[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 มิถุนายน 2568 02:28:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2 3 ... 62
1  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / หินสปลิทแอปเปิล (Split Apple Rock) เมื่อ: 18 มิถุนายน 2568 12:27:57


หินสปลิทแอปเปิล (Split Apple Rock)


หินสปลิทแอปเปิล (Split Apple Rock) หรือหินแอปเปิ้ลแตก เป็นรูปแบบของหินทางธรณีวิทยา ตั้งอยู่ในอ่าวแทสมันนอกชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ เชื่อกันว่าก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดเมื่อหลายหมื่นปีก่อน

หินก้อนนี้ลอยอยู่ในน้ำตื้นขึ้นลงใกล้กับอุทยานแห่งชาติเอเบลแทสมัน ซึ่งดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและนักวิทยาศาสตร์ให้สนใจมาช้านาน หินก้อนนี้เป็นหินแกรนิตมีรูปร่างเหมือแอปเปิ้ลผ่าครึ่ง ตั้งในอุทยานแห่งชาติอาเบลแทสมันห่างจากชายฝั่งประมาณ 50 เมตรระหว่างเมืองแมราฮัวกับเมืองไคร์เทอริเทอและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในอ่าวแทสมัน

โครงสร้างทางธรณีวิทยานี้เป็นหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่แยกออกเป็นสองส่วนโดยธรรมชาติอย่างสมมาตร ดูราวกับว่าถูกเฉือนด้วยใบมีดที่แม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ เชื่อกันว่ารอยแยกนี้เกิดจากน้ำซึมเข้าไปในรอยแตกและแข็งตัว ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่าการเกาะตัวของน้ำแข็ง การแบ่งแยกและเสถียรภาพที่เกือบสมบูรณ์แบบของหินก้อนนี้ในทะเลทำให้เกิดการตีความทางวัฒนธรรมมากมาย โดยเฉพาะในหมู่ชาวเมารี

เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าหินก้อนนี้ จะนรู้สึกราวกับว่าเวลาหยุดนิ่งกลางคัน ราวกับว่าโลกเผยให้เห็นท่าทางที่ซ่อนอยู่ ความสมมาตรอันเงียบสงบของหินให้ความรู้สึกทั้งบังเอิญและตั้งใจ เสมือนว่าธรรมชาติได้แกะสลักสัญลักษณ์แห่งความเป็นสองขั้ว ได้แก่ ความสามัคคีและความแยกจากกัน ความคงอยู่และความเปราะบาง ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกยึดเข้าด้วยกันในช่วงเวลาแห่งความสมดุลโดยจังหวะของท้องทะเล



2  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / 5 ชนเผ่าลึกลับที่อันตรายที่สุดในโลก! เมื่อ: 18 มิถุนายน 2568 12:13:53
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=xNsonzbue8w" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=xNsonzbue8w</a>


5 ชนเผ่าลึกลับที่อันตรายที่สุดในโลก!
3  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / NGC 4676 (กาแล็กซีหนู) เมื่อ: 15 มิถุนายน 2568 13:47:16


NGC 4676 (กาแล็กซีหนู)

NGC 4676หรือกาแล็กซีหนูเป็นกาแล็กซีชนิดก้นหอย 2 แห่ง ที่อยู่ในกลุ่มดาว โคม่าเบเรนิซซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 290 ล้านปีแสง กาแล็กซีทั้งสองนี้เริ่มมีกระบวนการชนกันและรวมเข้าด้วยกัน ชื่อของกาแล็กซี "หนู" เหล่านี้หมายถึงหางยาวที่เกิดจากแรงกระทำของแรงน้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งเป็นความแตกต่างสัมพัทธ์ระหว่างแรงดึงดูดของแรงโน้มถ่วงที่มี ต่อส่วนใกล้และไกลของกาแล็กซีแต่ละแห่ง ซึ่งเรียกกันว่าแรงน้ำขึ้นน้ำลงของกาแล็กซีมีความเป็นไปได้ที่กาแล็กซีทั้งสองแห่ง ซึ่งเป็นสมาชิกของกระจุกโคม่า อาจเคยประสบกับการชนกัน และจะยังคงชนกันต่อไปจนกว่าจะรวมตัวกัน

สีสันของกาแล็กซีมีลักษณะเฉพาะ ใน NGC 4676A มีแกนที่มีรอยสีเข้มบางส่วนล้อมรอบด้วยเศษซากแขนก้นหอยสีขาวอมฟ้า หางมีลักษณะพิเศษคือเริ่มต้นเป็นสีน้ำเงินและสิ้นสุดด้วยสีเหลืองอมเหลือง แม้ว่าจุดเริ่มต้นของแขนแต่ละแขนในกาแล็กซีชนิดก้นหอยแทบทุกแห่งจะเริ่มต้นเป็นสีเหลืองและสิ้นสุดด้วยสีน้ำเงินอมฟ้าก็ตาม  NGC 4676B มีแกนสีเหลืองและส่วนโค้งสองส่วน เศษซากแขนด้านล่างก็มีสีออกฟ้าเช่นกัน

กาแล็กซีเหล่านี้ถูกถ่ายภาพในปี พ.ศ.2545 โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ในพื้นหลังของกาแล็กซีหนู มีกาแล็กซีมากกว่า 3,000 แห่ง ห่างออกไปถึง 13,000 ล้านปีแสง
4  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทออราวา (Orava) เมื่อ: 15 มิถุนายน 2568 13:41:54



ปราสาทออราวา (Orava)


ปราสาทออราวา (Orava) ตั้งอยู่บนเนินเขาหินที่มองเห็นแม่น้ำ Orava ในหมู่บ้าน Oravský Podzámok ประเทศสโลวาเกีย สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 13 ถึง 16 ต้นกำเนิดของปราสาทย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 12 โดยการก่อสร้างครั้งแรกน่าจะเริ่มในราวปี ค.ศ.1250 สร้างขึ้นในราชอาณาจักรฮังการี โดยส่วนที่เก่าแก่ที่สุดสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 และส่วนล่าสุดสร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ฉากต่างๆ มากมายจากภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu ในปี 1922 ถ่ายทำที่นี่ โดยปราสาทแห่งนี้เป็นภาพปราสาททรานซิลเวเนียของเคานต์ Orlok

ปราสาทแห่งนี้ได้รับการดัดแปลงหลายครั้งตลอดหลายศตวรรษ ส่งผลให้มีโครงสร้างที่น่าประทับใจดังที่เห็นในปัจจุบัน  ปราสาทแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยทำหน้าที่ต่างๆ มากมาย รวมทั้งเป็นที่ประทับของราชวงศ์ ฐานที่มั่นทางทหาร และต่อมากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว
5  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: บุญเป็นสิ่งที่ควรสั่งสม โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) เมื่อ: 15 มิถุนายน 2568 12:41:40

บุญเป็นสิ่งที่ควรสั่งสม
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
(เทศน์ ๑๒ ธ.ค. ๖๖)
       

         เพราะฉะนั้น บุญนั้นมันสั่งสมอยู่เรื่อยๆ สั่งสมอยู่เนืองๆ สั่งสมอยู่บ่อยๆ มันก็ทำให้บุคคลนั้นมีความเปลี่ยนแปลงนะ บางครั้งคนจนเนี่ยกับรวยก็ได้นะ บางครั้งบางคราวเราประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ยมันเป็นทุกข์เหลือทนนะ เวลาทุกข์เนี่ย เหมือนกับว่าเราไม่เคยสุขสักทีเลยนะ มันเป็นทุกข์ โอ๊ย ไม่รู้ว่าใครจะทุกข์เท่าเราหรือเปล่า อะไรทำนองนี้นะ มันเป็นทุกข์เหมือนกับชีวิตเราไม่เคยมีความสุขสักครั้งเลยนะ นี่มันทุกข์ถึงขนาดนั้นนะ แต่พอมันมีความสุข มันก็พลิกนะ จากความทุกข์เนี่ยเป็นความสุข ก็เหมือนกับเราพลิกหน้ามือไปหลังมือเท่านั้นนะ จิตใจมันพลิกนะ พอจิตใจมันพลิกเท่านั้นแหละ จากทุกข์มันก็เป็นความสุขขึ้นมาทันที เวลามันเกิดความสุขก็เหมือนเราไม่เคยทุกข์สักทีเลยนะ เหมือนเราไม่เคยประสบกับความทุกข์สักทีเลย มันเป็นอย่างงั้นนะ เหมือนกับเรานั่งตัวหนักๆ นี่แหละ นั่งไปเหมือนกับภูเขา ๒-๓ ลูกมันมาทับอยู่บนหัวเรา มันมาทับอยู่ขาเรา เหมือนกระดูกจะแตกมันจะหักมันจะทำลายไป เวลาตัวตนของเรามันหนักนะ นั่งภาวนา ๕ นาที ลืมตา ๒ ครั้ง ๕ ครั้ง เอ๊ มันทำไมมันเจ็บมันปวดมันหนักตัวหนักตนถึงขนาดนั้น ตั้งสัจจะ ถ้าข้าพเจ้านั่งไม่ถึงชั่วโมงเนี่ย หากข้าพเจ้าลุกก่อน ขอให้ข้าพเจ้าตายทันที อะไรตำนองนี้ เมื่อความมั่นคงแห่งจิตแห่งใจมันเกิดขึ้นมาแล้วเนี่ย จิตใจมันเป็นสมาธิ จากอาการที่มันหนักเหมือนกับภูเขาที่มาทับมันก็เปลี่ยน จากหนักกลายเป็นเบาเหมือนกับนุ่นนะ เหมือนกับเราไม่ได้นั่งอยู่กับพื้นอะไรทำนองนี้ เหมือนกับลอยออกจากพื้นดินอะไรทำนองนี้ นี่ในลักษณะของบุญกุศลเนี่ย สภาวธรรมมันจะเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลานะ ไม่ใช่ว่าเราจะทุกข์ก็ต้องทุกข์อยู่อย่างนี้ ลำบากก็ลำบากอยู่อย่างนี้ สุขก็จะสุขอยู่อย่างนี้ มันก็เปลี่ยนไปนะ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีบุญก็เป็นคนไม่มีบุญ เป็นคนจนก็จนอยู่อย่างนี้ อะไรทำลองนี้ ถ้าเราไม่ย่อท้อในการสร้างบุญสร้างกุศล ไม่ย่อท้อในการสร้างสมอบรมบารมีแล้วเนี่ย เราสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเราได้ จากคนจนก็เป็นคนรวยได้ จากคนทุกข์ก็เป็นคนสุขได้ จากปุถุชนที่ไม่มีฌานก็เป็นปุถุชนที่มีฌานได้ จากปุถุชนก็เป็นอริยชน เป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าเราไม่ท้อในการสร้างบุญสร้างกุศลนะ เพราะฉะนั้น บุญกุศลนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นของเราจริงๆ ไม่ใช่ว่าทำแล้วมันสูญไปแล้วไม่มีแล้ว อันนั้นเรียกว่าไม่มีปัญญาจึงไม่รู้ตัวบุญนะ เพราะฉะนั้น บุญนั้นจึงเป็นสิ่งที่เป็นสมบัติติดตามเราไปในสัมปรายภพ เมื่อร่างกายแตกตายทำลายขันธ์แล้วก็ติดตามเราเหมือนเงาติดตามตัว คอยเป็นพ่อเป็นแม่ คอยเป็นพี่เป็นน้อง คอยเป็นคนใช้ คอยอุปถัมภ์อุปัฏฐาก คอยยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่เราทุกภพทุกชาตินั่นแหละ ตราบเท่าถึงพระนิพพานนะ

         แม้แต่พระพุทธเจ้าของเราเนี่ย บำเพ็ญบารมีมามากมายถึงขนาดนั้นเนี่ย ตอนที่พญามารไปรบกวนหรือว่าไปขัดขวางการบรรลุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พาลูกน้องพาเสนามารเหาะไปเต็มอากาศทั้งหมดเลยนะ มืดฟ้ามัวดินไปหมด เพื่อที่จะไปทำร้ายพระพุทธเจ้านะ แล้วก็บอกว่าขอให้พระองค์นั้นน่ะจงลุกขึ้นจากที่นั่งของข้าพเจ้า ที่นั่งนั้นเป็นที่นั่งของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ที่นั้นเป็นที่นั่งของข้าพเจ้า ถ้าไม่เชื่อก็ถามบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้าดู พวกเสนามารทั้งหลายทั้งปวงก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่นั่งตรงที่พระองค์นั่งเป็นที่นั่งของพญามาร

         พระพุทธเจ้าของเราพระองค์ก็ทรงตรัสว่าที่นี้เป็นที่นั่งของพระองค์ เกิดขึ้นมาด้วยบุญญาธิการที่พระองค์ทรงสั่งสมไว้ พญามารก็ว่า ถ้าท่านว่าเป็นที่นั่งของท่าน ท่านมีพยานที่ไหน ส่วนข้าพเจ้ามีพยานเต็มท้องฟ้าอยู่เนี่ย ท่านมีพยานที่ไหนล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงนึกถึงบุญกุศลที่ตนเองสร้างสมอบรมไว้ พอนึกถึงบุญกุศลที่ตนเองสร้างไว้นะ พระนางธรณีชื่อว่าสุนทราก็แทรกแผ่นดินขึ้นมา รองรับเอาบุญกุศลที่พระองค์ทรงหยาดน้ำทุกภพทุกชาติมาบีบออก เพื่อที่จะรู้ว่าบุญกุศลที่พระองค์ทรงทำน่ะมันมากมายขนาดไหน ทำให้น้ำนั้นท่วมท้นมารทั้งหลายทั้งปวง บุญกุศลที่พระองค์ทรงทำเนี่ย จะนานขนาดไหนก็ตาม ก็ตามรักษาตามคุ้มครองตามสนับสนุนพระองค์นะ จนทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เรื่องบุญนะ มันสำคัญอย่างนี้นะ

         เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาแล้วก็อย่าเบื่อหน่ายในการทำบุญ อย่าขี้เกียจในการทำบุญนะ ทำบุญก็เหมือนการค้านั่นแหละ ค้าขายบ่อยๆ ก็ได้กำไรบ่อยๆ ทำนาบ่อยๆ ก็ได้ข้าวบ่อยๆ การทำบุญก็เหมือนกัน ทำบุญบ่อยๆ ก็ได้บุญบ่อยๆ เหมือนกัน วันนี้อาตมาภาพได้กล่าวธรรมะมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.
6  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / บุญเป็นสิ่งที่ควรสั่งสม โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) เมื่อ: 15 มิถุนายน 2568 12:39:51



บุญเป็นสิ่งที่ควรสั่งสม
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
(เทศน์ ๑๒ ธ.ค. ๖๖)

        การฟังธรรมร่วมกันในวันธรรมสวนะ ก็ถือว่าเป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรม เป็นขนบเป็นจารีต ที่วัดพิชโสภารามของเราได้ประพฤติปฏิบัติ ทำกันมาช้านาน เพราะว่าการฟังธรรมร่วมกัน ทำวัตรร่วมกันในวันพระ ๘ ค่ำก็ดี ๑๔ ค่ำก็ดี ๑๕ ค่ำก็ดี เราทั้งหลายทั้งปวงได้ประพฤติมาร่วมกัน ตั้งแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่แล้ว การที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้มาฟังธรรมร่วมกัน ก็ถือว่าเป็นเหตุให้เกื้อกูลต่อกัน โดยเฉพาะทางสามเณร คณะครูบาอาจารย์ผู้เป็นนักเรียนนักศึกษา ก็มีโอกาสที่จะได้ฝึกฝนอบรมในเรื่องความสงบแห่งจิตแห่งใจต่างๆ ทำให้จิตใจมีความสงบ เมื่อจิตใจของเรามีความสงบ พลังคือความที่จิตใจของเรามันมีความกระปรี้กระเปร่า มีความกระฉับกระเฉงต่างๆ ก็เกิดขึ้นมาได้ ทำให้การอยู่ในพระพุทธศาสนานั้นมีการอยู่ที่เพลิดเพลิน แล้วก็อยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ

         นอกจากนั้นก็ ญาติโยมสาธุชนทั้งหลายทั้งปวงที่เสียสละเวลาอันมีค่า ได้มารักษาศีลอุโบสถ ได้มาทำวัตร ได้มาเจริญพระพุทธมนต์ ได้มาฟังธรรมร่วมกัน นอกจากฟังธรรมร่วมกันแล้วก็ยังได้ประพฤติปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็ถือว่ามาฝึกมาฝนมาอบมารม มาเพิ่มเติมบุญ เรียกว่า ๗ วันปลูกต้นโพธิ์ครั้งหนึ่ง ๗ วันเรามาปลูกต้นโพธิ์ด้วยการให้ทาน ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม ด้วยการไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ เจริญภาวนา แผ่เมตตา อันนี้ก็เป็นบุญลาภนะ ลาภคือบุญอันยิ่งใหญ่ของชาววัดพิชโสภารามของเรา

         วันนี้ก็จะได้กล่าวธรรมะในส่วนที่เป็นธรรมะพื้นฐานของญาติโยมชาวบ้านของเรา ในเรื่องบุญในเรื่องบาป คำว่าบาปคำว่าบุญเราทั้งหลายทั้งปวงก็ได้ยินอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่จำความได้พ่อแม่ก็กล่าวในเรื่องบาปในเรื่องบุญ แต่ว่าบาปนั้น ถ้าเราแปลตามภาษาบาลีจริงๆ นั้นน่ะ บาปนี้นี่ ก็หมายถึงสิ่งที่ยังกายยังวาจายังใจของเราให้เร่าร้อน ผู้ใดกระทำบาปทางกายก็ดี กระทำบาปทางวาจาก็ดี กระทำบาปทางใจก็ดี ผลของบาปนั้นก็จะทำให้กายวาจาใจของบุคคลนั้นเดือดร้อนด้วย ลำบากด้วย นอกจากนั้น ผู้ใดกระทำบาป บาปนั้นก็จะยังบุคคลนั้นให้ไปเกิดในอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย แล้วก็สัตว์เดรัจฉานต่างๆ บุคคลผู้ที่ไปเกิดในอบายภูมิต่างๆ นั้น ก็เพราะอาศัยบาปกรรมที่ตนเองทำ บาปกรรมที่ตนเองสร้าง ก็จะเกิดวิบากทำให้ตนไปเกิดในอบายภูมินั้น

         เพราะฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่ไปแออัดยัดเยียดอยู่ในอบายภูมินั้น ก็เพราะความผิดพลาดนะ ความผิดพลาดทางกาย ความผิดพลาดทางวาจา ความผิดพลาดทางใจ ทำบาปทำกรรมลงไป เพราะฉะนั้น บาปนั้นเป็นสภาพที่ลามก เป็นสภาพที่สกปรก เป็นสภาพที่ยังบุคคลผู้ทำนั้นให้เดือดร้อน ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อันนี้ในเรื่องบาปโดยย่อนะ

         นอกจากนั้นก็ เราก็ได้ยินในเรื่องบุญ คำว่าบุญนั้นน่ะ ถ้าเราจะกล่าวโดยลักษณะของภาษานั้น บุญนั้นแปลว่าสั่งสมนะ บุญที่เราทำคือการให้ทานก็ดี บุญที่เราทำคือการรักษาศีลก็ดี บุญที่เราทำคือการไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ทุกวันทุกวัน ใส่บาตรตอนเช้าทุกวัน มาถวายเช้าถวายเพลเป็นประจำ บางครั้งบางคราววันพระวันโกนต่างๆ ก็มาวัดมาวามาทำวัตรสวดมนต์ เพื่อที่จะทำให้เกิดบุญเกิดกุศล แต่ว่าบุญที่เราทำนั้นน่ะ ทั้งหมดทั้งปวงนั้นมันไปไหน

         บุญที่เราทำมีการใส่บาตรตอนเช้าก็ดี มาถวายเช้าถวายเพลก็ดี มาทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นก็ดี มาเจริญภาวนาไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ก็ดี บุญกุศลทั้งหมดทั้งปวงนี้ไม่ได้หนีไปไหน ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้สูญไปไหน บุญกุศลทั้งหมดทั้งปวงที่เราทำนั้นแหละ ก็หมุนลงไปเก็บในห้วงภวังคจิตของเรา ภาษาธรรมท่านว่า ปวตฺติ คือมันหมุนลงไปเก็บในห้วงภวังคจิตของเรา เหมือนกับที่เรากดชัตเตอร์กล้องนั่นแหละ กดลงไปภาพที่เราถ่ายนั่นแหละมันก็เก็บไว้ในฟิล์มนะ ทุกวันนี้ก็เก็บไว้ในเมมโมรี่ในกล้องของเรา มันเป็นอัตโนมัติของมัน สิ่งที่เราทำบุญทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดีเนี่ย ให้ทานรักษาศีลเป็นต้นเนี่ย บุญกุศลที่เราทำเนี่ย มันก็เหมือนกับกล้องที่ถ่ายภาพนั่นแหละ มันก็เก็บไปไว้ในเมมโมรี่ของมัน บุญที่เราทำแล้วก็เก็บลงไปในห้วงภวังคจิตของเราเป็นอัตโนมัตินะ เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม บุญนั้นก็ต้องลงไปเก็บในห้วงภวังคจิตของเรา

         เพราะฉะนั้น บุญนั้นท่านจึงแปลว่าสั่งสม เราทำบุญไว้ตั้งแต่โน้น ตั้งแต่เราเป็นเด็ก ทำบุญตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาว จนถึงวัยเฒ่าวัยแก่ บุญกุศลที่เราทำทั้งหมดทั้งปวงทั้งสิ้นนั้นไม่ได้สูญไปไหนนะ บางครั้งเราลืม บางครั้งเราจำไม่ได้แล้ว แต่บุญที่เราทำนั้นก็ยังเป็นบุญของเราอยู่ ก็ยังอยู่ในจิตในใจของเรานั่นแหละ ถึงเราจะจำได้หรือจำไม่ได้ บุญนั้นก็เป็นของเรา บุญนั้นก็เป็นอันเราทำไว้ดีแล้ว ไม่เป็นของคนอื่นนะ บุญนั้นอันโจรลักไม่ได้ น้ำก็ท่วมไม่ได้ ไฟก็ไหม้ไม่ได้ ใครจะมาหลอกเอาบุญของเราก็หลอกลวงเอาไปไม่ได้  เพราะฉะนั้น บุญที่เราทำเนี่ยจึงเป็นสมบัติของเราแท้ๆ เป็นบุญที่เราสั่งสมไว้

         เพราะฉะนั้น ญาติโยมสาธุชนผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกท่านทุกคน เมื่อเราทำบุญแล้วเนี่ย ทำไมเราจึงเป็นทุกข์อยู่ ทำไมเราจึงต้องลำบากลำบน ลูกก็บอกยาก การค้าการขายก็ไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่เราก็ทำบุญเป็นประจำ ถ้าเป็นในลักษณะอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บาปมันยังให้ผลอยู่ เมื่อบาปที่เราทำมันยังให้ผลอยู่ บุญก็ไม่สามารถที่จะให้ผลได้ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ทำบุญอยู่นั้นน่ะ จึงยังมีความลำบากยังมีความทุกข์อยู่ แต่ไม่ใช่ว่าบุญไม่มีนะ บุญมันก็อยู่ในจิตในใจของเรานี่แหละ แต่มันหาโอกาสที่จะให้ผลไม่ได้

         บางคนทำบาปมาก ทำบาปเป็นประจำ ทำบาปอยู่เรื่อยๆ ทำบาปอยู่เนืองๆ แต่ว่าเขายังร่ำรวย เงินไหลนองทองไหลมา มีคนเชิดหน้าชูตา มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง มีชื่อเสียงในสังคม เอ๊ บาปนี้มันไม่มีหรืออย่างไร เขาทำบาปอยู่ขนาดนั้น แต่ว่าเขาก็ยังมีเงินไหลนองมีทองไหลมา มีชื่อมีเสียง มีคนเคารพนับถือ มีเกียรติในสังคมต่างๆ หรือว่าบาปมันไม่มี อะไรทำนองนี้ แต่เมื่อเราไปพิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงตรัสว่า บุญกุศลของบุคคลนั้นน่ะมันให้ผล เขาทำบุญกุศลมาภพก่อนชาติก่อนมากแล้ว บุญมันยังปกบุญยังคุ้มบุญยังรักษาอยู่ บาปไม่มีโอกาสที่ให้ผลได้ เพราะฉะนั้น เวลาเขาทำบาปนั้นน่ะ มันจึงยังไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าบาปมันยังไม่ให้ผล เขาจึงยังมีความสุข แต่เมื่อบุญมันลดกำลังลงเมื่อไหร่นั่นแหละ บาปมันให้ผล บุคคลนั้นก็มีความทุกข์ตามกำลังแห่งบาปที่ตนเองทำ นี่นะ ถ้าเราพิจารณาในเรื่องของบุญ ในเรื่องของบาปนะ เพราะฉะนั้น บุญเนี่ย จึงแปลว่าสั่งสม คือสั่งสมไว้ในจิตในใจของเราอยู่นั่นแหละ จะนานขนาดไหนบุญนั้นก็เป็นของเราอยู่นะ ไม่ได้ไปไหนนะ เราทำบุญมาตั้งแต่นู้น ตั้งแต่เราเกิดมาแล้วเนี่ย เราลืมไปแล้ว แต่ว่าบุญนั้นยังเป็นของเรา ยังอยู่ในจิตในใจของเราอยู่ตลอดไป เราจะไปเกิดในภพใดชาติใด บุญนี้ก็เหมือนเงาติดตามตัวของเราไป ไม่ทิ้งไม่วาง ก็อยู่ในจิตในใจของเราตลอดไป เพราะฉะนั้น บุญนั้นจึงเป็นสมบัติ เรียกว่าสมบัติภายในนะ เป็นสมบัติที่ควรแก่การสร้าง เป็นสมบัติที่ควรแก่การกระทำ เป็นสมบัติที่สมควรที่เราจะต้องตักตวงกอบโกยเอาบุญนั้นให้มากที่สุด เพราะว่าบุญนั้นน่ะเป็นของเราโดยแท้

         บุญที่เราทำนั้นแหละ ก็จะติดตามเราไปเหมือนเงาติดตามตัว เราจะไปไหน เงามันติดตามเราไปตลอดนะ เราจะมีเงาติดตามตลอดเวลานะ บุญกุศลก็เหมือนกัน เราจะไปขึ้นห้วยลงเขา เราจะไปอยู่กลางทุ่งกลางนา เราจะอยู่กลางป่ากลางดอย หรือว่าเราจะอยู่ในกลางบ้านกลางเรือนต่างๆ บุญกุศลมันก็ติดตามเราไปอยู่ตลอดเวลานะ นอกจากบุญจะติดตามเราไปทุกหนทุกแห่งทุกวิถีทางที่เราเดินในโลกปัจจุบันนี้เนี่ย เมื่อเราละจากโลกนี้ไปแล้ว ละจากร่างกายแล้ว ร่างกายของเรามันแตกมันผุมันพังไป เราไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ บุญกุศลมันก็ติดตามไปนะ เหมือนกับนายโกตุหลิกะ

         นายโกตุหลิกะนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า เกิดทุพภิกขภัยนะ เกิดข้าวยากหมากแพง เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพงแล้ว ๒ สามีภรรยานั้นก็ไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่บ้านได้ ไม่สามารถที่จะอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นได้ ก็ตกลงกันว่า ถ้าเราอยู่ต่อไปเนี่ย คงจะตายแน่นอน เพราะฝนมันไม่ตกมา ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปีแล้วเนี่ย อะไรอะไรมันก็แห้งเหี่ยวตายไปหมด มิหนำซ้ำก็ยังเกิดโรคระบาดอะไรต่างๆ มากมาย เราควรอพยพไปอยู่ที่อื่น ก็รอนแรมข้ามป่าข้ามทางธุระกันดารต่างๆ อดอาหารมาหลายวัน สามีก็ไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ภรรยาก็ไม่ได้ทานข้าวมาหลายวัน พอดีไปถึงบ้านของนายโคบาล นายโคบาลนั้นก็เป็นคฤหบดีมีความร่ำรวย มีเงินไหนนองมีทองไหนมา ก็ทำการสู่ขวัญให้แม่โค เวลาทำการสู่ขวัญให้แม่โคก็ทำการเลี้ยงข้าวต่างๆ ทำข้าวมธุปายาส ทำข้าวที่มีความเข้มข้นผสมน้ำนมอะไรต่างๆ นอกจากนั้นแล้วนายโคบาลก็เอาข้าวมธุปายาสนั้นให้นางสุนัขกิน

         ๒ สามีภรรยาก็คิดว่า โอ้ เรานี่เป็นคนแท้ๆ อดอยากข้าวมาหลายวัน แต่นางสุนัขตัวนี้ช่างมีบุญเหลือเกิน ได้กินข้าวเอร็ดอร่อย ข้าวก็เป็นข้าวที่มีราคาดี เป็นข้าวมธุปายาส นายโคบาลก็เอาข้าวให้ ๒ สามีภรรยานั้นทาน สามีผู้อดอยากมานานก็ทานข้าวนั้นด้วยความตะกระตะกรามนะ ทานข้าวด้วยความตะกระตะกราม มันอดอยากมานาน ภรรยาผู้มีความรักในสามีมากนี่ก็คิดว่า โอ้ สามีของเราหิวมานาน ก็ให้สามีทานก่อนเถอะ สามีก็ว่า ทำไมไม่ทานด้วยกัน ภรรยาก็บอกว่า ถ้าสามียังมีชีวิตอยู่ ฉันก็มีชีวิตอยู่ ให้พ่อน่ะทานก่อน เดี๋ยวจะทานทีหลัง สามีก็ทานเอาจนเต็มอิ่มนะ หลังจากนั้นมาก็ให้ภรรยาทาน แต่พอตกกลางคืนมา ข้าวมธุปายาสที่ทานนั้นมันไม่ย่อย เมื่อไม่ย่อยก็ทำกาละคือตายไป ขณะที่ตายไปนั้นน่ะจิตมันไปผูกพันกับนางสุนัข เมื่อจิตไปผูกพันกับนางสุนัขนั้นแหละ ก็ไปเกิดในท้องของนางสุนักนั้น นี่เป็นคนแท้ๆ นะ ไปเกิดในท้องของหมา เมื่อไปเกิดในท้องของหมาแล้วเนี่ย เมื่อนางสุนัขนั้นคลอด ก็เลี้ยงลูกสุนัขนั้นจนโตนะ

         ท่านกล่าวว่า มีพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ที่เขาคันธมาสเนี่ย มาบิณฑบาตอยู่ที่บ้านของนายโคบาลเป็นประจำ มีกุฏิอยู่ราวป่า เวลานายโคบาลนั้นไม่มีโอกาสไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ส่งหมานี่แหละไป หมานี่ไปถึงกุฏิของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็เห่านะ เห่าจนพระปัจเจกพุทธเจ้าต้องออกมาห่มจีวรนะ แล้วก็นำพระปัจเจกพุทธเจ้ามาสู่บ้านของนายโคบาลเป็นประจำ สุนัขนั้นน่ะ เมื่อไปถึงพุ่มไม้เนี่ย มันก็จะไปเห่านะ ไปเห่าเพื่อที่จะขับไล่พวกงูพวกอสรพิษออก เพื่อที่จะให้พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นปลอดภัยนะ

         วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ทดลอง หมามันก็ไปเห่า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ลุกออกมาห่มจีวร แล้วก็ไม่เดินไปตามทางที่จะไปบ้านของนายโคบาล ก็ทำท่าที่จะเดินไปที่อื่น แต่หมาก็ไปคาบจีวรแล้วก็ดึงมาทางบ้านของนายโคบาล ไปถึงพุ่มไม้ถึงอะไรมันก็ไปเห่าไล่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงออกไปแล้วก็พาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาสู่บ้านนายโคบาลนี้ทุกวัน จนออกพรรษานะ

         พอออกพรรษาแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าก็จะกลับไปภูเขาคันธมาส ฉันภัตตาหารเสร็จแล้วก็จะลา ลาแล้วก็ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหาะไปสู่เขาคันธมาส หมาที่มันดูแลทุกวันๆ เนี่ย มันยินดีในพระปัจเจกพุทธเจ้า มันพาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหารทุกวัน มันก็ผูกพันกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็มองดูพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไปภูเขาคันธมาส เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าลับสายตาไปเท่านั้นแหละ มันก็ใจขาดไป พอใจขาดแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นะ อันนี้บุญนะ บุญที่ยินดีในพระสงฆ์ ยินดีในพระปัจเจกพุทธเจ้า ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ บุญที่ทำนี่นะ พาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้านนายโคบาลเป็นประจำเนี่ย มันก็ลงไปเก็บในห้วงภวังคจิตของหมานี่แหละนะ ตายแล้วก็พาหมานั้นไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

         นอกจากไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วเนี่ย หมานั้นมันเห่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความรัก ด้วยความศรัทธา ด้วยความเลื่อมใส ทำให้เสียงของเทพบุตรนั้นน่ะ กระซิบเฉยๆ นี่่ดังไปตั้งหลายๆ โยชน์นะ เพียงกระซิบเท่านั้นน่ะ เสียงดังสนั่นไปหลายโยชน์ อันนี้แสดงว่าบุญกุศลนั้นน่ะมันติดตามไป แม้แต่ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นเทวดามันก็ติดตามไป เพราะฉะนั้นบุญกุศลที่เราทำไม่ได้ไปไหนนะ มันก็ติดอยู่ในห้วงภวังคจิตของเรานั่นแหละ

         เพราะฉะนั้นการทำบุญทำกุศลเนี่ย เราทำไป ถึงเราจะลืมไป แต่บุญกุศลมันก็อยู่ในจิตในใจของเรานั่นแหละ เหมือนกับกบฟังธรรมนั่นแหละ ขณะที่ฟังธรรมแล้วน่ะ  จิตมันเป็นบุญจิตมันเป็นกุศล เมื่อกบตายไปแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ บุญที่เกิดขึ้นจากความยินดีในธรรมนั้นแหละ ก็พากบนั้นไปเกิดเป็นมัณฑูกเทพบุตรได้ นี่เราลองนึกดูว่าบุญเนี่ยมันเป็นสิ่งที่เราควรสั่งสมนะ

         เหมือนกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเทศน์ให้เราฟังเป็นประจำว่า โสณาชีวกเนี่ย ในสมัยโน้น ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เคยเกิดเป็นงูเหลือมนะ เคยฟังธรรมเรื่องอายตนะ เป็นงูเหลือมนะ แต่ว่าฟังธรรมในเรื่องอายตนะ เกิดความเลื่อมใสเกิดความศรัทธา เป็นบุญเป็นกุศล บุญกุศลนั้นก็ลงไปในห้วงภวังคจิตของงูเหลือมนั้นนะ จนมาถึงสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา ได้ฟังธรรมเรื่องอายตนะ แล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ลองนึกดูสิ บุญกุศลนั้นมันก็ติดตามเราไปเหมือนเงาติดตามตัวเรานี่แหละ เพราะฉะนั้น ญาติโยมสาธุชนทุกท่านทุกคนที่ร่วมกันทำบุญเนี่ย เวลาเราทำบุญน่ะ บุญนั้นเป็นของเราจริงๆ ไม่เหมือนกับทรัพย์ภายนอกนะ ทรัพย์ภายนอกนี้บางครั้งบางคราวก็คนโน้นโกงไปคนนี้เอาไป มันเป็นของกลางสำหรับโลก

         นอกจากนั้นบุคคลผู้ที่จะประสบกับความสุข ก็ต้องอาศัยผลบุญนะ บุญนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข เพราะว่าบุญนั้นเป็นชื่อของความสุข จะเป็นความสุขในกามาวจรภพก็ดี จะเป็นความสุขที่เป็นรูปาวจรภพก็ดี จะเป็นความสุขที่เป็นอรูปาวจรภพก็ดี หรือว่าจะเป็นความสุขที่เป็นโลกุตรบุญก็ดี ก็เกิดขึ้นมาจากบุญกุศลทั้งหมดทั้งปวงทั้งสิ้นนะ เพราะฉะนั้น เราประสบกับความสุขก็ดี เราประสบกับความสบายกายสบายใจต่างๆ นั้น เป็นบุญนะ สิ่งที่เรามาทำมาค้าขายมีเงินไห้นองมีทองไหลมา มีลูกหลานว่านอนสอนง่าย เกิดในตระกูลสัมมาทิฏฐิ มีสามีซื่อสัตย์สุจริต มีภรรยาซื่อสัตย์สุจริต มีการค้าการขายไม่ขาดตกบกพร่องอะไรต่างๆ นั้นน่ะ เป็นเพราะอานุภาพของบุญนะ เราได้ทำงานราชการก็ดี เราได้เกิดอยู่ในถิ่นที่มีศีลมีธรรมต่างๆ นี่ก็เพราะบุญทั้งหมดทั้งปวงทั้งสิ้นนะ

         เพราะฉะนั้น บุญที่เราทำต่างๆ จะเป็นบุญในการให้ทาน ในในการสร้างโบสถ์สร้างวิหารสร้างถนนหนทาง ขุดบ่อน้ำ ปลูกต้นไม้อะไรต่างๆ ก็ได้บุญนะ เป็นบุญของเราจริงๆ เพราะฉะนั้น บุญที่เราทำทั้งหลายทั้งปวงนี้ถือว่าเป็นสมบัติภายใน เป็นทรัพย์ของเราจริงๆ ไม่เหมือนกับสมบัติภายนอก สมบัติภายนอกก็ผลัดกันชม เปลี่ยนมืออยู่เรื่อยนะ บางครั้งเคยรวยแล้วก็กลับจน บางคนจนแล้วก็กลับรวยก็มี แต่บุคคลผู้ที่มีบุญมีกุศล องค์สมเด็จพระสัมมาสมเจ้าพระองค์ไม่ตรัสว่าเป็นคนจนนะ พระองค์ทรงตรัสว่าเป็นคนรวย เหมือนนายสุปปพุทธกุฏฐิซึ่งเป็นโรคเรื้อน เวลาจะไปฟังธรรมก็เข้าใกล้เขาไม่ได้ ต้องไปนั่งโน้น สุดท้ายโน่นแหละ เพราะบุคคลผู้เป็นโรคเรื้อนมันก็มีกลิ่นนะ มีน้ำเหลืองไหล มีกลิ่นเหม็น มีกลิ่นคาวต่างๆ จะไปนั่งใกล้คนอื่นเขาก็จะขับไล่เอา ต้องไปนั่งนู่น ท้ายบริษัทท้ายคน คนนั่งสุดตรงไหนก็ต้องไปนั่งต่อคนสุดท้ายนั่นแหละ ขณะที่นั่งฟังธรรมนั้นก็ตั้งใจฟังธรรม พอฟังธรรมแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว พระอินทร์ก็รู้ว่า โอ้ นายสุปปพุทธกุฏฐินี้เป็นโรคเรื้อน เป็นคนจน แต่ฟังธรรมแล้วได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระอินทร์ก็ทดลองว่า พระโสดาบันเนี่ย จะมีคุณสมบัติอย่างไร ก็มาบอกว่า นายสุปปพุทธะ ท่านน่ะเป็นคนจน เป็นโรคเรื้อน ถ้าท่านกล้าพูดว่า พระพุทธเจ้าเนี่ยไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าไม่มี พระธรรมเจ้าไม่ใช่ของเรา พระธรรมนั้นไม่มี พระสงฆเจ้าไม่ใช่ของเรา พระสงฆ์นั้นไม่มี ถ้าท่านกล้าพูดน่ะ ฉันจะให้เงินแก่ท่านให้ทองแก่ท่าน ท่านต้องการเท่าไหร่ก็จะให้แก่ท่าน นายสุปปพุทธะกุฏฐิไม่กล้าพูดนะ เพราะบุคคลผู้บรรลุเป็นพระโสดาบัน มีความศรัทธา มีความเลื่อมใส ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นั้นอย่างไม่หวั่นไหวนะ จิตใจของบุคคลผู้เข้าถึงธรรมคือความเป็นพระโสดาบันนั้นน่ะ จะมองไม่เห็นสิ่งใดที่มีค่ากว่าพระนิพพานนะ มองไม่เห็นทรัพย์สมบัติของมนุษย์ มองไม่เห็นทรัพย์สมบัติของเทวดา มองไม่เห็นทรัพย์สมบัติใดๆ ที่มีอยู่ในโลก ในมนุษย์โลกเทวโลกเนี่ย มันจะสำคัญเท่ากับพระนิพพานนะ เรียกว่ามีจิตใจตรงต่อพระนิพพาน เป็นสัมมาทิฏฐิ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะ ผู้ที่เป็นพระสโสดาบัน

         เพราะฉะนั้น นายสุปปพุทธะนั้นจึงไม่สามารถที่จะว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าไม่มี ไม่กล้าพูด พระธรรมพระสงฆ์ไม่ใช่ของเรา ไม่มีเนี่ย พูดไม่ได้ เพราะว่าจิตใจมันถึงซึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ตายก็ยอมตายนะ ถ้าจะให้พูดว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา พระธรรมไม่ใช่ของเรา พระสงฆ์ไม่ใช่ของเรา ให้ตายเสียดีกว่า อะไรทำนองนี้นะ พระอินทร์จึงหายวับไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า นายสุปปพุทธะนี่เป็นคนจน เมื่อได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ข้าพเจ้าเอาเงินไปให้บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าไม่มี พระธรรมไม่ใช่ของเรา พระธรรมไม่มี พระสงฆ์ไม่ใช่ของเรา พระสงฆ์ไม่มี ข้าพเจ้าจะให้เงินให้ทองขนาดไหนก็ไม่เอา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร บุตรของเรานั้นน่ะไม่ใช่เป็นคนจน บุตรของเรานั้นเป็นคนมั่งมี เป็นคนรวย รวยด้วยอริยทรัพย์ คือ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา ทรัพย์ ๗ ประการเนี่ย เต็มอยู่ในจิตในใจของพระโสดาบัน

         เพราะฉะนั้น บุคคลรวยหรือบุคคลจนนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงวัดเอาทรัพย์ภายในนะ ไม่ได้เอาทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายนอกมันเป็นของชั่วคราว เป็นของนิดหน่อย แต่ทรัพย์ภายในที่เราทำนี้เนี่ย ติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ ไปไหนไปไหนมันก็ติดตามเราไป สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เนี่ย จะติดตามเราไปทุกฝีก้าว ลองนึกดูสิ จนกว่าอานิสงส์ของทานมันจะหมดไป จนกว่าอานิสงส์ที่เรารักษาศีลไว้เนี่ยมันจะหมดไป จนกว่าอานิสงส์ของการเจริญภาวนาแผ่เมตตามันจะหมดไป ลองนึกดูสิว่ามันจะนานขนาดไหน

         เหมือนกับต้นไม้นี่แหละ ต้นไม้เนี่ย เราปลูกขึ้นมา ต้นมะม่วงเนี่ย กว่าที่มันจะตายมันนานขนาดไหน บางครั้งคนตายไปแล้วหลายคน ต้นมะม่วงยังไม่ตายนะ บุญเราก็เหมือนกันนั่นแหละ กว่าที่มันจะหมดไปสิ้นไปน่ะมันนานเหลือเกินนะ เหมือนกับเราสร้างเจดีย์นี่แหละ สร้างเจดีย์ไปนี่ บางครั้งเจดีย์อย่างเช่นองค์พระปฐมเจดีย์ก็ดี องค์พระธาตุพนมก็ดีเนี่ย สร้างตั้งแต่นู้นนะ ตามประวัติตามตำนานของพระธาตุพนม สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๕ พ.ศ. ๘ โน่น มีพระมหากัสสปะมาสร้างเป็นต้น ประวัติมีมาตั้งแต่โน้นนะ ที่ภูกำพร้าเนี่ย ผู้ใดที่ได้บริจาคสร้างพระธาตุก็ดี ผู้ใดที่ได้สร้างเจดีย์ก็ดีเนี่ย บุญกุศลมันก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานะ พระธาตุนั้นก็คงไว้อยู่เท่าทุกวันนี้นะ พระธาตุคงไว้เท่าทุกวันนี้ เราก็คิดว่ามันนานแล้วนะ แต่บุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการสร้างพระธาตุ สร้างคุณงามความดีเนี่ย มันนานกว่านั้นอีกนะ

         เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราเนี่ย ในสมัยที่เป็นมหาทุคคตบุรุษ ได้เห็นเขาประกาศว่าการทำบุญกฐินเนี่ยมันมีบุญมากมีอานิสงส์มาก แต่ว่าตนเองเป็นมหาทุคคตบุรุษ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปเสาะแสวงหา ได้เข็มมา ๑ เล่ม ได้ด้ายมา ๑ ม้วน ก็เกิดศรัทธา เกิดความเลื่อมใส ว่าเรานี่จะเอาเข็มนี้แหละจะเอาด้าย ๑ ม้วนนี่แหละ ไปร่วมกับบุญกฐิน เราคงจะได้บุญมากได้อานิสงส์มาก เกิดศรัทธาเกิดความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ก็เอาเข็มเอาด้าย ๑ ม้วนนั่นแหละ ไปร่วมทอเป็นผ้ากฐิน แล้วก็ตั้งความปรารถนาว่า ด้วยผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ถวายเข็ม ๑ เล่ม ได้ถวายด้าย ๑ ม้วนเนี่ย ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้า ตั้งแต่โน้น ตั้งแต่ที่พระองค์ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ จนพระองค์ได้รับลัทธพยากรณ์ จนบุญกุศลที่พระองค์ทรงถวายด้ายถวายเข็มเนี่ยมายังให้พระองค์ได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ลองนึกดูสิว่าบุญที่มันติดตามในจิตในใจของเราเนี่ย มันจะติดตามอยู่ในจิตในใจของเรานานขนาดไหน ตั้งแต่โน้น ตั้งแต่พระองค์ทรงเป็นมหาทุคคตบุรุษ ถวายเข็มถวายด้าย ตั้งแต่ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร นึกอยู่ในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๙ อสงไขยนะ อสงไขยหนึ่ง แปลว่า นับไม่ได้ครั้งหนึ่ง นับไม่ได้ว่ามันกี่ล้านล้านโกฏิ นับไม่ได้ เป็นอสงไขยหนึ่ง นึกอยู่ในใจนั้นแหละว่าอยากจะเป็นพระพุทธเจ้านั้นแหละ ต้องบำเพ็ญบารมีก้าวอสงไขย เมื่อบารมีแก่กล้าแล้วก็ออกปากปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย ต้องบำเพ็ญบารมีอีก ๗ อสงไขยนะ เป็น ๑๖ อสงไขยแล้วนะ พระพุทธเจ้าของเราเป็นปัญญาธิกะ เป็นผู้มีปัญญามากนะ เมื่อได้รับลัทธพยากร์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วเนี่ย ต้องบำเพ็ญบารมีอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บุญกุศลที่พระองค์ทรงทำตั้งแต่ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์นั่นแหละ ยังติดตามมาถึง ๙ อสงไขย ยังติดตามมาถึง ๗ อสงไขย ยังติดตามมาถึง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป

         เพราะฉะนั้น บุญนั้นจึงเป็นสมบัติที่มั่นคงจริงๆ เป็นสมบัติของคนจริงๆ ผู้ใดมีปัญญา ผู้นั้นพึงสั่งสมบุญนะ สมบัติภายนอกนั้นเป็นของชั่วคราวนะ เป็นสะพานที่จะทำให้เราเข้าถึงบุญ สมบัติภายนอเนี่ยนะ เป็นสะพานที่จะทำให้เราเข้าถึงบุญ เป็นสิ่งที่ให้เราได้ประสบกับบุญ สมบัติภายนอกไม่ใช่บุญนะ แต่เราอาศัยทรัพย์สมบัติภายนอกเนี่ยให้เรานั้นได้ประสบกับบุญ ให้เรานั้นได้ทำบุญ ให้เรานั้นได้มีบุญ เพราะฉะนั้น บุญที่เกิดขึ้นจากทรัพย์ภายนอกเนี่ย จึงเป็นบุญที่ยาวนานเหมือนกับที่ได้กล่าวให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นแหละ เมื่อบุญทั้งหลายทั้งปวงที่เราสร้างมาเรื่อยๆ เนี่ย บุญกุศลมันเพิ่มขึ้นๆ เหมือนตุ่มน้ำที่เราวางไว้กลางแจ้งเนี่ย ฝนมันตกลงทีละหยาด ๒ หยาด มันก็เต็มขึ้นมาได้ ถ้ามันตกอยู่บ่อยๆ เหมือนเราทำบุญบ่อยๆ นี่แหละ เหมือนกับเราเดินจงกรมเหมือนกับเรานั่งภาวนานี่แหละ ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมด้วยศรัทธาด้วยความเลื่อมใสด้วยความตั้งใจจริงๆ เนี่ย ปฏิบัติแต่ละปีๆ สภาวะมันไม่เหมือนเดิมนะ มาปฏิบัติกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อในปีแรกเนี่ย เดินจงกรมนั่งภาวนาไปทั้งพรรษานั้นไม่มีอะไรนะ มีแต่ปีติ ปีติเกิดขึ้นมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของพรรษานะ เกิดอยู่อย่างงั้นแหละ พอพรรษาที่ ๒ ก็มีแต่สมาธิ นั่งไปมีแต่จิตใจสงบเป็นสมาธิ แต่ไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน พอปีที่ ๓ วิปัสสนาญาณมันเกิดขึ้นมา โอ้ มรรคผลพระนิพพานมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ปีที่ ๔ เราปฏิบัติธรรมมันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ปีที่ ๕ เราปฏิบัติธรรมก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ปีที่ ๖ เราปฏิบัติธรรมก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ปีที่ ๗ เราปฏิบัติธรรมก็เป็นอีกแบบหนึ่งนะ แต่ละๆ สภาวธรรมมันไม่เหมือนกันนะ เพราะอะไรมันจึงเป็นอย่างนั้น เพราะเราทำอยู่เรื่อยๆ ทำอยู่เนืองๆ บุญกุศลมันก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ บุญกุศลมันก็สั่งสมไปเรื่อยๆ มันไม่เหมือนเดิมนะ สภาวธรรมต่างๆ

7  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / พระโพธิสัตว์ เมื่อ: 12 มิถุนายน 2568 13:51:38



พระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์ (bodhisatta) หมายถึง ผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คำว่า "โพธิสัตว์" แปลว่า ผู้ข้องอยู่ในพระโพธิญาณ

ทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายานเชื่อว่ามีพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมาก แต่รายละเอียดความเชื่อแตกต่างกันไป

ประเภทของพระโพธิสัตว์
พระธัมมปาละ ระบุไว้ในอรรถกถาสโมทานกถา (ในปรมัตถทีปนี) ว่าพระโพธิสัตว์มี 3 ประเภท คือ

พระมหาโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

พระปัจเจกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

พระสาวกโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้เป็นพระอนุพุทธะ

นอกจากนี้ ในอรรถกถาเถรคาถา (ในปรมัตถทีปนี) พระธัมมปาละยังจำแนกพระมหาโพธิสัตว์ออกเป็นอีก 3 ประเภท คือ

ปัญญาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 20 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 7 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 9 อสงไขย รวมเป็น 16 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้าจนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

สัทธาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้ศรัทธาเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 14 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 18 อสงไขย รวมเป็น 32 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 8 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

วิริยาธิกโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีโดยใช้วิริยะเป็นตัวนำ ระยะเวลาการสร้างบารมีทั้งหมด 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป คือตั้งความปรารถนาอยู่ในใจเป็นเวลา 28 อสงไขย หลังจากนั้นจึงออกปากกล่าววาจาต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าเป็นเวลา 36 อสงไขย รวมเป็น 64 อสงไขย และได้รับพุทธพยากรณ์ครั้งแรกเป็น พระนิยตโพธิสัตว์ เมื่อเหลือเวลาอีก 16 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป เป็นการสร้างบารมีอย่างยิ่งและเข้มงวดขึ้นเรื่อย และได้รับพยากรณ์ซ้ำมาตลอดเมื่อได้พบกับพระพุทธเจ้า จนถึงสมัยพุทธภูมิของท่าน

ตามหลักฐานที่ปรากฏในอรรถกถาพบว่า ยิ่งใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานเท่าใด พระโพธิสัตว์จะมีพระชนมายุยืนขึ้นในสมัยที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า รวมทั้งสัตว์ที่เกิดในยุคนั้นจะมีอายุยืน และบรรลุธรรมได้ง่ายและมีจำนวนมาก แต่ไม่ประกันว่าศาสนาของพระองค์จะยืนยาวหลายชั่วอายุขัย เช่น พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ มีพระนามว่า พระโคตมพุทธเจ้า พระองค์ทรงสร้างบารมีมาทาง ปัญญาธิกโพธิสัตว์ มีพระชนมายุเพียง 80 พรรษา พระวรกายสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร บำเพ็ญทุกรกิริยา 6 ปี พุทธรังสีสร้านไปข้างละ 1 วาเป็นปกติ มนุษย์สมัยพระองค์มีอายุขัย 100 ปี แต่ในอนาคต เมื่อมนุษย์มีอายุขัย 80,000 ปี จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามพระศรีอริยเมตไตรย ทรงสร้างบารมีมาทาง"วิริยาธิกะพุทธเจ้า" มีพระวรกายสูงได้ 88 ศอก หรือ 44 เมตร บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน พระพุทธรัศมีของพระองค์แผ่ซ่านตลอดไปเบื้องบนจนถึงพรหมโลก เบื้องต่ำตลอดลงไปจนถึงมหาอเวจีนรก

ส่วนเหตุที่ทำให้พระสัจธรรมตั้งอยู่ได้นานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความผ่อนคลายของพระพุทธเจ้าในการแสดง และพระวินัยที่ได้ทรงบัญญัติไว้

ส่วนพระพุทธโฆสะแบ่งพระโพธิสัตว์ออกเป็น 2 ประเภทคือ

อนิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาเลย เรียกว่า อนิยตโพธิสัตว์ ความหมายคือยังไม่แน่นอนว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาจจะเลิกล้มความปรารถนาเมื่อไรก็ได้

นิยตโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนมาแล้ว เรียกว่า นิยตโพธิสัตว์ ตามความหมายคือจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นนอน เพราะถ้าถึงนิพพานต้องดำรงฐานะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียว แต่ถ้าบารมีและเวลายังไม่สมบูรณ์ แม้ว่าจะพยายามปฏิบัติอย่างยิ่งยวดบังเกิดปัญญาอย่างเยี่ยมยอด ก็ไม่สามารถถึงนิพพานก่อนได้ แม้จะทุกข์ท้อแท้ จนคิดว่าเลิกที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่แล้วในที่สุดมหากุศลที่เป็นอนุสัย ก็จะพุ่งกระจายขึ้นมาให้ตั้งมั่นและบำเพ็ญบารมีกันต่อ จนกว่าบารมีและเวลาสมบูรณ์
บารมี 30 ทัศ

บารมี หมายถึง การกระทำที่ประเสริฐ การกระทำที่ประกอบด้วยกุศลเจตนาคุณงามความดีที่ควรกระทำ คุณงามความดีที่ได้บำเพ็ญมา คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมส่วนหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งช่วย เหลือเกื้อกูลให้ผู้ปฏิบัติได้ถึงซึ่งโพธิญาณ

บารมีที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญ คือ

1. ทานบารมี หมายถึง การสละออก การให้ต่างๆ โดยมีเจตนาช่วยเหลือผู้อื่นเป็นสำคัญ

2. ศีลบารมี หมายถึง การรักษาศีลให้เป็นปกติ หากเป็นฆราวาสหมายถึงการถือศีล 5 หากเป็นนักบวชคือการถือศีล 8 ขึ้นไป

3. เนกขัมมะบารมี หมายถึง การออกบวช หากฆราวาสถือศีล 8 ก็นับเป็นเนกขัมบารมีได้เช่นกัน เพราะเป็นการกระทำเพื่อเว้นจากกามสุข

4. ปัญญาบารมี หมายถึง การกระทำเพื่อเพิ่มพูนปัญญา ปัญญาแบ่งออกเป็นปัญญาทางโลกและทางธรรม เนื่องจากพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตตกาล จึงต้องมีปัญญาความรู้มาก เพื่อจะได้สั่งสอนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ได้ การเรียนของพระโพธิสัตว์จึงต้องเรียนมากกว่าผู้อื่น

5. วิริยะบารมี หมายถึง การกระทำที่ใช้ความเพียรเป็นที่ตั้ง การมีวิริยะอาจไม่ได้หมายถึงการเพียรจนกระทั่งตัวตายในครั้งเดียว แต่หมายถึงมีความพยายามทำอยู่เรื่อยๆ ทำไปทีละน้อยตามกำลังจนกว่าจะสำเร็จ


สัมมัปปธานหรือความเพียรที่ถูกต้อง มี 4 อย่างคือ

     - สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้น

     - ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว

     - ภาวนาปธาน เพียรทำบุญให้เกิดขึ้น

     - อนุรักขนาปธาน เพียรรักษาการทำบุญไว้ต่อเนื่อง

6. ขันติบารมี หมายถึง การอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ

7. สัจจะบารมี หมายถึง การรักษาคำพูด ไม่กลับกลอก แม้ว่าจะต้องสละบางสิ่งเพื่อรักษาคำพูดไว้

8. อธิษฐานบารมี หมายถึง การตั้งมั่นในความปรารถนา ตั้งจิตมั่นต่อคำอธิษฐาน

9. เมตตาบารมี หมายถึง การมีความปรารถดี มีความรักต่อสัตว์ทั้งหลายในโลกอย่างเท่าเทียม ประดุจมารดารักบุตร เมตตาแตกต่างจากราคะตรงที่ ราคะอาจรักเฉพาะตัวหรือพวกพ้อง แต่เมตตาเป็นรักที่ไม่แบ่งแยก

10. อุเบกขาบารมี หมายถึง การวางเฉย มีใจเป็นกลาง การปล่อยวางในสิ่งที่ผิดพลาด ในสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ วางเฉยในความทุกข์ของตน และสัตว์ที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากมีปัญญาเห็นว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรมของตน ไม่มีใครได้รับความยากลำบากโดยไม่มีเหตุปัจจัย ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่เคยทำมาทั้งสิ้น
ซึ่งในแต่ละบารมีนั้นแบ่งย่อยเป็น 3 ขั้น ได้แก่

บารมีขั้นต้น คือ เนื่องด้วยวัตถุ และทรัพย์นอกกาย เช่น การสละทรัพย์ช่วยผู้อื่น จัดเป็น ทานบารมี, รักษาศีลแม้ว่าจะต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง จัดเป็น ศีลบารมี, หรือ ยอมถือบวชโดยไม่อาลัยในทรัพย์สิน จัดเป็น เนกขัมบารมี เป็นต้น

บารมีขั้นกลางหรืออุปบารมี คือ เนื่องด้วยเลือดเนื้อ อวัยวะ เช่น การสละเลือดเนื้ออวัยวะแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานอุปบารมี, การใช้ปัญญารักษาอวัยวะเลือดเนื้อของผู้อื่น จัดเป็น ปัญญาอุปบารมี ,การมีความเพียรจนไม่อาลัยในเลือดเนื้อหรืออวัยวะ จัดเป็น วิริยะอุปบารมี, มีเมตตาต่อผู้ที่จะมาทำร้ายเลือดเนื้ออวัยวะของตน จัดเป็น เมตตาอุปบารมี, หรือ มีความอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่จะมาทำลายอวัยวะของตน จัดเป็น ขันติอุปบารมี เป็นต้น

บารมีขั้นสูงสุดหรือปรมัตถบารมี คือ เนื้องด้วยชีวิต เช่น การสละชีวิตเป็นทานแก่ผู้อื่น จัดเป็น ทานปรมัตถบารมี , ยอมสละแม้ชีวิตเพื่อจะรักษาคำพูด จัดเป็น สัจจปรมัตถบารมี, ตั้งจิตไม่หวั่นไหวต่อคำอธิษฐานแม้จะต้องเสียชีวิต จัดเป็น อธิษฐานปรมัตถบารมี, หรือ วางเฉยต่อผู้ที่จะมาทำร้ายชีวิตของตน จัดเป็น อุเบกขาปรมัตถบารมี เป็นต้น

ดังนั้น จึงรวมเป็นบารมี 30 ทัศ

คุณสมบัติและอัธยาศัยของพระโพธิสัตว์

อานิสงส์ของการเป็นพระนิยตโพธิสัตว์

คัมภีร์วิสุทธชนวิลาสินี กล่าวว่าพระนิยตโพธิสัตว์ (ผู้ได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว) จะได้อานิสงส์ 18 อย่างอยู่ตลอดจนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ได้แก่

ไม่ตาบอด หูหนวก มาแต่กำเนิด

ไม่เป็นคนบ้า

ไม่เป็นคนใบ้

ไม่เป็นคนง่อยเปลี้ย ไม่เกิดในมิลักขประเทศคือประเทศป่าเถื่อน

ไม่เกิดในท้องนางทาส (ไม่เป็นทาสในเรือนเบี้ย)

ไม่เป็นนิยตมิจฉาทิฐิ

ไม่เปลี่ยนแปลงเพศ

ไม่ทำอนันตริยกรรม

ไม่เป็นโรคเรื้อน

ไม่เป็นเดรัจฉานที่มีกายเล็กกว่านกกระจาบ และไม่โตกว่าช้าง

ไม่เกิดเป็นขุปปิปาสิกเปรตและนิชฌานตัณหิกเปรต


ไม่เกิดเป็นกาลกัญชิกาสูร

ไม่เกิดในอเวจีนรก

ไม่เกิดในโลกันตริกนรก

ไม่เกิดเป็นมาร

ไม่เกิดในอสัญญสัตตาภูมิ

ไม่เกิดในสุทธาวาสภูมิ

ไม่เกิดในอรูปภูมิและไม่เกิดในจักรวาลอื่น

อานิสงส์พิเศษอีกอย่างหนึ่งของนิยตโพธิสัตว์ คือ การทำอธิมุตตกาลกริยา คือเมื่อท่านเกิดเป็นเทวดาหรือพระพรหม เกิดความเบื่อหน่าย ในการเสวยสุขนั้น ปรารถนาที่จะสร้างบารมีในโลกมนุษย์ ท่านก็สามารถทำการอธิมุตต คืออธิษฐานให้จุติ (ตายจากการเป็นเทพ) มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ทันที ได้โดยง่าย ซึ่งเหล่าเทพเทวดาอื่นๆ ไม่สามารถทำอย่างนี้ได้

ธรรมสโมธาน 8 ประการ
สำหรับพระโพธิสัตว์ ที่เป็น อนิยตโพธิสัตว์ แต่สร้างบารมี 30 ทัศ และมีธรรมสโมธาน 8 ประการสมบูรณ์แล้ว ได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกเฉพาะพระพักตร์พุทธเจ้า โดยจะได้รับพุทธพยากรณ์โดยนัยว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงนามว่าอย่างนั้น ในกัปอันเป็นอนาคตที่เท่านั้น และก็จะกลายเป็น นิยตโพธิสัตว์ ทันที คือเป็นพระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้ ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน ธรรมสโมธาน 8 ประการคือ

ได้เกิดเป็นมนุษย์

เป็นบุรุษเพศ

มีอุปนิสสัยปัจจัยแห่งพระอรหันต์รุ่งเรืองอยู่ในขันธสันดาน (ถ้าเกิดเปลี่ยนใจก็จะเป็นพระอรหันต์ทันที)

ต้องพบพระพุทธเจ้าขณะมีพระชนม์ชีพอยู่ และได้สร้างกองบุญกุศลต่อหน้าพระพักตร์

ต้องเป็นบรรพชิต หรือต้องเป็น โยคี ฤๅษี ดาบส หรือปริพาชกในศาสนาหรือลัทธิกรรมวาทีหรือกิริยาวาที ที่เชื่อว่า บุญมี บาปมี ทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป ต้องไม่เป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน

ต้องมีอภิญญาและฌานสมาบัติ อันเชี่ยวชาญ

เคยให้ชีวิตของตนเป็นทาน เพื่อสัมโพธิญาณมาก่อนในอดีตชาติ

ต้องมี ฉันทะ คือมีความรักความพอใจในพุทธภูมิเป็นกำลัง

กล่าวถึงพุทธภูมิธรรมของนิยตโพธิสัตว์ ในการเพิ่มพูนบารมีให้มากยิ่งขึ้น มีน้ำใจประกอบไปด้วย พุทธภูมิธรรม 4 ประการ คือ

     อุสสาโห คือประกอบไปด้วยพระอุตสาหะ มีความเพียรอันสลักติดแน่นในจิตใจอย่างมั่นคง

     อุมัตโต คือประกอบด้วยปัญญา มีปัญญาเชียวชาญเฉียบคม

     อวัตถานัง คือมีพระทัยอธิษฐานอันมั่นคง มิได้หวั่นไหวคลอนแคลน

     หิตจริยา คือประกอบไปด้วยพระเมตตา เจริญจิตอยู่ด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ

อัธยาศัย ที่ทำให้พระโพธิญานของนิยตโพธิสัตว์แก่กล้ายิ่งขึ้น มี 6 ประการ

     เนกขัม พอใจในการรักษาศีล การบวช หรือบรรพชา

     วิเวก พอใจอยู่ในที่สงบ

     อโลภ พอใจในการบริจาคทาน

     อโทส พอใจในความไม่โกรธ เจริญเมตตา

     อโมห พอใจในการพิจารณาคุณและโทษ เจริญปัญญา

     นิพพาน พอใจที่ยกตนออกจากภพ ไม่ยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด ประสงค์นิพพานเป็นอย่างยิ่ง


จริยธรรม 10 ประการ
จริยธรรม 10 ประการของพระโพธิสัตว์ ประกอบด้วย

     พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า ร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ

     พระโพธิสัตว์ ครองชีพโดยไม่ปรารถนาว่าจะไม่มีภัยอันตราย

     พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์

     พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาเลยว่า จะไม่มีมารขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ

     พระโพธิสัตว์ ถือว่าทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว

     พระโพธิสัตว์ คบเพื่อน โดยไม่ปรารถนาจะได้รับผลประโยชน์จากเพื่อน

     พระโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาว่า จะให้คนอื่นต้องตามใจตนเองเสมอไปทุกอย่าง

     พระโพธิสัตว์ ทำความดีกับคนอื่น โดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน

     พระโพธิสัตว์ เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาว่าจะได้รับ

     พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียนนินทาแล้ว ไม่ปรารถนาที่จะตอบโต้


คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์

คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์มีอยู่ 3 ข้อใหญ่
     
     มหาปรัชญาหรือปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส

     มหากรุณา หมายความว่าจะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละตนเองเพื่อช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์

     มหาอุปาย หมายความว่าพระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาดในการแนะนำ อบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม

คุณสมบัติทั้งสามข้อนี้ เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ข้อแรกเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม ส่วนข้อหลัง 2 ข้อเป็นการบำเพ็ญประโยชน์เพื่อผู้อื่น


มหาปณิธาน 4

มหาปณิธาน 4 ประกอบด้วย

     เราจะละกิเลสให้หมด

     เราจะศึกษาสัจธรรมให้จบ

     เราจะช่วยโปรดสัตว์ทั้งหลายให้สิ้น

     เราจะบรรลุพระพุทธภูมิอันประเสริฐสุด
8  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / ตายแล้วไปไหน เมื่อ: 12 มิถุนายน 2568 13:32:27


ตายแล้วไปไหน

พระพุทธเจ้าได้เคยตรัสไว้ว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปมี 5 สาย คือ

อบายภูมิ ได้แก่ เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน คือเป็นบุคคลที่ละเมิดศีล 5 เมื่อตายจากคนแล้วไปสู่อบายภูมิ

เกิดเป็นมนุษย์ ผู้ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อีกนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีกรรมบท 10 เป็นคนมีศีล 5 ประจำ

เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์ จะต้องเป็นผู้ที่มีความละอายต่อความชั่ว เกรงผลของความชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลัง

เกิดเป็นพรหม จะต้องเป็นนักกรรมฐาน มีอารมณ์จิตเป็นฌาน คือเข้าฌานตาย

ไปนิพพาน แดนเกิดสายที่ 5 แดนนิพพานนี้ คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นจะต้องมีความบริสุทธิ์ 10 อย่างคือ

ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุ รู้เสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรัก

ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนว่าไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเสื่อมไปตามกาลเวลา และทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ

ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ รู้อยู่เสมอว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

มีจิตใจเมตตาปราณี ไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร

ไม่มัวเมาในรูปฌาน ไม่สนใจใยดีในความดีที่ตนยังไม่ได้

ไม่มัวเมาอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ยังไม่สิ้นทุกข์

มีอารมณ์เป็นปกติ มีจิตใจที่เต็มไปด้วยความหวังดี

ไม่ถือตนว่าเป็นคนดี ทะนงตนว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร

ตัดความรักใคร่ในโลกีย์วิสัยให้หมด ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ คือ จะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นธรรมดา รู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย ไม่สะดุ้งหวาดกลัว มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สิ้นหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้



larnbuddhism.com
9  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / เอ็นจีซี 3766 เมื่อ: 09 มิถุนายน 2568 12:03:59


เอ็นจีซี 3766

NGC 3766 (หรือเรียกอีกอย่างว่าCaldwell 97) เป็นกระจุกดาวเปิดใน กลุ่มดาว คนครึ่งม้าทางทิศ ใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตการเกิดดาวขนาดใหญ่ที่เรียกว่ากลุ่มเมฆโมเลกุล Carina และถูกค้นพบโดยNicolas Louis de Lacaille ระหว่างการสำรวจ ทางดาราศาสตร์ของเขาในปี ค.ศ. 1751–1752 ที่ระยะห่างประมาณ 1745 พาร์เซก  กระจุกดาว นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 12 ส่วนโค้ง

มีดาวฤกษ์ทั้งหมด 137 ดวงที่อยู่ในรายชื่อ แต่หลายดวงอาจไม่ใช่สมาชิก โดยมีเพียง 36 ดวงเท่านั้นที่มีข้อมูลโฟโตเมตริกที่แม่นยำ มีขนาดปรากฏทั้งหมด 5.3 และประเภทสเปกตรัม รวม B1.7  NGC 3766 ค่อนข้างอายุน้อย โดยมีอายุประมาณ log (7.160) หรือ 14.4 ล้านปี และกำลังเข้าใกล้เราด้วยความเร็ว 14.8 กม./วินาที กระจุกดาวนี้ประกอบด้วยดาวฤกษ์ Be 11 ดวง ดาวฤกษ์ยักษ์ใหญ่แดง 2 ดวงและดาวฤกษ์Ap 4 ดวง

พบ ดาวแปรแสงชนิดผิดปกติจำนวน 36 ดวงในกระจุกดาว ดาวฤกษ์ประเภท B ที่หมุนเร็วและสั่นไหวเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงความสว่าง เพียงไม่กี่ร้อยส่วน โดยมีคาบการโคจรน้อยกว่าครึ่งวัน ดาวฤกษ์เหล่านี้เป็น ดาว ในแถบลำดับหลักซึ่งร้อนกว่าดาวแปรแสง δ Scutiและเย็นกว่าดาวฤกษ์ B ที่สั่นไหวช้าๆ
10  สุขใจในธรรม / นิทาน - ชาดก / ๓๔. มัจฉชาดก ว่าด้วยความหึงหวง เมื่อ: 09 มิถุนายน 2568 11:52:45


ขุททกนิกายภาค ๑  เอกนิบาต ๔.กุลาวกวรรค
๓๔. มัจฉชาดก ว่าด้วยความหึงหวง

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการประเล้าประโลมของภรรยาเก่า จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.

ความพิสดารว่า ในกาลนั้น พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า

“ดูก่อน ภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้กระสันจะสึกจริงหรือ ?”

ภิกษุนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริง พระเจ้าข้า”

พระศาสดาตรัสถามว่า “เพราะเหตุไร เธอจึงเป็นผู้กระสันจะสึก ?”

ภิกษุนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาเก่าของข้าพระองค์เป็นผู้มีรสมืออร่อย ข้าพระองค์ไม่อาจละนาง พระเจ้าข้า”

ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสกะภิกษุนั้นว่า “ดูก่อนภิกษุ หญิงนั่นเป็นผู้กระทำความฉิบหายแก่เธอ แม้ในกาลก่อน เธอเมื่อจะถึงความตายก็เพราะอาศัยหญิงนั่น แต่พ้นจากความตายเพราะอาศัยเรา” แล้วทรงนำเรื่องอดีตนิทานมาแสดงดัง ต่อไปนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตนั้น ในกาลนั้น พวกชาวประมงได้ทอดแหอยู่ในแม่น้ำ ครั้งนั้น มีปลาใหญ่ตัวหนึ่งมาเล่นอยู่กับนางปลาของตนด้วยความยินดี นางปลานั้นว่ายไปข้างหน้าของปลาใหญ่นั้น ได้กลิ่นแห จึงเลี่ยงแหไป ส่วนปลาใหญ่นั้นติดในกามเป็นปลาโลเล ได้เข้าไปยังท้องแหนั่นเอง พวกชาวประมงรู้ว่าปลาใหญ่นั้นเข้าไปติดแห จึงยกแหขึ้นจับเอาปลาโยนไปบนหลังทราย คิดว่าจักปิ้งปลานั้นกิน จึงก่อไฟถ่าน เสี้ยมไม้แหลม ปลาคร่ำครวญอยู่ว่า การย่างบนถ่านไฟหรือการเสียบด้วยไม้แหลมนั้น หรือทั้งสองอย่างนั่นจะไม่ทำให้เราลำบากใจเลย แต่การที่นางปลานั้นเสียใจเพราะคิดว่าเรานั้นได้ไปหานางปลาตัวอื่น ข้อนี้เท่านั้นที่ทำให้เราลำบากใจ จึงกล่าวคาถานี้ว่า

สมัยนั้น ปุโรหิตอันทาสแวดล้อมมายังฝั่งแม่น้ำเพื่อจะอาบน้ำ ก็ปุโรหิตนั้นเป็นผู้รู้เสียงร้องของสัตว์ทุกชนิด ด้วยเหตุนั้น ปุโรหิตนั้นได้ฟังปลาคร่ำครวญจึงคิดว่า ปลานี้คร่ำครวญเพราะกิเลส ก็ปลานี้มีจิตกระสับกระส่าย อย่างนี้ ตายไปจักบังเกิดในนรกเท่านั้น เราจักเป็นที่พึ่งอาศัยของปลานี้ ปุโรหิตนั้นจึงไปหาพวกชาวประมงแล้วกล่าวว่า

“ท่านผู้เจริญทั้งหลาย พวกท่านไม่ให้ปลาเราเพื่อทำกับข้าว แม้สักวัน”

ชาวประมงทั้งหลายกล่าวว่า “นายท่านพูดอะไร ท่านจงเลือกเอาปลาที่ท่านชอบใจไปเถิด”

ปุโรหิตกล่าวว่า “เราไม่มีการงานกับผู้อื่น พวกท่านจงให้เฉพาะปลาตัวนี้เท่านั้น”

พวกชาวประมง กล่าวว่า “เอาไปเถอะนาย”

พระโพธิสัตว์เอามือทั้งสองจับปลานั้นไปนั่งที่ฝั่งแม่น้ำ กล่าวสอนว่า “ปลาผู้เจริญ วันนี้ ถ้าเราไม่เห็นเจ้า เจ้าจะต้องถึงแก่ความตาย ตั้งแต่บัดนี้ไป เจ้าอย่าได้ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสเลย” แล้วปล่อยไปในน้ำ ตนเองเข้าไปยังนคร.

พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึกตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ฝ่ายพระศาสดาได้ทรงประชุมชาดกว่า

นางปลาในครั้งนั้น ได้เป็นภรรยาเก่าในบัดนี้

ปลาในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้กระสันในบัดนี้

ส่วนปุโรหิตในครั้งนั้น ได้เป็นเราเองแล.

ที่มา วัดโพรงจระเข้ จ.ตรัง
11  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / ชีวิตชนเผ่าเร่ร่อน กลางทะเล เมื่อ: 06 มิถุนายน 2568 12:14:09

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=GHacAX8bbI4" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=GHacAX8bbI4</a>


12  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทเดอ มงต์บรุน ประเทศฝรั่งเศส เมื่อ: 06 มิถุนายน 2568 12:04:43
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/f2/ChateauMontbrun.jpg/1920px-ChateauMontbrun.jpg



ปราสาท เดอ มงต์บรุน (Château de Montbrun


ปราสาทเดอ มงต์บรุน (Château de Montbrun) เป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ที่เมืองดูร์นาซัก ในจังหวัดโอตเวียน ในแคว้นลีมูแซ็ง ประเทศฝรั่งเศส ปราสาทได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์

ปราสาทเดอ มงต์บรุน เริ่มก่อสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 ในปี ค.ศ.1438 ได้รับการต่อเติมโดยปิแยร์แห่งมงเบริง และได้รับการบูรณะในช่วงปลายศตวรรษที่ 19

ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาที่ลึก มีหน้าที่ป้องกันพรมแดนของดัชชีแห่งอากีแตนแม้ว่าจะได้รับการสร้างขึ้นใหม่ในศตวรรษที่ 15 แต่ยังคงมีคูน้ำ กำแพงสูง และปราการทรงสี่เหลี่ยมที่มีป้อมปืนขนาดใหญ่ อยู่ด้านบน

มงต์บรุนเป็นตัวอย่างที่ดีของปราสาทในศตวรรษที่ 15 มีโครงสร้างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหอคอยทรงกลมอยู่ตามมุมต่างๆ และมีน้ำล้อมรอบ ปราสาทสไตล์โรมัน แคบๆ กว้าง 40 เมตร (131 ฟุต) เมื่ออยู่ใกล้หอคอยแห่งหนึ่ง ทำให้ปราสาทดูแปลกตา


ประวัติศาสตร์
ปราสาท (ในตอนนั้นเรียกว่า Trados) เป็นโบราณสถาน ที่ได้รับการคุ้มครอง โดยกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส  สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1179 โดย Aymeric Bruni (เรียกอีกอย่างว่า Brun) เมื่อเขากลับมาจากสงครามครูเสดครั้งที่สองครอบครัว Brun (Montbrun หลังจากปี ค.ศ.1366) ยังคงเป็นเจ้าของจนถึงปี ค.ศ.1516 เมื่อเริ่มต้นสงครามร้อยปีปราสาทถูกยึดครองโดยอังกฤษและถูกฝรั่งเศสยึดคืนในปี ค.ศ.1353 ในตอนปลายศตวรรษ ปราสาทถูกยึดครองโดยอังกฤษอีกครั้งและถูกทำลายบางส่วน ระหว่างปี ค.ศ.1433 ถึง 1438 หอคอยสี่เหลี่ยมถูกแทนที่ด้วยหอคอยทรงกลม และปราสาทก็มีลักษณะดังในปัจจุบัน

ในปี ค.ศ.1562 มงต์บรุนถูกโจมตีโดยพวกโปรเตสแตนต์ระหว่างสงครามศาสนาและแม้ว่าจะไม่สามารถยึดครองได้ แต่ก็มีไฟไหม้ลุกลามไปทั่วปราสาท

ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสโดยมีผู้แทนประชาชนอย่าง Borie และ Jacques Brival เป็นผู้ยุยง ปราสาทแห่งนี้ถูกปล้นสะดมและทำลาย และเอกสารสำคัญก็ถูกเผาทำลาย ทรัพย์สินถูกแบ่งแยกและขายเป็นทรัพย์สินของชาติ

ปราสาทได้รับการบูรณะในปี พ.ศ.2414 แต่ประสบเหตุไฟไหม้ร้ายแรงในปี พ.ศ.2459 มีการบูรณะครั้งที่สองระหว่าง พ.ศ.2507 ถึง พ.ศ.2509

ในปี 1995 มาร์เทน ลาเมอร์ส นักธุรกิจชาวดัตช์ได้ซื้อปราสาทแห่งนี้ เขาบูรณะปราสาทจนแล้วเสร็จในปี 2000

13  สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / บทสวด ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ - วัดพิชโสภาราม จ.อุบลราชธานี เมื่อ: 06 มิถุนายน 2568 11:49:46
.



ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ

(นำ) หันทะ  มะยัง  ปัจฉิมะพุทโธวาทะปาฐัง  ภะณามะ  เส

(รับ) หันทะทานิ  ภิกขะเว  อามันตะยามิ  โว,


     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้  เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า;

วะยะธัมมา  สังขารา,     

     สังขารทั้งหลาย  มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา;

อัปปะมาเทนะ  สัมปาเทถะ,

     ท่านทั้งหลาย  จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด;

อะยัง  ตะถาคะตัสสะ  ปัจฉิมา  วาจา,

     นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้าย ของพระตถาคตเจ้า  ฯ

                        ————————–
14  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: การฟังธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) เมื่อ: 06 มิถุนายน 2568 11:41:29
.

การฟังธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)

         นิพพานอยู่ในมโน บางคนอาจจะว่านิพพานมันเป็นเมือง มีอะไรทุกอย่างสมบูรณ์อยู่ในนั้นหมด ไม่ใช่นะ นิพพานอยู่ในมโนก็คือนิพพานอยู่ในจิตของเรานี่แหละ คำว่านิพพานนั้นท่านว่า สอุปาทิเสสนิพพาน แล้วก็อนุปาทิเสสนิพพาน ก็หมายถึงว่าดับโดยที่มีขันธ์ยังเหลืออยู่ แล้วก็ดับทั้งขันธ์ดับทั้งกิเลส ดับในที่นี้หมายถึงกิเลสนะ ถ้าคนมีกิเลสอยู่แสดงว่าคนนั้นยังไม่ถึงนิพพานนะ คนมีกิเลสอยู่่ก็ยังเข้าไม่ถึงนิพพาน เพราะฉะนั้น ความดับในที่นี้หมายถึงว่ากิเลสมันดับนะ

         ถ้าผู้ใดอยากจะรู้พระนิพพาน บุคคลนั้นต้องปฏิบัติอย่างน้อยๆ ให้ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วเข้าผลสมาบัติได้นะ ถ้าผู้ใดที่ปฏิบัติแล้วได้ปฐมฌานทุติยฌาน ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน เวลาเข้าเรียกว่าสมาบัติเฉยๆ นะ ฌานสมาบัตินะ เรียกว่าสมาธิ แต่ถ้าผู้ใดผ่านการบรรลุเป็นพระโสดาบัน สามารถเข้าผลสมาบัติได้ ก็เป็นนิพพานนะ เพราะว่าผลสมาบัตินั้นมีนิพพานเป็นอารมณ์นะ นี่ไม่ใช่ว่าเราตายแล้วเราจึงจะถึงพระนิพพานไม่ใช่นะ ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมแล้วก็สามารถบรรลุเป็นพระโสดาบันเนี่ย ก็ถึงพระนิพพานได้นะ อย่างพระโสดาบันก็ถึงพระนิพพานได้ถ้าเข้าผลสมาบัติได้ เป็นนิพพานของพระโสดาบัน นิพพานด้วยการเข้าผลสมาบัติ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้ นิพพานของพระสกทาคามี นิพพานของพระอนาคามี ก็เข้าได้ เรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน นิพพานในขณะที่เราอยู่ในผลนะ นี่ในลักษณะอย่างนั้นนะ

         เพราะฉะนั้นผู้ใดอยากจะรู้นิพพานว่ามันเป็นเมืองหรือไม่เป็นเมือง ก็ต้องเข้าผลสมาบัติให้ได้นะ ท่านกล่าวว่าพระนิพพานนั้นไม่ใช่โลกนี้ไม่ใช่โลกหน้า ไม่ใช่ดวงจันทร์ ไม่ใช่ดวงอาทิตย์ พระนิพพานนั้นไม่มีนิมิต ไม่มีเครื่องหมาย พระนิพพานนั้นเป็นอชาตังคือจะไม่เกิดอีก เป็นอัชรา คือจะไม่เข้าถึงชรา เป็นอัพญาธิิคือจะไม่เข้าถึงความเจ็บ เป็นอมรณังคือจะไม่เข้าถึงความตายอีก เป็นต้น

         บุคคลผู้เข้าในลักษณะนี้จะรู้ว่าพระนิพพานมันเป็นยังไง นี่ในลักษณะนี้ เพราะฉะนั้น สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ พรหมโลกอยู่ในจิต นิพพานมันก็อยู่ในใจของเรานะ ไม่ใช่ว่าเป็นเมืองเมืองใดเมืองหนึ่งไม่ใช่นะ ก็อยู่ในใจ ถ้ากิเลสมันดับได้ เราก็มีส่วนที่จะเข้าถึงนิพพานได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราจึงต้องกระทำความเพียรเพื่อให้มันถึงนิพพาน เรามาประพฤติปฏิบัติธรรมก็เพื่อฝึกฝนตรงนี้แหละ

         นอกจากนั้นการประพฤติปฏิบัติธรรมที่เราประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่นี้นี่ ถือว่าเป็นหนทางออกจากวัฏสงสารนะ เพราะว่าคนเราทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นมาแล้วเนี่ย เมื่อเราทั้งหลายทั้งปวงยังไม่ได้ได้สิ้นกิเลสเนี่ย เราไม่อยากเกิดมันก็ต้องเกิดนะ ไม่อยากตายมันก็ต้องตาย ไม่อยากได้รับความทุกข์ทรมานตามบาปกรรมบุญกรรมที่ตนเองสร้างก็ต้องได้ไปนะ เพราะฉะนั้น การประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ยจึงเป็นการตัดกงกำแห่งสังสารวัฏนะ ถ้าไม่เช่นนั้นเราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด คนเราที่ทำบุญทำทานแล้วนี่ ถ้าไม่ปรารถนาพระนิพพานนะ มันก็ไปเรื่อยๆ นั่นแหละ เหมือนกับเราลงเรือไปแล้วเนี่ย มันไม่มีท่าน้ำ ไม่มีท่าที่จะขึ้น ก็ล่องไปเรื่อย ไปเกิดในมนุษย์บ้าง ไปเกิดในสวรรค์บ้าง ไปเกิดเป็นเศรษฐีเป็นคนยากจนเป็นคนรวยอะไรต่างๆ ที่เราได้อ่านดูในเรื่องพระเจ้า ๕๐๐ ชาติ มีแต่เวียนว่ายตายเกิดทั้งนั้นนะ

         เราไปอ่านดูในเรื่องพระเจ้าชาตินะ พระพุทธเจ้าของเรานี่เคยเกิดเป็นพญาปลาช่อนก็เคยนะ ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าของเราเสวยพระชาติเป็นพญาปลาช่อนนะ พระนางพิมพาเนี่ยไปเกิดเป็นนางพญาปลาช่อนนะ พระนางพิมพานเนี่ยท้องแก่ อยากจะกินหญ้าที่มันอ่อนๆ ที่ฝนตกมาแล้วมันสะบัดน้ำใหม่ๆ พญาปลาช่อนเห็นภรรยาต้องการในลักษณะอย่างนั้นก็ไปหาหญ้าอ่อนๆ แต่หญ้าอ่อนๆ มันไม่มี ต้องล่วงเลยไปถึงเขตมนุษย์ ก็ไปกัดเอาหญ้าอ่อนๆ แล้วก็อมไว้อมไว้ ในขณะที่เอาหญ้าเพลินๆ อยู่นั่นแหละ เขาก็เอาฉมวกแทงเข้าไปข้างหลัง เมื่อถูกฉมวกแทงข้างหลังก็นึกถึงภรรยา นึกถึงนางพญาปลาช่อน ก็รวบรวมกำลังทั้งหมด ดิ้นอย่างแรง เนื้อก็ขาดออกไป ข้างหลังนี่ขาดออกไป เพื่อที่จะตะเกียกตะกายเอาหญ้าเนี่ยไปให้ภรรยาของตนเองกิน พอไปถึงแล้วก็เรียกนางพญาปลาช่อนมา ก็คายหญ้าออก นางพญาปลาช่อนก็กินหญ้าจนอิ่ม หลังจากนั้นมาพญาปลาช่อนก็หันหลังที่ถูกฉมวกแทงมาให้ภรรยาดู แล้วก็ใจขาดตายเลยนะ

         บางภพบางชาติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นพระมหากษัตริย์ นางพิมพาก็เป็นอัครมเหสี แต่มีอำนาจมากกว่าสามี ให้สามีปีนต้นตาลต้นมะพร้าวเอามาให้ตนเองทานต่อหน้าธารกำนัลอำมาตย์ต่างๆ ทำให้เกิดความอับอาย

         เวลานางพิมพาจะทูลลาปรินิพพานต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นางพิมพาก็เล่าเรื่องเหล่านี้ ว่าข้าพเจ้าท่องเที่ยวไปในวัฏสงสารที่เคยล่วงเกินต่อพระองค์ในสมัยที่เป็นอัครมเหสี ในภพชาติทั้งหมดทั้งปวง ขอพระองค์ทรงอโหสิกรรมให้แก่หม่อมฉัน อย่าให้เป็นบาปเป็นกรรม เมื่อทูลขอขมาแล้วก็จึงนิพพานนะ ภพชาติมันยาวไกลอย่างนี้นะ แต่เมื่อนิพพานเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ ไม่ได้กล่าวอะไรอีกเลยนะ ไม่ได้ว่านางพิมพาไปเกิดตรงนู้นเกิดตรงนี้ไม่ได้ว่านะ

         พระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ก็เหมือนกัน พระสารีบุตรทูลลานิพพาน เมื่อทูลลานิพพานแล้วก็ ก่อนที่จะนิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสให้พระสารีบุตรนั้นแสดงอภินิหารนะ พระสารีบุตรนั้นเหาะขึ้นไปชั่วลำไผ่หนึ่งแล้วก็ลงมากราบเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็เหาะขึ้นไปชั่ว ๒ ลำไม้ไผ่ ก็เดินจงกรมนั่งภาวนาอยู่บนอากาศแล้วก็กลับมากราบเท้าขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำในทำนองนี้จนถึง ๗ ชั่วลำไม้ไผ่นะ แล้วก็กลับมากราบเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ถามว่า ผู้ใดมีปัญหาในเรื่องมรรคผลนิพพาน ไม่มีใครถามนะ ไม่มีใครสงสัย พระสารีบุตรก็ก้มกราบเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากนั้นมาก็ถอยหลังไปจนสุดทาง แล้วก็ก้มลงกราบที่พื้นดินอีกครั้งหนึ่ง จึงได้ไปปรินิพพานที่ห้องนอนของตนเอง หลังจากนิพพานแล้ว พระเรวตะซึ่งเป็นน้องชายของพระสารีบุตรเอาพระธาตุของพระสารีบุตรมาให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ให้ไปสร้างเจดีย์ในทาง ๔ แพร่งเพื่อให้คนกราบคนไหว้ หลังจากนั้นมาไม่ได้กล่าวว่าพระสารีบุตรไปเกิดตรงนู้นตรงนี้ไม่มีอีกเลยนะ นิพพานมันเป็นอย่างนี้นะไม่ได้ไปเกิดอีกนะ เหมือนกับที่ท่านกล่าวว่าสิ้นสุดก็ตรงที่นิพพาน

         เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายทั้งปวงที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่นี้ก็ถือว่าเป็นปฏิปทาที่เราจะได้ถึงซึ่งพระนิพพาน เพราะฉะนั้นก็ขอญาติโยมคณะครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกท่านที่ได้มาประพฤติปฏิบัติธรรมได้ดีอกดีใจว่า เรามีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยความอนุเคราะห์ของหลวงพ่อพระครูวิสุทธิสมณกิจ ซึ่งเป็นเจ้าคณะตำบลเหล่าหลวง ซึ่งเป็นประธานสงฆ์ในการประพฤติปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ อาตมภาพได้มาเยี่ยมเยือนก็ขออนุโมทนา.
15  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / การฟังธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) เมื่อ: 06 มิถุนายน 2568 11:39:38



การฟังธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
(เทศน์ ๑๔ ม.ค. ๖๕)

        วันนี้ก็ถือว่ามาให้กำลังจิตกำลังใจหลวงพ่อพระครูวิสุทธิสมณกิจซึ่งท่านก็ป่วยรักษาตัว ไปโรงพญาบาลอาทิตย์ละ ๒ ครั้ง ในการฟอกเลือด แต่ก็ไม่ทิ้งการประพฤติปฏิบัติธรรม สนใจ ใส่จิต ใส่ใจในการกระทำสมณจิตของท่าน

         ตามธรรมดาผู้ที่มีสังขารร่วงโรยก็ต้องการพักผ่อน ต้องการอยู่สบาย ไม่ต้องการลำบาก แต่ว่าท่านไม่ได้ห่วงในเรื่องความลำบากของท่านเอง ห่วงพระพุทธศาสนา ห่วงพระ ห่วงเณร ห่วงญาติห่วงโยม กลัวพระสงฆ์สามเณรญาติโยมจะไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม

         ซึ่งทราบว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรมประจำปี ซึ่งปีกลายนี้ก็เว้นเพราะว่าโรคโควิด ปีนี้ก็มาเริ่มจัดอีกครั้ง เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นเราจะประพฤติปฏิบัติธรรมตอนที่คนลำบากหรือว่าคนทุกข์ ธรรมะจะมีประโยชน์ในตอนนี้ เหมือนกับเราไปศึกษาในพระธรรมคำสั่งสอน ในพระไตรปิฎก ก็จะเห็นว่าคนทั้งหลายทั้งปวงได้ประสบธรรม ได้เข้าใจธรรรม ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม ได้รู้แจ้งธรรมนั้น ส่วนมากตอนทุกข์นะ ไม่ใช่ตอนหัวเราะแล้วก็บรรลุธรรมนะ ส่วนมากตอนทุกข์ พิจารณาว่า เอ สังขารร่างกายมันเป็นทุกข์

         การฟังธรรมนั้น เราจะฟังเพื่อเอาบุญก็ได้ คือตั้งใจฟังธรรมก็เป็นบุญแล้ว เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็เป็นบุญแล้ว แต่เรามีความเคารพ มีความตั้งใจในการฟังธรรม ถ้าเราฟังธรรมเพื่อเอาปัญญาเราก็ต้องพิจารณาตาม ใคร่ครวญตามเนื้อหาสาระที่ผู้แสดงธรรมนั้นได้กล่าวธรรมไป แล้วก็จะเกิดปัญญาขึ้นมา นี่เรียกว่าฟังเอาปัญญา

         แต่ถ้าเราอยากจะได้สมาธิสมาบัติ จิตใจสงบเป็นปฐมฌานทุติยฌานเป็นต้น เราก็ตั้งสติกำหนดที่หูของเรา พุทโธ พุทโธ พุทโธ ก็ได้ หรือว่า ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ ก็ได้ หรือว่าเราจะกำหนดเสียงหนอ เสียงหนอ ก็ได้ พญายามตั้งสติไว้ตรงที่เสียงมันกระทบที่หูของเรา เราจะบริกรรม พุทโธ เราจะบริกรรม เสียงหนอ หรือว่าเราบริกรรม ได้ยินหนอ ก็ตาม ตรงที่เสียงมันกระทบ เสียงสักแต่ว่าเสียง ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้จิตใจของเราสงบเป็นสมาธิได้ จิตเข้าสู่ปฐมฌานทุติยฌานตติยฌานได้

         แต่ถ้าเราจะฟังเป็นการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน คือฟังให้เกิดปัญญาญาณขึ้นมา คือเจริญวิปัสสนาในขณะที่ฟังธรรม เหมือนกับพระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ พระอัสสชิ ที่ฟังธรรมแล้วก็ได้บรรลุดวงตาเห็นธรรม แล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด คือฟังแล้วก็พิจารณาเสียงเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป นี่ฟังด้วยการเจริญวิปัสสนาควบคู่ไปด้วยนะ

         เพราะฉะนั้น การฟังธรรมในพระพุทธศาสนาของเรานั้น จึงเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างดีเยี่ยมนะ บุคคลผู้ที่บรรลุธรรมในพุทธศาสนาส่วนมากนี่ฟังธรรมนะ เกิดขึ้นมาจากการฟังธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรมนั้นจึงถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ นับตั้งแต่พระอริยสงฆ์องค์แรกคือพระโกณฑัญญะเนี่ย อาศัยการฟังธรรม ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา หลังจากนั้นมาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระระองค์ก็ทรงแสดงอนัตตลักขณะสูตร ทำให้ปัญจวัคคีที่เหลือนั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมด้วยพระอัญญาโกณฑัญญะ นี่เกิดขึ้นจากการฟังธรรมนะ

         นอกจากนั้นพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมแก่พระยสะ ภรรยาของพระยสะ พร้อมด้วยบิดามารดาของพระยสะ พร้อมด้วยสหายของพระยสะ รวมกันเป็น ๕๕ กับพระยสะนะ แสดงอนุปุพพิกถาพรรณนาเรื่องทานเรื่องศีลเรื่องสวรรค์เรื่องโทษของกามแล้วก็อานิสงส์ของการออกบวช ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จเป็นพระโสดาบันนะ สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นในพุทธศาสนาด้วยการฟังธรรม พอฟังธรรมครั้งที่ ๒ ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ อันนี้ก็เกิดขึ้นมาจากการฟังธรรม

         นอกจากนั้นพระองค์ทรงแสดงแก่ภัททวัคคีย์ทั้ง ๓๐ ที่ไร่ฝ้าย ที่ไปตามหาหญิงแพศยาที่ขโมยเครื่องประดับไป พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมให้ฟัง ภัททวัคคีย์ทั้ง ๓๐ อย่างต่ำก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน อย่างสูงก็บรรลุเป็นพระอนาคามี

         หลังจากนั้นมาพระองค์ก็ทรงไปแสดงแก่อุรุเวลากัสสปะ คยากัสสปะ นทีกัสสปะ ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๑,๐๐๓ คนนะ

         หลังจากนั้นมาก็มาโปรดพระเจ้าพิมพิสารซึ่งมีบริวารถึง ๑๒ หมื่น ทำให้พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร ๑๑ หมื่น ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน อีกหนึ่งหมื่นเป็นกัลยาณชน ตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕ เพราะการฟังธรรมนะ

         เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนั้นจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ บุคคลทั้งหลายทั้งปวงละชั่วกระทำดีก็เพราะการฟังธรรม บุคคลผู้ที่เป็นปุถุชนก้าวล่วงซึ่งความเป็นปุถุชนขึ้นสู่อริยชนก็เพราะการฟังธรรม บุคคลผู้มีกิเลสทำให้สิ้นกิเลสก็เพราะการฟังธรรม เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนั้นจึงเป็นสิ่งที่มีอานิสงส์มาก โบราณท่านว่าชั่วช้างพัดหูงูแลบลิ้นไก่ตบปีก ก็มีอานิสงส์มากนะ

         ค้างคาวฟังธรรมก็มาเกิดเป็นบริวารของพระสารีบุตร กบฟังธรรมตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นเทพบุตรกบ เรียกว่า มัณฑูกเทพบุตร บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ งูเหลือมฟังธรรมเรื่องอายตนะก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาเกิดเป็นอาชีวก ผลสุดท้ายก็ได้บรรลุมรรคผลพระนิพพานในที่สุด อานิสงส์ของการฟังธรรมนี่่มันจะเป็นหน่อเป็นเชื้อทำให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้รู้แจ้งเห็นจริงในเมื่อบารมีของเรามันสมบูรณ์นะ

         เพราะฉะนั้นการฟังธรรมนั้น จะเป็นพระเป็นเณรเป็นคณะครูบาอาจารย์รูปใดรูปหนึ่งขึ้นแสดงธรรมเราก็ฟังธรรม เราจะฟังเอาบุญหรือเราจะฟังเอาปัญญาหรือเราจะฟังเอาสมาธิหรือเราจะฟังไปด้วยเจริญวิปัสสนากรรมฐานไปด้วย การฟังธรรมไม่ใช่ว่าเราไม่ปฏิบัติธรรมนะ อันนี้เรียกว่าเจริญกรรมฐานหมู่

         ในสมัยที่ไปสอนกรรมฐานส่วนมากได้สมาธิในตอนฟังธรรมนะ บอกวัดเสร็จเรียบร้อยลุกออกไป คณะครูบาอาจารย์ก็นั่งเข้าสมาธิไป ญาติโยมก็เข้าสมาธิไป เพราะว่าอะไร เพราะว่าจิตมันสงบ เพราะขณะที่เราฟังธรรมจิตใจมันสบาย ผ่อนคลาย ไม่นึกถึงอดีตไม่นึกถึงอนาคต มีจิตอยู่กับปัจจุบันธรรม สมาธิมันก็เกิดขึ้นมา

         เพราะฉะนั้นก็ขอให้คณะครูบาอาจารย์ตั้งจิตตั้งใจในการฟังธรรมร่วมกัน

         วันนี้ก็ได้มาอนุโมทนาสาธุการ เห็นการสร้างเสนาสนะ เห็นการรักษาป่า เห็นการตั้งใจในการที่จะรักษาการประพฤติปฏิบัติเข้าปริวาสกรรม ก็ขอขอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง การเข้าปริวาสกรรม ตลอดถึงญาติโยมที่มาร่วมกันประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ถือว่าเป็นบุญใหญ่นะ การเข้าปริวาสกรรมนี่ถือว่าเป็นบุญใหญ่ เพราะอะไร เพราะว่าบุญกฐินก็ดี บุญผ้าป่าก็ดี บุญถวายสังฆทานก็ดี บุญกองบวชก็ดี สู้บุญในการเข้าปริวาสกรรมไม่ได้นะ

         เพราะอะไร เพราะว่าการเข้าปริวาสกรรมนี้มีทั้งการให้ทาน มีทั้งการรักษาศีล มีทั้งการฟังเทศน์ฟังธรรม มีทั้งการเดินจงกรมนั่งภาวนา มีทั้งการเจริญสมถะ มีทั้งการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน มีทั้งการแผ่เมตตา ทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องการมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ ก็อยู่ในการประพฤติปฏิบัติธรรมนี่แหละ ในการเข้าปริวาสกรรมของเรานี่แหละ

         เพราะฉะนั้น คณะครูบาอาจารย์ที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมเข้าปริวาสกรรม คณะครูบาอาจารย์ที่ขอปริวาสกรรม ได้ขอปริวาสกรรมครบ ๓ ครั้งเนี่ย ยังไม่สมาทานวัตรนะ ชื่อว่าเป็นปริวาสิกะแล้วนะ คณะครูบาอาจารย์มาเดินจงกรมนั่งภาวนานี่สามารถได้สมาธิสมาบัตินะ สามารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้นะ

         เพราะฉะนั้น คณะครูบาอาจารย์ที่มาเข้าปริวาสกรรม ถือว่าได้โชคหลายชั้น เพราะฉะนั้นก็อย่าประมาท ควรที่จะเดินจงกรม ควรที่จะนั่งภาวนา ควรที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมให้ดี ส่วนญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม ขอให้เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ขอให้เราประพฤติปฏิบัติธรรมให้จริงจัง อย่างเช่นเราประพฤติปฏิบัติ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เป็นต้น ถ้าเราตั้งใจให้เห็นรูปเห็นนามนะ ถ้าเราตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมให้เห็นรูปเห็นนาม หรือเราประพฤติปฏิบัติธรรมให้เกิดพระไตรลักษณ์ เกิดญาณที่ ๔ ขึ้นมาเนี่ยนะ เราก็ไม่ไปสู่อบายภูมิตั้งหลายชาติแล้วนะ

         ท่านกล่าวว่าถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติธรรมเห็นรูปเห็นนามรู้จักแยกรูปแยกนาม จิตอยู่กับอารมณ์ของกรรมฐาน ตายไปจะไม่ไปสู่อบายภูมิ ๑ ชาตินะ แต่ถ้าผู้ใดเห็นเหตุเกิดของรูปของนาม เหมือนกับที่เราเดินในกรม ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ ขณะที่เท้าของเรายกขึ้นเนี่ย ใจของเราวิ่งมาทีหลัง อันนี้เรียกว่ารูปเป็นเหตุนามเป็นผลนะ บางครั้งเวลาเราจะเหยียบลงไปเนี่ย ใจของเรามันไปก่อนนะ ขณะที่ใจของเราไปก่อนเนี่ย เรียกว่าใจเป็นเหตุนะ เท้าของเราไปทีหลัง เท้าเป็นผล ถ้าใครรู้เหตุรู้ผลในลักษณะนี้เรียกว่า ปัจจยปริคคหญาณเกิดขึ้นมานะ อันนี้พูดตามหลักวิชาการก่อนนะ

         ถ้าผู้ใดมีความรู้ความคิดในลักษณะอย่างนี้นะ ไม่ได้จำคนอื่นมานะ มันคิดขึ้นมาเอง มันเห็นเอง ในลักษณะอย่างนี้เรียกว่าปัจจยปริคคหญาณเกิดขึ้นมานะ ตายไปแล้วจะไม่ไปสู่อุบายภูมิ ๒ ชาตินะ ถ้าไม่ประมาท

         แต่ถ้าผู้ใดภาวนา พองหนอ ยุบหนอ ไป อาการพองยุบมันเร็วขึ้นๆ แล้วมันก็จางหายไป อาการพองยุบมันแน่นเข้าๆ แล้วก็จางหายไป หรือว่าอาการพองอาการยุบมันแผ่วเบาเข้าๆ แล้วก็จางหายไป ในลักษณะนี้เป็นลักษณะของสัมมสนญาณนะ ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ก็แสดงว่าจะไม่ไปสู่อบายภูมิ ๓ ชาตินะ ถ้าเราไม่ประมาท เราไม่ไปทำกรรมอันหนักที่มันจะเป็นครุกรรม มีฆ่าพ่อฆ่าแม่ฆ่าพระอรหันต์เป็นต้น เราก็จะไม่ไปสู่อุบายภูมินะ ถ้าเราไม่ทำครุกรรมนะ

         แต่ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติธรรมไป ภาวนาพองหนอยุบหนอไป อาการพองยุบมันเร็วขึ้นๆ แล้วขาดลงไป ขณะที่มันขาดปุ๊บ จิตมันดับลงไป แต่มันดับลงไป ๑ ขณะจิต รู้สึกตัวขึ้นมาเราก็บริกรรมต่อไปอีก พองหนอ ยุบหนอ ไป เร็วขึ้นไปอีก ดับฟึบลงไปอีก แต่มันดับลงไป ๑ ขณะจิต อาการที่มันดับลงไปนั้นมันเหมือนกับฟ้าแลบ  เหมือนกับเราเอาไม้ขีดลงไปในน้ำมันก็กลับเข้าหากันเร็วในลักษณะนี้ หรือบางคนอาจจะแน่นเข้าๆ แล้วก็ขาดฟึบลงไปอีก รู้สึกตัวขึ้นมาเราบริกรรมอีก มันก็แน่นเข้าๆ แล้วก็ขาดฟึบลงไปอีก อันนี้เรียกว่าเป็นทุกขังนะ แต่ที่มันเร็วขึ้นๆ เป็นอนิจจัง

         ส่วนบุคคลผู้เคยเจริญวิปัสสนากรรมฐานมา อาการพองยุบมันจะแผ่วเบาเข้าๆ แล้วก็ขาดฟึบลงไป รู้สึกตัวขึ้นมาเราก็บริกรรมต่อไปอีกก็ขาดลงไปอีก แต่มันจะแผ่วเบาลงไปๆ แล้วก็ขาดฟึบลงไป ถ้าในลักษณะอย่างนี้เรียกว่าเป็นอุทยัพยญาณเกิดขึ้นมานะ ถ้าผู้ใดยังตัวนี้ให้เกิดขึ้นมาแล้วนะ ถ้าเป็นพระนะ แสดงว่าไม่ต้องอาบัติปาราชิกนะ สมารถที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ มีบุญที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานนะ

         นี่เราจะรู้ว่าเรามีบุญวาสนาบารมีที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรือไม่ เราดูตรงนี้นะ ใครเป็นคนบอก ก็เรานี่แหละเดินจงกรมนั่งภาวนาจนวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นมา เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็บอกตัวเองด้วยสภาวธรรมที่เรารู้เราเห็น ไม่ใช่ว่าครูบาอาจารย์มาบอกเรานะ เพราะฉะนั้น ความเชื่อมั่นมันจึงเกิดขึ้นมาในจิตในใจของเรา บุคคลนั้นก็จะหาเวลาประพฤติปฏิบัติธรรมเรื่อยๆ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้รู้แจ้งเห็นจริงได้

         ถ้าวิปัสสนาญาณตัวนี้เกิดขึ้นมาแล้วเนี่ย ถ้าเราไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานในปัจจุบันนี้นะ ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ถ้าไปเกิดในสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง เวลามีพระผู้มีฤทธิ์มีเดช อย่างเช่นพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตร ไปสวรรค์เนี่ย ถ้าท่านไปแสดงธรรมบนสวรรค์เนี่ย ส่วนมากจะได้บรรลุธรรมบนสวรรค์นะ เมื่อไปเกิดบนสวรรค์แล้วก็จะมีแสงมีรัศมีแผ่ไปมากกว่าเทวดาที่เขาไม่ได้อุทยัพยญาณนะ แสงรัศมีจะแผ่เออกไปกลบเทวดาทั้งหลายทั้งปวงนะ

         แต่ถ้าไม่ได้บรรลุมรรคพลนิพพานบนสวรรค์ กลับมาเกิดในมนุษย์ของเรา ก็จะไม่เกิดในตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฏฐินะ ไม่ไปเกิดในตระกูลนอกพุทธศาสนา ไปเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เลื่อมใสในพระรัตนตรัยนะ อยากเห็นพระรัตนตรัย อยากเข้าใกล้ อยากฟังธรรม อยากทำบุญทำทาน อยากรักษาศีล อยากภาวนานะ

         เพราะฉะนั้น คณะครูบาอาจารย์ที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมก็ขอให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ถือว่าเป็นมรดกซึ่งต่างจากศาสนาอื่นๆ นะ ศาสนาอื่นจะไม่มีการประพฤติปฏิบัติธรรมเช่นกับพุทธศาสนาของเรานะ การประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นก็ถือว่าเราทั้งหลายทั้งปวงมาประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะฝึกฝนอบรมจิตใจของตัวเอง ถ้าเราไม่ฝึกฝนอบรมจิตใจของเราแล้วเนี่ย เราจะไม่สามารถรู้เหตุรู้ผลนะ โดยเฉพาะคนเราทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน อย่างเช่นเราเกิดขึ้นมาแล้วเนี่ย ความเป็นเด็กมันก็ตั้งอยู่ชั่วกาลชั่วเวลานิดหนึ่งนะความเป็นเด็กนะ ไม่ได้ตั้งอยู่นานนะ หลังจากนั้นมาก็เป็นหนุ่มเป็นสาว ความเป็นหนุ่มเป็นสาวนี่มันก็ตั้งอยู่นิดเดียว หลังจากนั้นแต่งการแต่งงานมีครอบมีครัวแล้วก็ ล่วงการผ่านไปก็แก่เฒ่าแก่ชราไป มันเป็นของที่นิดหน่อยนิดเดียวเท่านั้นนะ ความเป็นหนุ่มเป็นสาวก็สิ้นสุดตรงเฒ่าตรงแก่ ในที่สุดก็ถึงซึ่งความตายในที่สุด  นอกจากตายแล้วนี่ยังเวียนว่ายตายเกิดอีกนะ ยังไม่สิ้นสุดเท่านี้นะ

         แต่คนเราทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีความยินดีในการเวียนว่ายตายเกิด ญาติโยมทุกท่านทุกคน คณะครูบาอาจารย์ทุกรูปเนี่ย ทุกคนที่เกิดขึ้นมาเนี่ย พอใจในรางวัลของธรรมชาตินะ รางวัลของธรรมชาตินั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสหมายถึงความยินดีในกามารมณ์นะ หมายถึงความยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัส ตัวนี้เป็นรางวัลของธรรมชาตินะ ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงยินดีในกามารมณ์ ยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสในสัมผัสในอารมณ์ต่างๆ นี้ก็ลำบาก ทำมาหากินหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินอาบเหงื่อต่างน้ำ นอนกลางดินกินกลางหญ้าต่างๆ ก็อดทนเอา เพราะอะไร เพราะว่ามันมีสิ่งที่ทำให้เราพอยินดีได้บ้าง ก็คือยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรส

         นี่เป็นรางวัลนิดหน่อยนะ เป็นของนิดหน่อยที่ล่อลวงคนทั้งหลายทั้งปวงนั้นให้มาติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้นะ แล้วก็เวียนว่ายตายเกิดในห้วงมหรรณพภพสงสาร เป็นดอกไม้ของพญามารนะ เป็นบ่วงของพญามาร ความสุขนิดหน่อยนี่แหละที่คนทั้งหลายทั้งปวงติดอยู่ ไม่สามารถออกมาได้ เรามองดูสิ คนที่อยู่ในตำบลของเรา ในอำเภอของเรานี่มีมากขนาดไหน แต่คนที่จะได้มาประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือนกับคณะครูบาอาจารย์ญาติโยมมีน้อยนะ ไม่ได้มีมากนะ มีนิดเดียว เหมือนกับขนโคกับเขาโคนั่นแหละ

         เพราะฉะนั้น คนทั้งหลายทั้งปวงนั้นจึงติดอยู่ในความสุขนิดหน่อย ความสุขนิดหน่อยนี้นี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระระองค์ทรงตรัสว่าเป็นความสุขเหมือนกับบุคคลผู้ถือคบเพลิงที่ทวนลม ขณะที่เราเดินไปในมืดๆ เนี่ย เราก็ต้องจุดคบเพลิง แต่ว่ามันมีลมพัดทวนมาเราถือทวนลม ขณะที่เราถือไปเราก็มองเห็นทาง แต่เปลวเพลิงมันก็ลามมาไหม้เรา เราก็ร้อนแต่เราก็ได้ประโยชน์จากการที่มีแสงมันปรากฏขึ้นมา บุคคลผู้ยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสนี้ก็เหมือนกัน มีความสุขนิดหน่อย มีประโยชน์นิดหน่อย แต่ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับไฟที่มันลามมาไม่เรานี่แหละ แต่ก็ต้องจำเป็นต้องถือนะ ถ้าไม่ถือมันก็จะไม่เห็น นี่ในลักษณะของบุคคลผู้ยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสมันเป็นอย่างนั้นนะ

         เพราะฉะนั้น เวลามาประพฤติปฏิบัติธรรมท่านจึงให้กำหนดนะ เวลาตาเห็นรูปก็กำหนด เห็นหนอ เห็นหนอ ขณะที่กำหนดเห็นหนอนี่ ไม่ให้ยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสนะ ไม่ให้ยินดีในขณะที่ตาเห็นรูปนะ นี่ในลักษณะนี้นะ ความยินดีมันไม่เกิดขึ้นมานะ

         นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ความยินดีที่เรายินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสนี้ท่านอุปมาอุปไมยเหมือนกับหมาแทะกระดูกนะ เหมือนกับว่ามีกระดูกชิ้นหนึ่งนี่แหละ มันมีเนื้อแห้งๆ ติดอยู่ แล้วก็มีคราบเลือดติดอยู่นิดหน่อย หมาตัวนั้นมันอดอาหารมานาน พอมาถึงแล้วเราก็โยนไปให้มัน มันก็จะคาบวิ่งไป แทะกระดูก เอากลืนกินน้ำลายตัวเอง เอร็ดอร่อยนะ ถ้ามีหมาตัวอื่นมาแย่งก็จะกัดกันแย่งกัน คิดดูสิถ้าหมามันแทะทั้งวันเนี่ย มันจะอิ่มไหม มันก็ไม่อิ่มหรอก มันก็จะอิ่มน้ำลายของตัวเองนั่นแหละ ผู้ที่ยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสจะเป็นในลักษณะอย่างนี้นะ

         นอกจากนั้นแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า เหมือนกับหมาขี้เรื้อนนะ หมาขี้เรื้อนนี่มันจะเกา แล้วมันจะชอบไปนอนขดอยู่ที่ใกล้ๆ กับกองไฟ เพราะอะไร เพราะว่าถ้ามันเข้าใกล้กองไฟแล้วเนี่ย มันจะไม่ค่อยคันนะ แต่ถ้าเข้าไปมากมันก็จะร้อน ถอยออกมามันเย็นก็จะคัน ก็จะเกาอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น หมาขี้เรื้อนมันจึงเข้าไปใกล้กองไฟ จะเข้าไปใกล้มากไฟก็จะไหม้ จะถอยมามันก็จะคัน จะทำยังไงคราวนี้ ต้องอยู่พอดีพอดี ในลักษณะอย่างนี้ ความสุขของบุคคลผู้ยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสเนี่ย จะเป็นความสุขที่ลำบากในลักษณะอย่างนี้แหละ จะว่ามันสบายก็ไม่ใช่ จะว่ามันสุขมันก็ไม่ใช่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสอย่างนั้นนะ

         นอกจากนั้นพระองค์ก็ทรงตรัสว่าเหมือนกับความฝันนะ ความฝันนี่เราจะฝันดีขนาดไหนก็ตาม หรือว่าเราจะฝันร้ายขนาดไหนก็ตาม ตื่นขึ้นมาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นมันก็หายไปนะ ชีวิตของคนเราทั้งหลายทั้งปวงก็เหมือนกัน เกิดขึ้นมาเนี่ย เราจะสร้างหลักสร้างฐานร่ำรวยมากมายถึงขนาดไหนก็ตาม เราจะมียศมีชื่อเสียงมากมายขนาดไหนก็ตาม พอเมื่อเราตายไปแล้วนี่ ความร่ำความรวยชื่อเสียงต่างๆ มันก็เอาไปไม่ได้ มันก็สลายไป เหมือนกับความฝันเมื่อเราตื่นขึ้นมาแล้วก็หายไป มันจะไปจบลงตรงที่เราตื่นขึ้นมา มันจะจบลงตรงที่เราตายั่นแหละ

         สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เราทำมา ติดตามเราไปไม่ได้นะ เว้นไว้แต่บุญกับบาปเท่านั้นนะ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงจึงมีการมาประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างนี้แหละ

         นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสว่า ความยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสเนี่ย เปรียบเสมือนกับของที่ยืมเขามานะ ของที่ยืมเขามาต้องคืนเขานะ ร่างกายนี่ก็ยืมเขามาหมดนะ ตาก็ยืมเขามา หูก็ยืมเขามานะ แข้งขาอะไรยืมเขามาหมดนะ ไม่นานมันแก่มันชรามันคร่ำคร่านะ ตามันก็ฝ้าฟาง หูมันก็ตึงไป นี่มันเริ่มคืนเขาแล้วนะตอนนี้นะ

         นอกจากนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระระองค์ก็ทรงตรัสว่า เปรียบเสมือนกับของที่กู้เขามา กู้นี่ก็ต้องส่งคืนทั้งดอกทั้งต้นนะ ท่านอุปมาอุปไมยว่า บุคคลผู้ที่จะไปยืมของเขาก็ดี ไปยืนเงินยืนทองเขาก็ดี ต้องหาหลักฐานหาอะไรต่างๆ ไปแสดงให้เขาเห็นเห็น แล้วก็เขาก็ให้กู้ให้ยืม ขณะที่เขาให้กู้ให้ยืมนั้นแหละก็ดีใจนะ แต่มันดีใจนิดหนึ่ง ข้างในมันก็ซ่อนอยู่ว่า เราจะต้องคืนดอกคืนต้นเขานะ จะมีความดีใจแล้วก็มีความทุกข์ซ่อนอยู่ในใจว่า เราจะต้องคืนทั้งดอกคืนทั้งต้นนะ นี่ในลักษณะอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น ความสุขของบุคคลผู้ยินดีในรูปในเสียงในกลิ่นในรสเนี่ย มันจึงเป็นความยินดีเป็นความสุขที่ซ่อนความทุกข์ไว้ข้างในนะ ไม่เหมือนความยินดีในศีลในธรรมในการประพฤติปฏิบัติธรรมนะ

         เพราะฉะนั้น การที่คณะญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงได้มาประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ จึงถือว่าเรามาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการบูชาอันสูงสุดแล้วนะ เราบูชาด้วยการทำบุญตักบาตร เราบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียนสร้างโบสถ์สร้างศาลาสร้างวิหารอะไรต่างๆ มาก็มากแล้ว แต่การบูชาที่สูงสุดจริงๆ เนี่ย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถือว่าการปฏิบัติที่คณะครูบาอาจารย์ญาติโยมกำลังทำอยู่นี้นะเป็นการบูชาสูงสุดนะ

         ในสมัยหนึ่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรานั้นพระองค์ทรงเสด็จไปฉันสุกรมัทวะของนายจุนทะที่เมืองปาวา หลังจากนั้นมาก็เกิดอาพาธนะ เรียกว่าปักขันธิกาพาธ อาเจียนเป็นเลือดถ่ายเป็นเลือด พระองค์ก็ทรงคิดว่าสังขารของพระองค์คงจะไม่ไหวแล้ว ต้องไปที่ปรินิพพานที่เมืองกุสินารา พระองค์ก็ข้ามแม่น้ำกุกุทานทีไป เมื่อพระองค์ทรงมาถึงสาลวโนทยานแล้วพระองค์ก็ทรงประทับนอนไม่ทำสมณสัญญาที่จะลุกขึ้นอีก คือนอนเป็นครั้งสุดท้ายนะ

         ในขณะนั้นพระองค์ก็ทรงมองเห็นมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงเอาดอกไม้้ธูปเทียนของหอมอะไรต่างๆ มาบูชาพระองค์ นอกจากนั้นพระองค์ทรงมองด้วยทิพยจักขุ มองเห็นเทวดาทั้งหลายทั้งปวงพรหมทั้งหลายทั้งปวงทั่วรอบขอบจักรวาลเนี่ย เอาดอกไม้อันเป็นทิพย์ ของหอมอันเป็นทิพย์ ทุกสิ่งทุกอย่าง เครื่องบูชาอันเป็นนทิพย์มาบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ทวยเทพนิกรเจ้าทั้งหลายทั้งปวงทั่วรอบขอบจักรวาลนำของมาบูชา

         องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงมองด้วยทิพยจักษุของพระองค์ เห็นของบูชาอันเป็นทิพย์นั้นตั้งแต่พื้นมนุษย์ไปถึงพรหมโลกนะ ตั้งแต่พรหมโลกไปถึงปากขอบจักรวาล พระองค์ก็ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ สักการะมากมายถึงขนาดนี้เนี่ย คนจะบูชา เทพจะบูชามากมายด้วยสักการะขนาดนี้เนี่ย ยังไม่ชื่อว่าเป็นการบูชาเราตถาคตด้วยการบูชาอันสูงสุดนะ แต่ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่การบรรลุมรรคผลนิพพาน ผู้นั้นชื่อว่าสักการะเรา บูชาเรา นับถือเรา ด้วยการบูชาสูงสุดนะ ถ้าผู้ใดประพฤติปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่การบรรลุมรรคผลนิพพาน ชื่อว่าบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการบูชาอันสูงสุดแล้ว

         เพราะฉะนั้นญาติโยมทุกท่านทุกคนที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ถือว่าเราบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการบูชาสูงสุดแล้วนะ

         นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า การประพฤติปฏิบัติธรรมที่คณะครูบาอาจารย์ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงประพฤติปฏิบัติธรรมนี้นี่ ถือว่าเป็นการประพฤติตามอริยวงศ์นะ คือผู้ที่ปรารถนาจะบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นต้น อยากจะเป็นอริยชนก็ต้องประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างนี้นะ พระโมคคัลลานะพระสารีบุตรหรือแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรานี่ พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมามากนะ ท่านกล่าวว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นบำเพ็ญบารมีมา ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัปนะ คือนึกอยู่ในใจเนี่ย ทำบุญทำทานอะไรต่างๆ นึกอยู่ในใจว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตตกาลข้างหน้า ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๙ อสงไขยนะ เมื่อบำเพ็ญบารมี ๙ อสงไขยแล้ว บารมีแก่กล้าแล้วเนี่ย ออกปากปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๗ อสงไขยนะ คือทำบุญทำทานแล้วเนี่ย ให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนา ก็อธิษฐานว่า ขอให้บุญกุศลเหล่านี้จงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าได้บรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้า ปรารถนาอย่างนี้ต้องบำเพ็ญบารมีอีก ๗ อสงไขยนะ

         เมื่อได้รับพญากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้ว เหมือนกับพระพุทธเจ้าของเราได้รับลัธพญากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ต้องบำเพ็ญบารมีอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนะ รวมกันก็เป็น ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัป นี่บำเพ็ญบารมีนานถึงขนาดนั้นนะ อสงไขยหนึ่งนับไม่ได้นะ ไม่รู้ว่ากี่ล้านโกฏิกัป นับไม่ได้ ขณะที่พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมามากถึงขนาดนั้นนะ พระองค์ต้องกระทำความเพียรนะ ต้องฝึกฝนอบรมตัวเองถึง ๖ ปี นะทำทุกรกิริยานะ กัดพระทนต์ด้วยพระทนต์ กดพระตาลุด้วยพระชิวหา กลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ที่เราเรียนในนักธรรมตรี นอกจากนั้นก็อดพระกระยาหาร ไม่ฉันอาหารนะ จนลูบไปตามตนตามตัวเนี่ยขนหลุดไปหมดนะ จนถึงขั้นสลบไปนะ เทวดาที่เฝ้าดูอยู่ก็ไปฟ้องพระเจ้าสุทโธทนะ ไปปรากฏอยู่ในห้องบรรทมของพระเจ้าสุทโธทนะ แจ้งว่าโอรสของพระองค์สวรรคตแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะบอกว่าไม่เชื่อ บุตรของเราถ้าไม่ได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วจะไม่สวรรคต เทวดาก็หายแวบไปนะ บำเพ็ญบารมีมาถึงขนาดนั้นก็ยังต้องบำเพ็ญความเพียรในการประพฤติปฏิบัติธรรม

         เพราะฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลายทั้งปวงถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม แล้วเราจะฝึกฝนตนเองได้อย่างไร สิ่งที่เราต้องฝึกฝนอบรมก็คือใจของเรานะ ที่เรามาเดินมานั่งมาภาวนาอยู่นี่เป็นการฝึกใจของเรานะ ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ใจเป็นนายกายเป็นแหล่ง ใจเป็นผู้แต่งกายเป็นผู้กระทำนะ เวลาเรายืนเวลาเราเดินเวลาเรานั่งเวลาเรานอน ไม่ใช่ขาเรายืนขึ้น ไม่ใช่มือของเราเหยียดออกไป ไม่ใช่นะ ใจของเราเป็นตัวสั่งนะ ถ้าใจของเราไม่สั่ง ขาของเราจะไม่ยืนขึ้นนะ มือของเราจะไม่เหยียดไปนะ กายของเรานี่ไม่มีเดชนะ ใจของเรานี่เป็นตัวสั่งนะ เพราะฉะนั้น คนจะดีคนจะชั่วนั้นอยู่ที่ใจนะ

         เวลาคนจะกระทำความชั่วต่างๆ เช่น ไปลักเล็กขโมยน้อย ไม่ใช่ว่ามือมันไปลัก ไม่ใช่นะ ใจมันสั่งให้ไปลักนะ เวลาเราจะไปด่าไปว่าเขานี่ ไม่ใช่ว่าปากมันไปด่าไปว่าเขา ไม่ใช่นะ ใจเป็นตัวสั่งนะ

         เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ฝึกใจเราเนี่ย กายของเราก็จะไม่มีประโยชน์นะ เพราะฉะนั้น โบราณท่านถึงว่าใจนี่สำคัญ ได้อะไรก็ไม่เท่ากับได้ตน เพราะตัวตนเป็นที่เกิดแห่งสมบัติทั้งปวงนะ เรียกว่า สวรรค์ก็อยู่ในอก นรกก็อยู่ในใจ พรหมโลกก็อยู่ในจิต นิพพานก็อยู่ในมโน นี่ท่านกล่าวอย่างงั้นนะ สวรรค์ก็อยู่ในอก นรกก็อยู่ในใจ พรหมโลกก็อยู่ในจิต นิพพานก็อยู่ในมโน ก็หมายถึงมันอยู่ในจิตในใจของเราทั้งหมดนี่แหละ
16  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทเดอ มงต์บรุน (Fort de Montbrun) เมื่อ: 01 มิถุนายน 2568 12:43:32
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/f2/ChateauMontbrun.jpg/1920px-ChateauMontbrun.jpg

ปราสาทเดอ มงต์บรุน

ปราสาทเดอ มงต์บรุน (Fort de Montbrun)

ปราสาท Fort de Montbrun หรือที่รู้จักกันในชื่อ Château de Montbrun  เป็นปราสาทยุคกลางที่ตั้งอยู่เทศบาลเมืองดูร์นาซัก จังหวัดโอต-เวียน แคว้นลีมูแซ็ง ประเทศฝรั่งเศส  ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 มีอายุกว่า 1200 ปี มีการบูรณะต่อมาในศตวรรษที่ 15 และ 19 และมีชื่อเสียงจากหอคอยทรงกระบอกอันโดดเด่นและป้อมปราการที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี ปราสาทตั้งอยู่บนแหลมหินที่มองเห็นแม่น้ำ Dordogne และทำหน้าที่เป็นจุดป้องกันเชิงยุทธศาสตร์มาโดยตลอด สถาปัตยกรรมของปราสาทสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการทหารแบบฉบับของยุคกลาง โดยมีกำแพงหินหนาและปราการที่มีป้อมปราการ

ปราสาทมงต์บรุนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการคุ้มครองโดยกระทรวงวัฒนธรรมฝรั่งเศส
17  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทคอร์วิน(Corvin Castle) เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2568 18:50:24

https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/38/Hunedoara_castle.jpg/1280px-Hunedoara_castle.jpg


ปราสาทคอร์วิน (Corvin Castle)


ปราสาทคอร์วิน (Corvin  Castle) หรือที่เรียกอีกอย่างว่าปราสาท Hunyadi หรือปราสาท Hunedoara  เป็นปราสาทสถาปัตยกรรมกอธิก-เรอแนซ็องส์ในเมืองฮูเนดออารา ( Hunedoara ) แคว้นทรานซิลเวเนีย ประเทศโรมาเนีย เป็นหนึ่งในปราสาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโรมาเนีย

ปราสาทกอร์วีนุสเริ่มต้นก่อสร้างในปี 1446 ตามดำริของยาโนช ฮูญอดี (Hunyadi János) ผู้ต้องการจะแปรสภาพป้อมปราการหลังเดิมที่สร้างขึ้นโดยพระเจ้ากาโรยที่ 1 แห่งฮังการี เดิมทีพระเจ้าซีกิสมุนท์แห่งลักเซมเบิร์ก กษัตริย์แห่งฮังการีและโครเอเชีย ได้พระราชทานปราสาทหลังนี้ให้แก่บิดาของฮูญอดี ซึ่งคือ วอยกู (Voicu หรือ Vajk) ในปี 1409

ปราสาทหลังปัจจุบันสร้างขึ้นภายใต้โครงการฟื้นฟูอย่างตระการตาหลังปราสาทถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่และถูกทิ้งร้างมานานหลายทศวรรษ มีการชี้ให้เห็นว่าสถาปนิกยุคใหม่ได้ออกแบบแผนของปราสาทไปตามการตีความตามแรงปรารถนาของตนว่าปราสาทกอธิกที่ยิ่งใหญ่ควรจะมีหน้าตาเช่นไรปัจจุบัน ปราสาทกอร์วีนุสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งของโรมาเนีย ในปี 2021 มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมราว 276,000 คน


18  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / 8 หมู่บ้านริมหน้าผาสุดอันตราย แต่มีคนอยู่จริง!! เมื่อ: 30 พฤษภาคม 2568 18:32:56
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=p3XI7ANwd_c" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=p3XI7ANwd_c</a>


8 หมู่บ้านริมหน้าผาสุดอันตราย แต่มีคนอยู่จริง!!
19  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / NGC 3921 กาแล็กซีที่โต้ตอบกันในกลุ่มดาวหมีใหญ่ เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2568 13:53:22



NGC 3921

NGC 3921 เป็นกาแล็กซีที่โต้ตอบกันในกลุ่มดาวหมีใหญ่ทางทิศเหนือการประมาณโดยใช้ค่าเรดชิฟต์ ระบุว่าอยู่ห่างจากโลกประมาณ 59 ล้านปีแสง (18 เมกะพาร์เซก) ค้นพบเมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2332 โดยวิลเลียม เฮอร์เชล และได้รับการอธิบายว่า "ค่อนข้างจาง เล็ก กลม" โดยจอห์น หลุยส์ เอมิล เดรเยอร์ผู้รวบรวม New General Catalogue

NGC 3921 เป็นเศษซากของการรวมตัวของกาแล็กซีเชื่อกันว่ากาแล็กซีต้นกำเนิดทั้งสองแห่งเป็นกาแล็กซีรูปจานที่ชนกันเมื่อประมาณ 700 ล้านปีก่อน ภาพแสดงการก่อตัวของดาวที่สังเกตได้และโครงสร้างคล้ายห่วง ซึ่งบ่งชี้ถึงการโต้ตอบกันของกาแล็กซี ด้วยเหตุนี้ NGC 3921 จึงถูกรวมอยู่ใน Atlas of Peculiar Galaxies ของ Halton Arp ภายใต้ชื่อ Arp 224

เนื่องจากเป็นกาแล็กซีประเภทดาวกระจาย NGC 3921 จึงมีคุณสมบัติที่สำคัญหลายประการ หนึ่งในนั้นคือแหล่งกำเนิดรังสีเอกซ์ที่มีความสว่างสูงมากเรียกว่า X-2 ซึ่งมีความส่องสว่างของรังสีเอกซ์เท่ากับ 8 × 10 39 erg /s นอกจากนี้ยังตรวจพบกระจุกดาวทรงกลม 2 แห่งที่เป็นไปได้ภายใน NGC 3921 ทั้งสองแห่งค่อนข้างอายุน้อย และมีมวลประมาณครึ่งหนึ่งของดาวโอเมก้าเซนทอรีซึ่งแสดงให้เห็นว่าการรวมตัวกันของดาราจักรที่มีก๊าซมากสามารถสร้างกระจุกดาวทรงกลมที่มีโลหะมากได้เช่นกัน

20  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / ควรพยายามทำจิตให้สงบ เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2568 13:38:07


ควรพยายามทำจิตให้สงบ
พระราชวัชรสังวรมุนี (สุชาติ อภิชาโต)

ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวต่อเนื่องมาจาก ที่หลวงปู่มั่นท่านสอนหลวงตา ให้ทำจิตให้สงบในเบื้องต้นก่อน ถึงแม้จะได้ยินได้ฟังธรรมมามากน้อยเพียงไรก็ตาม ถ้าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา ยังไม่สามารถทำลายกิเลสภายในใจได้ ก็แสดงว่ายังไม่มีสมาธิไม่มีความสงบพอ แต่สำหรับบางคนบางท่าน อาจจะเป็นบารมีเก่าบุญเก่า มีความสงบเดิมมาแล้ว พอฟังก็สามารถทำลายกิเลสได้เลย อย่างนั้นก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง จะบอกว่าไม่มีสมาธิก็ไม่ได้ ท่านมีอยู่แล้ว บางคนมีบุญเก่า ฟังธรรมแล้วบรรลุได้เลย ไม่ต้องนั่งหลับตาพุทโธๆ ฟังธรรมปั๊บก็ตัดกิเลสภายในใจได้เลย แต่ถ้าฟังแล้วกิเลสก็ยังไม่ตาย อย่างนี้แสดงว่ายังไม่มีความสงบพอ ยังโลภ ยังอยาก ยังต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ ก็พยายามทำจิตใจให้สงบก่อน เมื่อจิตสงบแล้วก็พิจารณาสิ่งต่างๆให้เห็นว่าเป็นไตรลักษณ์ เมื่อเห็นเป็นไตรลักษณ์แล้วก็จะปล่อยวางได้ ก็จะไม่อยากไม่โลภไม่ต้องการสิ่งต่างๆ มีแต่ความอิ่มความพอไปตลอด แสนจะสบาย ไม่รู้จะเอามาทำไมมากมายก่ายกอง เอามาแล้วก็ไม่เคยอิ่มไม่เคยพอเสียที เพราะไม่ได้ให้อาหารของใจ กลับไปให้อาหารกับกิเลส ยิ่งให้อาหารกิเลสๆก็ยิ่งตัวใหญ่ขึ้น ยิ่งโลภมากขึ้น ยิ่งอยากมากขึ้น ยิ่งทุกข์มากขึ้น ถ้าจะให้อาหารใจ ต้องให้สมาธิ ต้องให้ปัญญา ต้องให้ทาน ให้ศีล ถึงจะเป็นอาหารของใจ ถ้าใจได้อาหารครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว จะไม่หิว ไม่อยาก ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นลาภยศสรรเสริญสุขต่างๆในโลกนี้ ที่คนในโลกนี้บูชากัน นับถือกัน ยกย่องกัน อยากได้กัน จะไม่มีความรู้สึกในจิตใจเลย ขอให้อยู่ตามลำพังไม่ต้องวุ่นวายกับใครก็พอแล้ว

ดังนั้นควรพยายามทำจิตให้สงบ ให้มีสติอยู่เรื่อยๆ ดึงใจให้อยู่ในปัจจุบันอย่าปล่อยให้ไปไกล ให้อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง เพราะจะทำให้จิตนิ่ง ถ้าอยู่กับหลายอารมณ์แล้วจะไม่นิ่ง จะแกว่งไปแกว่งมา ถ้าให้อยู่กับพุทโธก็พุทโธไป อยู่กับลมก็ดูลมไป อยู่ที่จุดเดียว อยู่ตรงจุดที่ลมสัมผัส ถ้าจะสวดมนต์ไปก่อนก็สวดมนต์ไป ให้อยู่กับบทสวดมนต์ไป หรือจะพิจารณาด้วยปัญญาเลยก็ได้ เรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ พิจารณาดูอาการ ๓๒ ของร่างกายไปเรื่อยๆ ก็ทำให้จิตสงบได้เหมือนกัน แล้วแต่จะถนัด เมื่อจิตสงบนิ่งอยู่ได้นานเท่าไหร่ก็ปล่อยให้นิ่งไป ตอนนั้นไม่ต้องทำอะไร อย่าไปเจริญปัญญาในตอนนั้น ตอนที่จิตสงบนิ่งปล่อยให้นิ่งไป เหมือนคนนอนหลับ อย่าไปปลุกให้ขึ้นมาทำงาน จะรำคาญ จะหงุดหงิด ให้นอนหลับให้พอ ให้จิตพักให้พอ พอจิตพักพอแล้วจะถอนออกมาเอง จะเริ่มคิดปรุง ก็อย่าปล่อยให้คิดเรื่อยเปื่อยเหมือนที่เคยคิด ให้คิดเป็นเรื่องเป็นราว ให้คิดพิจารณาร่างกายในเบื้องต้น พิจารณาดูไตรลักษณ์ของร่างกาย ว่าเป็นอย่างไร  พิจารณาดูให้เห็นว่าเป็นธาตุ ๔ พิจารณาให้เห็นว่าเป็นอสุภไม่สวยไม่งาม เพื่อจะได้ไม่หลงยึดติดกับร่างกาย จากนั้นก็พิจารณาเวทนา มีสุข มีทุกข์ มีไม่สุขไม่ทุกข์ ต้องปล่อยให้เขาเป็นไปตามเรื่องของเขา พิจารณาสังขารสัญญาว่าเกิดดับเกิดดับอยู่ตลอดเวลา สังขารความคิดปรุงแต่ง คิดแล้วก็ดับไป แล้วก็คิดใหม่ สัญญาจำได้แล้วก็ดับไป แล้วก็จำขึ้นมาใหม่ ไม่มีตัวตน ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เป็นสภาวธรรม ให้รู้ทัน จะได้ไม่หลงตาม เช่นสัญญาว่าคนนั้นเป็นคน เป็นหญิง เป็นชาย ก็จะไม่หลงตามถ้ามีปัญญา จะเห็นว่าเป็นแค่ธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ เป็นแค่อาการ ๓๒ มารวมกันแล้วก็อยู่กันไปชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็ล้มหายตายจากไป ขอให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง หรือตายไปก่อน.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๑๓ กัณฑ์ที่ ๓๘๒     
วันที่  ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑
หน้า:  [1] 2 3 ... 62
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.238 วินาที กับ 21 คำสั่ง