[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มิถุนายน 2568 19:50:16 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2 3 ... 306
1  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: สำนวน-โวหาร-สุภาษิต และคำพังเพย เมื่อ: วานนี้


จิตรกรรมฝาผนัง วัดกลางบางแก้ว ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

๏ พระฟังคำรํ่าวอนล้วนอ่อนหวาน        แสนสงสารสุดจิตคิดไฉน
จะชิดชมสมเคราะห์อุ้มเหาะไป        ก็เกรงใจยุพินกินรี
แม้นมีรถคชชานั้นมาด้วย        จะรับช่วยไปบำรุงไว้กรุงศรี
นี่จนจริงสิ่งไรก็ไม่มี        อยู่ที่นี่ก่อนเถิดเจ้าเยาวมาลย์

ที่มา สิงหไกรภพ ผลงานประพันธ์ของ สุนทรภู่
ตอน รามวงศ์พานางแก้วกินรีหนีออกจากเมืองกาลวาศ
------------------------------

นางกินรี คือ นางในวรรณกรรมและศิลปะไทย เป็นอมนุษย์ที่สวยงาม รูปร่างครึ่งคนครึ่งนก มีท่อนบนเป็นมนุษย์ผู้หญิง
ท่อนล่างเป็นนก  มีปีกสามารถบินได้ อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ บริเวณเชิงเขาไกรลาส    "กินรี" มักปรากฏในภาพวาด
รูปปั้น และงานศิลปะต่างๆ ในวรรณคดี : กินรีปรากฏในวรรณคดีหลายเรื่อง เช่น เรื่องพระสุธน-มโนราห์ ซึ่งเป็นที่รู้จัก
ในชื่อ "มโนราห์"  และการแสดง : มีการแสดงรำกินรี ซึ่งเป็นการแสดงที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ

2  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / ชาวดองโกโตโน่ (Dongotono people) : กลุ่มชาติพันธุ์ในแอฟริกา เมื่อ: วานนี้


ชาวดองโกโตโน่ (Dongotono people)
กลุ่มชาติพันธุ์ในแอฟริกา


ชาวดองโกโตโน่ (Dongotono people) ป็นกลุ่มชาติพันธุ์ของซูดานใต้ อาศัยอยู่บริเวณเทือกเขา Dongotono ในรัฐอิเควทอเรียตะวันออกของซูดานใต้ เมืองหลักของพวกเขาคืออิโซเกะ ปายัม (Isoke Payam) และอิโคทอส (Ikotos)

พวกเขานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิก ประชากรของพวกเขามีมากกว่า ๑๒๐,๐๐๐ คน และพูดภาษานิโลติค โลตูโกะ (Nilotic Lotuko) หลากหลายภาษา โดยเฉพาะภาษาดงโกโตโน (Dongotono)






Sources:
- Photo Gallery: © Lastplaces.com / South Sudan - humansworld.org
- wikipedia.org

3  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม (หลวงพ่อพูล อตฺตรกฺโข) เมื่อ: 27 มิถุนายน 2568 17:53:38


หลวงพ่อสุโขทัย พระประธานในอุโบสถวัดไผ่ล้อม นครปฐม
เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย สร้างขึ้นด้วยเนื้อโลหะ ลงรักปิดทอง มีขนาดหน้าตักกว้าง ๔ ศอก ๙ นิ้ว
พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นโดยหลวงพ่อพูล เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐


วัดไผ่ล้อม
ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม

วัดไผ่ล้อม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ในตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม  สันนิษฐานกันว่าสร้างวัดไผ่ล้อมขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในยุคนั้นได้มีการเกณฑ์ชาวมอญที่อยู่ใต้โพธิสมภารมาช่วยกันบูรณะองค์พระปฐมเจดีย์ ชาวมอญได้พักอาศัยอยู่บริเวณสวนป่าไผ่ใกล้องค์พระปฐมเจดีย์ ต่อมาบริเวณนั้นร้างผู้คน ดงไผ่ขึ้นหนา พระภิกษุผู้แสวงหาธรรมหลายรูปต่างจาริกมาวิเวก ปักกลดบำเพ็ญสมณธรรม ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเห็นว่า สถานที่บริเวณนี้สมควรตั้งเป็นสำนักสงฆ์ จึงได้อาราธนาพระภิกษุจากวัดพระปฐมเจดีย์มาจำพรรษาเป็นครั้งคราว เมื่อมีภิกษุจำพรรษามากขึ้น ชาวบ้านได้ช่วยกันถางป่าไผ่เพื่อไปทำที่อยู่อาศัย จะมีหลงเหลืออยู่บ้างก็บริเวณรอบ ๆ วัดเท่านั้น จึงกลายเป็นที่มาของชื่อวัด

วัดไผ่ล้อมขาดเจ้าอาวาสอยู่นาน กระทั่ง พ.ศ.๒ู๔๘๖ ทางคณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้งพระอาจารย์พูล อตตรกโข ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่วัดพระงามขึ้นดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ท่านได้ร่วมกับญาติโยมสร้างอุโบสถ โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๐ และแล้วเสร็จในอีก ๓ ปีต่อมา ในสมัยของท่านยังได้สร้างเสนาสนะต่าง ๆ เช่น ศาลาการเปรียญ โรงเรียนปริยัติธรรม ศาลาฌาปนสถาน ศาลาปฏิบัติ หอระฆัง กุฏิสงฆ์ โรงเรียนวัดไผ่ล้อม เป็นต้น

ต่อมาในวันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๘  พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะวัดไผ่ล้อมขึ้นเป็นพระอารามหลวงชั้นตรีชนิดสามัญ เพื่อเฉลิมพระเกียรติและเป็นพระราชกุศลเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗

อาคารเสนาสนะ : อุโบสถหลังเก่าสร้างมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐ ได้ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา จึงได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ขนาดความกว้าง ๙ เมตร ความยาว ๒๑ เมตร เป็นสถาปัตยกรรมทรงไทยประยุกต์ ๒ ชั้น คอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นปูหินอ่อน บานประตูหน้าต่างไม้สักแกะสลัก ๓ ชั้น ส่วนผนังด้านในเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติและผนังด้านนอกเป็นลายปูนปั้นรูปเทพทรงพระขรรค์ กำแพงแก้ว ประดับด้วยเสาหงส์คาบไฟ และลูกแก้วองค์พระปฐมเจดีย์ ปูพื้นหินแกรนิต ซุ้มเสมา ศิลปะอยุธยา ซุ้มประตู ๔ ทิศ ปั้นเทพประจำทิศทั้งแปด พร้อมปูนปั้นเป็นท้าวเวสสุวรรณ ๘ องค์ ภายในอุโบสถประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย เนื้อโลหะลงรักปิดทองขนาดหน้าตัก ๔ ศอก ๙ นิ้ว สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐

ศาลาการเปรียญ (ปุริมานุสรณ์) ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๓๔ เป็นอาคารทรงไทยประยุกต์ โครงสร้างส่วนใหญ่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ๒ ชั้น มีขนาดกว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๓๒ เมตร หอระฆังเป็นลักษณะทรงไทยประยุกต์ สูง ๓ ชั้น มีหอกลองหอระฆังอยู่ในที่เดียวกันด้านหน้ากุฏิเจ้าอาวาส เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๐ นอกจากนี้ยังมีวิหารประดิษฐานสังขารหลวงพ่อพูล สถาปัตยกรรมไทย ยอดทรงมณฑป หลังคาจัตุรมุข ซ้อน ๒ ชั้น

ปูชนียวัตถุที่สำคัญได้แก่ พระพุทธรูปปางประทานอภัย พระประธานประจำอุโบสถหลังเดิม เป็นพระพุทธรูปปางขัดสมาธิ ศิลปะเชียงแสน ปั้นด้วยปูน หน้าตักกว้าง ๒ ศอก ๑ คืบ สูงประมาณ ๑.๕๐ เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒



พระพุทธเมตตาประทานพร วัดไผ่ล้อม ต้นแบบมาจากพระพุทธเมตตา ในประเทศอินเดีย
มีขนาดหน้าตักกว้าง ๕ เมตร สูง ๗ เมตร ยกพระหัตถ์ขวาประทานพร เป็นการแสดงออกถึงความปรารถนาดี
และความเอื้ออาทรต่อผู้ที่มาขอพร ให้ได้รับความสุข ความเจริญ และความสำเร็จในชีวิต



สรีระสังขารพระมงคลสิทธิการ (พูล อตฺตรกฺโข) บรรจุโลงแก้ว ประดิษฐานภายในวิหาร
การบรรจุศพพระในโลงแก้วมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการสักการะบูชา และเพื่อเป็นการเก็บรักษาสภาพร่างไม่ให้เน่าเปื่อย หรือเน่าเปื่อยช้าลง
การนำโลงแก้วมาใช้บรรจุศพพระเป็นที่นิยมในประเทศไทยและบางประเทศในแถบเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียง
และเป็นที่เคารพ ในทางความเชื่อของศาสนาพุทธ การบรรจุศพในโลงแก้วยังแสดงถึงความเคารพและความศรัทธาต่อพระสงฆ์ผู้มีคุณธรรม
และบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม  และศพที่บรรจุในโลงแก้วไม่ได้หมายความว่าร่างกายจะคงสภาพอยู่ได้ตลอดไป  หากแต่เป็นการชะลอการ
เน่าเปื่อย และหากมีการจัดการที่ไม่เหมาะสมก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาการเน่าเปื่อย


อุโบสถวัดไผ่ล้อม นครปฐม
ลักษณะเป็นทรงไทยประยุกต์ พื้นปูหินอ่อน บานประตูหน้าต่างเป็นไม้สักแกะสลัก
ผนังด้านในเป็นภาพจิตรกรรมเกี่ยวกับพุทธประวัติ ผนังด้านนอกเป็นลายปูนปั้นรูปเทพทรงพระขรรค์







หลวงพ่อพูล หรือพระมงคลสิทธิการ (พูล อตฺตรกฺโข) เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม
มีชื่อเสียงในด้านเมตตามหานิยมและวิชาอาคมที่เข้มขลัง ท่านเป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน
ปัจจุบันร่างของท่านที่ไม่เน่าไม่เปื่อยได้ถูกบรรจุในโลงแก้วที่วัดไผ่ล้อม เพื่อให้ผู้คนได้กราบไหว้สักการะ





4  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / Re: มัสตาร์ดครีโอล เมื่อ: 26 มิถุนายน 2568 18:04:14



มัสตาร์ดครีโอล

มัสตาร์ดครีโอลเป็นเครื่องปรุงรสที่พบได้ทั่วไปในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งลุยเซียนา

มัสตาร์ดครีโอลเป็นส่วนผสมหลักของอาหารสไตล์นิวออร์ลีนส์โดยได้รับอิทธิพลจากสเปน ฝรั่งเศส แอฟริกัน และเยอรมนี

มัสตาร์ดทำมาจากเมล็ดมัสตาร์ดสีน้ำตาลที่หมักในน้ำส้มสายชู มักเป็นน้ำส้มสายชูไวน์ขาวมะรุมและเครื่องเทศต่างๆ ก่อนบรรจุหรือบด ลักษณะเป็นเม็ดๆ เนื่องมาจากการใช้เมล็ดมัสตาร์ดที่ บดหยาบ

มัสตาร์ดครีโอลเป็นเครื่องปรุงรสอเนกประสงค์ที่มักใส่ในแซนด์วิช โปบอยและใช้เป็นซอสน้ำสลัดและดิปสำหรับทุกอย่าง ตั้งแต่ผักสลัดเพรตเซลและมันฝรั่งทอด มัสตาร์ดครีโอลสามารถใช้หมักเนื้อสัตว์ และใส่ในอาหารทะเล เช่น เค้กปู อาหารทะเลชุบแป้งทอด หรือเสิร์ฟเป็นน้ำเคลือบหรือซอสจิ้มก็ได้ นอกจากนี้ มัสตาร์ดครีโอลยังเป็นส่วนผสมหลักที่พบในซอสเรมูเลด สไตล์นิวออร์ลีนส์หรือสไตล์ครีโอลอีกด้วย
5  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / ปลาสแนปเปอร์แดงราดซอสครีมครีโอล เมื่อ: 26 มิถุนายน 2568 17:53:06
.



              ปลาสแนปเปอร์แดงราดซอสครีมครีโอล


ส่วนผสม     .
      - เนื้อปลาสแนปเปอร์แดง         4 ชิ้น
      - น้ำมันมะกอก       2 ช้อนโต๊ะ
      - เกลือและพริกไทย     (สำหรับปรุงรส - ตามชอบ)
      - ครีมข้น         1 ถ้วย
      - น้ำซุปไก่         ½ ถ้วย
      - หอมหัวเล็ก สับละเอียด         1 หัว
      - พริกหยวก สับละเอียด         1 เม็ด
      - กระเทียม สับละเอียด         2 กลีบ
      - เครื่องปรุงรสครีโอล         1 ช้อนโต๊ะ
      - ปาปริก้า         1 ช้อนชา
      - พริกป่น         ½ ช้อนชา (ไม่จำเป็น)
      - เนย         1 ช้อนโต๊ะ
      - ผักชีฝรั่งสดสับ         1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
       1. ปรุงปลา : ปรุงรสเนื้อปลาสแนปเปอร์ด้วยเกลือและพริกไทย ตั้งน้ำมันมะกอกให้ร้อนในกระทะบนไฟปานกลาง
           ปรุงเนื้อปลาประมาณ 3-4 นาทีต่อด้าน จนปลาสุก ตักขึ้นแล้วพักไว้
        2. ผัดผัก : ใส่เนยลงในกระทะใบเดิม ผัดหัวหอมและพริกหยวกจนนิ่ม ประมาณ 3-4 นาที ใส่กระเทียมและผัดจนหอม ประมาณ 1 นาที
        3. ทำซอส : ใส่เครื่องปรุงครีโอล พริกปาปริก้า และพริกป่นลงไป เทน้ำซุปไก่และวิปครีมลงไป เคี่ยวส่วนผสมจนเดือด ผัดจนซอสข้น ประมาณ 5-7 นาที
        4. ใส่เนื้อปลาสแนปเปอร์กลับลงในกระทะ ราดซอสลงไปด้านบน ผัดต่ออีก 2-3 นาที
        5. เสิร์ฟ : ตกแต่งด้วยผักชีฝรั่งสับก่อนเสิร์ฟ



6  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / ประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งของการซักผ้าในสมัยโบราณ เมื่อ: 25 มิถุนายน 2568 17:14:21



ประวัติศาสตร์อันน่าทึ่งของการซักผ้าในสมัยโบราณ

อารยธรรมยุคแรกมักพบว่าซักผ้าอย่างลำบากริมแม่น้ำในท้องถิ่น ซึ่งเป็นวิธีการที่เหนื่อยแต่ได้ผลดีและยังคงใช้กันในหลายพื้นที่ในปัจจุบัน โดยเราจะเห็นการซักผ้าอย่างกว้างขวางเกิดขึ้นในสถานที่ยอดนิยม เช่น ริมฝั่งแม่น้ำคงคาและทะเลสาบวิกตอเรีย

อารยธรรมโบราณส่วนใหญ่พัฒนาขึ้นมาโดยมีแหล่งน้ำอย่างน้อยหนึ่งแหล่ง น้ำมีความสำคัญต่อหลายๆ ด้านของชีวิตประจำวัน เช่น การดื่มน้ำ การจัดหาอาหาร การขนส่ง และการชลประทานพืชผล ระบบน้ำยังถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในการทำความสะอาดทั้งผู้คนและเสื้อผ้าที่สวมใส่

เสื้อผ้ามักจะถูกตีด้วยหิน ขัดด้วยทรายหรือหินที่มีฤทธิ์กัดกร่อน และถูกทุบด้วยเท้าหรือด้วยเครื่องมือไม้  ชาวโรมันได้นำแนวคิดพื้นฐานในการซักผ้านี้มาใช้และผลักดันให้กลายเป็นอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากเปลี่ยนจากผ้าทอมือมาเป็นเสื้อผ้าที่ผลิตราคาถูกกว่าซึ่งทำให้มีเสื้อผ้าในตู้ที่มากขึ้นและเปลี่ยนได้บ่อยขึ้น การซักผ้าอย่างมีประสิทธิภาพก็กลายเป็นสิ่งจำเป็น ความต้องการดังกล่าวได้รับการสนับสนุนมากขึ้นจากความสำคัญของสุขอนามัยและรูปลักษณ์ภายนอกที่ชาวโรมันมอบให้ และในที่สุด คนงานซักผ้าชาวโรมัน (ผู้ซักผ้าที่ย้อม ซัก และตากผ้าทุกประเภท) ก็กลายมาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของชาวโรมัน

ก่อนที่คุณจะชื่นชมความเฉลียวฉลาดของชาวโรมันและเปรียบเทียบร้านค้าของพวกเขากับร้านซักรีดในปัจจุบัน ควรทราบไว้ก่อนว่าร้านซักรีดจะซักเสื้อผ้าที่ได้รับมาด้วยปัสสาวะของมนุษย์ที่เก็บมาจากห้องน้ำสาธารณะ  ปัสสาวะซึ่งมีส่วนผสมของแอมโมเนียถือเป็นสารทำความสะอาดที่สำคัญในสมัยโรมัน รวมถึงในยุโรปยุคกลางด้วย โดยปัสสาวะมักถูกเรียกว่าแชมเบอร์ไลต์และมักใช้เป็นน้ำยาขจัดคราบเพื่อละลายไขมัน คลายสิ่งสกปรก และฟอกผ้าที่เหลือง  จนกระทั่งศตวรรษที่ 19 แม่บ้านในสมัยนั้นจึงมีสบู่สำหรับซักผ้าซึ่งดีกว่าการใช้ปัสสาวะของมนุษย์

การซักผ้าในยุคกลาง การซักผ้าจากแม่น้ำ: เมื่อวัฒนธรรมพัฒนาขึ้น จำนวนประชากรก็เพิ่มขึ้น และเมืองต่างๆ ก็กลายเป็นศูนย์กลางเมืองที่เฟื่องฟู พื้นแม่น้ำและกองหินก็ไม่เพียงพอสำหรับผู้คนจำนวนมาก สิ่งของหลายอย่างที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการซักผ้าจึงกลายเป็นเรื่องธรรมดา เช่น อ่างซักผ้าไม้ขนาดใหญ่และอ่างซักผ้าแบบมีล้อ หรืออ่างสำหรับซักผ้าแบบมีล้อ ซึ่งเป็นอ่างสูงที่ใช้ตีและคนผ้าด้วยไม้ปั๊ม การซักผ้าในยุคนี้ต้องใช้แรงกายมาก และมักทำโดยคนรับใช้และแม่บ้านที่ยากจนเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นกระบวนการที่น่าเบื่อหน่ายที่เรียกว่า “การซักผ้าครั้งใหญ่” อันที่จริงแล้ว ความยาวนานและความเข้มข้นของขั้นตอนการซัก (กระบวนการทั้งหมดมักใช้เวลาสองสามวันโดยต้องซักล่วงหน้า แช่ผ้าไว้ 24 ชั่วโมง ซักเสื้อผ้าประมาณ 15 ชั่วโมงเนื่องจากต้องอุ่นน้ำด่างซ้ำๆ ซักผ้าปูที่นอนที่แช่น้ำด่างอีกครั้ง และสุดท้ายคือขั้นตอนการล้างและอบแห้ง) ประกอบกับความจริงที่ว่าผู้คนมีความภูมิใจในการมีผ้าปูที่นอนเพียงพอเพื่อหลีกเลี่ยงความจำเป็นต้องซักบ่อยๆ ทำให้ครัวเรือนต่างๆ ควรซักเสื้อผ้าทั้งหมดในเวลาเดียวกันทุกๆ สองสามสัปดาห์




การซักผ้าในช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม การเติบโตของกระดานซักผ้า : การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มต้นขึ้นเมื่อการซักผ้าเริ่มมีคุณลักษณะบางอย่างที่เป็นที่รู้จักมากขึ้น  กระดานซักผ้ายอดนิยมซึ่งโดยทั่วไปมักเชื่อกันว่าเป็นของชาวสแกนดิเนเวีย ได้รับการปรับปรุงอย่างมากในอเมริกาในศตวรรษที่ 19 หลังจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้โครงไม้เนื้อแข็งแบบดั้งเดิมได้รับการปรับปรุงด้วยวัสดุต่างๆ เช่น แผ่นโลหะแบบมีร่องและยาง กระดานซักผ้ามีขนาดเล็ก พกพาสะดวก และมีประสิทธิภาพ ทำให้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในครัวเรือนได้อย่างรวดเร็ว ความสะดวกในการใช้งาน ประกอบกับสบู่ที่หาซื้อได้ง่ายและราคาจับต้องได้ ซึ่งขับเคลื่อนโดยความตระหนักรู้ด้านสุขภาพและสุขอนามัยที่เพิ่มมากขึ้นของสังคม ยังช่วยทำให้แนวคิดเรื่องการซักผ้าเป็นประจำเป็นที่ยอมรับมากขึ้นด้วย ซึ่งเห็นได้จากความนิยมของวันซักผ้าในวันจันทร์ตลอดช่วงยุควิกตอเรีย โดยมีเหตุผลว่าเสื้อผ้าที่ซักในวันจันทร์มีเวลาเพียงพอที่จะทำให้แห้ง รีด ตาก และพับก่อนวันอาทิตย์

การซักผ้าในปัจจุบัน เทคโนโลยีขั้นสูง : ในขณะที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และเคมี ในโลกที่พูดภาษาอังกฤษและบางส่วนของยุโรป การซักผ้าแบบโบราณแทบจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องมือ สบู่ และผงซักฟอกที่ปฏิวัติวงการ ส่งผลให้มีเครื่องซักผ้าไฟฟ้าเครื่องแรกในปี 1908 และเครื่องซักผ้าอัตโนมัติเครื่องแรกในปี 1951

ปัจจุบัน เครื่องซักผ้ายังคงเป็นอุปกรณ์หลักของบ้านสมัยใหม่ รวมถึงเครื่องมือซักผ้าอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วนที่ออกแบบมาเพื่อลดความซับซ้อนและปรับปรุงคุณภาพการซักผ้า รวมถึงเครื่องอบผ้าแบบไฟฟ้า เตารีด ราวตากผ้า และอุปกรณ์แขวนอื่นๆ











7  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า / Re: จิตรกรรม/ประติมากรรม ในพุทธประวัติ เมื่อ: 25 มิถุนายน 2568 15:43:43

พระเจ้าเนมิราช แห่งวิเทหะ เสด็จท่องนรกภูมิไปใด้ด้วยราชรถวิเศษ
ภาพ : จิตรกรรมฝาผนัง วัดกลางบางแก้ว ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

พระเนมิราช ในเรื่องเนมิราชชาดก ซึ่งเป็น ๑ ใน ๑๐ ชาติของพระพุทธเจ้า (ทศชาติชาดก)
ทรงเป็นพระราชาผู้ครองเมืองมิถิลา และเป็นผู้บำเพ็ญอธิษฐานบารมีอย่างยิ่งยวด ทรงตั้งมั่น
ในการบำเพ็ญทาน ศีล และบำเพ็ญเพียรทางธรรม ด้วยผลบุญที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ ทำให้
เป็นที่รักของเทวดา โดยเฉพาะพระอินทร์   พระอินทร์ส่งมาตุลีเทพบุตรมาเชิญพระเนมิราช
เสด็จไปชมสวรรค์และนรก  แม้จะได้เห็นสวรรค์และนรกแล้ว พระเนมิราชก็ยังทรงกลับมายัง
โลกมนุษย์ เพื่อสั่งสอนประชาชนให้ประพฤติดีและทำบุญ และในที่สุด พระเนมิราชทรงสละ
ราชสมบัติและออกผนวชเพื่อบำเพ็ญธรรมต่อไป



8  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / ชาวดิซี (Dizi people) : กลุ่มชาติพันธุ์ในแอฟริกา เมื่อ: 23 มิถุนายน 2568 17:03:53


ชาวดิซี (Dizi people)
กลุ่มชาติพันธุ์ในแอฟริกา


ชาวดิซี (Dizi people) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในเอธิโอเปียตอนใต้ (southern Ethiopia) โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณที่ราบสูงรอบเมืองมาจี (Maji) พวกเขาเป็นชนพื้นเมืองที่พูดภาษาดีซิน (Dizin) ซึ่งเป็นภาษาในตระกูลออมติก (Omotic)

ชาวดีซีมีวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม โดยปลูกข้าวบาร์เลย์และพืชอื่นๆ รวมถึงเลี้ยงสัตว์เช่น วัว แกะ และไก่ พวกเขายังมีระบบชนชั้นทางสังคมและแบ่งออกเป็น ๒๐ เผ่า

ชาวดีซีมีความเชื่อทางจิตวิญญาณ โดยบูชาพระเจ้าสูงสุดหรือพระผู้สร้างที่เรียกว่า "ซากู" (Saagu) พวกเขาเชื่อว่าซากูเป็นผู้สร้างทุกสิ่งในโลกของชาวดีซี และเป็นผู้ที่อยู่เหนือเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ชาวดีซีมักจะทำพิธีสวดมนต์และบูชาซากูในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ

ในอดีต ชาวดีซีเคยเป็นอิสระ แต่ถูกผนวกเข้ากับจักรวรรดิเอธิโอเปียในช่วงทศวรรษ ๑๘๙๐ การเข้ายึดครองและการปกครองที่ไม่เป็นธรรมส่งผลให้จำนวนประชากรชาวดีซีลดลงอย่างมาก เนื่องจากมีการละเมิดต่างๆ การค้าทาส ความอดอยาก โรคภัย และความสิ้นหวัง

ก่อนที่ชาวดีซีจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเอธิโอเปียในช่วงทศวรรษปี ๑๘๙๐ จากคำบอกเล่าของพวกเขาเองและหลักฐานจากเนินเขาที่ถูกทิ้งร้างจำนวนมาก ชาวดีซีคาดว่าน่าจะมีจำนวนระหว่าง ๕๐,๐๐๐ ถึง ๑๐๐,๐๐๐ คน อย่างไรก็ตาม ตามที่ฮาเบอร์แลนด์สังเกต การบังคับใช้อำนาจจากภายนอกและการปกครองที่ผิดพลาดทำให้ประชากรลดลงอย่างมากเนื่องจากการละเมิด ระบบ เกบบาร์การล่าทาส "ความอดอยาก โรคภัยไข้เจ็บ และความรู้สึกสิ้นหวังและยอมแพ้ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเกิดจากการขาดความยุติธรรมโดยสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำให้จำนวนชาวดีซีลดลงเท่านั้น (ในปี ๑๙๗๔ อาจมีไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ คน) แต่ยังเขย่าวัฒนธรรมทั้งหมดของพวกเขาจนถึงรากฐาน"

ปัจจุบัน ชาวดีซีเป็นหนึ่งในชนพื้นเมืองของเอธิโอเปียที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ราบสูงทางตะวันตกเฉียงใต้ของหุบเขาโอโม พวกเขายังคงรักษาวัฒนธรรมและประเพณีของตนไว้ แม้จะเผชิญกับความท้าทายต่างๆ















Sources:
- Photo Gallery: © Omar Salem / Ethiopia 2022 - humansworld.org
- wikipedia.org

9  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / วัดศีรษะทอง ต.ศีรษะทอง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เมื่อ: 22 มิถุนายน 2568 18:11:51



มณฑปทรงปราสาท วัดศีรษะทอง ลักษณะเป็นอาคารสี่เหลี่ยมจัตุรัส หลังคาเป็นเรือนยอดแหลมหลายชั้น  
โดยทั่วไป มณฑปทรงปราสาทจะใช้เป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป


วัดศีรษะทอง
ตำบลศีรษะทอง อำเภอนครขัยศรี จังหวัดนครปฐม
----------------------------

‘วัดศีรษะทอง’ เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งในอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม สร้างขึ้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๘  วัดแห่งนี้ถือเป็นศูนย์รวมของชาวลาวเวียงจันทน์และชุมชนใกล้เคียง เนื่องจากบริเวณวัดศีรษะทองเดิมเป็นป่ารกร้างไร้ผู้คนอาศัย เพราะอยู่ห่างจากแหล่งน้ำ จนในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ได้มีชาวลาวจากเวียงจันทร์อพยพมาตั้งถิ่นฐาน มีการถางป่าสร้างชุมชนขึ้น เมื่อมั่นคงแล้วจึงสร้างวัด และได้พบเศียรพระพุทธรูปทองจมดินอยู่  จึงตั้งชื่อว่า ‘วัดหัวทอง’ ภายหลังมีการขุดคลองจากแม่น้ำท่าจีน ที่ตลาดต้นสน เพื่อเป็นทางเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ประชาชนจึงย้ายมาอยู่ริมคลองเจดีย์บูชา ในการนี้ได้ย้ายวัดมาด้วยเพื่อสะดวกต่อการสัญจร และเปลี่ยนชื่อเป็นวัดศีรษะทองจนถึงปัจจุบัน

ด้วยเป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน จึงมีทั้งโบราณวัตถุ และโบราณสถานสำคัญๆ ทั้งมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ และสมุนไพรมาตั้งแต่อดีต แต่ที่โด่งดังมากคือเรื่องของพระราหู ซึ่งเจ้าอาวาส หลวงพ่อน้อย นาวารัตน์ ท่านเป็นพระที่ฟื้นฟูเรื่องพระราหูขึ้นมา จนมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างเข้ามากราบไหว้บูชาพระราหูกันอยู่ตลอด

เส้นทางการเดินทาง : จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนสายเพชรเกษม ขับไปจังหวัดนครปฐม เมื่อถึงสี่แยกไฟแดงท่านา ให้ขับผ่านสี่แยกไฟแดงไปประมาณ ๒ กิโลเมตร จะเห็นทางเข้าวัดศีรษะทองอยู่ทางด้านขวามือ ให้กลับรถ จากทางเข้าริมถนนเพชรเกษมขับเข้าไปอีกประมาณ ๑ กิโลเมตร จะพบสะพานคอนกรีตด้านซ้ายมือ ให้เลี้ยวซ้ายข้ามสะพาน จากนั้นจะเห็นทางรถไฟ และวัดศีรษะทองอยู่ด้านหน้า

ที่มา : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย




อุโบสถ วัดศีรษะทอง


พระพุทธรูปปาง "มารวิชัย" วัดศีรษะทอง นครปฐม
พระพุทธรูปปางนี้แสดงถึงการที่พระพุทธองค์ทรงเอาชนะกิเลส ตัณหา และความหลงที่มาผจญ โดยการใช้สติและปัญญา



"พระราหูอมจันทร์" ของวัดศีรษะทอง ที่ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่นิยมในการบูชาของคนไทย
เป็นหนึ่งในเทวดานพเคราะห์ (ดาวพระเคราะห์ ๙ ดวง) ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ผู้มีอิทธิพล
ต่อชะตาชีวิตของมนุษย์ เป็นเทพที่เชื่อว่าสามารถช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายและนำมาซึ่งโชคลาภและความสำเร็จได้


ศาสนสถานของวัดศีรษะทอง เน้นความงามที่ซับซ้อนและประณีต เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม
ในการแสดงออกถึงความเชื่อและศรัทธาในพุทธศาสนา และสร้างความประทับใจให้กับผู้พบเห็น







งานปูนปั้นนูนสูงประดับบนผนังวิหารของวัดศีรษะทอง บอกเล่าเรื่องราวของพุทธประวัติ






พระสาวก (มีข้อสังเกตจากศีรษะ คือ ไม่มีพระอุษณีษะ หรือมวยผม) ) ลักษณะทำนั่งขัดสมาธิอย่างปางสมาธิ มือทั้งสองประคองถือบาตร








การแสดงละครรำที่จัดขึ้นเพื่อเป็นการแก้บนหรือถวายพระราหู วัดศีรษะทอง หลังจากที่ได้ขอพร
หรือบนบานไว้แล้วประสบความสำเร็จตามที่ปรารถนา  ซึ่งละครรำแก้บนสะท้อนความเชื่อเรื่องบุญคุณ
ความกตัญญู และการตอบแทนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของไทย และมักเป็นการแสดงละครชาตรีตอนสั้นๆ  


10  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / นันทนาการ กิจกรรมยามว่างที่สามารถเลือกได้ เมื่อ: 22 มิถุนายน 2568 16:09:18




นันทนาการ กิจกรรมยามว่างที่สามารถเลือกได้


นันทนาการเป็นกิจกรรมยามว่าง เวลาว่าง คือ "เวลาว่างที่สามารถเลือกได้ ที่จะทำบางอย่างเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ" เป็นองค์ประกอบสำคัญของชีววิทยาและจิตวิทยาของมนุษย์ กิจกรรมนันทนาการมักทำเพื่อความสนุกสนาน ความบันเทิง หรือความเพลิดเพลิน และถือเป็น "กิจกรรมที่สนุกสนาน"


นันทนาการ เป็นคำมาจากคำเดิมว่า "สันทนาการ" ซึ่ง พระยาอนุมานราชธน หรือเสถียรโกเศศได้บัญญัติไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ และตรงกับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า "Recreation" ซึ่งความหมายของนันทนาการมีความหลากหลาย ดังนี้ การทำให้ชีวิตสดชื่น โดยการเสริมสร้างพลังงานขึ้นมาใหม่ เมื่อบุคคลเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการจะช่วยขจัด หรือผ่อนคลายความเหนื่อยเมื่อยล้าทางด้านร่างกาย และจิตใจ เป็นกิจกรรม (Activities) ต่าง ๆ ที่บุคคลเข้าร่วมในช่วงเวลาว่าง โดยไม่มีการบังคับ หรือเข้าร่วมด้วยความสมัครใจ มีผลก่อให้เกิดการพัฒนาอารมณ์สุข สนุกสนาน หรือความสุขสงบ และกิจกรรมนั้น ๆ จะต้องเป็นกิจกรรมที่สังคมยอมรับ เช่น กิจกรรมอาสาสมัคร ศิลปวัฒนธรรม งานอดิเรก เกม กีฬา การละคร ดนตรี กิจกรรมเข้าจังหวะ และนันทนาการกลางแจ้งนอกเมือง (ทัศนศึกษา) เป็นต้น และอาจจะรวมถึง กระบวนการ (Process) หรือประสบการณ์ที่บุคคลได้รับโดยอาศัยกิจกรรมนันทนาการในช่วงเวลาว่างเป็นสื่อ ก่อให้เกิดการพัฒนาทางกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาของบุคคล

คำว่า สันทนาการ ถูกนำมาใช้ในภาษาอังกฤษครั้งแรกในช่วงปลายศตวรรษที่ ๑๔ โดยครั้งแรกใช้ในความหมายของ "การสดชื่นหรือการรักษาผู้ป่วย" และได้มาจากคำภาษาละติน (แปลว่า "อีกครั้ง", creare: "สร้าง นำมาซึ่ง สร้าง")

ดังนั้น กิจกรรมนันทนาการ จึงหมายถึง กิจกรรมที่ทำในเวลาว่างจากการทำภารกิจส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การกิน การนอน การพักผ่อน โดยทุกกิจกรรมต้องทำด้วยความเต็มใจโดยไม่มีการบังคับและเกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นด้วย  และยังเป็นแรงผลักดันที่ทำให้บุคคลสามารถพิจารณาและไตร่ตรองถึงคุณค่าและความเป็นจริงที่ขาดหายไปจากกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน  ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาตนเอง

นันทนาการ มีประโยชน์มากมาย ได้แก่
     ๑. การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
     ๒. ทำให้พักผ่อนหย่อนใจจากการทำงานปกติ
     ๓. ช่วยส่งเสริมสุขภาพจิต
     ๔. เป็นรางวัลให้กับคนที่เข้าร่วม
     ๕. ส่งเสริมให้เกิดความสุข ความพอใจ
     ๖. ทำให้เกิดความปลอดภัยแก่สังคม
     ๗. ส่งเสริมการเป็นพลเมืองที่ดี



ศูนย์นันทนาการมหาวิทยาลัยออคแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์



11  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: สำนวน-โวหาร-สุภาษิต และคำพังเพย เมื่อ: 22 มิถุนายน 2568 14:44:12


จิตรกรรมฝาผนัง วัดกลางบางแก้ว ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

กำแพงแก้วล้วนแก้วทั้งเจ็ดชั้น        ตาลสุวรรณรุ่นรื่นเรียงไสว
เมื่อลมพัดก็สะบัดสำเนียงใบ        เฉลิมโสตหฤทัยดังดนตรี
หนึ่งโรงเทวสภาอันเนืองนิจ         ควรพิศพื้นแก้วทั้งเจ็ดสี
สูงห้าร้อยโยชน์สุดบราลี           ท่วงทีเทิ่งท้องทิฆัมพร

ที่มา สมบัติอมรินทร์คำกลอน ของ เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
เล่าเรื่องความงามของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอินทร์ (ท้าวสักกะ)
------------------------------

...คัมภีร์โลกศาสตร์ทุกฉบับกล่าวตรงกันว่า ทุกหนแห่งบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีแต่ความครึกครื้นสนั่นหวั่นไหว
“ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา” กล่าวว่า  ยามเมื่อพระอินทร์เสด็จไปไหนจะมีนางฟ้าที่เป็นบริวารบำเรออยู่มากมาย
นางฟ้าบริวารจะเล่นดนตรีโดยพร้อมเพรียง บ้างก็เล่นพิณ บ้างก็เป่าปี่ บางองค์เป่าสังข์ ที่เป็นมือกลองก็ระดม
กระหน่ำตีกลองใหญ่กลองเล็กสุดแรง

12  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า / Re: จิตรกรรม/ประติมากรรม ในพุทธประวัติ เมื่อ: 22 มิถุนายน 2568 13:48:41

จิตรกรรมฝาผนัง วัดกลางบางแก้ว ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม


จิตรกรรมฝาผนัง วัดกลางบางแก้ว ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

จิตรกรรมฝาผนัง ภูริทัตชาดก
เล่าถึงเหตุการณ์ที่พระภูริทัตถูกพรานจับตัวไป  พรานผู้นั้นมีชื่อว่า พราหมณ์อาลัมพายน์ ซึ่งเรียนมนต์จับงูมาจากฤาษี
พราหมณ์อาลัมพายน์จับพญานาคภูริทัตเพื่อต้องการนำไปแสดงแลกเงินทอง พราหมณ์อาลัมพายน์ใช้วิธีทรมานต่างๆ เช่น
จับหาง อ้าปาก และเขย่าตัว เพื่อให้พระภูริทัตสำรอกอาหารออกมา แม้จะถูกทรมานอย่างหนักพระภูริทัตก็ยังคงรักษาศีล
และไม่ตอบโต้พราหมณ์ การกระทำของพราหมณ์อาลัมพายน์เป็นการทดสอบศีลบารมีของพระภูริทัต เรื่องราวนี้เป็นส่วน
หนึ่งของทศชาติชาดก ซึ่งเป็นเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ในชาติที่เสวยพระชาติเป็นนาคราช
750
13  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: ไก่พันธุ์คอร์นิช (Cornish Chicken) : เรื่องน่ารู้ สายพันธุ์ไก่ต่างๆ เมื่อ: 20 มิถุนายน 2568 14:19:22




ไก่พันธุ์คอร์นิช
Cornish Chicken

ไก่พันธุ์คอร์นิช (Cornish Chicken) หรือไก่พันธุ์ร็อคคอร์นิช มีลักษณะลำตัวที่ล่ำสันและแข็งแรง มีกะโหลกศีรษะกว้าง อกกว้าง คอยาวปานกลาง ขาหนาและสั้น และขาที่ห่างกันมาก ไก่พันธุ์นี้มีหงอนเล็กเหมือนถั่ว หวีเล็ก ตาสีมุก ติ่งหูสีแดง ปากและขาสีเหลือง เท้าสีเหลือง ผิวหนังมีสีเหลือง จัดเป็นพวกไก่เนื้อชั้นดี เนื้อนุ่ม น้ำหนักตัวเมื่อโตเต็มที่เพศผู้หนัก ๔.๔๐ กิโลกรัม เพศเมียหนัก ๓.๓๐ กิโลกรัม ให้ไข่ฟองเล็ก เปลือกไข่สีน้ำตาล ให้ไข่ปีละประมาณ ๑๕๐ ฟอง เริ่มให้ไข่เมื่ออายุประมาณ ๖-๗ เดือน มีเปอร์เซ็นต์การฟักออกต่ำ เนื่องจากพวกมันมีร่างกายที่ใหญ่โตและขาที่สั้น จึงทำให้ไข่แตกโดยไม่ได้ตั้งใจ  ปัจจุบันใช้ไก่พันธุ์คอร์นิชเป็นไก่ต้นพันธุ์สำหรับผสมเพื่อผลิตไก่เนื้อเป็นการค้า เมื่อเอาไก่คอร์นิชผสมกับไก่พันธุ์พลีมัทร็อคลายเพศเมีย หรือไก่นิวแฮมเชียร์ หรือไก่พลีมัทร็อคขาว ลูกเพศเมียที่ได้จะเป็นไก่ไข่ที่ให้ไข่ฟองใหญ่ เปอร์เซ็นต์การฟักออกดี และใช้ผสมเพื่อประโยชน์ทางด้านคุณภาพเนื้อด้วย

ไก่ตัวเมียพันธุ์คอร์นิชและไก่ตัวผู้บางตัวอาจเป็นมิตร แต่ไก่ตัวผู้บางตัวอาจก้าวร้าวกับคนและไก่ตัวอื่นๆ ได้อย่างโจ่งแจ้ง ไก่ตัวผู้พันธุ์คอร์นิชไม่ต้องการฝูงใหญ่และสามารถอยู่ร่วมกับไก่ตัวเมียได้สองตัว เนื่องจากไก่ตัวผู้พันธุ์นี้มีขาที่สั้น จึงอาจไม่เหมาะกับการผสมพันธุ์ นอกจากนี้ ขาที่สั้นอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไก่มีขนาดใหญ่มาก ไก่ตัวเมียพันธุ์นี้จะเติบโตได้ดีในสภาพอากาศอบอุ่น แต่จะไม่เติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่หนาวหรือร้อนจัด

ไก่คอร์นิชบินไม่ได้ (เนื่องจากน้ำหนักตัว) และเคลื่อนไหวช้า ทำให้ไก่ชนิดนี้เสี่ยงต่อการถูกสัตว์นักล่าบนบกกัด


650
14  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / ข้าวราดกระเพราหมูกรอบ ไข่ดาว สูตร/วิธีทำ เมื่อ: 20 มิถุนายน 2568 12:53:08


ข้าวราดกระเพราหมูกรอบ ไข่ดาว


ส่วนผสม     .
      - หมูกรอบหั่นชิ้นพอคำ         50 กรัม
      - กระเทียมไทยสับหยาบ         ½ หัว
      - พริกขี้หนูสด สับหยาบ     1 ช้อนโต๊ะ
      - ใบกระเพรา         ปริมาณตามชอบ
      - น้ำตาลทราย         ½ ช้อนชา
      - ผงปรุงรส         1 ช้อนชา
      - ซอสหอยนางรม/ซอสปรุงรส/น้ำปลา         ปรุงรสตามชอบ

วิธีทำ
       1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่กระเทียมผัดพอเหลือง ใส่พริกขี้หนูสดสับ ผัดด้วยไฟอ่อนจนหอม
       2. ใส่เครื่องปรุงรสทั้งหมด ผัดให้เข้ากัน เติมน้ำสะอาดเล็กน้อย
       3. เร่งไฟแรง ใส่หมูกรอบ ใบกระเพรา ผัดให้เข้ากัน
       4. ตักราดบนข้าวสวยร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมไข่ดาว





ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชพอร้อน ใส่กระเทียมผัดพอเหลือง


ใส่พริกขี้หนูสดสับ ผัดด้วยไฟอ่อนจนหอม


เร่งไฟแรง ใส่หมูกรอบ ใบกระเพรา ผัดให้เข้ากัน


ตักราดบนข้าวสวยร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมไข่ดาว[

-----------------------------------------


วิธีทำหมูกรอบ ให้กรอบลั่นทุ่ง อร่อยน่าทาน



อ่านสูตรที่ http://www.sookjai.com/index.php?topic=36851.0


15  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / Re: ไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่วานิลลา : ชนิดของไอศกรีม (types of ice cream) เมื่อ: 20 มิถุนายน 2568 12:42:55


ไอศกรีมรสสตรอเบอร์รี่วานิลลา
(Strawberry Vanilla Bean Ice Cream)



ส่วนผสม     .
      - วิปครีม     2 ถ้วย
      - นมสด         1 ถ้วย
      - น้ำตาล         ¾ ถ้วย
      - วานิลลา         1 ช้อนชา
      - สตรอว์เบอร์รี่สด (ปอกเปลือกและสับ)         1+½ ถ้วย
      - น้ำมะนาว         1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ในหม้ผสม นำนม น้ำตาล และวานิลลา ไปอุ่นบนไฟปานกลางจนน้ำตาลละลาย พักไว้ให้เย็น
2. คลุกสตรอว์เบอร์รี่กับน้ำมะนาว ปล่อยทิ้งไว้ 15 นาที
3. คนวิปครีมลงในส่วนผสมนม แช่เย็นในตู้เย็น 4 ชั่วโมงหรือข้ามคืน
4. ปั่นไอศกรีมในเครื่องทำไอศกรีมตามคำแนะนำ
5. ในช่วงนาทีสุดท้าย ให้ใส่สตรอว์เบอร์รี่ที่แช่แล้วลงไป
6. นำไปแช่แข็ง 2–4 ชั่วโมงจนกระทั่งแข็ง
7. ตักเสิร์ฟ และเพลิดเพลินไปกับไอศกรีมโฮมเมดของคุณ!



ที่มา เพจ Kitchen Chronicles



650
16  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖ ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ เมื่อ: 17 มิถุนายน 2568 17:31:31


เรื่องลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๕

เรื่องหนังที่เล่นในงานมโหรศพ

----------------------------

๏ บัดนี้จะได้อธิบายด้วยเรื่องหนังซึ่งเปนเครื่องเล่นอย่างหนึ่งของชาวเรา ก็หนังนี้ถ้ามีงานมโหรศพเมื่อใด ก็จำที่จะต้องตั้งจอขึ้นเล่นเมื่อนั้น

เพราะเหตุใตเล่า ฯ เหตุที่ทำให้ครึกครื้นเอิกเกริกในงานอย่างหนึ่ง ทำให้เหิมเกริมในที่ประชุมชนที่มาดูงานได้อย่างหนึ่ง ด้วยการที่เล่นนั้นอาไศรยเรื่องนารายน์สิบปาง ๆ ที่สิบ ที่เรียกว่าเรื่องรามเกียรดิ์เอามาจับเล่นเปนตอน ๆ ไป แลสลักแผ่นหนังขึ้นไว้เปนรูปภาพตามท้องเรื่อง มีรูปพระราม พระลักษณ์ ทศกรรฐ์ นางสีดา เปนต้น เอาขึ้นเชิดชูทาบเข้ากับจอให้แสงไฟขาวส่องสว่างออกมาเห็นรูปภาพนั้น แล้วพากย์เจรจากันแลติดตลก พลางตีพิณพาทย์ระนาดฆ้องกลองตะโพนบันฦๅลั่น สนั่นเสียงกรับโกร่งโหม่งม้าล่อแซ่เซ็งไป การที่เล่นดังนี้จึงได้ครึกครื้นสนุกสนาน ชักให้คนอันมากมาประชุมดู เพราะฉนั้นงานมโหรศพจึงได้เล่นหนังแทบทุก ๆ งาน จะเว้นบ้างก็น้อย ด้วยการเล่นหนังนี้ เปนเครื่องทำให้ครึกครื้นในงานอย่างยิ่ง.

ว่าด้วยวิธีทำตัวหนัง
จะขอกล่าวอธิบายถึงวิธีทำตัวหนังแลวิธีทำจอ แลการที่จะเล่นหนังนี้ก่อน แล้วจึงจะกล่าวถึงผลประโยชน์ของการเล่นหนังนี้ต่อไป

​ก็วิธีซึ่งจะทำเปนตัวหนังขึ้นนั้น เอาหนังโคมาแช่น้ำให้อ่อนแล้ว ขึงผึ่งแดดไว้จนแห้งแล้วเอาเหล็กขูด ๆ ให้บาง ดูจนสม่ำเสมอเรียบร้อยจึงเอาเขม่าก้นหม้อ ฤๅกาบมะพร้าวเผาก็ได้ละลายด้วยน้ำเข้าเช็ด ทาผืนหนังนั้นให้ทั่วทั้งสองด้าน ดูพอดำดีแล้วตากไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งจึงถูด้วยใบฝักเข้าประสงค์จะให้เปนมัน แล้วจึงหาช่างเขียนที่ฝีมือดีมาเขียนรูปภาพต่าง ๆ ตามความต้องการของเจ้าของนั้น เมื่อเขียนแล้วตรวจดูช่องไฟไม่ขัดขวางจึงลงมือสลัก เครื่องมือสลักนั้นมีสิ่วฉากอย่างหนึ่ง สิ่วเล็บมืออย่างหนึ่ง มุกใหญ่, มุกกลาง, มุกยอดอย่างหนึ่ง มุกนี้สำหรับกัดตามเส้นรูปภาพ ถ้าสลักตามลวดลายฤๅกนกแล้ว ต้องใช้สิ่วเล็บมือฤๅสิ่วฉากใหญ่เล็กตามสมควร

ครั้นสลักเสร็จแล้วจึงย้อมให้เปนสีต่าง ๆ บ้างเล็กน้อยตามความต้องการ ถ้าจะให้สีขาวเอาเหล็กขูด ๆ ที่หนังให้หมดสีดำที่ทาเขม่าไว้ก็เปนสีขาว ถ้าจะให้เปนสีเขียว เอาจุณสีฝนกับน้ำมะนาวทาก็เปนสีเขียว ถ้าจะให้เปนสีแดงเอาน้ำฝางกับสารส้มทาก็เปนสีแดง ถ้าจะให้เปนสีเหลืองเอาน้ำฝางทาแล้วเขาน้ำมะนาวถู ๆ เข้าก็เปนสีเหลือง แต่หนังตัวนางนั้นถ้าจะให้แลดูเปนขาว ก็สลักเอาพื้นตัวออกเสีย เมื่อเชิดทาบเข้ากับจอ พื้นจอส่องออกมาก็เห็นเปนขาว หนังสลักเอาพื้นตัวพื้่นหน้าออกเช่นนี้เรียกกันว่า “นางหน้าแขวะ”

ครั้นเมื่อย้อมสีต่าง ๆ สำเร็จแล้ว จึงเอาไม้มาสี่ซีกขนาบเข้าสองข้าง สำหรับที่จะได้ถือจับเชิดไปเชิดมา แต่หนังที่สลักสำเร็จเปนตัว​ขึ้นแล้วนั้นก็บัญญัติชื่อต่าง ๆ กัน หนังที่เปนรูปเดินไม่ว่ายักษ์, ลิง, มนุษย, นาง, สุดแต่เปนรูปเดินแล้วเรียกชื่อวา “คเนจร”

หนังที่เปนรูปท่าเหาะไม่ว่า ยักษ์, ลิง, สุดแต่ท่าเหาะแล้วเรียกชื่อว่า “ง่า”

หนังที่เปนสุมพลสำหรับยกทัพ ไม่ว่ายักษ์, ลิง, สุดแต่เปนสุมพลแล้ว เรียกชื่อว่า “เขน”

หนังที่เปนรูปลิงขาวมัดลิงดำมาหาฤๅษีนั้น เรียกชื่อว่า “เตียว”

หนังที่เปนรูปตลกนั้น เรียกชื่อว่า “จำอวด” หนังจับสามนั้น เรียกชื่อว่า “จับหนึ่ง, จับสอง, จับสาม,” แล้วยังมีหนังฉากหนี ๑ ฉากไล่ ๑ ลากชาย ๑ หนังโก่ง ๑ หนังแผลง ๑ หนังไหว้ ๑ หนังรถ ๑ หนังเมือง ๑ หนังพลับพลา ๑ หนังปราสาทพูด ๑ หนังปราสาทโลม ๑ รวมชื่อของหนังที่สมมตเรียกกันนั้นต่าง ๆ นักเหลือที่จะพรรณา

อนึ่งหนังสำคัญอิกสามตัวที่ผู้เล่นเคารพนับถือกันนักนั้น คือรูปพระแผลงสองตัว รูปฤๅษีตัวหนึ่ง รวมสามตัวนี้เรียกชื่อว่า “หนังเจ้า” หนังเจ้านี้เมื่อจะทำขึ้นได้ก็ดูเปนการลำบากสักหน่อย คือรูปพระแผลงสองตัวนั้น ต้องหาหนังโคตายพรายมาทำ หนังรูปฤๅษีนั้น ต้องหาหนังเสือฤๅหนังหมีก็ได้ เอามาทำจึงจะถือกันขลัง

หนังเจ้าทั้งสามนั้น เมื่อจะเขียนจะสลักคนเขียนคนสลักต้องนุ่งขาวห่มขาว แล้วรีบเขียนรีบสลักให้แล้วในวันเดียว อย่าให้การข้ามขวบค้างคืนได้

​อนึ่งเมื่อเวลาจะเขียนจะสลักนั้น ต้องมีสิ่งของที่สำหรับคำนับครู คือบายศรีปากชาม ๑ เครื่องกระยาบวช ๑ ศีศะสุกร ๑ เงินติดเทียนด้วย ๖ บาท ของเหล่านี้เมื่อบูชาครูเสร็จแล้ว ก็เปนผลประโยชน์ของผู้เขียนผู้สลัก ครั้นสลักเสร็จจึงระบายสีเจ้าทั้งสามตัว รูปพระแผลงสองตัวระบายสีเขียวตัวหนึ่ง สมมตเปนรูปพระนารายน์ ระบายสีเหลืองอ่อนฤๅปิดทองก็ได้ตัวหนึ่ง สมมตเปนรูปพระอิศวร รูปหนังเจ้าทั้งสามองค์ใช้ระบายสีต่าง ๆ ตามลายผ้านุ่งแลกนก ผิดกับหนังตามธรรมดา เพราะเอามาใช้ตั้งเบิกหน้าพระแต่เวลายังไม่ค่ำ

ว่าด้วยวิธีทำจอ
วิธีซึ่งทำจอหนังนั้น เอาผ้าขาวบางอย่างหยาบมาตัดเพลาะกันเข้าพอควร ใช้คำที่กลางผืนจอเพื่อจะให้สว่างเห็นตัวหนังชัด ที่ด้านมืดสองข้างใช้ผ้าขาวดิบอย่างหนา ประสงค์จะให้เงามืดแฝงตัวหนังออกมาเหมือนที่ออกฉาก ริมจอทั้งสี่ด้านนั้นใช้ผ้าแดงผ้าเขียวคราม เพราะติดกันสองผืนเย็บวงรอบกับจอไป ประสงค์จะสอดสีกันแลดูงาม แล้วเอาเชือกตัดเปนตอน ๆ ตามด้านยาวสองด้านสมมตเรียกว่า “หนวดพราหมณ์” สำหรับจะได้ผูกเหนี่ยวกับคร่าวบนคร่าวล่าง

ผ้าที่สำหรับวงหลังจอซึ่งเรียกว่าบังคับเพลิงนั้น แต่ก่อนใช้ผ้าใบสาคูเช่นทำใบเรือ แต่ปัตยุบันนี้ใช้ผ้าขาวดิบ

ขนาดของจอนั้น ถ้าจอยาวตามธรรมดาใช้ยาว ๗ วา ๒ ศอกเศษ ถ้าเปนงานที่เล่นประชันกันฤๅงานใหญ่ ๆ เจ้าภาพแขงแรง ก็ใช้จอยาวถึง ๙ วาก็มี ๑๑ วาก็มี ตามท้องไชยภูมิ์จะสมควร

​ระบายห้อยน่าจอนั้นใช้ผ้าแดงบ้าง เขียวบ้าง ดำบ้างสลับกันสองชั้น แล้วเอาทองอังกฤษฤๅอังกฤษย่น ฤๅกระดาษน้ำตะโกสลักเข้าเปนลวดลายต่าง ๆ ติดเข้ากับระบายจอ บ้างก็เอากระจกเงาเข้าติดเปนเนื่องไป แล้วห้อยแขวนด้วยลูกรุ่ยตามชายระบายจอนั้น ประสงค์จะให้แลดูงามแปลบปลาบในตา.

จออย่างหนึ่งที่เรียกว่าจอแขวะนั้น แต่บุราณมาก็มิได้มี พึ่งจะมาเกิดขึ้นประมาณ ๒๕ ปี ๒๖ ปีนี้ จอแขวะนั้นเจาะที่ผ้าดิบสองข้างจอ เปนช่องประตูออกมาแล้วทำเปนซุ้มประตูเช่นประตูเมืองทั้งสองต้าน ที่จอด้านหนึ่งเขียนแผนที่เมืองลงกา ด้านหนึ่งเขียนแผนที่พลับพลาของพระราม แล้วเขียนรูปนางเมขลารูปรามสูรเหาะล่อแก้วกันอยู่ มีดวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ อยู่เบื้องบนข้างละด้านแลดูก็เรียบร้อยไม่ ขัดตาชอบกลอยู่ ด้วยจอแขวะนี้มีผู้คิดยักย้ายทำขึ้นก็เห็นว่าดีกว่าเก่า เพราะประกอบความงดงามแล้วทำให้คนเชิคคนเจรจาเข้าออกสบาย ไม่ต้องก้มดังชั้นหลัง ๆ มาสมัยนี้ยิ่งประกอบความคิดในการที่จะตกแต่งประดับประดาจอยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมควรกับความเจริญของบ้านเมือง.

ว่าด้วยวิธีตั้งจอ
วิธีที่จะตั้งจอหนังนั้นถ้าผืนจอกว้างเจ็ดศอกเศษ กำหนดใช้เสาจอยาวสามวา ถ้าผืนจอกว้างออกไปยาวออกไปก็ต้องใช้เสายาวออกไปตามส่วนของจอนั้น เสาจอนี้ใช้ ๔ ต้นกล่อมเสียให้กลมเรียบร้อย แล้วมีเม็ดรูปต่าง ๆ ตามแต่จะชอบใจของเจ้าของติดปลายเสาทุก ๆ ต้น แล้วเจาะที่ปลายเสาต่ำลงมาประมาณศอกหนึ่งติดลูกรอกสำหรับที่จะได้​ชักรอกเอาคร่าวที่ขึงผืนจอขึ้นไป ปลายเสาทั้ง ๔ ต้นนั้น ปักหางนกยุงมัดเปนกำใหญ่ ยอดหางนกยุงนั้นเสียบธงแดงบ้าง ธงตราช้างบ้าง เมื่อลมพัดมาสบัดธงไหว ๆ แลดูสง่างามยิ่งนัก.

ยังเสาสำหรับผ้าบังเพลิง ที่อ้อมวงหลังจอนั้น ใช้ ๖ ต้นมีธงแดงเสียบปลายเสาแต่ ๔ ต้น สองต้นนั้นไม่ต้องเสียบธง เพราะเหนี่ยวมาผูกติดไว้กับจอจนไม่แลเห็น แล้วมีเชือกแดงสองเส้นผูกเข้าตะกรุดเบ็ดไว้ที่คร่าวข้างบนข้างละเส้น สำหรับเหนี่ยวรั้งเอาเสาบังเพลิงมาผูกไว้กับจอให้แน่น แล้วโยงถ่างไปข้างน่าข้างหลังด้านละสองสายเพื่อจะมิให้จอล้ม เสาบังเพลิงอิก ๔ ต้นที่เสียบธงนั้นก็มีเชือกเหนี่ยวโยงไปข้างหลัง เพื่อจะมิให้ล้มซวนเซไปเหมือนกัน

การที่จะปักเสาจอนั้น เมื่อถึงวันกำหนดงานเจ้าของหนังก็ขนเอาเครื่องจอไป แล้วถามเจ้าของงานว่าจะตั้งที่ตรงไหน เจ้าของงานต้องมาชี้ที่ให้ เมื่อชี้ที่ให้แล้วก็ขุดหลุมลงยกเสาทั้ง ๔ ต้นขึ้นชักรอกเอาผืนจอขึ้นไปขึงให้ตึงเรียบร้อย แล้วติดบังเพลิงด้านหลังเหนี่ยวรั้งเชือกที่โยงให้แน่นหนา มีแผงเชิงจอผืน ๆ เขียนลวดลายต่าง ๆ ยกมาตั้งบังเข้าที่น่าจอเฉภาะแต่ที่ตรงสว่าง ที่มืดสองด้านนั้นไม่บังแผง เพื่อจะเปิดไว้เปนทางเดินให้คนเชิดเจรจาเข้าออก.

ส่วนข้างในจอนั้นก็ปักหลักแป้นไว้กลางจอสำหรับใส่ไต้ จะได้ส่องสว่างออกมาเห็นตัวหนัง แล้วตระเตรียมเอาโกร่งกรับสำหรับตีมาทอดวางไว้เสร็จ เมื่อเวลาเล่นจะได้เคาะประโคม เปนเครื่องเอิกเกริก การที่พรรณามานี้อย่างแบบโบราณ ถ้าการสมัยประจุบันนี้การที่​ตกแต่งจอก็คิดพลิกแพลงยักย้ายงดงามขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า คือใช้จอแขวะมีประตูเข้าออกดังพรรณามาแล้วนั้น แล้วที่น่าจอก็ยกพื้นเลียบกระดานปูเสื่อมีรั้วลูกกรงล้อมรอบเปนเขตรแดนกั้นไว้มิให้คนดูรุกเข้ามากีดที่ในการที่จะเล่นหนังได้ แลตามรั้วลูกกรงนั้นก็มีหลักรายเปนจังหวะ สำหรับที่จะตั้งโคมไฟให้ส่องแสงสว่างเห็นทั่ว ๆ

บางทีถ้างานใหญ่ ๆ ก็สานแผงผูกโครงทำเปนภูเขาเข้าที่น่าจอ แล้วปลูกต้นไม้ใหญ่เล็กประดับประดาด้วยดอกผลกล่นเกลื่อนดูไสวแล้ว ก็มีกุฏิ์ฤๅษีที่เชิงเขาปานประหนึ่งว่าเปนจริง บ้างก็ยกเสามุงหลังคาทำเปนโรงคร่อมจอหนังเข้าอิกชั้นหนึ่ง แล้วก็ประดับตกแต่งโรงนั้นโดยวิจิตรต่าง ๆ เหลือที่จะร่ำพรรณาให้สิ้นสุดได้ การที่ตกแต่งโรงหนังนี้ก็คงจะสมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตามกาลคามสมัย
17  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖ ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ เมื่อ: 17 มิถุนายน 2568 17:15:43


ลัทธิธรรมเนียมต่างๆ ภาคที่ ๖

ตำราเล่นหนังในงานมหรศพ

----------------------------

พิมพ์ครั้งที่ ๒ แจกในงานศพ
นายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา)
ปีวอก พ.ศ. ๒๔๖๓
----------------------------

พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร


คำนำ


มิตรสหายของนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา) ได้มอบฉันทให้อำมาตย์เอก พระสฤษดิ์พจนกร มาขออนุญาตต่อกรรมการหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร เพื่อจะพิมพ์หนังสือลัทธิธรรมเนียมต่าง ๆ ภาคที่ ๖ ซึ่งว่าด้วยตำราเล่นหนังในงานมโหรศพอิกครั้ง ๑ เพื่อจะแรกในการกุศลปลงศพนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ หนังสือเรื่องนี้ได้พิมพ์ครั้งแรกแจกในงานพระศพพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ ชั้น ๔ พระองค์เจ้าชายโตสินี เมื่อเดือนเมษายนปีนี้ บัดนี้ก็หาฉบับยากอยู่แล้ว ซึ่งเจ้าภาพในงานศพนายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ มีศรัทธาจะพิมพ์อิกครั้ง ๑ กรรมการหอพระสมุดอนุโมทนาด้วย จึงอนุญาตให้พิมพ์ตามประสงค์.

อนึ่งเจ้าภาพได้เรียบเรียงประวัติพระหัดถสารศุภกิจ (ฟุ้ง สหัสรจินดา) ส่งมาขอให้พิมพ์ไว้ได้ในหนังสือนี้ด้วย จึงได้ให้พิมพ์ต่อคำนำนี้ไป ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในส่วนกุศลบุญราษีทักษิณานุปทาน ซึ่งเจ้าภาพได้บำเพ็ญในการปลงศพ นายพันเอก พระหัดถสารศุภกิจ ด้วยอัธยาไศรยไมตรีต่อผู้ซึ่งล่วงลับไป แลได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ให้ได้อ่านกันแพร่หลาย เชื่อว่าท่านทั้งหลายที่ได้รับหนังสือเรื่องนี้ไปคงจะอนุโมทนาด้วยทั่วกัน


สภานายก

หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๓
18  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / ชาวดินกา (Dinka people) : กลุ่มชาติพันธุ์ในแอฟริกา เมื่อ: 17 มิถุนายน 2568 14:59:45


ชาวดินกา (Dinka people)
กลุ่มชาติพันธุ์ในแอฟริกา


ชาวดินกา (Dinka people)  เป็นกลุ่มชาติพันธุ์นิโลติก (Nilotic) ที่มีถิ่นกำเนิดในซูดานใต้ ชาวดินกาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำไนล์ตั้งแต่มังกัลลา-บอร์ (Mangalla-Bor) ไปจนถึงเรงค์ (Renk) ในภูมิภาค Bahr el Ghazal , Upper Nile (๒ ใน ๓ จังหวัดที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของซูดานใต้) และ พื้นที่แอบบี้ (Abyei) ของง็อก ดิงกา (Ngok Dinka) ในซูดานใต้

ชาวดินกาส่วนใหญ่ดำรงชีวิตด้วยการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์แบบดั้งเดิม โดยอาศัยการเลี้ยงวัวเป็นความภาคภูมิใจทางวัฒนธรรม ไม่ใช่เพื่อผลกำไรทางการค้าหรือเพื่อเนื้อสัตว์ แต่เพื่อการแสดงทางวัฒนธรรม พิธีกรรม สินสอดทองหมั้น และการเลี้ยงนมสำหรับทุกวัย

จากการสำรวจสำมะโนประชากรซูดานในปี ๒๕๕๑ พบว่ามีชาวดินกาอาศัยอยู่ราวๆ ๔.๕ ล้านคน ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ ๔๐ ของประชากรองประเทศ และเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในซูดานใต้ ชาวดินกาเรียกตัวเองว่ามอยจัง (Muonyjang - เอกพจน์) และเจียง (jieng - พหูพจน์)

ชาวดินกามีต้นกำเนิดจากเกซีราในพื้นที่ที่ต่อมากลายเป็นซูดานในยุคกลาง ภูมิภาคนี้ถูกปกครองโดยอาณาจักรอโลเดีย ซึ่งเป็นอาณาจักรคริสเตียนหลายเชื้อชาติในนูเบีย ชาวดินกาอาศัยอยู่ในบริเวณรอบนอกทางใต้และโต้ตอบกับชาวนูเบีย โดยเรียนรู้คำศัพท์ของชาวนูเบียจำนวนมาก ตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๓ เมื่ออโลเดียล่มสลาย ชาวดินกาก็เริ่มอพยพออกจากเกซีรา โดยหลบหนีการจู่โจมของทาส ความขัดแย้งทางทหาร และภัยแล้ง

ความขัดแย้งเรื่องทุ่งหญ้าและการจู่โจมปศุสัตว์เกิดขึ้นระหว่างชาวดินกาและนูเออร์ขณะที่พวกเขากำลังแย่งชิงพื้นที่เลี้ยงสัตว์

ความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาของชาวดินกาสะท้อนถึงวิถีชีวิตของพวกเขา ศาสนาของชาวดินกาเช่นเดียวกับศาสนานิโลติกอื่นๆ ส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าหลายองค์แต่มีผู้สร้างเพียงคนเดียวคือนีอาลิกซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มเทพเจ้าและวิญญาณของชาวดินกา เขามักจะอยู่ห่างจากมนุษย์และไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์โดยตรง การสังเวยวัวโดย "ผู้เชี่ยวชาญหอกจับปลา" ถือเป็นศูนย์กลางของการปฏิบัติทางศาสนาของชาวดินกา ชายหนุ่มจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ผ่านพิธีกรรมการเริ่มต้นซึ่งรวมถึงการทำเครื่องหมายหน้าผากด้วยวัตถุมีคม ในระหว่างพิธีกรรมนี้ พวกเขาจะได้รับชื่อสีวัวที่สอง ชาวดินกาเชื่อว่าพวกเขาได้รับพลังทางศาสนาจากธรรมชาติและโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขา มากกว่าจากคัมภีร์

ผู้ชายและผู้หญิงรับประทานอาหารแยกกัน เมื่อปริมาณน้ำนมต่ำ เด็กจะได้รับความสำคัญก่อน เด็กจะได้รับนมตั้งแต่อายุ ๙-๑๒ เดือน หลังจากนั้นประมาณ ๑ ปี เด็กจะเริ่มกินอาหารแข็ง (โจ๊ก) เมื่อเด็กอายุครบ ๓ ขวบ เด็กจะรับประทานอาหาร ๒ มื้อต่อวัน ผู้ใหญ่ก็รับประทานอาหาร ๒ มื้อต่อวันเช่นกัน

ในเขตดินแดนของชาวดินกามีเนินดินอยู่หลายแห่ง ซึ่งชาวดินกาเรียกว่า "ปิรามิด" ซึ่งมีความสำคัญทางศาสนาต่อผู้ที่ดูแลเนินดินเหล่านี้ เนินดินเหล่านี้สร้างขึ้นเป็นรูปกรวย และใช้วัสดุเป็นขี้เถ้าวัว มูลวัว ดินฝ้าย ดินเหนียว และเศษวัสดุ ในทุกกรณี ประวัติความเป็นมาของเนินดินแต่ละแห่งมีความเกี่ยวข้องกับนักบวชชาวดินกาผู้มีชื่อเสียงซึ่งสั่งให้ชาวบ้านสร้างเนินดินขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ชื่อของเขา










ชาวดินกามีประเพณีและพิธีกรรมที่หลากหลาย รวมถึงดนตรีและการเต้นรำ



Sources:
- Photo Gallery: © Jordi Zaragozà Anglès / South Sudan 2019
- wikipedia.org
- humansworld.org

19  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / วัดกลางบางแก้ว ต.นครชัยศรี อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม เมื่อ: 16 มิถุนายน 2568 16:07:51

พระประธาน อุโบสถวัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

วัดกลางบางแก้ว
บ้านปากคลองบางแก้ว ตำบลนครชัยศรี อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

วัดกลางบางแก้ว เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำนครชัยศรี ในหมู่ที่ ๒ บ้านปากคลองบางแก้ว ตำบลนครชัยศรี อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

วัดกลางบางแก้วเดิมมีชื่อว่า วัดคงคาราม คนทั่วไปแถบนครชัยศรีมักเรียกว่า วัดกลาง จากหลักฐานที่พบ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นสมัยตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายและเจริญรุ่งเรืองในยุครัตนโกสินทร์ตราบจนปัจจุบัน ในอดีต อุโบสถหลังเก่ามีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติที่งดงามมาก โดยเฉพาะตอนมารผจญ แต่เกิดเพลิงไหม้เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๑ ทำให้อุโบสถเสียหายหมดทั้งหลัง จากสภาพโบราณวัตถุภายในวัด เป็นต้นว่าอุโบสถ ใบเสมา และวิหาร ตลอดจนพระพุทธรูปหินทรายแดงซึ่งเป็นพระประธานในอุโบสถ คือ หลวงพ่อโต ทำให้ทราบว่าวัดกลางบางแก้วนี้ไดรับการปฏิสังขรณ์ซ่อมสร้างสืบต่อกันเรื่อยมา

สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด คือ หอไตร ลักษณะเป็นแบบอาคารทรงไทย ส่วนบนสอบเล็กน้อยเข้าหาแนวกึ่งกลาง ในแนวยาวของผนังด้านทิศใต้สระน้ำ มีขนาดกว้าง ๑๐.๔ เมตร ยาว ๑๔ เมตร เห็นได้ชัดว่าเป็นสระที่ขุดขึ้นสำหรับหอไตรโดยเฉพาะผนังทั้งสี่ด้าน ก่ออิฐกรุแน่นหนาโดยรอบ ไม่เหมือนกับบางแห่งที่มีสระน้ำใหญ่แล้วมีหอไตรตั้งอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสระ แต่สระนี้มีขนาดรับกันพอดีกับหอไตร ภายในหอไตรแต่เดิมเป็นที่เก็บคัมภีร์และสมุดข่อย ตู้ลายรดน้ำจำนวน ๕ ตู้ และของเก่าบางอย่างเอาไว้ค่อนข้างหนาแน่นและไม่เป็นระเบียบ ปัจจุบันทางวัดได้นำคัมภีร์สมุดข่อยและข้าวของต่าง ๆ ไปจัดแสดงไว้อย่างเป็นระเบียบในพิพิธภัณฑ์พระพุทธวิถีนายกซึ่งเป็นอาคารใหญ่ทางด้านหน้าของหอไตร

ภายในมีพิพิธภัณฑ์พระพุทธวิถีนายก เก็บรักษาโบราณวัตถุและศิลปวัตถุล้ำค่าต่าง ๆ รวมทั้งข้าวของเครื่องใช้ของอดีตเจ้าอาวาส ๒ รูป คือ หลวงปู่บุญหรือท่านเจ้าคุณพุทธวิถีนายก (บุญ ขันธโชติ) ซึ่งปกครองวัดตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๒๙-๒๔๗๘ และหลวงปู่เพิ่ม พระพุทธวิถีนายก (เพิ่ม ปุญญวสโน) ภายในแบ่งเป็น ๓ ชั้น ชั้นล่างจัดแสดงประวัติและข้าวของเครื่องใช้ของหลวงปู่บุญและหลวงปู่เพิ่ม เครื่องราง วัตถุมงคล และพระบูชาของหลวงปู่ อีกส่วนหนึ่งจัดเป็นเรื่องตัวยาไทย สมุนไพร ยารักษาโรค ปฏิทินโหราศาสตร์เขียนด้วยลายมือหลวงปู่ นอกจากนี้ มีคัมภีร์ใบลาน สมุดข่อย ตำราโหราศาสตร์ ตำรายาไทย สมุดภาพพระมาลัย ชั้นที่สองจัดแสดงเครื่องถ้วยชามของใช้ แก้วเจียระไน เครื่องทองเหลือง ธรรมาสน์มุกของหลวงปู่บุญ ชั้นที่สามจัดแสดงพระบุเงิน ธรรมาสน์บุษบกเก่าสลักไม้ลงรักปิดทองและกุฏิเก่าของหลวงปู่ที่นำมาประกอบในลักษณะเดิม เพื่อประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่เหมือนสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

อุโบสถหันสู่แม่น้ำ ทำให้อาคารหันไม่ตรงทิศเท่าใดนัก
....วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (ที่มาข้อมูล)


อุโบสถวัดกลางบางแก้ว


บันไดขึ้นอุโบสถ







จิตรกรรมฝาผนังวัดกลางบางแก้ว เป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทย เป็นงาน
จิตรกรรมไทยประเพณีที่เขียนด้วยสีฝุ่นตามวิธีของช่างเขียนไทยแต่โบราณ  มีความประณีตงดงามด้วยลวดลาย
ที่วิจิตรบรรจง  ภาพจิตรกรรมเหล่านี้เล่าเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างละเอียดและน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นพุทธประวัติ
ชาดก และวิถีชีวิตของคนในสมัยก่อน











20  นั่งเล่นหลังสวน / สยาม ในอดีต / งานช่างลายแทง บนที่เขี่ยบุหรี่ขององเชียงสือ เมื่อ: 15 มิถุนายน 2568 17:38:16


งานช่างลายแทง บนที่เขี่ยบุหรี่ขององเชียงสือ

ที่เขี่ยบุหรี่กะไหล่ทอง
ศิลปะเวียด พุทธศตวรรษที่ ๒๔
เงินกะไหล่ทอง ลงยาสี ประดับแก้วสี
ความสูงรวมกลีบบัว ๑๑ เซนติเมตร ปากกว้าง ๑๕.๕ เซนติเมตร
พระยาคำนวณคัคณานต์ (ศรี ปายะนันทน์) มอบให้เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๕๔
เลขทะเบียน ๐๑/๒๔๘๖/๒๕๖๕ (ก.๔๙๖๘)
ปัจจุบันจัดแสดง ณ ห้องโลหศิลป์ พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร

ที่เขี่ยบุหรี่เงินกะไหล่ทองฝีมือช่างลายแทง (Filigree) รูปทรงคล้ายกระโถนปากผายขอบหยักโค้ง ตัวกระโถนและปากเดินเส้นโลหะขดตกแต่งพื้นเป็นลวดลายก้นหอย ขอบในของปากกระโถนประดับกลีบบัวเดินเส้นโลหะขดโปร่งเป็นลวดลายก้นหอย จำนวน ๑๒ กลีบ ซึ่งมีกลไกสามารถบานออกเมื่อยกที่เขี่ยบุหรี่ขึ้นสูงจากพื้น และหุบกลีบบรรจบกันเป็นบัวตูมเมื่อตั้งบนพื้นราบ ริมขอบปากกระโถนฝังแก้วสีแดงเจียระไนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยรอบ บริเวณปากประดับรูปสัตว์น้ำ ได้แก่ ปลา ปู กุ้ง ลงยาสีต่างๆ สลับกับสาหร่ายหางกระรอก ส่วนลำตัวที่เขี่ยบุหรี่ประดับแผ่นโลหะกะไหล่ทองเป็นช่องหยักโค้ง ๔ ช่อง แต่ละช่องบรรจุแผ่นกะไหล่ทองลงยาสีลายมงคลช่องละ ๒ สิ่ง  ปัจจุบันชำรุดไปเหลือเพียง เงื่อนอนันตภาคย์-ปลา และดอกบัว-คทาหยู่อี่ ซึ่งลายมงคลนี้บางอย่างตรงกับ “อัษฏมงคล” สัญลักษณ์เป็นมงคล ๘ อย่าง ตามคติพุทธศาสนามหายาน ได้แก่ เงื่อนอนันตภาคย์ ปลาคู่ ดอกบัว สังข์ หม้อน้ำ ฉัตร ธรรมจักร และธงชัย

ที่เขี่ยบุหรี่กะไหล่ทองใบนี้ตามประวัติระบุว่า เมื่อเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๔๕๔ พระยาคำนวณคัคณานต์ (ศรี ปายะนันทน์)ได้มอบที่เขี่ยบุหรี่ทำด้วยเงินกะไหล่ทองแก่พิพิธภัณฑสถาน โดยเป็นมรดกได้รับสืบต่อมา กล่าวกันว่าเป็นขององเชียงสือ (พระเจ้าเวียดนามยาลอง ปฐมจักรพรรดิราชวงศ์เหงียน แห่งเวียดนาม) แต่จะได้มาเมื่อครั้งเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือเป็นของให้อย่างใดทางใดนั้น พระยาคำนวณคัคณานต์ไม่ทราบแน่ชัด

ความเกี่ยวเนื่องระหว่างองเชียงสือกับงานประณีตศิลป์ฝีมือช่างลายแทงนี้ ปรากฏหลักฐานตามพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ มหาโกษาธิบดี (ขำ บุนนาค) บันทึกว่าในพุทธศักราช ๒๓๓๑ องเชียงสือถวายต้นไม้ทอง ต้นไม้เงินที่เป็นงานช่างลายแทง แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ดังนี้


        “ครั้นมาถึงเดือน ๑๐ แรม ๑๓ ค่ำ ในปีวอกนั้น (๒๗ กันยายน ๒๓๓๑)
องเชียงสือมีหนังสือบอกเข้ามาฉบับหนึ่ง ใจความในหนังสือว่า  ณ เดือน ๑๐
ขึ้น ๖ ค่ำ องเชียงสือตีได้เมืองไซ่ง่อน เมืองโลกนาย เมืองบาเรียแล้ว  ครั้นมา
ถึงเดือน ๑๒ องเชียงสือคิดถึงพระเดชพระคุณ จึ่งให้ทำต้นไม้เงิน ๑ ทอง ๑
ด้วยฝีมือช่างลายแทงทั้งต้นแลกระถางสูง ๒๐ นิ้
ว แต่งให้องโบโฮคุมเข้า
มาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ก็โปรดให้ไปบูชาไว้ในหอพระเจ้า”




งานช่างลายแทง : Filigree
งานช่างลายแทง เป็นกรรมวิธีในการตกแต่งโลหะ หรือเรียกในภาษาอังกฤษว่า “Filigreeตามพจนานุกรมศัพท์ศิลปะ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายว่า “ผลงานประณีตศิลป์ที่ทำขึ้นจากเส้นลวดทอง เงิน หรือทองแดง ถักเชื่อมเป็นลวดลายอย่างละเอียด ประณีตวิจิตรบรรจง บางครั้งใช้ตกแต่งบนพื้นทองและเงิน”

คำว่า Filigree ในภาษาอังกฤษกร่อนมาจากคำว่า Filigreen ซึ่งมาจากคำภาษาละตินว่า Filum แปลว่า “ลวด” และ “Granum” แปลว่า เม็ด หรือหยด ซึ่งในที่นี้หมายถึงเม็ดโลหะไข่ปลาขนาดเล็ก  งานช่างลายแทงจึงเป็นกรรมวิธีในการตกแต่งชิ้นงานโลหะ ด้วยการบัดกรีชิ้นส่วนของเส้นลวดโลหะที่มีความยาวต่างกัน ขดม้วนแตะกันเป็นโครงตาข่าย งานช่างลายแทงมักพบคู่กับการตกแต่งด้วยเม็ดไข่ปลา (Granulation)

ชาวอียิปต์รู้จักทำเส้นลวดทองแดงเมื่อประมาณ ๕,๕๐๐ ปีมาแล้ว และน่าที่จะใช้ความรู้จากการทำลวดทองแดงมาใช้ในการทำลวดทองคำ จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่นครเออร์ (เมืองโบราณของชนชาติสุเมเรียน อยู่ทางใต้ของกรุงบาบิโลน) พบชามทำด้วยเงินประดับด้วยทองคำผสมเงินที่ทำเป็นเส้นๆ สอดขัดประสานกัน และแผ่นโลหะทำด้วยทองคำผสมเงินและเส้นเงิน จากนั้นเทคนิคดังกล่าวแพร่หลายมาสู่กรีกและโรมันตามลำดับ

สำหรับการทำงานช่างลายแทงในปัจจุบัน มีขั้นตอนการผลิตโดยสรุป ดังนี้
       ๑. ออกแบบชิ้นงานและออกแบบลวดลายลงบนกระดาษ
       ๒. หลอมและรีดดึงเส้นโลหะให้แบน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ๐.๓ มิลลิเมตร หรือตามขนาดที่ต้องการ ทำการดัดเพื่อขึ้นโครงตามแบบที่กำหนดไว้
       ๓. เชื่อมรอยต่อโครงด้วยน้ำยาประสานกับความร้อน
       ๔. นำเส้นโลหะขนาด ๐.๐๑ มิลลิเมตร จำนวน ๒ เส้น มาตีเกลียวและรีดแบนด้วยเครื่องรีดเส้น ตัดและดัดเส้นโลหะด้วยมือหรืออุปกรณ์ตามลวดลาย
       ๕. วางเส้นโลหะที่ดัดแล้วลงในช่องโครงให้แน่นชิดสวยงามไม่หลุดห่างจากกัน
       ๖. เชื่อมลายด้วยน้ำยาประสานกับความร้อน โดยอาจแบ่งเชื่อมทีละส่วนหรือบรรจุลายให้เต็มทั้งชิ้นแล้วเชื่อมลายทั้งหมดพร้อมกันทีเดียว
       ๗. ลบคมชิ้นงานด้วยตะไบท้องปลิง หรือขัดด้วยกระดาษทรายละเอียดเบอร์ ๓๒๐ ขัดทำความสะอาดผิวครั้งสุดท้ายด้วยแปรงทองเหลืองและผงร่อน


---------------------------

บุตรพระสามภพพ่าย (ติ่ง) จางวางกรมช่างทหารในขวา ในสมัยรัชกาลที่ ๔ กับนางหนู


ที่มา นิตยสารรายสองเดือน ศิลปากร กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักบริหารกลาง กรมศิลปากร
      บทความโดย ยุทธนาวรากร แสงอร่าม ภัณฑารักษ์ชำนาญการ สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร
หน้า:  [1] 2 3 ... 306
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.368 วินาที กับ 24 คำสั่ง