งานช่างลายแทง บนที่เขี่ยบุหรี่ขององเชียงสือที่เขี่ยบุหรี่กะไหล่ทอง ศิลปะเวียด พุทธศตวรรษที่ ๒๔ เงินกะไหล่ทอง ลงยาสี ประดับแก้วสี ความสูงรวมกลีบบัว ๑๑ เซนติเมตร ปากกว้าง ๑๕.๕ เซนติเมตร พระยาคำนวณคัคณานต์ (ศรี ปายะนันทน์) มอบให้เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๕๔ เลขทะเบียน ๐๑/๒๔๘๖/๒๕๖๕ (ก.๔๙๖๘) ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องโลหศิลป์ พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร |
ที่เขี่ยบุหรี่เงินกะไหล่ทองฝีมือช่างลายแทง (Filigree) รูปทรงคล้ายกระโถนปากผายขอบหยักโค้ง ตัวกระโถนและปากเดินเส้นโลหะขดตกแต่งพื้นเป็นลวดลายก้นหอย ขอบในของปากกระโถนประดับกลีบบัวเดินเส้นโลหะขดโปร่งเป็นลวดลายก้นหอย จำนวน ๑๒ กลีบ ซึ่งมีกลไกสามารถบานออกเมื่อยกที่เขี่ยบุหรี่ขึ้นสูงจากพื้น และหุบกลีบบรรจบกันเป็นบัวตูมเมื่อตั้งบนพื้นราบ ริมขอบปากกระโถนฝังแก้วสีแดงเจียระไนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยรอบ บริเวณปากประดับรูปสัตว์น้ำ ได้แก่ ปลา ปู กุ้ง ลงยาสีต่างๆ สลับกับสาหร่ายหางกระรอก ส่วนลำตัวที่เขี่ยบุหรี่ประดับแผ่นโลหะกะไหล่ทองเป็นช่องหยักโค้ง ๔ ช่อง แต่ละช่องบรรจุแผ่นกะไหล่ทองลงยาสีลายมงคลช่องละ ๒ สิ่ง ปัจจุบันชำรุดไปเหลือเพียง เงื่อนอนันตภาคย์-ปลา และดอกบัว-คทาหยู่อี่ ซึ่งลายมงคลนี้บางอย่างตรงกับ “อัษฏมงคล” สัญลักษณ์เป็นมงคล ๘ อย่าง ตามคติพุทธศาสนามหายาน ได้แก่ เงื่อนอนันตภาคย์ ปลาคู่ ดอกบัว สังข์ หม้อน้ำ ฉัตร ธรรมจักร และธงชัย
ที่เขี่ยบุหรี่กะไหล่ทองใบนี้ตามประวัติระบุว่า เมื่อเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๔๕๔ พระยาคำนวณคัคณานต์ (ศรี ปายะนันทน์)๑ ได้มอบที่เขี่ยบุหรี่ทำด้วยเงินกะไหล่ทองแก่พิพิธภัณฑสถาน โดยเป็นมรดกได้รับสืบต่อมา กล่าวกันว่าเป็นขององเชียงสือ (พระเจ้าเวียดนามยาลอง ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์เหงียน แห่งเวียดนาม) แต่จะได้มาเมื่อครั้งเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือเป็นของให้อย่างใดทางใดนั้น พระยาคำนวณคัคณานต์ไม่ทราบแน่ชัด
ความเกี่ยวเนื่องระหว่างองเชียงสือกับงานประณีตศิลป์ฝีมือช่างลายแทงนี้ ปรากฏหลักฐานตามพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) บันทึกว่าในพุทธศักราช ๒๓๓๑ องเชียงสือถวายต้นไม้ทอง ต้นไม้เงินที่เป็นงานช่างลายแทง แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ดังนี้ “ครั้นมาถึงเดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ ในปีวอกนั้น (๒๗ กันยายน ๒๓๓๑) องเชียงสือมีหนังสือบอกเข้ามาฉบับหนึ่ง ใจความในหนังสือว่า ณ เดือน ๑๐ ขึ้น ๖ ค่ำ องเชียงสือตีได้เมืองไซ่ง่อน เมืองโลกนาย เมืองบาเรียแล้ว ครั้นมา ถึงเดือน ๑๒ องเชียงสือคิดถึงพระเดชพระคุณ จึ่งให้ทำต้นไม้เงิน ๑ ทอง ๑ ด้วยฝีมือช่างลายแทงทั้งต้นแลกระถางสูง ๒๐ นิ้ว แต่งให้องโบโฮคุมเข้า มาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ก็โปรดให้ไปบูชาไว้ในหอพระเจ้า” |
งานช่างลายแทง : Filigreeงานช่างลายแทง เป็นกรรมวิธีในการตกแต่งโลหะ หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า “Filigree” ตามพจนานุกรมศัพท์ศิลปะ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายว่า “ผลงานประณีตศิลป์ที่ทำขึ้นจากเส้นลวดทอง เงิน หรือทองแดง ถักเชื่อมเป็นลวดลายอย่างละเอียด ประณีตวิจิตรบรรจง บางครั้งใช้ตกแต่งบนพื้นทองและเงิน”
คำว่า Filigree ในภาษาอังกฤษกร่อนมาจากคำว่า Filigreen ซึ่งมาจากคำภาษาละตินว่า Filum แปลว่า “ลวด” และ “Granum” แปลว่า เม็ด หรือหยด ซึ่งในที่นี้หมายถึงเม็ดโลหะไข่ปลาขนาดเล็ก งานช่างลายแทงจึงเป็นกรรมวิธีในการตกแต่งชิ้นงานโลหะ ด้วยการบัดกรีชิ้นส่วนของเส้นลวดโลหะที่มีความยาวต่างกัน ขดม้วนแตะกันเป็นโครงตาข่าย งานช่างลายแทงมักพบคู่กับการตกแต่งด้วยเม็ดไข่ปลา (Granulation)
ชาวอียิปต์รู้จักทำเส้นลวดทองแดงเมื่อประมาณ ๕,๕๐๐ ปีมาแล้ว และน่าที่จะใช้ความรู้จากการทำลวดทองแดงมาใช้ในการทำลวดทองคำ จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่นครเออร์ (เมืองโบราณของชนชาติสุเมเรียน อยู่ทางใต้ของกรุงบาบิโลน) พบชามทำด้วยเงินประดับด้วยทองคำผสมเงินที่ทำเป็นเส้นๆ สอดขัดประสานกัน และแผ่นโลหะทำด้วยทองคำผสมเงินและเส้นเงิน จากนั้นเทคนิคดังกล่าวแพร่หลายมาสู่กรีกและโรมันตามลำดับ
สำหรับการทำงานช่างลายแทงในปัจจุบัน มีขั้นตอนการผลิตโดยสรุป ดังนี้
๑. ออกแบบชิ้นงานและออกแบบลวดลายลงบนกระดาษ
๒. หลอมและรีดดึงเส้นโลหะให้แบน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๐.๓ มิลลิเมตร หรือตามขนาดที่ต้องการ ทำการดัดเพื่อขึ้นโครงตามแบบที่กำหนดไว้
๓. เชื่อมรอยต่อโครงด้วยน้ำยาประสานกับความร้อน
๔. นำเส้นโลหะขนาด ๐.๐๑ มิลลิเมตร จำนวน ๒ เส้น มาตีเกลียวและรีดแบนด้วยเครื่องรีดเส้น ตัดและดัดเส้นโลหะด้วยมือหรืออุปกรณ์ตามลวดลาย
๕. วางเส้นโลหะที่ดัดแล้วลงในช่องโครงให้แน่นชิดสวยงามไม่หลุดห่างจากกัน
๖. เชื่อมลายด้วยน้ำยาประสานกับความร้อน โดยอาจแบ่งเชื่อมทีละส่วนหรือบรรจุลายให้เต็มทั้งชิ้นแล้วเชื่อมลายทั้งหมดพร้อมกันทีเดียว
๗. ลบคมชิ้นงานด้วยตะไบท้องปลิง หรือขัดด้วยกระดาษทรายละเอียดเบอร์ ๓๒๐ ขัดทำความสะอาดผิวครั้งสุดท้ายด้วยแปรงทองเหลืองและผงร่อน---------------------------
๑ บุตรพระสามภพพ่าย (ติ่ง) จางวางกรมช่างทหารในขวา ในสมัยรัชกาลที่ ๔ กับนางหนูที่มา นิตยสารรายสองเดือน
ศิลปากร กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร
บทความโดย ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ภัณฑารักษ์ชำนาญการ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร