรพชา จะได้หรือไม่ หรือต้องปรินิพพานไป ? "

พระนาคเสนตอบว่า

" ขอถวายพระพร พระอรหันต์ทั้งบรรพชาเองไม่ได้ ถ้าบรรพชาเองก็ชื่อว่า " ไถยสังวาส "  และเลยวันนั้นไปก็ไม่ได้ จะมีพระอรหันต์องค์อื่นมาหรือไม่มีก็ตาม ก็ต้องปรินิพพานในวันนั้น"

" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นความเป็นพระอรหันต์ ก็ทำให้สิ้นชีวิตน่ะซิ "

" ขอถวายพระพร คฤหัสถ์ถึงสำเร็จอรหันต์แล้วต้องบรรพชา หรือปรินิพพานในวันนั้น เพราะเพศคฤหัสถ์ไม่มีกำลังพอ ข้อที่สิ้นชีวิตไปนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะโทษแห่งความเป็นพระอรหันต์ เป็นเพราะโทษแห่งคฤหัสถ์ ไม่มีกำลังพอต่างหาก ขอถวายพระพร

ธรรมดาโภชนาหารย่อมรักษาอายุ รักษาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายไว้ แต่ว่าโภชนาหารนั้น ย่อมทำให้สิ้นชีวิตได้ด้วยไฟย่อยอาหารไม่พอ การสิ้นชีวิตนั้นไม่ใช่เป็นโทษแห่งอาหารนั้น เป็นโทษแห่งไฟย่อยอาหารไม่พอฉันใด การที่คฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จพระอรหันต์แล้วต้องบรรพชาหรือปรินิพพานในวันนั้น ข้อนั้นไม่ใช่เป็นโทษแห่งความเป็นพระอรหันต์ เป็นโทษแห่งเพศคฤหัสถ์มีกำลังไม่พอฉันนั้น

อีกประการหนึ่ง เหมือนกับบุคคลยกเอาก้อนศิลาหนัก ๆ วางลงบนฟ่อนหญ้าเล็ก ๆ ฟ่อนหญ้าเล็ก ๆ นั้น ก็ต้องจมลงไปเพราะกำลังไม่พอฉันใด ข้อนี้ก็มีอุปมาฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง เหมือนบุรุษผู้มีบุญน้อยเมื่อได้ราชสมบัติอันใหญ่แล้ว ก็ไม่อาจรักษาความเป็นอิสระไว้ได้ฉันใด คฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ก็ไม่อาจรับรองความเป็นอรหันต์ไว้ได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้น จึงต้องบรรพชาหรือปรินิพพานในวันนั้น ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 11:05:44


  ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องโลมกัสสปฤๅษี

   " ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
   " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราเป็นมนุษย์อยู่เมื่อก่อน เราไม่ชอบเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย " ดังนี้

   แต่คราวเสวยพระชาติเป็น โลมกัสสปฤๅษี ได้เห็นนางจันทวดี ก็ได้ฆ่าสัตว์หลายร้อยบูชายัญ ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าข้อว่า " ไม่เคยเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย " เป็นของถูก ข้อว่า " ฆ่าสัตว์บูชายัญด้วยครั้งเป็นโลมกัสสปฤๅษี " ก็ผิดไป

   ถ้าข้อว่า " เป็นโลมกัสสปฤๅษีได้ฆ่าสัตว์บูชายัญ " นั้นถูก ข้อว่า " ไม่เคยเบียดเบียนสัตว์ " นั้นก็ผิด
   ปัญหาข้อนี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ แก้ได้ยากโปรดแก้ให้สิ้นสงสัยด้วยเถิด "

   พระนาคเสนจึงตอบว่า
   " ขอถวายพระพร ข้อที่ตรัสว่า " เมื่อเราเป็นมนุษย์อยู่ชาติก่อน เราไม่ได้เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย " นั้นก็ถูก ข้อว่า " ครั้งเป็นโลมกัสสปฤๅษีได้ฆ่าสัตว์หลายร้อยบูชายัญ " นั้นก็ถูก ก็แต่ว่าข้อนั้น เป็นด้วยอำนาจราคะ รักใคร่หลงใหลในนางจันทวดี หาได้มีเจตนาแกล้งฆ่าสัตว์ให้ตายไม่ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลย่อมฆ่าผู้อื่นด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ ด้วยอำนาจราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ โลภะ ๑ ชีวิต ๑ ความโง่เขลา ๑ ตามบทบัญญัติ ๑ ส่วนโลมกัสสปฤๅษีกระทำนั้น เป็นการกระทำปกติ "

   " ขอถวายพระพร ไม่ใช่เป็นการกระทำปกติ ถ้าโลมกัสสปฤๅษีน้อมใจลงไป เพื่อจะบูชายัญใหญ่ตามสภาวะปกติ ไม่ใช่ด้วยปัญญาก็คงไม่กล่าวไว้ว่า
   " บุคคลไม่ควรต้องการแผ่นดิน อันมีสมุทรเป็นขอบเขต มีสาครเป็นกุณฑล พร้อมกับการนินทา ดูก่อนเสยหะอำมาตย์ เธอจงรู้อย่างนี้เถิด..." ดังนี้ ขอถวายพระพร

   โลมกัสสปฤๅษีผู้พูดอย่างนี้ แต่พอได้เห็นพระนางจันทวดีก็เสียสติหลงใหล ได้ฆ่าสัตว์บูชายัญด้วยความเสียสติ ขอถวายพระพร ธรรมดาคนเสียสติคือคนบ้า ย่อมเหยียบไฟก็ได้ กินยาพิษก็ได้ วิ่งเข้าหาช้างตกมันก็ได้ แล่นลงไปสู่ทะเลที่ไม่ใช่ท่าก็ได้ ตกน้ำครำก็ได้ เหยียบหนามเหยียบตอก็ได้ กระโดดลงจากภูเขาก็ได้ กินของน่าเกลียดโสโครกก็ได้ เปลือยกายเดินไปตามถนนก็ได้ ทำสิ่งที่ไม่ควรทำได้ต่าง ๆ ฉันใด โลมกัสสปฤๅษีก็เสียสติ จึงได้ฆ่าสัตว์บูชายัญในคราวนั้น บาปที่คนบ้าทำ ย่อมไม่มีโทษ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อาตมภาพขอถามว่า ถ้ามีคนบ้าทำผิด จะทรงลงโทษหรือไม่ ? "
   " ไม่ลงโทษ พระผู้เป็นเจ้า เพียงแต่ให้ไล่ตีให้หนีไปเท่านั้น "

   " ขอถวายพระพร ความผิดย่อมไม่มีแก่คนบ้าฉันใด โลมกัสสปฤๅษีก็ไม่มีความผิดในการฆ่าสัตว์บูชายัญ เพราะความเป็นบ้าในคราวนั้น พอจิตเป็นปกติขึ้น ก็ได้สำเร็จอภิญญา ๕ อีก แล้วได้ขึ้นไปเกิดในพรหมโลกขอถวายพระพร "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาข้อนี้ พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 11:18:58


ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องพญาช้างฉัททันต์

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าคราวเป็นพญาช้างฉัททันต์ได้กล่าวไว้ว่า

" เราได้จับนายพรานไว้ด้วยคิดว่าจะฆ่า แต่พอได้เห็นผ้ากาสาวะ อันเป็นธงของฤๅษีทั้งหลายเราก็นึกขึ้นได้ว่า ผู้ที่มีธงของพระอรหันต์เป็นผู้ไม่ควรฆ่า " ดังนี้

และมีกล่าวไว้อีกว่า " ครั้งพระองค์เป็น โชติปาลมาณพ ได้ด่าว่า สมเด็จพระพุทธกัสสป ด้วยคำว่า "สมณะศีรษะโล้น..." ดังนี้

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระโพธิสัตว์ถึงเป็นเดรัจฉานก็เคารพผ้ากาสาวะ ข้อที่ว่า " โชติปาลมาณพด่าว่าสมเด็จพระพุทธเจ้ากัสสปอย่างนั้น " ก็ผิดไป
ถ้าไม่ผิด ข้อว่า " พญาช้างฉัททันต์เคารพผ้ากาสาวะนั้น " ก็ผิด

เป็นเพราะเหตุใด พระโพธิสัตว์ผู้เป็นมนุษย์ ผู้มีญาณแก่กล้าแล้ว ได้เห็นสมเด็จพระพุทธกัสสป ผู้ล้ำเลิศในโลก ผู้ทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวะจึงไม่เคารพ
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิ ขอได้โปรดแก้ไขด้วย "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ทั้งสองเรื่องนั้นถูกทั้งนั้น ก็แต่ว่าเรื่องที่โชติปาลมาณพว่า สมเด็จพระพุทธกัสสปในคราวนั้น เป็นด้วยอำนาจ เขาถือชาติตระกูลของเขาเกินไป คือ โชติปาลมาณพเกิดในตระกูลที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใส มารดาบิดา พี่น้องหญิง พี่น้องชาย ทาสีทาสาคนใช้ คนบำเรอ และศิษย์ของมาณพนั้นทั้งสิ้น ล้วนแต่เคารพพรหม ถือว่าพวกพราหมณ์เท่านั้นประเสริฐสูงสุด แล้วติเตียนเกลียดชังบรรพชิตทั้งหลาย

โชติปาลมาณพได้เชื่อถือตามลัทธิของพวกพราหมณ์ ได้ฟังถ้อยคำของพวกพราหมณ์ที่ด่าว่าบรรพชิตอยู่เสมอ เวลาชาวปั้นหม้อ ชื่อว่า ฆฏิการะ ชวนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า จึงได้ตอบว่า " ต้องการอะไรกับการที่จะพบสมณะศีรษะโล้น... " ขอถวายพระพร

ยาอมฤตเมื่อผสมกับยาพิษก็กลายเป็นรสขม ส่วนยาพิษเวลามาผสมกับยาอมฤต ก็กลายเป็นรสหวานฉันใด น้ำเย็นถูกไฟก็ร้อน คนเลวได้มิตรดีก็เป็นคนดี คนดีได้มิตรเลวก็เป็นคนเลวฉันใด โชติปาลมาณพเกิดในตระกูลที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใสก็กลายเป็นอันธพาลไปตามตระกูลฉันนั้น

กองไฟใหญ่ที่ลุกรุ่งโรจน์อยู่ ก็มีแสงสว่างดี เวลาถูกน้ำก็หมดแสง กลายเป็นสีดำไป เหมือนกับผลไม้ที่หล่นจากขั้ว แก่งอมแล้วเน่าไปฉะนั้น

ด้วยเหตุนั้นแหละ มหาบพิตร โชติปาลมาณพผู้มีปัญญา มีแสงสว่าง ด้วยความไพบูลย์แห่งญาณอย่างนั้นก็จริง แต่เวลาเกิดในตระกูลที่ไม่มีศรัทธาเลื่อมใส ก็กลายเป็นอันธพาลไปถึงกับได้ด่าว่าพระพุทธเจ้า เวลาเช้าไปถึงพระพุทธเจ้าแล้วจึงรู้จักคุณของพระองค์ แล้วได้บรรพชาในพระพุทธศาสนา ทำอภิญญาสมาบัติให้เกิด แล้วก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก ขอถวายพระพร "

" สาธุ...พระนาคเสน โยมขอรับว่าถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 11:29:32


ปัญหาที่ ๖ ถามถึงเรื่องฆฏิการอุบาสก

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
" ที่อยู่ของช่างหม้อชื่อว่า ฆฏิการะ กระทำอากาศให้เป็นหลังคา ฝนตกลงมาไม่รั่วตลอด ๓ เดือนฤดูฝน "

แต่ตรัสไว้อีกว่า " พระคันธกุฎีของพระพุทธกัสสปฝนรั่ว "
โยมจึงขอถามว่า เหตุไรพระคันธกุฎีของพระพุทธกัสสป ผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยพระบารมีแล้วฝนจึงรั่ว

ถ้าที่อยู่ของฆฏิการช่างหม้อไม่มีหลังคา แต่ฝนไม่รั่วตลอด ๓ เดือนเป็นของถูกแล้ว คำที่ว่า " พระคันธกุฎีของพระพุทธกัสสปฝนรั่วนั้น " ก็ผิด
ถ้าคำว่า " พระคันธกุฎีของพระพุทธกัสสปรั่ว " นั้นถูก คำที่ว่า " เรือนของฆฏิการช่างหม้อไม่มีหลังคา แต่ฝนตกลงมาไม่รั่ว ไม่เปียกนั้น " ก็ผิด
ปัญหาข้อนี้เป็นอุภโตโกฏิโปรดแก้ไขให้สิ้นสงสัยเถิด "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร คำทั้งสองนั้นถูกทั้งนั้นแต่ว่าฆฏิการช่างหม้อ เป็นคนมีศีล มีธรรมอันดีได้สร้างสมบุญกุศลไว้มากแล้ว ได้เลี้ยงมารดาบิดาผู้ชราตาบอดอยู่ เวลาที่เขาไม่อยู่ ได้มีคนไปรื้อเอาหญ้าที่มุงหลังคาเรือนของเขา ไปมุงพระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้าเสีย เวลาเขากลับมารู้เข้า เขาก็เกิดปีติโสมนัสเต็มที่ว่า เป็นอันว่า เราได้สละหลังคาถวายแก่พระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสูงสุดในโลกแล้วเขาจึงได้รับผลเห็นทันตาอย่างนั้น

องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ย่อมไม่ทรงหวั่นไหว ด้วยอาการแปลกเพียงเท่านั้น เหมือนกับพระยาเขาสิเนรุราช อันไม่หวั่นไหวด้วยลมใหญ่อันพัดเอาตั้งแสน ๆ ฉะนั้น
หรือเหมือนกับมหาสมุทรอันไม่รู้จักเต็ม ไม่รู้จักพร่อง ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง ด้วยน้ำที่ไหลไปจากคงคาใหญ่ ๆ ตั้งหลายหมื่นหลายแสนสายฉะนั้น

การที่พระคันธกุฎีรั่วนั้น ย่อมเป็นด้วยทรงพระมหากรุณาแก่มหาชน คือสมเด็จพระทศพลเจ้าทั้งหลาย ย่อมเล็งเห็นประโยชน์ ๒ ประการ จึงไม่ทรงรับปัจจัยที่ทรงเนรมิตขึ้นเอง ด้วยทรงเห็นว่า เทพยดามนุษย์ทั้งหลายได้ถวายปัจจัยแก่พระพุทธเจ้าด้วยความเลื่อมใสว่า เป็นผู้ควรแก่การถวายอย่างเลิศแล้ว ก็พ้นจากทุคติทั้งปวง
อีกประการหนึ่ง ทรงเห็นว่าอย่าให้คนอื่น ๆ ติเตียนได้ว่า พระพุทธเจ้าทรงต้องการสิ่งใด ก็ทรงเนรมิตเอาเอง ดังนี้

ถ้าพระอินทร์หรือพระพรหม จะทำให้พระคันธกุฎีของพระพุทธเจ้าไม่รั่ว หรือถ้าหากพระพุทธเจ้าทรงทำเอง ก็จะมีผู้ติเตียนได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงทำสิ่งอันเป็นหน้าที่ของสัตว์โลกทั่วไป หาสมควรแก่พระองค์ไม่ พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ทรงขอวัตถุสิ่งของใด ๆ ถึงไม่มีก็ไม่ทรงขอ จึงมีเทพยดามนุษย์สรรเสริญทั่วไป ขอถวายพระพร "

" สาธุ...พระนาคเสน ข้อนี้ถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 11:42:22


ปัญหาที่ ๗ ถามถึงความเป็นพระราชาของพระพุทธเจ้า

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสได้ว่า
" ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราเป็นพราหมณ์ เป็นผู้ควรแก่การขอ "

แต่ตรัสไว้อีกว่า " ดูก่อนเสลพราหมณ์ เราเป็นพระราชา " ดังนี้
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าคำที่ว่า " เราเป็นพราหมณ์ " นั้นถูก คำที่ว่า " เราเป็นพระราชา " ก็ผิด
ถ้าคำที่ว่า " เราเป็นพระราชา " ถูก คำที่ว่า " เราเป็นพราหมณ์ " ก็ผิด เพราะเหตุว่าในชาติ ๆ เดียว จะมี ๒ วรรณะ คือเป็นทั้งกษัตริย์ทั้งพราหมณ์ไม่ได้
ปัญหานี้ก็เป็นอุภโตโกฏิ โปรดแก้ไขด้วย "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร ถูกทั้งสองอย่าง คือเหตุที่ให้เป็นพราหมณ์ก็มี เหตุที่ให้เป็นพระราชาก็มี"

" ข้าแต่พระนาคเสน เหตุอะไรทำให้เป็นพราหมณ์ เหตุอะไรทำให้เป็นพระราชา ? "
" ขอถวายพระพร เหตุที่พระพุทธเจ้าทรงละบาปอกุศลทั้งสิ้นนั้นแหละ ทำให้เป็นพราหมณ์ ธรรมดาผู้ชื่อว่า พราหมณ์ ย่อมล่วงพ้นความสงสัยทั้งสิ้นด้วยตนเอง

อีกอย่างหนึ่ง ธรรมดาพราหมณ์ย่อมพ้นจาก ภพ คติ กำเนิด ทั้งสิ้น พ้นจากมลทินทั้งสิ้น ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นผู้มากไปด้วยคุณธรรมอันประเสริฐ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการเรียน การสอน การขวนขวาย การทรมานตน สำรวมตน มีนิยมเป็นกำหนดการ เป็นผู้รักษาไว้ซึ่งคำสอนและประเพณีอันดีทั้งปวง เป็นผู้อยู่ด้วยฌาน เป็นผู้ทรงทราบซึ่งความเป็นไปในภพน้อย ภพใหญ่ และคติทั้งปวง เป็นผู้ที่ได้พระนามขึ้นเองว่า เป็น พราหมณ์ พร้อมกับเวลาที่ได้สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณ ภายใต้ไม้ศรีมหาโพธิ

ข้อที่ได้พระนามว่าเป็น พระราชา นั้นเพราะธรรมดาพระราชา ย่อมสั่งสอนนรชนในอาณาเขตของตน พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนสัตว์โลกทั้งสิ้น

ธรรมดาพระราชา ย่อมครอบงำมนุษย์ทั้งหลาย ทำให้หมู่ญาติรื่นเริง ทำให้หมู่ศัตรูทุกข์โศก ทรงยกเศวตฉัตรอันขาวสะอาดปราศจากมลทิน มีซี่ไม่ต่ำกว่าร้อย มีคันไม้แก่นแน่นหนา นำมาซึ่งพระเกียรติยศและศิริอันใหญ่ฉันใด พระพุทธเจ้าก็ทรงยกเศวตฉัตรอันบริสุทธิ์คือวิมุตติ มรรค ผล นิพพาน แล้วทรงทำหมู่เสนามารที่ปฏิบัติผิดให้เศร้าโศก ทรงทำเทพยดามนุษย์ที่ปฏิบัติถูกให้รื่นเริง ทรงยกเศวตฉัตรอันมีซี่ คือพระปรีชาญาณอันประเสริฐ มีคันไม้แก่นแน่นหนา แข็งแรง คือพระขันติอันนำมาซึ่งยศและศิริอันใหญ่ ในหมื่นโลกธาตุฉันนั้น

ธรรมดาพระราชา ย่อมเป็นที่กราบไหว้ของประชาชนผู้พบเห็นฉันใด พระพุทธเจ้าควรเป็นที่กราบไหว้ของเทพยดามนุษย์ทั้งหลายฉันนั้น
ธรรมดาพระราชา ย่อมทรงโปรดปรานแก่ผู้ทำถูกฉันใด พระพุทธเจ้าก็ทรงโปรดปรานผู้ปฏิบัติถูกฉันนั้น

ธรรมดาพระราชาย่อมทรงเคารพนับถือโบราณพระราชาประเพณี ดำรงราชสกุลวงศ์ไว้ให้ยั่งยืนฉันใด พระพุทธเจ้าก็ทรงเคารพนับถือ ซึ่งพระพุทธประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลายในปางก่อน ไว้ให้ดีฉันนั้น

ด้วยเหตุนี้แหละ มหาบพิตร สมเด็จพระธรรมสามิสร์จึงได้พระนามว่าเป็น พระราชา ด้วยพระคุณธรรมของพระองค์เอง เหตุที่จะให้พระตถาคตเจ้าได้พระนามว่าเป็น พราหมณ์ และเป็น พระราชา นั้นมีอยู่มาก ถึงจะพรรณนาไปตลอดกัปก็ไม่รู้จักสิ้น ไม่จำเป็นอะไรที่จะพูดให้มากเกินไป เชิญรับไว้เพียงย่อ ๆ เท่านี้เถิด ขอถวายพระพร "

" สาธุ...พระนาคเสน ท่านแก้ปัญหาข้อนี้ถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 12:15:41


ปัญหาที่ ๘ ถามถึงเหตุที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า

" พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เกิดพร้อมกันในโลกธาตุอันเดียว " ก็พระตถาคตเจ้าทั้งปวง เมื่อจะทรงแสดงธรรม ก็ทรงแสดงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ อริยสัจ ๔ เมื่อจะให้ศึกษาก็ให้ศึกษาในไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) เมื่อจะทรงพร่ำสอนก็ทรงพร่ำสอนในอัปปมาทปฏิบัติ (การเป็นผู้ไม่ประมาท) เหมือนกันทั้งสิ้น แต่เหตุไรจึงไม่เกิดพร้อมกัน ๒ องค์

โยมเห็นว่า ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันหลายองค์ จะทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่โลกมากยิ่งขึ้น แต่เหตุไรจึงเกิดพร้อมกับ ๒ องค์ไม่ได้ โยมสงสัย ? "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร หมื่นโลกธาตุนี้ ทรงไว้ได้เพียงพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้า คราวละพระองค์เดียวเท่านั้น ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ หมื่นโลกธาตุนี้ก็จะทรงอยู่ไม่ไหว จักถล่มทะลายไป เรือที่พอนั่งคนเดียวได้ เมื่อมีผู้มานั่ง ๒ คน เรือนั้นจะทรงอยู่ได้หรือไม่ ? "

" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า เรือนั้นต้องจม "
" ข้อนี้ก็อุปมาฉันนั้นแหละ มหาบพิตรอีกประการหนึ่ง บุรุษกินข้าวอิ่มแล้ว มีผู้ให้กินข้าวอีกเท่านั้นลงไป บุรุษนั้นจะเป็นสุขหรือไม่ ? "

" ไม่เป็นสุข พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเขาขืนกินลงไปให้มากอีกเท่านั้น เขาก็ต้องตาย "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร อีกอย่างหนึ่ง มีเกวียนอยู่ ๒ เล่ม บรรทุกเต็มไปด้วยรัตนะเหมือนกัน แต่เมื่อมีผู้มาขนเอารัตนะจากเกวียนอีกเล่มหนึ่ง ขึ้นไปบรรทุกรวมเกวียนเล่มเดียวกัน เกวียนเล่นนั้นจะทรงไหวไหม ? "

" ไม่ไหว พระผู้เป็นเจ้า เกวียนเล่มนั้นดุมต้องแตก กำต้องหัก กงต้องทรุดลง เพลาต้องหัก เพราะหนักเกินไป "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร แต่ขอให้พระองค์ทรงสดับเหตุอื่นต่อไปอีก คือถ้ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกัน ๒ พระองค์ ความวิวาทของพุทธบริษัทก็จักมีขึ้นคือ ต่างฝ่ายก็จะยกย่องพระพุทธเจ้าของตน เปรียบเหมือนบริวารของอำมาตย์ผู้ใหญ่ ๒ คน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ยกย่องนายของตนฉะนั้น

อนึ่ง ถ้ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ คำว่า อัคโค พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นอัครบุคคลนั้น คำนี้มิผิดไปหรือ เชฏโฐ พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นผู้เจริญที่สุดก็จะผิด วิสิฏโฐ พุทโธ พระพุทธเจ้าประเสริฐกว่าเทพยดามนุษย์นั้นก็ผิด อุตตโม พุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นผู้อุดมก็จะผิดไปสิ้น ดังนี้ เป็นต้น

อีกประการหนึ่ง ธรรมดามีอยู่ว่า ในแผ่นดินใหญ่หนึ่ง ๆ ก็มีสาครใหญ่เพียงหนึ่ง เขาสิเนรุราชเพียงหนึ่ง อากาศเพียงหนึ่ง ท้าวสักกะเพียงหนึ่ง มารเพียงหนึ่ง มหาพรหมเพียงหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุเหล่านี้แหละ จึงไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดพร้อมกันถึง ๒ พระองค์ ขอถวายพระพร "

" ข้าแต่พระนาคเสนปัญหาข้อนี้ พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขดีด้วยเหตุการณ์หลายอย่าง โยมขอรับว่าถูกต้องดีทั้งนั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 17:27:07


          (http://statics.atcloud.com/files/comments/159/1594664/images/1_display.jpg)

ปัญหาที่ ๙ ถามเรื่องสัมมาปฏิบัติของคฤหัสถ์และบรรพชิต

" ข้าแต่พระนาคเสน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า

" เราสรรเสริญสัมมาปฏิบัติ ทั้งของคฤหัสถ์และบรรพชิต เพราะถ้าคฤหัสถ์และบรรพชิตปฏิบัติชอบ ก็ได้สำเร็จเญยยธรรม  อันเป็นกุศล " ดังนี้

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าหากคฤหัสถ์ผู้เกลือกกลั้วด้วยบุตร ภรรยา ผู้ได้นุ่งห่มดี ผู้ได้ตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอมเครื่องย้อมทา ผู้ยินดีในเงินทอง ผู้ประดับผมด้วยเครื่องประดับมีค่า ได้สำเร็จธรรมที่พึงรู้ได้เหมือนกับบรรพชิต ผู้นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด อาศัยผู้อื่นเลี้ยงชีพ ทำให้บริบูรณ์ในสีลขันธ์ทั้ง ๔ ยึดมั่นในสิกขาบททั้งหลาย ประพฤติธุดงคคุณ ๑๓ แล้ว คฤหัสถ์และบรรพชิต ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรกัน

การบรรพชาทนอดอยาก ก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์อันใด สู้เป็นคฤหัสถ์ไม่ได้ประโยชน์อะไรที่จะทำตัวให้ลำบาก เพราะผู้ทำให้ตัวเป็นสุข ก็ได้สุขเหมือนกัน "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระชินวรเจ้าได้ตรัสไว้ว่า " เราสรรเสริญสัมมาปฏิบัติทั้งของคฤหัสถ์และบรรพชิต คฤหัสถ์ก็ตามบรรพชิตก็ตาม เมื่อปฏิบัติชอบแล้วก็ได้สำเร็จธรรมที่พึงรู้ทั้งนั้น " ข้อนี้ ทรงมุ่งการปฏิบัติชอบเป็นใหญ่ เพราะถึงเป็นบรรพชิตถ้าไม่ปฏิบัติชอบ ก็ห่างไกลจากคุณวิเศษ ไม่ต้องพูดถึงคฤหัสถ์ ถึงจะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม ถ้าปฏิบัติชอบก็สำเร็จธรรมที่พึงรู้ได้เหมือนกับบรรพชิต ก็แต่ว่าบรรพชิตเป็นใหญ่แห่งสามัญผล  เพราะการบรรพชาเป็นของมีคุณมาก มีคุณเป็นเอนก มีคุณหาประมาณมิได้ ไม่อาจประมาณคุณของบรรพชาได้ เหมือนกับแก้วมณีโชติของพระเจ้าจักรพรรดิ ที่ไม่มีใครอาจตีราคาได้ หรือเหมือนกับลูกคลื่นในมหาสมุทร ซึ่งไม่มีใครประมาณได้ฉะนั้น สิ่งที่ควรทำทุกสิ่ง บรรพชิตเป็นผู้มักน้อย ผู้สันโดษ ผู้เงียบสงัด ผู้ไม่คลุกคลี ผู้มีความเพียรแรงกล้า ผู้ไม่มีห่วงใย ผู้มีศีลบริสุทธิ์ผู้มีอาจาระ  ขัดเกลาแล้ว ฉลาดในการปฏิบัติธุดงค์ ย่อมสำเร็จคุณวิเศษได้เร็ว เหมือนกับลูกศรที่ไม่มีข้อมีปมที่เหลาเกลี้ยงเกลาดี ที่ตรงดี เวลายิงไปย่อมไปได้รวดเร็วฉันนั้น เป็นอันว่า สิ่งที่ควรทำทั้งสิ้น บรรพชิตทำให้สำเร็จได้เร็วกว่าคฤหัสถ์ ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 18:13:21


ปัญหาที่ ๑๐ ถามเรื่องพระสึก

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน ศาสนาของพระตถาคตเจ้านี้ เป็นของใหญ่ เป็นแก่น เป็นของที่เลือกแล้ว เป็นของดีที่สุด เป็นของประเสริฐไม่มีอะไรเปรียบ เป็นของบริสุทธิ์ เป็นของไม่มีมลทิน เป็นของขาว เป็นของไม่มีโทษ จึงไม่สมควรให้คฤหัสถ์บรรพชา ต่อเมื่อคฤหัสถ์นั้น ได้สำเร็จมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่อาจสึกมาได้ จึงควรให้บรรพชา

ทั้งนี้ เพราะเหตุไร...เพราะเหตุว่า ปุถุชนบรรพชาในพระพุทธศาสนาอันบริสุทธิ์แล้วสึกออกมาก็เป็นเหตุให้มีผู้คิดว่า ศาสนาของพระสมณโคดม เป็นศาสนาเปล่า เพราะพวกที่บวชแล้วยังสึกมาได้ โยมเห็นอย่างนี้ โยมจึงว่าไม่สมควรให้คฤหัสถ์ปุถุชนบรรพชา "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร มีสระใหญ่เต็มเปี่ยมด้วยน้ำเย็นใสสะอาดอยู่สระหนึ่ง เมื่อมีผู้ใดผู้หนึ่งที่เปื้อนด้วยเหงื่อไคล ลงไปอาบน้ำในสระนั้นแล้ว ไม่ได้ขัดสีเหงื่อไคล หรือสิ่งที่เศร้าหมอง ได้ขึ้นมาจากสระ จะมีคนติเตียนบุรุษนั้น หรือติเตียนสระนั้นอย่างไร ? "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า จะมีแต่คนติเตียนบุรุษนั้นว่า ลงไปอาบน้ำในสระแล้วก็กลับขึ้นมาทั้งร่างกายยังสกปรกอยู่ ไม่มีใครจะติเตียนสระนั้นว่า ไม่ทำให้บุรุษนั้นสะอาด "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาราชะ คือพระตถาคตเจ้าได้ทรงสร้างสระอันประเสริฐ คือพระสัทธรรมเต็มด้วยน้ำใสสะอาด คือวิมุตติอันประเสริฐไว้อีก พวกที่เศร้าหมองด้วยกิเลสก็คิดว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายลงสรงน้ำในสระคือพระสัทธรรมนี้แล้ว ก็ล้างกิเลสทั้งปวงได้ แต้ถ้ามีผู้ใดลงอาบน้ำในสระ คือพระธรรมอันประเสริฐ แล้วหวนกลับออกไปทั้งกิเลส ก็จะมีผู้ติเตียนเขาได้ว่า ได้บรรพชาในศาสนาอันประเสริฐแล้ว ก็ยังทำที่พึ่งให้แก่ตนไม่ได้ ยังต้องสึกไป พระศาสนาอันประเสริฐจะทำผู้ไม่ปฏิบัติตาม ให้บริสุทธิ์เองได้อย่างใด จะโทษพระศาสนาได้อย่างไร

อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่ามีบุรุษคนหนึ่งกำลังป่วยหนัก ได้เห็นหมอผ่าตัดที่เคยรักษาคนไข้หายมามากแล้ว เป็นผู้รอบรู้ในเรื่องความเกิดแห่งโรค แต่ไม่ให้หมอนั้นรักษา ได้กลับไปทั้งที่ยังเจ็บไข้อยู่ มหาชนจะติเตียนคนป่วยหรือติเตียนหมอ ? "
" อ๋อ...ต้องติเตียนคนป่วย ไม่มีใครจะติเตียนหมอเป็นแน่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือพระตถาคตเจ้าได้ทรงจัดยาอมฤต อันสามารถระงับโรค คือกิเลสทั้งสิ้นไว้ในผอบ อันได้แก่พระพุทธศาสนาไว้แล้ว พวกที่รู้ตัวว่าถูกโรคภัย คือกิเลสบีบคั้น ก็ได้ดื่มยาอมฤตของพระพุทธเจ้า แล้วก็หายโรค คือกิเลสทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่ไม่ดื่มยาอมฤต ได้กลับสึกไปทั้งกิเลส ก็จะได้รับคำติเตียนว่า ได้บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว ทำที่พึ่งให้แก่ตัวไม่ได้ ได้หมุนเวียนมาเพื่อความเป็นคนเลวอีก พระพุทธศาสนาจักทำให้ผู้ไม่ปฏิบัติตาม ให้บริสุทธิ์เองได้อย่างไร โทษอะไรจะมีแก่พระพุทธศาสนา

อีกประการหนึ่ง บุรุษที่หิวข้าวไปถึงที่เขาเลี้ยงข้าวแล้ว ไม่กินข้าว ได้กลับไปทั้งความหิว คนจะติเตียนบุรุษที่หิวนั้น หรือว่าจะติเตียนข้าวล่ะ...มหาบพิตร ? "
" ต้องติเตียนบุรุษนั้นซิ ผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้น มหาบพิตร คือพระพุทธเจ้าได้ทรงจัดข้าว อันได้แก่กายคตาสติ อันมีรสอร่อยยิ่ง อันเป็นของเยี่ยม เป็นของประเสริฐเป็นของสงบ เป็นของเยือกเย็น เป็นของประณีต เป็นของอันไม่รู้จักตายไว้ในผอบ คือพระพุทธศาสนาแล้ว พวกใดมีความหิว คือมีกิเลสครอบงำมีใจเร่าร้อนด้วยตัณหา บริโภคข้าวอันนี้แล้ว ก็กำจัดตัณหาทั้งปวง ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ เสียได้ ส่วนผู้ที่ไม่กินข้าวนี้ กลับไปทั้งความหิวด้วยตัณหา ก็จะมีแต่ผู้ติเตียนเขา ไม่มีผู้ติเตียนพระพุทธศาสนา ขอถวายพระพร

ถ้าพระพุทธเจ้าให้คฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จ อย่างใดอย่างหนึ่งเสียก่อนแล้ว จึงโปรดให้บรรพชา การบรรพชานี้จะชื่อว่าเป็นไปเพื่อละกิเลส เพื่ออบรมความบริสุทธิ์ได้อย่างไร สิ่งที่ควรทำในบรรพชาก็ไม่มี

สมมุติว่า มีบุรุษคนหนึ่งได้ลงทุนให้คนขุดสระไว้ แล้วประกาศว่า พวกที่มีร่างกายเศร้าหมอง อย่ามาลงอาบน้ำที่สระนี้เป็นอันขาด ให้ลงอาบได้แต่ผู้มีกายไม่เศร้าหมองเท่านั้นอย่างนี้จะสมควรหรือไม่ ? "

" ไม่สมควร พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาได้ สร้างสระน้ำไว้ก็เพื่อต้องการให้คนที่มีร่างกายเศร้าหมองได้อาบ นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถ้าพระพุทธเจ้าจะโปรดให้บรรพชาเฉพาะคฤหัสถ์ ผู้ได้สำเร็จมรรคผลอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว สิ่งที่เขาควรทำในการบรรพชา เขาก็ได้ทำแล้ว เขาจะต้องการอะไรกับบรรพชา ขอถวายพระพร

อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่ามีหมอวิเศษคนหนึ่ง ทำยาไว้แล้ว เขาควรประกาศว่า ผู้ที่เจ็บไข้อย่ามาหาข้าพเจ้า ให้มาแต่ผู้ที่ไม่เจ็บไข้เท่านั้น อย่างนี้หรือจึงจะสมควร ? "

" ไม่ใช่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า เพราะยาของเขาเป็นของสำหรับรักษาโรค คนไม่มีโรคก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องรักษา "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือถ้าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ให้บรรพชาเฉพาะคฤหัสถ์ที่ได้มรรคผลแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องบรรพชา เพราะสิ่งที่ควรทำให้บรรพชาก็ได้ทำแล้ว ขอถวายพระพร

อีกประการหนึ่ง เหมือนกับบุรุษคนใดคนหนึ่ง จัดอาหารไว้หลายร้อยถาด แล้วเขาประกาศว่า พวกที่หิวอย่าเข้ามา จงให้เข้ามาแต่พวกที่อิ่มแล้ว เขาประกาศอย่างนี้จะสมควรหรือไม่ ? "

" ไม่สมควร พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 18:37:17


   คุณอันชั่งไม่ได้ ๕ ประการ

   " อนึ่ง พวกที่สึกไปย่อมแสดงให้คนอื่นเห็น ซึ่งคุณอันชั่งไม่ได้ ๕ ประการ ของพระพุทธศาสนา

   คุณอันชั่งไม่ได้ ๕ ประการนั้นคืออะไรบ้าง...คือ
   ความเป็นภูมิใหญ่ ๑
   ความเป็นของบริสุทธิ์ ๑
   ความไม่อยู่ร่วมกับผู้ลามก ๑
   ความรู้แจ้งแทงตลอดได้ยาก ๑
   ความมีการสำรวมมาก ๑

   ข้อที่ว่าแสดงความเป็นภูมิใหญ่นั้น คืออย่างไร...สมมุติว่ามีบุรุษคนหนึ่ง เป็นคนมีนิสัยต่ำช้า ไม่มีคุณวิเศษอันใด ไม่มีความรู้อันใด เมื่อได้ราชสมบัติอันใหญ่หลวง ไม่ช้าก็จะถึงความวิบัติ ไม่อาจรักษาความเป็นใหญ่ไว้ได้ เพราะความเป็นใหญ่นั้น เป็นของใหญ่ฉันใด

   พวกที่ไม่มีคุณวิเศษ ไม่ได้กระทำบุญไว้ ไม่มีความรู้อันใด เวลาได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ไม่อาจดำรงเพศบรรพชิตไว้ได้ ได้ตกออกไปจากพระพุทธศาสนาในไม่ช้า เพราะภูมิในพระพุทธศาสนาเป็นของใหญ่ฉันนั้น

   ข้อว่า แสดงให้เห็นความบริสุทธิ์อย่างเยี่ยมนั้น คืออย่างไร...คือน้ำที่ตกลงบนในบัวย่อมกลิ้งไหลลงไปจากใบบัว ไม่ติดอยู่ในใบบัวได้ เพราะใบบัวเป็นของบริสุทธิ์ฉันใด

   พวกที่มีนิสัยโอ้อวดคดโกง มีความเห็นไม่ดี ได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่ช้าก็ตกออกไปจากพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธศาสนาเป็นของบริสุทธิ์ฉันนั้น

   ข้อว่า แสดงให้เห็นความไม่อยู่ร่วมกันกับผู้ลามกนั้น คืออย่างไร...คือธรรมดามหาสมุทร ย่อมไม่อยู่ร่วมกับซากศพ ย่อมพัดซากศพขึ้นไปบนบกโดยเร็วพลัน เพราะมหาสมุทรเป็นที่อาศัยอยู่ของหมู่สัตว์ใหญ่ ๆ ฉันใด

   พวกที่ลามกได้บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่ช้าก็ตกออกไปจากพระพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาเป็นที่อยู่ของผู้มีคุณธรรมใหญ่ คือพระอริยเจ้าทั้งหลายฉันนั้น

   ข้อว่า แสดงซึ่งความเป็นของรู้แจ้งได้ยากนั้น คืออย่างไร...คือพวกที่ไม่เก่งในวิชาธนูย่อมไม่อาจยิงให้ถูกปลายขนทรายได้ฉันใด

   พวกที่ไม่มีปัญญา บ้าเซ่อ ลุ่มหลง ก็ไม่อาจแทงตลอดซึ่งอริยสัจ ๔ อันเป็นของละเอียดยิ่งได้ฉันนั้น เขาจึงได้ตกออกไปจากพระพุทธศาสนาโดยเร็วพลัน

   ข้อว่า แสดงให้เห็นซึ่งความเป็นของมีการสำรวมมากนั้น คืออย่างไร...คือ บุรุษที่เข้าสู่ยุทธภูมิใหญ่ ได้เห็นข้าศึกล้อมรอบก็กลัวแล้ววิ่งหนี เพราะกลัวการระวังรักษา ซึ่งศาตราวุธมีอยู่มากฉันใด

   พวกที่มีนิสัยลามก ไม่ชอบสำรวม ไม่มีความละอายบาป ไม่มีความอดทน ก็ไม่อาจรักษาสิกขาบทเป็นอันมากไว้ได้ ต้องตกออกไปจากพระพุทธศาสนาในไม่ช้าฉันนั้น ขอถวายพระพร

   ดอกไม้ที่มีหนอนเจาะย่อมมีในกอดอกมะลิ อันนับว่าสูงสุดกว่าดอกไม้ที่เกิดอยู่บนบกทั้งสิ้น ดอกที่หนอนเจาะก็ตกร่วงลงไป ส่วนดอกที่ยังอยู่ก็ส่งกลิ่นหอมฉันใด พวกที่บวชในพระพุทธศาสนาแล้วสึกไป ก็เปรียบเหมือนดอกมะลิที่หนอนเจาะ แล้วตกร่วงไปฉันนั้น

   ส่วนพวกที่ยังอยู่ก็ทำให้มนุษย์โลก เทวโลก ได้รับกลิ่นหอม คือกลิ่นศีลอันประเสริฐฉันนั้น

   ข้าวสาลีอันชื่อว่า " กุรุมพกะ " อันมีในจำพวกข้าวสาลีแดงที่ไม่มีอันตราย แต่พอเกิดขึ้นแล้วก็เสียไปในระหว่าง ส่วนข้าวสาลีที่ยังอยู่ ก็สมควรเป็นเครื่องเสวยสำหรับพระราชาฉันใด

   พวกที่บรรพชาแล้วสึกไป ก็เหมือนกับข้าวสาลีที่เสียไปในระหว่างฉันนั้น
   ส่วนพวกที่ยังอยู่ก็สมควรแก่ความเป็นพระอรหันต์ฉันนั้น

   อีกประการหนึ่ง แก้วมณีอันให้สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง ถึงบางแห่งจะมีตำหนิก็ไม่มีผู้ติ ส่วนที่บริสุทธิ์ก็เป็นที่ชื่นชมยินดีของมหาชนทั้งปวงฉันใด พวกที่บรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้วสึกไป เท่ากับเป็นตำหนิหรือเป็นสะเก็ด ส่วนพวกที่ยังอยู่ย่อมทำให้เกิดความร่าเริงยินดีแก่เทพยดามนุษย์ทั้งหลายฉันนั้น

   อีกอย่างหนึ่ง แก่นจันทน์ถึงจะเน่าเป็นบางแห่ง ก็ไม่มีผู้ติ เพราะที่ไม่เน่าไม่เสียย่อมมีกลิ่นหอมฉันใด พวกที่สึกไปก็เหมือนแก่นจันทร์แดงที่เน่าที่เสีย ส่วนพวกที่ยังอยู่ก็ส่งกลิ่นหอมอันประเสริฐคือศีล ให้หอมทั่วเทวโลกมนุษย์โลกฉันนั้น ขอถวายพระพร "

   " สาธุ...พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้แสดงความเป็นของประเสริฐสุด แห่งพระพุทธศาสนาไว้ถูกต้องดีแล้วทุกประการ "

   จบวรรคที่ ๖



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 19:41:57


(http://statics.atcloud.com/files/comments/139/1390237/images/1_display.jpg)
เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๗
ปัญหาที่ ๑ ถามเรื่องเวทนาทางกายทางใจของพระอรหันต์

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน มีคำกล่าวว่า พระอรหันต์ได้เสวยแต่เวทนาทางกายอย่างเดียวไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ ดังนี้ โยมขอถามว่า พระอรหันต์มีจิตไหมสิ่งใดเป็นไปเพราะอาศัยกาย พระอรหันต์ไม่ได้เป็นใหญ่ในสิ่งนั้นอย่างนั้นหรือ ? "

พระนาคเสนตอบว่า
" อย่างนั้น มหาบพิตร "

" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่า พระอรหันต์ไม่ได้เป็นใหญ่ในกาย อันเป็นไปของผู้มีจิตวิญญาณอยู่นั้น ย่อมไม่สมควร เพราะถึงนกก็ย่อมเป็นใหญ่ในรังของตน "

" ขอถวายพระพร สิ่งที่มีอยู่ในกาย วิ่งไปตามกาย หมุนไปตามกายทุกภพมีอยู่ ๑๐ อย่างคือ
ความเย็น ๑ ความร้อน ๑ ความหิว ๑ ความกระหาย ๑ อุจจาระ ๑ ปัสสาวะ ๑ ความง่วง ๑ ความแก่ ๑ ความเจ็บ ๑ ความตาย ๑ พระอรหันต์ไมได้เป็นใหญ่ในสิ่งทั้ง ๑๐ นั้น "

" ข้าแต่พระนาคเสน เหตุใดพระอรหันต์จึงไม่มีอำนาจในกาย ไม่เป็นใหญ่ในกาย ? "
" ขอถวายพระพร พวกสัตว์ที่อาศัยแผ่นดินทั้งสิ้น มีอำนาจในแผ่นดินหรือไม่ ? "
" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ถึงจิตของพระอรหันต์อาศัยกาย พระอรหันต์ก็ไม่มีอำนาจทางกายฉันนั้น ขอถวายพระพร "
" ข้าแต่พระนาคเสน เพราะเหตุใด ปุถุชนจึงได้เสวยเวทนาทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ? "
" ขอถวายพระพร เพราะปุถุชนไม่ได้อบรมจิตใจ จึงได้เสวยเวทนาทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ข้อนี้เปรียบเหมือนโคที่กำลังหิว เขาผูกไว้ที่กอหญ้า หรือที่เครือไม้ เมื่อหิวจัดเข้าก็กระโดดหนีไป ทำให้เครื่องผูกนั้นขาดไปได้ฉันใด เวทนาเกิดแก่ผู้ไม่ได้อบรมจิตใจแล้วก็ทำจิตใจให้กำเริบ จิตกำเริบแล้วก็เกี่ยวเนื่องไปถึงกาย แล้วเขาก็ร้องไห้คร่ำครวญ อันนี้แหละเป็นเหตุให้ปุถุชน ได้เสวยเวทนาทางกายบ้าง ทางใจบ้าง "

" ข้าแต่พระผู้เป็น ก็เหตุอันใดเล่า ที่ทำให้พระอรหันต์ ได้เสวยแต่เวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่ได้เสวยเวทนาทางใจ ? "

" ขอถวายพระพร เพราะพระอรหันต์ได้อบรมจิตใจไว้ดีแล้ว เวลาได้รับทุกขเวทนา ก็ยึดมั่นว่าเป็นอนิจจัง ผูกจิตไว้ในเสาคือสมาธิแล้วจิตก็ไม่ดิ้นรนหวั่นไหว มีแต่กายเท่านั้นที่เป็นไปตามอำนาจเวทนา เหตุอันนี้แหละทำให้พระอรหันต์ได้เสวยแต่เวทนาทางกายอย่างเดียว

" ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงเหตุ ในการที่จิตไม่หวั่นไหวไปตามกายให้โยมฟัง ""
" ขอถวายพระพร ต้นไม้ใหญ่ที่สมบูรณ์ด้วยลำต้น กิ่ง ก้าน และใบ เมื่อกิ่งไหวเวลาถูกลมพัด ลำต้นจะไหวด้วยไหม ? "
" ไม่ไหว พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เพราะจิตของพระอรหันต์มั่นอยู่ในอนิจจัง ไม่รู้จักหวั่นไหว เปรียบเหมือนลำต้นแห่งต้นไม้ใหญ่ฉะนั้น "

" น่าอัศจรรย์ ! พระผู้เป็นเจ้า ธรรมประทีปอันมีประจำอยู่ทุกเมื่ออย่างนี้ โยมไม่เคยได้เห็นเลย "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 สิงหาคม 2554 20:24:16


                 (http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcR8f-WniiIplKIy9EpYufjmmYpdIoE2PxeAlErlVsZAihAI0T8G)

#๒๘๔ ปัญหาที่ ๒ ว่าด้วยเหตุที่พระอรหันต์ไม่มีความทุกข์
(เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร
จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูก่อนพระนาคเสน เป็นเพราะเหตุไร พระอรหันต์ท่านจึงไม่มีความทุกข์ใจอย่างปุถุชนเล่าเธอ

พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นเพราะท่านมีสติสัมปชัญญะกำกับใจอยู่เสมอ กำหนดรู้อารมณ์ที่ผ่านมายังใจว่า มีเหตุมีผลเป็นอย่างไร ถ้าเป็นอารมณ์ที่จะให้เกิดความทุกข์ ท่านก็ไม่ปล่อยใจให้ไปนอนอยู่ในอารมณ์เช่นนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ อารมณ์อันเป็นแดนเกิดแห่งความทุกข์นั้น ๆ ก็บีบใจท่านไม่ได้ ขอถวายพระพร เหตุนี้พระอรหันต์ท่านจึงไม่มีความทุกข์ใจ

ม. ชอบละ


(http://statics.atcloud.com/files/comments/53/536966/images/1_display.jpg)

ปัญหาที่ ๓ ถามเรื่องอันตรายแห่งการสำเร็จธรรมของคฤหัสถ์ผู้ปาราชิก

" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้ามีคนคฤหัสถ์ผู้ใดผู้หนึ่งต้องปาราชิก (โดยไม่รู้) แล้ว (สึกไป) ต่อมาภายหลังได้บรรพชา (อีก) เขาเองก็ไม่รู้ว่า เราเป็นคฤหัสถ์ต้องปาราชิกแล้ว ผู้อื่นก็ไม่รู้ ธรรมาภิสมัย (การบรรลุมรรคผล) จะมีแก่เขาหรือไม่ ? "

" ไม่มี มหาบพิตร "
" เพราะเหตุไร พระผู้เป็นเจ้า ? "

" ขอถวายพระพร เพราะเหตุว่า เหตุอันใดที่จะทำให้ได้ธรรมาภิสมัย เหตุอันนั้นเขาได้ตัดขาดแล้ว เพราะฉะนั้น ธรรมาภิสมัยจึงไม่มีแก่เขา "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า มีคำกล่าวว่า ความรำคาญใจย่อมมีแก่ผู้รู้ เมื่อมีความรำคาญใจก็มีเครื่องกั้น เมื่อมีเครื่องกั้นแล้วแล้ว ธรรมาภิสมัยก็ไม่มี ก็ผู้ไม่รู้ ไม่มีความรำคาญ มีจิตสงบอยู่ เหตุไรจึงไม่มีธรรมาภิสมัยแก้ไขยาก โปรดแก้ไขด้วย ? "

" ขอถวายพระพร พืชที่หว่านลงในที่ดินอันดี จะงอกขึ้นได้หรือไม่ ? "
" งอกได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ถ้าพืชนั้นเขาหว่านลงบนศิลาแลง จะงอกขึ้นได้หรือไม่ ? "
" งอกไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร เพราะเหตุไร พืชจึงงอกขึ้นในดินที่ดี เพราะเหตุไร จึงไม่งอกขึ้นที่ศิลาแลง ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพราะศิลาแลง ไม่เป็นเหตุให้พืชงอกขึ้นได้ พืชจึงไม่งอกขึ้น "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เพราะเหตุที่เขาตัดสิ่งจะให้เกิดธรรมาภิสมัยเสียแล้ว ธรรมาภิสมัยจึงไม่มี อีกอย่างหนึ่ง ไม้ค้อน ก้อนดินที่บุคคลโยนขึ้นไปในอากาศ (จะค้างอยู่บนอากาศหรือไม่)? "
" ไม่ค้าง พระผู้เป็นเจ้า "

" เพราะเหตุไร มหาบพิตร ? "
" เพราะเหตุว่า อากาศไม่เป็นที่ตั้งอยู่แห่งไม้ค้อน ก้อนดิน "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เพราะเมื่อเขาตัดเหตุที่จะให้ได้อภิสมัยแล้ว อภิสมัยก็ไม่มี อีกประการหนึ่ง ธรรมดาไฟย่อมลุกโพลงอยู่บนบก จึงขอถามว่า ไฟนั้นจะลุกโพลงอยู่บนน้ำได้หรือ ? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" เพราะเหตุไร มหาบพิตร ? "
" เพราะเหตุว่า น้ำไม่เป็นที่ให้ไฟลุก "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เมื่อเขาตัดเหตุที่จะให้ได้ธรรมาภิสมัย ธรรมาภิสมัยก็ไม่มี "

" ข้าแต่พระนาคเสน ขอท่านจงคิดเนื้อความข้อนี้อีก คือสมมุติว่าโยมไม่รู้เลยว่าโยมเป็นปาราชิก เมื่อไม่รู้ก็ไม่เกิดความรำคาญใจจะมีเครื่องกั้นกางได้อย่างไร ?"
" ขอถวายพระพร ผู้ที่ไม่รู้ยาพิษอันแรงกล้า แต่ได้กินยาพิษนั้นเข้า เขาจะตายไหม ? "
" ตาย พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร บาปที่ผู้ไม่รู้กระทำ ก็กระทำอันตรายแก่อภิสมัยได้อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่เหยียบไฟด้วยไม่รู้ ไฟจะไหม้ไหม ? "
" ไหม้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร บาปที่กระทำลงไปแล้ว ถึงไม่รู้ก็จะกระทำอันตรายแก่อภิสมัยได้ อีกประการหนึ่ง อสรพิษกัดผู้ที่ไม่รู้ตายไหม ? "
" ตาย พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงบาปผู้ไม่รู้กระทำ ก็กระทำอันตรายแก่อภิสมัยได้ ขอถวายพระพร พระราชากาลิงคราชผู้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ได้ทรงช้างแก้วไปทางอากาศ ถึงไม่ทราบว่า เป็นต้นไม้ศรีมหาโพธิเก่าอยู่ที่ตรงนั้น แต่ก็ไม่อาจเหาะข้ามไปบนต้นไม้ศรีมหาโพธินั้นไม่ใช่หรือ...อันนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า ถึงบาปที่ผู้ไม่รู้กระทำก็กระทำอันตรายแก่ธรรมาภิสมัยได้ "

" ข้าแต่พระนาคเสน คำแก้ไขของพระผู้เป็นเจ้านี้ ไม่อาจมีใครคัดค้านได้ "

ต่อ #๒๘๕ :http://agaligohome.com/index.php?topic=205.285



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 09:54:08


ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องสมณะทุศีลคฤหัสถ์ทุศีล

" ข้าแต่พระนาคเสน คฤหัสถ์ทุศีล กับสมณะทุศีล ต่างกันอย่างไร คนทั้งสองนี้มีคติเสมอกัน มีวิบากเสมอกันหรืออย่างไร ? "

" ขอถวายพระพร คุณธรรม ๑๐ ประการของ สมณะทุศีล ทำให้ (สมณะทุศีล) ดียิ่งกว่า คฤหัสถ์ทุศีล (และเป็นเหตุ) ทำให้การถวายทานของชาวบ้าน (แม้กับสมณะทุศีล) มีผลมาก ได้ด้วยเหตุ ๑๐ ประการอีก

คุณธรรม ๑๐ ประการ
๑. ความเคารพในพระพุทธเจ้า
๒. ความเคารพในพระธรรม
๓. ความเคารพในพระสงฆ์
๔. ความเคารพในเพื่อนพรหมจรรย์
๕. ความพยายามเล่าเรียน

๖. ความมากไปด้วยการฟัง
๗. ความเคารพต่อที่ประชุม
๘. ความเป็นผู้มุ่งต่อความเพียร
๙. ยังรักษาไว้ซึ่งเพศภิกษุ
๑๐. ยังรู้จักปกปิดความชั่วของตัวไปด้วยความละอาย เหมือนกับหญิงที่มีสามี
ลักลอบทำความชั่ว ด้วยกลัวผู้อื่นจะรู้เห็นฉะนั้น

เหตุ ๑๐ ประการ
เหตุ ๑๐ ประการ ที่ทำให้การถวายทานของชาวบ้านมีผลมาก นั้น คืออะไรบ้าง คือ

๑. ความทรงไว้ซึ่งเกราะ คือกาสาวพัสตร์อันบุคคลไม่ควรฆ่า
๒. ความทรงไว้ซึ่งเพศภิกษุ
๓. ความเข้าถึงซึ่งการกระทำกิจวัตรของสงฆ์
๔. ความนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
๕. ความอบรมนิสัย ในทางความเพียร

๖. ความแสวงหาซึ่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระชินวร
๗. การแสดงซึ่งธรรมอันประเสริฐ
๘. การถือพระธรรมเป็นเกราะ เป็นคติ เป็นที่พึ่งในเบื้องหน้า
๙. มีความเห็นตรงแน่วแน่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้เลิศ
๑๐. การถือมั่นซึ่งอุโบสถ ขอถวายพระพร

สมณะทุศีล ถึงมีศีลวิบัติแล้ว ก็ยังทำทานของทายกผู้ถวายให้บริสุทธิ์ได้ เปรียบเหมือนน้ำ (แม้เป็นน้ำสกปรก) อันชำระล้างซึ่งโคลน เลน ฝุ่นละออง เหงื่อไคลให้หายไปได้
หรือเปรียบเหมือนน้ำร้อน ถึงจะร้อน ก็ยังดับไฟกองใหญ่ได้ หรือเปรียบเหมือนโภชนะ อันกำจัดความหิวได้ฉะนั้น ข้อนี้ สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ได้ตรัสไว้ใน ทักขิณาวิภงคสูตร ว่า

" ผู้มีศีลมีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลแล้ว ให้ทานของที่ได้มาโดยชอบแก่ผู้ทุศีล
การถวายทานของเขานั้น ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก " ดังนี้ ขอถวายพระพร "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสสรรเสริญว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำปัญหาที่โยมถาม ให้มีรสไม่รู้จักตายให้เป็นของควรฟัง ด้วยอุปมาเหตุการณ์หลายอย่าง เหมือนพ่อครัว หรือลูกมือของพ่อครัวผู้ฉลาด ได้เนื้อมาเพียงก้อนเดียว ก็ตกแต่งอาหารได้หลายอย่าง เพื่อถวายแก่พระราชาฉันนั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 10:11:16


ปัญหาที่ ๕ ถามความมีชีวิตแห่งน้ำ

" ข้าแต่พระนาคเสน เวลาน้ำถูกความร้อนย่อมมีเสียงร้องต่าง ๆ น้ำมีชีวิตหรืออย่างไร ? "
" น้ำไม่มีชีวิต ขอถวายพระพร ก็แต่ว่าเวลาน้ำถูกความร้อนด้วยไฟ ก็ย่อมมีเสียง "

" ข้าแต่พระนาคเสน พวกเดียรถีย์บางพวกถือว่าน้ำมีชีวิต เขาจึงไม่ใช้น้ำเย็น ใช้แต่น้ำที่ต้มแล้วเท่านั้น ทั้งเขาติเตียนชาวพุทธว่าพวกสมณศากยบุตรเบียดเบียนของที่มีชีวิตอินทรีย์อันเดียว ขอพระผู้เป็นเจ้าจงปลดเปลื้องข้อครหานั้นเสียเถิด พระคุณเจ้าข้า "

" ขอถวายพระพร น้ำไม่มีชีวิตเลย ชีพหรือสัตว์ไม่มีอยู่ในน้ำ ก็แต่ว่าน้ำมีเสียงดังได้ด้วยกำลังความร้อนแห่งไฟ เปรียบเหมือนน้ำอันตกลงในบึง ในสระ ในหนอง ในซอกเขา ในบ่อน้ำ ในที่ลุ่ม ในสระโบกขรณี ก็มีเสียงดังฉะนั้น อีกประการหนึ่ง ขอมหาบพิตรได้ทรงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้ คือน้ำอันบุคคลใส่ลงไปในข้าวสาร แล้วยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ น้ำจะมีเสียงดังไหม ? "
" ไม่มีเสียงดัง พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร เวลาภาชนะน้ำนั้น ถูกยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ น้ำจะนิ่งสงบอยู่ไหม ? "
" ไม่นิ่งสงบ พระผู้เป็นเจ้า น้ำนั้นจะต้องเดือดมีฟองข้าวล้นออกไป "

" เพราะเหตุไร น้ำปกติจึงนิ่งสงบ ส่วนน้ำที่ร้อนด้วยไฟจึงเดือดพล่าน ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า น้ำปกตินิ่งอยู่ ส่วนที่ร้อนด้วยไฟย่อมมีเสียงดัง เพราะกำลังความร้อนแห่งไฟ "

" ขอถวายพระพร ถึงเหตุอันนี้ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า น้ำไม่มีชีวิต ขอพระองค์จงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือน้ำที่อยู่ในภาชนะน้ำในบ้าน เขาปิดไว้ไม่ใช่หรือ ? "
" ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ก็น้ำนั้นเดือดพล่านหรือไม่ ? "
" ไม่เดือด พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า น้ำในมหาสมุทรเป็นลูกคลื่นมีเสียงดังลั่นอยู่เสมอ ? "
" เคยสดับ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร เหตุไรน้ำในขันที่เขาปิดไว้ จึงไม่เป็นลูกคลื่น ไม่มีเสียงดัง ส่วนน้ำในมหาสมุทรมีลูกคลื่น มีเสียงดัง ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า การที่น้ำในมหาสมุทรเป็นลูกคลื่น มีเสียงดังนั้น เพราะกำลังของลมพัดส่วนน้ำในขันน้ำที่เขาปิดไว้นั้น ไม่ถูกลมพัด "

" ขอถวายพระพร น้ำในมหาสมุทรเป็นลูกคลื่นมีเสียงดัง เพราะกำลังลมฉันใด น้ำที่ต้มบนเตาไฟก็มีเสียงดัง เพราะกำลังความร้อนฉันนั้น ขอถวายพระพร ธรรมดาหน้ากลองเขาย่อมหุ้มด้วยหนังแห้งไม่ใช่หรือ ? "
" ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร กลองเป็นของมีชีวิตจิตใจหรือไม่ ? "
" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร กลองไม่มีชีวิตจิตใจแต่เหตุไรจึงมีเสียงดัง ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า กลองมีเสียงดังด้วยความพยายาม อันเกิดจากสตรีหรือบุรุษ "

" ขอถวายพระพร กลองมีเสียงดังได้ด้วยความพยามยามของสตรีหรือบุรุษฉันใด น้ำก็มีเสียงดังได้ด้วยความร้อนฉันนั้น เหตุอันนี้ก็ชี้ให้เห็นว่า น้ำไม่มีชีวิตจิตใจ แต่มีเสียงดังได้เพราะความร้อนแห่งไฟ ขอถวายพระพร ปัญหาที่มหาบพิตรได้ตรัสถามมาแล้ว ก็ได้แก้ถวายดีแล้วทั้งนั้น จึงขอถามมหาบพิตรว่า น้ำในภาชนะทั้งปวงเมื่อถูกร้อนก็ดังเหมือนกันทั้งนั้น หรือดังเป็นบางภาชนะ ? "
" ไม่ดังเหมือนกันหมด ดังเป็นบางภาชนะ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นอันว่ามหาบพิตรได้ทิ้งความเห็นของพระองค์ กลับเข้าหาความเห็นของอาตมาภาพแล้วว่า น้ำที่ไม่มีชีวิตจิตใจ ขอถวายพระพร
ถ้าน้ำในภาชนะทั้งปวงเมื่อถูกร้อนก็ดังเหมือนกันหมด คำกล่าวว่า น้ำมีชีวิตก็สมควร เพราะน้ำไม่ได้แยกออกไปเป็นสอง คือ มีชีวิตก็มี ไม่มีชีวิตก็มี ขอถวายพระพร

ถ้าน้ำมีชีวิต เวลาฝูงช้างลงเล่นน้ำ ดูดน้ำเข้าไปทางงวง แล้วใส่เข้าไปในปากไหลเข้าไปในท้อง น้ำก็ต้องมีเสียงร้อง หรือเวลาสำเภาใหญ่ ๆ บรรทุกเต็มไปด้วยสินค้าแล่นไปในมหาสมุทร น้ำที่ถูกสำเภาเบียดเสียด ก็ต้องมีเสียงร้อง หรือเวลาปลาใหญ่ ๆ ตัวยาวตั้งหลายร้อยโยชน์ คือ ปลาติมิติมิงคละ ดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำมหาสมุทร ถ้าน้ำมีชีวิตก็ต้องร้องเพราะเหตุน้ำไม่มีชีวิตจึงไม่ร้อง "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสยกย่องว่า
" สาธุ...พระนาคเสน ปัญหาอันถึงซึ่งการแสดง พระผู้เป็นเจ้าได้แจงออกไว้ ด้วยการแจงสมควรแล้วทั้งนั้น เปรียบเหมือนแก้วมณีที่มีค่ามาก เมื่อส่งไปถึงนายช่างผู้ฉลาด เขาก็ทำให้ดียิ่งขึ้น หรือแก้วมุกดา แก่นจันทน์แดงอันน่าสรรเสริญฉะนั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 10:19:38


ปัญหาที่ ๖ ถามถึงความเป็นพระอรหันต์แห่งคฤหัสถ์

ปัญหาข้อนี้ซ้ำกับ เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๖ ปัญหาที่ ๓

ปัญหาที่ ๗ ถามถึงสิ่งที่ไม่มีในโลก

" ข้าแต่พระนาคเสน ในโลกนี้ย่อมปรากฏมีพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวก พระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าประเทศราช เทวดา มนุษย์ ผู้มีทรัพย์ ผู้ไม่มีทรัพย์ ผู้ไปดี ผู้ไปไม่ดี เพศหญิง เพศชาย กรรมดีกรรมชั่ว ผลของกรรมดีกรรมชั่ว สัตว์ที่เกิดในฟองไข่ เกิดในท้องแม่ เกิดในเหงื่อไคล เกิดขึ้นเอง ไม่มีเท้าก็มี มีเพียง ๒ เท้า ๔ เท้า หลายเท้าก็มี มีทั้งยักษ์ รากษส กุมภัณฑ์ อสูร ทานพ คนธรรพ์ เปรต ปีศาจ กินนร นาค ครุฑ ฤๅษี วิชาธร ช้าง ม้า โค กระบือ อูฐ ลา แพะ แกะ เนื้อ สุกร สิงห์ พยัคฆ์ เสือเหลือง หมี เสือดาว หมาไน สุนัขบ้าน สุนัขป่า นกต่าง ๆ ทอง เงิน มุกดา มณี สังข์ ศิลา ประพาฬ แก้วแดง แก้วลาย แก้วไพฑูรย์ เพชร แก้วผลึก เหล็ก ทองแดง แร่เงิน แร่สัมฤทธิ์ ผ้าป่าน ผ้าไหม ผ้าด้าย ป่าน ปอ ขนสัตว์ ข้าวไม่มีเปลือก ข้าวมีเปลือก ข้าวละมาน หญ้ากันแก้ ลูกเดือย หญ้าละมาน ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ถั่วพู ต้นไม้ที่มีรากหอม มีแก่นหอม มีกระพี้หอม มีเปลือกหอม มีใบหอม มีดอกหอม มีผลหอม มีข้อหอม หญ้า เครือไม้ กอไม้ ต้นไม้ ดวงดาว ต้นไม้ใหญ่ แม่น้ำ ภูเขา ทะเล ปลา เต่า เป็นอันมาก สิ่งเหล่านี้มีปรากฏอยู่ในโลกทั้งนั้น สิ่งที่ไม่มีในโลก ถ้ามีอยู่ขอจงบอกให้แก่โยมด้วย "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร สิ่งที่ไม่มีในโลกมีอยู่ ๓ ประการ คือ

๑. สิ่งที่มีเจตนาหรือไม่มีเจตนาก็ตาม จะไม่แก่ไม่ตาย ไม่มีในโลก
๒. ความเที่ยงแห่งสังขารทั้งหลายไม่มี
๓. เมื่อว่าตามปรมัตถ์แล้ว คำว่าสัตว์บุคคลไม่มี

รวมเป็นของไม่มีอยู่ในโลก ๓ อย่างนี้แหละ มหาบพิตร "
" สาธุ...พระนาคเสน ปัญหาข้อนี้พระผู้เป็นเจ้ากล่าวแก้ถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 10:36:00


ปัญหาที่ ๘ ถามถึงความเผลอสติของพระอรหันต์

" ข้าแต่พระนาคเสน ความเผลอสติของพระอรหันต์มีอยู่หรือ ? "
" ขอถวายพระพร ไม่มี "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระอรหันต์ต้องอาบัติบ้างหรือไม่ ? "
" ขอถวายพระพร ต้อง "

" ต้องเพราะวัตถุอะไร? "
" ขอถวายพระพร ต้องด้วยสำคัญผิดคือเวลาวิกาล เข้าใจว่าเป็นกาลก็มี ห้ามการรับประเคนแล้ว เข้าใจว่าไม่ได้ห้ามก็มี อาหารที่ไม่เป็นเดนภิกษุไข้ เข้าใจว่าเป็นเดนภิกษุไข้ก็มี "

" ข้าแต่พระนาคเสน ภิกษุย่อมต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ ๑ ด้วยความไม่รู้ ๑ พระอรหันต์ต้องอาบัติด้วยความไม่เอื้อเฟื้อมีอยู่หรือ ? "
" ไม่มีเลย มหาบพิตร "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระอรหันต์ยังต้องอาบัติอยู่ แต่ความไม่เอื้อเฟื้อย่อมไม่มีแก่พระอรหันต์ ถ้าอย่างนั้นความเผลอสติ ก็มีแก่พระอรหันต์น่ะซิ "
" ไม่มี มหาบพิตร เป็นแต่พระอรหันต์ยังต้องอาบัติอยู่ "

" ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าจงให้โยมเข้าใจในข้อนี้ว่า เป็นเพราะอะไร ? "
" ขอถวายพระพร ลักษณะแห่งโทษมีอยู่ ๒ ประการ คือ

เป็นโลกวัชชะ ๑
เป็นปัณณัตติวัชชะ ๑

ที่เป็นโลกวัชชะ ( เป็นโทษทางโลก ) นั้นได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐
ที่เป็นปัณณัตติวัชชะ ( เป็นโทษทางพระวินัย ) นั้น ได้แก่ สิกขาบทที่ทรงบัญญัติ ไว้สำหรับพระภิกษุสาวกทั้งหลาย อย่าง วิกาลโภชนสิกขาบท คือการฉันอาหารในเวลาวิกาล เป็นโทษในทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก

หรือ การทำให้ภูตคามเคลื่อนที่ คือการตัดต้นไม้ใบหญ้า เป็นต้น เป็นโทษทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
การว่ายน้ำเล่น เป็นโทษทางพระวินัย แต่ไม่เป็นโทษทางโลก
สิ่งที่เป็นโทษทางพระวินัยนี้แหละ เรียกว่า " ปัณณัตติวัชชะ "

ส่วนที่เป็นโทษทางโลกนั้น พระอรหันต์ไม่ทำอย่างเด็ดขาด สิ่งที่เป็นโทษทางวินัย เมื่อยังไม่รู้ก็ทำ เพราะว่าการรู้สิ่งทั้งปวงไม่ใช่วิสัยของพระอรหันต์ทั่วไป

สิ่งที่พระอรหันต์ไม่รู้ก็มี เช่น นามและโคตรแห่งสตรีบุรุษ พระอรหันต์รู้ได้เฉพาะวิมุตติ คือการหลุดพ้นก็มี
พระอรหันต์ขั้นอภิญญา ๖ ก็รู้เฉพาะในวิสัยแห่งตน สมเด็จพระสัพพัญญูเจ้าเท่านั้น จึงจะรู้หมด ขอถวายพระพร "
" ถูกต้อง พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 11:18:57


ปัญหาที่ ๙ ถามถึงความมีอยู่แห่งนิพพาน

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยเหตุ สิ่งที่เกิดขึ้นด้วยฤดู มีปรากฏอยู่ในโลกแล้ว สิ่งใดที่ไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดู ขอพระผู้เป็นเจ้าจงบอกสิ่งนั้นแก่โยม "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร สิ่งที่ไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดูนั้น มีอยู่ ๒ คือ อากาศ ๑ นิพพาน ๑ "
" ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอย่าลบล้างคำของพระพุทธเจ้า ไม่รู้ก็อย่าแก้ปัญหานี้ "
" ขอถวายพระพร เหตุใดอาตมภาพจึงว่าอย่างนี้ และเหตุใดมหาบพิตรจึงห้ามอาตมภาพอย่างนี้ ? "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพราะไม่ควรกล่าวว่า อากาศไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดู สมเด็จพระบรมครูได้ทรงบอกทางสำเร็จนิพพานให้แก่พระสาวก ด้วยเหตุหลายร้อยอย่าง พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า นิพพานไม่เกิดด้วยเหตุ "

พระนาคเสนเฉลยว่า
" ขอถวายพระพร สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ได้ทรงบอกทางสำเร็จนิพพานแก่พวกสาวกด้วยเหตุหลายร้อยอย่างจริง แต่ไม่ใช่ทรงบอกเหตุให้เกิดนิพพาน "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน ในข้อนี้เท่ากับโยมออกจากที่มืดเข้าไปสู่ที่มืด ออกจากป่าเข้าสู่ป่าอีก ออกจากที่รกเข้าสู่ที่รกอีก เพราะเหตุให้สำเร็จพระนิพพานมีอยู่ แต่เหตุให้เกิดนิพพานไม่มี ถ้าเหตุให้สำเร็จนิพพานมีอยู่ เหตุให้เกิดนิพพานก็ต้องมี เหมือนบิดามีอยู่ เหตุที่ให้เกิดบิดาก็ต้องมีอยู่ อาจารย์มีอยู่ เหตุที่ให้เกิดอาจารย์นั้นก็ต้องมีอยู่ พืชมีอยู่ เหตุให้เกิดพืชนั้นก็ต้องมีอยู่ หรือเมื่อยอดแห่งต้นไม้มีอยู่ ตอนกลางและรากก็ต้องมี "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร มหาราชะ นิพพานเป็น อนุปาทานียะ คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานเพราะฉะนั้นจึงไม่มีเหตุ "
" ขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงให้โยมเข้าใจว่า เหตุให้สำเร็จนิพพานมีอยู่ แต่เหตุให้เกิดนิพพานไม่มี "
" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรตั้งพระโสตลงสดับ อาตมภาพจักแสดงถวาย คือบุรุษอาจจากที่นี้ไปถึงเขาหิมพานต์ได้ตามกำลังปกติหรือ ? "
" ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร บุรุษนั้นอาจนำภูเขาหิมพานต์ มาไว้ในที่นี้ได้กำลังตามปกติหรือ ? "
" ไม่อาจ พระผู้เป็นเจ้า "
" ขอถวายพระพร ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละคือบุคคลอาจบอกทางสำเร็จนิพพานได้ แต่ไม่อาจบอกเหตุให้เกิดนิพพานได้ "
" ขอถวายพระพร บุรุษอาจข้ามมหาสมุทรไปได้ ด้วยเรือตามกำลังปกติไหม ? "
" อาจได้ พระผู้เป็นเจ้า "
" ก็บุรุษนั้นอาจนำเอาฝั่งมหาสมุทรข้างโน้นมาตั้งไว้ข้างนี้ ด้วยกำลังตามปกติไหม ? "
" ไม่อาจ พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือทางสำเร็จนิพพานนั้นอาจบอกได้ แต่ไม่อาจบอกเหตุให้เกิดนิพพานได้ เพราะนิพพานเป็น อสังขตธรรม " ( ธรรมที่ไม่มีอะไรปรุงแต่ง )
" ข้าแต่พระนาคเสน นิพพานเป็นอสังขตธรรม ไม่มีใครอาจบอกได้อย่างนั้นหรือ ? "

" อย่างนั้นมหาบพิตร นิพพานเป็นอสังขตธรรม ไม่มีอะไรตกแต่งได้ ไม่มีอะไรกระทำได้นิพพานเป็นของไม่ควรกล่าวว่า เกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิด หรือจักต้องเกิด ไม่ควรกล่าวว่า เป็นอดีต หรืออนาคต หรือปัจจุบัน ไม่ควรกล่าวว่า เป็นของต้องเห็นด้วยตา เป็นของต้องได้ยินด้วยหู รู้ด้วยจมูก ลิ้น กาย อย่างใดเลย "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเป็นอย่างนั้นนิพพานก็เป็นความไม่มีเป็นธรรมดา เราพูดได้ว่านิพพานไม่มีอย่างนั้นซิ "

" ขอถวายพระพร นิพพานเป็นของต้องรู้ด้วยใจ พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมได้เห็นนิพพาน ด้วยใจอันบริสุทธิ์ อันสงบอันประณีต อันเที่ยงตรง อันไม่มีเครื่องกั้นกางอันไม่มีอามิส "

" ข้าแต่พระนาคเสน นิพพานนั้นเป็นเช่นไร ขอจงให้โยมเข้าใจด้วยคำอุปมา คือด้วยการเปรียบกับสิ่งที่มีอยู่ รู้อยู่ตามธรรมดา "
" ขอถวายพระพร ลมมีอยู่หรือ ? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "
" ถ้าอย่างนั้น ขอมหาบพิตรจงแสดงลมให้อาตมภาพเป็นด้วยสี สัณฐาน น้อย ใหญ่ ยาว สั้น "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า เพราะไม่ใครอาจจับต้องลมได้ แต่ว่าลมนั้นมีอยู่ "

" ขอถวายพระพร ถ้าไม่อาจชี้ลมได้ว่าลมมีสี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไรลมก็ไม่มีน่ะซิ ? "
" มี พระผู้เป็นเจ้า โยมรู้อยู่เต็มใจว่าลมมี แต่ไม่อาจแสดงลมให้เห็นได้ "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร นิพพานมีอยู่จริง แต่ว่าไม่มีใครอาจแสดงให้เห็นได้ว่า นิพพานมีสี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไร "

" ข้าแต่พระนาคเสน โยมเข้าใจได้ดีตามข้ออุปมาแล้ว โยมยอมรับว่านิพพานมีจริง "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 12:01:33


ปัญหาที่ ๑๐ ถามถึงสิ่งที่เกิดจากกรรมและไม่เกิดจากกรรม

" ข้าแต่พระนาคเสน อะไรเกิดด้วยกรรม เกิดด้วยเหตุ เกิดด้วยฤดู และอะไรไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดู ? "

" ขอถวายพระพร พวกสัตว์ที่มีจิตใจทั้งสิ้นเกิดด้วยกรรม ไฟกับพืชทั้งสิ้นเกิดด้วยเหตุ แผ่นดิน ภูเขา น้ำ ลม ทั้งสิ้นเกิดด้วยฤดู อากาศ กับนิพพานไม่เกิดด้วยกรรม ไม่เกิดด้วยเหตุ ไม่เกิดด้วยฤดู นิพพาน ใคร ๆ ไม่ควรกล่าวว่า เกิดด้วยกรรม หรือเกิดด้วยเหตุ เกิดด้วยฤดู และไม่ควรกล่าวว่า เป็นของเกิดอยู่แล้ว หรือยังไม่เกิดหรือจักต้องเกิด ไม่ควรกล่าวว่า เป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ไม่ควรกล่าวว่า เป็นของต้องรู้แจ้งด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย นอกจากเป็นของที่รู้ด้วยใจเท่านั้น แต่พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้ว ย่อมเห็นนิพพานด้วยญาณอันบริสุทธิ์ "

" ข้าแต่พระนาคเสน ปัญหาอันน่ายินดีพระผู้เป็นเจ้าได้แก้ไขดีแล้ว ทำให้โยมสิ้นสงสัยแล้ว พระผู้เป็นเจ้าได้ชื่อว่า มาถึงความเป็นผู้เยี่ยมในคณะสงฆ์อันประเสริฐแล้ว "

จบวรรคที่ ๗



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 12:11:06


                  (http://wallpaperswide.com/thumbs/inishowen_trawbreaga_bay_five_finger_beach-t2.jpg)

เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๘
ปัญหาที่ ๑ ถามถึงความตายแห่งยักษ์


" ข้าแต่พระนาคเสน ยักษ์มีอยู่ในโลกหรือ ? "
" ขอถวายพระพร มี "

"ยักษ์จุติจากกำเนิดของยักษ์ไหม ? "
" ขอถวายพระพร จุติ "

" แต่เหตุไร เวลายักษ์ตายจึงไม่เห็นซากศพไม่ได้กลิ่นซากศพ? "
" ขอถวายพระพร ซากศพของยักษ์ที่ตายไปแล้วมีอยู่ แต่กลิ่นซากศพถูกลมพัดไปเสียด้วยว่าเวลายักษ์ตายแล้วนั้น ปรากฏว่าเป็นตั้กแตนก็มี เป็นหนอนก็มี เป็นมดก็มี เป็นยุงก็มี เป็นงูก็มี เป็นแมงป่องก็มี เป็นตะขาบก็มี เป็นสัตว์เกิดจากฟองไข่ก็มี เป็นเนื้อป่าสัตว์ป่าก็มี"

" ข้าแต่พระนาคเสน ผู้อื่นนอกจากผู้มีความรู้อย่างพระผู้เป็นเจ้า ย่อมแก้ปัญหาข้อนี้ไม่ได้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 12:26:59


ปัญหาที่ ๒ ถามเรื่องไม่ทรงบัญญัติสิกขาบท

" ข้าแต่พระนาคเสน พวกอาจารย์ของพวกแพทย์ปางก่อนมีอยู่ เช่น นารทะ ๑ ธัมมันตริกะ ๑ อังคีรสะ ๑ กปิละ ๑ กัณฑรัตติกามะ ๑ อตุละ ๑ บุพพกัจจายตนะ ๑ อาจารย์เหล่านั้นทั้งสิ้น รู้จักความเกิดขึ้นแห่งโรคต้นเหตุแห่งโรค แดนเกิดแห่งโรค สมุฏฐานแห่งโรค กิริยาอาการแห่งโรค การรักษาโรครักษาหายและไม่หายได้โดยเร็วพลันว่า ในร่างกายจักมีโรคเกิดขึ้นเท่านี้ รู้ได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับจับกลุ่มด้ายแล้วม้วนไปตามลำดับฉะนั้น อาจารย์เหล่านั้นทั้งสิ้นไม่ใช่พระสัพพัญญู ส่วนสมเด็จพระบรมครูเจ้าเป็นพระสัพพัญญูทรงรู้อนาคตได้สิ้นว่า ในเรื่องนั้นจะต้องบัญญัติสิกขาบทเท่านั้น แต่เหตุใดจึงไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ให้สิ้นเชิงทีเดียว ต่อเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว มีพวกมนุษย์ติเตียนแล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ? "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร พระตถาคตเจ้าทรงทราบแล้วว่า ในสมัยนี้เมื่อมนุษย์เหล่านี้ติเตียนเราจักต้องบัญญัติสิกขาบท ๑๕๐ สิกขาบทกว่า ๆ แต่ว่าพระตถาคตเจ้าทรงเล็งเห็นว่า ถ้าเราจักบัญญัติสิกขาบทไว้ให้ครบทีเดียวมหาชนก็จักร้อนใจว่า ในศาสนานี้มีสิ่งที่จะต้องรักษาอยู่มาก เป็นการยากที่จะบรรพชาในศาสนาของพระสมณโคดม ถึงพวกอยากบรรพชาก็จักไม่บรรพชา ทั้งจักไม่มีผู้เชื่อฟังถ้อยคำของเรา พวกที่ไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเราก็จักไปเกิดในอบาย เมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว มีความเสียหายปรากฏขึ้นแล้ว เราจึงบัญญัติสิกขาบท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นอย่างนี้ จึงไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ล่วงหน้าทีเดียว ขอถวายพระพร "

" อย่างนั้น พระนาคเสน เป็นอันพระตถาคตเจ้าทรงเล็งเห็นเรื่องนี้ได้ดีแล้ว ถ้ามีผู้ได้ยินได้ฟังว่า มีสิ่งที่จะต้องรักษาในพระพุทธศาสนาอยู่มาก ก็จักสะดุ้งกลัว จักไม่มีผู้บรรพชาโยมยอมรับว่าถูกต้อง อย่างที่พระผู้เป็นเจ้าวิสัชนา "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 12:28:42


ปัญหาที่ ๓ ถามถึงมลทินแห่งดวงอาทิตย์

" ข้าแต่พระนาคเสน ดวงอาทิตย์นี้แผ่รัศมีแรงกล้าอยู่เป็นนิจ หรือว่าบางเวลาก็อ่อนไป ? "
" ขอถวายพระพร ดวงอาทิตย์นี้แผ่รัศมีแรงกล้าอยู่ทุกเวลา"

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าดวงอาทิตย์นี้แผ่รัศมีแรงกล้าอยู่ทุกเวลา เหตุไรบางเวลาจึงร้อนน้อย บางเวลาจึงร้อนมาก ? "

" ขอถวายพระพร เหตุว่าดวงอาทิตย์ถูกโรค ๔ อย่าง ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งบีบคั้นจึงร้อนน้อยไป โรค ๔ อย่างนั้น ได้แก่ หมอก ๑ ควัน ๑ เมฆ ๑ ราหู ๑ "

" น่าอัศจรรย์ ! พระนาคเสน ถึงดวงอาทิตย์อันมีเดชกล้าก็ยังมีโรค ไม่ต้องพูดถึงสัตว์เหล่าอื่น การจำแนกปัญหานี้ ผู้อื่นนอกจากผู้มีความรู้ดังพระผู้เป็นเจ้าแล้ว ไม่อาจจำแนกได้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 12:36:47


ปัญหาที่ ๔ ถามเรื่องความร้อนแห่งดวงอาทิตย์

" ข้าแต่พระนาคเสน เหตุไฉนดวงอาทิตย์จึงต้องแผ่รัศมีแรงกล้าในฤดูหนาว ส่วนในฤดูร้อนไม่แผ่รัศมีแรงกล้า ? "

" ขอถวายพระพร เพราะในฤดูร้อนมีผงธุลีน้อย มีฝุ่นละอองในท้องฟ้าน้อย มีหมอกหนา มีลมแรงกล้า สิ่งเหล่านี้ปิดรัศมีแห่งดวงอาทิตย์ไว้ เพราะฉะนั้น ในฤดูร้อนดวงอาทิตย์จึงแผดแสงน้อยไป ส่วนในฤดูหนาว เบื้องต่ำแผ่นดินเย็นเบื้องบนมีเมฆใหญ่ตั้งขึ้น มีผงธุลีมากส่วนละอองสงบนิ่งอยู่ไม่เที่ยวไปในท้องฟ้า ท้องฟ้าปราศจากมลทิน ลมบนอากาศพัดอ่อน ๆ เมื่อเป็นอย่างนั้น ดวงอาทิตย์ก็บริสุทธิ์รัศมีแห่งดวงอาทิตย์ก็แรงกล้า เพราะพ้นจากเครื่องขัดขวาง ส่วนที่ประกอบเครื่องขัดขวางมีเมฆ เป็นต้น ย่อมทำให้รัศมีแห่งดวงอาทิตย์ไม่แรงกล้า ด้วยเหตุนี้แหละ ดวงอาทิตย์จึงเปล่งรัศมีแรงกล้าในฤดูหนาว ไม่เปล่งรัศมีแรงกล้าในฤดูร้อน ขอถวายพระพร "

" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า ดวงอาทิตย์พ้นจากเครื่องกีดขวางทั้งหลาย จึงแผ่รัศมีแรงกล้า ถ้าประกอบด้วยเมฆ เป็นต้น ก็ไม่แผ่รัศมีแรงกล้า"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 12:43:33


ปัญหาที่ ๕ ถามถึงเรื่องทานของพระเวสสันดร

" ข้าแต่พระนาคเสน พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมให้บุตรภรรยาเป็นทานเหมือนกันหมดหรือ หรือให้เฉพาะพระเวสสันดรเท่านั้น ? "
" ขอถวายพระพร เหมือนกันหมด ไม่เฉพาะแต่พระเวสสันดร"

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ให้ทานบุตรภรรยาเหมือนกันหมดก็ขอถามว่าให้ด้วยความยินยอมของบุตรภรรยาเหล่านั้นหรือไม่? "
" ขอถวายพระพร สำหรับภรรยายินยอมแต่ทว่าบุตรนั้นที่ยังเป็นทารกอยู่ ก็ร้องไห้เพราะยังไม่รู้จักอะไร ถ้ารู้จักความดีแล้วก็ยินดีตาม ไม่ร้องไห้รำพันเช่นนั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 12:53:45


สิ่งที่กระทำได้ยาก ๗ ข้อ

พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน
การที่พระโพธิสัตว์ได้ให้บุตรอันเป็นที่รักของตน เพื่อไปเป็นทาสของพราหมณ์ เป็นของกระทำได้ยากข้อที่ ๑

การที่พระโพธิสัตว์ได้เห็นพราหมณ์ผูกมัดพระเจ้าลูกทั้งสอง ด้วยเครือไม้แล้วเฆี่ยนตีไป แต่ทรงเฉยอยู่ได้นั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๒
การที่พระโพธิสัตว์ได้ยกพระเจ้าลูกทั้งสองที่สลัดเครื่องผูกให้หลุดออก แล้ววิ่งกลับไปหาพระองค์อีกนั้น พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้พราหมณ์ ผูกมัดไปด้วยเครือไม้อีก เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๓

การที่พระโพธิสัตว์ทรงได้ยินเสียงพระเจ้าลูกทั้งสองร่ำร้องไห้ว่า " พราหมณ์นี้เป็นยักษ์จะนำหม่อมฉันทั้งสองไปกินเสีย" ก็ทรงเฉยอยู่ไม่ทรงปลอบโยนว่า " อย่ากลัวเลยลูกเอ๋ย! " อันนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่๔

การที่พระชาลีกุมาร ได้หมอบกราบลงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ที่พระบาทว่า " ขอให้พระน้องนางกัณหากลับมาอยู่กับพระองค์เถิด หม่อนฉันผู้เดียวจะไปกับยักษ์ ยักษ์จะกินหรืออย่างไรก็ช่าง" แต่พระเวสสันดรไม่ทรงรับคำอ้อนวอนอันนี้ ข้อนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๕
เมื่อพระชาลีกุมารร้องไห้คร่ำครวญว่า " ข้าแต่พระบิดา พระหทัยของพระองค์ช่างแข็งกระด้างดังแผ่นศิลา เมื่อข้าพระองค์ทั้งสองกำลังได้ทุกข์ พระองค์ยังเพิกเฉยอยู่ได้ พระองค์ไม่ทรงห้ามยักษ์ ที่จักนำหม่อนฉันทั้งสองไปในป่าใหญ่ อันไม่มีมนุษย์นี้เลย" ดังนี้ พระเวสสันดรก็ไม่ทรงกรุณา อันนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก ข้อที่ ๖

เมื่อพระเจ้าลูกทั้งสองร้องไห้ด้วยเสียงอันน่าสยดสยอง จนลับคลองพระเนตรไป แต่พระหฤทัยของพระเวสสันดร ซึ่งควรจะแตกออกเป็นร้อยเสี่ยง พันเสี่ยง ก็ไม่แตกข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากข้อที่ ๗
พระเวสสันดรผู้มุ่งบุญ เหตุใดจึงทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ควรที่พระเวสสันดรจะให้ทานตัวเองไม่ใช่หรือ ?



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 12:59:09


"พระนาคเสนเฉลยว่า
" ขอถวายพระพร เพราะเหตุที่พระเวสสันดร ได้กระทำสิ่งที่ทำได้ยาก จึงมีเสียงสรรเสริญทั่วหมื่นโลกธาตุ เหล่าเทพยเจ้า อสูร ครุฑ นาค พระอินทร์ ยักษ์ ต่างก็สรรเสริญ อยู่ในที่อยู่ของตน ๆ กลองทิพย์ก็บันลือขึ้นเอง จนกระทั่งทุกวันนี้ ยังมีผู้คิดกันอยู่ว่าทานของพระเวสสันดรนั้น ดีหรือไม่ดี กิตติศัพท์อันนั้นย่อมแสดงให้เห็นคุณ ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์ ผู้มีสติปัญญาละเอียด ผู้รู้แจ้งเห็นแจ้งคุณ ๑๐ ประการนั้น

คุณ ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์
๑. ความไม่ติดอยู่ในของรักของชอบใจ
๒. ความไม่อาลัยเกี่ยวข้อง
๓. ความสละ
๔. ความปล่อย
๕. ความไม่หวนคิดกลับกลอก

๖. ความละเอียด
๗. ความเป็นของใหญ่
๘. ความเป็นของรู้ตามได้ยาก
๙. ความเป็นของได้ยาก
๑๐. ความเป็นของไม่มีใครเสมอ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 13:36:13


" ข้าแต่พระนาคเสน บุคคลเหล่าใด ทำผู้อื่นให้เป็นทุกข์ด้วยการให้ทาน ทานของบุคคลเหล่านั้นจะให้ผลเป็นสุข จะทำให้ไปเกิดในสวรรค์ได้มีอยู่หรือ? "
" มีอยู่ มหาบพิตร "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ขอจงแสดงเหตุการณ์เปรียบเทียบ"
" ขอถวายพระพร ถ้ามีสมณะหรือพราหมณ์ผู้มีศีลธรรมอันดี เป็นโรคมีร่างกายตายไปแถบหนึ่ง หรือเป็นโรคง่อยเปลี้ยหรือเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งเดินไม่ได้ มีผู้อยากได้บุญคนใดคนหนึ่ง ยกสมณพราหมณ์นั้นขึ้นสู่ยานพาหนะ นำไปส่งให้ถึงที่ประสงค์ บุคคลผู้นั้นจะได้ผลเป็นสุข ได้ไปเกิดในสวรรค์หรือไม่ ? "

" ได้ไปเกิดทีเดียว พระผู้เป็นเจ้า อย่าว่าแต่ยานทิพย์เลย ถึงผู้นั้นจะเกิดในที่ใด ก็จะได้ยานพาหนะสมควรแก่ที่นั้น ๆ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้ยานช้าง ยานม้า ยานรถ ยานทางบก ยานทางน้ำ เมื่อเกิดในสวรรค์ก็ได้ยานทิพย์ ความสุขจักต้องเกิดแก่เขาตามสมควรแก่ชาติกำเนิด ชาติสุดท้ายเขาก็จักได้ขึ้นยานฤทธิ์ ไปถึงเมืองนิพพานเป็นแน่ "

" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นทานที่ให้ด้วยทำให้เกิดทุกข์แก่ผู้อื่นก็มีผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ได้ พระเวสสันดรทำให้พระเจ้าลูกทั้งสองต้องเป็นทุกข์ ด้วยการถูกผูกมัดด้วยเถาวัลย์ ก็จะได้เสวยสุขเหมือนอย่างนั้น แต่ขอมหาบพิตรจงทรงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก เพื่อให้เห็นว่าการให้ทานด้วยการทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ก็มีผลเป็นสุข ทำให้เกิดในสวรรค์ได้ คือ พระราชาที่ให้เก็บพลีกรรม ( ส่วย ) โดยชอบธรรม มาทรงบริจาคทานตามอำนาจนั้นมีอยู่ พระราชานั้นจะได้ความสุข อันเกิดจากการทรงให้ทานนั้นบ้างหรือ ทานนั้นจักทำให้ไปเกิดในสวรรค์ได้หรือไม่ ? "

" ได้ พระผู้เป็นเจ้า พระราชานั้นจักต้องได้ รับผลแห่งทานนั้นหลายแสนเท่า จักได้เกิดเป็นพระราชายิ่งกว่าพระราชา จักได้เกิดเป็นเทวดายิ่งกว่าเทวดา เกิดเป็นพรหมยิ่งกว่าพรหมเกิดเป็นพราหมณ์ยิ่งกว่าพราหมณ์ เกิดเป็น พระอรหัตย์ยิ่งกว่าพระอรหันต์เป็นแน่ "

" ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นทานที่ให้ด้วยการทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ ก็ต้องมีผลเป็นสุขต้องให้เกิดในสวรรค์ได้ เพราะพระราชาทรงบีบคั้นประชาชนมาให้ทาน ยังได้เสวยยศและสุขอย่างนั้นได้ "

อติทาน
พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน ทานที่พระเวสสันดรทรงกระทำนั้นเป็นอติทาน คือเป็นทานอย่างยิ่งเพราะพระเวสสันดรได้ทรงให้ทานพระอัครมเหสีของพระองค์ เพื่อให้ไปเป็นภรรยาของผู้อื่น ทรงให้ทานพระเจ้าลูกทั้งสอง เพื่อให้ไปเป็นทาสของพราหมณ์

ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า อันธรรมดาการให้ทานเกินไป ผู้รู้ทั้งหลายในโลกก็ตำหนิติเตียนเปรียบเหมือนเกวียนที่บรรทุกหนักเกินไปเพลาเกวียนก็หัก เรือบรรทุกหนักเกินไปก็จม อาหารที่กินมากเกินไปก็ไม่ย่อย ข้าวในนาเมื่อฝนตกมากเกินไปก็เสีย การให้ทานเกินไปก็สิ้นทรัพย์ แดดร้อนเกินไปในแผ่นดินก็ร้อน รักเกินไปก็บ้า โกรธเกินไปก็มีโทษ หลงเกินไปก็ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ โลภเกินไปก็ทำให้ลักขโมย พูดมากเกินไปก็พลาด น้ำเต็มฝั่งเกินไปก็ล้น ลมแรงเกินไปสายฟ้าก็ตก ไฟร้อนเกินไปน้ำก็ล้น เอาใจใส่ต่อการเรียนเกินไปก็บ้า กล้าเกินไปก็ตายเร็ว ฉะนั้นข้าแต่พระนาคเสน พระเวสสันดรให้ทานเกินไป ก็ไม่มีผล

"พระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า
"ขอถวายพระพร อติทาน คือทานอันยิ่งเป็นของผู้รู้ทั้งหลายในโลกสรรเสริญ พวกใดให้ทานเช่นนั้นได้ พวกนั้นย่อมได้รับความสรรเสริญในโลก คนปล้ำย่อมทำให้คนปล้ำอีกฝ่ายหนึ่งล้มลงด้วยกำลังแรงกว่า แผ่นดินย่อมทรงไว้ได้ซึ่งคนและสัตว์ ภูเขา ต้นไม้ทั้งหลาย เพราะแผ่นดินเป็นของใหญ่ยิ่ง มหาสมุทรไม่รู้จักเต็ม เพราะมหาสมุทรเป็นของใหญ่ยิ่ง เขาสิเนรุไม่รู้จักหวั่นไหว เพราะเขาสิเนรุเป็นของหนักยิ่ง อากาศไม่มีที่สุดเพราะอากาศเป็นของกว้างยิ่ง ดวงอาทิตย์กำจัดเมฆหมอกเสียได้ เพราะมีรัศมียิ่ง ราชสีห์ไม่มีความกลัว เพราะมีชาติกำเนิดยิ่ง แก้วมณีให้สำเร็จความปรารถนาทั้งปวง เพราะเป็นของมีคุณยิ่ง พระราชาย่อมเป็นใหญ่ เพราะเป็นผู้มีบุญยิ่ง ไฟย่อมเผาสิ่งทั้งปวงได้ เพราะมีความร้อนยิ่ง เพชรย่อมเจาะแก้วมณี แก้วมุกดาแก้วผลึกได้ เพราะเป็นของแข็งยิ่ง เทพยดา มนุษย์ ยักษ์ อสูรทั้งหลาย ย่อมหมอบกราบภิกษุ เพราะมีศีลยิ่ง พระพุทธเจ้าไม่มีผู้เปรียบเพราะเป็นผู้วิเศษยิ่ง ข้อความเหล่านี้ฉันใด ทานอันยิ่งก็เป็นที่สรรเสริญของผู้รู้ทั้งหลายฉันนั้น ทานอันยิ่งของพระเวสสันดรนั้น มีผู้สรรเสริญทั่วหมื่นโลกธาตุ เพราะทานอันยิ่งนั่นแหละ พระเวสสันดรจึงได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ล้ำเลิศในมนุษย์โลก เทวโลก
ขอถวายพระพรทานที่ไม่ควรให้มีอยู่หรือ ? "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 กันยายน 2554 14:07:10


(#299)

" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า ทานที่ไม่ควรให้นั้นมีอยู่ ๑๐ อย่าง ผู้ใดให้ทานเหล่านี้ ผู้นั้นก็ไปสู่อบาย มีดังนี้
ทาน ๑๐ อย่างที่ไม่ควรให้

๑. หญิงให้เมถุนธรรมเป็นทาน
๒. ปล่อยโคตัวผู้เข้าไปในฝูงแม่โคเพื่อเมถุนธรรม
๓. ให้น้ำเมา คือสุราเมรัยเป็นทาน
๔. ให้รูปเขียน อันประกอบดัวยเมถุนธรรมเป็นทาน
๕. ให้ศาตราวุธเป็นทาน

๖. ให้ยาพิษเป็นทาน
๗. ให้โซ่ตรวน ขื่อคา เป็นทาน
๘. ให้ไก่เพื่อให้เขาไปฆ่า
๙. ให้สุกรเพื่อให้เขาไปฆ่า
๑๐. ให้ทานเครื่องตวง ตาชั่ง ทะนาน เพื่อใช้โกง

เหล่านี้ บัณฑิตไม่สรรเสริญ ทำผู้ให้ให้แล้วไปสู่อบายหายนะ พระผู้เป็นเจ้า "
" ขอถวายพระพร อาตมาภาพไม่ได้ถามถึงสิ่งที่ไม่ควรให้ทาน ถามถึงสิ่งที่ควรให้ทานแต่เมื่อทักขิไณยบุคคล ( ผู้ควรรับทาน) ยังไม่เกิดก็ยังไม่ควรให้ ว่าทานอย่างนั้นมีอยู่หรือดังนี้ต่างหาก"

" อ๋อ...ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า เพราะเมื่อจิตเลื่อมใสเกิดขึ้นแล้ว คนบางพวกก็ให้ทานโภชนะแก่ทักขิไณยบุคคล บางพวกก็ให้ทานเครื่องนุ่มห่มก็มี ให้ทานที่นอนก็มี ให้ทานที่อยู่อาศัยก็มี ให้ทานเครื่องปูก็มี ให้ทานเครื่องนุ่งห่มก็มี ให้ทานทาสีและทาสก็มี ให้ทานเรือกสวนไร่นาที่ดินก็มี ให้ทานสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้าก็มี ให้ทานทรัพย์ตั้งร้อยตั้งพันปี ให้ทานราชสมบัติใหญ่ก็มี ให้ทานชีวิตก็มี "

" ขอถวายพระพร ถ้าหากว่าในโลกนี้ผู้อื่นยังให้ทานชีวิตได้ เหตุใดจึงมีผู้ติเตียนพระเวสสันดร ผู้เป็นทานบดีอย่างร้ายแรงเพราะเหตุพระราชทานพระราชโอรส ธิดา อัครมเหสี อีกประการหนึ่ง เมื่อว่าตามปกติโลกแล้วบิดาให้บุตรเป็นค่าใช้หนี้ หรือเป็นค่าเลี้ยงชีพหรือขายไป เพื่อเหตุใดเหตุหนึ่งก็ได้ไม่ใช่หรือ? "
" ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ถ้าได้ พระเวสสันดรเมื่อยังไม่สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณก็เป็นทุกข์ เพื่อต้องการพระสัพพัญญุตญาณนั้น จึงได้ให้โอรส ธิดา อัครมเหสี เป็นทาน แต่เหตุใดมหาบพิตรจึงทรงติเตียนพระเวสสันดรอย่างร้ายแรงล่ะ?"

" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้ติเตียนทานของพระเวสสันดร เป็นแต่ติเตียนการที่พระเวสสันดร ได้ให้ทานโอรสธิดากับอัครมเหสีเท่านั้น เพราะว่าเมื่อว่าตามที่ถูกแล้วเวลายาจกมาทูลขอโอรส ธิดา อัครมเหสี พระเวสสันดรควรพระราชทานตัวของพระองค์เอง จึงจะสมควร "

" ขอถวายพระพร ข้อนั้นไม่ใช่การกระทำของสัตบุรุษ คือเมื่อเขาขอบุตรภรรยา จะให้ตัวเองนั้นไม่ถูก เมื่อเขาขอสิ่งใด ๆ ก็ควรให้สิ่งนั้น ๆ อันนี้เป็นการกระทำของสัตบุรุษทั้งหลาย ขอถวายพระพร เหมือนอย่างว่ามีบุรุษคนหนึ่งมาขอน้ำ ผู้ใดให้ข้าวแก่บุรุษนั้นจะเรียกว่าผู้นั้นเป็นกิจจการี คือผู้กระทำตามหน้าที่แล้วหรือ ? "
" ไม่เรียก พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเขาขอสิ่งใดก็ให้สิ่งนั้น จึงจะเรียกว่ากระทำถูก "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือเมื่อพราหมณ์ทูลขอโอรส ธิดา อัครมเหสี พระเวสสันดรผู้เป็นทานบดี ก็ไม่พระราชทานของพระองค์เอง ได้พระราชทานโอรสธิดาอัครมเหสีไปแก่พราหมณ์นั้น ถ้าพราหมณ์นั้นขอพระสรีระทั้งสิ้นของพระเวสสันดร พระบาทท้าวเธอต้องไม่ห่วงใยเสียดายพระองค์ ต้องทรงบริจาคพระองค์ไปแล้ว ถ้านักเลงสะกา หรือสุนัขบ้าน สุนัขป่าเข้าไปทูลขอพระเวสสันดรว่า ขอจงให้พระองค์ยอมเป็นทาสของข้าพระองค์ พระเวสสันดรก็จะทรงยินยอมทีเดียว ทั้งจะไม่ทรงเดือดร้อน เสียใจภายหลัง เพราะว่าพระวรกายของพระเวสสันดรเป็นของทั่วไปแก่คนหมู่มาก เหมือนกับต้นไม้มีผล อันเป็นของทั่วไปแก่หมู่นกต่าง ๆ ฉะนั้น

ด้วยพระเวสสันดรทรงเห็นว่า เมื่อเราปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ อีกอย่างหนึ่ง บุรุษผู้ไม่มีทรัพย์ ผู้ต้องการทรัพย์ ผู้เที่ยวแสวงหาทรัพย์ ย่อมเที่ยวหาไปตามทางดงทางเกวียน ทางน้ำ ทางบก เพื่อให้ได้ทรัพย์ฉันใด พระเวสสันดรผู้ไม่มีทรัพย์คือพระสัพพัญญุตญาณ ก็ได้แสวงหาพระสัพพัญญุตญาณ ด้วยการพระราชทานทรัพย์และธัญชาติ ยาน พาหนะ ทาสี ทาสา ทรัพย์ สมบัติ บุตร ภรรยา ตลอดถึงหนัง เลือดเนื้อ หัวใจ ชีวิตของพระองค์ฉันนั้น

อีกประการหนึ่ง อำมาตย์ผู้ต้องการความเจริญ ต้องการเป็นใหญ่เป็นโต คือต้องการเป็นพระราชา ย่อมสละทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง ทั้งสิ้นของตนแก่คนอื่น ๆ ฉันใด พระเวสสันดรก็ทรงสละสิ่งของภายนอกตลอดจนถึงชีวิตแก่ผู้อื่น เพื่อให้ได้พระสัมมาสัมโพธิญาณฉันนั้น ขอถวายพระพร

อีกอย่างหนึ่ง พระเวสสันดรทานบดีทรงดำริว่า พราหมณ์ขอสิ่งใดเราควรให้สิ่งนั้น จึงจะเรียกว่าเราทำถูก ทรงดำริอย่างนี้ จึงได้พระราชทานโอรส ธิดา อัครมเหสี การที่พระองค์พระราชทานโอรส ธิดา อัครมเหสี ให้แก่พราหมณ์นั้น ไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง หรือเห็นว่ามีอยู่มาก หรือเพราะไม่อาจเลี้ยงได้ หรือเพราะรำคาญ ได้พระราชทานไปเพราะทรงมุ่งหวังพระสัพพัญญุตญาณต่างหาก ทรงรักพระสัพพัญญุตญาณมากกว่า ข้อนี้สมกับที่ตรัสไว้ใน จริยาปิฏก ว่า

" ไม่ใช่ว่าลูกทั้งสองเป็นที่เกลียดชังของเรา ไม่ใช่ว่ามัทรีไม่เป็นที่รักของเรา พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เราจึงได้ให้ทานบุตรธิดาภรรยา อันเป็นที่รักของเรา " ขอถวายพระพร

ครั้นพระเวสสันดรพระราชทานโอรสธิดาไปแล้ว ก็ได้เสด็จเข้าไปภายในบรรณศาลา ทรงพระกรรแสงด้วยความรักยิ่ง ดวงหทัยได้ร้อนขึ้น เมื่อพระนาสิกไม่พอหายใจ ก็ได้ปล่อยลมหายใจร้อน ๆ ออกมาทางพระโอษฐ์ มีน้ำพระเนตรเจือด้วยพระโลหิต ไหลนองเต็มสองพระเนตร เป็นอันว่า พระเวสสันดรทรงรักพระราชโอรสธิดาอย่างยิ่ง แต่ได้ทรงอดกลั้นความโศกไว้ได้ ด้วยทรงดำริว่า อย่าให้ทานของเราเสียไปเลย

ต่อที่ #300 : http://agaligohome.com/index.php?topic=205.300 (http://agaligohome.com/index.php?topic=205.300)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 ตุลาคม 2554 07:58:48


อานิสงส์ ๒ ประการ

ขอถวายพระพร

คราวนั้น พระเวสสันดรได้เล็งเห็นอานิสงส์ ๒ ประการ จึงได้ทรงพระราชาทานพระเจ้าลูกทั้งสอง เพื่อให้ไปเป็นทาสของพราหมณ์ อานิสงส์ ๒ ประการนั้นคือประการใดบ้าง

ประการที่ ๑ ว่า อย่าให้ " ทานตบะ " เครื่องเผากิเลส คือทานของเราเสียไปเลย
ประการที่ ๒ ว่า ลูกเล็กทั้งสองของเราเป็นทุกข์ ด้วยได้กินแต่ลูกไม้หัวมัน เมื่อเราให้ทานไป พระเจ้าปู่จะได้ทรงรับไปเลี้ยง เพราะพระเวสสันดรทรงทราบดีอยู่ว่า คนอื่น ๆ ไม่อาจใช้ลูกของเราให้เป็นทาสทาสีได้ พระเจ้าปู่จะต้องไถ่ลูกทั้งสองของเราไว้ ทั้งจักมารับเราด้วย
เป็นอันว่า พระเวสสันดรเล็งเห็นคุณวิเศษคืออานิสงส์ ๒ ประการนี้ จึงได้พระราชทานลูกทั้งสองไป

อีกประการหนึ่ง พระเวสสันดรทรงทราบอยู่ว่า พราหมณ์ผู้นี้แก่เฒ่าเต็มทีแล้วใกล้จะตายอยู่แล้ว คงไม่อาจใช้ลูกทั้งสองของเราเป็นทาสได้ บุรุษอาจจับดวงจันทร์หรือดวงอาทิตย์ อันมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากลงมาใส่ไว้ในชะลอมหรือในผอบ หรือทำให้หมดรัศมีได้ ด้วยกำลังปกติหรือไม่ ? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พราหมณ์เฒ่าผู้มีบุญน้อยนั้น ก็ไม่อาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทาสได้เหมือนกันฉะนั้น

อีกประการหนึ่ง ขอจงสดับเหตุให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือแก้วมณีโชติของพระเจ้าจักรพรรดิอันมีรัศมีแผ่ไปตลอด ๑๐๐ โยชน์นั้น ไม่มีใครอาจเอาผ้าขี้ริ้วหุ้มห่อปกปิดไว้ได้ อนึ่ง ช้างแก้วของพระเจ้าจักรพรรดิย่อมไม่มีใครขึ้นขี่ได้ หรืออาจปกปิดไว้ได้ด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งฉันใด พระเจ้าลูกทั้งสองของพระเวสสันดร ก็ไม่มีใครอาจใช้เป็นทาสทาสีได้ฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง มหาสมุทรอันกว้างใหญ่หาประมาณมิได้ ย่อมไม่มีใครอาจปิดให้มีแต่เพียงท่าเดียวได้ พระยานันโทปนันทนาคราชที่สามารถพันรอบเขาสิเนรุราชได้ ๗ รอบนั้นย่อมไม่มีใครสามารถจับมาใส่ชะลอมหรือผอบไปเล่นละครได้ พระยาเขาหิมพานต์อันสูงถึง ๕๐๐ โยชน์ กว้างยาวถึง ๓๐๐ โยชน์ มียอดถึง ๘ หมื่น ๔ พันยอด อันเป็นแดนเกิดมหานที ๕๐๐ สาย อันเป็นที่อาศัยของหมู่ภูตใหญ่ ๆ เป็นที่ทรงไว้ซึ่งไม้หอมต่าง ๆ สล้างสลอยไปด้วยทิพยโอสถตั้งร้อย ๆ อย่าง ย่อมแลดูสูงตระหง่านเหมือนกับเมฆอันลอยในท้องฟ้าฉันใด พระเวสสันดรก็สูงด้วยพระเกียรติยศเหมือนกันพระยาเขาหิมพานต์ฉันนั้น ใครเล่าจักอาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองให้เป็นทาสได้

อีกประการหนึ่ง กองเพลิงที่ลุกรุ่งเรืองอยู่บนภูเขา ในเวลากลางคืนมืด ๆ ย่อมปรากฏเห็นแต่ไกลฉันใด พระเวสสันดรก็ปรากฏเห็นไกลฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง กลิ่นดอกกากะทิงบนภูเขาหิมพานต์ เมื่อมีลมพัดมา ย่อมส่งกลิ่นไปไกลได้ถึง ๑๒ โยชน์ฉันใด กลิ่นความดีของพระเวสสันดร ก็หอมฟุ้งไปทั่วแดนอสูร คนธรรมพ์ ยักษ์ รากษส นาค ครุฑ กินนร อินทร์พรหมทั้งหลายทุกชั้นฟ้าฉันนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้น ใครเล่าจักอาจใช้พระเจ้าลูกทั้งสองของพระเวสสันดร ให้เป็นทาสทาสีได้ ขอถวายพระพร

อีกอย่างหนึ่ง พระเวสสันดรได้ทรงกำชับสั่งพระชาลีกุมารไว้ว่า
" ลูกเอ๋ย ! พระเจ้าปู่จักต้องไถ่เจ้าทั้งสองด้วยทรัพย์จากพราหมณ์ไป แต่เมื่อจะทรงไถ่นั้นจงให้ไถ่ตัวเจ้าด้วยทองคำพันตำลึง ให้ไถ่น้องกัณหาด้วยทาส ทาสี ช้าง ม้า โค ทองคำอย่างละร้อย ๆ ถ้าพระเจ้าปู่จะทรงบังคับเอาเปล่า ๆ พวกเจ้าอย่ายอม จงติดตามพราหมณ์ไป " ทรงสอนอย่างนี้แล้ว จึงได้พระราชทานไป ฝ่ายพระชาลีกุมารที่พระเจ้าปู่ตรัสถามว่าจะต้องไถ่เจ้าทั้งสองอย่างไร จึงได้กราบทูลว่า
" พระบิดาของหม่อมฉันได้ตีราคาหม่อมฉันไว้พันตำลึงทอง ได้ทรงตีราคาน้องกัญหาไว้ด้วยทรัพย์อย่างละร้อย มีช้าง ๑๐๐ เชือกเป็นต้น พระเจ้าข้า

" เรื่องมีมาอย่างนี้แหละมหาพิตร"
" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้ทำลายข่ายทิฏฐิ ย่ำยีถ้อยคำของผู้อื่นได้แล้วได้แสดงเหตุผลไว้เพียงพอแล้ว ทำให้เข้าใจปัญหาข้อนี้ได้ง่ายแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 ตุลาคม 2554 12:35:34


ปัญหาที่ ๖ ว่าด้วยการทรงทำทุกกรกิริยา

" ข้าแต่พระนาคเสน พระโพธิสัตว์ทำทุกกรกิริยาเหมือนกันทั้งหมดหรือ ว่าทำเฉพาะพระโคดมบรมโพธิสัตว์เท่านั้น ? "
" ไม่เหมือนกันหมด มหาบพิตร ทำเฉพาะพระโคดมบรมโพธิสัตว์เท่านั้น "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ถูกกับความต่างกันของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย "
" ขอถวายพระพร พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมต่างกัน ๔ อย่างคือ ต่างกันด้วยตระกูล ๑ เวลาสร้างบารมี ๑ พระชนมายุ ๑ ประมาณพระสรีรกาย ๑ "

แต่เมื่อไรตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ต่างกันด้วยพระรูปลักษณะ ๑ ตบะ ๑ ศีล ๑ สมาธิ ๑ ปัญญา ๑ วิมุตติ ๑ วิมุตติญาณทัสสนะ ๑ เวสารัชชธรรม ๔ ทศพลญาณ ๑๐ พุทธญาณ ๑๔ พุทธธรรม ๑๘ เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสมอกันด้วย " พุทธธรรม "
" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเสมอกันด้วยพุทธธรรม คือธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว เหตุใดจึงทำทุกกรกิริยาเฉพาะพระโคดมบรมโพธิสัตว์เท่านั้น ? "
" ขอถวายพระพร เพราะพระโคดมบรมโพธิสัตว์ ได้เสด็จออกทรงบรรพชาในเวลาที่พระโพธิญาณยังไม่แก่กล้า จึงต้องทรงทำทุกรกิริยา เพื่อรอความแก่กล้าแห่งพระโพธิญาณ "

" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น พระโคดมบรมโพธิสัตว์ก็ควรจะเสด็จออกบรรพชาในเวลาที่พระโพธิญาณแก่กล้า จึงจะสมควร "
" ถูกแล้ว มหาบพิตร แต่ว่าพระโคดมบรมโพธิสัตว์ได้ทรงเห็นความวิปริตของพวกนางสนม จึงทรงเบื่อหน่าย เทวดาจำพวกมารจึงคิดว่า เวลานี้เป็นเวลาที่จะกำจัดความเบื่อหน่าย จึงได้ปรากฏตัวที่อากาศ เปล่งวาจาขึ้นว่า

" ขอท่านอย่าวุ่นวายเลยอีก ๗ วันนับจากนี้ไป จักรแก้วอันเป็นทิพย์ ก็จะปรากฏขึ้นแก่ท่าน จักรแก้วนั้นมีกำพันหนึ่ง พร้อมทั้งกงดุม เพลา พร้อมเสร็จ ท่านจักได้ทรงจักรแล้วไปได้ทั่วโลก จักมีอำนาจแผ่ไปทั่วโลกจักมีพระราชโอรสตั้งพัน ล้วนแต่เป็นผู้แกล้วกล้าสามารถย่ำยีข้าศึกทั้งปวง ท่านจักสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ จักได้เป็นใหญ่ในทวีปทั้ง ๔ " พอพระโคดมบรมโพธิสัตว์ได้ฟังคำของมารอย่างนี้ ก็ยิ่งสลดใจมากขึ้น ร้อนพระทัยมากขึ้น เปรียบเหมือนบุรุษถูกแทงด้วยเหล็กแดงฉะนั้น หรือเปรียบเหมือนผู้ถูกไฟร้อน
           อีกอย่างหนึ่ง แผ่นดินใหญ่นี้ ย่อมชุ่มอยู่ด้วยน้ำตามปกติ เวลาฝนห่าใหญ่ตกลงมาก็ยิ่งชุ่มหนักขึ้นฉันใด พระโพธิสัตว์เจ้าเบื่อหน่ายโลกอยู่ตามปกติแล้ว เมื่อได้ฟังถ้อยคำของมารนั้น ก็ยิ่งทรงเบื่อหน่ายมากขึ้นฉันนั้น "

" ข้าแต่พระนาคเสน จักรแก้วจักเกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์เจ้าในวันที่ ๗ ไม่ใช่หรือเหตุใดพระโพธิสัตว์จึงไม่กลับพระทัย รอจนให้จักรแก้วเกิดขึ้น ? "
"ขอถวายพระพร ไม่ใช่ว่าจักรแก้วจะเกิดแก่พระโพธิสัตว์เจ้าในวันที่ ๗ นั้นจริง เป็นแต่มารกล่าวเท็จเพื่อเล้าโลมพระโพธิสัตว์เจ้าเท่านั้น ถึงจักรแก้วจะเกิดแก่พระโพธิสัตว์เจ้าจริง พระโพธิสัตว์เจ้าก็ไม่ยอมกลับพระทัย ทั้งนี้ เพราะอะไร...เพราะพระโพธิสัตว์เจ้ายึดมั่นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปลงพระทัยลงสู่ความสิ้นอุปาทานแล้ว น้ำที่ไหลไปจากสระอโนดาต ย่อมไหลไปสู่คงคานที แล้วน้ำในคงคานทีก็ไหลเข้าไปสู่มหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรก็ไหลเข้าไปสู่ปากบาดาล น้ำที่ปากบาดาลจะไหลกลับมาสู่มหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะไหลกลับไปสู่คงคานที น้ำในคงคานทีจะไหลกลับคืนไปสู่สระอโนดาตหรือไม่ ? "
" ไม่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พระโพธิสัตว์เจ้าได้สร้างพระบารมีมาตลอด ๔ อสงไขยกับแสนกัปแล้ว ถึงชาติสุดท้ายแล้วจะกลับพระทัยเพราะเห็นแก่สมบัติอย่างนั้น จนให้พระโพธิญาณแก่กล้าตลอดถึง ๖ ปี จึงจะเสด็จออกบรรพชา เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้านั้นไม่ได้ฉันนั้น อาตมภาพขอถามว่า พระโพธิสัตว์เจ้าจะกลับพระทัย เพราะเหตุแห่งจักรแก้วได้หรือ ? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ถึงพื้นปฐพีใหญ่จะล่มจมไป หรือภูเขาต่าง ๆ ทั้งสิ้นจะโค่น แม่น้ำใหญ่ทั้งปวงจะแห้ง พระโพธิสัตว์เจ้ายังไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอันไม่กลับพระทัยเป็นอันขาด ถึงมหาสมุทรอันเป็นที่ขังน้ำเค็ม หาประมาณมิได้จะแห้งขอดลงไปเหมือนกับน้ำในรอยโคก็ตาม ถึงน้ำในมหาคงคาจะไหลทวนกระแสขึ้นไปเบื้องบนก็ตาม พระยาเขาสิเนรุจะแตกออกไปตั้งร้อยเสี่ยงพันเสี่ยงก็ตาม อากาศจะม้วนกลมเหมือนเสื่อลำแพนก็ตาม ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ทั้งดวงดาว จะตกลงมาที่พื้นดินเหมือนก้อนดินก็ตาม พระโพธิสัตว์ยังไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นอันไม่กลับพระทัยเป็นอันขาด เพราะอะไร...เพราะพระบรมโพธิสัตว์เจ้า ได้ทำลายเครื่องผูกทั้งปวงแล้ว "

" ข้าแต่พระนาคเสน เครื่องผูกในโลกมีอยู่เท่าใด ? "
" ขอถวายพระพร มีอยู่ ๑๐ ประการ "
" คืออะไรบ้าง ? "
" เครื่องผูกในโลก ๑๐ ประการ ได้แก่ มารดาบิดา ภรรยา บุตร ญาติ มิตร ทรัพย์ ลาภ สักการะ อิสริยยศ และกามคุณ ๕ สัตว์ทั้งหลายออกไปจากโลกไม่ได้ เพราะเครื่องผูก ๑๐ ประการนี้แหละ เครื่องผูก ๑๐ ประการนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าได้ทำลายเสียสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าจึงไม่กลับพระทัย "

" ข้าแต่พระนาคเสน เมื่อจิตเบื่อหน่ายเกิดขึ้น เมื่อญาณยังไม่แก่กล้า ถ้าพระโพธิสัตว์เจ้าเสด็จออกบรรพชา ตามคำของเทวดาที่เป็นมารนั้นแล้ว จะมีประโยชน์อันใด ด้วยการที่พระโพธิสัตว์เจ้าจะทรงทำทุกกรกิริยาพระโพธิสัตว์เจ้าควรรอให้พระญาณแก่กล้าควรหักสิ่งทั้งปวงไม่ใช่หรือ ? "
" ขอถวายพระพร มีบุคคลอยู่ ๑๐ จำพวก ที่มีผู้ดูหมิ่นดูแคลนเกลียดชังติเตียนครอบงำไม่ยำเกรง บุคคล ๑๐ จำพวกนั้น คือ หญิงหม้าย ๑ ผู้ทุพพลภาพ ๑ ผู้ไม่มีมิตรมีญาติ ๑ ผู้กินจุ ๑ ผู้อยู่ในตระกูลอันไม่น่าเคารพ ๑ ผู้มีมิตรเลวทราม ๑ ผู้เสื่อมทรัพย์ ๑ ผู้เสียศีล ๑ ผู้เสียการงาน ๑ ผู้เสียการประกอบ ๑ เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าระลึกถึงบุคคลทั้ง ๑๐ จำพวกนี้ ก็ทรงนึกว่า เราไม่ควรเป็นผู้เสียการงาน เสียการประกอบ ให้เป็นที่ติเตียนของเทพยดามนุษย์ทั้งหลาย เราควรเป็นเจ้าของการงาน ควรเคารพการกระทำ ควรมีการกระทำเป็นใหญ่ มีการกระทำเป็นปกติ ทรงไว้ซึ่งการกระทำ อาศัยการกระทำไม่ปล่อยเครื่องผูก คือการกระทำ ควรเป็นผู้ ไม่ประมาท ด้วยเหตุนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าจึงได้ทรงทำทุกกรกิริยา เพื่อรอความแก่กล้าแห่งญาณ "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน พระโพธิสัตว์ผู้ทำทุกกรกิริยาได้กล่าวไว้ว่า เราไม่ได้สำเร็จความรู้ความเห็นวิเศษอันเป็นของอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมดาของมนุษย์ได้ ด้วยทุกกรกิริยาอันเผ็ดร้อนนี้ ทางอื่นที่จะให้ตรัสรู้ได้จักต้องมี ก็ในคราวนั้น ความเผลอสติได้มีแก่พระโพธิสัตว์เจ้า เพราะแรงปรารภทางบ้างหรือไม่ ? "

พระนาคเสนชี้แจงว่า
" ขอถวายพระพร สิ่งที่จะทำให้จิตเสียกำลังใจ ไม่ทำให้จิตตั้งมั่นดี เพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย มีอยู่ ๒๕ ประการ คือ



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 ตุลาคม 2554 12:44:09


สิ่งที่ทำให้เสียกำลังใจ

๑. ความโกรธ       
๒. ความผูกโกรธ
๓. ความลบหลู่บุญคุณของผู้อื่น           
๔. ความตีเสมอกับผู้อื่น
๕. ความริษยาไม่ยินดีต่อความดีของผู้อื่น   
         
๖. ความตระหนี่เหนียวแน่น
๗. ความมีเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง         
๘. ความโอ้อวด
๙. ความดื้อดึง       
๑๐. ความแข่งดี

๑๑. ความถือตัว   
๑๒. ความดูหมิ่นผู้อื่น
๑๓. ความมัวเมา   
๑๔. ความเมาใหญ่
๑๕. ความง่วงเหงา

๑๖. ความเพลิดเพลิน
๑๗. ความเกียจคร้าน         
๑๘. ความคบมิตรลามก
๑๙. รูปของคนและสัตว์สิ่งของ           
๒๐. เสียงของคนสัตว์สิ่งของ

๒๑. กลิ่นของคนสัตว์สิ่งของ
๒๒. รสของคนสัตว์สิ่งของ
๒๓. สิ่งที่ถูกต้องทางกาย     
๒๔. ความหิวกระหาย
๒๕. ความไม่ยินดีในทางดี   



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 ตุลาคม 2554 12:47:39


พระโพธิสัตว์เจ้าได้ครอบงำกายด้วยความหิวกระหาย คือปล่อยให้ความหิวกระหายครอบงำกาย เมื่อความหิวกระหายครอบงำกายแล้ว จิตก็ไม่ตั้งมั่นดีเพื่อความสิ้นอาสวะทั้งหลาย พระโพธิสัตว์เจ้าได้แสวงหาการสำเร็จอริยสัจ ๔ อยู่ตลอด ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัปแล้ว ในภพสุดท้ายจักมีความเผลอสติเพราะปรารภทางได้อย่างไร

เป็นแต่พระโพธิสัตว์นึกขึ้นมาว่า ทางตรัสรู้ทางอื่นจะมีหรืออย่างไร เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติแล้วได้ ๑ เดือนได้ทรงนั่งสมาธิอยู่ ณ ที่บรรทมภายใต้ต้นหว้าอันมีเงาร่มเย็นนั้น ในเวลาที่พระราชบิดาทรงแรกนาขวัญ ก็ยังได้สำเร็จฌาน ๔ ขอถวายพระพร "

" ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน โยมรับว่าเมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าจะทรงรอให้ญาณแก่กล้าจึงได้ทำทุกกรกิริยา "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 ตุลาคม 2554 12:59:52


ปัญหาที่ ๗ ว่าด้วยกำลังแห่งกุศลอกุศล

" ข้าแต่พระนาคเสน กุศลกับอกุศลอย่างไรยิ่งกว่ากัน มีกำลังกว่ากัน ? "
" ขอถวายพระพร กุศล ยิ่งกว่า มีกำลังแรงกว่า "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่เชื่อว่า กุศลยิ่งกว่า มีกำลังแรงกว่า เพราะเห็นอยู่ทั่วกันว่าผู้ทำปาณาติบาต ฆ่ามนุษย์ ผู้ทำอทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปล้นชาวบ้าน ปล้นคนเดินทาง ฉ้อโกง หลอกลวง ทั้งสิ้นนี้ย่อมถูกลงโทษต่าง ๆ คือ ถูกตัดมือก็มี ตัดเท้าก็มี ตัดหู ตัดจมูกก็มี เอาหม้อข้าวครอบหัวก็มี ถลกหนังแล้วขัดด้วยหินหยาบให้ขาวเหมือนสังข์ก็มี ทำปากราหูคือจุดไฟยัดเข้าปากก็มี ทำตัวเป็นดอกไม้เพลิงคือเอาผ้าชุบน้ำมันพันตัวแล้วจุดไฟก็มี จุดนิ้วมือต่างประทีป คือผ้าขี้ริ้วชุบน้ำมันพันนิ้วมือ แล้วจุดไฟก็มี ทำหนังแกะ คือลอกหนังตั้งแต่คอลงไปถึงข้อเท้า แล้วให้เดินเหยียบหนังตัวเองไปก็มี ทำผ้าผูกคอ คือถลกหนังตั้งแต่คอลงไปพักไว้ที่บั้นเอวเสียตอนหนึ่ง ถลกหนังจากใต้บั้นเอวลงไปถึงข้อเท้า ให้เหมือนนุ่งผ้าเปลือกปอก็มี ตอกข้อเท้าทั้งสองเข่าทั้งสองขึงไว้กับพื้นดินก็มี เอาเบ็ดเกี่ยวเนื้อออกเป็นชิ้น ๆ ก็มี

เชือดเนื้อออกทีละก้อน ๆ เท่าเงินกหาปณะก็มี ฟันแทงให้ทั่วตัว แล้วเอาน้ำแสบน้ำเค็มเทราดก็มี ให้นอนตะแคงเอาหลาวแทงช่องหู ปักลงไปกับพื้นดินให้แน่น แล้วจับเท้าหมุนก็มี ทำดั่งฟาง คือเชือดเอาผิวหนังออกแล้วทุบกระดูกให้แตกด้วยก้อนหิน จับผมดึงถลกหนังขึ้น ทำให้เหมือนมัดฟางก็มี เสียบหลาวไว้ทั้งเป็นก็มี ตัดศีรษะด้วยดาบก็มี พวกทำบาปในกลางคืนได้รับผลบาปในกลางคืนก็มี พวกทำบาปกลางคืนได้รับผลบาปกลางวันก็มี พวกทำบาปกลางวันได้รับผลบาปกลางวันก็มี บางพวกที่ได้รับกลางคืน บางพวกที่ได้รับกลางคืน บางพวกล่วงไป ๒ - ๓ วันจึงได้รับ เป็นอันว่าพวกทำบาปทั้งสิ้น ได้รับผลในทันตาเห็น

ส่วนผู้ให้ทานแก่สมณพราหมณ์องค์เดียวหรือ ๒ องค์ ๓ องค์ ๔ องค์ ๕ องค์ ๑๐ องค์ ๑๐๐ องค์ พันองค์ แสนองค์ จึงได้รับผลคือทรัพย์ ยศ หรือสุข ในปัจจุบันก็มี บางคนก็ได้เสวยสมบัติด้วยศีล ๕ ก็มี ด้วยศีล ๘ ก็มี "

พระนาคเสนตอบว่า
" ขอถวายพระพร บริษัททั้ง ๔ นี้ให้ทานรักษาศีล รักษาอุโบสถ แล้วไปสวรรค์ทั้งเป็นก็มีอยู่ "

" คือใครบ้างล่ะ พระผู้เป็นเจ้า ? "
" ขอถวายพระพร คือ พระเจ้ามันธาตุราช ๑ พระเจ้าเนมิราช ๑ พระเจ้าสาธินราช ๑ โคตติลพราหมณ์ ๑ "

" ข้าแต่พระนาคเสน เรื่องบุคคลทั้ง ๔ นั้น เป็นเรื่องนานหลายพันชาติมาแล้ว ถ้าพระผู้เป็นเจ้าสามารถ จงบอกเรื่องที่มีอยู่ในครั้งพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ว่า ผู้ที่ทำบุญแล้ว ได้ผลทันตาเห็นนั้นคือใครบ้าง ? "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 ตุลาคม 2554 13:14:08


บุคคลตัวอย่าง

ขอถวายพระพร คือ นายปุณณกะ ผู้เป็นทาสของเศรษฐี ( เมณฑกเศรษฐี ) ซึ่งได้ใส่บาตรพระสารีบุตรเถระ แล้วได้เป็นเศรษฐีในวันนั้น พระนางโคปาลมาตาเทวี ตัดมวยผมออกขายได้เงิน ๘ กหาปณะ แล้วซื้ออาหารถวายแก่พระ ๘ องค์ มีพระมหากัจจายนเถระเป็นประธาน แล้วได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน ( ในพระสูตรว่าเป็นพระเจ้าจัณฑปัชโชติ ) ในวันนั้น นางสุปิยาอุลาสิกา เชือดเนื้อขาออกปิ้งถวายพระอาพาธองค์หนึ่ง แล้วรุ่งขึ้นก็มีเนื้องอกขึ้นเต็มเป็นปกติ พระนางมัลลิกา ได้เอาขนมถั่วใส่บาตรพระพุทธเจ้า แล้วได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าโกศลในวันนั้น นายสุมนมาลาการ บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกมะลิ ๘ กำมือ แล้วได้รับพระราชทานรางวัลจากพระราชาสิ่งละ ๘ ในวันนั้น เป็นอันว่าบุคคลทั้งสิ้นนี้ ได้ทรัพย์ ยศ ในชาติปัจจุบันนี้ขอถวายพระพร "

" ข้าแต่พระนาคเสน ท่านพิจารณาเห็นเพียง ๖ คนเท่านี้หรือ ? "
" เพียง ๖ คนเท่านี้แหละ มหาบพิตร "

พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น อกุศลก็มีกำลังยิ่งนัก เพราะว่าคราวหนึ่งโยมได้เห็นบุรุษคราวละ ๑๐ คน ๒๐ คน ๓๐ คน ๔๐ คน ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คน ถูกเสียบหลาวทั้งเป็นด้วยผลบาปของเขา บุตรของเสนาบดีแห่งพระเจ้าจันทคุตต์ชื่อว่า " ภัททบาล " ได้เกิดทำสงครามกับพระเจ้าจัตทคุตต์ ในการทำสงครามกลางเมืองคราวนั้นพลนิกายทั้งสองฝ่าย ต่างก็มีมือถือดาบอันคมกล้า ฆ่าฟันกันล้มตายเป็นอันมาก

การที่พวกนั้น ถึงความพินาศอย่างนั้นก็เพราะผลของบาปกรรม เหตุอันนี้แหละโยมจึงว่าอกุศลมีกำลังยิ่งกว่า โยมได้ฟังมาว่า พระเจ้าโกศล ได้ถวายอสทิสทาน ในครั้งพระพุทธองค์ยังทรงดำรงอยู่ จริงไหม ? "

พระนาคเสนยอมรับว่า " จริง มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระนาคเสน พระเจ้าโกศลถวายอสทิสทานนั้นแล้วได้ทรัพย์ ยศ หรือสุขอย่างใดอย่างหนึ่งในปัจจุบันหรือไม่ ? "
" ไม่ได้ มหาบพิตร "
" ถ้าไม่ได้ ก็เป็นอันว่า อกุศลมีกำลังยิ่งกว่า "

" ขอถวายพระพร อกุศลย่อมให้ผลเร็วเพราะเป็นของเล็กน้อย ส่วนกุศลย่อมให้ผลช้าเพราะเป็นของใหญ่ ความข้อนี้ควรทราบด้วยอุปมา ดังนี้ ในอปรันตชนบทมีธัญชาติ คือข้าวเปลือกชนิดหนึ่งชื่อว่า " กุมุทธภัณฑิกา " อันจัดเป็นข้าวเบา หว่านลงในนาเดือนเดียวก็ได้ผล ส่วนข้างสาลีต้อง ๕ - ๖ เดือนจึงจักได้ผล ข้อนี้มหาบพิตรว่าเป็นเพราะอะไร ? "

" โยมว่าเป็นเพราะข้าวกุมุทธภัณฑิกาเป็นของเล็กน้อย ส่วนข้าวสาลีเป็นของใหญ่เพราะเป็นข้าวเสวยของพระราชา ส่วนข้าวกุมุทธกัณฑิกา เป็นข้าวของพวกทาสกรรมกร "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เพราะอกุศลเป็นของเล็กน้อย จึงให้ผลเร็ว ส่วนกุศลเป็นของใหญ่ จึงให้ผลช้า "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งใดให้ผลเร็ว สิ่งนั้นชื่อว่า มีกำลังยิ่งกว่า เพราะฉะนั้น อกุศลจึงมีกำลังยิ่งกว่า เหมือนกับพลรบที่เข้าสู่สนามรบผู้ใดจับศัตรูมาได้เร็ว ผู้นั้นชื่อว่าผู้แกล้วกล้าสามารถ หมอผ่าตัดคนใดถอนลูกศรออกได้เร็วหมอผ่าตัดคนนั้นชื่อว่าหมอฉลาด คนนับคนใดนับได้เร็ว คนนับคนนั้นก็ชื่อว่าเก่ง คนปล้ำคนใดจับคู่ปล้ำด้วยกันฟาดลงได้ทั้งยืน คนปล้ำคนนั้นก็ชื่อว่าแกล้วกล้าสามารถ ข้อเปรียบเหล่านี้มีอุปมาฉันใด กุศลหรืออกุศลใดสามารถ ให้ผลเร็ว กุศลหรืออกุศลนั้น ก็ชื่อว่ามีกำลังยิ่งกว่าฉันนั้น "

พระนาคเสนอธิบายว่า
" ขอถวายพระพร กรรมทั้งสองนี้ เป็นกรรมให้ผลในชาติที่ ๒ รองจากชาตินี้ลงไปอีกอย่างหนึ่ง อกุศลที่ให้ผลในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะมีโทษมากกษัตริย์องค์ก่อน ๆ ทรงกำหนดโทษไว้ว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ขโมยของผู้อื่น เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น กล่าวเท็จ ปล้นบ้านเมือง แย่งชิงคนเดินทาง ทำของปลอม ทำการหลอกลวง ผู้นั้นต้องได้รับโทษอาญาคือฆ่าหรือตัดอวัยวะหรือเฆี่ยนตี อย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้ แล้วพระราชาเหล่านั้น ก็ลงโทษตามที่ทรงกำหนดไว้ ส่วนผลของทานศีล มีผู้กำหนดไว้หรือไม่ว่า ผู้ใดให้ทาน รักษาศีล รักษาอุโบสถ พระราชาต้องพระราชทานทรัพย์ ยศ แก่ผู้นั้นเหมือนกับการลงโทษผู้กระทำผิดกฏหมาย ? "
" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ถ้ามี กุศลก็ต้องให้ผลทันตาเห็นแก่ผู้ให้ทานทั้งนั้น แต่เพราะไม่มีพระราชกำหนดกฏหมายไว้ กุศลจึงไม่ได้ผลทันตาเห็นเสมอไป ส่วนในภพต่อ ๆ ไป เขาก็ได้ผล มีกำลังยิ่งกว่า สำหรับอกุศลไม่ใช่อย่างนั้น "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ปัญหานี้ท่านได้แก้ไขถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 02 ตุลาคม 2554 13:24:59


ปัญหาที่ ๘ ว่าด้วยการทำบุญให้ผู้ตาย

" ข้าแต่พระนาคเสน พวกทายกให้ทานแล้ว อุทิศให้แก่ผู้ที่ตายไปก่อนแล้วว่า ขอทานนี้จงมีแก่พวกนั้น ดังนี้ ขอถามว่า พวกนั้นได้รับผลจากทานนั้นบ้างหรือไม่ ? "
" ขอถวายพระพร บางพวกก็ได้รับ บางพวกก็ไม่ได้รับ "

" พวกไหนได้รับ พวกไหนไม่ได้รับ พระผู้เป็นเจ้า ? "
" ขอถวายพระพร พวกเกิดในนรก สวรรค์ เดรัจฉาน ทั้ง ๓ จำพวกนี้ไม่ได้รับ และอีก ๓ จำพวก คือ จำพวกอสุรกาย จำพวกเปรต อดข้าวอดน้ำ จำพวกเปรตเพลิงไหม้อยู่เป็นนิจก็ไม่ได้รับ ได้รับแต่จำพวก ปรทัตตูปชีวีเปรต คืออาศัยผู้อื่นอุทิศให้จำพวกเดียวเท่านั้น "

" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น ทานที่พวกทายกให้ ก็เป็นทานเสียเปล่า ไม่มีผลเพราะพวกที่ตายไปแล้วไม่ได้รับ ? "
" ขอถวายพระพร จะไม่มีผลหามิได้เพราะพวกทายกยังได้รับผลแห่งทานนั้นอยู่ "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอ้างเหตุให้โยมเข้าใจ "
" ขอถวายพระพร เหมือนอย่างมีคนพวกหนึ่ง จัดปลา เนื้อ สุรา อาหาร ส่งไปให้แก่พวกญาติ ถ้าพวกญาติไม่รับไว้ ข้าวน้ำที่ส่งไปทั้งหลายนั้น จะเสียเปล่าหรืออย่างไร ? "
" ไม่เสียเปล่า พระผู้เป็นเจ้า ของนั้นเขาต้องส่งกลับมาให้เจ้าของอีก "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ถึงพวกที่ล่วงลับไปแล้วไม่ได้รับผลทานนั้น พวกทายกก็ยังได้รับ อีกอย่างหนึ่ง อาตมภาพขอถามว่า เมื่อบุรุษเข้าไปในห้อง ไม่มีประตูทะลุออกไป เขาจะออกทางไหน ? "
" เขาต้องออกทางที่เข้าไปซิ พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร พวกทายกก็ยังได้รับผลทานนั้นอยู่ "
" อย่างนั้นพระนาคเสน โยมรับว่า พวกทายกยังได้รับผลทานของเขาอยู่ เพราะฉะนั้นโยมไม่ซักถึงเหตุผลอีกละ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 20 ตุลาคม 2554 06:29:42


ปัญหาที่ ๙ ว่าด้วยความใหญ่และไม่ใหญ่แห่งกุศลอกุศล

" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าทานที่พวกทายกให้ไปถึงผู้ที่ตายไปแล้ว พวกที่ตายไปแล้วได้รับผลทานนั้น ผู้ใดฆ่าสัตว์ ฆ่ามนุษย์ มีมือเปื้อนด้วยโลหิต มีใจคิดร้าย ทำกรรมหยาบช้าแล้วอุทิศผลให้แก่พวกที่ตายไปแล้วว่า ผลแห่งกรรมของเรานี้จงไปถึงพวกที่ตายไปแล้ว ดังนี้ ผลแห่งกรรมนั้นจะถึงพวกที่ตายไปแล้วหรือไม่ ? "

พระนาคเสนตอบว่า
" ไม่ถึง มหาบพิตร "
" เหตุไร พระผู้เป็นเจ้า อกุศลนั้นจึงไม่ไปถึง ? "

" ขอถวายพระพร ธรรมดาอกุศลย่อมไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครอาจทำโลกทั้งสิ้นให้มีรสชาติอันเดียวกัน ขอมหาบพิตรอย่าถามอาตมภาพอย่างนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรถามเช่นจะถามว่า เหตุใดฝักข้าวโพดจึงตั้ง ลูกฟักเขียวฟักทองจึงห้อย น้ำในคงคาจึงไม่ไหลขึ้นข้างบนมนุษย์กับสัตว์มีปีกจึงมี ๒ เท้า สัตว์ป่าเป็นต้นมี ๔ เท้า ดังนี้ เป็นของไม่ควรถามทั้งนั้น "

" ข้าแต่พระนาคเสน โยมไม่ได้ถามด้วยมุ่งจะทำให้พระผู้เป็นเจ้าลำบากใจ โยมถามด้วยมุ่งให้หมดความสงสัยเท่านั้น พวกมนุษย์เป็นอันมากที่ทำบาป ที่ไม่รู้จักอะไร ย่อมไม่ได้โอกาสที่จะถามพระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นโยมจึงถามพระผู้เป็นเจ้าอย่างนี้ "
" ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่อาจจำแนกบาปกรรมให้หมดรวดเดียวได้ด้วยอนุมานอันนี้ เหมือนอย่างว่า พวกมนุษย์กระทำให้น้ำไหลไปไกลได้ด้วยรางได้ แต่ว่าอาจให้น้ำไหลขึ้นไปสู่ภูเขา ที่เป็นโพรงด้วยรางน้ำได้หรือไม่ ? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร อาตมาอาจแบ่งผลกุศลได้ แต่ไม่อาจแบ่งผลอกุศลได้อีกอย่างหนึ่ง ประทีปย่อมลุกโพลงด้วยน้ำมัน แต่มหาบพิตรอาจทำให้ประทีปปลุกโพลงด้วยน้ำได้หรือไม่ ? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร อาตมาก็อาจแบ่งผลกุศลได้ แต่ไม่อาจแบ่งผลอกุศลได้อีกประการหนึ่ง พวกชาวนาย่อมไขน้ำจากเหมืองมาสู่นาทำให้ข้าวงามได้ แต่ว่าอาจไขน้ำมหาสมุทรเข้ามาสู่นา ทำให้ข้าวงามได้หรือไม่ ? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร อาตมาก็อาจแบ่งผลกุศลได้ แต่ไม่อาจแบ่งผลอกุศลได้ "

" ข้าแต่พระนาคเสน เหตุใดจึงว่าอาจแบ่งผลกุศลได้ ไม่อาจแบ่งผลอกุศลได้ ขอจงอ้างเหตุให้โยมเข้าใจ โยมไม่ใช่คนตาบอดไม่ใช่ผู้ไม่มีเครื่องกำหนด โยมได้ฟังแล้วจักเข้าใจได้ "
" ขอถวายพระพร บาปมีผลน้อย บุญมีผลมาก อกุศลย่อมให้มีผลเฉพาะผู้กระทำเท่านั้นแผ่ผลไปถึงผู้อื่นไม่ได้ ส่วนกุศลย่อมแผ่ผลไปทั่วโลกได้ "

" ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมา "
" ขอถวายพระพร คือ นายปุณณกะ ผู้เป็นทาสของเศรษฐี ( เมณฑกเศรษฐี ) ซึ่งได้ใส่บาตรพระสารีบุตรเถระ แล้วได้เป็นเศรษฐีในวันนั้น พระนางโคปาลมาตาเทวี ตัดมวยผมออกขายได้เงิน ๘ กหาปณะ แล้วซื้ออาหารถวายแก่พระ ๘ องค์ มีพระมหากัจจายนเถระเป็นประธาน แล้วได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน ( ในพระสูตรว่าเป็นพระเจ้าจัณฑปัชโชติ ) ในวันนั้นนางสุปิยาอุลาสิกา เชือดเนื้อขาออกปิ้งถวายพระอาพาธองค์หนึ่ง แล้วรุ่งขึ้นก็มีเนื้องอกขึ้นเต็มเป็นปกติ พระนางมัลลิกา ได้เอาขนมถั่วใส่บาตรพระพุทธเจ้า แล้วได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าโกศลในวันนั้น นายสุมนมาลาการ บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกมะลิ ๘ กำมือ แล้วได้รับพระราชทานรางวัลจากพระราชาสิ่งละ ๘ ในวันนั้น เป็นอันว่าบุคคลทั้งสิ้นนี้ ได้ทรัพย์ ยศ ในชาติปัจจุบันนี้ขอถวายพระพร "

" ข้าแต่พระนาคเสน ท่านพิจารณาเห็นเพียง ๖ คนเท่านี้หรือ ? "
" เพียง ๖ คนเท่านี้แหละ มหาบพิตร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 20 ตุลาคม 2554 06:36:43


พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้น อกุศลก็มีกำลังยิ่งนัก เพราะว่าคราวหนึ่งโยมได้เห็นบุรุษคราวละ ๑๐ คน ๒๐ คน ๓๐ คน ๔๐ คน ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คน ถูกเสียบหลาวทั้งเป็นด้วยผลบาปของเขา บุตรของเสนาบดีแห่งพระเจ้าจันทคุตต์ชื่อว่า " ภัททบาล "

ได้เกิดทำสงครามกับพระเจ้าจัตทคุตต์ ในการทำสงครามกลางเมืองคราวนั้นพลนิกายทั้สองฝ่าย ต่างก็มีมือถือดาบอันคมกล้า ฆ่าฟันกันล้มตายเป็นอันมาก การที่พวกนั้น ถึงความพินาศอย่างนั้นก็เพราะผลของบาปกรรม เหตุอันนี้แหละโยมจึงว่าอกุศลมีกำลังยิ่งกว่า โยมได้ฟังมาว่า พระเจ้าโกสล ได้ถวายอสทิสทาน ในครั้งพระพุทธองค์ยังทรงดำรงอยู่ จริงไหม ? "

พระนาคเสนยอมรับว่า
" จริง มหาบพิตร "
" ข้าแต่พระนาคเสน พระเจ้าโกศลถวายอสทิสทานนั้นแล้วได้ทรัพย์ ยศ หรือสุขอย่างใดอย่างหนึ่งในปัจจุบันหรือไม่ ? "
" ไม่ได้ มหาบพิตร "
" ถ้าไม่ได้ ก็เป็นอันว่า อกุศลมีกำลังยิ่งกว่า "

" ขอถวายพระพร อกุศลย่อมให้ผลเร็วเพราะเป็นของเล็กน้อย ส่วนกุศลย่อมให้ผลช้าเพราะเป็นของใหญ่ ความข้อนี้ควรทราบด้วยอุปมา ดังนี้ในอปรันตชนบทมีธัญชาติ คือข้างเปลือกชนิดหนึ่งชื่อว่า " กุมุทธภัณฑิกา "อันจัดเป็นข้าวเบา หว่านลงในนาเดือนเดียวก็ได้ผล ส่วนข้าวสาลีต้อง ๕ - ๖ เดือนจึงจักได้ผล ข้อนี้มหาบพิตรว่าเป็นเพราะอะไร ? "

" โยมว่าเป้นเพราะข้าวกุมุทธภัณฑิกาเป็นของเล็กน้อย ส่วนข้าวสาลีเป็นของใหญ่เพราะเป็นข้าวเสวยของพระราชา ส่วนข้าวกุมุทธกัณฑิกา เป็นข้าวของพวกทาสกรรมกร "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร เพราะอกุศลเป็นของเล็กน้อย จึงให้ผลเร็ว ส่วนกุศลเป็นของใหญ่ จึงให้ผลช้า "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสต่อไปว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน สิ่งใดให้ผลเร็ว สิ่งนั้นชื่อว่า มีกำลังยิ่งกว่า เพราะฉะนั้น อกุศลจึงมีกำลังยิ่งกว่า เหมือนกับพลรบที่เข้าสู่สนามรบผู้ใดจับศัตรูมาได้เร็ว ผู้นั้นชื่อว่าผู้แกล้วกล้าสามารถ หมอผ่าตัดคนใดถอนลูกศรออกได้เร็วหมอผ่าตัดคนนั้นชื่อว่าหมอฉลาด คนนับคนใดนับได้เร็ว คนนับคนนั้นก็ชื่อว่าเก่ง คนปล้ำคนใดจับคู่ปล้ำด้วยกันฟาดลงได้ทั้งยืน คนปล้ำคนนั้นก็ชื่อว่าแกล้วกล้าสามารถ ข้อเปรียบเหล่านี้มีอุปมาฉันใด กุศลหรืออกุศลใดสามารถ ให้ผลเร็ว กุศลหรืออกุศลนั้น ก็ชื่อว่ามีกำลังยิ่งกว่าฉันนั้น "

พระนาคเสนอธิบายว่า
" ขอถวายพระพร กรรมทั้งสองนี้ เป็นกรรมให้ผลในชาติที่ ๒ รองจากชาตินี้ลงไปอีกอย่างหนึ่ง อกุศลที่ให้ผลในปัจจุบันนั้น เป็นเพราะมีโทษมาก กษัตริย์องค์ก่อน ๆ ทรงกำหนดโทษไว้ว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ขโมยของผู้อื่น เป็นชู้กับภรรยาผู้อื่น กล่าวเท็จ ปล้นบ้านเมือง แย่งชิงคนเดินทาง ทำของปลอม ทำการหลอกลวง ผู้นั้นต้องได้รับโทษอาญาคือฆ่าหรือตัดอวัยวะหรือเฆี่ยนตี อย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้ แล้วพระราชาเหล่านั้น ก็ลงโทษตามที่ทรงกำหนดไว้ ส่วนผลของทานศีล มีผู้กำหนดไว้หรือไม่ว่า ผู้ใดให้ทาน รักษาศีล รักษาอุโบสถ พระราชาต้องพระราชทานทรัพย์ ยศ แก่ผู้นั้นเหมือนกับการลงโทษผู้กระทำผิดกฏหมาย ? "
" ไม่มี พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ถ้ามี กุศลก็ต้องให้ผลทันตาเห็นแก่ผู้ให้ทานทั้งหนั้น แต่เพราะไม่มีพระราชกำหนดกฏหมายไว้ กุศลจึงไม่ได้ผลทันตาเห็นเสมอไป ส่วนในภพต่อ ๆ ไป เขาก็ได้ผล มีกำลังยิ่งกว่า สำหรับอกุศลไม่ใช่อย่างนั้น "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ปัญหานี้ท่านได้แก้ไขถูกต้องดีแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 20 ตุลาคม 2554 06:55:21


ปัญหาที่ ๑๐ ว่าด้วยฝัน
(เป็นสำนวนแปลของนายยิ้ม ปัณฑยางกูร จากหนังสือ "ปัญหาพระยามิลินท์" ฉบับหอสมุดแห่งชาติ)

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ดูด่อนพระนาคเสน คนที่นอนฝันเป็นเพราะอะไร
พระนาคเสนทูลตอบว่า ขอถวายพระพร เป็นเพราะลมกำเริบ ๑ เพราะดีกำเริบ ๑ เพราะเสมหะกำเริบ ๑ เพราะเทวดาสังหรณ์ ๑ เพราะอารมณ์ที่แนบอยู่กับจิต ๑ เพราะบุรพนิมิต ๑ ขอถวายพระพร ใน ๖ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือยิ่งกว่า เป็นเหตุให้คนเรานอนฝัน และฝันเพราะบุรพนิมิตเป็นฝันที่แน่นอน

ม. ขณะเมื่อจะฝัน เป็นด้วยนิมิตผ่านเข้าไปหาจิต หรือเป็นด้วยจิตไปยึดเอานิมิตมาฝัน หรือมีใครมาบอก
น. ขอถวายพระพร เป็นด้วยนิมิตผ่านเข้าไปหาจิต หาใช่เป็นด้วยอย่างอื่นไม่ เปรียบเหมือนเงาที่กระจก นิมิตได้แก่เงา จิตได้แก่กระจก ฉะนั้น

ม. ขณะเมื่อฝัน หลับหรือตื่น
น. มิใช่ขณะหลับหรือตื่น ขณะใดที่จิตจะก้าวลงสู่ภวังค์ หรือก้าวมาจากภวังค์ ขณะนั้นแล เป็นเวลาที่จะฝัน ขอถวายพระพร คนหลับ ๑ ท่านที่เข้านิโรธสมาบัติ ๑ จิตไม่หวั่นไหว จิตก้าวลงสู่ภวังค์ เมื่อเป็นดังนั้น นิมิตก็ผ่านเข้าไปไม่ถึงจิต เหมือนแสงพระอาทิตย์ เมื่อมีเมฆและหมอกเป็นต้น มาปิดบังเสีย ก็ส่องแสงมายังโลกเราได้น้อย หรือไม่ถึงเลยฉะนั้น ส่วนคนตื่นอยู่ จิตขุ่นมัวไม่แน่วแน่ ไม่เป็นปรกติ นิมิตก็เดินไปไม่ถึงจิต เช่นเดียวกัน

ม. นี่เธอ เบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุดแห่งความหลับมีหรือไม่
น. มี คือขณะเมื่อร่างกายบางส่วนพักผ่อนหยุดการทำงาน นี้เป็นเบื้องต้น ขณะเมื่อจิตหลับม่อยไปดุจวานรหลับ นี้เป็นท่ามกลาง ขณะเมื่อหลับสนิทจิตก้าวลงสู่ภวังค์ นี้เป็นที่สุดแห่งความหลับ ขอถวายพระพร ท่ามกลางแห่งความหลับนั้นแล เป็นเวลาที่จะฝัน
ม. เข้าใจ



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 20 ตุลาคม 2554 20:39:59


เมณฑกปัญหา วรรคที่ ๙
ปัญหาที่ ๑ ถามถึงกาลมรณะ อกาลมรณะ

" ข้าแต่พระนาคเสน อันว่ามนุษย์ทั้งหลายตายในเวลาที่ควรตายนั้น หรือว่าตายในเวลาที่ยังไม่ควรตายก็มี ? "
" ขอถวายพระพร ตายในเวลาควรตายอันเรียกว่า กาลมรณะ ก็มี ตายในเวลายังไม่ควรตาย อันเรียกว่า อกาลมรณะ ก็มี "

" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พวกไหนเวลาตายในเวลาควรตาย พวกไหนตายในเวลาไม่ควรตาย ? "
" ขอถวายพระพร ต้นมะม่วงหรือต้นไม้อื่นที่มีผลหล่นไปแต่กำลังตั้งช่อก็มี หล่นไปในเวลามีขั้วแล้วก็มี หล่นไปในเวลาโตเท่าหัวแมลงวันก็มี หล่นไปในเวลาดิบก็มี หล่นไปในเวลาสุกก็มี มหาบพิตรเคยเห็นบ้างไหม? "
" อ๋อ...เคยเห็นซิ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ผลไม้ที่หล่นไปในเวลายังไม่สุก เรียกว่า " หล่นไปในเวลายังไม่ควรหล่น " คือหล่นไปด้วยหนอนเจาะก็มี นกจิกก็มี ลมพัดก็มี เน่าก็มี เรียกว่า " หล่นไปในเวลาที่ยังไม่ควรหล่น" ทั้งนั้น ฉันใด พวกที่ตายในเวลาชรา เรียกว่า " ตายในเวลาควรตาย" ทั้งนั้น นอกนั้นเรียกว่า " ตายในเวลายังไม่ควรตาย " คือบางพวกก็ตายด้วยกรรมแทรก บางพวกก็ตายด้วยคติ คือคติอันหนักชักไป บางพวกก็ตายด้วยกิริยา"

พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามอีกว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า พวกตายด้วยกรรมชักไปก็ดี ตายด้วยคติชักไปก็ดี ตายด้วยกิริยาชักไปก็ดี ตายด้วยชราครอบงำก็ดี โยมเห็นว่า ตายในเวลาควรตายทั้งนั้น ก็ผู้ที่ตายในท้องก่อนที่จะคลอด หรือพอออกจากท้องมารดาก็ตาย หรือตายในเวลามีอายุ ๕ - ๖ เดือน หรือตายในเวลามีอายุ ๑๐ เดือน หรือตายในเวลามีอายุ ๗ ปี โยมก็เห็นว่าตายในเวลาควรตายทั้งนั้น ถ้าความเห็นนี้ถูก อกาลมรณะ คือการตายในเวลายังไม่ควรตายก็ไม่มี เรียกว่า " ตายในเวลาที่ควรตาย" ด้วยกันทั้งนั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 ตุลาคม 2554 04:55:17


   ผู้ที่ตายก่อนอายุขัยมี ๗ จำพวก

   " ขอถวายพระพร ผู้ที่ตายในเวลายังไม่สิ้นอายุขัย มีอยู่ ๗ จำพวก คือ พวกหิวจัดตายก็มี กระหายน้ำจัดตายก็มี ถูกงูกัดตายก็มี ถูกยาพิษตายก็มี ถูกไฟไหม้ตายก็มี ตกน้ำตายก็มี ถูกอาวุธตายก็มี พวกนี้เรียกว่า " ตายในเวลายังไม่ควรตาย" ทั้งนั้น



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 ตุลาคม 2554 05:03:06


ตายด้วยเหตุ ๘ ประการ

อันความตายของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมมีด้วยเหตุ ๘ ประการ คือ ลมกำเริบ ดีกำเริบ เสมหะกำเริบ สิ่งทั้ง ๓ นี้กำเริบ ฤดูแปรปรวนบริหารร่างกายไม่ดี ถูกผู้อื่นกระทำ กรรมให้ผล รวมเป็น ๗ ประการด้วยกัน ตายด้วยกรรมให้ผล เรียกว่า " ตายสมควรแก่กรรมของตน" นอกนั้นเรียกว่า " ตายไม่สมควรแก่กรรม"

คือบุคคลบางพวกตายด้วยกรรมที่ทำไว้ในชาติปางก่อน ผู้ใดทำให้ผู้อื่นอดตายไว้ในชาติก่อน ผู้นั้นต้องตายด้วยความอดอยากหลายพันชาติ บางทีตายด้วยความอดอยากในเวลาเป็นเด็กก็มี ในเวลากลางคนก็มี ในเวลากลางอายุก็มี ในเวลาแก่ก็มี ผู้ใดทำให้ผู้อื่นอดน้ำตายไว้ในชาติก่อน ผู้นั้นต้องอดน้ำตายอยู่หลายพันชาติ คืออดน้ำตายในเวลาเป็นเด็กก็มี กลางคนก็มี แก่ก็มี ผู้ใดทำให้ผู้อื่นด้วยให้งูกัดสัตว์ต่อย ผู้นั้นก็ต้องตายด้วยงูกัดสัตว์ต่อยอยู่หลายพันชาติ ตายในเวลายังเป็นเด็กก็มี กลางคนก็มีแก่ก็มี ผู้ใดทำให้ผู้อื่นตายด้วยยาพิษ ผู้นั้นก็ต้องตายด้วยยาพิษหลายพันชาติ ตายในเวลายังเป็นเด็กก็มี เป็นผู้ใหญ่ก็มี แก่ก็มี ผู้ใดทำให้ผู้อื่นตายด้วยไฟ ผู้นั้นก็ต้องตายด้วยไฟหลายแสนชาติ ผู้ใดทำให้ผู้อื่นตายด้วยน้ำ ผู้นั้นก็ต้องตายด้วยน้ำหลายแลนชาติ คือตกน้ำตาย จมน้ำตาย ผู้ใดทำให้ผู้อื่นตายด้วยอาวุธ ผู้นั้นก็ต้องตายด้วยอาวุธหลายแสนชาติ การตายของพวกเหล่านี้ เรียกว่า " ตายสมควรแก่กรรมทั้งนั้น"

" ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าเห็นว่าตายในเวลาไม่ควรตายอันเรียกว่า อกาลมรณะ มีอยู่ ขอนิมนต์แสดงอกาลมรณะให้โยมฟัง "
" ขอถวายพระพร กองไฟใหญ่ที่ไหม้หญ้า ไหม้ไม้ กิ่งไม้ หมดแล้วก็ดับไป กองไฟใหญ่นั้นชื่อว่าดับในเวลาควรดับหรือ? "
" อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้ที่มีชีวิตอยู่นานจึงตาย เรียกว่า " ตายในเวลาควรตาย " อีกประการหนึ่ง กองไฟใหญ่ที่ยังไหม้เชื้อไม่หมด แต่มีฝนห่าใหญ่ตกลงมาทำให้ดับกองไฟใหญ่นั้นจะชื่อว่าดับในเวลาควรดับหรือไม่? "
" เรียกไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
" เพราะอะไร มหาบพิตร กองไฟอย่างหลังจึงไม่มีคติเสมอกับกองไฟอย่างก่อน? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพราะกองไฟอย่างหลัง ถูกน้ำที่มาใหม่เบียดเบียน จึงได้ดับไป "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้ที่ตายด้วยโรคอันมีลม หรือดี หรือเสมหะ เป็นสมุฎฐาน หรือสิ่งทั้ง ๓ กำเริบ หรือฤดูแปรปรวนการรักษาร่างกายไม่ดี หรือผู้อื่นกระทำ หิว กระหาย ถูกงูกัด ถูกไฟไหม้ จมน้ำ ถูกอาวุธตาย เหล่านี้ เรียกว่า "ตายในเวลายังไม่ควรตายทั้งนั้น"
เหตุที่ให้ตายในเวลายังไม่ควรตาย ได้แก่โรคเป็นต้น อย่างที่ว่ามานี้แหละ ขอถวายพระพร อีกอย่างหนึ่ง เมฆตั้งขึ้นในท้องฟ้าเมื่อจะทำที่ลุ่มที่ดอนให็เต็มก็เป็นฝนตกลงมา เมฆนั้นไม่มีสิ่งใดกีดขวาง ก็ตกลงมาได้ไม่ใช่หรือ ? "
" อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้า "

" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร คือผู้มีชีวิตอยู่นานก็ตายไปเอง อีกประการหนึ่งเมฆตั้งขึ้นในท้องฟ้า แล้วมีลมพัดไป จะเป็นฝนตกลงมาได้ไหม ? "
" ไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า "
" เพราะเหตุไร มหาบพิตร เมฆอย่างหลังกับอย่างก่อน จึงไม่มีคติเสมอกัน ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เพราะเมฆอย่างหลังถูกลมพัดไปเสีย จึงเป็นฝนตกลงมาไม่ได้ "

" ข้อที่ตายในเวลาไม่ควรตาย ก็มีอุปมาฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ขอถวายพระพร อนึ่ง สรพิษที่มีฤทธิ์แรงกล้า ได้โกรธกัดบุคคลคนหนึ่งให้ถึงซึ่งความตาย ไม่มียาแก้ได้ พิษของงูนั้น เรียกว่าถึงซึ่งที่สุดฉันใด ผู้ที่มีอายุอยู่นานสิ้นอายุขัยแล้ว ก็ตายไปฉันนั้น อีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่ถูกงูกัด แต่มียาฆ่าพิษนั้นเสีย พิษนั้นเรียกว่า หมดไปในเวลาที่ควรหมดหรือไม่ ? "
" ไม่เรียก พระผู้เป็นเจ้า "

" เพราะเหตุไร มหาบพิตร พิษงูอย่างก่อนกับอย่างหลัง จึงไม่เหมือนกัน ? "
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พิษงูอย่างก่อนถูกยากำจัดเสีย จึงหมดไปในเวลายังไม่ควรหมด "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้ที่ตายในเวลายังไม่หมดอายุขัย ก็เรียกว่า " ตายในเวลาไม่ควรทั้งนั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 ตุลาคม 2554 05:07:34


ขอถวายพระพร อีกสิ่งหนึ่ง นายขมังธนูยิงลูกธนูไป ลูกธนูนั้นจะต้องไปจนสุดกำลังในเมื่อไม่มีสิ่งใดกีดขวางฉันใด ผู้ที่มีชีวิตอยู่นานก็ต้องตายด้วยสิ้นอายุขัยฉันนั้น ลูกธนูที่มีสิ่งขัดขวางก็ไปไม่ถึงที่สุดฉันใด พวกมีสิ่งขัดขวางก็ตายในเวลายังไม่ถึงที่สุดแห่งอายุขัยฉันนั้น

อีกเรื่องหนึ่ง เสียงภาชนะทองเหลืองที่มีผู้ตี จะต้องดังไปจนสุดเสียง ในเมื่อไม่มีสิ่งขัดขวางฉันใด บุคคลก็จักต้องตายในเวลาแก่เวลาสิ้นอายุขัย ในเมื่อไม่มีอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งฉันนั้น เสียงภาชนะทองเหลือง ถ้ามีขัดขวางก็ดังไปไม่ถึงที่สุดฉันใด สัตว์ทั้งหลายถ้ามีสิ่งขัดขวาง ก็ตายในเวลายังไม่สิ้นอายุขัยฉันนั้น

อีกอย่างหนึ่ง พืชที่บุคคลหว่านลงในที่นาดี ถ้าฝนตกดี และไม่มีสิ่งเบียดเบียนก็จักงอกงามดีฉันใด สัตว์ทั้งหลายถ้าไม่มีอันตรายมาแทรกแทรง ก็จะอยู่ไปจนกระทั่งสิ้นอายุขัยฉันนั้น พืชที่เขาปลูกหว่านไว้ ถ้าขาดน้ำก็ตายเรียกว่ามีสิ่งขัดขวางฉันใด สัตว์ทั้งหลายถ้ามีอันตราย ก็ตายก่อนสิ้นอายุขัยฉันนั้น

ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า มีหนอนเกิดในต้นข้าวอ่อน ๆ กัดกินกระทั่งราก? "
" เคยได้สดับ ทั้งได้เคยเห็นด้วย พระผู้เป็นเจ้า "
" ขอถวายพระพร ข้าวนั้นเรียกว่า เสียไปในเวลาควรเสียหรือไม่? "
" ไม่เรียก พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ผู้ที่ตายด้วยอันตรายต่าง ๆ ในระหว่างอายุขัยก็เรียกว่า " ตายในเวลาไม่ควรตาย"

ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้เคยทรงสดับหรือไม่ว่า เมื่อข้าวกำลังออกรวงมีฝนห่าใหญ่ตกลงมาทำให้ข้าวร่วงไปหมด? "
" เคยได้สดับ ทั้งเคยได้เห็นด้วย พระผู้เป็นเจ้า "
" ข้าวกล้าที่เสียไปด้วยฝนนั้น เรียกว่าเสียไปในเวลาไม่ควรเสียฉันใด ผู้ที่ตายด้วยโรคภัยต่าง ๆ ในระหว่างอายุขัยก็เรียกว่า " ตายในเวลาไม่ควรตาย " ฉันนั้น ขอถวายพระพร "
" น่าอัศจรรย์ ! พระนาคเสน ปัญหาข้อนี้พระผู้เป็นเจ้าแก้ไขแจ่มแจ้งดีแล้ว"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 ตุลาคม 2554 05:27:26


ปัญหาที่ ๒ ถามถึงปาฏิหาริย์ในเจดีย์ของพระอรหันต์

" ข้าแต่พระนาคเสน ปาฏิหาริย์ ย่อมมีที่เจดีย์หรือที่เชิงตะกอนของพระอรหันต์ที่ปรินิพานแล้วทั้งสิ้น หรือว่าบางพวกมี บางพวกไม่มี ? "
" ขอถวายพระพร บางพวกมี บางพวกไม่มี "
" พวกไหนมี พวกไหนไม่มี ผู้เป็นเจ้า ? "

" บุคคล ๓ จำพวกมี คือจำพวกหนึ่ง อธิษฐานไว้ ด้วยความอนุเคราะห์เทพยดามนุษย์ว่า จงให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นที่เชิงตะกอนของเรา อีกพวกหนึ่ง เทวดาบันดาล ให้เห็นความอัศจรรย์ของพระอรหันต์ เพื่อให้คนทั้งหลายเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา อีกพวกหนึ่ง มีสตรีหรือบุรุษผู้มีความเลื่อมใสศรัทธา ถือเอาของหอมหรือดอกไม้หรือผ้า หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว อธิษฐานให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วโยนสิ่งเหล่านั้นเข้าไปในที่เผาศพพระอรหันต์ ถ้าไม่มีการอธิษฐาน ก็ไม่มีปาฏิหาริย์ ถึงไม่มีปาฏิหาริย์ ผู้เป็นบัณฑิตก็รู้ได้ดีว่าท่านผู้นี้ปรินิพพานแล้ว"

" ถูกอย่างพระผู้เป็นเจ้าแก้ไขมาแล้ว "

ต่อที่ #315 : http://agaligohome.com/index.php?topic=205.315 (http://agaligohome.com/index.php?topic=205.315)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 07:20:03


ปัญหาที่ ๓ ถามถึงการสำเร็จธรรมของบุคคล

" ข้าแต่พระนาคเสน พวกที่ปฏิบัติชอบได้ธรรมาภิสมัยเหมือนกันทั้งนั้นหรือ? "
" ขอถวายพระพร บางพวกก็ได้ บางพวกก็ไม่ได้ "
" ใครได้ ใครไม่ได้ พระผู้เป็นเจ้า ? "
" ขอถวายพระพร พวกที่ไม่ได้นั้น มีอยู่หลายจำพวกด้วยกัน คือ

เดรัจฉาน ๑
เปรต ๑
มิจฉาทิฏฐิ ๑
ผู้ลวงโลก ๑

ผู้ฆ่ามารดา ๑
ผู้ฆ่าบิดา ๑
ผู้ฆ่าพระอรหันต์ ๑
ผู้ทำสังฆเภท ๑ ( ทำสงฆ์ให้แตกกัน )

ผู้ทำโลหิตุปบาท ๑ ( ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต )
ผู้เป็นไถยสังวาส ๑
ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑
ผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี ๑

ผู้มีอาบัติสังฆาทิเสสติดตัว ๑
บัณเฑาะก์ ๑ (กระเทย)
อุภโตพยัญชนก ๑ ( คนสองเพศ )
เด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ ๑
พวกเหล่านี้ถึงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ธรรมาภิสมัย"

พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน บุคคล ๑๕ จำพวกเบื้องต้น เป็นพวกทำผิด จะได้ธรรมาภิสมัยหรือไม่ก็ช่างเถอะ แต่จำพวกที่ ๑๖ คือเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบนี้แหละเป็นปัญหา เพราะเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ ยังไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มานะ มิจฉาทิฏฐิ อรติกามวิตกอย่างใดอย่างหนึ่ง ธรรมดาผู้ที่ห่างไกลจากิเลส สมควรจะรู้แจ้งแทงตลอดซึ่งอริยสัจ ๔ ไม่ใช่หรือ ? "

พระนาคเสนอธิบายว่า
" ขอถวายพระพร ข้อนี้ขอจงทรงฟังเหตุผล คือถ้าเด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบ รู้จักเกิดราคะ โทสะ โมหะ รู้จักมัวเมาในสิ่งที่ควรมัวเมา รู้จักยินดี ไม่ยินดี รู้จักนึกถึงกุศลอกุศล ก็จักมีธรรมาภิสมัยได้ แต่เด็กอายุต่ำกว่า ๗ ขวบนั้น จิตมีกำลังน้อย ส่วนพระนิพพานเป็นของใหญ่ ของหนัก จึงไม่อาจรู้แจ้งแทงตลอดนิพพานได้ เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังน้อย ไม่อาจยกภูเขาสิเนรุราชได้ฉันนั้น หรือเปรียบเหมือนหยาดน้ำอันเล็กน้อย ไม่อาจซึมไปทั่วแผ่นดินใหญ่ได้ หรือเปรียบเหมือนเปลวไฟเล็กน้อยไม่อาจทำให้สว่างทั่วโลกได้ หรือเปรียบเหมือนตัวหนอนไม่อาจกลืนช้างได้ฉะนั้น "

" ข้าแต่พระนาคเสน ตามที่พระผู้เป็นเจ้าแก้มานี้ โยมเข้าใจดีแล้ว"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 07:26:31


ปัญหาที่ ๔ ถามถึงความไม่เจือทุกข์แห่งพระนิพพาน

" ข้าแต่พระนาคเสน นิพพานมีสุขอย่างเดียว หรือมีทุกข์เจือปน? "
" ขอถวายพระพร นิพพานมีสุขอย่างเดียวไม่มีทุกข์เจือปนเลย"

พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งว่า
" ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมไม่เชื่อว่านิพพานมีสุขอย่างเดียว โยมเชื่อว่า นิพพานเจือทุกข์ ที่ว่านิพพานเจือทุกข์เพราะมีเหตุอยู่
คือพวกแสวงหานิพพาน ย่อมเดือดร้อนกายใจมีการกำหนดซึ่งการยืน การเดิน การนั่ง การนอน และอาหาร อดหลับอดนอน มีการบีบคั้นอายตนะ มีการสละทรัพย์ ญาติมิตรสหายที่รัก
ส่วนพวกที่หาความสุขในทางโลก ย่อมได้รื่นเริงบันเทิงใจด้วยกามคุณ ๕ คือตาก็ได้เห็นรูปที่สวยงาม หูก็ได้ฟังเสียงเพราะ ๆ จมูกก็ได้สูดดมกลิ่นหอม ๆ ลิ้นก็ได้รับรสอร่อย กายก็ได้ถูกต้องสัมผัสที่ให้เกิดความสุข ใจก็นึกถึงแต่อารมณ์ที่ให้เกิดความสุข
ผู้ละสิ่งที่ชอบอย่างไรก็ตาม จะให้เกิดความสุขทางตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ เสียแล้ว ย่อมได้รับแต่ความทุกข์ทางกายทางใจ
มาคันทิยปริพาชก ได้ติเตียนสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " พระสมณโคดม เป็นผู้กำจัดความเจริญ " ดังนี้ไม่ใช่หรือ เหตุอันนี้แหละ โยมจึงกล่าวว่า นิพพานเจือทุกข์ "

พระนาคเสนถวายพระพรว่า
" ดูก่อนมหาบพิตร นิพพานไม่เจือทุกข์เลย นิพพานเป็นสุขอย่างเดียว ข้อที่พระองค์ตรัสว่า นิพพานเป็นทุกข์นั้น ไม่ใช่ทุกข์ของนิพพาน เป็นทุกข์ของการจะทำให้สำเร็จนิพพาน ต่างหาก คือการทำให้สำเร็จนิพพานในเบื้องต้นนั้นเป็นทุกข์ ส่วนนิพพานเป็นสุขอย่างเดียว ขอถามมหาบพิตรว่า ความสุขในราชสมบัติของพระราชาทั้งหลายมีอยู่หรือ? "
" มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

" ขอถวายพระพร ราชสุขนั้นเจือด้วยทุกข์ไม่ใช่หรือ ?"
" ไม่ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
" ก็พระราชาทั้งหลาย เมื่อปลายแดนพระราชอาณาเขตเกิดกำเริบขึ้น ต้องห้อมล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ ข้าราชการ พลทหาร เสด็จไปปราบ ต้องลำบากด้วยเหลือบ ยุง ลม แดด ลำบากด้วยการเดินทาง ต้องสู้รบกัน ต้องหยั่งลงสู่ความสงสัยในชีวิต เหตุใดจึงว่าราชสุขไม่เจือทุกข์? "

พระเจ้ามิลินท์ตรัสตอบว่า
" ข้าแต่พระนาคเสน นั่นไม่ใช่ราชสุข เป็นส่วนเบื้อนต้นแห่งการที่จะได้ราชสุขต่างหากพระราชาทั้งหลายย่อมได้ราชสุขด้วยความทุกข์ เวลาได้แล้วก็ได้เสวยราชสุข อันราชสุขไม่เจือทุกข์ ราชสุขอย่างหนึ่ง ทุกข์ก็อย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน "

พระนาคเสนจึงกล่าวต่อไปว่า
" ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร นิพพานเป็นสุขอย่างเดียว ไม่เจือทุกข์เลย ส่วนพวกแสวงหานิพพาน ย่อมทำให้กายใจเร่าร้อนลำบากด้วยการยืน เดิน นั่ง นอน อาหาร ตัดความสุขทางอายตนะเสีย ทำให้กายใจลำบาก แต่เมื่อได้นิพพานแล้ว ก็ได้เสวยสุขอย่างเดียว เหมือนพระราชาทั้งหลาย เมื่อกำจัดข้าศึกศัตรูได้สิ้นแล้ว ก็ได้เสวยราชสุขอย่างเดียวฉะนั้น เป็นอันว่า นิพพานเป็นสุขอย่างเดียวไม่เจือทุกข์เลย นิพพานก็อย่างหนึ่ง ทุกข์ก็อย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ขอได้ทรงสดับเหตุอย่างอื่นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือพวกอาจารย์ที่มีศิลปะ ย่อมมีความสุขในศิลปะไม่ใช่หรือ? "

" ใช่ พระผู้เป็นเจ้า "
" สุขในศิลปะนั้น เจือทุกข์บ้างไหม ? "
" ไม่เจือเลย พระผู้เป็นเจ้า "

" เหตุใดพวกเรียนศิลปะ จึงต้องเอาใจใส่ต่ออาจารย์ ด้วยการกราบไหว้ การลุกรับ การตักน้ำ การปัดกวาด การให้ไม้สีฟันและน้ำบ้วนปาก การกินเดนอาจารย์ การนวดฟั้นขัดสีให้อาจารย์ การปฏิบัติเอาใจอาจารย์ นอนก็ไม่เป็นสุข กินก็ไม่เป็นสุข ทำให้กายใจเดือดร้อน ? "
" ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนั้นไม่ใช่สุขในศิลปะ เป็นส่วนเบื้องต้นแห่งการแสวงหาศิลปะต่างหาก พวกอาจารย์แสวงหาศิลปะได้ด้วยความทุกข์ แต่ล้วนก็ได้เสวยสุขในศิลปะ สุขในศิลปะไม่เจือทุกข์เลย ทุกข์อย่างหนึ่งสุขในศิลปะก็อีกอย่างหนึ่ง "

" เรื่องนิพพานก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร "
" เอาละ พระผู้เป็นเจ้า เป็นอันโยมรับว่าเป็นจริงอย่างนั้น"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 07:37:45


   ปัญหาที่ ๕ ถามเรื่องนิพพานโดยรูปพรรณสัณฐาน"

   ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า นิพพาน แต่พระผู้เป็นเจ้าอาจชี้รูปหรือสัณฐาน วัย ประมาณ แห่งนิพพานนั้นได้ด้วย อุปมา หรือเหตุ หรือปัจจัย หรือนัยอย่างใดอย่างหนึ่งได้หรือไม่ ? "
   " ไม่ได้ มหาบพิตร เพราะนิพพานไม่มีของเปรียบ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนี้โยมยังไม่ปลงใจ ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอ้างเหตุให้โยมเข้าใจก่อน"
   " ขอถวายพระพร ได้...อาตมภาพขอถามว่ามหาสมุทรมีอยู่หรือไม่? "
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ถ้ามีอยู่ถามมหาบพิตรว่า น้ำในมหาสมุทรมีเท่าไร สัตว์ในมหาสมุทรมีเท่าไร มหาบพิตรจะตอบเขาว่ากระไร ?"
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ถ้ามีผู้ถามโยมอย่างนี้โยมก็จะตอบเขาว่า ถามสิ่งที่ไม่ควรถาม ปัญหานี้เป็นของควรพักไว้ไม่ใช่ควรจำแนก ใคร ๆ ไม่ควรถาม "
   " เพราะเหตุไร มหาบพิตร จึงต้องทรงตอบเขาอย่างนี้ ตามที่ถูกมหาบพิตรควรตอบเขาว่า น้ำในมหาสมุทรมีอยู่เท่านั้น สัตว์ในมหาสมุทรมีอยู่เท่านี้ไม่ใช่หรือ ? "
   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ไม่อาจตอบอย่างนั้นได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาเหลือวิสัย โยมจะทำอย่างไร ? "

   " เรื่องนิพพานก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตรแต่ว่า ผู้มีฤทธิ์ มีอำนาจทางจิต อาจคำนวณได้ว่าน้ำและสัตว์ในมหาสมุทรมีอยู่เท่านั้น แต่ไม่อาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัย ประมาณ แห่งนิพพานได้ด้วยอุปมา หรือด้วยเหตุ หรือด้วยปัจจัย หรือด้วยนัย ขอได้โปรดทรงสดับเหตุอื่นให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก คือเทพเจ้าชื่อว่าอรูปกายิกา ( อรูปพรหม ) ในจำพวกเทพมีอยู่หรือ ? "
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

   " มหาบพิตรอาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัยหรือประมาณ แห่งพวกเทพจำพวกอรูปกายิกาเหล่านั้น โดยอุปมา หรือด้วยเหตุ ด้วยปัจจัย ด้วยนัย ได้หรือไม่? "
   " ไม่อาจ พระผู้เป็นเจ้า "
   " ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นพวกเทพอรูปกายิกาที่ไม่มีรูปร่างปรากฏ ก็ไม่มีน่ะซิ ? "
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า แต่ว่าไม่มิใครอาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัย หรือประมาณ แห่งเทพเจ้าเหล่านั้นได้ด้วยอุปมา เหตุ ปัจจัยหรือนัยได้ "

   " ขอถวายพระพร เรื่องนิพพานก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร"

   แสดงคุณแห่งนิพพาน
   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่านิพพานเป็นสุขอย่างเดียวก็จงพักไว้ แต่ว่าไม่มีใครอาจชี้รูป สัณฐาน วัย หรือประมาณแห่งนิพพานได้ด้วยอุปมา เหตุ ปัจจัย หรือนัย ก็คุณของนิพพานพอจะเทียบกับสิ่งอื่นได้ เพียงแต่จะชี้ให้เห็นได้สักเล็กน้อยด้วยอุปมามีอยู่หรือ? "
   " เมื่อว่าโดยย่อก็มีอยู่ มหาบพิตร "

   " ดีแล้ว พระคุณเจ้าข้า โยมขอฟังการแสดงเพียงบางส่วนแห่งคุณของนิพพาน ขอได้โปรดแสดงให้โยมดับความร้อนใจอยากจะฟัง เหมือนกับการดับความร้อนด้วยน้ำเย็นหรือด้วยลมอ่อน ๆ ฉะนั้นเถิด "
   " ขอถวายพระพร ดอกปทุมมีคุณ ๑ น้ำมีคุณ ๒ ยาดับพิษงูมีคุณ ๓ มหาสมุทรมีคุณ ๔ โภชนะมีคุณ ๕ อากาศมีคุณ ๑๐ แก้วมณีมีคุณ ๓ จันทน์แดงมีคุณ ๓ เนยใสมีคุณ ๓ ยอดศีรีมีคุณ ๕ คุณแห่งสิ่งเหล่านี้พอเปรียบเทียบกับคุณแห่งนิพพานได้"

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อนี้คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือ ดอกปทุมที่ว่ามีคุณ ๑ นั้น ได้แก่น้ำไม่ติดค้างอยู่ได้ เหมือนกับนิพพานไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส "
   " ข้าแต่พระนาคเสน น้ำมีคุณ ๒ เป็นอย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร น้ำมีคุณ ๒ คือความเย็น ๑ การดับความร้อน ๑ ทั้งสองประการนี้ พอเปรียบเทียบกับนิพพานอันเป็นของเย็น เป็นของดับความร้อนคือกิเลสได้ อนึ่ง น้ำอันเย็นนั้น ยังกำจัดความเศร้าหมองในร่างกาย และความกระหายความเร่าร้อนได้ เหมือนกับนิพพานอันกำจัดความกระหาย คือตัณหาทั้ง ๓ ได้ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่า คุณแห่งยาดับพิษงูมี ๓ นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือยาดับพิษงู ย่อมเป็นเครื่องดับพิษ เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายเหมือนกับนิพพานอันดับพิษคือกิเลส และยาดับพิษงูทำให้หมดโรค เหมือนกับนิพพานทำให้สิ้นทุกข์ทั้งปวง ยาดับพิษงูเป็นของไม่ตายเหมือนกับนิพพานอันเป็นของไม่ตายฉะนั้น"

   " ข้าแต่พระนาคเสน คุณแห่งมหาสมุทร ๔ ที่พอจะเปรียบกับนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือ มหาสมุทรเป็นของบริสุทธิ์ ว่างเปล่าจากซากศพทั้งหลาย ก็เปรียบเหมือนกับนิพพานอันว่างเปล่าจากกิเลสทั้งหลาย ๑ มหาสมุทรใหญ่แลไม่เห็นฝั่ง ไม่รู้จักเต็มด้วยน้ำที่ไหลมาจากที่ทั้งปวง เหมือนกับนิพพานอันเป็นของใหญ่แลไม่เห็นฝั่ง ไม่รู้จักเต็มด้วยสรรพสัตว์ฉะนั้น ๑ มหาสมุทรอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ใหญ่ ๆ เหมือนกับนิพพานอันเป็นที่อยู่ของผู้มีคุณใหญ่คือผู้สิ้นกิเลสแล้วฉะนั้น ๑ มหาสมุทรย่อมเจือไปด้วยดอกไม้ คือลูกคลื่นหาประมาณมิได้ เหมือนกับนิพพานอันเต็มไปด้วยดอกไม้ คือวิชชา วิมุตติ อันบริสุทธิ์หาประมาณมิได้ฉะนั้น ๑ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่า โภชนะที่คุณ ๕ พอจะเทียบกับคุณแห่งนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร ธรรมดาโภชนะ ย่อมทรงไว้ซึ่งอายุ ทำให้เจริญกำลัง ทำให้เกิดวรรณะระงับความกระวนกระวาย กำจัดความหิวของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เหมือนกับนิพพานอันทรงไว้ซึ่งอายุ ด้วยการกำจัดชรามรณะเสีย ทำให้เจริญกำลังคือฤทธิ์ ให้เกิดวรรณะคือศีล ระงับความกระวนกระวายคือกิเลสทั้งปวง กำจัดซึ่งความหิวคือทุกข์ทั้งปวงฉะนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่า อากาศมีคุณ ๑๐ พอจะเทียบกับนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คืออากาศไม่รู้จักเกิด ไม่รู้จักตาย ไม่รู้จักเคลื่อน ไม่รู้จักปรากฏ กดขี่ไม่ได้ โจรขโมยไม่ได้ ไม่อิงอาศัยอะไร เป็นที่ไปแห่งนก ไม่มีเครื่องกั้งกาง ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนกับนิพพานฉะนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่า แก้วมณีมีคุณ ๓ ซึ่งพอจะเปรียบเทียบกันกับคุณแห่งนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือแก้วมณี ให้สำเร็จความปรารถนา ๑ ทำให้ร่าเริงใจ ๑ ทำให้สว่าง ๑ ฉันใด นิพพานก็ให้สำเร็จความปรารถนา ทำให้ร่าเริงใจ ทำให้สว่างฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ข้อที่ว่า จันทน์แดงมีคุณ ๓ พอจะเทียบกับนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร คือธรรมดาจันทน์แดงย่อมเป็นของหาได้ยาก ๑ มีกลิ่นหอม ไม่มีกลิ่นอื่นเสมอ ๑ และเป็นที่สรรเสริญแห่งคนทั้งหลาย ๑ ฉันใด นิพพานก็เป็นของหาได้ยาก มีกลิ่นหอม ไม่มีกลิ่นอื่นเสมอ เป็นที่สรรเสริญแห่งพระอริยเจ้าทั้งหลายฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่า เนยใสมีคุณ ๓ พอจะเทียบกับคุณแห่งนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   " ขอถวายพระพร ธรรมดาเนยใส ย่อมมีสีดี มีรสดี มีกลิ่นดี ฉันใด นิพพานก็มีสี คือคุณดี มีรสคือไม่รู้จักตาย มีกลิ่นคือศีลฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ที่ว่า ยอดศีรีมีคุณ ๕ พอจะเทียบกับคุณแห่งนิพพานได้นั้น คืออย่างไร ? "
   "ขอถวายพระพร คือยอดศีรีเป็นของสูง เป็นของไม่หวั่นไหว ขึ้นได้ยาก ไม่เป็นที่งอกงามแห่งพืชทั้งปวง พ้นจากการยินดียินร้าย เหมือนกับนิพพานฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า การที่แก้มาแล้วนี้เป็นการถูกต้องดีทั้งนั้น"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 07:41:30


  ปัญหาที่ ๖ ถามเรื่องการกระทำให้แจ้งนิพพาน

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามต่อไปว่า
   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้ากล่าวว่า นิพพานไม่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันไม่ใช่เกิดแล้ว ไม่ใช่ยังไม่เกิด ไม่ใช่ว่าจักเกิด ก็ผู้ที่ปฏิบัติชอบย่อมได้สำเร็จนิพพานมีอยู่ ผู้นั้นสำเร็จนิพพานที่เกิดแล้ว หรือว่าทำให้นิพพานเกิดแล้วจึงสำเร็จ ? "

   พระนาคเสนตอบว่า
   " ขอถวายพระพร ไม่ใช่ว่าสำเร็จนิพพานที่เกิดแล้ว ไม่ใช่ว่าทำให้นิพพานเกิดแล้วจึงสำเร็จ เป็นแต่ว่า นิพพานธาตุนั้นมีอยู่ ผู้ปฏิบัติชอบก็สำเร็จนิพพานธาตุนั้น"

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า
   " ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าทำปัญหานี้ให้ปกปิดเลย จงแสดงออกให้แจ่มแจ้งเถิด สิ่งใดที่ผู้มีฉันทะอุตสาหะ ได้ศึกษาแล้วในเรื่องนิพพาน ขอจงบอกสิ่งนั้นทั้งสิ้น เพราะในเรื่องนิพพานนั้น ประชุมชนสงสัยกันอยู่มาก ขอจงทำลายความสงสัย อันเป็นเหมือนลูกศร ที่ฝังอยู่ในดวงใจของคนทั้งหลายเถิด พระผู้เป็นเจ้า "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 07:45:49


   สภาวะแดนนิพพาน

   " ขอถวายพระพร นิพพานธาตุ ธาตุคือนิพพานอันสงบ อันเป็นสุข อันประณีตนั้น มีอยู่ ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อพิจารณาสังขารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็กระทำให้แจ้งนิพพานธาตุด้วยปัญญา เหมือนกับศิษย์กระทำให้แจ้งวิชาตามคำสอนของอาจารย์ด้วยปัญญาฉะนั้น

   อันนิพพานนั้น บุคคลควรเห็นอย่างไร...ควรเห็นว่า เป็นของไม่มีเสนียดจัญไร ไม่มีอุปัทวะ เป็นของสงบ ไม่มีภัย ปลอดภัย สุขสบาย น่ายินดี เป็นของประณีต เป็นของสะอาด เป็นของเย็น ขอถวายพระพร

   เรื่องนี้เป็นเปรียบเหมือนอะไร...เปรียบเหมือนบุรุษที่ถูกล้อมด้วยกองไฟใหญ่เบียดเบียน ก็พยายามหนีจากกองไฟใหญ่ไปอยู่ในที่ไม่มีภัย แล้วเขาก็ได้สุขยิ่งฉันใด ผู้ปฏิบัติชอบ เร่าร้อนด้วยไฟ ๓ กองก็หนีจากไฟ ๓ กอง ด้วยโยนิโสมนสิการ ( ทำจิตไว้ด้วยอุบายอันชอบธรรม) เข้าไปอยู่ในที่ไม่มีไฟ ๓ กอง แล้วเขาก็กระทำให้แจ้งนิพพาน อันเป็นเอกันตบรมสุขฉันนั้น ควรเห็นไฟ ๓ กองเหมือนกับกองไฟใหญ่ ควรเห็นผู้ปฏิบัติชอบ เหมือนกับผู้หนีกองไฟใหญ่ ควรเห็นนิพพานเหมือนที่ไม่มีกองไฟใหญ่ฉะนั้น

   อีกประการหนึ่ง บุรุษผู้มีซากศพงู หรือซากสุนัข หรือซากมนุษย์ ผูกติดคอ แล้วพยายามสลัดซากศพนั้น ไปสู่ที่ไม่มีซากศพแล้วเขาก็ได้ความสุขอย่างยิ่งฉันใด ผู้ปฏิบัติชอบก็กระทำให้แจ้งนิพพาน อันเป็นบรมสุขอันไม่มีซากศพคือกิเลส ด้วยโยนิโสมนสิการฉันนั้น ควรเห็นกามคุณ ๕ เหมือนซากศพ ควรเห็นผู้ปฏิบัติชอบ เหมือนผู้พยายามหนีซากศพ ควรเห็นนิพพานเหมือนที่ไม่มีซากศพฉะนั้น

   อีกอย่างหนึ่ง บุรุษผู้กลัวภัย ย่อมพยายามหนีจากที่มีภัย ไปสู่ที่ไม่มีภัย แล้วเขาก็ได้ความสุขอย่างยิ่งฉันใด ผู้ปฏิบัติชอบก็กระทำให้แจ้งนิพพานอันเป็นบรมสุข อันไม่มีภัย ไม่มีความสะดุ้ง ด้วยโยนิโสมนสิการนั้น ควรเห็นภัยอันมีเรื่อยไป เพราะอาศัยความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกับภัย ควรเห็นผู้ปฏิบัติชอบเหมือนกับผู้กลัวภัย ควรเห็นนิพพานเหมือนที่ไม่มีภัยฉะนั้น

   อนึ่ง บุรุษผู้ตกเลนตกหล่ม ย่อมพยายามหนีจากเลนจากหล่ม ไปสู่ที่ไม่มีเลนไม่มีหล่ม แล้วเขาก็ได้ความสุขยิ่งฉันใดผู้ปฏิบัติชอบก็ได้สำเร็จนิพพานอันเป็นสุขยิ่งอันไม่มีเลนไม่มีหล่มคือกิเลส ด้วยโยนิโสมนสิการฉันนั้น ควรเห็นลาภสักการะสรรเสริญ เหมือนเลนเหมือนหล่ม ผู้ปฏิบัติชอบเหมือนผู้พยายามหนีเลนหนีหล่ม นิพพานเหมือนที่ไม่มีเลนมีหล่มฉะนั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 07:50:18


   วิธีกระทำให้แจ้งนิพพาน

   " ข้าแต่พระนาคเสน นิพพานนั้น บุคคลกระทำให้แจ้งว่าอย่างไร? "
   " ขอถวายพระพร ผู้ใดปฏิบัติชอบ ผู้นั้นย่อมเห็นความเป็นไปแห่ง สังขารทั้งหลาย ผู้เห็นความเป็นไปแห่งสังขารทั้งหลาย ย่อมเห็นความคิด แก่ เจ็บ ตาย ในสังขารแล้วก็ไม่เห็นสิ่งใด ๆ ในสังขารว่าเป็นสุข ทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด ไม่เห็นอะไรในร่างกายที่จะควรยึดถือไว้ เหมือนกับบุรุษที่ไม่เห็นสิ่งใดในเหล็กแดงที่ตนควรจะจับ ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุดฉะนั้น

   เมื่อเห็นสังขารอันเป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดถือ ความไม่ยินดีก็เกิดขึ้นในจิต ความเร่าร้อนก็ย่างลงในกาย ผู้นั้นเมื่อเห็นว่า ไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่หลบหลีก ก็เบื่อหน่ายในภพทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษเข้าไปสู่กองไฟใหญ่ เห็นว่าไม่มีที่ต้านทาน ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อาศัย ก็เบื่อหน่ายกองไฟฉะนั้น

   ผู้ที่เห็นว่าน่ากลัวในสังขาร ก็คิดขึ้นได้ว่า สังขารที่เป็นไปนี้เป็นของเร่าร้อน แล้วก็เห็นความทุกข์มากความคับแค้นมาก ในภพทั้งหลายเห็นความดับสังขารทั้งปวง ความสละกิเลสทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความคลายตัณหา ความดับตัณหา นิพพาน คือความไม่มีตัณหาว่าเป็นความสงบอย่างยิ่ง เมื่อเป็นอย่างนั้น จิตของผู้นั้นก็แล่นไปในความไม่เป็นไปแห่งสังขาร แล้วจิตใจก็ผ่องใสร่าเริง ยินดี เราได้ที่พึ่งแล้ว เปรียบเหมือนบุรุษที่หลงทาง ไปพบทางเกวียนที่พาตนไปถึงที่ประสงค์ จิตก็แล่นไปในทางนั้น แล้วก็สบายใจว่า เราได้ทางแล้วฉะนั้น

   ผู้เล็งเห็นความไม่เป็นไปแห่งสังขารว่าเป็นของหมดทุกข์ทั้งสิ้น แล้วก็อบรมความรู้ความเห็นนั้นในแรงกล้าเต็มที่ แล้วก็ตั้งสติ วิริยะ ปีติ ไว้ในความไม่เป็นไปแห่งสังขาร จิตของผู้นั้นก็ล่วงเลยความเป็นไปแห่งสังขาร ไปถึงความไม่เป็นไปแห่งสังขาร ผู้ไปถึงความไม่เป็นไปแห่งสังขารแล้วเรียกว่า ผู้ปฏิบัติชอบ กระทำให้แจ้ง นิพพาน ดังนี้แหละ ขอถวายพระพร "

   " ถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 07:54:05


   ปัญหาที่ ๗ ถามถึงที่ตั้งนิพพาน

   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ทางบูรพาหรือทางทักษิณ ทางปัจฉิมหรือทางอุดร ทางเบื้องบน ทางเบื้องต่ำ ทางขวาง ที่นิพพานตั้งอยู่ มีอยู่หรือไม่ ? "
   " ไม่มี มหาบพิตร "

   พระเจ้ามิลินทร์ตรัสต่อไปว่า
   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าที่นิพพานตั้งอยู่ไม่มี นิพพานก็ไม่มี ข้อที่ว่าการกระทำให้แจ้งนิพพานก็ผิด ในเรื่องนี้โยมขออ้างเหตุว่า นาเป็นที่ตั้งแห่งข้าว ดอกไม้เป็นที่ตั้งแห่งกลิ่น กอไม้เป็นที่ตั้งแห่งดอกไม้ ต้นไม้เป็นที่ตั้งแห่งผลไม้ บ่อแก้วเป็นที่ตั้งแห่งแก้ว ผู้ต้องการสิ่งใด ๆ ในสิ่งนั้น ไปที่นั้นแล้วก็ได้สิ่งนั้น ๆ ฉันใด ถ้านิพพานมี ที่ตั้งแห่งนิพพานก็ควรมีฉันนั้น เพราะที่ตั้งแห่งนิพพานไม่มี โยมจึงว่านิพพานไม่มี คำที่ว่ากระทำให้แจ้งนิพพานนั้นก็ผิดไป

   "พระนาคเสนตอบว่า
   " ขอถวายพระพร ที่ตั้งแห่งนิพพานไม่มี แต่นิพพานมี

   ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อเห็นความตั้งขึ้นและเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลายด้วยโยนิโสนสิการแล้ว ก็กระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน ไฟมีอยู่ แต่ที่ตั้งแห่งไฟไม่มี เมื่อบุคคลเอาไม้ ๒ อันมาสีกันเข้าก็ได้ไฟฉันใด นิพพานก็มีอยู่ แต่ว่าที่ตั้งนิพพานไม่มี เมื่อผู้ปฏิบัติชอบเล็งเห็นความตั้งขึ้น และเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลาย ด้วยโยนิโสมนสิการแล้ว ก็กระทำให้แจ้งนิพพานฉันนั้น

   อีกอย่างหนึ่ง แก้ว ๗ ประการ คือจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว ขุนคลังแก้ว ขุนพลแก้วมีอยู่ แต่ที่ตั้งแห่งแก้ว ๗ ประการนั้นไม่มี กษัตริย์ผู้ปฏิบัติชอบย่อมได้แก้ว ๗ ประการนี้ ด้วยผลแห่งการปฏิบัติฉันใด นิพพานก็มีอยู่ แต่ที่ตั้งนิพพานไม่มีเมื่อผู้ปฏิบัติชอบ เล็งเห็นความสิ้นความเสื่อมแห่งสังขารทั้งหลาย ด้วยโยนิโสมนสิการ แล้วก็กระทำให้แจ้วนิพพานฉันนั้น "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าที่ตั้งนิพพานไม่มี ผู้ปฏิบัติชอบตั้งอยู่ในที่ใด จึงกระทำให้แจ้งนิพพาน ที่นั้นมีอยู่หรือ ? "
   " ขอถวายพระพร มีอยู่ "

   " มีอยู่อย่างไร โยมขอฟัง ? "
   " ขอถวายพระพร มีอยู่อย่างนี้ คือที่ตั้งนั้นได้แก่ศีล ผู้ตั้งอยู่ในศีล ผู้มีโยนิโสมนสิการ คือตั้งใจไว้ด้วยอุบายที่ฉลาด ผู้ปฏิบัติชอบไม่ว่าอยู่ในที่ใด ๆ จะเป็นป่าสักกายวัน หรือจีนวิลาตวัน อลสันทนคร นิกุมพนคา กาสีโกศลนคร กัสมิรนคร คันธารนคร ยอดภูเขา พรหมโลกก็ตาม ก็กระทำให้แจ้งนิพพานได้ทั้งนั้น ขอถวายพระพร "

   " เป็นอันถูกต้องดีแล้ว พระนาคเสนพระผู้เป็นเจ้าได้แสดงนิพพานไว้แล้ว ได้แสดงการกระทำให้แจ้งนิพพานไว้แล้ว ได้ยกธงชัยคือพระธรรมขึ้นไว้แล้ว ได้ตั้งเครื่องนำพระธรรมไว้แล้ว โยมขอรับว่าถูกต้องดี "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 08:08:19


  ปัญหาที่ ๘ ถามเรื่องสิ่งที่ควรรู้ด้วยอนุมาน

   ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์ผู้ตั้งอยู่ในสาราณียธรรม ( ข้อปฏิบัติที่ทำให้ระลึกถึงกัน ) กับผู้เป็นปราชญ์ด้วยกันแล้ว มีพระราชประสงค์จะทรงทราบ ทรงสดับ ทรงจำไว้ ทรงเห็นแสงสว่างแห่งญาณ ทรงทำลายความไม่มีญาณ ทรงทำให้ญาณเกิดขึ้น ทำให้อวิชชาหมดไป ก้าวล่วงเสียซึ่งกระแสสงสาร ตัดเสียซึ่งกระแสตัณหา ทรงปรารถนาจะถึงนิพพานจะถูกต้องนิพพาน จึงทรงปลุกฉันทะความพอใจ ความเพียร ปัญญา อุตสาหะ ตั้งสติสัมปชัญญะให้แรงเต็มที่ แล้วจึงถามพระนาคเสนเถระต่อไปว่า

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ? "
   " ขอถวายพระพร ไม่ได้เห็น "
   " ก็อาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าได้เห็นหรือไม่ ? "

   " ขอถวายพระพร ไม่ได้เห็น "
   " ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่เห็น อาจารย์ก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้าก็เป็นอันไม่มี "
   " ขอถวายพระพร กษัตริย์ทั้งหลายในปากก่อน ที่เป็นต้นวงศ์กษัตริย์มีอยู่หรือไม่ ? "
   " มีอยู่ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ขอถวายพระพร มหาบพิตรได้ทรงเห็นหรือไม่ ? "
   " ไม่เห็น พระผู้เป็นเจ้า "
   " พวกปุโรหิต เสนาบดี มหาอำมาตย์ราชบริพารของมหาบพิตร ได้เห็นหรือไม่ ? "
   " ไม่ได้เห็น พระผู้เป็นเจ้า "

   " ขอถวายพระพร ถ้าไม่มีผู้ได้เห็น กษัตริย์ก่อน ๆ ก็ต้องไม่มี "
   " มี พระผู้เป็นเจ้า เพราะเครื่องราชูปโภคของกษัตริย์ก่อน ๆ มีอยู่ คือ เศวตฉัตร พระมงกุฏ พัดวาลวิชนี ที่บรรทม พระขรรค์แก้ว อันทำให้โยมเชื่อว่ากษัตริย์ก่อน ๆ มีอยู่ "

   " ข้อนี้ก็ฉันนั้นแหละ มหาบพิตร ธรรมพุทธบริโภคของพระพุทธเจ้ามีอยู่ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ซึ่งทำให้รู้ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ พระพุทธเจ้านั้น บุคคลควรรู้ว่ามีอยู่ด้วยเหตุอันนี้ ด้วยปัจจัยอันนี้ ด้วยนัยอันนี้ ด้วยอนุมานอันนี้ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมา "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 10:49:18


   " ขอถวายพระพร นายช่างผู้จะสร้างพระนคร ย่อมพิจารณาภูมิประเทศเสียก่อนเห็นว่าที่ใดเป็นที่เสมอ ไม่ลุ่มไม่ดอน ไม่มีหินมีกรวด ไม่มีเครื่องรบกวน ไม่มีโทษ เป็นที่น่ายินดี แล้วจึงทำพื้นที่นั้นให้ราบคาบ เพื่อให้ปราศจากเสี้ยนหนามหลักตอ แล้วจึงสร้างพระนคร อันสวยงามลงในที่นั้น การสร้างพระนครนั้น ได้แบ่งแยกเป็นส่วน ๆ มีคูและกำแพงล้อมรอบ มีป้อมประตูมั่นคง มีถนน ๔ แพร่ง ๓ แพร่ง มีถนนหลวงอันมีพื้นสะอาดเสมอดี มีตลาดค้าขาย มีสวนดอกไม้ผลไม้ บ่อน้ำ สระน้ำ ท่าน้ำไว้เป็นอันดี เมื่อพระนครนั้นสำเร็จพร้อมทุกประการแล้วนายช่างก็ไปสู่ที่อื่น

   ต่อมาภายหลัง พระนครนั้นเจริญกว้างขวางขึ้น บริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหารเกษมสุขสำราญ มีผู้คนเกลื่อนกล่น มากไปด้วยกษัตริย์ พราหมณ์ เวศย์ ศูทร นายช้าง นายม้า นายรถ พลเดินเท้า นายขมังธนู หมู่บัณเฑาะก์และกะเทย ลูกอำมาตย์ ลูกหลวง พลโยธาที่แกล้วกล้าสามารถ ลูกทาส ลูกคนรับจ้าง พวกมักมวย ช่างต่าง ๆ ช่างตัดผม ช่างทำผม ช่างดอกไม้ ช่างทอง ช่างเงิน ช่างดีบุก ช่างทองเหลือง ทองแดง ช่างเหล็ก ช่างแก้ว ช่างไม้ถือ ช่างไม้ค้อน ช่างเกราะ ช่างตุ้มหู ช่างเจียระไน ช่างขัดเกลา ช่างทำเงินสก ช่างหูก ช่างหม้อ ช่างคทา ช่างหอก ช่างแกะ ช่างหนัง ช่างเชือก ช่างทำฟัน ช่างหวี ช่างด้าย ช่างหญ้า ช่างทราย ช่างดินเหนียว ช่างดาบ ช่างหลาว ช่างเกาทัณฑ์ ช่างผ้ากัมพล ช่างดอกไม้ เป็นต้น

ช่างผู้ฉลาดได้สร้างเมืองไว้อย่างนี้ฉันใด พระพุทธเจ้าผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบ ผู้ล้ำเลิศ ผู้ไม่มีใครเหมือน ผู้ชั่งพระคุณไม่ได้ ผู้นับพระคุณไม่ได้ ผู้ประมาณพระคุณไม่ได้ ผู้บริสุทธิ์ด้วยพระคุณ ผู้มีพระปรีชา พระเดช พระกำลัง พระวิริยะ หาที่สุดมิได้ ผู้ถึงความสำเร็จแห่งกำลังของพระพุทธเจ้า ทรงทำลายมารพร้อมทั้งเสนา ทำลายข่ายคือทิฏฐิ ทำลายอวิชชา ทำให้วิชชาเกิด ทรงไว้ซึ่งพระธรรมจักร สำเร็จพระสัพพัญญุตญาณชนะสงครามทั้งสิ้นแล้ว ก็ได้ทรงสร้างธรรมนครไว้ฉันนั้น

   ธรรมดานครของพระพุทธเจ้านั้น มีศีลเป็นกำแพง มีหิริเป็นคูน้ำรอบ มีสติเป็นนายประตู มีพระปรีชาญาณเป็นซุ้มประตู มีพระวินัยเป็นป้อม มีศรัทธาเป็นเสาระเนียด มีปัญญาเป็นปราสาท มีพระสูตรเป็นทางไปมา มีพระอภิธรรมเป็นทาง ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง มีพระวิริยะเป็นโรงวินิจฉัย มีสติปัฏฐานเป็นวิถี สองข้างวิถีคือสติปัฏฐานนั้น เต็มไปด้วยตลาดดอกไม้ ตลาดของหอม ตลาดผลไม้ ตลาดยาแก้ยาพิษ ตลาดยาทั่วไป ตลาดยาอมฤต ตลาดรัตนะ ตลาดสิ่งทั้งปวง "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 10:51:35


   ตลาดดอกไม้

   " ข้าแต่พระนาคเสน ตลาดของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ตลาดดอกไม้ ได้แก่อะไร "
   " ขอถวายพระพร ตลาดดอกไม้ ได้แก่อนิจขสัญญา อนัตตสัญญา อสุภสัญญา อาทีนวสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา นิโรธสัญญา สัพพโลเกอนภิรตสัญญา สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา อัฏฐิกสัญญา ปุฬุวกสัญญา วินีลกสัญญา วิจฉิททสัญญา วิปุพพกสัญญา อุทธุมาตกสัญญา วิกขายิตกสัญญา หตวิกขิตตกสัญญา โลหิตกสัญญา อานาปานสติ มรณสติ กายคตาสติ

   เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงการจำแนกอารมณ์เหล่านี้ไว้แล้ว ผู้อยากพ้นจากชรา มรณะ ก็ถือเอาอารมณ์อันใดอันหนึ่ง ในอารมณ์เหล่านี้ แล้วก็จะพ้นจากราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ข้ามสงสารไปได้ กั้นกระแสตัณหาได้ ตัดความสงสัยได้ ฆ่ากิเลสทั้งปวงได้ แล้วเข้าไปสู่พระนครคือ นิพพาน อันไม่มัวหมอง ไม่มีธุลี เป็นของบริสุทธิ์ เป็นของขาว เป็นของไม่รู้เกิด ไม่รู้แก่ ไม่รู้ตาย เป็นสุขเป็นเมื่อเย็น เป็นเมืองไม่มีภัย เป็นเมืองอันสูงสุด

   เป็นอันว่า บุคคลถือเอาทรัพย์อันเป็นมูลค่าเข้าไปสู่ตลาด ซื้อเอาดอกไม้ คืออารมณ์เหล่านั้นแล้วก็พ้นจากทุกข์ ขอถวายพระพร "

   " สมควรแท้ พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 11:06:04


   ตลาดของหอม

   " ข้าแต่พระนาคเสน แล้วก็ ตลาดของหอม ของพระพุทธเจ้านั้น ได้แก่สิ่งใด ? "
   " ขอถวายพระพร ได้แก่ ศีล คือพระพุทธเจ้าได้ทรงจำแนกศีล อันมีกลิ่นหอมไปทั่วทิศทั้งปวงไว้เป็นหลายประเภท มีพระไตรสรณคมน์เป็นเบื้องต้น และศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีลอันนับเข้าในอุเทส ๕ ศีลอันนับเข้าในพระปาฏิโมกข์ อันนี้แหละเป็นตลาดของหอมของพระพุทธเจ้า ข้อนี้สมกับที่สมเด็จพระชินสีห์ตรัสไว้ว่า

   " กลิ่นดอกไม้ กลิ่นจันทร์ กลิ่นกฤษณา กลิ่นดอกมะลิ ย่อมทวนลมไปไม่ได้ ส่วนกลิ่นของสัปปุรุษทั้งหลาย ย่อมหอมทวนลมไปได้ สัปปุรุษย่อมมีกลิ่นหอมไปตลอดทิศทั้งปวง กลิ่นศีล เยี่ยมกว่ากลิ่นจันทน์ กลิ่นกฤษณา กลิ่นดอกอุบล เพราะกลิ่นของหอมเหล่านี้มีประมาณเล็กน้อย ส่วนกลิ่นของผู้มีศีลทั้งหลาย ย่อมหอมฟุ้งขึ้นไปถึงเทวโลก " ดังนี้ ขอถวายพระพร "

   " ชอบแล้ว พระนาคเสน "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 11:10:24


   ตลาดผลไม้

   " ข้าแต่พระนาคเสน ตลาดผลไม้ ของพระพุทธเจ้าได้แก่อะไร ? "

   " ขอถวายพระพร ได้แก่ โลกุตตรผล ที่สูงขึ้นไปกว่ากันเป็นชั้น ๆ คือ โสดาปัตติผล สกิทาคามีผล อนาคามีผล อรหัตตผล สุญญตผลสมาบัติ อนิมิตตผลสมาบัติ อุเบกขาผลสมาบัติ ผู้ใดต้องการผลใด ๆ ถือเอามูลค่าแล้วก็ซื้อเอาผลนั้น ๆ ได้ตามต้องการ เหมือนกับผู้ต้องการผลมะม่วงชนิดใด ๆ ก็ซื้อเอาผลอันไม่รู้จักตายของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นสุขตลอดไป ขอถวายพระพร "

   " ข้อนี้ก็ชอบแล้ว พระนาคเสน "


   ตลาดยาแก้พิษงู

   " ข้าแต่พระนาคเสน ตลาดยาแก้พิษงู ของพระพุทธเจ้านั้น ได้แก่อะไร ? "

   " ขอถวายพระพรได้แก่ อริยสัจ ๔ คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เพราะผู้รู้แจ้งอริยสัจ ๔ แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง มีความเกิดเป็นทุกข์ เป็นต้น เป็นอันว่าบุคคลเหล่าใดถูกพิษงูแล้ว ดื่มยาแก้พิษงูของพระพุทธเจ้าคือพระธรรม บุคคลเหล่านั้นก็สิ้นพิษงู ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 11:15:33


   ตลาดยาแก้เจ็บไข้ทั่วไป

   " ข้อนี้ก็ชอบแล้ว พระนาคเสน "
   " ข้าแต่พระนาคเสน ตลาดยาแก้เจ็บไข้ทั่วไป ของพระพุทธเจ้านั้น ได้แก่อะไร ? "

   " ขอถวายพระพร ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ ยาอื่นที่มีดาษดื่นอยู่ในโลกเสมอด้วยยาคือพระธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าได้ทรงตั้งตลาดยาไว้อย่างนี้แล้ว ผู้ที่ได้ดื่มยาของพระพุทธเจ้านั้น ก็เป็นสุข มหาบพิตร เคยได้สดับหรือไม่ว่า มีผู้ทูลถามตามลัทธิของตน พระพุทธเจ้าก็ทรงแก้ได้สิ้น ? "
   " เคยได้สดับ พระผู้เป็นเจ้า "

   " ขอถวายพระพร เทพยดามนุษย์ที่ได้สดับการแก้ปัญหาของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้ดื่มโอสถคือพระธรรมแล้ว ก็ไม่แก่ไม่ตายได้ถูกต้องนิพพานแล้ว ก็ดับทุกข์ร้อนทั้งปวง ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 พฤศจิกายน 2554 11:24:50


   ตลาดยาอมฤต

   " ข้อนี้ก็ชอบแล้ว พระนาคเสน "
   " ข้าแต่พระนาคเสน ตลาดยาอมฤต ของพระพุทธเจ้านั้น ได้แก่อะไร ? "

   " ขอถวายพระพร ได้แก่ กายคตาสติ ที่เทพยดามนุษย์ได้ดื่มแล้ว ก็หลุดพ้นจากการเกิด แก่ ตาย โศกเศร้า รำพัน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คับแค้นใจ ทั้งสิ้น เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงเห็นประชุมชนเกิดโรคต่าง ๆ จึงได้ทรงตั้งตลาดยาอมฤติ คือไม่รู้จักตายไว้ขอถวายพระพร "

   " ข้อนี้ก็สมควรแล้ว พระนาคเสน "

ต่อที่ # ๓๓๐
- http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.330 (http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.330)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 เมษายน 2555 15:25:33


   ตลาดรัตนะ

   " ข้าแต่พระนาคเสน ตลาดรัตนะ ของพระพุทธเจ้านั้น ได้แก่อะไร ? "
   " ขอถวายพระพร ได้แก ศีลรัตนะ สมาธิรัตนะ ปัญญารัตนะ วิมุตติรัตนะ วิมุตติญาณทัสสนรัตนะ ปฏิสัมภิทารัตนะ โพชฌงครัตนะ อันทำให้โลกทั้งสิ้นสว่างไสว

   ศีลรัตนะ นั้นได้แก่อะไร...ได้แก่ปาฏิโมกข์สังวรศีล อินทรีย์สังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล ปัจจยสันนิสิตศีล จูฬศีล มัชฌิมศีล มฺหาศีล มรรคศีล ผลศีล

   สมาธิรัตนะ นั้นได้แก่ สมาธิอันมีทั้งวิตกวิจาร ๑ สมาธิอันไม่มีวิตกมีแต่วิจาร ๑ สมาธิอันไม่มีทั้งวิตกวิจาร ๑ สุญญตสมาธิ ๑ อนิมิตตสมาธิ ๑ อัปปณิหิตสมาธิ ๑ ภิกษุได้แก้วคือสมาธินี้แล้ว ย่อมกำจัด กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก เสียได้กำจัดมานะ อุทธัจจะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา กิเลสทั้งปวงเสียไป สิ่งเหล่านั้นไม่ติดค้างอยู่ในใจ เหมือนกับน้ำไม่ติดอยู่ใบบัวฉะนั้น

   ปัญญารัตนะ นั้นได้แก่ การรู้ตามเป็นจริงซึ่งสิ่งที่เป็นกุศล เป็นอกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ ควรประพฤติ ไม่ควรประพฤติ เลว ดี ดำ ขาว ทั้งดำ ทั้งขาว ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ผู้ที่ได้แก้วคือปัญญาแล้ว ย่อมไม่ติดอยู่ในภพ ไม่ยินดีในภพ ย่อมได้ถูกต้องสิ่งที่ไม่รู้จักตายโดยเร็วพลัน

   วิมุตติรัตนะ ได้แก่ความเป็นพระอรหันต์อันหลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวง
   วิมุตติญาณทัสสนรัตนะ ได้แก่การพิจารณาเห็นซึ่งความหลุดพ้นจากกิเลส

   ปฏิสัมภิทารัตนะ ได้แก่ อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา อันทำให้แกล้วกล้าในที่ทั้งปวง
   โพชฌงครัตนะ ได้แก่ สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 22 เมษายน 2555 20:22:29


   ตลาดสิ่งทั้งปวง

   " ข้าแต่พระนาคเสน ตลาดสิ่งทั้งปวง ของพระพุทธเจ้านั้น ได้แก่อะไร ? "

   " ขอถวายพระพร ได้แก่พระพุทธวจนะอันประกอบด้วยองค์ ๙ และพระบรมสารีริกธาตุ บริโภคเจดีย์ พระสังฆรัตนะ ชาติสมบัติ โภคสมบัติ อายุสมบัติ อาโรคยสมบัติ วัณณสมบัติ ปัญญาสมบัติ ญาณสมบัติ มานุสิกสมบัติ ทิพยสมบัติ นิพพานสมบัติ มีอยู่ในตลาดนี้ทั้งสิ้น

   บุคคลย่อมซื้อเอาได้ด้วยทรัพย์คือศรัทธา ผู้ซื้อเอาสมบัติเหล่านี้ ได้ด้วยทรัพย์ คือศรัทธา ก็มีความสุขตลอดไป



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 22 เมษายน 2555 20:24:32


   อุปมาธรรมนคร

   ขอถวายพระพร ในธรรมนครของพระพุทธเจ้านั้น มีแต่บุคคลผู้วิเศษทั้งนั้น คือมีแต่พระธรรมกถึก พระวินัยธร พระผู้ทรงพระสูตร พระผู้ทรงพระอภิธรรม พระผู้ทรงชาดก พระผู้ทรงนิกายทั้ง ๕ พระผู้สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ยินดีในโพชฌงคภาวนาเป็นพระวิปัสสนา เป็นผู้ประกอบประโยชน์ของตน และผู้อยู่ในป่าช้า ผู้อยู่ตามลอมฟาง ผู้ถือธุดงค์ต่าง ๆ ผู้ได้สำเร็จมรรคผล คุณวิเศษต่าง ๆ ทั้งนั้น

   ผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีอาสวะ ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปาทาน ย่อมอยู่ในธรรมนคร
   ผู้ไกลจากกิเลส ผู้พ้นจากิเลส ผู้เจริญฌาน ผู้มีเครื่องนุ่งห่มเศร้าหมอง ผู้ยินดีอยู่ในป่าก็มีอยู่ในธรรมนครทั้งนั้น
   ผู้ไม่นอนได้แต่นั่ง ผู้อยู่ในป่าช้า ผู้มีแต่ยืนกับเดิน ผู้ใช้ผ้าบังสุกุล ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น
   ผู้ใช้เฉพาะไตรจีวร มีพระธรรมขันธ์เป็นที่ ๔ ผู้ยินดีในอาสนะเดียว ผู้รู้แจ้ง ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น
   ผู้ยินดีในฌาน ผู้มีจิตสงบ ผู้มีจิตตั้งมั่น ผู้ปรารถนาความไม่มีสิ่งใด ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น

   ผู้ได้มรรคผล ผู้ยังศึกษาอยู่ ผู้ยังหวังผลสูงสุดอยู่ ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น
   ผู้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น
   ผู้ฉลาดในสติปัฏฐาน ผู้ยินดีในโพชฌงคภาวนา ผู้เห็นแจ้งธรรมต่าง ๆ ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น
   ผู้ฉลาดในอิทธิบาท ยินดีในสมาธิภาวนาประกอบสัมมัปปธานเนือง ๆ ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น
   ผู้สำเร็จอภิญญา ผู้ยินดีในปีติ และโคจรผู้เที่ยวไปในอากาศ ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น

   ผู้ทอดจักษุลงเบื้องต่ำ ผู้พูดน้อย ผู้สำรวมรักษาทวาร ผู้ฝึกตนดี ผู้มีธรรมสูงสุด ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น
   ผู้สำเร็จวิชชา ๓ อภิญญา ๖ อิทธิฤทธิ์ ปัญญา ก็อยู่ในธรรมนครทั้งนั้น ขอถวายพระพร

   พระภิกษุทั้งหลายผู้ทรงญาณอันประเสริญหาประมาณมิได้ ผู้ไม่มีเครื่องข้อง ผู้มีคุณชั่งไม่ได้ ผู้ทรงไว้ซึ่งคุณและยศ ผู้ทรงสิริ ผู้ทรงกำจัด ผู้ทรงเชาว์ ผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ทรงแสงสว่าง ผู้ทรงมติ ผู้ทรงวิมุตติ ผู้ทรงธรรม ผู้ทรงพระธรรมจักร ผู้สำเร็จปัญญา เรียกว่า " เป็นธรรมเสนาบดี " ในธรรมนคร

   พระภิกษุทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์ ผู้ได้ปฏิสัมภิทา ผู้มีเวสารัชชญาณ ผู้ทรงไว้ซึ่งคุณ ผู้เข้าใกล้ได้ยาก ผู้เที่ยวไปไม่มีห่วง ผู้ทำแผ่นดินให้ไหว ลูบคลำดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ได้ ผู้แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้เรียกว่า " ธรรมปุโรหิต " ในธรรมนคร

   พวกประพฤติธุดงค์ พวกมักน้อย พวกสันโดษ พวกเกลียดการแสวงหาที่ไม่ชอบธรรม พวกถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นกิจวัตร ผู้เกลียดรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ผู้อยู่ในที่สงัด ผู้ไม่ห่วงใยในกายและชีวิต ผู้ถึงพระอรหันต์ ผู้ไม่ทิ้งธุดงค์ เรียกว่า " ธัมมักขทัสสนา " คือเป็นผู้ว่ากล่าวผู้น้อยผู้ใหญ่อยู่ในธรรมนคร

   ผู้บริสุทธิ์ ผู้ฉลาดในการตายการเกิด ผู้ได้ทิพจักขุ เรียกว่า " พวกโชตกา " คือพวกนั่งยามตามไฟ ตรวจตราไปในธรรมนคร

   พวกเป็นพหูสูตร มีอาคม ทรงธรรมวินัย ทรงมาติกา ฉลาดในอักขระน้อยใหญ่และเสียงหนัก เสียงเบา เสียงยาว เสียงสั้น ผู้ทรงไว้ซึ่งศาสนาประกอบด้วยองค์ ๙ เรียกว่า " ธรรมรักขา " คือผู้รักษาธรรมในธรรมนคร

   ผู้แตกฉานในพระธรรมวินัย เรียกว่า " รูปทักขา " คือเป็นคนทายลักษณะในธรรมนคร
   ผู้สำเร็จอริยสัจ ๔ เรียกว่า " ผลาปณิกา " คือชาวร้านขายดอกไม้ในธรรมนคร
   ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล เรียกว่า " คันธาปณิกา " คือชาวร้ายขายของหอมในธรรมนคร
   ผู้ยินดีในพระธรรม ผู้ถือธุดงค์ ผู้มั่นในกถาวัตถุ ๑๐ เรียกว่า " นักดื่ม " ในธรรมนคร
   ผู้ประกอบความเพียรเพื่อป้องกันกิเลสเรียกว่า " ผู้รักษานคร " ในธรรมนคร

   ผู้บอกกล่าวสั่งสอนซึ่งธรรม เรียกว่า " ธัมมาปณิก "
   ผู้ออกตลาดพระธรรมในธรรมนคร ผู้กินพระธรรม ทรงไว้ซึ่งพระธรรมคำสอนมาก ผู้แทงตลอดซึ่งลักษณะแห่งสระ พยัญชนะในพระธรรม ผู้รู้แจ้งพระธรรม เรียกว่า " ธรรมเศรษฐี " ในธรรมนคร

   ผู้แทงตลอดซึ่งการแสดงธรรมอย่างสูง ผู้สะสม ผู้แจก ผู้แสดงออกซึ่งอารมณ์ ผู้สำเร็จคุณคือการศึกษา เรียกว่า " อิสสรธัมมิกา "
   เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงสร้างธรรมนครไว้ดีอย่างนี้แล้ว จึงทำให้รู้ได้ว่าพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ เหมือนกับเมื่อเห็นนครมีอยู่ ก็ต้องรู้ว่านายช่างผู้สร้างนครก็ต้องมีอยู่ฉะนั้น ขอถวายพระพร "

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระภิกษุทั้งหลายผู้มีกำลังปัญญาดีอย่างพระผู้เป็นเจ้า อาจสร้างธรรมนครได้ แต่ยังเชื่อได้ยากว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่ ขอจงอุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 18:35:52


  อุปมาลูกคลื่นในมหาสมุทร

   " ขอถวายพระพร มหาสมุทรย่อมลึกตามลำดับ ทรงไว้ซึ่งทรายประมาณมิได้ เกลื่อนกล่นไปด้วยปลาติมิติ ปลามิงคละ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งนาค ครุฑ และผีเสื้อน้ำเป็นต้น เมื่อมีปลาใหญ่จะแสดงกำลังของตนก็ผุดขึ้นมาทำให้มหาสมุทรตีฟองนองละลอก คนได้เห็นแล้วก็รู้ได้ด้วยอนุมานว่า มีปลาใหญ่อยู่ในมหาสมุทรนี้ฉันใด

   มหาสมุทรคือโลกนี้ ก็ลึกไปตามลำดับเป็นที่ขังน้ำ คือราคะ โทสะ โมหะ หาประมาณมิได้ เกลื่อนกล่นด้วยพาลปุถุชน แออัดรกรุงรังด้วยกิเลส ล้อมไว้ด้วยข่ายคือทิฏฐิ เป็นที่ไหลไปแห่งกระแสน้ำคือตัณหา สล้างสลอนด้วยธงชัยคือมานะ เร่าร้อนด้วยไฟ ๓ กองมืดด้วยความไม่รู้ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งคนดีคนชั่วทั้งสิ้น มีกษัตริย์ พราหมณ์ เวศย์ ศูทร อาชีวก ปัณฑรัค์ ปริพาชก นิครนถ์ และต่าง ๆ หาประมาณมิได้

   พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกแล้ว ก็ทำให้โลกสะเทื้อนสะท้านด้วยลูกคลื่น คือพระธรรมเปลื้องสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุคติทั้งปวงประทานความไม่มีภัย ความไม่รู้จักตาย และยาแก้พิษ ยาแก้โรคต่าง ๆ ทำให้โลกไปถึงที่ปลอดภัย ทำให้โลกไม่มีมลทิน ปราศจากมลทิน ทำให้โลกขาว ฝึกโลก ทำให้โลกสงบ ทำให้โลกตั้งอยู่ในปฏิสัมภิทาทั้งปวง ตลอดถึงหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์

   ทรงแสดงลูกคลื่นคือพระธรรมว่า อันนี้เป็นทุกขอริยสัจ ผู้ได้เห็นลูกคลื่นคือพระธรรมแล้ว ได้สำเร็จโสดาปัตติผลก็มี สำเร็จสกิทาคามีผลก็มี สำเร็จอนาคามีผลก็มี สำเร็จอรหัตตผลก็มี ถือศีลก็มี เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็มี ได้เพียงศรัทธาเลื่อมใสก็มี

   เหมือนครั้งพระพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกขสัจ ที่ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในดาวดึงส์สวรรค์ฉะนั้น คือในคราวนั้น ด้วยกำลังลูกคลื่น คือพระธรรมของพระพุทธเจ้า ได้มีเทวดาถึง ๘๐ โกฏิ ได้ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีมลทินว่า " สิ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาทั้งมวล ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดาทั้งสิ้น " พวกใดได้เห็นลูกคลื่น คือพระธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ถึงซึ่งความตกลงใจ พวกนั้นย่อมได้คุณวิเศษยิ่งอย่างนั้น

   เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดง สมุทัยสัจ ก็ทำให้โลกนี้กับทั้งเทวโลกกระเพื่อม ทำให้เกิดละลอกคลื่นคือพระธรรม ดังคราวทรงแสดงสมุทัยสัจที่ ปาสาณกเจดีย์ เป็นตัวอย่าง คือในคราวนั้น ด้วยกำลังละลอกคลื่นคือพระธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ทำให้เทพยดามนุษย์ ๑๔ โกฏิ ได้ธรรมจักษุอันปราศจากธุลีมลทินว่า " ทุกสิ่งที่มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ก็มีความดับไปเป็นธรรมดาทั้งนั้น " พวกใดได้เห็นละลอกคลื่น คือพระธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วตกลงใจ พวกนั้นก็ได้บรรลุคุณวิเศษอย่างนั้น

   เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดง นิโรธสัจ ก็ทรงทำให้โลกนี้กับทั้งเทวโลกกระเพื่อม ทำให้เกิดลูกคลื่นคือพระธรรม เหมือนครั้งทรงแสดงนิโรธสัจ คราวเสด็จลงจาก ดาวดึงส์สวรรค์ คือในคราวนั้น มีผู้ได้สำเร็จธรรมจักษุถึง ๓๐ โกฏิ ด้วยกำลังลูกคลื่น คือกำลังของพระพุทธเจ้า พวกใดได้เห็นลูกคลื่น คือกำลังของพระพุทธเจ้า แล้วถึงความตกลงใจพวกนั้นก็ได้คุณวิเศษอย่างยิ่งเห็นปานนั้น

   ส่วนในบัดนี้ พระสาวกเหล่าใดของพระพุทธเจ้า ตัดเครื่องผูกได้แล้ว กำจัดราคะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว ละกิเลสได้แล้ว มีใจบริสุทธิ์แล้วมีใจข้ามไปได้ดีแล้ว กระทำให้แจ้งแล้ว ถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว พระสาวกเหล่านั้น ก็ชื่อว่าถึงความสงบอย่างเยี่ยม ด้วยกำลังลูกคลื่นคือพระธรรม
   ด้วยเหตุการณ์อันนี้ ด้วยอนุมานอันนี้แหละ จึงควรทราบว่า พระพุทธเจ้านั้นมีอยู่

   ขอมหาบพิตรจงทรงจำไว้ว่า พวกที่ได้เห็นลูกคลื่นในสาคร ก็รู้ด้วยอนุมานว่า สาครนั้น จักต้องเป็นของ กว้างใหญ่ฉันใด ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้เห็นลูกคลื่น คือพระธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้กำจัดความเศร้าโศกแล้ว ผู้ไม่พ่ายแพ้ในที่ทั้งปวง ผู้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว ผู้เปลื้องการเวียนว่ายอยู่ในภพได้แล้ว ก็รู้ได้ว่า พระพุทธเจ้าผู้ทำให้เกิดลูกคลื่น คือพระธรรม จักต้องเป็นผู้ล้ำเลิศในโลก ดังนี้ "

   " ข้าแต่พระนาคเสน โยมเคยได้ฟังมาว่าพวกฤาษีภายนอก ย่อมทำให้โลกนี้กับเทวโลกหวั่นไหวได้ แสดงกำลังฤทธิ์ก็ได้ จึงยากที่จะเชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ ขอจงอุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 18:47:35


   อุปมาพระยาเขาหิมพานต์

   " ขอถวายพระพร พระยาเขาหิมพานต์ประกอบด้วยระเบียบแห่งยอดเขา เงื้อมเขาล้วนเป็นศิลา ตั้งอยู่ในประเทศชื่อว่า " อชปถะ สังกุปถะ วลปถะ และเปตตปตะ " เป็นที่อาศัยอยู่แห่งตระกูลช้างฉัททันต์ ล้อมไปด้วยต้นไม้เครือไม้ อันปกคลุมเป็นสุมทุมต้นพฤกษาประดับประดาด้วยโตรกตรอกซอกเหวเขา มีต้นไม้เครือไม้นานาประการ ใหญ่สูงกว้างขวางดังท้องฟ้า เต็มไปด้วยต้นไม้ดอกต้นไม้ผล เกลื่อนกล่นไปด้วยสิ่งที่ทรงไว้ซึ่งน้ำ คือซอกเขาลำเนาธาร อันมีน้ำเย็นใสสบายดี ประดับประดาไปด้วยเครื่องแวดล้อมคือหมู่สัตว์ต่าง ๆ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งหมู่คนธรรพ์เป็นที่เที่ยวไปมาแห่งวิชาธรและสัตว์มีปีกต่าง ๆ เป็นที่อาศัยอยู่แห่ง ครุฑ นาค อสูร กุมภัณฑ์ และยักษ์ทั้งหลาย และเป็นที่อาศัยอยู่แห่งหมู่สัตว์ร้ายนานาประการ ทั้งเต็มไปด้วยรากไม้ผลไม้ที่เป็นยา ทั้งมากไปด้วยเครื่องหอมมีจันทร์แดง กฤษณา กะลัมพัก เป็นต้น เป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งที่มีกลิ่นหอมทั้งปวง มีภูเขา ล้อมรอบ คือ เขาตรีกูฏ เขาศิริกูฏ เขาไกรลาส เขาสุมนกูฏ เขาจิตตกูฏ เขายุคันธร แลดูสูงขึ้นไปเป็นชั้นเหมือนกับก้อนเมฆในวันแรม หรือเหมือนกับดอกอัญชันสีเขียวดูเป็นสีคราม สีม่วง สีหม่น บางแห่งก็เหมือนสีกายแห่งพญานาคอันเขียวดำ หรือเหมือนกับพยับแดดในเดือน ๕

   มนุษย์ทั้งหลายเห็นยอดเขานั้นตั้งแต่ไกลก็เข้าใจด้วยอนุมานว่า พระยาเขาหิมพานต์มีอยู่ฉันใด

   ภูเขาใหญ่คือพระธรรมของพระพุทธเจ้า อันพัวพันไว้ด้วยอารมณ์ คือฌานและธรรม มรรคผลเป็นเอนก เป็นที่อาศัยอยู่แห่งยอดเขา เงื้อมเขาอันว่างเปล่าอันไม่มีนิมิต ไม่มีที่ตั้ง อันมีผลคือพระธรรมกถึก พระวินัยธรพระผู้ทรงพระสูตร พระผู้ทรงพระอภิธรรมเป็นที่อาศัยอยู่แห่งกุศลคือพระอรหันต์ เป็นที่เที่ยวไปมาแห่งพระอริยเจ้าผู้ได้มรรคผล เป็นที่อาศัยอยู่แห่งผู้เข้าใกล้ได้ยากด้วยศีลธรรมคือผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง ผู้ถือบิณฑบาตเป็นข้อวัตร ผู้มักน้อย ผู้ถือปฏิสัมภิทา ๔ เวสารัชชญาณ ๔ และผู้เลิศด้วยปัญญา เป็นต้น เกลื่อนกล่นด้วยยาถ่ายโรค ยาแก้พิษ ยารักษาไข้ เป็นบ่อเกิดแห่งของหอมทั้งปวง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา สติปัฏฐาน สันโดษ ห้อมล้อมด้วยภูเขาอันประเสริฐคือ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ มรรค ล้วนแต่เป็นภูเขาธรรมสูง ๆ ทั้งนั้น ส่วนภูเขาธรรมที่สูงยิ่งก็คือ พระนิพพาน อันไม่มีธุลีมลทิน อันขาวผ่อง ไม่มีสิ่งใดถูกต้องเป็นที่สิ้นกิเลสและทุกข์ทั้งปวง เป็นที่สักการะเคารพนับถือยิ่ง ของเทพยดามนุษย์ทั้งหลาย

   ภูเขาธรรมของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่ ด้วยภูเขาธรรมนั้นแหละ ทำให้รู้ด้วยอนุมานว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แน่ ถึงแม้ว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานนานมาแล้วก็ดี พระศาสนาของพระองค์อันไม่หวั่นไหว อันแพร่หลายดีก็ยังมีอยู่

   ขอมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า บุคคลได้เห็นยอดภูเขาอันสูงเยี่ยมเทียมเมฆ ก็รู้ได้ด้วยอนุมานว่า ภูเขาใหญ่ในป่าหิมพานต์นั้นก็มีอยู่ฉันใด บุคคลได้เห็นธรรมบรรพตคีรี ภูเขาธรรมของพระพุทธเจ้า อันเป็นที่เยือกเย็นไม่เป็นที่ขังทุกข์ แล้วก็รู้ได้ด้วยอนุมานว่า พระพุทธเจ้าผู้ล้ำเลิสนั้นจักมีอยู่แน่ ดังนี้ขอถวายพระพร "

   " ข้าแต่พระนาคเสน พวกศาสนาภายนอกเขาก็แสดงมหาสมุทรโลก และธรรมคีรีได้โดยเอนกวิธี เพราะฉะนั้น จึงยากที่จะเชื่อได้ว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่ด้วยเหตุนี้ ขอจงอุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 18:54:37


   อุปมาเมฆฝนห่าใหญ่

   " ขอถวายพระพร เมื่อเมฆใหญ่อันจะตั้งขึ้นมาในทิศทั้ง ๔ จะให้ฝนห่าใหญ่ตกลงมานั้นย่อมมีเครื่องหมายเป็นสำคัญ คือเบื้องบนอากาศเป็นกลุ่มเป็นก้อนห้อยย้อยเหมือนสร้อยสังวาลย์ทั้งมีลมใหญ่พัดผ่านมา ประชาชนทั้งหลายก็ดีใจ ช้าง ม้า สกุณา ก็บินร่อนชื่นชม สายฟ้าก็แปลบปลาบทั่วทิศทั้งหลาย ก้อนเมฆก็มีมากมายกว่าหมื่นพัน มีสีสันต่าง ๆ กัน บ้างเขียว บ้างเหลือง บ้างแดง บ้างขาว บ้างเลื่อม มีสีอ่อนแซมซ้อนสลับกัน อึงมี่กึกก้องไปด้วยเสียงฟ้าร้องเป็นอัศจรรย์ เมื่อฝนห่าใหญ่ตกลงมา ก็มีน้ำฝนเต็มไปทั้งโตรกตรอกซอกเขา และห้วยหนองคลองบึงต้นไม้ใหญ่น้อยก็เขียวชอุ่มเป็นพุ่มงาม
   คนทั้งหลายก็อนุมานว่า ฝนครั้งนี้เป็นฝนห่าใหญ่ฉันใด

   อันว่าเมฆใหญ่ คือพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อจะตกลงมาก็มีอาการเหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็ทำให้มนุษย์โลก เทวโลก ชื่นชมยินดีด้วยห่าฝนพระธรรม ทำให้จิตใจของผู้ได้มรรคผล เกิดความอภิรมย์ยิ่ง กำจัดเสียซึ่งกิเลสตัณหา เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน บางพวกก็ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ปาฏิโมกข์สังวรศีล และมรรคผลชั้นสูง ๆ เป็นลำดับขึ้นไป

   จึงควรรู้ด้วยอนุมานว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นจักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่

   ขอมหาบพิตรจงเข้าพระทัยเถิดว่า คนทั้งหลายได้เห็นแผ่นดินชุ่มเย็นดี มีของสดเขียวเกิดขึ้น มีน้ำมาก ก็รู้ด้วยอนุมานว่า แผ่นดินดับร้อนด้วยฝนห่าใหญ่ฉันใด ผู้มีปัญญาได้เห็นเทพยดามนุษย์ร่าเริงบันเทิงใจ ก็รู้ด้วยอนุมานว่า เอิบอิ่มด้วยฝนห่าใหญ่ คือพระธรรมฉันนั้น ดังนี้ ขอถวายพระพร "

   " ข้าแต่พระนาคเสน เมฆใหญ่ คือพระธรรม อันตกลงมากำจัดเสียซึ่งอวิชชานี้ก็เป็นการดีแล้ว แต่ขอจงแสดงซึ่งกำลังของพระพุทธเจ้า ตามเหตุการณ์ให้ยิ่งขึ้นไปอีก "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 18:58:50


   อุปมารอยพญาช้าง

   " ขอถวายพระพร พญาช้างตัวประเสริฐอันสูง ๗ ศอก ยาว ๙ ศอก มีลักษณะดีถึง ๑๐ แห่ง เป็นเจ้าแห่งฝูงช้างอันมีในธรณี มีตาขาว หางขาว เล็บขาว เหมือนกับสีหมอก และเหมือนกับเศวตฉัตร เหมือนกับวิมานขาว มีกายเต็มไม่บกพร่อง มีอายตนะครบบริบูรณ์ ดูงามเหมือนยอดเขา อันมีหมู่ไม้ขึ้นสะพรั่ง พญาช้างนั้นอาจกำจัดข้าศึกทั้งปวงได้ มีกายใหญ่โต มีงางอกงามดังงอนไถ มีฤทธิ์ กล้าหาญ ชำนาญในการที่จะท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ เป็นพญาช้างหนุ่ม แต่ละเสียซึ่งที่อยู่ของตน เที่ยวไปแสดงหาอาหารในป่าตามสบายใจ

   เวลาคนทั้งหลายได้เห็นรอย ก็รู้ด้วยอนุมานว่า เป็นรอยพญาช้างฉันใด พระพุทธเจ้าก็เปรียบเหมือนกับช้างฉันนั้น เพราะเหตุว่า รอยพระพุทธเจ้ามีลักษณะประเสริฐถึง ๑๐๘ ประการ พระพุทธเจ้านั้นเปรียบด้วยพญาราชสีห์ก็ได้ เปรียบด้วยโคอสุภราชก็ได้ เพราะพระองค์ทรงพร้อมด้วยพระคุณธรรมทั้งปวง พระองค์ทรงสละพระนครกบิลพัสดุ์ อันเป็นพระนครที่น่ายินดีเสียแล้วเที่ยวแสวงหาทางธรรม ได้สำเร็จพระธรรมแล้วก็ทรงแสดงรอยพระบาท คือ โพชฌงค์ ๗ ไว้ รอยพระบาทเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นรอยล้ำเลิศ ทำให้เกิดผลอันเลิศนานาประการ ด้วยเหตุการณ์อันนี้ ก็ควรรู้ด้วยอนุมานว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่เป็นแน่ ขอถวายพระพร "

   " ข้าแต่พระนาคเสน น่าอัศจรรย์ เพราะรอยพญาช้างไม่ตั้งอยู่นาน ปรากฏอยู่เพียง ๕ - ๖ เดือนเท่านั้น นอกนั้นลบเลือนไป ส่วนรอยพระบาท คือพระธรรมของพระพุทธเจ้า ยังปรากฏอยู่ในโลกกระทั่งทุกวันนี้ แต่ขอจงแสดงซึ่งกำลังของพระพุทธเจ้าให้ยิ่งขึ้นไปอีกตามเหตุการณ์ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 19:16:41


   อุปมาพญาราชสีห์

   " ขอถวายพระพร พญาราชสีห์ไม่มีความสะดุ้งกลัวสิ่งใดฉันใด พระพุทธเจ้าก็ไม่สะดุ้งกลัวต่อสิ่งใดฉันนั้น พญาราชสีห์เป็นใหญ่กว่าสัตว์ทั้งหลายฉันใด พระพุทธเจ้าก็เป็นใหญ่กว่าคณาจารย์ทั้งหมดฉันนั้น เสียงพญาราชสีห์ ย่อมเป็นที่สะดุ้งกลัวของสัตว์เหล่าอื่น แต่เป็นที่ยินดีของหมู่ราชสีห์ด้วยกันฉันใด เสียงแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าก็เป็นที่สะดุ้งกลัวแก่พวกเจ้าลัทธิ แต่ทำให้เกิดความโสมนัสยินดีแก่พวกมีความเลื่อมใสศรัทธาฉันนั้น ด้วยเหตุนี้ ก็ควรทราบว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งคุณอันหาที่สุดมิได้ ขอให้มหาบพิตรทรงเข้าพระทัยเถิดว่า เมื่อคนทั้งหลายได้เห็นเนื้อและนก สะดุ้งกลัวด้วยเสียงราชสีห์ ก็รู้ได้ด้วยอนุมานว่า พวกเดียรถีย์ก็สะดุ้งกลัวพระธรรมของพระพุทธเจ้าฉันนั้น ขอถวายพระพร "

   " ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลือพระสุรเสียง คือการทรงแสดงพระธรรมไว้ให้พวกเดียรถีย์ สะดุ้งกลัวกระทั่งทุกวันนี้ แต่ขอจงแสดงกำลังของพระพุทธเจ้าให้ยิ่งขึ้นไปอีก "


   อุปมาแม่น้ำใหญ่

   " ขอถวายพระพร แม่น้ำใหญ่ทั้ง ๕ ย่อมไหลมาจากป่าหิมพานต์ พัดเอาสัตว์และสิ่งของต่าง ๆ ลงไปสู่มหาสมุทร คนทั้งหลายก็รู้ว่าเป็นกระแสแม่น้ำใหญ่ฉันใด ธรรมนทีของพระพุทธเจ้าก็พัดเอาหมู่สัตว์ ให้ไหลเข้าไปสู่สาครอันประเสริฐ คือนิพพานฉันนั้น ด้วยเหตุอันนี้ก็ควรรู้ด้วยอนุมานว่า พระพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ประกอบด้วยพระคุณธรรมทั้งปวง ขอมหาบพิตรจงทรงจำไว้ว่า เมื่อบุคคลได้เห็นเปือกตมโคลนเลนติดค้างอยู่ตามยอดไม้ ก็รู้ได้ว่ามีน้ำใหญ่ท่วมมาฉันใด เวลาได้เห็นเทพยดามนุษย์ ผู้ทิ้งเปือกตมคือกิเลสไว้ในโลกก็ควรรู้ได้ด้วยอุปมาว่า พระธรรมนทีอันใหญ่ของพระพุทธเจ้า ได้พัดพาเอาสัตวโลกไปฉันนั้น ขอถวายพระพร "

   " ข้าแต่พระนาคเสน พระธรรมนทีของพระพุทธเจ้านั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงตกแต่งไว้เพื่อให้พัดพาเอากิเลสไปมีอยู่หรือ ? "
   " มีอยู่ ขอถวายพระพร " " ถ้าอย่างนั้น ขอพระผู้เป็นเจ้าจงอุปมาให้ยิ่งขึ้นไป "


   อุปมากลิ่นดอกไม้

   " ขอถวายพระพร เมื่อลมพัดเอากลิ่นดอกไม้ไปถึงไหน ก็หอมไปถึงนั้น แต่ว่าหอมไปได้ตามลมเท่านั้น หอมทวนลมไปไม่ได้ ส่วนกลิ่นธรรมของพระพุทธเจ้า ย่อมหอมไปได้ทั้งตามลมและทวนลม ด้วยเหตุนี้ก็ควรรู้ด้วยอนุมานว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่ ขอได้โปรดใส่พระทัยว่า คนทั้งหลายได้กลิ่นหอมมาตามลม ก็รู้ด้วยอนุมานว่า เป็นกลิ่นหอมดอกไม้ฉันใด ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้กลิ่นหอมคือศีล ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ก็รู้ได้ด้วยอนุมานว่า พระพุทธเจ้าผู้เยี่ยมมีอยู่ ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่อาจแสดงให้สิ้นสุดกำลังของพระพุทธเจ้าได้ด้วยเหตุตั้งพัน จะอ้างเหตุอย่างไรก็ได้ เพราะว่าพระคุณธรรมของพระพุทธเจ้ามีมาก หาประมาณมิได้ ข้อนี้เปรียบเหมือนช่างดอกไม้ผู้ฉลาดเมื่อดอกไม้มีอยู่มาก จะร้อยให้เป็นดอกไม้อย่างไรก็ได้ฉันนั้น ขอถวายพระพร "

   " ข้าแต่พระนาคเสน เท่าที่พระผู้เป็นเจ้าแสดงกำลังของพระพุทธเจ้ามานี้ ก็เป็นที่พอใจของโยมแล้ว โยมสบายใจด้วยการแก้ปัญหาอันวิจิตรยิ่งแล้ว "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 19:39:29


   ปัญหาที่ ๙ ถามเกี่ยวกับธุดงค์

   พระเจ้ามิลินท์ได้ทรงเห็นพวกภิกษุที่ถือธุดงค์อยู่ในป่ามีอยู่ ทั้งรู้ว่าคฤหัสถ์ผู้ได้สำเร็จอนาคามีผลมีอยู่ จึงทรงสงสัยว่า ถ้าคฤหัสถ์สำเร็จธรรมได้ ธุดงค์ก็ไม่มีประโยชน์อันใด เราจักถามถึงพระศาสนาอันละเอียดอันย่ำยีเสียซึ่งถ้อยคำของผู้อื่น อันเป็นของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทรงแสดงไว้ เพื่อให้สิ้นสงสัยของเรา

   ครั้นทรงดำริดังนี้แล้ว จึงได้รีบเสด็จไปหาพระนาคเสนด้วยความรีบร้อน เหมือนกับโคที่กระหายน้ำ และเหมือนกับคนที่หิวข้าว เหมือนกับคนเดินทางไปพบพวกเดียว หรือเหมือนกับคนเจ็บไข้ต้องการหมอ เหมือนกับคนไม่มีทรัพย์แสดงหาทรัพย์ เหมือนกับผู้จะข้ามฟากต้องการเรือ เหมือนกับคนกำลังเกิดความรัก ต้องการความรัก หรือเหมือนกับคนเป่าปี่ ต้องการให้ปี่มีเสียงไพเราะ หรือเหมือนกับคนกลัวภัยแสวงหาที่พึ่ง หรือเหมือนกับพระภิกษุผู้ต้องการความดับกิเลสฉะนั้น

   ครั้นเสด็จเข้าไปถึงแล้ว จึงทรงนึกถึงคุณอันประเสริฐ ๑๐ ประการ ว่า
   ถ้าเราถามแล้ว ท่านแก้ให้เราฟัง

   เราก็จักหมดสงสัย ๑ ใจของเราจักบริสุทธิ์ ๑ เราจักไม่มีวิตกที่ชั่ว ๑ จักถึงซึ่งกระแสธรรม ๑ จักได้ปัญญาจักษุ ๑ จะได้ชื่อว่าอาจารย์อนุเคราะห์ ๑ จักเป็นผู้ไม่มีเครื่องกีดขวางกุศลธรรมทั้งปวง ๑ จะได้ประกอบด้วยโลกุตตรธรรม ๑ จักไม่สะดุ้งกลัวต่อภพทั้งปวง ๑ เวลาเข้าสู่ที่ประชุมจะอาจแทงตลอดเหตุผลทั้งปวง ๑

   ทรงดำริดังนี้แล้ว จึงได้ตรัสถามขึ้นว่า
   " ข้าแต่พระนาคเสน คฤหัสถ์ได้สำเร็จนิพพานมีอยู่หรือ? "

   " มีอยู่ มหาบพิตร มีอยู่มากทีเดียว นับเป็นจำนวนร้อยหมื่นแสนล้านโกฏิไม่ได้"
   " ขอพระผู้เป็นเจ้า จงแสดงให้โยมแจ่มแจ้งด้วยเถิด "

   " ขอถวายพระพร ถ้าอย่างนั้นอาตมภาพจักแสดงถวาย คือพระธรรมในพระพุทธศาสนาอันประกอบด้วยองค์ ๙ ย่อมรวมลงใน ธุดงค์ ทั้งนั้น เหมือนกับน้ำฝนที่ตกลงมาทั้งสิ้น ย่อมไหลไปรวมมหาสมุทรฉันนั้น
   อาตมภาพจักจำแนกเนื้อความข้อนี้ให้แจ่มแจ้ง เหมือนอาจารย์เลขผู้ฉลาดสอนเลขให้แก่ลูกศิษย์ฉะนั้น

   คฤหัสถ์ผู้ได้มรรคผลในสมัยพุทธกาล
   ขอถวายพระพร ที่กรุงสาวัตถีมีอริยสาวก ๕ โกฏิ มีอุบาสกอุบาสิกาตั้งอยู่ในอนาคามีผลถึง ๓๕๗,๐๐๐คน พวกนั้นล้วนแต่เป็นคฤหัสถ์ทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นบรรพชิตเลย

   ยังมีอีกคือคราวที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็มีพวกคฤหัสถ์บรรลุมรรคผลถึง ๒๐ โกฏิ

   คราวทรงแสดงราหุโลวาทสูตร มหามงคลสูตร สมจิตตปริยายสูตร ปราภวสูตร จูฬสุภัททสูตร กลหวิวาทสูตร จูฬพยูหสูตร มหาพยูหสูตร ตุวัฏฏกสูตร สารีปุตตสูตร มีเทวดาบรรลุมรรคผลนับไม่ถ้วน ในกรุงราชคฤห์มีอริยสาวก ซึ่งล้วนแต่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ๓๕๐,๐๐๐ คน



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 20:18:33


  ยังมีอีกคือในคราวทรงทรมานช้างธนบาล มีผู้ได้บรรลุมรรคผลอีก ๙๐ โกฏิ
   คราวทรงแก้ปัญหาแห่งมาณพ ๑๖ คน ( ศิษย์ของพราหมณ์พาวรี) ที่ปาสาณกเจดีย์มีผู้บรรลุมรรคผลอีก ๑๔ โกฏิ
   คราวทรงแสดงสักกปัญหาสูตร ที่ถ้ำอินทสาลคูหา มีเทวดาบรรลุมรรคผลถึง ๘๐ โกฏิ

   คราวทรงแสดงธัมมจักกัปวัตตนสูตรที่ป่าอิสิปตนมิคทายวันครั้งแรก มีพรหม ๑๘ โกฏิ กับเทวดาประมาณมิได้บรรลุมรรคผล
   ในคราวทรงแสดงพระอภิธรรม ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในดาวดึงส์สวรรค์ มีเทวดาบรรลุมรรคผล ๘๐ โกฏิ
   ในคราวเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ก็มีผู้บรรลุมรรคผล ๓๐ โกฏิ
   ในคราวทรงแสดงพุทธวงศ์ที่นิโครธารามกรุงบิลพัสดุ์ และในคราวทรงแสดงมหาสมัยสูตร ก็มีเทวดาได้บรรลุมรรคผลนับไม่ได้

   ในคราวนายสุมนมาลาการบูชาด้วยดอกมะลิ อันเรียกว่าในสมาคมแห่งสุมนมาลาการ และในสมาคมคราวทรงแสดงเรื่องอานันทเศรษฐี ในสมาคมคราวโปรดชัมพุกาชีวา ในคราวมัณฑุกเทพบุตรลงมาเฝ้า ในสมาคมคราวมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรลงมาเฝ้า คราวสมาคมนางสุรสานครโสเภณี และนางสิริมานครโสเภณี ธิดาช่างทอผูก ( เปสการี ) นางจูฬสุภัททา สาเกตพราหมณ์ อาฬาหณทัสสนะ สุนาปรัตปะ สักกปัญหา ติโลกุฑฑสูตร มีผู้บรรลุมรรคผลถึง ๘๔,๐๐๐คน

   พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในโลก อันมีใน ๑๖ ชนบทนั้น หรือไม่ว่าประทับอยู่ในที่ใด ๆ โดยมากมีเทพยดามนุษย์ สำเร็จนิพพานในที่นั้น ๆ คราวละ ๒ - ๓ ตลอดถึงคราวละแสน เทพยดามนุษย์เหล่านั้น เป็นพวกคฤหัสถ์ทั้งนั้นขอถวายพระพร "

   พระเจ้ามิลินท์ตรัสแย้งว่า
   " ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าคฤหัสถ์สำเร็จนิพพานได้ ธุดงคคุณ ๑๓ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
   ถ้าหากว่าความเจ็บไข้หายไปได้ด้วยการร่ายมนต์ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับยาถ่าย
   และคนผู้มีความรู้ ถ้าปราบศัตรูได้ด้วยกำปั้น ดาบ หอก แหลน หลาว เกาทัณฑ์ ธนู หน้าไม้ ค้อนเหล็ก ไม้ค้อน ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

   ถ้าขึ้นต้นไม้ได้ด้วยการผูกไม้ หรือกิ่งไม้ที่เป็นข้อเป็นปม คด ๆ งอ ๆ เป็นโพรงได้ ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการที่แสวงหาบันไดยาว ๆ
   ถ้าธาตุจะเสมอดีได้ด้วยการนอนตามพื้นดิน ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการแสวงหาที่นอนที่สุขสบายดี
   ถ้าสามารถเดินผ่านพ้นทางที่มีอันตรายลำพังผู้เดียวได้ ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการแสวงหาพรรคพวกที่มีศาตราวุธ

   ถ้าสามารถข้ามแม่น้ำไปได้ด้วยแขนของตน ก็ไม่จำเป็นอะไรกับการแสวงหาสะพานหรือเรือ
   ถ้าการกินอยู่ของตนมีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะต้องเที่ยวขอผู้อื่น
   ถ้าได้น้ำในที่ไม่มีห้วงน้ำแล้ว ก็ไม่จำเป็นอะไรที่จะขุดบ่อน้ำ หนองน้ำ สระน้ำ

   ข้อความเหล่านี้ฉันใด ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าคฤหัสถ์สำเร็จนิพพานได้ ก็ไม่จำเป็นอะไรที่ต้องถือธุดงคคุณ"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 20:24:09


   คุณแห่งธุดงค์ ๒๘ ประการ

   " ขอถวายพระพร ธุดงค์ประกอบด้วยคุณเหล่าใด ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงต้องการคุณแห่งธุดงค์เหล่านั้น มีอยู่ ๒๘ ประการคือ

   ๑. การหาเลี้ยงชีพบริสุทธิ์
   ๒. มีผลเป็นสุข
   ๓. เป็นของไม่มีโทษ
   ๔. บำบัดความทุกข์ของผู้อื่นเสีย
   ๕. เป็นของไม่มีภัย

   ๖. เป็นของไม่เบียดเบียน
   ๗. มีแต่เจริญฝ่ายเดียว
   ๘ ไม่เป็นเหตุให้เสื่อม
   ๙. ไม่ขุ่นมัว
   ๑๐. เป็นเครื่องป้องกัน

   ๑๑. ให้สำเร็จสิ่งที่ปรารถนา
   ๑๒. กำจัดเสียซึ่งอาวุธทั้งปวง
   ๑๓. มีประโยชน์ในทางสำรวม
   ๑๔. สมควรแก่สมณะ
   ๑๕. สงบนิ่ง

   ๑๖ พ้นจากความเศร้าหมองใจ
   ๑๗. เป็นเหตุให้สิ้นราคะ
   ๑๘ เป็นเหตุให้สิ้นโทสะ
   ๑๙. ทำโมหะให้พินาศ
   ๒๐. กำจัดเสียซึ่งมานะ
   
   ๒๑. เป็นเหตุตัดเสียซึ่งวิตกชั่ว
   ๒๒. ทำให้ข้ามสงสัยเสียได้
   ๒๓. กำจัดเสียซึ่งความเกียจคร้าน
   ๒๔. กำจัดเสียซึ่งความไม่ยินดีในธรรม
   ๒๕. เป็นเหตุให้อดทน

   ๒๖. เป็นของชั่งไม่ได้
   ๒๗. เป็นของหาประมาณมิได้
   ๒๘. ทำให้สิ้นทุกข์ทั้งปวง



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 20:31:56


   องค์ ๑๘ ของผู้สมาทานธุดงค์

   ขอถวายพระพร บุคคลเหล่าใดสมาทานถือมั่นธุดงคคุณ บุคคลเหล่านั้นย่อมประกอบด้วยองค์ ๑๘ คือ

   ๑. มีมรรยาทบริสุทธิ์
   ๒. มีปฏิปทาบริบูรณ์ดี
   ๓. รักษากาย วาจา ดี
   ๔. มีใจบริสุทธิ์ดี
   ๕. ประคองความเพียรดี

   ๖. ระงับความกลัว
   ๗. ปราศจากความยึดถือในตัวตน
   ๘. ระงับความอาฆาต
   ๙. มีจิตเมตตา
   ๑๐. รอบรู้อาหาร

   ๑๑. เป็นที่เคารพแห่งสัตว์ทั้งปวง
   ๑๒. เป็นผู้รู้จักพอดีในโภชนะ
   ๑๓. เป็นผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความเพียร
   ๑๔. ไม่ห่วงที่อยู่
   ๑๕. อยู่ที่ไหนสบายก็อยู่ที่นั่น

   ๑๖. เกลียดชังความชั่ว
   ๑๗. ยินดีในวิเวก
   ๑๘. ไม่ประมาทเนือง ๆ



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 09 พฤษภาคม 2555 20:50:51


   ผู้ควรแก่ธุดงคคุณ ๑๐

   ขอถวายพระพร
   บุคคลผู้ที่ควรแก่ธุดงคคุณ มีอยู่ ๑๐ คือ

    ๑. ผู้มีศรัทธา
    ๒. ผู้มีหิริ ( ละอายชั่ว )
    ๓. ผู้มีความอดทน
    ๔. ผู้ไม่คดโกง
    ๕. ผู้อยู่ในอำนาจเหตุผล

    ๖. ผู้ไม่ละโมภ
    ๗. ผู้ใคร่ต่อการศึกษา
    ๘. ผู้มีใจมั่นคง
    ๙. ผู้ไม่ชอบยกโทษผู้อื่น
   ๑๐. ผู้อยู่ด้วยเมตตา

   ขอถวายพระพร พวกคฤหัสถ์ที่กระทำให้แจ้งนิพพานทั้งสิ้น ล้วนได้กระทำให้ธุดงคคุณ ๑๓ ไว้ในชาติก่อน ๆ แล้วทั้งนั้น มาในชาตินี้ได้กระทำความประพฤติ และการปฏิบัติให้บริสุทธิ์ซึ่งอีก จึงจะสำเร็จนิพพานได้
   อุปมาธุดงคคุณ เปรียบเหมือนพวกนายขมังธนูผู้ฉลาดได้ฝึกหัดวิชาธนูไว้ก่อนแล้ว ครั้งเข้าไปสู่พระราชฐาน ก็ยิงถวายพระมหากษัตริย์ได้แม่นยำ แล้วได้รับพระราชทานรางวัลเป็นอันมาก

   ฉะนั้นผู้ไม่ได้กระทำในธุดงค์ไว้เมื่อชาติก่อน ย่อมไม่สำเร็จอรหันต์ในชาตินี้ จะสำเร็จก็เพียงโสดาปัตติผลเท่านั้น
   อีกประการหนึ่ง ผู้ได้กระทำธุดงค์ ๑๓ ไว้ในชาติก่อนมาชำนาญแล้ว มาชาตินี้ได้อบรมความประพฤติและข้อปฏิบัติซ้ำอีก ก็กระทำให้แจ้งนิพพานได้ เหมือนกับแพทย์ที่เรียนจนชำนิชำนาญในสำนักอาจารย์มาแล้ว ก็รักษาโรคได้ดีฉะนั้น

   การสำเร็จธรรมย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่บริสุทธิ์ในธุดงคคุณ เหมือนกับการไม่งอกขึ้นแห่งพืชด้วยไม่ถูกรดน้ำฉะนั้น
   หรือเหมือนกับการไปสู่สุคติ ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ได้ทำกุศลไว้ฉะนั้น ขอถวายพระพร

http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.345
(ต่อที่ # ๓๔๕ หน้า ๒๔ ธุดงคคุณ)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา :ธุดงคคุณ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 พฤษภาคม 2555 17:31:34


   ธุดงคคุณ
   
   เปรียบเหมือนปฐพี เพราะเป็นที่ตั้งแห่งผู้มุ่งความบริสุทธิ์   
   และเปรียบเหมือนน้ำ เพราะเป็นเครื่องชำระกิเลสมลทิน   
   เปรียบเหมือนไฟ เพราะเป็นเครื่องเผากิเลสทั้งปวง   
   เปรียบเหมือนลม เพราะเป็นเครื่องพัดเอามลทินคือกิเลสไป   
   เปรียบเหมือนยาแก้พิษงู เพราะเป็นเครื่องแก้ความเจ็บไข้คือกิเลส
   
   เปรียบเหมือนดังน้ำอมฤต เพราะทำลายกิเลสทั้งปวง   
   เปรียบเหมือนนา เพราะเป็นที่งอกขึ้นแห่งคุณของสมณะทั้งปวง   
   เปรียบเหมือนแก้วมโนหรจินดา เพราะให้สำเร็จสมบัติตามความปรารถนา   
   เปรียบเหมือนเรือ เพราะให้ข้ามฟากคือสงสารได้   
   เปรียบเหมือนเครื่องป้องกันภัย เพราะทำให้เกิดความเบาใจแก่ผู้กลัวชรามรณะ
   
   เปรียบเหมือนมารดา เพราะเป็นผู้อนุเคราะห์ ซึ่งผู้กำจัดกิเลสแห่งทุกข์   
   เปรียบเหมือนบิดา เพราะทำให้เกิดผลแห่งความเป็นสมณะ   
   เปรียบเหมือนมิตร เพราะไม่ทำให้ผิดพลาด จากการแสวงหาคุณธรรม   
   เปรียบเหมือนดอกปทุม เพราะไม่แปดเปื้อนด้วยกิเลส   
   เปรียบเหมือนของหอม ๔ อย่าง เพราะกำจัดกลิ่นเหม็นคือกิเลส
   
   เปรียบเหมือนพระยาเขาสิเนรุราช เพราะไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม ๘   
   เปรียบเหมือนอากาศ เพราะปราศจากการยึดถือในสิ่งทั้งปวง   
   เปรียบเหมือนแม่น้ำ เพราะเป็นที่ล้างเครื่องเศร้าหมองคือกิเลส   
   เปรียบเหมือนผู้นำทางเพราะช่วยให้ข้ามพ้นหนทางที่กันดาร คือหลงผิดไปกับการเกิด   
   เปรียบเหมือนหมู่เกวียนเพราะส่งให้ถึงพระนครคือนิพพาน อันประเสริฐอันไม่มีภัย ไม่มีกิเลสและกองทุกข์
   
   เปรียบเหมือนกระจกที่บริสุทธิ์สะอาดเพราะทำให้เห็นความจริงแห่งสังขารทั้งหลาย   
   เปรียบเหมือนโล่ห์ เพราะเป็นเครื่องกั้นซึ่งไม้ค้อน ลูกศร อาวุธ คือกิเลศ   
   เปรียบเหมือนดวงจันทร์เพราะทำให้เกิดความเย็นใจ   
   เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ เพราะกำจัดความมืดทั้งปวง
   
   ขอถวายพระพร ธุดงคคุณย่อมมีคุณมาก เป็นของทำความเกื้อกูล ทำความสบาย ทำความรัก ทำความไม่มีโทษ ทำให้ไปจากบาป เป็นที่ตั้งนำมาซึ่งยศ นำมาซึ่งสุข มีสุขเป็นผล มีคุณมากมายก่ายกอง มีพระคุณหาประมาณมิได้ เป็นของประเสริฐในที่ทั้งปวง เป็นเครื่องกำจัดภัย กำจัดโศก กำจัดทุกข์ กำจัดความกระวนกระวาย กำจัดความเร่าร้อน กำจัดความไม่ยินดีทางธรรม กำจัดภพ กำจัดตะปู กำจัดราคะ โทสะ โมหะ ทิฏฐิ กำจัดอกุศลทั้งปวง ขอถวายพระพร



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา :ธุดงคคุณ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 พฤษภาคม 2555 17:54:27


   มนุษย์ทั้งหลายย่อมบริโภคอาหาร เพราะเป็นเครื่องค้ำชูชีวิต ย่อมบริโภคยา ใช้ยา เพราะเป็นของเกื้อกูล ย่อมคบมิตร เพราะเห็นแก่อุปการคุณ ย่อมหารือ เพราะมุ่งจะข้าฟาก ย่อมหาดอกไม้ของหอม ด้วยต้องการกลิ่นหอม ย่อมหาเครื่องป้องกันภัยด้วยไม่อยากมีภัย ย่อมหาแผ่นดินด้วยเห็นว่าเป็นที่อาศัย ย่อมหาอาจารย์ เพราะอยากได้ความรู้ ย่อมหาพระราชา เพราะอยากได้ยศ ย่อมหาแก้วมณี เพราะอยากได้สำเร็จความปรารถนาทั้งปวงฉันใด
   
   พระอริยะทั้งหลายก็เป็นประพฤติธุดงคคุณ ด้วยเห็นว่าเป็นเครื่องให้สำเร็จคุณแห่งสมณะทั้งปวงฉันนั้น ขอถวายพระพร
   
   อีกอย่างหนึ่ง น้ำเป็นของทำให้พืชงอกงาม ไฟเป็นของเผา อาหารเป็นของทำให้เกิดกำลัง เครื่องไม้สำหรับผูกมัดอาวุธสำหรับผ่าตัด น้ำดื่มสำหรับกำจัดความกระหายน้ำ ขุมทรัพย์ทำให้เกิดความยินดี เรือสำหรับข้ามฟาก ยาสำหรับแก้โรค ยานพาหนะสำหรับไปมาให้สบาย เครื่องป้องกันสำหรับกำจัดภัย พระราชาสำหรับปกครอง โล่ห์สำหรับป้องกันไม้ค้อน ก้อนดิน ก้อนเหล็ก ลูกศร อาวุธ อาจารย์สำหรับสั่งสอน มารดาสำหรับเลี้ยง กระจกสำหรับส่องเครื่องแต่งกายให้สวยงาม ผ้าสำหรับปกปิด บันไดสำหรับให้ขึ้นลง คันชั่งสำหรับชั่งมนต์สำหรับร่าย อาวุธสำหรับป้องกันตัว ประทีปสำหรับกำจัดความมืด ลมสำหรับดับความร้อน ศิลปะสำหรับเลี้ยงชีวิต ยาแก้พิษสำหรับประดับ บ่อสำหรับทำให้เกิดแก้ว แก้วสำหรับประดับ อาญาสำหรับไม่ให้ล่วงละเมิด ความเป็นใหญ่สำหรับให้มีอำนาจ ฉันใด
   
   ธุดงคคุณก็ฉันนั้น คือธุดงคคุณสำหรับเป็นที่งอกแห่งพืชคือคุณแห่งความเป็นสมณะ สำหรับเผามลทินคือกิเลส ทำให้เกิดกำลังฤทธิ์เป็นเครื่องผูกสติไว้ เป็นเครื่องกำจัดลูกศรคือความสงสัย เป็นเครื่องกำจัดความหิวกระหายคือตัณหา เป็นเครื่องทำให้เบาใจในการสำเร็จธรรม เป็นเครื่องข้ามห้วงกิเลสทั้ง ๔ เป็นเครื่องดับโรคคือกิเลส เป็นเครื่องทำให้ไปสู่ที่มีความสุขคือนิพพาน เป็นเครื่องดับทุกข์ทั้งปวง เป็นเครื่องรักษาสมณคุณ เป็นเครื่องกำจัดวิตกชั่วร้าย เป็นเครื่องสอนให้ได้สมณคุณ เป็นเครื่องเลี้ยงสมณคุณ เป็นเครื่องทำให้เป็นสมถะวิปัสสนา มรรค ผล นิพพาน เป็นที่สรรเสริญแห่งโลกทั้งสิ้น เป็นเครื่องทำให้เกิดคุณอันใหญ่อันงาม เป็นเครื่องเปิดเผยอุบายทั้งปวง เป็นที่ขึ้นไปสู่ยอดเขาคือสมณคุณ เป็นเครื่องชั่งซึ่งความเป็นไปแห่งจิตไม่ให้คดโกง เป็นเครื่องสาธยายธรรมที่ควรเกี่ยวข้องและไม่ควรเกี่ยวข้อง เป็นเครื่องปราบศัตรูคือกิเลส เป็นเครื่องกำจัดความมืดคืออวิชชา เป็นเครื่องดับความเร่าร้อนคือไฟ ๓ กอง เป็นเครื่องให้สำเร็จสมบัติอันสงบละเอียด เป็นเครื่องให้เกิดการตรัสรู้อริยสัจ ๔ เป็นเครื่องรักษาไว้ซึ่งคุณธรรมทั้งปวง เป็นที่เกิดแห่งแก้วอันประเสริฐคืออภิญญา เป็นเครื่องประกอบทำให้เกิดสันติสุขอย่างยิ่ง ทำให้ไม่ล่วงอริยธรรมไปได้
   
   เป็นอันว่า ธุดงคคุณอย่างหนึ่ง ๆ ย่อมทำให้ได้คุณเหล่านี้ ธุดงคคุณเป็นของมีคุณชั่งไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนเป็นของประเสริฐสุด ขอถวายพระพร



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 พฤษภาคม 2555 18:08:10


   บุคคลผู้มักมาก ผู้ลวงโลก ผู้ละโมภ ผู้เห็นแก่ท้อง ผู้มุ่งลาภยศสรรเสริญ ผู้ไม่ประกอบในทางธรรม ย่อมไม่สมควรสมาทานธุดงค์ เพราะจะทำให้ได้รับโทษทวีคูณ ทั้งในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป
   
   คือในชาตินี้ก็จะได้รับแต่ความติเตียน ส่วนในชาติหน้าก็จักไปจมอยู่ในอเวจีนรก พ้นจากอเวจีนรกมาแล้ว จะมาเกิดเป็นเปรตอีก เหมือนกับผู้ทำผิดต่อพระราชา ย่อมได้รับพระราชอาชญา มีตัดมือตัดเท้าเป็นต้นฉะนั้น
   
   ส่วนผู้ที่มักน้อยสันโดษ ชอบสงัดมีความเพียรแรงกล้า ไม่มีความโอ้อวดมารยา ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง ไม่มุ่งลาภยศ สรรเสริญ เป็นผู้บวชด้วยศรัทธา ปรารถนาจะพ้นจากชรามรณะ จึงควรสมาทานธุดงค์ เมื่อสมาทานธุดงค์แล้ว ย่อมได้รับผลทวีคูณ ย่อมเป็นที่รักใคร่พอใจของเทพยดา มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อมั่นอยู่ในธุดงค์แล้ว คุณธรรมทั้งหลายก็เจริญขึ้น แล้วก็ได้สำเร็จโลกุตตรผลนานาประการ
   
   เหมือนกับผู้เป็นข้าเฝ้าของพระมหากษัตริย์ ทำให้เป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์แล้ว ย่อมได้รับพระราชทานสิ่งของต่าง ๆ ฉะนั้น ขอถวายพระพร



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 พฤษภาคม 2555 18:13:23


   ผู้ที่กระทำให้บริสุทธิ์ในธุดงคคุณ ๑๓ แล้ว ย่อมได้สำเร็จคุณวิเศษต่าง ๆ เป็นต้นว่า รูปสมาบัติ ๔ อรูปสมาบัติ ๔ และอภิญญา ๖
   
   อันว่าธุดงคคุณ ๑๓ นั้นได้แก่อะไร...   
   ธุดงค์ ๑๓ ข้อ
   
   ๑. ถือทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร   
   ๒. ถือทรงเพียรไตรจีวรเป็นวัตร   
   ๓. ถือเที่ยวบิณฑาตเป็นวัตร   
   ๔. ถือเที่ยวบิณฑาตไปตามแถวเป็นวัตร   
   ๕. ถือนั่งฉันอาสนะเดียวเป็นวัตร
   
   ๖. ถือฉันเฉพาะในบาตรเป็นวัตร   
   ๗. ถือห้ามภัตอันนำมาถวาย เมื่อภายหลังเป็นวัตร   
   ๘. ถืออยู่ป่าเป็นวัตร   
   ๙. ถืออยู่โคนไม้เป็นวัตร

   ๑๐. ถืออยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร   
   ๑๑. ถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร   
   ๑๒. ถืออยู่ในเสนาสนะอันท่านจัดให้อย่างไรเป็นวัตร   
   ๑๓. ถือการนั่งเป็นวัตร
   
   ผู้ที่ทำให้บริบูรณ์ในธุดงคคุณ ๑๓ นั้นแล้ว ย่อมได้สามัญคุณทั้งปวง เปรียบเหมือนพ่อค้าเรือผู้มีทรัพย์ ไปค้าขายได้กำไรงามฉะนั้น หรือเปรียบเหมือนชาวนาทำนาได้ข้าวมาก เปรียบเหมือนกษัตริย์ ได้เป็นใหญ่ในปฐพีฉะนั้น ขอถวายพระพร   
   พระอุปเสนเถระ ผู้เป็นบุตรแห่งวังคันตพราหมณ์ ได้ทำให้บริบูรณ์ในธุดงคคุณ ได้รับสรรเสริญจากพระพุทธองค์ในที่ประชุมชน ขอถวายพระพร



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 พฤษภาคม 2555 18:46:11


   ดอกปทุมอันเป็นที่ต้องการของคนทั้งหลาย ย่อมประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการ คือเป็นของอ่อนนุ่ม ๑ สวยงาม ๑ มีกลิ่นหอม ๑ น่ารัก ๑ น่าต้องการ ๑ น่าสรรเสริญ ๑ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำและตม ๑ ประดับไปด้วยใบอ่อนเกษรและกลีบ ๑ เป็นที่ประชุมแห่งแมลงผึ้งแมลงภู่ ๑ เจริญอยู่ในน้ำอันเย็น๑ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด
   
   ธุดงคคุณก็ประกอบด้วยคุณ ๑๐ ประการฉันนั้น คือ อ่อนสนิท ๑ สวยงาม ๑ มีกลิ่นหอม ๑ น่ารัก ๑ น่าต้องการ ๑ น่าสรรเสริญ ๑ ไม่แปดเปื้อนด้วยน้ำและโคลนเลน ๑ ประดับด้วยใบเกษรและก้าน ๑ เป็นที่เกาะเกี่ยวแห่งหมู่แมลงผึ้ง ๑ เกิดขึ้นในน้ำอันเย็น ๑

   คุณอันประเสริฐ ๓๐ ของผู้บำเพ็ญธุดงค์   
   ขอถวายพระพร อริยสาวกย่อมประกอบด้วยคุณอันประเสริฐ ๓๐
   ด้วยธุดงค์ ๑๓ อันตนได้บำเพ็ญแล้วในชาติก่อน
   
   คุณอันประเสริฐ ๓๐ นั้น ได้แก่อะไร...ได้แก่   
   ๑. มีจิตเมตตา อ่อนโยน เยือกเย็น   
   ๒. ฆ่ากิเลส กำจัดกเลส   
   ๓. ฆ่ามานะทิฏฐิ กำจัดมานะทิฏฐิ   
   ๔. มีศรัทธาตั้งมั่น   
   ๕. ได้ความร่าเริงดีใจง่าย
   
   ๖. ได้สมาบัติอันเป็นสุขอย่างสงบแน่นอน   
   ๗. อบรมด้วยกลิ่นหอมคือศีล   
   ๘. เป็นที่รักของเทวดามนุษย์ทั้งหลาย   
   ๙. ได้กำลังแห่งพระขีณาสพ   
   ๑๐. เป็นที่ปรารถนาของพระอริยบุคคล
   
   ๑๑. เป็นที่สรรเสริญและเป็นที่เชยชม แห่งเทวดามนุษย์ทั้งหลาย   
   ๑๒. เป็นที่กราบไหว้บูชาของพวกอสูร   
   ๑๓. เป็นที่สรรเสริญของมารทั้งหลาย   
   ๑๔. เป็นผู้ไม่ติดอยู่ในโลก   
   ๑๕. เป็นผู้เห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย
   
   ๑๖. เป็นผู้สำเร็จประโยชน์อันประเสริฐ คือมรรคผล   
   ๑๗. เป็นผู้มีส่วนแห่งปัจจัยอันไพบูลย์ประณีต   
   ๑๘. เป็นผู้ไม่ห่วงใยในที่อยู่ที่นอน   
   ๑๙. เป็นผู้อยู่ด้วยฌานอันประเสริฐ   
   ๒๐. เป็นผู้ตัดวัตถุแห่งกิเลสให้ขาดสูญ
   
   ๒๑. มั่นอยู่ในธรรมอันไม่รู้จักกำเริบ   
   ๒๒. มีการบริโภคสิ่งไม่มีโทษ   
   ๒๓. เป็นผู้หลุดพ้นจากคติ คือภพที่จะถือกำเนิดอีก   
   ๒๔. เป็นผู้ข้ามความสงสัยทั้งปวงได้   
   ๒๕. เป็นผู้เพ่งต่อวิมุตติ คือความหลุดพ้น
   
   ๒๖. เป็นผู้เข้าถึงซึ่งเครื่องป้องกันภัย อันไม่หวั่นไหว   
   ๒๗. เป็นผู้ตัดอนุสัย คือกิเลสละเอียดเสียได้   
   ๒๘. เป็นผู้ถึงความสิ้นอาสวะทั้งปวง   
   ๒๙. เป็นผู้ได้ซึ่งสุขสมาบัติอันสงบ   
   ๓๐. เป็นผู้ประกอบด้วยสมณคุณ คือคุณแห่งสมณะ ขอถวายพระพร
   
   พระสารีบุตรเถระ ผู้ลำเลิศในหมื่นโลกธาตุ ยกองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถเสียแล้ว ไม่มีใครเสมอเหมือนก็เพราะได้อบรมในธุดงคคุณ ๑๓ มาตลอดอสงไขย หาประมาณมิได้ ได้รับยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า   
   " เป็นผู้ใช้พระธรรมจักรอันเยี่ยม ตามเยี่ยงอย่างพระพุทธองค์ได้"   
   จึงเป็นอันว่า ธุดงคคุณ ให้ซึ่งคุณหาที่สุดมิได้อย่างนี้แล ขอถวายพระพร "
   
   พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า   
   " ข้าแต่พระนาคเสน เป็นอันว่า พระพุทธวจนะทั้งสิ้น ที่ได้สำเร็จคุณวิเศษทั้งหลายย่อมรวมลงใน ธุดงคคุณ ๑๓ ทั้งนั้น ข้อนี้เป็นอันโยมเข้าใจดีแล้ว พระผู้เป็นเจ้า"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 พฤษภาคม 2555 19:08:16


   อุปมากถาปัญหา   
   บทมาติกา
   อุปมาปัญหาว่าด้วยอุปมาต่าง ๆ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ภิกษุประกอบด้วยองค์เท่าไร จึงสำเร็จพระอรหันต์ได้? "   
   " ขอถวายพระพร ภิกษุผู้มุ่งจะสำเร็จพระอรหันต์ ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งลา องค์ ๕ แห่งไก่ องค์ ๑๐ แห่งกระแต องค์ ๑ แห่งแม่เสือเหลือง องค์ ๒ แห่งพ่อเสือเหลือง องค์ ๕ แห่งเต่า องค์ ๑ แห่งไม่ไผ่ องค์ ๒ แห่งกา องค์ ๒ แห่งวานร ( นี้เป็น วรรคที่ ๑ )   
   ( วรรคที่ ๒ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งเครือน้ำเต้า องค์ ๓ แห่งดอกปทุม องค์ ๒ แห่งพัด องค์ ๑ แห่งไม้ขานาง องค์ ๓ แห่งเรือ องค์ ๒ แห่งเครื่องขัดข้องเรือ องค์ ๑ แห่งเสากระโดง องค์ ๓ แห่งนายท้ายเรือ องค์ ๑ แห่งกรรมกร องค์ ๕ แห่งทะเล
   
   ( วรรคที่ ๓ ) ควรถือเอาองค์ ๕ แห่งปฐพี องค์ ๕ แห่งแม่น้ำ องค์ ๕ แห่งไฟ องค์ ๕ แห่งพายุ องค์ ๕ แห่งบรรพต องค์ ๕ แห่งอากาศ องค์ ๕ แห่งพระจันทร์ องค์ ๕ แห่งพระอาทิตย์ องค์ ๓ แห่งท้าวสักกะ องค์ ๕ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ   
   ( วรรคที่ ๔ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งปลวก องค์ ๒ แห่งแมว องค์ ๑ แห่งหนู องค์ ๑ แห่งแมงป่อง องค์ ๑ แห่งพังพอน องค์ ๒ แห่งสุนัขจิ้งจอก องค์ ๓ แห่งเนื้อในป่า องค์ ๔ แห่งโค องค์ ๒ แห่งหมู องค์ ๕ แห่งช้าง   
   ( วรรคที่ ๕ ) ควรถือเอาองค์ ๗ แห่งราชสีห์ องค์ ๓ แห่งนกจากพราก องค์ ๒ แห่งนกเงือก องค์ ๑ แห่งนกกระจอก องค์ ๒ แห่งนกเค้า องค์ ๒ แห่งตะขาบ องค์ ๒ แห่งค้างคาว องค์ ๑ แห่งปลิง องค์ ๓ แห่งงู องค์ ๑ แห่งงูเหลือม
   
   ( วรรคที่ ๖ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งแมงมุม องค์ ๑ แห่งเด็กออ่น องค์ ๑ แห่งเต่าเหลือง องค์ ๕ แห่งป่า องค์ ๓ แห่งต้นไม้ องค์ ๕ แห่งเมฆ องค์ ๓ แห่งแก้วมณี องค์ ๔ แห่งนายพราน องค์ ๒ แห่งพรานเบ็ด องค์ ๒ แห่งช่างไม้   
   ( วรรคที่ ๗ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งช่างหม้อ องค์ ๒ แห่งกาลักน้ำ องค์ ๓ แห่งฉัตร องค์ ๓ แห่งนา องค์ ๒ แห่งยาดับพิษงู องค์ ๓ แห่งโภชนะ องค์ ๔ แห่งนายขมังธนู องค์ ๔ แห่งพระราชา องค์ ๒ แห่งนายประตู องค์ ๑ แห่งหินบด   
   ( วรรคที่ ๘ ) ควรถือเอาองค์ ๒ แห่งประทีป องค์ ๒ แห่งนกยูง องค์ ๒ แห่งโคอุสุภราช องค์ ๒ แห่งม้า องค์ ๒ แห่งบ่อน้ำ องค์ ๒ แห่งเขื่อน องค์ ๒ แห่งคันชั่ง องค์ ๒ แห่งพระขรรค์ องค์ ๒ แห่งชาวประมง องค์ ๑ แห่งกู้หนี้
   
   ( วรรคที่ ๙ ) ควรถือเอาองค์ ๒ แห่งคนเจ็บป่วย องค์ ๒ แห่งหนทาง องค์ ๒ แห่งแม่น้ำ องค์ ๑ แห่งมหรสพ องค์ ๓ แห่งบาตร องค์ ๑ แห่งของเสวย องค์ ๓ แห่งโจร องค์ ๑ แห่งเหยี่ยวนกเขา องค์ ๑ แห่งสุนัข องค์ ๓ แห่งคนรักษาโรค องค์ ๒ แห่งหญิงมีครรภ์   
   ( วรรคที่ ๑๐ ) ควรถือเอาองค์ ๑ แห่งนกจามรี องค์ ๒ แห่งนกกระต้อยตีวิด องค์ ๒ แห่งนกพิราบ องค์ ๒ แหงนกตาข้างเดียว องค์ ๓ แห่งคนไถนา องค์ ๑ แห่งสุนัขจิ้งจอกชัมพุกะ องค์ ๒ แห่งผ้ากรองด่าง องค์ ๑ แห่งทัพพี องค์ ๓ แห่งคนใช้หนี้แล้ว องค์ ๑ แห่งอวิจีนิกะ   
   ( วรรคที่ ๑๑ ) ควรถือเอาองค์ ๒ แห่งนายสารถี องค์ ๑ แห่งช่างหูก องค์ ๑ แห่งมัตถยิกะ องค์ ๒ แห่งโภชนกะ องค์ ๑ แห่งช่างชุน องค์ ๑ แห่งนายเรือ องค์ ๒ แห่งแมลงภู่ "
   
   หมายเหตุ ในมาติกามีถึงวรรคที่ ๑๑ แต่ในรายละเอียดท่านกล่าวไว้เพียงวรรค ๗ ปัญหาที่ ๗ (องค์ ๔ แห่งนายขมังธนู) เท่านั้น



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 พฤษภาคม 2555 19:18:14


   อุปมากถาปัญหา
   โฆรสวรรคที่ ๑
   
   อุปมาองค์ ๑ แห่งลา   
   " ข้าแต่พระนาคเสน ที่ว่าควรถือองค์ ๑ แห่งลานั้น องค์หนึ่งแห่งลานั้นได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดาว่า ลา นั้น ไม่เลือกที่นอน นอนบนกองหยากเยื่อก็มี ที่ทาง ๔ แพร่งก็มี ๓ แพร่งก็มี ที่ประตูบ้านก็มี ที่กองแกลบก็มีฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่เลือกที่นอนฉันนั้น ปูแผ่นหนังลงไป ในที่ปูด้วยหญ้าหรือใบไม้ หรือเตียงไม้ หรือแผ่นดินแห่งใดแห่งหนึ่งแล้วก็นอนฉันนั้น ข้อนี้สมกับที่มีพระพุทธดำรัสไว้ว่า   
   " ภิกษุทั้งหลายในบัดนี้ ทำกายเหมือนท่อนไม้ ย่อมเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร "
   
   ส่วน พระสารีบุตรเถระ ได้กล่าวไว้ว่า   
   " การนั่งคู้บัลลังก์ คือนั่งขัดสมาธิก็พออยู่สบาย สำหรับภิกษุผู้มุ่งต่อพระนิพพาน "   
   ดังนี้ขอถวายพระพร"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 พฤษภาคม 2555 19:42:21


   อุปมาองค์ ๕ แห่งไก่
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งไก่นั้นได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ไก่ ย่อมอยู่ในที่สงัดแต่ในเวลายังวันฉันใด พระโยคาวจรก็กวาดลานพระเจดีย์ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ อาบน้ำชำระกาย ไหว้พระเจดีย์แต่ในเวลายังวัน แล้วไปหาอยู่ในที่สงัดแต่ในเวลายังวันฉันนั้น อันนี้เป็นองค์แรกแห่งไก่
   
   ธรรมดาไก่ย่อมตื่นแต่เช้าฉันใด พระโยคาวจรก็ตื่นแต่เช้าฉันนั้น แล้วลงไปปัดกวาดลานพระเจดีย์ ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ ชำระร่างกายดีแล้ว ก็กราบไหว้พระเจดีย์แล้ว จึงเข้าไปสู่ที่สงัดอีก อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งไก่   
   ธรรมดาไก่ย่อมคุ้ยเขี่ยพื้นดินหากินอาหารฉันใด พระโยคาวจรก็พิจารณาแล้วจึงฉันอาหารไม่ฉันเพื่อให้เกิดความคะนอง ความมัวเมาความสวยงามแห่งร่างกาย ฉันเพียงให้กายนี้อยู่ได้ เพื่อจะได้ประพฤติพรหมจรรย์ต่อไปและเพื่อบรรเทาเวทนาเก่า กำจัดเวทนาใหม่เท่านั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งไก่
   
   ข้อนี้สมกับสมเด็จพระจอมไตรตรัสไว้ว่า   
   " บุคคลกินเนื้อแห่งบุตรในทางกันดารได้ด้วยความลำบากใจ กินพอให้ร่างกายเป็นไปได้ฉันใด หรือบุคคลเติมน้ำมันหยอดเพลาพอให้รถแล่นไปได้ฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันอาหารพอให้ร่างกายเป็นไปได้ฉันนั้น "   
   ธรรมดาไก่ถึงมีตา ก็เหมือนตาบอดในเวลากลางคืนฉันใด พระโยคาวจรถึงตาไม่บอดก็ควรเป็นเหมือนตาบอดฉันนั้น ทั้งในเวลาอยู่ในป่าหรือเที่ยวบิณฑบาตในบ้าน พระโยคาวจรควรเป็นเหมือนคนตาบอด คนหูหนวก คนใบ้ ต่อรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันน่ายินดี อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งไก่
   
   ข้อนี้สมกับถ้อยคำของ พระมหากัจจายนเถระ กล่าวไว้ว่า   
   " พระโยคาวจรควรเป็นเหมือนคนตาบอด คนหูนวก คนใบ้ คนไม่มีกำลัง เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ควรนอนเหมือนคนตาย" ดังนี้   
   ธรรมดาไก่ถึงถูกไล่ตีด้วยก้อนดิน ไม้ค้อนหรือถูกตีด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม ก็ไม่ทิ้งที่อยู่ของตนฉันใด พระโยคาวจรถึงจะทำจีวรกรรมคือการทำจีวร หรือนวกรรม คือการก่อสร้าง การเรียน การถาม ก็ไม่ควรทิ้งโยนิโสมนสิการคือตั้งใจไว้ด้วยอุบายอันชอบฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๕ แห่งไก่
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า   
   " อะไรเป็นโคจรของภิกษุ เป็นวิสัยบิดาของตน อันนี้คือสติปัฏฐาน ๔ " ดังนี้ ถึง พระสารีบุตรเถระ ก็ได้กล่าวไว้ว่า   
   " ไก่ย่อมไม่ทิ้งเล้าไก่ของตน ย่อมรู้จักสิ่งที่ควรกินไม่ควรกิน พอใช้ชีวิตเป็นไปได้ฉันใด พระพุทธบุตรก็ไม่ควรประมาทไม่ควรทิ้งโยนิโสมนสิการอันประเสริฐฉันนั้น"
   
   ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 พฤษภาคม 2555 19:48:46


   อุปมาองค์ ๑ แห่งกระแต
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งกระแตได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา กระแต เมื่อพบศัตรูย่อมพองหางขึ้นให้ใหญ่ต่อสู้กับศัตรูฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้น เมื่อเกิดศัตรูคือกิเลสขึ้น ก็พองหางคือ สติปัฏฐาน ให้ใหญ่ขึ้นกั้นกางกิเลสทั้งปวงด้วยหาง คือสติปัฏฐานอันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งกระแต "
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระจุฬปันถก ว่า
   
   " เมื่อกิเลสอันจะกำจัดคุณสมณะปรากฏขึ้นในเวลาใด เวลานั้นพระโยคาวจรก็พองหาง คือสติปัฏฐานขึ้นบ่อย ๆ ฉันนั้น "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 10:54:31


องค์ ๑ แห่งแม่เสือเหลือง
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งแม่เสือเหลืองนั้นคืออย่างไร ? "
   
   "ขอถวายพระพร ธรรมดา แม่เสือเหลือง พอมีท้องแล้ว ก็ไม่เข้าใกล้ตัวผู้อีกฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้น พระโยคาวจรได้เห็นปฏิสนธิ คือความเกิด ความอยู่ในครรภ์ ความจุติ ความแตก ความสิ้น ความวินาศ ทุกขภัยในสงสารแล้ว ก็ควรกระทำโยนิโสมนสิการด้วยคิดว่า เราจักไม่เกิดในภพทั้งหลายอีก อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งแม่เสือเหลือง
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน ธนิยโคปาลสูตร ว่า   
   " ธรรมดาโคผู้สลัดเครื่องผูกไว้ ทำลายเถาวัลย์ให้ขาดแล้ว ย่อมไม่กลับไปสู่เครื่องผูกอีกฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นฉันนั้นคือควรคิดว่า เราจักไม่ยอมเกิดอีก " ดังนี้ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 11:06:18


องค์ ๒ แห่งพ่อเสือเหลือง
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งเสือเหลืองนั้นได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดาว่า เสือเหลือง ย่อมไปแอบซุ่มอยู่ตามกอหญ้า พุ่มไม้ ซอกเขา ในป่าแล้วก็จับเนื้อฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้นคือพระโยคาวจรย่อมไปหาที่อยู่ในที่สงัด อันได้แก่ป่า โคนต้นไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าใหญ่ ที่แจ้ง ลอมฟาง เมื่อได้ที่สงัดอย่างนั้นก็ได้สำเร็จอภิญญา ๖ ในไม่ช้า อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งเสือเหลือง
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระเถระผู้ทำสังคายนาทั้งหลาย ว่า   
   " เสือเหลืองแอบซุ่มจับเนื้อฉันใด พระพุทธบุตรผู้ประกอบความเพียร ผู้เจริญวิปัสสนา ก็เข้าไปอยู่ในป่าแล้วถือเอาซึ่งผลอันสูงสุดฉะนั้น "
   
   ธรรมดาเสือเหลืองย่อมไม่กินเนื้อที่ล้มลงข้างซ้ายฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้น คือพระโยคาวจรย่อมไม่ฉันอาหารที่ได้ด้วยผิดธรรมวิสัย คือได้ด้วยการลวงโลก การประจบ การพูดเลียบเคียง การพูดเหยียดผู้อื่น การแลกลาภด้วยลาภ หรือด้วยการให้ไม้แก่น ให้ใบไม้ ให้ดอกไม้ ให้ผลไม้ ให้ดินเหนียว ให้ผลผัดหน้า ให้เครื่องถูตัว ให้ไม้สีฟัน ให้น้ำล้างหน้า ให้ข้าวต้ม ให้แกงถั่ว ให้ของแลกเปลี่ยนแก่ชาวบ้าน หรือรับใช้ชาวบ้านหรือเป็นหมอ เป็นทูต เป็นผู้รับส่งข่าว หรือให้อาหารแลกอาหาร หรือวัตถุวิชา เขตตวิชา อัควิชา อย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนกับเสือเหลืองไม่กินเนื้อที่ล้มลงข้างซ้าย อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งเสือเหลือง
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " พระภิกษุคิดว่า ถ้าเราฉันอาหารที่เกิดจากการขอด้วยวาจา เราก็จะมีโทษ มีผู้ติเตียนถึงไส้ของเราจะทะลักออกมาภายนอกก็ตามเราก็จักไม่ทำลายอาชีวปาริสุทธิศีล ( เลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ ) เป็นอันขาด "
   
   คำนี้ พระอุปเสนวังคันตบุตร ก็ได้กล่าวไว้ว่า   
   " ถึงไส้ใหญ่ของเราจักทะลักออกมาข้างนอกก็ตาม เราก็จะไม่ให้เสียอาชีวปาริสุทธิศีล ไม่ประพฤติอเนสกรรม ทำลายอาชีวะนั้นเป็นอันขาด " ขอถวายพระพร



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 11:32:24


องค์ ๕ แห่งเต่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งเต่า ได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา เต่า ย่อมอยู่ในน้ำฉันใด พระโยคาวจรก็อยู่ด้วยเมตตาฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งเต่า
   
   ธรรมดาเต่าเมื่อโผล่ขึ้นจากน้ำ ย่อมชูศีรษะแลดูสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วจึงจมไปให้ลึกด้วยคิดว่า อย่าให้มีผู้อื่นเห็นเราฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้น คือเมื่อกิเลสเกิดขึ้น ก็ดำลงไปในสระน้ำคืออารมณ์ให้ลึก ด้วยคิดว่าอย่าให้กิเลสเห็นเราอีก อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งเต่า
   
   ธรรมดาเต่าย่อมขึ้นจากน้ำมาผิงแดดฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้น คือพระโยคาวจรเลิกจากการนั่ง การยืน การนอน การเดินแล้ว ก็ทำให้ใจร้อนในสัมมัปปธาน ( ความเพียรที่ตั้งไว้ถูกต้อง ) อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งเต่า
   
   ธรรมดาเต่าย่อมขุดดินลงไปอยู่ในที่เงียบฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้น คือพระโยคาวจรทิ้งลาภ สักการะ สรรเสริญ แล้วก็เข้าป่าหาที่อยู่สงัด อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งเต่า
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระอุปเสนวังคันตบุตร ว่า   
   " พระภิกษุควรอยู่ในเสนาสนะที่สงัดที่ไม่มีเสียงอึกทึก มีแต่หมู่สัตว์ร้าย เพื่อเห็นแก่ความสงัด " ดังนี้
   
   ธรรมดาเต่าเมื่อเที่ยวไป ถ้าได้เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือได้ยินเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็หดตีหดหัวเข้าอยู่ในกระดองนิ่งอยู่เพื่อรักษาตัวฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้น คือเมื่ออารมณ์อันน่ารักใคร่ภายนอกปรากฏ พระโยคาวจรปิดประตูระวังสำรวมใจไว้ข้างในมีสติสัมปชัญญะรักษาสมณธรรมอยู่ อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งเต่า
   
   ข้อนี้สมกับคำของพระพุทธเจ้าว่า   
   " เต่าย่อมซ่อนอวัยวะทั้ง ๕ ไว้ในกระดองของตนฉันใด พระภิกษุก็ควรตั้งใจมิให้อยู่ในวิตก ไม่อิงอาศัยอะไร ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ติเตียนใครฉันนั้น " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 11:46:19


องค์ ๑ แห่งไม้ไผ่
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งไม้ไผ่ ได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ไม้ไผ่ ย่อมอ่อนไปตามลม ไม่ขัดขืนฉันใด พระโยคาวจรก็กระทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า กระทำแต่สิ่งที่สมควร ไม่ฝ่าฝืนพระธรรมวินัยฉันนั้น ข้อนี้สมกับคำของ พระราหุลเถระ ว่า
   
   " ควรกระทำตามซึ่งคำในพระพุทธวจนะอันมีองค์ ๙ ประการทุกเมื่อ ควรทำแต่สิ่งที่สมควร สิ่งที่ไม่มีโทษ ควรพยายามให้ยิ่งขึ้นไป " ดังนี้ ขอถวายพระพร "


   องค์ ๑ แห่งแล่งธนู 
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งแล่งธนูได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา แล่งลูกธนู คือรางหน้าไม้ที่ช่างทำดีแล้ว ย่อมตรงตลอดต้นตลอดปลายฉันใด พระโยคาวจรก็ควรตรงต่อเพื่อนพรหมจรรย์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งแล่งธนู
   
   ข้อนี้สมกับคำพระพุทธองค์ใน วิธุรปุณณกชาดก ว่า   
   " ธีรชนควรเป็นเหมือนแล่งธนู ควรอ่อนตามลมเหมือนไม้ไผ่ ไม่ควรทำตนเป็นข้าศึกจึงจักอยู่พระราชสำนักได้ " ขอถวายพระพร "


   องค์ ๒ แห่งกา
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งกาได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา กา ย่อมระแวงสงสัยอยู่เสมอ ย่อมขวนขวายอยู่เสมอฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้น คือพระโยคาวจรมีความระมัดระวังอยู่เสมอ สำรวมอินทรีย์อยู่เสมอ อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งกา
   
   ธรรมดากาเห็นอาหารสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คือซากสัตว์หรือของเดน แล้วก็ป่าวร้องพวกญาติมากินฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นฉันนั้น คือเมื่อได้ลาภโดยชอบธรรมแล้ว ควรแจกแบ่งให้เพื่อนพรหมจรรย์ อันนี้เป็นองค์ ๒ แห่งกา
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " ถ้ามีผู้น้อมนำโภชนาหารให้แก่เรา เราก็แจกแบ่งเสียก่อนแล้วจึงฉัน " ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 11:54:01


   องค์ ๒ แห่งวานร
 
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งวานรได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา วานร เมื่อหาที่อยู่ ก็ไปหาที่อยู่อันป้องกันภัยได้ คือต้นไม้ใหญ่ ที่มีกิ่งดกหนาเงียบสงัดฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นฉันนั้น คือพระโยคาวจรควรหาที่อยู่กับกัลยาณมิตร ผู้มีศีลธรรมดีงาม ผู้มีความรู้มาก ผู้รู้จักสั่งสอน อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งวานร
   
   ธรรมดาวานรย่อมเที่ยวไปตามต้นไม้ ยืนบนต้นไม้ นั่งบนต้นไม้ นอนบนต้นไม้ อยู่บนต้นไม้ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นฉันนั้น คือควรยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ในป่าควรอบรมสติปัฏฐานอยู่ในป่า อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งวานร
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " ภิกษุผู้ยืน เดิน นั่ง นอน อยู่ในป่าย่อมดูงาม เพราะป่าเป็นของที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "   
   
   จบโฆรสวรรคที่ ๑



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 12:03:53


   อุปมากถาปัญหา
   ลาวุลตาวรรคที่ ๒

   
   องค์ ๑ แห่งเครือน้ำเต้า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งเครือน้ำเต้าได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา เครือน้ำเต้า ย่อมเอางวงของตนเกาะหญ้าหรือต้นไม้เครือไม้ขึ้นไปงอกงามอยู่เบื้องบนฉันใด พระโยคาวจรผู้มุ่งความเจริญในพระอรหันต์ ก็ควรยึดหน่วงอารมณ์ด้วยใจ ขึ้นไปเจริญอยู่ในความเป็นพระอรหันต์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งเครือน้ำเต้า
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " ธรรมดาเครือน้ำเต้าย่อมเอางวงของตนพันหญ้าหรือต้นไม้ หรือเครือไม้ แล้วขึ้นไปงอกงามอยู่เบื้องบนฉันใด พระพุทธบุตรผู้มุ่งหวังอรหัตตผล ก็ควรยึดหน่วงอารมณ์ ทำให้อเสขผล ( ผลที่ไม่ต้องเป็นผู้ศึกษาอีก ) เจริญฉันนั้น "
   
   ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 12:11:55


  องค์ ๓ แห่งดอกปทุม
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งดอกปทุมได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ดอกปทุม เกิดอยู่ในน้ำ โตอยู่ในน้ำ แต่น้ำไม่ติดค้างอยู่ได้ฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรติดอยู่กับตระกูล หมู่คณะ ลาภยศ การบูชานับถือ และจตุปัจจัยที่บริโภค กับกิเลสทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งดอกปทุม
   
   ธรรมดาดอกปทุมย่อมพ้นน้ำขึ้นไปตั้งอยู่ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรครอบงำโลกทั้งสิ้นสูงขึ้นไปจากโลก แล้วอยู่ในโลกุตตรธรรมฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งดอกปทุม
   
   ธรรมดาดอกปทุมถูกลมพัดเพียงเล็กน้อยก็ไหวฉันใด พระโยคาวจรก็ควรระวังกิเลสแม้เพียงเล็กน้อย ควรเห็นโทษแม้เพียงเล็กน้อยว่าเป็นของน่ากลัวฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งดอกปทุม
   
   ข้อนี้สมกับคำของพระพุทธเจ้าว่า   
   " ภิกษุย่อมเห็นภัยในโทษอันเล็กน้อยแล้วถือมั่นอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 12:28:04


   องค์ ๒ แห่งพืช
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งพืชได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา พืช ถึงมีเพียงเล็กน้อย เมื่อเขาปลูกหว่านลงในที่ดี เวลาฝนตกลงมาดี ก็ย่อมให้ผลมากฉันใด พระโยคาวจรก็ควรปฏิบัติชอบ เพื่อให้ศีลส่งให้ได้โลกุตตรผลฉันนั้น อันนี้เป็นองค์แรกแห่งพืช
   
   ธรรมดาพืชที่เขาปลูกหว่านลงในที่บริสุทธิ์ดี ย่อมงอกขึ้นได้เร็วฉันใด จิตของพระโยคาวจรผู้อยู่ในที่สงัด ผู้อบรมสติปัฏฐานก็งอกงามขึ้นได้เร็วฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งพืช
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระอนุรุทธเถระ ว่า   
   " พืชอันตั้งอยู่ในที่บริสุทธิ์ดี ย่อมมีผลไพบูลย์ ทำให้ผู้ปลูกหว่านดีใจฉันใด จิตของพระโยคาวจรที่บริสุทธิ์อยู่ในที่สงัด ก็งอกงามขึ้นเร็วในที่ดินอันดี คือสติปัฏฐานฉันนั้น " ดังนี้ ขอถวายพระพร "


   องค์ ๑ แห่งไม้ขานาง
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งไม้ขานางได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ไม้ขานาง ย่อมเจริญอยู่ใต้ดิน แล้วสูงขึ้นตั้ง ๑๐๐ ศอก ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรแสวงหาสมณธรรมคือสามัญผล ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ อภิญญา ๖ อยู่ในที่สงัดฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งไม้ขานาง

ข้อนี้สมกับคำของ พระราหุลเถระ ว่า
   " ไม้ขานางมีรากหยั่งลงไปใต้ดินตั้ง ๑๐๐ ศอก เวลาถึงกาลแก่แล้ว ก็งอกขึ้นในวันเดียวตั้ง ๑๐๐ ศอกฉันใด พระโยคาวจรผู้อยู่ในที่สงัด ก็เจริญขึ้นด้วยธรรมฉันนั้น " ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 12:50:21


   องค์ ๓ แห่งเรือ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งเรือได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา เรือ ย่อมพาคนเป็นอันมากข้ามแม่น้ำไป ด้วยการพร้อมกันแห่งไม้ขนานต่าง ๆ เป็นอันมากฉันใด พระโยคาวจรก็ควรข้ามโลกนี้กับทั้งเทวโลกไปด้วยความพร้อมกัน แห่งความขนานกันด้วยธรรมหลายอย่าง คือ อาจารคุณ สีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ อันนี้เป็นองค์แรกแห่งเรือ
   
   ธรรมดาเรือย่อมสู้ลูกคลื่น สู้ลมเป็นอันมากฉันใด พระโยคาวจรก็ควรสู้ลูกคลื่นคือกิเลสต่าง ๆ เป็นอันมาก เช่นลาภ สักการะ ยศ สรรเสริญ การบูชา การกราบไหว้ การนินทา สรรเสริญ ความสุข ความทุกข์ ความนับถือ ความดูหมิ่น เป็นอันมากฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งเรือ
   
   ธรรมดาเรือย่อมแล่นไปในมหาสมุทรอันกว้างลึก เต็มไปด้วยสัตว์น้ำหาประมาณมิได้ มีปลาติงมิงคละ มังกร เป็นต้น ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรให้ใจอันขวนขวายซึ่งบารมี ที่จะข่มขี่เสียซึ่งสัญญาทั้งปวง เที่ยวไปในการรู้แจ้งแทงตลอด ซึ่งสัจจะ ๔ อันมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งเรือ
   
   สมกับพระพุทธพจน์ใน สัจจสังยุตต์ อันมีในสังยุตตนิกายว่า   
   " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายจะคิดก็ควรคิดว่า อันนี้เป็นทุกข์ อันนี้เป็นทุกขสมุทัย อันนี้เป็นทุกขนิโรธ อันนี้เป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา "
   
   ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 12:58:05


   องค์ ๒ เครื่องขัดข้องเรือ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งเรืออันติดหินโสโครกในมหาสมุทรนั้น ได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา เครื่องขัดข้องแห่งเรือ ย่อมขัดข้องเรือไว้ในมหาสมุทรกว้างใหญ่ อันมากไปด้วยละลอกคลื่น ไม่ให้ไปสู่ทิศต่าง ๆ ได้ฉันใด พระโยคาวจรก็มีจิตข้องอยู่ในลูกคลื่น คือราคะ โทสะ โมหะ ในเครื่องกระทบคือวิตกใหญ่ไม่ให้ไปสู่ทิศต่าง ๆ ได้ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์แรกแห่งเครื่องขัดข้องเรือ
   
   ธรรมดาเครื่องขัดข้องเรือ ย่อมข้องเรือไว้ในน้ำอันลึกตั้ง ๑๐๐ ศอกก็มีฉันใด พระโยคาวจรไม่ควรข้องอยู่ในเครื่องข้อง คือ ลาภ ยศ สักการะ การกราบไหว้บูชา ควรตั้งจิตไว้ในปัจจัย พอให้ร่างกายเป็นไปได้เท่านั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งเครื่องขัดข้องเรือ
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า
   " เครื่องขัดข้องเรือในมหาสมุทร ย่อมไม่ลอยอยู่ มีแต่จมอยู่ข้างฉันใด ท่านทั้งหลายอย่าข้องอยู่กับลาภสักการะ อย่าจมอยู่ในลาภสักการะฉันนั้น " ขอถวายพระพร "
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 14:19:53


  องค์ ๑ แห่งเสากระโดง   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งเสากระโดงได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา เสากระโดง ย่อมทรงไว้ซึ่งเชือกและรอกและใบเรือฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะทุกเวลาก้าวหน้า ถอยกลับ แลเหลียว คู้เหยียด ครองสังฆาฏิ บาตร จีวร ฉัน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม ถ่ายอุจจาระปัสสาวะ เดิน ยืน นั่ง นอน ตื่น พูด นิ่ง ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งเสากระโดง

ข้อนี้สมกับคำของพระพุทธเจ้าว่า
   " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ อันนี้เป็นคำสั่งสอนสำหรับเธอทั้งหลาย " ดังนี้ ขอถวายพระพร "


  องค์ ๓ แห่งนายท้ายเรือ   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งต้นหนคือนายท้ายเรือได้แก่สิ่งไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ต้นหน ย่อมเอาใจใส่เรืออยู่เป็นนิจ ทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ประมาทเผลอเรอฉันใด พระโยคาวจรก็ควรไม่ประมาท ควรกำหนดจิตไว้ด้วยโยนิโสมนสิการอยู่เป็นนิจ ทั้งกลางวันและกลางคืนฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งต้นหน
   
   ข้อนี้ สมกับพระดำรัสของสมเด็จพระทศพลใน พระธรรมบท ว่า   
   " เธอทั้งหลายจงยินดีในความไม่ประมาท จงรักษาจิตของตน จงยกตนขึ้นจากหล่มเหมือนกับกุญชรที่ตกหล่ม แล้วยกตนขึ้นจากหล่มได้ฉันนั้น "
   
   ธรรมดาต้นหนย่อมรู้สิ่งที่ดีและไม่ดีในมหาสมุทรได้สิ้นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรรู้จักสิ่งที่เป็นกุศลและอกุศล มีโทษไม่มีโทษ ควรเกี่ยวข้องไม่ควรเกี่ยวข้อง เลวดี เปรียบด้วยของดำของขาวฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งต้นหน
   
   ธรรมดาต้นหนย่อมตั้งเข็มทิศด้วยตนเองไม่ให้ผู้อื่นแตะต้องฉันใด พระโยคาวจรก็ควรตั้งเข็มทิศไว้ในใจ ห้ามใจไม่ให้นึกถึงสิ่งที่เป็นบาปอกุศลต่าง ๆ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งต้นหน
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ สังยุตตนิกาย ว่า   
   " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่านึกถึงสิ่งที่เป็นบาปอกุศล อันเป็นกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตกเลย " ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 14:27:05


องค์ ๑ แห่งกรรมกร
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งกรรมกรได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา กรรมกร ย่อมคิดว่า เราเป็นลูกจ้าง เราจักต้องให้ได้ค่าจ้างมาก เราจักต้องไม่ประมาทฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นฉันนั้น คือควรคิดว่า เมื่อเราพิจารณากายอันประกอบด้วยธาตุ ๔ นี้เราก็เป็นผู้ไม่ประมาทเนือง ๆ มีสติสัมปชัญญะดี มีใจแน่วแน่ เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็จักพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โศกเศร้า รำพัน ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ คับแค้นใจ เพราะฉันนั้น เราไม่ควรจะประมาท อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งกรรมกร
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " ขอท่านทั้งหลาย จงพิจารณากายนี้ จงกำหนดรู้กายนี้ร่ำไป จงเห็นสภาพในกายจึงจักทำให้สิ้นทุกข์ได้" ดังนี้ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 14:54:48


   องค์ ๕ แห่งมหาสมุทร
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งมหาสมุทรได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา มหาสมุทร ย่อมไม่อยู่ร่วมกับซากศพฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรอยู่ร่วมกับราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ลบหลู่คุณท่าน ตระหนี่ ริษยา มายา สาไถย โกหก ความคดโกง ความทุจริต กิเลสมลทินทั้งหลายฉันนั้น อันนี้เป็นองค์แรกแห่งมหาสมุทร
   
   ธรรมดามหาสมุทรย่อมรักษาไว้ซึ่งแก้วต่าง ๆ คือ แก้วมณี แก้วมุกดา แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ แก้วผลึก ไว้ไม่ให้กระจัดกระจายออกไปภายนอกได้ฉันใด พระโยคาวจรได้บรรลุมรรคผล ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ วิปัสสนา อภิญญาแล้วก็ควรปกปิดไว้ ไม่ควรนำออกไปภายนอกฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งมหาสมุทร
   
   ธรรมดามหาสมุทรย่อมอยู่ร่วมกับสัตว์ใหญ่ ๆ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรอยู่ร่วมกับเพื่อนพรหมจรรย์ผู้มักน้อย ผู้สันโดษ ผู้กล่าวคำอันเป็นเครื่องกำจัด ผู้มีความขัดเกลา ผู้สมบูรณ์ด้วยกิริยามารยาท ผู้เป็นลัชชี ผู้มีศีลเป็นที่รัก ผู้เป็นที่เคารพ เป็นที่นับถือ เป็นผู้ว่ากล่าว เป็นผู้ควรแก่การว่ากล่าว ผู้ตักเตือน ผู้ติเตียนความชั่ว ผู้สั่งสอน ผู้ให้รู้แจ้ง ผู้ให้เห็นจริง ให้ถือมั่น ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งมหาสมุทร
   
   ธรรมดามหาสมุทรย่อมเต็มด้วยน้ำไหลมาจากแม่น้ำต่าง ๆ หลายร้อยสาย มีแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ เป็นต้น ทั้งมีน้ำฝนตกลงมาจากอากาศ แต่น้ำเหล่านั้นก็ไม่ล้นฝั่งไปได้ฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรแกล้งล่วงสิกขาบทเพราะเห็นแก่ลาภ ยศ สักการะ สรรเสริญ ความนับถือ การไหว้การบูชา ตลอดถึงเหตุที่จะให้สิ้นชีวิต อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งมหาสมุทร
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธฎีกาที่ตรัสประทานไว้ว่า   
   " มหาสมุทรมีน้ำเต็มฝั่ง ไม่ล้นฝั่งไปได้ฉันใด สาวกทั้งหลายของเรา ก็ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิตฉันนั้น "
   
   ธรรมดามหาสมุทรย่อมไม่รู้จักเต็มด้วยน้ำ อันไหลมาจากแม่น้ำทั้งปวง มีแม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหิ เป็นต้น อีกทั้งน้ำฝนด้วยฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรอิ่มด้วยการเรียน การฟัง การทรงจำ การวินิจฉัย พระธรรมวินัย พระสูตร วิเคราะห์ นิกเขปบท บทสมาธิ บทวิภัตติ ในพระพุทธศาสนาฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งมหาสมุทร
   
   ข้อนี้สมกับคำของสมเด็จพระบรมสุคตใน มหาสุตตโสมชาดก ว่า   
   " ไฟนี้ไหม้หญ้าและไม้ย่อมไม่รู้จักอิ่มด้วยเชื้อไฟ มหาสมุทรย่อมไม่รู้จักอิ่มด้วยน้ำฉันใด บัณฑิตทั้งหลายไม่รู้จักอิ่ม ด้วยคำอันเป็นสุภาษิตฉันนั้น " ขอถวายพระพร "
   
   จบลาวุตตา วรรคที่



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 15:12:51


   อุปมากถาปัญหา
   จักกวัตติ วรรคที่
   
   องค์ ๕ แห่งแผ่นดิน    
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งแผ่นดินได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา แผ่นดิน ถึงจะมีคนเทของที่น่ายินดีและไม่น่ายินดี คือการบูร กฤษณา จันทน์ หญ้าฝรั่น เป็นต้นก็ดีเทลงไปซึ่งดี เสมหะ โลหิต เหงื่อ มันข้น น้ำลาย น้ำมูก อุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้นก็ดี ก็เป็นอยู่เช่นนั้นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นเช่นนั้น ในสิ่งที่น่าต้องการ คือ ลาภ ความไม่มีลาภ ยศ ความไม่มียศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์แรกแห่งแผ่นดิน
   
   ธรรมดาแผ่นดินย่อมปราศจากเครื่องประดับตกแต่ง มีแต่อบรมอยู่ด้วยกลิ่นของตนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรปราศจากเครื่องประดับตกแต่ง ควรอบรมด้วยกลิ่นศีลของตนฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งแผ่นดิน
   
   ธรรมดาแผ่นดินย่อมไม่มีระหว่าง ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นของหนาแน่นกว้างขวางฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้มีศีลอยู่เป็นนิจ อย่าได้ให้ศีลขาดวิ่นเป็นช่องเป็นรู ให้ศีลหนาแน่นกว้างขวางอยู่ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งแผ่นดิน
   
   ธรรมดาแผ่นดินย่อมทรงไว้ซึ่งคามนิคม นคร ชนบท ต้นไม้ ภูเขา แม่น้ำ ห้วย หนอง คลอง บึง เนื้อ นก นรชน หญิงชายไม่ย่อท้อฉันใด พระโยคาวจรถึงจะต้องเป็นผู้ว่ากล่าวสั่งสอนผู้อื่น หรือถูกผู้อื่นว่ากล่าวสั่งสอน ก็ไม่ควรย่อท้อฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งแผ่นดิน
   
   ธรรมดาแผ่นดินย่อมปราศจากความยินดียินร้ายฉันใด พระโยคาวจรก็ควรปราศจากความยินดียินร้าย ความมีใจเสมอกับแผ่นดินฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งแผ่นดิน
   
   ข้อนี้สมกับคำของอุบาสิกา จูฬสุภัททา กล่าวสรรเสริญสมณะของตนไว้ว่า   
   " ถึงมีผู้ถากข้างหนึ่งด้วยมีดพร้า ทาร่างกายข้างหนึ่งด้วยของหอมให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ไม่มีความยินดียินร้าย จิตของข้าพเจ้าเสมอด้วยแผ่นดิน สมณะทั้งหลายของข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกัน " ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 15:25:18


   องค์ ๕ แห่งน้ำ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งน้ำได้แก่อะไร ? " " ขอถวายพระพร ธรรมดา น้ำ อันตั้งอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหว ไม่มีผู้กวน ย่อมบริสุทธิ์ตามสภาวะปกติ คือความเป็นเองฉันใด พระโยคาวจรก็ควรละการลวงโลก การโอ้อวด การพูดเลียบเคียง เพื่อหาลาภ การพูดเหยียดผู้อื่นเพื่อหาลาภเสียแล้ว ควรเป็นผู้มีความประพฤติบริสุทธิ์ตามสภาวะปกติฉันนั้นอันนี้เป็นองค์แรกแห่งน้ำ
   
   ธรรมดาน้ำย่อมตั้งอยู่ตามสภาพ คือความเย็นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้ทำความเย็นให้แก่ผู้อื่นด้วยขันติ และความไม่เบียดเบียน ความเมตตากรุณาฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งน้ำ
   
   ธรรมดาน้ำย่อมทำสิ่งที่ไม่สะอาดให้สะอาดฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำแต่สิ่งที่ไม่มีโทษในที่ทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งน้ำ
   
   ธรรมดาน้ำย่อมเป็นที่ต้องการ แห่งคนและสัตว์เป็นอันมากฉันใด พระโยคาวจรผู้มักน้อย สันโดษ สงัด เงียบ ก็เป็นที่ต้องการแห่งโลกทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งน้ำ
   
   ธรรมดาน้ำย่อมไม่นำสิ่งที่ไม่มีประโยชน์เข้าไปให้แก่ใครฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรทำให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทบาดหมาง ความเพ่งโทษ ความริษยา ให้เกิดแก่ผู้อื่นฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งน้ำ
   
   ข้อนี้ สมกับคำของพระพุทธเจ้าใน กัณเหชาดก ว่า   
   " ข้าแต่ท้าวสักกะ ผู้เป็นใหญ่กว่าภูตทั้งปวง ถ้าพระองค์จะทรงประทานพรแก่หม่อมฉัน ก็ขอจงประทานพรว่า อย่าให้กายหรือใจของหม่อมฉัน ทำให้เกิดทุกข์แก่ผู้อื่นเลย "
   
   ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2555 16:01:33


   องค์ ๕ แห่งไฟ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งไฟได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ไฟ ย่อมเผา หญ้าไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ฉันใด พระโยคายจรก็ควรเผากิเลสทั้งภายนอกภายในด้วยไฟ คือญาณ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งไฟ
   
   ธรรมดาไฟย่อมไม่มีเมตตากรุณาฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่มีควรมีเมตตากรุณา ในกิเลสทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งไฟ
   
   ธรรมดาไฟย่อมกำจัดความเย็นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำให้เกิดไฟ คือความเพียรเผากิเลสทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งไฟ
   
   ธรรมดาไฟย่อมไม่มีความยินดียินร้ายมีแต่ทำให้เกิดความร้อนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีใจเสมอด้วยไฟ ปราศจากความยินดียินร้ายฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งไฟ
   
   ธรรมดาไฟย่อมกำจัดความมืด ทำให้เกิดความสว่างฉันใด พระโยคาวจรก็ควรกำจัดความมืดถืออวิชชา ทำให้เกิดความสว่าง คือญาณฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งไฟ
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธโอวาทที่ทรงสอน พระราหุล ว่า   
   " ดูก่อนราหุล เธอจงอบรมจิตใจให้เสมอกับไฟ เพราะเมื่อเธออบรมจิตใจให้เสมอกับไฟได้แล้ว สิ่งที่ถูกต้องอันเป็นที่พอใจและไม่พอใจ ย่อมไม่ครอบงำจิตใจได้ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "

ต่อที่ หน้า ๒๖ #๓๗๕ องค์ ๕ แห่งภูเขา
- http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.375 (http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.375)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:02:32


   องค์ ๕ แห่งภูเขา

   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งภูเขาได้แก่อะไร ? "
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ภูเขา ย่อมไม่หวั่นไหวฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรหวั่นไหว ในสิ่งที่น่ายินดียินร้ายฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งภูเขา
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า
   " ภูเขาศิลาแท่งทึบ ย่อมไม่ไหวด้วยลมฉันใด บัณฑิตทั้งหลายก็ไม่ไหวด้วยนินทาสรรเสริญฉันนั้น " ดังนี้
   ธรรมดาภูเขาย่อมเป็นของแข็ง ไม่ระคนกับสิ่งใดฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีใจเข้มแข็งในสิ่งทั้งปวง ไม่คลุกคลีกับกิเลสใด ๆ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งภูเขา
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า
   " ผู้ที่ไม่คลุกคลีกับคฤหัสถ์บรรพชิตไม่มีความห่วงใย มีแต่ความมักน้อย เราเรียกว่า พราหมณ์ " ดังนี้
   ธรรมดาภูเขาศิลาย่อมไม่มีพืชพรรณงอกขึ้นได้ฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรให้กิเลสงอกขึ้นในใจของตนฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งภูเขา
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสุภูติเถระ ว่า
   " เวลาที่จิตประกอบด้วย ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นแก่เรา เราก็พิจารณาอยู่ผู้เดียว เราไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ในสิ่งที่น่าเกิด ราคะ โทสะ โมหะ เราสอนตัวเราเองว่า ถ้าท่านเกิดราคะ โทสะ โมหะ ก็จงออกไปจากป่า เพราะที่ป่านี้เป็นที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์ ผู้ไม่มีมลทิน ผู้มีตบะ ท่านอย่าทำลายที่อันบริสุทธิ์ ท่านจงออกไปจากป่า " ดังนี้ ธรรมดาภูเขาย่อมเป็นของสูงฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้สูงด้วยญาณฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งภูเขา
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า
   " เมื่อใดบัณฑิตกำจัดความประมาทด้วยความไม่ประมาทได้แล้ว ขึ้นสู่ปราสาทคือปัญญา เมื่อนั้นท่านก็ไม่มีความเศร้าโศกได้เล็งเห็นผู้เศร้าโศก เหมือนกับผู้อยู่บนเขาแลเห็นคนผู้อยู่ข้างล่างฉะนั้น "
   ธรรมดาภูเขาย่อมไม่ฟูขึ้นยุบลงฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรฟูขึ้นและยุบลงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งภูเขา
   
   ข้อนี้สมกับคำของอุบาสิกา จูฬสุภัททา ว่า
   " พระสมณะทั้งหลายของเรา ย่อมไม่ฟูขึ้นยุบลง ด้วยความมีลาภและความไม่มีลาภเหมือนกับคนอื่นๆ" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:03:59


   องค์ ๕ แห่งอากาศ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งอากาศได้แก่สิ่งใด? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา อากาศ ไม่มีใครจับถือเอาได้ฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรให้กิเลสยึดถือฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งอากาศ
   
   ธรรมดาอากาศ ย่อมเป็นที่เที่ยวไปแห่ง ฤาษี ดาบส ภูต สัตว์มีปีก ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรให้ใจสัญจรไปในสังขารทั้งหลายว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งอากาศ   
   ธรรมดาอากาศ ย่อมเป็นที่เกิดแห่งความสะดุ้งกลัวฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำให้ใจสะดุ้งกลัวต่อการเกิดในภพทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งอากาศ
   
   ธรรมดาอากาศ ย่อมไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้มีสีลาจาวัตร ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีปริมาณฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งอากาศ   
   ธรรมดาอากาศ ย่อมไม่ติด ไม่ข้อง ไม่ตั้ง ไม่พัวพันอยู่ในสิ่งใดฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรข้อง ไม่ควรติด ไม่ควรตั้งอยู่ ไม่ควรผูกพันอยู่ในตระกูล หมู่คณะ ลาภ อาวาส เครื่องกังวล ปัจจัย และกิเลสทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งอากาศ
   
   ข้อนี้สมกับที่ทรงสอน พระราหุล ไว้ว่า   
   " ดูก่อนราหุล อากาศย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ใดได้ฉันใด เธอจงอบรมจิตใจให้เสมอกับอากาศฉันนั้น เพราะเมื่อเธออบรมจิตใจให้เสมอกับอากาศได้แล้ว อารมณ์ที่มากระทบอันเป็นที่พอใจและไม่พอใจ ย่อมไม่ครอบงำจิตใจได้" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:05:41


   องค์ ๕ แห่งดวงจันทร์
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งดวงจันทร์ได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ดวงจันทร์ ย่อมขึ้นในเวลาข้างขึ้น แล้วเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นในอาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ อาคม (พระปริยัติธรรม ) อธิคม ( มรรคผล ) ความสงัด ความสำรวมอินทรีย์ ความรู้จักประมาณในโภชนะ ความเพียรฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งพระจันทร์   
   ธรรมดาพระจันทร์ ย่อมเป็นอธิบดียิ่งอย่างหนึ่งฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีฉันทาธิบดีอันยิ่งฉันนั้น อันนี้จัดเป็นองค์ที่ ๒ แห่งพระจันทร์
   
   ธรรมดาพระจันทร์ ย่อมเที่ยวไปในกลางคืนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเที่ยวไปด้วยวิเวกฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที ๓ แห่งพระจันทร์   
   ธรรมดาพระจันทร์ ย่อมมีวิมานเป็นธงชัยฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีศีลเป็นธงชัยฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งพระจันทร์   
   ธรรมดาพระจันทร์ ย่อมมีผู้อยากให้ตั้งขึ้นมาฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเข้าไปสู่ตระกูล ด้วยมีผู้นิมนต์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งพระจันทร์
   
   ข้อนี้สมกับประพันธ์พุทธภาษิตใน สังยุตตนิกาย ว่า   
   " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเข้าไปสู่ตระกูล ด้วยอาการเหมือนดวงจันทร์ อย่าทำกายใจให้คดงอในตระกูล อย่าคะนองกายใจในตระกูล " ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:07:38


   องค์ ๗ แห่งดวงอาทิตย์
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๗ แห่งดวงอาทิตย์ได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ดวงอาทิตย์ ย่อมทำพืชทั้งปวงให้เหี่ยวแห้งฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำกิเลสทั้งปวงให้แห้งฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งดวงอาทิตย์
   
   ธรรมดาดวงอาทิตย์ ย่อมกำจัดความมืดฉันใด พระโยคาวจรก็ควรกำจัดความมืดทั้งปวง คือราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ กิเลส ทุจริต ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งดวงอาทิตย์   
   ธรรมดาดวงอาทิตย์ ย่อมเที่ยวไปเนือง ๆ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรกระทำโยนิโสมนสิการเนือง ๆ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งดวงอาทิตย์
   
   ธรรมดาดวงอาทิตย์ ย่อมมีรัศมีเป็นมาลา ( ระเบียบ ) ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีรัศมีคืออารมณ์เป็นมาลาฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งดวงอาทิตย์   
   ธรรมดาดวงอาทิตย์ ย่อมทำให้หมู่มหาชนร้อนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำให้โลกนี้กับทั้งเทวโลกร้อนด้วยอาจารคุณ ศีลคุณ ข้อวัตรปฏิบัติ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สติปัณฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งดวงอาทิตย์
   
   ธรรมดาดวงอาทิตย์ ย่อมกลัวภัย คือราหูฉันใด พระโยคาวจรได้เห็นบุคคลทั้งหลายที่รกรุงรังไปด้วยทุจริต และทุคติ สวมด้วยเครื่องขนานคือทิฏฐิ เดินไปผิดทาง ก็ควรทำให้ใจสลดด้วยความกลัวสังเวช อันนี้เป็นองค์ที่ ๖ แห่งดวงอาทิตย์   
   ธรรมดาดวงอาทิตย์ ย่อมทำให้เห็นของดีของเลวฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำตนให้เห็น โลกิยธรรม โลกุตตรธรรม ด้วยอินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๗ แห่งดวงอาทิตย์
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระวังคีสะเถระ ว่า   
   " เมื่อดวงอาทิตย์ตั้งขึ้น ย่อมทำให้เห็นสิ่งต่าง ๆ ทั้งสะอาดไม่สะอาด ดีเลว ฉันใด พระภิกษุผู้ทรงธรรม ก็ทำให้หมู่ชนอันถูกอวิชชาปกปิดไว้ ให้ได้เห็นทางธรรมต่าง ๆ เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ตั้งขึ้นมาฉันนั้น" ดังนี้ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:08:43


   องค์ ๓ แห่งท้าวสักกะ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งท้าวสักกะได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ท้าวสักกะ ย่อมเพียบพร้อมด้วยสุขอย่างเดียวฉันใด พระโยคาวจรก็ควรยินดีในสุข อันเกิดจากวิเวกอย่างเยี่ยมฝ่ายเดียวกันฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งท้าวสักกะ
   
   ธรรมดาท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมเทพทั้งหลาย ได้เห็นเทพยเจ้าทั้งหลายแล้วก็ทำให้เกิดความร่าเริงฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำใจให้เกิดความร่าเริงไม่หดหู่ ไม่เกียจคร้านในกุศลธรรมทั้งหลายฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งท้าวสักกะ   
   ธรรมดาท้าวสักกะ ย่อมไม่เกิดความเบื่อหน่าย ไม่เกิดความรำคาญฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรให้เกิดความเบื่อหน่ายในสิ่งที่สงัดฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งท้าวสักกะ
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสุภูติเถระ ว่า   
   " ข้าแต่มหาวีรเจ้า นับแต่ข้าพระองค์ได้บรรพชาในศาสนาของพระองค์ ย่อมไม่รู้สึกว่า มีสัญญาสักอย่างเดียว อันเกี่ยวกับกามารมณ์เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์เลย" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:09:26


   องค์ ๔ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๔ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา พระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมทรงสงเคราะห์ประชาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรสงเคราะห์ ควรประคอง ควรอนุเคราะห์ ควรทำให้ร่าเริงแก่บริษัท ๔ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
   
   ธรรมดาในแว่นแคว้นพระเจ้าจักรพรรดิย่อมไม่มีโจรผู้ร้ายฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรให้มีโจรผู้ร้าย คือกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า   
   " ผู้ใดยินดีในการระงับวิตก อบรมอสุภะ มีสติทุกเมื่อ ผู้นั้นจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ จะตัดเครื่องผูกแห่งมารได้" ดังนี้
   
   ธรรมดาพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมเสด็จเลียบโลก เพื่อทรงพิจารณาดูคนดีคนเลวทุกวันฉันใด พระโยคาวจรก็ควรพิจารณา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทุกวันแล้วทำให้บริสุทธิ์ ด้วยคิดว่า วันคืนของเราผู้ไม่ข้องอยู่ด้วยฐานะทั้ง ๓ นี้ ได้ล่วงเลยไปแล้วอย่างไร อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ ของพระเจ้าจักรพรรดิ
   
   ข้อนี้ สมกับพระพุทธพจน์ในคัมภีร์ อังคุตตรนิกาย ว่า   
   " บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่าวันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่" ดังนี้   
   ธรรมดาพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมทรงจัดการรักษาให้ดี ทั้งภายในภายนอกฉันใดพระโยคาวจรก็ควรตั้งนายประตู คือสติให้รักษากิเลสทั้งภายในภายนอกฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งพระเจ้าจักรพรรดิ
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า   
   " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้มีนายประตู คือสติ ย่อมละอกุศล อบรมกุศลละสิ่งที่มีโทษ อบรมสิ่งที่ไม่มีโทษ รักษาตนให้บริสุทธิ์ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
   
   จบจักกวัตติวรรคที่ ๓



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:10:29


   อุปมากถาปัญหา   
   กุญชรวรรคที่ ๔
   
   องค์ ๑ แห่งปลวก   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งปลวกได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ปลวก ย่อมทำหลังคาปิดตัวเองแล้วอาศัยอยู่ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำหลังคา คือศีลสังวรปิดใจของตนอยู่ฉันนั้น เพราะเมื่อปิดใจของตนด้วยศีลสังวรแล้ว ย่อมล่วงพ้นภัยทั้งปวงได้ อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งปลวก
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระอุปเสนเถระ ว่า   
   " พระโยคีกระทำเครื่องมุงใจ คือศีลสังวรแล้ว ไม่ติดอยู่ในอะไร ย่อมพ้นจากภัยได้ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "

   
   องค์ ๒ แห่งแมว   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งแมวได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา แมว เวลาไปที่ถ้ำหรือที่ซอก ที่รู ที่โพรง ที่ระหว่างถ้ำก็ดี ก็แสวงหาแต่หนูฉันใด พระโยคาวจรผู้ไปอยู่ที่บ้าน ที่ป่า หรือที่โค่นต้นไม้ ที่แจ้ง ที่ว่างบ้านเรือน ก็ไม่ควรประมาท ควรแสวงหาโภชนะ คือกายคตาสติ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งแมว
   
   ธรรมดาแมว ย่อมแสวงหาอาหารในที่ใกล้ ๆ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรพิจารณาขันธ์ ๕ ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีความตั้งขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งแมว   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า   
   " ไม่ต้องกล่าวไปให้ไกลแต่นี้นัก ภวัคคพรหม ( พรหมชั้นสูงสุด) จักทำอะไรได้ ควรเบื่อหน่ายเฉพาะในกายของตน อันมีอยู่ในปัจจุบันนี้แหละ" ดังนี้ ขอถวายพระพร "


   องค์ ๑ แห่งหนู   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งหนูได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา หนู ย่อมเที่ยวหาอาหารข้างโน้นข้างนี้ฉันใด พระโยคาวจรเมื่อเที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้ ก็ควรแสวงหาโยนิโสมนสิการฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งหนู
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระอุปเสนเถระ ว่า   
   " ผู้แสวงหาธรรม ผู้เห็นธรรมต่าง ๆ ผู้ไม่ย่อท้อ ผู้สงบ ย่อมมีสติอยู่อยู่ทุกเมื่อ"
   ดังนี้ ขอถวายพระพร"   
   


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:14:29


  องค์ ๑ แห่งแมงป่อง    
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งแมงป่อง ได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา แมงป่อง ย่อมมีหางเป็นอาวุธ ย่อมชูหางของตนเที่ยวไปฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีญาณเป็นอาวุธ ควรชูญาณฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งแมงป่อง
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระอุปเสนเถระ ว่า   
   " ภิกษุผู้ถือเอาพระขรรค์ คือญาณ ผู้เห็นธรรมด้วยอาการต่าง ๆ ย่อมพ้นจากภัยทั้งปวง ภิกษุนั้นย่อมอดทนสิ่งที่ทนได้ยากในโลก" ดังนี้ ขอถวายพระพร "


  องค์ ๑ แห่งพังพอน   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งพังพอนนี้ได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา พังพอน เมื่อจะไปสู้กับงู ย่อมมอมตัวด้วยยาเสียก่อนจึงเข้าไปใกล้งู เพื่อจะสู้กับงูฉันใด พระโยคาวจรเมื่อจะเข้าไปใกล้โลก อันมากไปด้วยความบาดหมาง ความทะเลาะวิวาท ก็ทาอวัยวะด้วยยา คือ เมตตาเสียก่อน จึงจะให้โลกทั้งปวงดับความเร่าร้อนได้ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งพังพอน
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " พระภิกษุควรมีเมตตาแก่ตนและผู้อื่นควรแผ่จิตเมตตาไป อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย" ดังนี้ ขอถวายพระพร"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:15:27


   องค์ ๒ แห่งสุนัขจิ้งจอก
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งสุนัขจิ้งจอกได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา สุนัขจิ้งจอก ได้โภชนะแล้วย่อมไม่เกลียดชัง ย่อมกินพอความประสงค์ฉันใด พระโยคาจรได้โภชนะแล้ว ก็ไม่ควรเกลียดชัง ไม่ว่าชนิดไหน ควรฉันพอให้ร่างกายเป็นไปได้ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งสุนัขจิ้งจอก
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระมหากัสสปเถระ ว่า   
   " เวลาเราออกจากเสนาสนะเข้าไปบิณฑบาตถึงบุรุษโรคเรื้อนที่กำลังกินข้าวอยู่ กำเอาคำข้าวด้วยมือเป็นโรคเรื้อนมาใส่บาตรให้เรา เราก็นำไปฉัน ไม่เกลียดชังอย่างไร " ดังนี้   
   "ธรรมดาสุนัขจิ้งจอกได้โภชนะแล้ว ย่อมไม่เลือกว่าเลวดีอย่างไรฉันใด พระโยคาวจรได้โภชนะแล้ว ก็ไม่เลือกว่าเลวดี ยินดีตามที่ได้ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งสุนัขจิ้งจอก
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระอุปเสนเถระ ว่า   
   " บุคคลควรยินดีแม้ด้วยของเลว ไม่ควรปรารถนาอย่างอื่น ใจของผู้ข้องอยู่ในรสทั้งหลาย ย่อมไม่ยินดีในฌาน ความสันโดษตามมีตามได้ ย่อมทำให้เป็นสมณะบริบูรณ์ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:16:28


   องค์ ๓ แห่งเนื้อในป่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ที่ ๓ แห่งเนื้อในป่าได้แก่อะไร? "
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา เนื้อในป่า ย่อมเที่ยวไปในป่า ในเวลากลางคืน ในที่แจ้งฉันใด พระโยคาวจรก็ควรอยู่ในป่าในเวลากลางวัน ส่วนในเวลากลางคืนควรอยู่ในที่แจ้ง อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งเนื้อในป่า
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า
   " ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมอยู่ในที่แจ้งเวลากลางคืนหน้าหนาว ส่วนกลางวันอยู่ในป่า สำหรับเดือนสุดท้ายแห่งฤดูร้อน เวลากลางวันเราอยู่ในที่แจ้ง เวลากลางคืนเราอยู่ในป่า
   "ธรรมดาเนื้อในป่า ย่อมรู้จักหลบหลีกลูกศรฉันใด พระโยคาวจรก็ควรรู้จักหลบหลีกกิเลสฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งเนื้อในป่า
   
   ธรรมดาเนื้อในป่า ได้เห็นมนุษย์แล้วย่อมวิ่งหนี ด้วยคิดว่าอย่าให้มนุษย์ได้เห็นเราฉันใด พระโยคาวจรได้เห็นพวกทุศีล พวกเกียจคร้าน พวกยินดีในหมู่คณะ ก็ควรหนีไปด้วยคิดว่า อย่าให้พวกนี้ได้เห็นเรา อย่าให้เราได้เห็นพวกนี้ อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งเนื้อในป่า
   
   ข้อนี้สมกับคำอัน พระสารีบุตรเถระ กล่าวไว้ว่า   
   " เรานึกว่าคนมีความต้องการในทางลามก คนเกียจคร้าน คนท้อถอย คนสดับน้อย คนประพฤติไม่ดี คนไม่สงบ อย่าได้พบเห็นเราเลย" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:17:36


   องค์ ๔ แห่งโค
   
   " ข้อแต่พระนาคเสน องค์ ๔ แห่งโคได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา โค ย่อมไม่ทิ้งคอกของตนฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรทิ้งโอกาสของตนฉันนั้น คือไม่ควรทิ้งซึ่งการนึกว่า กายนี้มีการขัดสีอบรมอยู่เป็นนิจมีการแตกกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งโค
   ธรรมดาโคย่อมถือเอาแอก ย่อมนำแอกไปด้วยความสุขและความทุกข์ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต ด้วยการสู้สุขสู้ทุกข์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งโค
   
   ธรรมดาโคย่อมเต็มใจดื่มน้ำฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเต็มใจฟังคำสั่งสอนของพระอุปัชฌาย์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งโค
   ธรรมดาโคเมื่อเจ้าของฝึกหัดให้ทำอย่างไรย่อมทำตามทุกอย่างฉันใด พระโยคาวจรก็ควรยินดีรับคำสอนของภิกษุด้วยกัน หรือของอุบาสกชาวบ้านฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งโค
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " ถึงผู้บวชในวันนั้นมีอายุเพียง ๗ ขวบสอนเราก็ตาม เราก็ยินดีรับคำสอน เราได้เห็นผู้นั้น ก็ปลูกความพอใจ ความรักอย่างแรงกล้า ยินดีนอบน้อมว่าเป็นอาจารย์แล้วแสดงความเคารพเนือง ๆ " ดังนี้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 17 มิถุนายน 2555 19:18:19


   องค์ ๒ แห่งสุกร
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งสุกรได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา สุกร ย่อมชอบนอนแช่น้ำในฤดูร้อนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรอบรมเมตตาภาวนาอันเย็นดี ในเวลาจิตเร่าร้อนตื่นเต้นฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งสุกร   
   ธรรมดาสุกรย่อมขุดดินด้วยจมูกของตน ทำให้เป็นรางน้ำในที่มีน้ำ แล้วนอนแช่อยู่ในรางฉันใด พระโยคาวจรก็ควรพิจารณากายไว้แล้วฝังอารมณ์ให้นอนอยู่ภายในใจฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งสุกร
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ ว่า
   " ภิกษุผู้เล็งเห็นสภาพแห่งกายแล้ว ควรหลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว แล้วนอนอยู่ในภายในอารมณ์ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "


ต่อที่ หน้า ๒๗ #๓๙๐ องค์ ๕ แห่งช้าง
- http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.390 (http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.390)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2555 17:23:05


 องค์ ๕ แห่งช้าง
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งช้างได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ช้าง เมื่อเที่ยวไป ย่อมเอาเท้ากระชุ่นดินฉันใด พระโยคาวจรผู้พิจารณากาย ก็ควรทำลายกิเลสทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งช้าง
   
   ธรรมดาช้าง ย่อมแลไปตรง ๆ ไม่แลดูทิศโน้นทิศนี้ฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรเหลียวดูทิศโน้นทิศนี้ ไม่ควรแหงนดู ก้มดู ควรดูเพียงชั่วระยะแอกฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งช้าง   
   ธรรมดาช้าง ย่อมไม่นอนประจำอยู่ในที่แห่งเดียว เที่ยวหากินในที่ใด ไม่พักนอนในที่นั้นฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรนอนประจำคือไม่ควรห่วงใยในที่เที่ยวบิณฑบาต ถ้าได้เห็นที่ชอบใจ คือปะรำ หรือโคนต้นไม้ หรือถ้ำ หรือเงื้อมเขา ก็ควรเข้าพักอยู่ในที่นั้น แล้วไม่ควรห่วงใยในที่นั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งช้าง
   
   ธรรมดาช้าง เวลาลงน้ำย่อมเล่นน้ำตามสบายฉันใด พระโยคาวจรเวลาลงสู่สระโบกขรณี คือมหาสติปัฏฐาน อันเต็มเปี่ยมด้วยน้ำอันประเสริฐ คือพระธรรมอันเย็นใสอันดาษไปด้วยดอกไม้ คือวิมุตติ ก็ควรเล่นอยู่ด้วยการพิจารณาสังขาร อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งช้าง   
   ธรรมดาช้าง ย่อมมีสติทุกเวลายกเท้าขึ้นวางเท้าลงฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีสติสัมปชัญญะทุกเวลายกเท้าขึ้นวางเท้าลงทุกเวลาเดินไปมา คู้เหยียด แลเหลียว ฉันนั้นอันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งช้าง
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ในคัมภีร์ สังยุตตนิกาย ว่า
   " การสำรวมกาย วาจา ใจ เป็นของดี การระวังในสิ่งทั้งปวงเป็นของดี ผู้ระวังในสิ่งทั้งปวง ผู้มีความละอาย เรียกว่า ผู้รักษากาย วาจา ใจ ดีแล้ว " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
   
   จบกุญชรวรรคที่ ๔



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2555 17:24:05


   อุปมากถาปัญหา    
   สีหวรรคที่ ๕
   
   องค์ ๗ แห่งราชสีห์   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๗ แห่งราชสีห์ได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ราชสีห์ ย่อมมีกายขาวบริสุทธิ์ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรให้มีจิตขาวบริสุทธิ์ ปราศจากความรำคาญฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งราชสีห์
   
   ธรรมดาราชสีห์ ย่อมเที่ยวไปด้วยเท้าทั้ง ๔ มีการเที่ยวไปงดงามฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเที่ยวไปด้วยอิทธิบาท ๔ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งราชสีห์   
   ธรรมดาราชสีห์ ย่อมมีไกรสรคือสร้อยคอสีสวยงามยิ่งฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีไกรสรคือศีลอันสวยงามยิ่งฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งราชสีห์
   
   ธรรมดาราชสีห์ถึงจะตาย ก็ไม่ยอมอ่อนน้อมต่อใครฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรอ่อนน้อมต่อใคร เพราะเห็นแก่ปัจจัย ๔ ถึงจะสิ้นชีวิตก็ช่าง อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งราชสีห์   
   ธรรมดาราชสีห์ ย่อมเที่ยวหาอาหารไปตามลำดับ ได้อาหารในที่ใดก็กินให้อิ่มในที่นั้นไม่เลือกกินเฉพาะเนื้อที่ดี ๆ ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตระกูล ไม่ควรเลือกตระกูลและอาหารฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งราชสีห์
   
   ธรรมดาราชสีห์ ย่อมไม่สะสมอาหารกินคราวหนึ่งแล้วไม่เก็บไว้กินอีกฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรสะสมอาหารฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๖ แห่งราชสีห์   
   ธรรมดาราชสีห์เวลาหาอาหารไม่ได้ ก็ไม่ทุกข์ร้อน ได้แล้วก็ไม่ติดฉันใด พระโยคาวจรเวลาหาอาหารไม่ได้ ก็ไม่ควรทุกข์ร้อน เวลาได้ก็ไม่ควรติดใจรสอาหาร ควรฉันด้วยการพิจารณา เพื่อจะออกจากโลก อันนี้เป็นองค์ที่ ๗ แห่งราชสีห์
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ในคัมภีร์ สังยุตตนิกาย ว่า
   " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระกัสสปนี้ย่อมยินดีด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้สรรเสริญความยินดีในบิณฑบาตตามมีตามได้ ไม่แสวงหาบิณฑบาตในทางไม่ชอบ เมื่อไม่ได้ก็ไม่ควรทุกข์ร้อน เวลาได้ก็ไม่ติดในรสอาหาร รู้จักพิจารณาโทษแห่งอาหาร" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2555 17:25:42


   องค์ที่ ๓ แห่งนกจากพราก
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งนกจากพรากได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา นกจากพราก ย่อมไม่ทิ้งเมียจนตลอดชีวิตฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรทิ้งโยนิโสมนสิการจนตลอดชีวิตฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งนกจากพราก
   
   ธรรมดานกจากพราก ย่อมกินหอย สาหร่าย จอกแหน เป็นอาหารด้วยความยินดี จึงไม่เสื่อมจากกำลังและสีกาย ด้วยความยินดีนั้นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรยินดีตามมีตามได้ฉันนั้น เพราะผู้ยินดีตามมีตามได้ย่อมไม่เสื่อมจากศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ และกุศลธรรมทั้งปวง อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งนกจากพราก
   
   ธรรมดานกจากพราก ย่อมไม่เบียดเบียนสัตว์ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทิ้งท่อนไม้และอาวุธ ควรมีความละลาย มีใจอ่อน นึกสงเคราะห์สัตว์ทั้งหลายด้วยเมตตาฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งนกจากพราก
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน จักกวากชาดก ว่า   
   " ผู้ใดไม่ฆ่าเอง ไม่ให้ผู้อื่นฆ่า ไม่ชนะเอง ไม่ให้ผู้อื่นชนะ ผู้นั้นชื่อว่ามีเมตตาในสัตว์ทั้งหลาย เวรย่อมไม่มีแก่ผู้นั้นด้วยเหตุใดๆ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2555 17:26:48


   องค์ ๒ แห่งนางนกเงือก    
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งนางนกเงือกได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา นางนกเงือก ย่อมให้ผัวอยู่เลี้ยงลูกในโพรงด้วยความหึงฉันใด พระโยคาวจรเมื่อกิเลสเกิดขึ้นในใจของตนก็ควรเอาใจของตนใส่ลงในโพรง คือการสำรวมโดยชอบ เพื่อความกั้นกางกิเลส แล้วอบรมกายคตาสติไว้ด้วยมโนทวาร อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งนางนกเงือก
   
   ธรรมดานางนกเงือก เวลากลางวันไปเที่ยวหากินในป่า พอถึงเวลาเย็นก็บินไปหาเพื่อนฝูง เพื่อรักษาตัวฉันใด พระโยคาวจรก็ควรหาที่สงัดโดยลำพังผู้เดียว เพื่อให้หลุดพ้นจากสังโยชน์ เมื่อได้ความยินดีในความสงัดนั้น ก็ควรไปอยู่กับหมู่สงฆ์ เพื่อป้องกันภัย คือการว่ากล่าวติเตียนฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งนางนกเงือก
   
   ข้อนี้สมกับคำที่ ท้าวสหัมบดีพรหม ได้กล่าวขึ้นในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าว่า   
   " พระภิกษุควรอยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด เพื่อปลดเปลื้องจากสังโยชน์ ถ้าไม่ได้ความยินดีในที่สงัดนั้น ก็ควรไปอยู่ในหมู่สงฆ์ ควรมีสติรักษาตนให้ดี " ดังนี้ ขอถวายพระพร "


   องค์ ๑ แห่งนกกระจอก   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งนกกระจอกได้แก่อะไร? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา นกกระจอก ย่อมอาศัยอยู่ในเรือนคน แต่ไม่เพ่งอยากได้ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งของคน มีใจเป็นกลางเฉยอยู่ มากไปด้วยความจำฉันใด พระโยคาวจรเข้าไปถึงตระกูลอื่นแล้ว ก็ไม่ควรถือเอานิมิตในเตียง ตั่ง ที่นั่ง ที่นอน เครื่องประดับประดา เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ เครื่องกิน ภาชนะใช้สอยต่าง ๆ ของสตรีหรือบุรุษในตระกูลนั้น ควรมีใจเป็นกลาง ควรใส่ใจไว้แต่ในสมณสัญญาฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งนกกระจอก
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน จูฬนารทชาดก ว่า   
   " ภิกษุเข้าไปสู่ตระกูลอื่นแล้ว ควรขบฉันข้าวน้ำตามที่เขาน้อมถวาย แต่ไม่ควรหลงใหลไปในรูปต่างๆ" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2555 17:27:48


  องค์ ๒ แห่งนกเค้า  
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งนกเค้าได้แก่อะไร ?"
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา นกเค้า ย่อมเป็นศัตรูกันกับกา พอถึงเวลากลางคืนก็ไปตีฝูงกา ฆ่าตายเป็นอันมากฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นข้าศึกกับอวิชชา ควรนั่งอยู่ในที่สงัดแต่ผู้เดียว ควรตัดอวิชชาทิ้งเสียพร้อมทั้งรากฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งนกเค้า   
   ธรรมดานกเค้าย่อมซ่อนตัวอยู่ดีฉันใด พระโยคาวจรก็ควรซ่อนตัวไว้ดี ด้วยการยินดีในที่สงัดฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งนกเค้า
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ในคัมภีร์ สังยุตตนิกาย ว่า   
   " ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอควรอยู่ในที่สงัด เพราะผู้อยู่ในที่สงัด ผู้ยินดีในที่สงัดย่อมพิจารณาเห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค " ดังนี้ ขอถวายพระพร "


   องค์ ๑ แห่งนกตะขาบ 
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งนกตะขาบได้แก่อะไร ?"
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา นกตะขาบ ย่อมร้องบอกความปลอดภัย และความมีภัยแก่ผู้อื่นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรแสดงธรรมบอกนรก สวรรค์ นิพพาน แก่ผู้อื่นฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งนกตะขาบ
   
   ข้อนี้สมกับคำที่ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ กล่าวไว้ว่า   
   " พระโยคาวจรควรแสดงสิ่งที่น่าสะดุ้งกลัวในนรก และความสุขอันไพบูลย์ในนิพพานให้ผู้อื่นฟัง" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2555 17:28:47


   องค์ที่ ๒ แห่งค้างคาว   
   "ข้าแต่ พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งค้างคาวได้แก่อะไร? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ค้างคาว บินเข้าไปในเรือนแล้ว บินวนไปวนมาแล้วก็บินออกไป ไม่กังวลอยู่ในเรือนฉันใด พระโยคาวจรเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน เที่ยวไปตามลำดับแล้วได้หรือไม่ได้ก็ตาม ก็ควรกลับออกไปโดยเร็วพลันฉันนั้น ไม่ควรกังวลอยู่ในบ้าน อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งค้างค้าว
   
   ธรรมดาค้างคาว เมื่ออาศัยอยู่ในเรือนคนก็ไม่ทำความเสียหายให้แก่คนฉันใด พระโยคาวจรเข้าไปถึงตระกูลแล้ว ก็ไม่ควรทำความเดือดร้อนเสียใจให้คนทั้งหลาย ด้วยการขอสิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือด้วยการทำไม่ดีทางกาย หรือด้วยการพูดมากเกินไป หรือด้วยการทำตนให้เป็นผู้มีสุขทุกข์เท่ากับคนในตระกูลนั้น ไม่ควรทำให้เสียบุญกุศลของเขา ควรทำแต่ความเจริญให้เขาฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งค้างคาว
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน ลักขณสังยุต ในคัมภีร์ทีฆนิกายว่า   
   " ภิกษุไม่ควรทำให้ชาวบ้านเสื่อมศรัทธา ศีล สุตะ พุทธิ จาคะ ธรรมะ ทรัพย์สมบัติ ไร่นา เรือกสวน บุตร ภรรยา สัตว์ ๔ เท้า ญาติมิตร พวกพ้อง กำลัง ผิวพรรณ ความสุขสบายแต่อย่างใด พระโยคาวจรย่อมมุ่งแต่ความมั่นคั่งให้แก่ชาวบ้าน" ดังนี้ ขอถวายพระพร "


   องค์ ๑ แห่งปลิง  
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งปลิง ได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ปลิง เกาะในที่ใดก็ตาม ต้องเกาะให้แน่นในที่นั้นแล้วจึงดูดกินเลือดฉันใด พระโยคาวจรมีจิตเกาะในอารมณ์ใด ควรเกาะอารมณ์นั้นให้แน่น ด้วยสี สัณฐาน ทิศ โอกาส กำหนด เพศ นิมิต แล้วดื่มวิมุตติรสอันบริสุทธิ์ด้วยอารมณ์นั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งปลิง
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระอนุรุทธเถระ ว่า   
   " พระภิกษุควรมีจิตบริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในอารมณ์แล้ว ควรดื่มวิมุตติรสอันบริสุทธิ์ด้วยจิตนั้น " ดังนี้ขอถวายพระพร"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2555 17:29:49


   องค์ ๓ แห่งงู   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งงูได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา งู ย่อมไปด้วยอกฉันใด พระโยคาวจรก็ควรไปด้วยปัญญาฉันนั้น เพราะจิตของพระโยคาวจรผู้ไปด้วยปัญญา ย่อมเที่ยวไปในธรรมที่ควรรู้ ย่อมละเว้นสิ่งที่ไม่ควรกำหนดจดจำ อบรมไว้แต่สิ่งที่ควรกำหนดจดจำฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งงู   
   ธรรมดางูเมื่อเที่ยวไป ย่อมหลีกเว้นยาแก้พิษของตนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรหลีกเว้นทุจริตฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งงู
   
   ธรรมดางูเห็นมนุษย์แล้ว ย่อมทุกข์โศกฉันใด พระโยคาวจรเมื่อนึกถึงวิตกที่ไม่ดีแล้วก็ควรทุกข์โศกเสียใจว่า วันของเราได้ล่วงไปด้วยความประมาทเสียแล้ว วันที่ล่วงไปแล้วนั้นเราไม่อาจได้คืนมาอีก อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งงู
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน กินนรชาดก ว่า   
   " ดูก่อนนายพราน เราพลัดกันเพียงคืนเดียว ก็นึกเสียใจไม่รู้จักหาย นึกเสียใจว่าคืนที่เราพลัดกันนั้น เราไม่ได้คืนมาอีก" ดังนี้ ขอถวายพระพร "


   องค์ที่ ๑ แห่งงูเหลือม    
   " ขอถวายพระพร องค์ ๑ แห่งงูเหลือมได้แก่อะไร ? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา งูเหลือม ย่อมมีร่างกายใหญ่ มีท้องพร่องอยู่หลายวัน ไม่ได้อาหารพอเต็มท้อง ได้พอยังร่างกายให้เป็นไปได้เท่านั้นฉันใด พระโยคาวจรผู้เที่ยวไปบิณฑบาต ก็มุ่งอาหารที่ผู้อื่นให้ งดเว้นจากการถือเอาด้วยตนเอง ได้อาหารพอเต็มท้องได้ยาก แต่ผู้อยู่ในอำนาจเหตุผล ถึงได้ฉันอาหารยังไม่อิ่ม ต้องมีอีก ๔ หรือ ๕ คำจึงจักอิ่มก็ควรเติมน้ำลงไปให้เต็ม อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งงูเหลือม
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " ภิกษุผู้ฉันอาหาร ทั้งสดและแห้ง ก็ไม่ควรฉันให้อิ่มนัก ควรให้มีท้องพร่อง รู้จักประมาณในอาหาร ควรมีสติละเว้น ไม่ควรฉันอาหารให้อิ่มเกินไป เมื่อรู้ว่ายังอีก ๔ - ๕ คำก็จักอิ่ม ก็ควรหยุดดื่มน้ำเสีย เพราะเท่านี้ก็พออยู่สบาย สำหรับภิกษุผู้กระทำความเพียร" ดังนี้ ขอถวายพระพร "
   
   จบสีหวรรคที่ ๕



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2555 17:50:56


   อุปมากถาปัญหา   
   มักกฏ วรรคที่ ๖
   
   องค์ ๑ แห่งแมงมุม   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งแมงมุมได้แก่อะไร ?"
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา แมงมุม ชักใยขวางทางไว้แล้วก็จ้องดูอยู่ ถ้าหนอนหรือแมลงมาติดในใยของตน ก็จับกินเสียฉันใด พระโยคาวจรก็ควรชัดใย คือสติปัฏฐาน ขึงไว้ที่ทวารทั้ง ๖ ถ้ามีแมลง คือกิเลสมาติด ก็ควรฆ่าเสียฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งแมงมุม
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระอนุรุทธเถระ ว่า   
   " เพดานที่กั้นทวารทั้ง ๖ อยู่ คือสติปัฏฐานอันประเสริฐ เวลากิเลสมาติดที่เพดาน คือสติปัฏฐานนั้น พระภิกษุก็ควรฆ่าเสีย" ดังนี้ ขอถวายพระพร "


   องค์ ๑ แห่งทารก   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งทารกที่ยังกินนมอยู่ได้แก่อะไร? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ทารกที่ยังกินนมอยู่ ย่อมขวนขวายในประโยชน์ของตนเวลาอยากกินนมก็ร้องไห้ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรขวนขวายในประโยชน์ของตนฉันนั้นคือควรขวนขวายในธรรมอันชอบใจตน ควรขวนขวายในการเล่าเรียนไต่ถาม การประกอบความสงัด การอยู่ในสำนักครู การคบกัลยาณมิตร อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งทารก
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน ทีฆนิกายปรินิพพานสูตร ว่า   
   " ดูก่อนอานนท์ พวกเธอจงประกอบในประโยชน์ของตน อย่าได้ประมาทในประโยชน์ของตน" ดังนี้ ขอถวายพระพร "


   องค์ ๑ แห่งเต่าเหลือง    
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งเต่าเหลืองได้แก่อะไร? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา เต่าเหลือง ย่อมเว้นน้ำเพราะกลัวน้ำ เมื่อเว้นน้ำก็มีอายุยืนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเห็นภัยในความประมาท เห็นคุณวิเศษในความไม่ประมาทจึงจักไม่เสื่อมจากคุณวิเศษ จักได้เข้าใกล้นิพพาน อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งเต่าเหลือง
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน พระธรรมบท ว่า   
   " ภิกษุผู้ยินดีในความไม่ประมาท ผู้เห็นภัยในความประมาท ย่อมไม่เสื่อม ย่อมได้อยู่ใกล้นิพพาน " ดังนี้ ขอถวายพระพร"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 30 มิถุนายน 2555 18:07:52


   องค์ ๕ แห่งป่า
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งป่าได้แก่สิ่งใด ?"   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ป่า ย่อมปิดบังคนที่ไม่สะอาดไว้ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรปิดบังความผิดพลั้งของผู้อื่นไว้ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งป่า
   
   ธรรมดาป่าย่อมเป็นที่ว่างเปล่า ไม่มีคนไปมาฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้ว่างเปล่าจากกิเลสทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งป่า   
   ธรรมดาป่าย่อมเป็นที่เงียบสงัดฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเงียบสงัดจากสิ่งที่เป็นบาปอกุศลฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งป่า
   
   ธรรมดาป่าย่อมเป็นที่บริสุทธิ์ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้บริสุทธิ์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งป่า   
   ธรรมดาป่าย่อมเป็นที่อาศัยอยู่ของพระอริยชนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรคบอริยชนฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งป่า
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ในคัมภีร์ สังยุตตนิกาย ว่า   
   " บุคคลควรอยู่ร่วมกับอริยะผู้สงัด ผู้มีใจตั้งมั่น ผู้รู้แจ้ง ผู้มีความเพียรแรงกล้าเป็นนิจ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "

ต่อที่ หน้า ๒๘ #๔๐๕ องค์ที่ ๓ แห่งต้นไม้
- http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.405 (http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.405)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กรกฎาคม 2555 12:33:13


   องค์ที่ ๓ แห่งต้นไม้
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งต้นไม้ได้แก่อะไร ?"   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ต้นไม้ ย่อมทรงไว้ซึ่งดอกและผลฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งดอกคือวิมุตติ ผลคือสมณคุณ อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งต้นไม้
   
   ธรรมดาต้นไม้ย่อมให้ร่มเงาแก่ผู้เข้าไปพักอาศัยฉันใด พระโยคาวจรก็ควรต้อนรับผู้ที่เข้ามาหาตน ด้วยอามิสหรือธรรมฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งต้นไม้   
   ธรรมดาต้นไม้ย่อมไม่ทำเงาของตนให้แปลกกัน ย่อมแผ่ไปให้เสมอกันฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรทำให้แปลกกันในสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น คือควรแผ่เมตตาไปให้เสมอกันทั้งในผู้เป็นโจร เป็นผู้จะฆ่าคน เป็นข้าศึกของตนและตนเอง อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งต้นไม้
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " พระมุนี คือพระพุทธเจ้า ย่อมเป็นผู้มีพระหฤทัยเสมอไปแก่สัตว์ทั้งหลาย เช่นพระเทวทัต โจรองคุลีมาล ช้างธนบาล และพระราหุล เป็นตัวอย่าง " ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กรกฎาคม 2555 12:53:36


   องค์ ๕ แห่งเมฆ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๕ แห่งเมฆได้แก่อะไร ?"   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา เมฆ ย่อมระงับเสียซึ่งละอองเหงื่อไคล ซึ่งเกิดแล้วฉันใด พระโยคาวจรก็ควรระงับเหงื่อไคล คือกิเลสฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งเมฆ   
   ธรรมดาเมฆคือฝนที่ตกลงมา ย่อมดับความร้อนในแผ่นดินฉันใด พระโยคาวจรก็ควรดับทุกข์ร้อนของโลก ด้วยเมตตาภาวนาฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งเมฆ
   
   ธรรมดาเมฆย่อมทำให้พืชทั้งปวงงอกขึ้นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำให้พืช คือศรัทธาของบุคคลทั้งหลายให้งอกขึ้นฉันนั้น ควรปลูกพืชคือศรัทธานั้นไว้ในสมบัติทั้ง ๓ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งเมฆ   
   ธรรมดาเมฆย่อมตั้งขึ้นตามฤดูฝนแล้วเป็นฝนตกลงมา ทำให้หญ้า ต้นไม้ เครือไม้ พุ่มไม้ ต้นยา ป่าไม้ เกิดขึ้นในพื้นธรณีฉันใด พระโยคาวจรก็ควรทำให้โยนิโสมนสิการเกิดขึ้นแล้วทำให้สมณธรรม และกุศลธรรมทั้งปวงเกิดขึ้นฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งเมฆ
   
   ธรรมดาเมฆคือก้อนน้ำ เมื่อตกลงมาก็ทำให้แม่น้ำ หนอง สระ ซอก หัวยระแหง บึง บ่อ เป็นต้น ให้เต็มไปด้วยน้ำฉันใด พระโยคาวจรเมื่อเมฆ คือโลกุตตรธรรมตกลงมาด้วยการศึกษาพระปริยัติธรรม ควรทำใจของบุคคลทั้งหลาย ผู้มุ่งต่อโลกุตตรธรรมให้เต็มบริบูรณ์ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๕ แห่งเมฆ
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " พระมหามุนีทรงเล็งเห็นผู้ที่ควรจะให้รู้อยู่ในที่ไกลตั้งแสนโยชน์ก็ตาม ก็เสด็จไปโปรดให้รู้ทันที " ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กรกฎาคม 2555 12:59:57


   องค์ ๓ แห่งแก้วมณี
    
   " ขอถวายพระนาคเสน องค์ ๓ แห่งแก้วมณีได้แก่อะไร?"  
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา แก้วมณี ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นผู้มีอาชีพบริสุทธิ์แท้ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งแก้วมณี
    
   ธรรมดาแก้วมณี ย่อมไม่มีสิ่งใดเจือปนอยู่ข้างในฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรปะปนอยู่ด้วยสหายที่เป็นบาปฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งแก้วมณี
   ธรรมดาแก้วมณี ย่อมประกอบกับแก้วที่เกิดเองฉันใด พระโยคาวจรก็ควรประกอบกับแก้วมณีคือพระอริยะฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งแก้วมณี
    
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน สุตตนิบาต ว่า
   " ผู้บริสุทธิ์เมื่ออยู่กับผู้บริสุทธิ์ ผู้มีสติอยู่กับผู้มีสติ ก็จักมีปัญญาทำให้สิ้นทุกข์ " ดังนี้ ขอถวายพระพร"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กรกฎาคม 2555 13:18:12


   องค์ ๔ แห่งนายพราน
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๔ แห่งนายพรานได้แก่สิ่งใด? "
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา นายพราน ย่อมหลับน้อยฉันใด พระโยคาวจรก็ควรหลับน้อยฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่๑ แห่งนายพราน
   
   ธรรมดานายพรานย่อมผูกใจไว้ในหมู่เนื้อฉันใด พระโยคาวจรก็ควรผูกใจไว้ในอารมณ์อันจักให้ได้คุณวิเศษที่ตนได้แล้วฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งนายพราน
   
   ธรรมดานายพรานย่อมรู้จักเวลากระทำของตนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรรู้จักเวลาฉันนั้น คือควรรู้ว่า เวลานี้เป็นเวลาเข้าสู่ที่สงัดเวลานี้เป็นเวลาออกจากที่สงัด อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งนายพราน   
   ธรรมดานายพรานพอแลเห็นเนื้อ ก็เกิดความร่าเริงว่า เราจักได้เนื้อตัวนี้ฉันใด พระโยคาวจรพอได้ความยินดีในอารมณ์ ก็ควรเกิดความร่าเริงใจว่า เราจักได้คุณวิเศษยิ่งขึ้นไปฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งนายพราน
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระโมฆราชเถระ* กล่าวว่า   
   " ภิกษุผู้มีความเพียร ได้ความยินดีในอารมณ์แล้ว ควรทำให้เกิดความร่าเริงยิ่งขึ้นไปว่า เราจักได้บรรลุธรรมวิเศษอันยิ่ง " ดังนี้ ขอถวายพระพร
   
   *( หมายเหตุ : คำสุภาษิตนี้ ฉบับพิสดารบอกว่า เป็นของพระโมคคัลลาน์)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กรกฎาคม 2555 13:30:28


   องค์ ๒ แห่งพรานเบ็ด
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งพรานเบ็ดได้แก่อะไร? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา พรานเบ็ด ย่อมดึงปลาขึ้นมาได้ด้วยเหยื่อฉันใด พระโยคาวจรก็ควรถึงผลสมณะ อันยิ่งขึ้นมาให้ได้ด้วยญาณฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งพรานเบ็ด
   
   ธรรมดาพรานเบ็ดสละสัตว์ที่เป็นเหยื่อเพียงเล็กน้อย ก็ได้ปลามากฉันใด พระโยคาวจรก็ควรสละเหยื่ออันเล็กน้อย คืออามิสในโลกฉันนั้น เพราะพระโยคาวจรสละสุขของโลกเพียงเล็กน้อยแล้วก็ได้สมณคุณอันไพบูลย์อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งพรานเบ็ด
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระราหุลเถระ ว่า   
   " พระภิกษุสละโลกามิสแล้ว ย่อมได้อนิมิตตวิโมกข์ (หลุดพ้นเพราะไม่ถือนิมิตในร่างกาย ) สุญญตวิโมกข์ (หลุดพ้นเพราะว่างจากกิเลส ) อัปปณิหิตวิโมกข์ ( หลุดพ้นเพราะไม่ปรารถนาในร่างกาย) และผลอภิญญา ๖ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 10 กรกฎาคม 2555 14:09:12


  องค์ ๒ แห่งช่างไม้
   
   " ขอถวายพระพร องค์ ๒ แห่งช่างไม้ได้แก่อะไร ?"
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ช่างไม้ ดีดบรรทัดแล้วจึงถากไม้ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรดีดบรรทัดลงในคำสั่งสอนของสมเด็จพระชินวรเจ้า แล้วยืนอยู่ที่เหนือพื้นปฐพีคือศีล จับเอามีดคือปัญญาด้วยมือ คือศรัทธาแล้วถากกิเลสทั้งหลายให้สูญหายไปฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งช่างไม้

   ธรรมดาช่างไม้ถากเปลือกกระพี้ออกทิ้งถือเอาแต่แก่นฉันใด พระโยคาวจรก็ควรถากซึ่งลัทธิต่าง ๆ เช่น มีความเห็นว่าโลกเที่ยงบ้าง เห็นว่าตายแล้วสูญบ้าง เป็นต้น แล้วถือเอาแต่แก่น คือความเป็นเองแห่งสังขารทั้งหลายว่า ไม่มีอะไรเป็นสัตว์บุคคล ตัวตน เรา เขา มีแต่ของว่างเปล่า เป็นของที่ไม่เที่ยงทั้งนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งช่างไม้
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ใน สุตตนิบาต ว่า
   " ท่านทั้งหลายควรปัดเป่าเสียซึ่งความมืด ควรกวาดเสียซึ่งหยากเยื่อเชื้อฝอย ควรทิ้งเสียซึ่งผู้ไม่ใช่สมณะแต่ถือตัวว่าเป็นสมณะ ควรทิ้งเสียซึ่งผู้มีนิสัยลามก มีความประพฤติและโคจรลามก ควรเป็นผู้บริสุทธิ์ อยู่กับผู้บริสุทธิ์ ควรเป็นผู้มีสติ อยู่กับผู้มีสติ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "
   
   จบมักกฏวรรคที่



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 14 กรกฎาคม 2555 19:43:40


                    (http://hqwallpapers.eu/thumbnail/coast_sea_flowers_desktop_1600x1200_wallpaper-1103569.jpg)

อุปมากถาปัญหา  
กุมภ วรรคที่ ๗
    
   องค์ ๑ แห่งหม้อน้ำ
    
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๑ แห่งหม้อน้ำได้แก่อะไร? "    
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา หม้อน้ำ มีน้ำเต็มแล้วย่อมไม่มีเสียงดังฉันใด พระโยคาวจรเมื่อได้ความรู้ความดีเต็มแล้ว ก็ไม่มีเสียง ไม่มีมานะ ไม่ดูถูกผู้อื่น ไม่ปากกล้า ไม่โอ้อวด ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ ๑ แห่งหม้อน้ำ
    
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า    
   " หม้อที่มีน้ำพร่องย่อมมีเสียงดัง หม้อที่มีน้ำเต็มย่อมเงียบ คนโง่เปรียบเหมือนน้ำครึ่งหม้อ บัณฑิตเปรียบเหมือนน้ำเต็มหม้อ" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 14 กรกฎาคม 2555 20:12:50


   องค์ ๒ แห่งกาลักน้ำ
   
   " ขอถวายพระพร องค์ ๒ แห่งกาลักน้ำได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา กาลักน้ำ ย่อมดูดน้ำขึ้นมาฉันใด พระโยคาวจรก็ควรดูดใจขึ้นมาไว้ในโยนิโสมนสิการฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งกาลักน้ำ   
   ธรรมดากาลักน้ำดูดน้ำขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ปล่อยน้ำลงไปฉันใด พระโยคาวจรเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ควรปล่อยความเลื่อมใสนั้นเสีย ควรทำให้เกิดความเลื่อมใสยิ่งขึ้นใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่า
   
   " คุณแห่งสมเด็จพระบรมศาสดาเลิศประเสริฐยิ่ง คุณแห่งพระธรรมทั้งพระองค์ทรงสั่งสอนไว้เป็นอันดี และพระอริยสงฆ์ผู้ทรงคุณ คือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นของไม่เที่ยง "   
   ครั้นเห็นดังนี้แล้วก็ไม่ควรปล่อยการพิจารณานั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งกาลักน้ำ
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธพจน์ว่า   
   " ผู้บริสุทธิ์ในความเห็น ผู้แน่ในอริยธรรม ผู้ถึงคุณวิเศษ ย่อมไม่หวั่นไหวด้วยสิ่งใด ย่อมเป็นผู้คงที่ในที่ทั้งปวง" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 14 กรกฎาคม 2555 20:23:44


   องค์ ๓ แห่งร่ม
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งร่มได้แก่อะไร ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา ร่ม ย่อมอยู่บนศีรษะฉันใด พระโยคาวจรก็ควรอยู่บนกิเลสฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งร่ม
   
   ธรรมดาร่มย่อมคุ้มกันศีรษะฉันใด พระโยคาวจรก็ควรคุ้มกันตนด้วยโยนิโสมนสิการฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งร่ม   
   ธรรมดาร่มย่อมกำจัด ลม แดด เมฆ ฝนฉันใด พระโยคาวจรก็ควรกำจัดลัทธิสมณพราหมณ์ภายนอก และควรกำจัดเครื่องร้อน คือไฟ ๓ กอง ควรกำจัดฝน คือกิเลสฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งร่ม
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " ร่มใหญ่อันไม่ขาด ไม่ทะลุ แน่นหนา แข็งแรง ย่อมกันลม กันแดด กันฝนห่าใหญ่ได้ฉันใด พระพุทธบุตรผู้กั้นร่มคือศีล ผู้บริสุทธิ์ก็กันฝนคือกิเลส กันไฟ ๓ กอง อันทำให้เร่าร้อนได้ฉันนั้น" ขอถวายพระพร"



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2555 15:59:08


 องค์ ๓ แห่งนา
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งนาได้แก่สิ่งใด ? "   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา นา ย่อมมีเหมือง ชาวนาย่อมไขน้ำจากเหมืองเข้าไปสู่นาเลี้ยงต้นข้าวฉันใด พระโยคาวจรก็ควรมีเหมือง คือสุจริตด้วยข้อวัตรปฏิบัติฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งนา
   
   ธรรมดานาย่อมมีคันนา ชาวนาย่อมรักษาน้ำให้อยู่เลี้ยงต้นข้าวด้วยคันนาฉันใด พระโยคาวจรก็ควรสมบูรณ์ด้วยคันนาคือศีลควรรักษาความเป็นสมณะไว้ด้วยคันนาคือศีลจึงจักได้สามัญผล ๔ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งนา
   
   ธรรมดาซึ่งเป็นนาดี ย่อมทำให้เกิดความดีใจแก่เจ้าของ ถึงหว่านข้าวลงไปน้อยก็ได้ผลมาก ยิ่งหว่านลงไปมากก็ยิ่งได้ผลมากฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเป็นนาดี ควรเป็นผู้ให้ผลมาก ให้เกิดความดีใจแก่พวกทายกถึงเขาจะถวายทานน้อยก็ให้เขาได้ผลมาก อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งนา
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระอุบาลีเถระ ผู้เป็นวินัยธรว่า   
   " พระภิกษุควรเป็นผู้เปรียบด้วยนา ควรให้ผลอันไพบูลย์เหมือนกับนาดี ผู้ใดให้ผลอันไพบูลย์ได้ ผู้นั้นชื่อว่านาประเสริฐ" ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2555 16:26:10


   องค์ ๒ แห่งยาดับพิษ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๒ แห่งยาดับพิษได้แก่อะไร? "
   
   " ขอถวายพระพร ตัวหนอนต่าง ๆ ย่อมไม่อยู่ในยาดับพิษฉันใด พระโยคาวจรก็ไม่ควรให้กิเลสตั้งอยู่ในใจฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งยาดับพิษ
   
   ธรรมดายาดับพิษย่อมกำจัดพิษทั้งปวงอันเกิดจากถูกกัด หรือถูกต้อง หรือพบเห็น หรือกินดื่ม เคี้ยว ลิ้มเลีย ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรกำจัดพิษ คือราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งยาดับพิษ
   
   ข้อนี้สมกับพระพุทธภาษิตว่า
   
   " พระโยคีผู้ใคร่จะเห็นความเป็นจริงแห่งสังขารทั้งหลาย ควรเป็นเหมือนยาดับพิษ อันทำให้กิเลสพินาศ " ดังนี้ ขอถวายพระพร "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2555 16:38:18


   องค์ ๓ แห่งโภชนะ
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๓ แห่งโภชนะได้แก่สิ่งใด? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา โภชนะ ย่อมเลี้ยงชีวิตสัตว์ทั้งปวงไว้ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรอุปถัมภ์สัตว์ทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งโภชนะ   
   ธรรมดาโภชนะ ย่อมให้เจริญกำลังแก่สัตว์ทั้งหลายฉันใด พระโยคาวจรก็ควรให้เจริญบุญ แก่บุคคลทั้งหลายฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งโภชนะ   
   ธรรมดาโภชนะ ย่อมเป็นที่ต้องการแห่งสัตว์ทั้งปวงฉันใด พระโยคาวจรก็ควรให้เป็นที่ต้องการแห่งโลกทั้งปวงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งโภชนะ
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระโมฆราชเถระ ว่า   
   " พระโยคาวจรแน่ใจในความเป็นสมณะของตน ด้วยศีลและข้อปฏิบัติ ควรให้เป็นที่ปรารถนาของโลกทั้งปวง " ดังนี้ "



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 16 กรกฎาคม 2555 17:03:41
สาธุ ๆ ติดตามอ่านตลอดครับ

ชอบมาก ๆ


หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2555 17:15:20



  องค์ ๔ แห่งนายขมังธนู
   
   " ข้าแต่พระนาคเสน องค์ ๔ แห่งนายขมังธนูได้แก่อะไร? "
   
   " ขอถวายพระพร ธรรมดา นายขมังธนู เมื่อจะยิงธนู ย่อมเหยียบพื้นด้วยเท้าทั้งสองให้มั่น ทำเข่าไม่ให้ไหว ยกธนูขึ้นเพียงหู ทำกายให้ตรง วางมือทั้งสองลงที่คันธนู จับคันธนูให้แน่น ทำนิ้วให้ชิดกัน เอี้ยวคอ หลิ่วตา เม้มปาก ทำเครื่องหมายให้ตรงแล้วเกิดความดีใจว่า เราจักยิงไปในบัดนี้ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเหยียบพื้นดินคือศีล ด้วยเท้าคือวิริยะให้มั่น ทำขันติโสรัจจะ**ไม่ให้ไหว ตั้งจิตไว้ในความสำรวม น้อมตนเข้าไปในความสำรวม บีบกิเลสตัณหาให้แน่น กระทำจิตไม่ให้มีช่องว่างด้วยโยนิโสมนสิการ ประคองความเพียรไว้ ปิดทวารทั้ง ๖ เสีย ตั้งสติเข้าไว้ ทำให้เกิดความร่าเริงว่า เราจักยิงกิเลสทั้งปวงด้วยลูกศร คือญาณฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๑ แห่งนายขมังธนู
   
   ธรรมดานายขมังธนู ย่อมรักษาไม้ง่ามไว้ เพื่อดัดลูกธนูที่คดที่งอให้ตรงฉันใด พระโยคาวจรก็ควรรักษาไม้ง่าม คือสติปัฏฐานไว้ในกายนี้ เพื่อทำจิตที่คดงอให้ตรงฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๒ แห่งนายขมังธนู
   
   ธรรมดานายขมังธนู ย่อมเพ่งที่หมายไว้ให้แน่ฉันใด พระโยคาวจรก็ควรเพ่งกายนี้ฉันนั้น ควรเพ่งอย่างไร... ควรเพ่งว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นโรค เป็นหัวฝี เป็นลูกศร เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ เป็นของทำให้ลำบาก เป็นของแปรปรวน เป็นของแตกหัก เป็นของจัญไร เป็นของอุบาทว์ เป็นภัย เป็นอุปสรรค เป็นของหวั่นไหว เป็นของผุพัง เป็นของไม่ยั่งยืน ไม่มีที่หลบลี้ ที่ต้านทาน ที่พึ่ง ที่อาศัย เป็นของว่าง เป็นของเปล่า เป็นของมีโทษ เป็นของมีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไม่มีแก่น เป็นรากเหง้าแห่งภัย เป็นผู้ฆ่า เป็นของมีอาสวะเครื่องดอง เป็นของน่าสงสัย เป็นของมีเหตุปัจจัยตกแต่ง เป็นเหยื่อแห่งมาร มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย โศกเศร้ารำพันคับแค้น เป็นธรรมดา ดังนี้ อันนี้เป็นองค์ที่ ๓ แห่งนายขมังธนู
   
   ธรรมดานายขมังธนู ย่อมหัดยิงธนูทั้งเย็นทั้งเช้าฉันใด พระโยคาวจรก็ควรฝึกหัดในอารมณ์ ทั้งเย็นทั้งเช้าฉันนั้น อันนี้เป็นองค์ที่ ๔ แห่งนายขมังธนู
   
   ข้อนี้สมกับคำของ พระสารีบุตรเถระ ว่า   
   " นายขมังธนูย่อมหัดยิงทั้งเย็นทั้งเช้าไม่ทิ้งการฝึกหัด จึงได้ค่าจ้างรางวัลฉันใด ฝ่ายพระพุทธบุตรก็พิจารณากาย ไม่ทิ้งการพิจารณากาย แล้วได้ความเป็นพระอรหันต์ฉันนั้น" ดังนี้ ขอถวายพระพร "

(ขันติ โสรัจจะ ขันติ แปลว่า “ความอดทน”
           โสรัจจะ แปลว่า "ความสงบเสงี่ยม"
)



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2555 19:00:51


(http://i883.photobucket.com/albums/ac40/42tong/water%20reflection/tong16.gif)

จบกุมภวรรคที่ ๗
หมายเหตุ มิลินทปัญหา ที่มีมาในคัมภีร์ลานนี้มี ๒๖๒ ปัญหา
มีวรรค ๒๒ วรรค แบ่งเป็น ๖ กัณฑ์
ส่วนที่ไม่ได้มีมาในคัมภีร์ลานนี้ ๔๒ ปัญหา รวมทั้งสิ้นเป็น ๓๐๔ ปัญหา

(http://www.vcharkarn.com/uploads/179/179845.png)
   
   เกิดเหตุอัศจรรย์ในวันปุจฉาวิสัชนาจบแล้ว ในเวลาจบการปุจฉาวิสัชนา ของพระราชาและพระเถระแล้ว แผ่นดินอันใหญ่ อันหนาได้ ๘ หมื่น ๔ พันโยชน์ ก็ได้แสดงอาการหวั่นไหว มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบลงมา เหล่าเทพยดานางฟ้าทั้งหลาย ต่างก็ไม้โปรยปรายทิพยบุปผาลงมาบูชา ท้าวมหาพรหมได้เปล่งเสียงสาธุการกึกก้อง ดังเสียงฟ้าร้องในท้องมหาสมุทรฉะนั้น พระเจ้ามิลินท์พร้อมด้วยข้าราชบริพารจึงพร้อมกันประนมอัญชลีถวายนมัสการ พระองค์มีพระราชหฤทัยเบิกบานยิ่ง เป็นผู้ทรงเล็งเห็นสาระประโยชน์ในพระพุทธศาสนาสิ้นความสงสัยในพระรัตนตรัย จึงทรงเลื่อมใสยิ่งในคุณของพระเถระคุณในบรรพชา คุณในข้อปฏิบัติ และอิริยาบถของพระเถระ เป็นผู้หมดทิฏฐิมานะ เหมือนพญานาคที่ถูกถอนเขี้ยวแล้ว พระองค์จึงทรงตรัสขึ้นว่า
    
   " สาธุ...สาธุ...พระนาคเสน ปัญหาอันเป็นพุทธวิสัย พระผู้เป็นเจ้าได้แก้ไขแล้ว ผู้อื่นยก พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ เสียแล้ว ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระเถระในการแก้ปัญหา ขอพระผู้เป็นเจ้า จงอดโทษให้แก่โยม ในการที่โยมได้ล่วงเกินด้วยเถิด ขอจงจำโยมไว้ว่าเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
    
   "พระราชาเสด็จออกบรรพชา แล้วได้สำเร็จพระอรหันต์ ในคราวนั้น พระเจ้ามิลินท์พร้อมกับพลนิกาย ก็เข้าห้อมล้อมพระมหาเถระแห่กลับไปสู่ "มิลินทวิหาร" มอบมหาวิหารถวายพระมหาเถระแล้วก็ปฏิบัติพระมหาเถระกับพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ ด้วยปัจจัย ๔ ตลอดกาลเป็นนิจ อยู่มาภายหลัง สมเด็จพระเจ้ามิลินท์บรมกษัตริย์ผู้ปราชญ์เปรื่อง แห่งสาคลนครจอมบพิตรอดิศรจึงทรงมอบราชสมบัติ ให้แก่พระราชโอรส แล้วเสด็จออกบรรพชา เจริญสมถวิปัสสนาจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

(http://lotusflowerimages.com/Lotus_Flower_IMGP7706-250x375.jpg)

สุภาษิต สรรเสริญ ผู้มีปัญญา
เพราะฉะนั้น จึงมีคำกล่าวไว้ว่า
    
" ปัญญาเป็นของประเสริฐในโลก ปัญญาทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่
บัณฑิตทั้งหลายกำจัดความสงสัยด้วยปัญญาแล้วย่อมถึงความสงบ
สติไม่บกพร่องในขันธ์ใด ปัญญาก็ตั้งอยู่ได้ในขันธ์นั้น
ผู้ประกอบด้วยปัญญา เป็นผู้ควรรับบูชาอันวิเศษ และเป็นผู้เลิศประเสริฐหาผู้ใดจะ
เสมอเหมือนมิได้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้เล็งเห็นความสุขของตน
จึงควรบูชา " ท่านผู้มีปัญญา " เหมือนกับบูชา" พระเจดีย์ " ฉะนั้น " ดังนี้

มิลินทปัญหา จบบริบูรณ์


(http://farm3.static.flickr.com/2689/4335305312_312d8548ba_m.jpg)

http://www.dharma-gateway.com/dhamma/dhamma-main-page.htm
Credit by : http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.405 (http://agaligohome.fx.gs/index.php?topic=205.405)
อกาลิโกโฮม บ้านที่แท้จริง Agaligo Home.
นำมาแบ่งปันโดย : miracle of love
Pics by : Google

(http://4.bp.blogspot.com/_MVmOB5cmpBQ/TPhRL8I2D8I/AAAAAAAABm0/gNRSV_FXFug/S150/NAMASTE.gif)

กุศลผลบุญใดที่พึงบังเกิดจากธรรมทานนี้ ขอจงเป็นบุญเป็นปัจจัย
แด่ท่านผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในธรรมทานนี้ ทุกๆท่าน
รวมทั้งท่านเจ้าของภาพ ทุกๆภาพ เรียนขออนุญาตใช้ภาพ
ไว้ ณ ที่นี้.. นะคะ
อนุโมทนาสาธุ.. ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ...



หัวข้อ: Re: มิลินทปัญหา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 16 กรกฎาคม 2555 20:15:04


สาธุ ๆ ติดตามอ่านตลอดครับ

ชอบมาก ๆ


อนุโมทนาสาธุเช่นกันน่ะค่ะน้อง Mckaforce นำมาฝากเพิ่มค่ะ
คลิ๊ก.. เพื่ออ่าน... มิลินทปัญหา ฉบับการ์ตูน...
: http://www.infoforthai.com/forum/index.php?topic=2075.0 (http://www.infoforthai.com/forum/index.php?topic=2075.0)

(https://encrypted-tbn2.google.com/images?q=tbn:ANd9GcRcpge-PL3UTn-lN4KbBeGUtZ5ndeHIHLkF1kzIDQaNlvEvEPjnSA)

มี ๓ ภาคค่ะ : http://www.infoforthai.com/forum/board/41.140 (http://www.infoforthai.com/forum/board/41.140)