[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
16 กรกฎาคม 2568 05:30:00 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2 3 ... 63
1  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / นักบุญวิกตอเรีย แห่งกรุงโรม เมื่อ: 16 ชั่วโมงที่แล้ว


นักบุญวิกตอเรีย แห่งกรุงโรม

ร่างอมตะของนักบุญวิกตอเรีย ผู้งดงามที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ ร่างของเธอถูกเคลือบด้วยขี้ผึ้ง ศีรษะประดับด้วยมงกุฎกุหลาบและถูกเก็บรักษาไว้ในตู้กระจกที่โบสถ์ซานตามาเรียเดลลาวิตตอเรีย โบสถ์สไตล์บาโรกในกรุงโรม ซึ่งไม่มีสถานที่ใดในโรมจะงดงามเท่ากับโบสถ์ซานตามาเรียเดลลาวิตตอเรีย

นักบุญวิกตอเรีย องค์อุปถัมภ์เมืองอันติโกลี ประเทศอิตาลี เป็นผู้พลีชีพในศาสนาคริสต์ยุคแรกๆ เธอเป็นหนึ่งในตัวอย่างมากมายของสตรีคาทอลิกผู้ศรัทธาที่ถูกฆ่าหลังจากปฏิเสธชายนอกศาสนาผู้ทรงอิทธิพล คุณสามารถมองเห็นโครงกระดูกของเธอผ่านส่วนต่างๆ ของใบหน้าที่ทำด้วยขี้ผึ้ง เช่น ฟัน และบางส่วนของมือ - เท้า (เล็บมือ เล็บเท้า)

ปัจจุบันร่างของเธอถูกฝังอยู่ในโครงสร้างเพียงแห่งเดียวที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งออกแบบโดยคาร์โล มาแดร์โน สถาปนิกยุคบาโรก โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 ในปี ค.ศ.1801 และปรากฏในนวนิยายเรื่อง Angels and Demons ของแดน บราวน์ ซึ่งช่วยเพิ่มการท่องเที่ยวอย่างมากนับตั้งแต่เปิดตัวในปี ค.ศ.2000






โบสถ์ซานตามาเรียเดลลาวิตตอเรีย



2  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / คนไม่มีศีลเปรียบเหมือนคนตาย โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) เมื่อ: 17 ชั่วโมงที่แล้ว



คนไม่มีศีลเปรียบเหมือนคนตาย
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
(เทศน์ ๒๔ ม.ค. ๖๕)

      การที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้มาทำวัตรสวดมนต์รวมกัน ถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันของเรา โดยเฉพาะคณะครูบาอาจารย์คณะแม่ชีที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม การที่เราได้มาทำวัตก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ของเรา ให้มีความศรัทธา ให้มีความเชื่อ ในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มากขึ้น เพราะว่าเราได้สวดเป็นประจำทุกวัน การระลึกถึงพระพุทธเจ้า ตอนเช้าก็ดี ตอนเย็นก็ดี ก็ถือว่าเป็นบุญ ระลึกถึงร้อยครั้งก็เป็นบุญร้อยครั้ง ระลึกถึงพันครั้งก็เป็นบุญพันครั้ง ระลึกถึงตลอดชีวิตก็เป็นบุญตลอดชีวิต ระลึกถึงเวลาใดก็เป็นบุญเวลานั้น การระลึกถึงพระธรรมก็เหมือนกัน การระลึกถึงพระสงฆ์ก็เหมือนกัน

         ขณะที่คณะครูบาอาจารย์ญาติโยมที่มาประพฤติปฏิบัติธรรมมีจิตใจเศร้าหมอง มีจิตใจขุ่นมัว มีจิตใจที่ถูกความโกรธความโลภความหลงเข้าครอบงำ เรานึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า นึกถึงคุณของพระธรรม นึกถึงคุณของพระสงฆ์แล้ว ทำให้จิตใจของเรามันมีความสบาย ทำให้จิตใจของเราผ่อนคลายจากความโกรธความโลภความหลง จากมานะทิฏฐิตัณหาต่างๆ เมื่อเราระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์แล้ว เราก็ย่อมผ่อนคลายจากกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดนั้นได้

         นอกจากนั้นบุคคลผู้ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์เนืองๆ บุคคลนั้นก็ย่อมมีหิริคือความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะความเกรงกลัวต่อบาปได้ เพราะฉะนั้น โบราณาจารย์จึงให้เราทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น เพื่อที่เราจะได้ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์อยู่เนืองๆ เพื่อที่จะให้เรามีหิริความละอาย มีโอตตัปปะความเกรงกลัวอยู่เนืองๆ นี่เป็นอุบายของโบราณาจารย์ เป็นอุบายของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้กำหนดมา เพื่อที่จะให้เราอบรมจิตอบรมใจของเรา ห้ามจิตห้ามใจของเราไว้ในพระธรรมวินัย เพื่อที่จะได้เจริญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน ให้เกิดศีลเกิดสมาธิเกิดมรรคเกิดผลเกิดพระนิพพานขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น การทำวัตรนั้นจึงถือว่าเป็นการที่ยังจิตยังใจของเราให้มีหิริแล้วก็โอตตัปปะได้

         นอกจากนั้น บุคคลผู้ระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าคุณของพระธรรมคุณของพระสงฆ์เนืองๆ นั้น ก็ถือว่าเป็นการเจริญพุทธานุสติ เจริญธรรมานุสติ เจริญสังฆานุสติ คือการระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์นั้น เป็นการระลึกถึงสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีสิ่งใดที่จะประเสริฐกว่าพระพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะประเสริฐกว่าพระธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะประเสริฐกว่าพระสงฆ์อีกแล้ว เพราะฉะนั้น เราระลึกนึกถึงสิ่งที่ประเสริฐอยู่เป็นประจำย่อมห้ามซึ่งภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ เหมือนกับบุคคลผู้ที่ไปอยู่กลางป่าก็ดี กลางเขาก็ดี ไปอยู่ในที่เร้นลับคนเดียว เกิดความหวาดหวั่น เกิดความกลัว เกิดความสะดุ้งแห่งจิตแห่งใจ เมื่อเราเกิดความหวาดหวั่นเกิดความกลัวเกิดความสะดุ้งทางจิตทางใจแล้วเนี่ย เราระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า เราระลึกนึกถึงคุณของพระธรรม เราระลึกนึกถึงคุณของพระสงฆ์แล้วเนี่ย ก็ทำให้เรานั้นมีความอาจหาญขึ้นมา ทำให้ความกลัวทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันผ่อนลงมันเบาลงมันลดลงมันหมดไปจากจิตจากใจของเราได้ นี่ถ้าผู้ใดไปอยู่ตามป่าตามเขาตามป่าช้าตามเรือนว่างหรือตามที่เร้นลับต่างๆ เราเกิดความสะดุ้งขึ้นมา เราเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา เราระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ นึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ความกลัวทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็พลันหายไปสิ้นไป นี่เรียกว่าคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ คุณของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เนี่ย มีคุณห้ามความกลัวทั้งหลายทั้งปวง เรียกว่ากำราบความกลัวทั้งหลายทั้งปวงให้หมดไปสิ้นไปสูญไป เหมือนกับว่ามีเพื่อนอยู่รวมกันเป็นหมู่ร้อย ความกลัวมันหายไป ความอบอุ่นมันเกิดขึ้นมาแทน อันนี้เป็นการระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าพระธรรมพระสงฆ์อย่างต่ำนะ

         แต่ถ้าเราระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ด้วยการน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติ ด้วยการให้ทานด้วยการรักษาศีลด้วยการเจริญสมถะด้วยการเจริญวิปัสสนา เราก็จะมีความอบอุ่นความมั่นใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเรามีจิตคิดจะให้ทาน ความอิ่มใจความสบายใจมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว จิตที่คิดจะให้กับจิตที่คิดจะเอามันมีความอิ่มใจต่างกัน จิตคิดที่จะเอาบางครั้งก็เป็นทุกข์ เพราะอะไร เพราะอยากได้สิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นมันก็เป็นทุกข์ เนี่ยในลักษณะของจิตที่อยากได้นะ แต่จิตที่คิดจะให้เนี่ย ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขเกิดความอิ่มใจเกิดความสบายใจเกิดความโล่งเกิดความโปร่งขึ้นมา จิตคิดจะให้กับจิตคิดจะเอามันต่างกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นบุ คคลผู้ให้ทานนั้นจึงมีความสบายจิตสบายใจ มีปีติมีความอิ่มอกอิ่มใจขึ้นมา เหมือนกับที่เราได้อ่านในพระไตรปิฎกในธรรมบทต่างๆ ที่เห็นนายสุมนมาลาการซึ่งเป็นคนยากจน เก็บดอกไม้ไปส่งพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อที่จะเอาเงินเลี้ยงชีวิตของตนเอง แต่เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คิดว่าเราจะเอาดอกไม้นี่แหละบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่เราเอาดอกไม้ไปให้พระราชา พระราชาก็ให้กหาปณะเราวันละ  ๘ กหาปณะ แต่กหาปณะนั้นก็เลี้ยงชีวิตของเราด้วยอาหารหรือว่าเลี้ยงชีวิตของเราในอัตภาพนี้เท่านั้น แต่บุญที่เราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ ๘ กำนี้ ก็จะติดตามเราไปในสัมปรายภพข้างหน้า ในขณะที่เรายังท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วเนี่ย ก็คิดว่าพระราชาจะเฆี่ยนเราก็ตาม จะโบยเราก็ตาม จะเนรเทศเราออกจากบ้านจากเมืองก็ตาม จะประหารเราก็ตาม เราจะกระทำบุญ เราจะบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อคิดอย่างนั้นแล้วก็โปรยดอกไม้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดปีติขึ้นมาทั่วสรรพางค์กาย นี่เวลาทำทานมันเกิดปีติอย่างนี้นะ ถ้าเรานึกถึงอานิสงส์อันพึงจะได้ นึกถึงอานิสงส์อันตนจะได้รับด้วยการให้ทานแก่ผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย เกิดปีติขึ้นมาได้ มีความสุขกายมีความสบายใจอย่างนี้นะ ถ้าเราให้ทานด้วยการระลึกนึกถึงอานิสงส์ แต่เมื่อเราน้อมนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติตาม ด้วยการรักษาศีลเนี่ย ก็จะมีความอุ่นใจมากไปกว่าทานนะ เพราะว่าศีลเป็นสิ่งที่น้อมนำมาซึ่งความสบายกายสบายใจ

         ท่านกล่าวว่าผู้ใดเป็นผู้มีศีล รักษาศีลอยู่เป็นประจำ มีความระมัดระวังทางกายทางวาจาทางใจ ไม่มีศีลขาด ไม่มีศีลทะลุ ไม่มีศีลเศร้าหมอง บุคคลนั้นก็ไม่มีความวิปฏิสาร คือไม่มีความเดือดร้อนใจ ความอวิปฏิสารคือความไม่เดือดร้อนใจนั้นเป็นอานิสงส์ของการรักรักษาศีลนะ ความอวิปฏิสารคือความไม่เดือดร้อนใจนั้น ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดปีติคือความอิ่มใจ ปีติก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความปราโมทย์ความรื่นเริงบันเทิงใจ ความปราโมทย์รื่นเริงบันเทิงใจก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้จิตใจของเรานั้นสงบ ไม่มีความฟุ้งซ่าน มีกายสงบมีใจสงบ มีความสงบเป็นอานิสงส์ เมื่อจิตใจของเรามันสงบ กายของเราสงบใจของเราสงบ ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้จิตใจของเราตั้งมั่นเป็นสมาธิ เมื่อจิตใจของเราตั้งมั่นเป็นสมาธิ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นรู้เห็นตามความเป็นจริง คือเราจะรู้เห็นตามความเป็นจริงตามหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะรู้ว่าร่างกายของเรามันเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เราจะรู้ว่าร่างกายของเราประกอบด้วยธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ประกอบไปด้วยอาการ ๓๒  โดยความเห็นตามความเป็นจริงนั้นเนี่ย จิตใจของเราต้องสงบเสียก่อนนะ ไม่ใช่เห็นตามที่ท่านว่า ไม่ใช่เห็นตามที่อ่านหนังสือมา หรือว่าไม่ได้เห็นตามที่เราศึกษาเล่าเรียนมา ไม่ใช่นะ เห็นในที่นี้เห็นด้วยปัญญาญาณ ปัญญาญาณเกิดขึ้นมาจากการเจริญสติ จากการเจริญสัมปชัญญะ กำหนดทันรูปทันนาม เมื่อเรากำหนดทันรูปทันนาม เรามีสมาธิเป็นพื้นฐาน ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นเห็นตามความเป็นจริง เห็นว่าร่างกายของเรามันเป็นอนิจจังจริงๆ คือเห็นออกมาจากจิตจากใจจากปัญญาของเรา ไม่ใช่เห็นเพราะเราอ่านหนังสือมา ไม่ได้เห็นเพราะคนอื่นพูดมา แต่เห็นออกมาจากจิตจากใจของเราว่ามันเป็นอนิจจังอย่างนี้ มันเป็นทุกขังอย่างนี้ มันเป็นอนัตตาอย่างนี้ เนี่ยมันเป็นสิ่งที่ออกมาจากจิตจากใจ แม้คนอื่นเป็นพัน แม้คนอื่นเป็นหมื่นเป็นแสนจะมาพูดว่าร่างกายมันเป็นนิจจังนะ เป็นของเที่ยงนะ ร่างกายมันเป็นสุขัง มันเป็นสุขนะ ร่างกายมันเป็นอัตตา เป็นตัวเป็นตนนะ เราผู้มีสมาธิมีความเห็นตามความเป็นจริงซึ่งมันออกมาจากจิตจากใจของเราแล้วเนี่ย เราเห็นตามความเป็นจริงของเราอยู่ ถึงคนอื่นเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนจะว่าร่างกายมันเป็นของเที่ยงเป็นสุขังเป็นของสุขหรือว่าเป็นอัตตาเป็นตัวเป็นตน เราผู้มีความเชื่อมั่นซึ่งเห็นตามความเป็นจริงนั้น ก็จะเชื่อในความเห็นของตนเอง เพราะมันไม่ได้เป็นความเห็นความเชื่อที่เกิดขึ้นมาจากการฟังคำของคนอื่น ไม่ใช่เป็นความเห็นความเชื่อที่เกิดขึ้นจากการอ่านตำรับตำรา แต่มันเป็นความเชื่อความเห็นที่เกิดขึ้นมาจากการกำหนดรู้รูปรู้นาม ด้วยกำลังของสติสัมปชัญญะ ด้วยกำลังของสมาธิ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้จิตใจของเรานั้นเกิดปัญญาญาณขึ้นมา เพราะฉะนั้น บุคคลผู้เจริญหรือว่ารักษาศีลให้ดีนั้นมีอานิสงส์มากมาย เป็นบันไดไต่เต้าไปสู่สมาธิไปสู่วิปัสสนานะ แต่ถ้าเราไม่มีศีล สมาธิมันก็ไม่มีนะ วิปัสสนามันก็ไม่มี มรรคผลก็ไม่มี นิพพานก็ไม่มี โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผลก็ไม่มี สกทาคามิมรรคสกทาคามิผลก็ไม่มี อนาคามิมรรคอนาคามิผลก็ไม่มี อรหัตตมรรคอรหัตตผลก็ไม่มี เพราะอะไร เพราะว่าศีลมันไม่มี ศีลอันเป็นพื้นฐานแห่งคุณงามความดี ศีลอันเป็นพื้นฐานแห่งพระอริยบุคคล ศีลอันเป็นพื้นฐานแห่งภาชนะทองรองรับเอาพระธรรมคำสั่งสอนทั้งหลายทั้งปวงไม่มีแล้วเนี่ย คุณธรรมทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงให้เรารักษาศีลให้ดี ศีลนั้นเป็นลมหายใจของภิกษุ ศีลนั้นเป็นลมหายใจของสามเณร ศีลนั้นเป็นเหมือนกับลมหายใจของแม่ชีของอุบาสิกา ขาดศีลก็เหมือนกับคนขาดลมหายใจ คนขาดลมหายใจก็คือคนตาย คนตายลุกเดินได้เดินไปเดินมาตามถนนหนทางตามบ้านตามวัดตามวา โบราณว่าคนตายลุกเดินได้ เอ๊ คนตายลุกเดินได้อย่างไร ก็คือคนไม่มีศีล เพราะฉะนั้น บ้านเมืองของเราจึงร้อนเป็นไฟ บ้านเมืองของเราจึงมีการเบียดเบียนข่่มเหงคะเนงร้ายต่อกันและกัน เพราะว่าคนตายลูกเดินได้นี่แหละ คนไม่มีศีล จึงเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ปลาใหญ่กินปลาน้อย ผู้มีกำลังมากข่มเหงผู้มีกำลังน้อยเป็นต้น

         เพราะฉะนั้น ผู้ที่มุ่งความเจริญในพระพุทธศาสนานั้น เราไม่พึงเป็นคนตาย เราพึงเป็นคนเป็น ปลาตายมันจะลอยตามกระแสน้ำ มันจะไม่มีปฏิกิริยาในการที่จะทวนกระแสน้ำเพราะมันตายแล้ว น้ำพัดไปยังไงก็ไหลไป คนที่ตายจากศีลจากธรรมแล้วเนี่ย ก็ไหลไปตามรูปตามเสียงตามกลิ่นตามรสตามสัมผัสตามธรรมารมณ์ ไหลไปตามความโกรธความโลภความหลง ไหลไปตามมานะตัณหาอุปาทานต่างๆ ความคิดอย่างไรมันก็ไหลไปไม่มีการห้ามจิตห้ามใจ ไม่มีการฝืนจิตฝืนใจ เพราะมันตายแล้ว แต่บุคคลผู้ที่มีศีลนั้น ท่านอุปมาเหมือนกับปลาเป็น มันจะว่ายทวนกระแสน้ำนะ มันจะว่ายไปนู้นต้นน้ำนั่นแหละ ต้นน้ำอยู่ไหนมันก็ว่ายไปที่ต้นน้ำ ปลาเป็นมันจะเป็นอย่างนั้น บุคคลผู้มีศีลนั้นก็ทวนกระแส พยายามที่จะทวนความโกรธความโลภความหลง ทวนราคะทวนตัณหาทวนกิเลสฝ่ายต่ำที่มันมาบีบบังคับจิตใจของเรา พยายามทวนกระแส ฝึกฝนอบรมตนเองให้ได้สมาธิสมาบัติ ให้ได้บรรลุมรรผลพระนิพพาน บุคคลผู้มีศีลจะทวนกระแสในลักษณะอย่างนั้น เหมือนกับเราทั้งหลายทั้งปวงที่มาอยู่ร่วมกันนั่นแหละ ถ้าผู้ใดมีความเพียร ผู้นั้นก็จะได้รับประโยชน์ของการมาอยู่ คือมีความเพียรในการเดินจงกรม มีความเพียรในการนั่งภาวนา มีความเพียรในการบำเพ็ญบารมีต่างๆ เนี่ย  เราก็จะได้รับประโยชน์จากการที่มาอยู่ ไม่ใช่ว่ามาอยู่วัดพิชโสภาราม มาเรียนนักธรรมตรีโทเอก มาเรียนบาลี มาประพฤติปฏิบัติ บวชเป็นแม่ขาว บวชเป็นพ่อขาว บวชเป็นพระเป็นเณรแล้วจะได้รับประโยชน์เลยทีเดียว ไม่ใช่นะ บางคนมาเรียนนักธรรมก็ไม่ได้นักธรรมกลับไปก็มี ลาสิกขาไปเฉยๆ ก็มี บางคนมาเรียนบาลีก็ไม่ได้เป็นมหา ลาสิกขาออกไปเฉยๆ ก็มี บางคนมาบวชเป็นแม่ชีเป็นพราหมณ์ ตั้งใจจะประพฤตปฏิบัติเพื่อที่จะให้ได้สมาธิสมาบัติมรรคพลพระนิพพาน บางครั้งก็กลับไปเปล่าๆ นะ บางครั้งก็ขาดทั้งทุนสูญทั้งกำไร เพราะอะไร เพราะว่าไม่ได้ตั้งใจเรียนจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ผลการเรียนมันจึงไม่ปรากฏ ผลของการปฏิบัติจึงไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น บุคคลควรเป็นอยู่ด้วยความเพียร

         องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระระองค์ทรงตรัสว่า ถ้าผู้ใดปราศจากความเพียร ก็เหมือนกับบุคคลผู้เวลาค่ำคืนแล้วก็นอนหลับ เมื่อนอนหลับแล้วก็ถูกห้วงน้ำใหญ่นั้นพัดพาไป นอนหลับในที่นี้หมายถึงบุคคลผู้นอนหลับในทางสติปัญญา คือสติปัญญาที่จะพัฒนาตัวเองไม่มี นอนหลับในที่นี้หมายความว่าหลับในรูป นอนหลับในเสียง นอนหลับในกลิ่น นอนหลับในรส นอนหลับในสัมผัส นอนหลับในอารมณ์มีกามคุณเป็นต้น บุคคลมัวเมาอยู่กับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรสกับสัมผัสกับธรรมารมณ์ต่างๆ ก็เหมือนกับคนนอนหลับ เพราะยังไม่ตื่นจากรูป ยังไม่ตื่นจากความหลงในรูป ยังไม่ตื่นจากความหลงในเสียงในกลิ่นในรสต่างๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับคนหลับ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้หลับอย่างนี้แหละ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงตรัสว่า ห้วงน้ำใหญ่ย่อมพัดพาบุคคลนั้นไป ห้วงน้ำใหญ่ก็คือห้วงน้ำคือกาม ห้วงน้ำคือภพ ห้วงน้ำคือทิฏฐิ ห้วงน้ำคืออวิชชา ย่อมพัดพาบุคคลนั้นไปในการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้นไม่รู้จักเบื้องต้นและท่ามกลาง บุคคลผู้นอนหลับมันเป็นไปในลักษณะอย่างนั้น แต่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ถ้าบุคคลใดเป็นผู้มีความความเพียร ย่อมก้าวล่วงบุคคลผู้ไม่มีความเพียรไป เหมือนกับม้าที่มีฝีเท้าดีทิ้งม้าที่มีฝีเท้ากระจอกไว้ในเบื้องหลังนั่นแหละ บุคคลผู้ไม่มีความเพียรก็เปรียบเหมือนกับม้าตัวมีฝีเท้ากระจอก เดินไปนิดหน่อยก็เหนื่อย เดินไปนิดหน่อยก็หยุด เดินไปนิดหน่อยก็พัก ประพฤติปฏิบัติธรรมเหมือนกับจิ้งจกเหมือนกับตุ๊กแก วิ่งไปหน่อยหนึ่งแล้วก็หยุด วิ่งไปหน่อยหนึ่งแล้วก็หยุด ไม่มีการกระทำความเพียรโดยติดต่อ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิสมาบัติ ไม่เป็นไปเพื่อวิปัสสนา ไม่เป็นไปเพื่อบรรลุมรรคผลพระนิพพาน ม้าที่มีฝีเท้ากระจอกนี่เป็นอย่างนี้นะ ไม่สม่ำเสมอ ไม่คงเส้นไม่คงวา ไม่มีความเพียรดุจกระแสน้ำ แต่ถ้าผู้ใดเป็นผู้มีความเพียร เปรียบเสมือนกับม้าที่มีฝีเท้าดีเนี่ย ย่อมทิ้งม้าที่มีฝีเท้ากระจอกไปไกล เพราะอะไร เพราะว่าบุคคลผู้มีความเพียรนั้นเปรียบเสมือนกับม้าที่มีฝีเท้าเร็ว สามารถที่จะวิ่งในวันหนึ่งๆ ได้ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย วิ่งไม่ได้พัก วิ่งไปเรื่อยวิ่งไปเรื่อย เหมือนกับม้าของพระเจ้าจันทปัชโชติ สามารถวิ่งได้ถึงวันละ ๕๐ โยชน์โยชน์หนึ่งก็ ๑๖ กิโลเมตร เราก็เอา   ๕๐ คูณ ๑๖ ดูว่ามันจะเป็นกี่กิโลเมตร ม้ามันวิ่งได้ถึงขนาดนั้น อันนี้เรียกว่าม้าตัวที่มีฝีเท้าเร็ว ย่อมทิ้งม้าตัวที่มีฝีเท้ากระจอก หมายความว่าบุคคลผู้มีความเพียรนั้นย่อมไปถึงซึ่งสมาธิสมาบัติ ย่อมไปถึงซึ่งโสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล ย่อมไปถึงซึ่งสกทาคามิมรรคสกทาคามิผล ย่อมไปถึงซึ่งอนาคามิมรรคอนาคามิผล ย่อมไปถึงซึ่งอรหัตตมรรคอรหัตตผล ทิ้งบุคคลผู้ไม่มีความเพียร คือทิ้งม้าผู้มีฝีเท้ากระจอกไว้ในภพไว้ในสงสาร ทิ้งไว้ในการเวียนว่ายตายเกิด ทิ้งไว้ในความแก่ความเจ็บความตาย ทิ้งบุคคลผู้ที่ไม่มีความเพียรนั้นไว้ในความเป็นปุถุชน ทิ้งบุคคลผู้ไม่มีความเพียรนั้นไว้ในภพในการเวียนว่ายตายเกิด ม้าตัวมีฝีเท้าดีคือบุคคลที่มีความเพียรก็ไปสู่พระนิพพานอันเป็นแดนเกษมจากโยคะทั้งหลายทั้งปวง นี่พุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสในลักษณะอย่างนี้ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรานั้นได้น้อมนำเอาพระธรรมคำสั่งสอนนั้นมาตักมาเตือนมาอบมารมมาฝึกมาฝนจิตใจของเรา

         การที่เราจะมีจิตใจดีงาม การที่เราจะมีจิตใจเข้มแข็ง การที่เราจะมีจิตใจมีความเพียร การที่เราจะมีจิตใจเกิดความอดทนนั้น เราต้องฝึกฝนอบรมใจของเรานะ คนอื่น ครูบาอาจารย์นั้นเป็นผู้ที่แนะนำ เป็นเพียงผู้ชี้ผู้บอกผู้เล่า แต่ไม่ได้เป็นบุคคลผู้อบรมนะ ผู้อบรมใจจริงๆ น่ะเป็นเราเองนะ ถึงครูบาอาจารย์จะเทศน์จะสอนสั่งขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติตาม คำสอนนั้นไม่มีประโยชน์ไม่มีความหมายนะ เพราะอะไร เพราะว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงคือการฝึกฝนอบรมใจนั้นต้องเกิดขึ้นจากการที่เราอบรมใจของเราเองนะ เพราะฉะนั้น เราต้องหมั่นตรึกหมั่นตรองหมั่นคิดหมั่นพินิจพิจารณา สิ่งที่มันพลั้งไปแล้วก็ให้มันพลั้งไป สิ่งที่มันยังไม่เกิดนี่เราต้องมีสติสัมปชัญญะ เอาความพลั้งพลาดทั้งหลายทั้งปวงนั้นมาเป็นครูสอนจิตสอนใจของเรา สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เราก็เหมือนกัน ก็มีความพลั้งพลาดเป็นธรรมดา แต่เราเอาความพลั้งพลาดนั้นน่ะมาเป็นครูฝึกฝนอบรมใจของเรา เราตั้งไว้ในจิตในใจว่า ตราบใดที่เรายังมีกิเลสอยู่ เรายังมีราคะมีโทสะมีโมหะอยู่ เราจะพยายามฝึกฝนอบรม พยายามละกิเลสไปจนกว่าชีวิตของเราจะหาไม่ นี่เราตั้งจิตตั้งใจไว้ เมื่อเราตั้งจิตตั้งใจไว้อย่างนี้เราก็ทำความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน เวลาว่างเราก็ทำความเพียร เวลาหนาวเวลาร้อนฤดูหนาวฤดูร้อนเราก็ทำความเพียร เวลาร่างกายของเรามันสะดวกสบายมีเวลาเราก็ทำความเพียร เพราะอะไร เพราะเราตั้งจิตตั้งใจไว้ว่าถ้าเรายังไม่พ้นจากราคะโทสะโมหะ ยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์อยู่ตราบใด เราก็จะทำความเพียรเรื่อยไป แม้ว่าเราจะสำเร็จเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์  อะไรต่างๆ เราก็ควรที่จะทำความเพียรเรื่อยไป เหมือนกับพระพุทธเจ้า เหมือนกับพระสารีบุตร เหมือนกับพระโมคัลลานะ เพราะการกระทำความเพียรของพระพุทธเจ้าก็ดี การกระทำความเพียรของพระโมคคัลลานะ พระสารีบุตรก็ดี การกระทำความเพียรของพระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงก็ดี การกระทำความเพียรเหล่านี้เป็นการบริโภคธรรมนะ การที่เราจะกินอาหารเราต้องตักอาหารมาใส่ปากมาเคี้ยวมากลืนลงไป แต่เราจะบริโภคธรรมเนี่ย เราต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติธรรม การบริโภคธรรมต้องอิงธรรมนะ อิงการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยการเดินจงกรมให้เกิดปีติ ด้วยการกำหนดทันปัจจุบันให้เกิดปีติ ด้วยการเพ่งอารมณ์ให้เป็นเอกัคคตาให้เกิดปีติ หรือว่าการที่จะเข้าสมาธิสมาบัติให้เกิดปีติ การเข้าผลสมาบัติให้เกิดปีติ การเข้านิโรธสมาบัติให้เกิดปีติ เป็นต้น เป็นการบริโภคธรรมนะ เพราะฉะนั้นสมาธิสมาบัตินั้นท่านจึงกล่าวว่าเป็นเรือนแก้วของพระอริยบุคคล หรือผลสมาบัตินั้นมีนิพพานเป็นอารมณ์ นิโรธสมาบัติก็เหมือนกัน บุคคลบริโภคธรรมนั้นบริโภคในลักษณะอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงเดินจงกรมนั่งภาวนาทุกวัน อันนั้นพระองค์ทรงทำการบริโภคธรรมเป็นตัวอย่างแก่สาวก เป็นตัวอย่างแก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายทั้งปวง เราทั้งหลายทั้งปวงผู้บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา ถ้าเราบริโภคแต่ข้าวแต่น้ำ บริโภคแต่อาหารอย่างเดียว เราก็อ้วนท้วนสมบูรณ์แข็งแรง แต่ปัญญามันไม่เพิ่มขึ้น มันก็มีความอิจฉามีความริษยามีความโกรธความโลภความหลงมากขึ้น เพราะอะไร เพราะมันมากแต่เนื้อหนังมังสา แต่ปัญญาหาเพิ่มขึ้นไม่ เนื้อหนังมังสาเนี่ยมันมาก แต่ปัญญามันไม่เพิ่มขึ้นก็เกิดกิเลสขึ้นมานั่นแหละ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ที่จะฝึกฝนอบรมตนเองได้นั้น ต้องหมั่นตรึกตรอง หมั่นบังคับ หมั่นกำหนดจิตหมั่นกำหนดใจ หมั่นกระทำความเพียร หมั่นเดินจงกรมนั่งภาวนากำหนดจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา การประพฤติปฏิบัติธรรมไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปอยู่ป่าไม่ต้องอยู่ถ้ำอยู่เหว การประพฤติปฏิบัติธรรมของบุคคลผู้เข้าใจธรรมแล้วอยู่ไหนก็สามารถที่จะทำได้ สามารถเข้าสมาธิได้ สามารถเข้าผลสมาบัติได้ สามารถเกิดปีติได้ สามารถเกิดปัสสัทธิได้ ในที่ทุกสถานในกทุกเมื่อ นี่ถ้าเราเข้าใจนะ เป็นอกาลิโกนะ ไม่จำกัดกาล เป็นอัฏฐาเน ไม่จำกัดที่นะ ไม่ใช่ว่าที่นี้จึงจะเกิดที่โน้นไม่เกิดอะไรทำนองนี้ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงอย่าประมาทในการฝึกในการฝนในการอบในการรมจิตใจของเรา ให้เราพิจารณาตามเสขปฏิปทาที่พระองค์ทรงตรัสไว้นั้นแหละ ว่าเสขปฏิปทาเราควรทำอย่างไร พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสให้เรานั้นเป็นผู้ไม่ประมาทด้วยเสขปฏิปทานะ เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มีกำลังแข็งแรงก็พยายามทำความเพียรจนกว่าเราจะได้สิ้นอาสวกิเลส จนกว่าเราจะได้บรรลุมรรคผลพระนิพพานสำเร็จเป็นพระอรหันต์นั่นแหละ เราจึงจะเบาใจได้ วันนี้อาตมภาพได้กล่าวธรรมมาก็ว่าพอสมควรแก่เวลา.
3  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / 8 สถานที่สุดอึดอัดบนโลก ที่คนอยู่กันแน่นจนไม่มีอากาศหายใจ! เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2568 12:52:37
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=HChyLY9NMYs" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=HChyLY9NMYs</a>


8 สถานที่สุดอึดอัดบนโลก ที่คนอยู่กันแน่นจนไม่มีอากาศหายใจ!
4  สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / บทสวด ระตะนะสุตตัง วัดโพรงจระเข้ จ.ตรัง เมื่อ: 07 กรกฎาคม 2568 12:40:46
                   

                    บทระตะนะสุตตัง

                       ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ

               ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

               สัพเพ วะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ

               อะโถปิ สักกัจะ สุณันตุ ภาสิตัง

               ตัสมา หิ ภูตา นิสาเมถะ สัพเพ

               เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ

               ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลิง

               ตัสมา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา ฯ

                       ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา

               สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง

               นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ

               อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง

               ยะทัชฌะคา สักยะมุนี สะมาหิโต

               นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ

               อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง

               สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ

               สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ

               อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา

                จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ

               เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา

               เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ

               อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ

               นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ

               เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ

               ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา

               อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง   ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       ยะถินทะขีโล ปะฐะวิง สิโต สิยา

               จะตุพภิ วาเตภิ อะสัมปะกัมปิโย

               ตะถูปะมัง สัปปุริสัง วะทามิ

               โย อะริยะสัจจานิ อะเวจจะ ปัสสะติ

               อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง

              เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       เย อะริยะสัจจานิ วิภาวะยันติ

               คัมภีระปัญเญนะ สุเทสิตานิ

               กิญจาปิ เต โหนติ ภุสัปปะมัตตา

               นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ

               อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ

               ตะยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ

               สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ

               สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ

               จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต

               ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง

               อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะตัง

               กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา

               อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ

               อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา

               อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                        วะนัปปะคุมเพ ยะถา ผุสสิตัคเค

               คิมหานะมาเส ปะฐะมัสมิง คิมเห

               ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ

               นิพพานะคามิง ปะระมัง หิตายะ     

               อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร

               อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ

               อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง

               วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสมิง

               เต ขีณะพีชา อะวิรุฬหิฉันทา

               นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป

               อิทัปมิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง

               เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ

               ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

               ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง

               พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ

               ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

               ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง

               ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ

                       ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ

               ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข

               ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง

               สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ               


ที่มา วัดโพรงจระเข้ จ.ตรัง
5  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทโฮเฮนโซลเลิร์น (Hohenzollern Castle) เมื่อ: 04 กรกฎาคม 2568 13:05:08
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/70/Burg_Hohenzollern_10-2016.jpg/1280px-Burg_Hohenzollern_10-2016.jpg


ปราสาทโฮเฮนโซลเลิร์น (Hohenzollern Castle)

ปราสาทโฮเฮนโซลเลิร์น (Hohenzollern Castle) หรือที่เรียกอีกอย่างว่าเบิร์กโฮเฮนโซลเลิร์น (BurgHohenzollern) เป็นป้อมปราการประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่บนยอดเขาโฮเฮนโซลเลิร์น ในรัฐบาเดิน-เวิอร์ทเทมแบร์ก ประเทศเยอรมนี (Baden-Württemberg, Germany) เป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมยุคกลางและมรดกอันสูงส่ง เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่และประวัติศาสตร์ของราชวงศ์โฮเฮนโซลเลิร์น ปราสาทอันสง่างามแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงในด้านการก่อสร้างที่น่าประทับใจและความงามของทิวทัศน์เท่านั้น แต่ยังมีชื่อเสียงในด้านความสำคัญอันยั่งยืนในฐานะสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงในปรัสเซียและเยอรมนีอีกด้วย

ปราสาทโฮเฮนโซลเลิร์นมีผู้เข้าชมมากกว่า 350,000 คนต่อปี และเป็นหนึ่งในปราสาทที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในเยอรมนี ปราสาทแห่งนี้เป็นของราชวงศ์โฮเฮนโซลเลิร์น โดยสองในสามเป็นของราชวงศ์บรันเดินบวร์ก-ปรัสเซีย และส่วนที่เหลือเป็นของราชวงศ์ชวาเบียน



https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/81/Burg_Hohenzollern_mit_Schwarzwald2-b.jpg/1920px-Burg_Hohenzollern_mit_Schwarzwald2-b.jpg


https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/45/BurgHohenzollernInnenhof02.jpg/1920px-BurgHohenzollernInnenhof02.jpg

6  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาท Brissac เมื่อ: 02 กรกฎาคม 2568 14:31:27
https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/f/f5/00_1048_Brissac-Quinc%C3%A9_-_Schloss_Brissac_%28Ch%C3%A2teau_de_Brissac%29.jpg/1920px-00_1048_Brissac-Quinc%C3%A9_-_Schloss_Brissac_%28Ch%C3%A2teau_de_Brissac%29.jpg


ปราสาท Brissac


ปราสาท Brissac เป็นปราสาทฝรั่งเศส ในพื้นที่ Brissac-Quincé ของเทศบาล Brissac Loire Aubance ตั้งอยู่ในจังหวัด Maine -et-Loire ประเทศฝรั่งเศส ทรัพย์สินนี้เป็นของตระกูล Cossé ผู้สูงศักดิ์ ซึ่งมีตำแหน่งสืบเชื้อสายจากฝรั่งเศสคือ Duke of Brissac ปราสาทแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์โดยกระทรวงวัฒนธรรมของฝรั่งเศส

ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกโดย เคาน ต์แห่งอองชู ในศตวรรษที่ 11 หลังจากที่พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งฝรั่งเศส ได้รับชัยชนะเหนืออังกฤษ เขาก็ยกทรัพย์สินนี้ให้กับกีโยม เดส์ โรช ในศตวรรษที่ 15 โครงสร้างนี้ได้รับการสร้างขึ้นใหม่โดยปิแอร์ เดอ เบรสเซ หัวหน้าเสนาบดีผู้มั่งคั่งของกษัตริย์ชาร์ลที่ 7 แห่งฝรั่งเศสในรัชสมัย (ค.ศ.1515–47) ของพระเจ้าฟรานซิสที่ 1 ทรัพย์สินนี้ถูกซื้อโดยเรอเน เด อคอสเซ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ให้เป็นผู้ว่าการอองชูและเมน

ในช่วงสงครามศาสนาของฝรั่งเศสปราสาทแห่งนี้ถูกครอบครองโดยผู้นำนิกายโปรเตสแตนต์อองรีแห่งนาวาร์ ในปี ค.ศ.1589 ป้อมปราการได้รับความเสียหายอย่างหนักและถูกกำหนดให้รื้อถอน อย่างไรก็ตามชาร์ลที่ 2 เดอ คอสเซเข้าข้างอองรีแห่งนาวาร์ ซึ่งต่อมาได้รับการสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์แห่งฝรั่งเศสด้วยความขอบคุณ พระเจ้าอองรีจึงทรงมอบทรัพย์สิน ตำแหน่งขุนนางแห่งบริซัคและเงินเพื่อสร้างปราสาทขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1611

การก่อสร้างทำให้ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่สูงที่สุดในฝรั่งเศส และด้านหน้าอาคารสะท้อนอิทธิพลของสถาปัตยกรรม บาโรก ในศตวรรษที่ 17 ตระกูล Cossé-Brissac แต่งงานกันและซื้อปราสาท Montreuil-Bellay แต่ต่อมาได้ขายออกไป

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1620 พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 และพระมารดามารี เดอ เมดิชิทรงพบกันเพื่อหารือถึงความแตกต่างในดินแดน "เป็นกลาง" ของปราสาทบรีซัค ทั้งสองฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงสงบศึกชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวไม่กินเวลานาน และในที่สุด พระราชินีนาถก็ถูกเนรเทศ

ลูกหลานของดยุคแห่งบริสซัคคนแรกดูแลปราสาทแห่งนี้จนถึงปี 1792 เมื่อทรัพย์สินถูกปล้นสะดมในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ปราสาทแห่งนี้ถูกทิ้งร้างจนกระทั่งเริ่มมีการบูรณะในปี 1844 และดำเนินการโดยดยุคแห่งบริสซัคคน ต่อมา

ปัจจุบัน Château de Brissac ยังคงเป็นของตระกูล Cossé-Brissac ทรัพย์สินนี้ปัจจุบันอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ Charles-André de Cossé-Brissac ดยุคแห่ง Brissac คนที่ 14 (เกิดในปี 1962) ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของ François de Cossé-Brissac ดยุคแห่ง Brissac คนที่ 13 (1929–2021)

ปราสาทแห่งนี้มีทั้งหมด 7 ชั้น ทำให้เป็นปราสาทที่สูงที่สุดในหุบเขา Loire ปราสาทเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและพักค้างคืนในห้องพัก และโรงละครหรูหราที่ตกแต่งอย่างหรูหรายังเป็นสถานที่จัด งานเทศกาล Val de Loire ประจำปีอีกด้วย จนกระทั่งเมื่อไม่นานนี้ ปราสาทแห่งนี้ยังถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำนิตยสาร Caras ซึ่งเป็นนิตยสารเกี่ยวกับคนดังของบราซิลอีกด้วย

ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ปราสาทแห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นสนามกีฬาชั่วคราวสำหรับการแข่งขัน Iron Chef French Battles ของ รายการโทรทัศน์ Iron Chef ของญี่ปุ่น การแข่งขันสองครั้งจัดขึ้นที่ Château de Brissac และออกอากาศในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 12 เมษายน 1996 การแข่งขันครั้งแรกซึ่งมีธีมเป็นแซลมอนเป็นการแข่งขันระหว่าง Bernard Leprince และKoumei Nakamura เชฟกระทะเหล็กชาวญี่ปุ่น และผู้ชนะคือ Leprince ในขณะนั้น Leprince เป็นเชฟที่ La Tour d'Argent ในปารีส การแข่งขันครั้งที่สองเป็นการแข่งขันระหว่าง Pierre Gagnaire และ Hiroyuki Sakai เชฟกระทะเหล็กชาวฝรั่งเศสโดยมีธีมเป็นล็อบสเตอร์เป็นส่วนผสม และผู้ชนะคือ Gagnaire


https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/3/3d/Brissac-Quinc%C3%A9_%28Maine-et-Loire%29_%2827813219475%29.jpg/1920px-Brissac-Quinc%C3%A9_%28Maine-et-Loire%29_%2827813219475%29.jpg

7  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / มาดากัสการ์ (Madagascar) ดินแดนมหัศจรรย์แห่งแอฟริกา เมื่อ: 30 มิถุนายน 2568 19:19:59

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=hpN81yAf5B4" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=hpN81yAf5B4</a>


มาดากัสการ์ (Madagascar) ดินแดนมหัศจรรย์แห่งแอฟริกา
8  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทดายแนก (château d'Aynac) เมื่อ: 30 มิถุนายน 2568 19:11:07


ปราสาทดายแนก

ปราสาทดายแนก (château d'Aynac) ปราสาทแห่งนี้อยู่ในเขตเทศบาล Aynac ในจังหวัด Lot ของฝรั่งเศส ปราสาทแห่งนี้มีอายุกว่า 1100 ปี และได้รับการจัดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี 1988 ดิมทีปราสาทแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปกครองของ Aynac ซึ่งเกี่ยวข้องกับสาขาหนึ่งของตระกูล Turenne ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา

ปราสาทแห่งนี้ได้รับการสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน และได้รับการบูรณะและดัดแปลงหลายครั้ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันตั้งแต่ยุคเรอเนสซองส์จนถึงศตวรรษที่ 18 ปราสาทแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในความขัดแย้งในภูมิภาคและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ และปัจจุบันปราสาทแห่งนี้ยังคงเป็นหลักฐานแห่งประวัติศาสตร์อันยาวนานของปราสาทแห่งนี้ โดยเปิดให้ผู้เยี่ยมชมที่สนใจมรดกทางวัฒนธรรมได้เข้าชม
9  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า / Re: พุทธประวัติ เมื่อ: 27 มิถุนายน 2568 14:49:50


ส่งพระสาวกประกาศพระศาสนา

เมื่อพระสาวกมีมาก พอจะเป็นกำลังช่วยพระองค์ออกประกาศพระศาสนาเพื่อเป็นประโยชน์สุขแก่คนเป็นอันมากได้แล้ว ครั้นออกพรรษาแล้ว จึงส่งพระสาวกทั้ง ๖๐ นั้นให้ออกไปประกาศพระศาสนาด้วยพระดำรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย! เราได้พ้นแล้วจากบ่วงเครื่องรึงรัดทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน ท่านทั้งหลายจงเที่ยวไปในชนบท เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก ต่างรูปต่างไป แต่ละทิศละทาง อย่าไปรวมกัน ๒ รูป ในทางเดียวกัน จงแสดงธรรมประกาศพรหมจรรย์อันบริสุทธิบริบูรณ์สิ้นเชิง สัตว์ทั้งหลายที่มีกิเลสบังปัญญาดุจธุลีในจักษุน้อย มีอยู่ เพราะโทษที่ไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อมจากคุณที่จะพึงได้พึงถึง แล้วผู้ตรัสรู้ธรรมจักมีขึ้นตามโดยลำดับ แม้เราก็จักไปยังอุรุเวลาเสนานิคมเพื่อแสดงธรรมเช่นกัน"

ครั้นพระสาวกทั้ง ๖๐ องค์ ถวายบังคมลาพระบรมศาสดาออกจากป่าอิสิปตนะมิคทายวัน จาริกไปประกาศพระศาสนายังชนบทน้อยใหญ่ ตามพระพุทธประสงค์แล้ว ส่วนพระองค์ก็เสด็จดำเนินไปยังตำบลอุรุเวลา ครั้นถึงไร่ฝ้ายในระหว่างทาง เสด็จหยุดพักที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง

ขณะนั้น มานพ ๓๐ คน ซึ่งเป็นสหายที่รักใคร่กัน เรียกว่า "ภัททวัคคีย์" อยู่ในราชตระกูลแห่งราชวงศ์โกศล ต่างคนต่างพาภรรยาของตน ๆ มาหาความสำราญ บังเอิญสหายคนหนึ่งไม่มีภรรยา สหายเหล่านั้นจึงไปหาหญิงโสเภณีคนหนึ่งมาให้เป็นเพื่อนร่วมความสำราญ ครั้นเผลอไป ไม่ระแวดระวัง หญิงโสเภณีคนนั้นได้ลักเอาเครื่องแต่งกายและสิ่งของอันมีค่าหนีไป มานพทั้ง ๓๐ คนนั้นจึงออกเที่ยวติดตาม มาพบพระบรมศาสดาที่ไร่ฝ้ายนั้น มานพเหล่านั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระบรมศาสดา ทูลถามว่าพระองค์ได้ทรงเห็นหญิงผู้นั้นมาทางนี้หรือไม่ พร้อมกับได้ทูลถึงพฤติการณ์ของหญิงนั้นให้ทราบด้วย

พระบรมศาสดาได้ทรงตรัสว่า  "ภัททวัคคีย์ ท่านทั้งหลายจะแสวงหาหญิงผู้นั้นดี หรือจะแสวงหาตนของตนดี"  ครั้นสหายเหล่านั้นกราบทูลว่า แสวงหาตนดีกว่า จึงรับสั่งว่าถ้าเช่นนั้นจงตั้งใจฟัง เราจะแสดงธรรมแก่ท่านทั้งหลาย แล้วทรงแสดงอนุปุพพกถาและอริยสัจ ๔ ให้ภัททวัคคีย์มานพทั้ง ๓๐ นั้นได้ดวงตาเห็นธรรม ประทานอุปสมบทให้เป็นภิกษุ แล้วทรงสั่งสอนให้บรรลุอริยผลเบื้องสูง ทรงส่งไปประกาศพระศาสนาเช่นเดียวกับพระสาวก ๖๐ องค์ก่อนนั้น พระอริยสงฆ์คณะนี้ได้กราบทูลลาเดินทางไปยังเมืองปาวา ข้างใต้แห่งแว่นแคว้นโกศลชนบท





โปรดชฏิล ๓ พี่น้อง
ครั้นพระบรมศาสดาทรงส่งพระสาวกเหล่าภัททวัคคีย์ไปแล้ว ก็เสด็จตรงไปยังอุรุเวลาประเทศอันตั้งอยู่ในเขตเมืองราชคฤห์มหานคร ซึ่งเป็นที่อยู่ของอุรุเวลกัสสปอาจารย์ใหญ่ของชฎิล ๕๐๐

ราชคฤห์นครนั้น เป็นเมืองหลวงแห่งมคธรัฐ ซึ่งเป็นมหาประเทศ พระเจ้าพิมพิสารมหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ปกครองโดยสิทธิขาด เป็นเมืองที่คับคั่งด้วยผู้คน เจริญวิทยาความรู้ตลอดการค้าขาย เป็นที่รวมอยู่แห่งบรรดาคณาจารย์เจ้าลัทธิมากในสมัยนั้น

ในบรรดาคณาจารย์ใหญ่ ๆ นั้น ท่านอุรุเวลกัสสป เป็นคณาจารย์ใหญ่ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของคนเป็นอันมาก  ท่านอุรุเวลกัสสปเป็นนักบวชจำพวกชฎิล ท่านมีพี่น้องด้วยกัน ๓ คน ออกบวชจากตระกูลกัสสปะโคตร ท่านอุรุเวลกัสสปเป็นพี่ชายใหญ่ มีชฎิล ๕๐๐ เป็นบริวาร ตั้งอาศรมสถานที่พนาสณฑ์ ตำบลอุรุเวลา ต้นแม่น้ำเนรัญชรานที ตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่า อุรุเวลกัสสป น้องคนกลางมีชฎิลบริวาร ๓๐๐ ตั้งอาศรมสถานอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ถัดเข้าไปอีกตำบลหนึ่ง จึงได้นามว่า นทีกัสสป ส่วนน้องคนเล็ก มีชฎิลบริวาร ๒๐๐ ตั้งอาศรมสถานอยู่ที่คุ้งใต้แห่งแม่น้ำเนรัญชรานั้นต่อไปอีกตำบลหนึ่ง ซึ่งมีนามว่าตำบลคยาสีสะประเทศ จึงได้นามว่า คยากัสสป ชฎิลคณะนี้ทั้งหมดมีทิฏฐิหนักในการบูชาเพลิง

พระบรมศาสดาเสด็จไปถึงอาศรมสถานของท่านอุรุเวลกัสสปในเวลาเย็น จึงเสด็จตรงไปพบอุรุเวลกัสสปทันที ทรงรับสั่งขอพักแรมด้วยสัก ๑ ราตรี อุรุเวลสสปรังเกียจทำอิดเอื้อน
ไม่พอใจให้พัก เพราะเห็นพระบรมศาสดาเป็นนักบวชต่างจากลัทธิของตน พูดบ่ายเบี่ยงว่า ไม่มีที่ให้พัก ครั้นพระบรมศาสดาตรัสขอพักที่โรงไฟ ซึ่งเป็นสถานที่บูชาเพลิงของชฎิล ด้วยเป็นที่ว่างไม่มีชฏิลอยู่อาศัย ทั้งเป็นที่อยู่ของนาคราชดุร้ายด้วย อุรุเวลกัสสปได้ทูลว่า พระองค์อย่าพอใจพักที่โรงไฟเลย ด้วยเป็นที่อยู่ของพระยานาคมีพิษร้ายแรง ทั้งดุร้ายที่สุด อาศัยอยู่จะได้รับความเบียดเบียนจากนาคราชนั้นให้ถึงอันตรายแก่ชีวิต เมื่อพระบรมศาสดารับสั่งยืนยันว่านาคราชนั้นจะไม่เบียดเบียนพระองค์เลยถ้าท่านอุรุเวลกัสสปอนุญาตให้เข้าอยู่ ท่านอุรุเวลกัสสปจึงได้อนุญาตให้เข้าไปพักแรม

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคก็เสด็จเข้าไปยังโรงไฟนั้น ประทับนั่งดำรงพระสติ ต่อพระกัมมัฏฐานภาวนา ฝ่ายพระยานาคเห็นพระบรมศาสดาเสด็จเข้ามาประทับในที่นั้นก็มีจิตคิดขึ้งเคียดจึงพ่นพิษตลบไป ในลำดับนั้น พระบรมศาสดาก็ทรงพระดำริว่า ควรที่ตถาคตจะแสดงอิทธานุภาพให้เป็นควันไปสัมผัสมังสฉวีและเอ็นอัฎฐิแห่งพระยานาคนี้ ระงับเดชพระยานาคให้เหือดหาย แล้วก็ทรงสำแดงอิทธาภิสังขารดังพระดำรินั้น พระยานาคมิอาจจะอดกลั้นซึ่งความพิโรธได้ ก็บังหวนพ่นพิษเป็นเพลิงพลุ่งโพลงขึ้น

พระบรมศาสดาก็สำแดงเตโชกสิณสมสบัติบันดาลเปลวเพลิงรุ่งโรจน์โชตนาการและเพลิงทั้งสองฝ่ายก็บังเกิดขึ้นแสงแดงสว่างดุจเผาผลาญซึ่งโรงไฟให้เป็นเถ้าธุรี ส่วนชฎิลทั้งหลายก็แวดล้อมรอบโรงไฟนั้น ต่างเจรจากันว่าพระสมณะนี้มีสิริรูปงามยิ่งนัก เสียดายที่เธอมาวอดวายเสียด้วยพิษแห่งพระยานาคในที่นั้น

ครั้นล่วงสมัยราตรีรุ่งเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าก็กำจัดฤทธิ์เดชพระยานาคให้อันตรธานหายบันดาลให้นาคนั้นขดกายลงในบาตร แล้วทรงสำแดงแก่อุรุเวลกัสสป ตรัสบอกว่า พระยานาคนี้สิ้นฤทธิเดชแล้ว อุรุเวลกัสสปเห็นดังนั้นก็ดำริว่า พระสมณะนี้มีอานุภาพมาก ระงับเสียซึ่งฤทธิ์พระยานาคให้อันตรธานพ่ายแพ้ไปได้ ถึงดังนั้นไซร้ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา มีจิตเลื่อมใสในอิทธิปาฏิหาริย์ จึงกล่าวว่า ข้าแต่สมณะนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ณ อาศรมของข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะถวายภัตตาหารให้ฉันทุกวันเป็นนิต

พระบรมศาสดาก็เสด็จประทับยังพนาสณฑ์ตำบลหนึ่ง ใกล้อาศรมแห่งอุรุเวลกัสสปชฎิลนั้น ครั้นสมัยราตรีเป็นลำดับ ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ก็ลงมาสู่สำนักพระบรมโลกนาถ ถวายอภิวาทและประดิษฐานยืนอยู่ใน ๔ ทิศ มีทิพยรังสีสว่างดุจกองเพลิงก่อไว้ทั้ง ๔ ทิศ

ครั้นเวลาเช้า อุรุเวลกัสสปจึงเข้าไปสู่สำนักพระบรมศาสดาทูลว่า นิมนต์พระสมณะไปฉันภัตตาหารเถิด ข้าพเจ้าตกแต่งไว้ถวายเสร็จแล้ว แต่เมื่อคืนนี้เห็นรัศมีสว่างไปทั่วพนัสมณฑลสถาน บุคคลผู้ใดมาสู่สำนักพระองค์จึงปรากฏรุ่งเรืองในทิศทั้ง ๔ พระบรมศาสดาจึงตรัสบอกว่า ดูกรกัสสปนั้นคือ ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ลงมาสู่สำนักตถาคตเพื่อฟังธรรม อุรุเวลกัสสปได้สดับดังนั้นก็ดำริว่า พระมหาสมณะองค์นี้มีอานุภาพมาก ท้าวจาตุมหาราชยังลงมาสู่สำนัก ถึงกระนั้นก็ยังมิได้เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา

พระบรมศาสดาเสด็จมากระทำภัตตกิจ เสวยภัตตาหารของอุรุเวลกัสสปเสร็จแล้วก็เสด็จกลับมาสู่ทิวาวิหารในพนาสณฑ์นั้น ครั้นรัตติกาลสมัย ท้าวสหัสสนัยก็ลงมาสู่สำนักพระบรมศาสดาถวายนมัสการแล้วยืนอยู่ที่ควรข้างหนึ่ง เปล่งรัศมีสว่างดุจกองอัคคีใหญ่ไพโรจน์ยิ่งกว่าราตรีก่อน ครั้นเพลารุ่งเช้า กัสสปชฎฎิลไปสู่สำนักพระบรมศาสดาทูลอาราธนาให้ฉันภัตตาหารแล้วทูลถามว่า เมื่อคืนนี้มีผู้ใดมาสู่สำนักพระองค์ จึงมีรัศมีสว่างยิ่งกว่าราตรีก่อน ตรัสบอกว่าดูกรกัสสป เมื่อคืนนี้ท้าวโกสีย์สักกเทวราชลงมาสู่สำนักตถาคต เพื่อจะฟังธรรม ชฎิลได้สดับดังนั้นก็ดำริเห็นเป็นอัศจรรย์ดุจนัยก่อน

พระบรมศาสดาเสด็จไปเสวยภัตตาหารของกัสสปดาบส แล้วก็กลับมาอยู่ทิวาวิหารยังพนัสฐานที่นั้น ครั้นเข้าสมัยราตรี ท้าวสหัมบดีมหาพรหมก็ส่งมาสู่สำนักพระบรมศาสดา เปล่งรัศมีสว่างยิ่งขึ้นไปกว่าสองราตรีนั้น ครั้นรุ่งเช้าอุรุเวลกัสสปก็ไปทูลอาราธนาฉันภัตตาหาร แล้วทูลถามอีก ตรัสตอบว่า คืนนี้ท้าวสหัมบดีพรหมลงมาสู่สำนักตถาคต กัสสปดาบสก็ดำริดุจนัยก่อน พระบรมศาสดาเสด็จไปเสวยภัตตาหารของอุรุเวลชฎิลแล้วก็กลับมาสู่สำนัก

ในวันรุ่งขึ้น มหายัญญลาภบังเกิดขึ้นแก่อุรุเวลชฎิล คือชนชาวอังครัฐทั้งหลายจะนำเอาขาทนียโภชนียาหารเป็นอันมาก มาถวายแก่อุรุเวลชฎิล ๆ จึงดำริแต่ในราตรีว่า รุ่งขึ้นพรุ่งนี้มหาชนจะนำเอาเอนกนานาหารมาสู่สำนักอาตมา หากพระสมณะรูปนี้สำแดงอิทธิปาฏิหาริย์ ลาภสักการะก็จะบังเกิดแก่เธอเป็นอันมาก อาตมาจักเสื่อมสูญจากสรรพสักการบูชา ทำไฉน ณ วันพรุ่งนี้อย่าให้เธอมาสู่ที่นี้ได้

สมเด็จพระบรมศาสดาทรงทราบความดำริของชฎิลด้วยเจโตปริญาณ ครั้นเพลารุ่งเช้าก็เสด็จไปสู่อุตตรกุรุทวีป ทรงบิณฑบาตรได้ภัตตาหารแล้ว ก็เสด็จมากระทำภัตตกิจยังฝั่งอโนดาต แล้วทรงยับยั้งอยู่ ณ ทิวาวิหารในที่นั้น ต่อเพลาสายัณหสมัยจึงเสด็จมาสู่วนสณฑ์สำนัก ครั้นรุ่งเช้า กัสสปชฎิลไปทูลอาราธนาเสวยภัตตาหารและทูลถามว่า "วานนี้พระองค์ไปแสวงหาอาหารในที่ใด ไฉนไม่ไปสู่สำนักข้าพเจ้า ๆ ระลึกถึงพระองค์อยู่" จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสบอกวาระน้ำจิตของชฎิลที่วิตกนั้นให้แจ้งทุกประการ อุรุเวลกัสสปได้สดับ ตกใจ ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีอานุภาพมากแท้ เธอล่วงรู้จิตอาตมาถึงดังนั้นก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์ดังอาตมา

ในกาลนั้น ผ้าบังสุกุลจีวรบังเกิดแก่พระบรมศาสดา พระองค์เสด็จพระพุทธดำเนินไปซักผ้าบังสุกุลซึ่งห่อศพนางปุณณทาสี ที่ทอดทิ้งอยู่ในอามกสุสานะป่าช้าผีดิบ เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นกษัตริย์อุภโตสุชาติ เสด็จจากขัตติยราชสกุลอันสูงด้วยเกียรติศักดิ์ ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณเป็นพระสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ เป็นโมลีของโลกเห็นปานนี้แล้วยังทรงลดพระองค์ลงมาซักผ้าขาวที่ห่อศพนางปุณณทาสี ที่ทอดทิ้งอยู่ในป่าช้า เพื่อทรงใช้เป็นผ้าจีวรทรงเช่นนี้เป็นกรณียะที่สุดวิสัยของเทวดาและมนุษย์ซึ่งอยู่ในสถานะเช่นนั้นจะทำได้

มหาปฐพีใหญ่ก็กัมปนาทหวั่นไหวเป็นมหาอัศจรรย์ถึง ๓ ครั้งตลอด ระยะทางทรงพระดำริว่า ตถาคตจะซักผ้าบังสุกุลนี้ในที่ใด ? ขณะนั้น ท้าวสหัสสนัยอมรินทราธิราชทรงทราบในพุทธปริวิตก จึงเสด็จลงมาขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ในพื้นศิลา สำเร็จด้วยเทวฤทธิ์ให้เต็มไปด้วยอุทกวารี แล้วกราบทูลพระชินศรีให้ทรงซักผ้าบังสุกุลในที่นั้น ขณะที่ทรงซักก็ทรงดำริว่าจะทรงขยำในที่ใดดี ท้าวโกสีย์ก็นำเอาแผ่นศิลาใหญ่เข้าไปถวาย ทรงขยำด้วยพระหัตถ์ จนหายกลิ่น ๔ อสุภแล้วก็ทรงพระดำริว่าจะห้อยตากผ้าบังสุกุลจีวรในที่ใดดี ลำดับนั้นรุกขเทพยดา ซึ่งสิงสถิตอยู่ ณ ไม้กุ่มบกก็น้อมกิ่งไม้นั้นลงมาถวายให้ทรงห้อยตากจีวร ครั้นทรงห้อยตากแล้วก็ทรงพระจินตนาว่าจะแผ่พับผ้าในที่ใด ท้าวสหัสสนัยก็ยกแผ่นศิลาอันใหญ่มาทูลถวายให้แผ่พับผ้ามหาบังสุกุลนั้น

เพลารุ่งเช้าอรุณขึ้น อุรุเวลกัสสปไปเฝ้าพระบรมศาสดา เห็นสระและแผ่นศิลาทั้งสอง ซึ่งมิได้ปรากฏมีในที่นั้นมาก่อนและกิ่งไม้กุ่มน้อมลงมาเช่นนั้นจึงทูลถามพระบรมศาสดา
ตรัสบอกความทั้งปวงให้ทราบ เมื่อกัสสปได้ฟังก็สดุ้งตกใจ ดำริว่า พระสมณะองค์นี้มีเดชานุภาพมากยิ่งนักแม้ท้าวมัฆวานยังลงมากระทำการไวยาวัจจกิจถวาย แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา

สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จไปเสวยภัตตาหารของชฎิล แล้วก็กลับมาสถิตยังพนาสณฑ์ตำบลที่อาศัย ครั้นรุ่งขึ้นในวันเป็นลำดับ กัสสปชฎิลไปทูลนิมนต์ฉันภัตตกิจ จึงตรัสว่า "ท่านจงไปก่อนเถิดตถาคตจะตามไปภายหลัง" เมื่อส่งชฎิลไปแล้ว จึงเสด็จเหาะไปนำเอาผลหว้าใหญ่ประจำทวีปในป่าหิมพานต์มาแล้ว ก็เสด็จมาถึงโรงไฟก่อนหน้าชฎิล ครั้นชฎิลมาถึงจึงทูลถามว่า พระองค์มาทางใดจึงถึงก่อน พระศาสดาจึงตรัสบอกประพฤติเหตุแล้ว ตรัสว่า "ดูกรกัสสป ผลหว้าประจำทวีปนี้มีวรรณสันฐานสุคันธรสเอมโอช ถ้าท่านปรารถนาจะบริโภคก็เชิญตามปรารถนา" อุรุเวลกัสสปก็ดำริเห็นเป็นอัศจรรย์ดุจหนหลัง ครั้นพระศาสดาทรงทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ก็เสด็จกลับไปยังพนาสณฑ์ที่สำนัก

ในวันต่อมา ได้ทรงทำอิทธิปาฏิหาริย์เช่นนั้นอีก ๔ ครั้ง คือ ทรงส่งอุรุเวลกัสสปมาก่อนแล้วเสด็จเหาะไปเก็บผลมะม่วงครั้งหนึ่ง เก็บผลมะขามป้อมครั้งหนึ่ง เก็บผลส้มในป่าหิมพานต์ครั้งหนึ่ง เสด็จขึ้นไปดาวดึงส์เทวโลก นำเอาผลไม้ปาริฉัตตกครั้งหนึ่ง เสด็จมาถึงก่อน คอยท่าอุรุเวลกัสสปอยู่ที่โรงไฟให้ชฎิลเห็นเป็นอัศจรรย์ใจทุกครั้ง

วันหนึ่ง ชฎิลทั้งหลายปรารถนาจะก่อไฟ ก็มิอาจผ่าฟืนออกได้ จึงดำริว่าที่เป็นทั้งนี้เพราะฤทธิ์พระมหาสมณะทำโดยแท้ พระบรมศาสดาจึงตรัสถาม ครั้นทราบความแล้วก็ตรัสว่า
ท่านจงผ่าฟืนตามปรารถนาเถิด ในทันใดนั้นชฎิลก็ผ่าฟืนออกได้ตามประสงค์

วันหนึ่ง ชฎิลทั้ง ๕๐๐ ปรารถนาจะบูชาเพลิง ก่อเพลิงก็ไม่ติด จึงคิดปริวิตกเหมือนหนหลัง พระพุทธเจ้าตรัสถามทราบความแล้ว ก็ทรงอนุญาตให้ก่อเพลิงได้ เพลิงก็ติดขึ้นทั้ง ๕๐๐ กองพร้อมกันในขณะเดียว ชฎิลทั้งหลายบูชาเพลิงสำเร็จแล้ว จะดับเพลิง ๆ ก็ไม่ดับ จึงดำริดุจหนหลัง พระพุทธเจ้าตรัสถามทราบความแล้วก็ทรงอนุญาตให้ดับเพลิง ๆ ก็ดับพร้อมกันถึง ๕๐๐ กอง

วันหนึ่ง ในเวลาหนาว ชฎิลทั้งหลายลงอาบน้ำดำผุดขึ้นลงในแม่น้ำเนรัญชรานที สมเด็จพระชินสีห์ผู้ทรงพระกรุณาแก่ชฎิล ทรงดำริว่า เมื่อชฎิลขึ้นจากน้ำแล้วจะหนาวมาก จึงทรงนิรมิตเชิงกราณประมาณ ๕๐๐ อัน มีเพลิงติดทั้งสิ้นไว้ในที่นั้น ครั้นชฎิลทั้งหลายขึ้นจากน้ำหนาวจัดก็ชวนกันเข้าผิงไฟที่เชิงกราณแล้วก็คิดสันนิษฐานว่า พระมหาสมณะคงทรงนิรมิตไว้ให้เป็นแน่ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก

วันหนึ่ง มหาเมฆตั้งขึ้นมิใช่ฤดูกาล บันดาลให้ฝนตกลงมาเป็นอันมาก กระแสน้ำเป็นห้วงใหญ่ไหลท่วมไปในที่ทั้งปวงโดยรอบบริเวณนั้น ธรรมดาว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จสถิตอยู่ ณ ประเทศใดแม้ที่นั้นน้ำท่วม ก็ทรงอธิษฐานมิให้น้ำท่วมเข้าไปในที่นั้นได้ และในครั้งนั้นก็ทรงดำริว่า ตถาคตจะยังน้ำนั้นให้เป็นขอบสูงขึ้นไป ในทิศโดยรอบที่หว่างกลางนั้นจะมีพื้นภูมิภาคจะราบเรียบขึ้นปกติ ตถาคตจะจงกรมอยู่ในที่นั้น แล้วก็ทรงอธิษฐานบันดาลให้เป็นดังพุทธดำรินั้น

ฝ่ายอุรุเวลกัสสปนั้น คิดว่าพระมหาสมณะนี้ น้ำจะท่วมเธอหรือไม่ท่วมประการใดหรือจะหลีกไปสู่ประเทศอื่น จึงลงเรือพร้อมกับชฎิลทั้งหลาย รีบพายไปดูโดยด่วนถึงประเทศที่พระองค์ทรงสถิตก็เห็นน้ำสูงขึ้นเป็นกำแพงล้อมอยู่โดยรอบ แลเห็นพระบรมศาสดา เสด็จจงกรมอยู่ในพื้นภูมิภาคปราศจากน้ำ จึงส่งเสียงร้องเรียก พระพุทธเจ้าขานรับว่า "กัสสป! ตถาคตอยู่ที่นี่" แล้วก็เสด็จเหาะขึ้นไปบนอากาศเลื่อนลอยลงสู่เรือของกัสสปชฎิล ๆ ก็ดำริว่า พระมหาสมณะนี้มีอิทธิฤทธิเป็นอันมาก แต่ถึงมีอานุภาพมากอย่างนั้น
ก็ยังไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนอาตมา

แท้จริง ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเสด็จจากป่าอิสิปตนะมิคทายวัน ในวันแรมค่ำหนึ่ง เดือนกัตติมาส (เดือน ๑๒) มาประทับอยู่ที่อุรุเวลาประเทศ จนตราบเท่าถึงวันเพ็ญ เดือน ๒ เป็นเวลาสองเดือน ทรงแสดงอิทธิปาฏิหารย์ทรมานอุรุเวลกัสสปโดยเอนกประการ อุรุเวลกัสสปก็ยังมีสันดานกระด้างถือตนว่าเป็นพระอรหันต์อยู่อย่างนั้น ด้วยทิฐิอันกล้ายิ่งนัก จึงทรงพระดำริว่า ตถาคตจะยังชฎิลให้สลดจิตคิดสังเวชตนเอง จึงมีพระวาจาตรัสแก่อุรุเวลกัสสปว่า "กัสสป ตัวท่านมิได้เป็นพระอรหันต์ อรหัตทั้งทางปฏิบัติของท่านก็ยังห่างไกลมิใช่ทางมรรคผลอันใด ไฉนเล่าท่านจึงถือตนว่าเป็นพระอรหันต์ เท็จต่อตัวเอง ทั้ง ๆ ท่านเองก็รู้ตัวดีว่าตัวยังมิได้บรรลุโมกขธรรมอันใด ยังทำตนลวงคนอื่นว่าเป็นพระอรหันต์อยู่อีก

กัสสป! ถึงเวลาอันควรแล้ว ที่ท่านจะสารภาพแก่ตัวของท่านเองว่า ท่านยังมิได้เป็นพระอรหันต์ ทั้งยังมิได้ปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นพระอรหันต์ด้วย กัสสป! แล้วท่านจะได้เป็นพระอรหันต์ในกาลไม่นาน" เมื่ออุรุเวลกัสสปได้สดับพระโอวาทก็รู้สึกตัว ละอายแก่ใจ ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาท แล้วกราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระองค์ ขอถึงพระองค์และพระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง

พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า "กัสสป! ตัวท่านเป็นอาจารย์ยิ่งใหญ่ เป็นประธานแก่หมู่ชฎิล ๕๐๐ ท่านจงชี้แจงให้ชฎิลบริวารยินยอมพร้อมกันก่อน แล้วตถาคตจึงจะให้บรรพชาอุปสมบท" อุรุเวลกัสสปก็กราบถวายบังคมลามายังอาศรม แล้วก็บอกชฎิลอันเป็นศิษย์ ๆ ก็ยินยอมพร้อมกันจะบรรพชาในสำนักพระบรมครูสิ้น แล้วชฎิลทั้งหลายก็ชวนกันลอยดาบบส บริขาร และเครื่องตกแต่งผม ชฏา สาแหรก คาน เครื่องบูชาเพลิง ทั้งน้ำเต้า หนังสือ ไม้สามง่าม ในแม่น้ำทั้งสิ้น แล้วก็พากันมาเฝ้าพระบรมศาสดา ถวายอภิวาทแทบพระยุคลบาท ทูลขอบรรพชาอุปสทบท พระบรมศาสดาก็ทรงพระกรุณาโปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาเสมอกัน

ครั้งนั้น ท่านนทีกัสสปดาบสผู้เป็นน้องกลาง เห็นเครื่องบริขารทั้งปวงลอยน้ำมาก็ดำริว่า ชะรอยอันตรายจะมีแก่ดาบสผู้พี่ชาย จึงใช้ให้ชฎิลสองสามคนอันเป็นศิษย์ไปสืบดูรู้เหตุแล้ว นทีกัสสปดาบสก็พาดาบสทั้ง ๓๐๐ อันเป็นศิษย์มาสู่สำนักของท่านอุรุเวลกัสสป ถามเหตุนั้น ครั้นทราบความแล้วก็เลื่อมใสชวนกันลอยเครื่องดาบสบริขารลงในแม่น้ำนั้น
พากันเข้าถวายอัญชลีทูลขอบรรพชา พระบรมศาสดาก็โปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาด้วยกันทั้งสิ้นดุจชฎิลพวกก่อนนั้น

ฝ่ายคยากัสสปดาบสผู้เป็นน้องน้อยเห็นเครื่องดาบสบริขารของพี่ชายลอยน้ำลงมาจำได้ ก็คิดดุจนทีกัสสปชฎิลผู้เป็นพี่นั้น แล้วพาดาบสทั้ง ๒๐๐ อันเป็นศิษย์ไปสู่สำนักพระอุรุเวลกัสสปไต่ถามทราบความแล้วเลื่อมใส ชวนกันลอยเครื่องบริขารลงในกระแสชลดุจหนหลัง แล้วก็เข้าทูลขอบรรพชาต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็โปรดประทานอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาดังกล่าวแล้ว พระพุทธเจ้า ทรงทรมานชฎิลทั้ง ๓ พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสป เป็นต้น กับทั้งชฎิลบริวาร ๑,๐๐๐ ให้สละเสียซึ่งทิฐิแห่งตน แล้วโปรดประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาทั้งสิ้น เสร็จแล้วก็ทรงพาพระภิกษุสงฆ์พวกนั้นไปสู่คยาสีสะประเทศ ตรัสพระธรรมเทศนาอาทิตตปริยายสูตร โปรดภิกษุ ๑,๐๐๐ นั้น ให้บรรลุพระอรหัตด้วยกันทั้งสิ้น.



ที่มา วัดป่ามหาชัย นครพนม
10  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / NGC 2261 เมื่อ: 27 มิถุนายน 2568 14:07:51


NGC 2261

NGC 2261 (หรือเรียกอีกอย่างว่าเนบิวลาแปรแสงของฮับเบิลหรือคอลด์เวลล์ 46 ) เป็นเนบิวลาแปรแสงที่ตั้งอยู่ในกลุ่มดาวมังกร เนบิวลานี้ได้รับแสงจากดาวฤกษ์ R Monocerotis (R Mon) ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้โดยตรง

การสังเกตประวัติศาสตร์
การสังเกตเนบิวลาครั้งแรกที่บันทึกไว้เป็นผลงานของวิลเลียม เฮอร์เชลเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2326 โดยได้รับการอธิบายว่ามีความสว่างมากและมีลักษณะ "คล้ายพัด" เนบิวลาได้รับการกำหนดให้เป็นประเภท H IV 2 มานานแล้ว หลังจากที่เป็นรายการที่สองในประเภทเนบิวลาและกระจุกดาวระดับ 4 ของเฮอร์เชลในรายการเนบิวลาของเขา

NGC 2261 ถูกถ่ายภาพเป็นแสงแรกจากกล้องโทรทรรศน์ Hale ของหอดูดาวพาโลมาร์โดยเอ็ดวิน ฮับเบิลเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ.2492 ประมาณ 20 ปีหลังจากโครงการหอดูดาวพาโลมาร์เริ่มต้นในปี พ.ศ.2471 ฮับเบิลเคยศึกษาเนบิวลาแห่งนี้มาก่อนที่เยอร์กส์และภูเขาวิลสัน ฮับเบิลเคยถ่ายภาพด้วยกล้องโทรทรรศน์สะท้อนแสงเยอร์กส์ขนาด 24 นิ้ว (60.96 ซม.) ในปี พ.ศ.2459 แผ่นภาพถูกถ่ายโดยใช้กล้องโทรทรรศน์เดียวกันในปี พ.ศ.2451 โดย FC Jordan ทำให้ฮับเบิลสามารถใช้เครื่องเปรียบเทียบการกะพริบตาเพื่อค้นหาการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเนบิวลาในช่วงเวลาหนึ่งได้

NGC 2261 ถูกถ่ายภาพโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิลและมีการเผยแพร่ภาพเนบิวลาในปี 1999

นักดาราศาสตร์สมัครเล่น กว่า 20 คน จาก Big Amateur Telescope ร่วมกันถ่ายภาพ NGC 2261 เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2021 ถึงเดือนเมษายน 2022 และในเดือนสิงหาคม 2022 โปรเจ็กต์ดังกล่าวได้กลับมาดำเนินการต่อเมื่อ NGC 2261 ออกมาจากด้านหลังดวงอาทิตย์


11  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทกามิยาแนตส์-ปอดิลสกึย (Kamianets-Podilskyi Castle) เมื่อ: 27 มิถุนายน 2568 12:50:09


ปราสาทกามิยาแนตส์-ปอดิลสกึย

ปราสาทกามิยาแนตส์-ปอดิลสกึย (Kamianets-Podilskyi Castle) เป็นอดีตปราสาทและป้อมปราการรูเธเนีย-ลิธัวเนีย ที่ต่อมาเป็นป้อมปราการโปแลนด์แบบสามส่วน ตั้งอยู่ในเมือง Kamianets-Podilskyi อันเก่าแก่ของยูเครน ในภูมิภาคประวัติศาสตร์ของ Podolia ทางภาคตะวันตกของประเทศ ชื่อของปราสาทนี้มาจากรากศัพท์คำว่า kamin' ซึ่งมาจากคำภาษาสลาฟที่แปลว่าหิน

บันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่าปราสาท Kamianets-Podilskyi มีอายุย้อนไปถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 14 แม้ว่าหลักฐานทางโบราณคดีล่าสุดจะพิสูจน์การดำรงอยู่ของมนุษย์ในพื้นที่ดังกล่าวย้อนไปถึงศตวรรษที่ 12 หรือ 13 เดิมทีปราสาทนี้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันสะพานที่เชื่อมระหว่างเมืองกับแผ่นดินใหญ่ ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บนคาบสมุทรที่ถูกกัดเซาะโดยแม่น้ำ Smotrych ที่คดเคี้ยว โดยก่อตัวเป็นระบบป้องกันตามธรรมชาติสำหรับย่านเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์ของ Kamianets-Podilskyi

ที่ตั้งของปราสาทบนทางแยกขนส่งเชิงยุทธศาสตร์ใน Podilia ทำให้ปราสาทแห่งนี้กลายเป็นเป้าหมายหลักของผู้รุกรานจากต่างประเทศ ซึ่งสร้างปราสาทขึ้นใหม่ตามความต้องการของตนเอง ทำให้ปราสาทมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปราสาทแห่งนี้ประกอบด้วยเมืองเก่าที่สร้างป้อมปราการโดยพระเจ้า Casimir IV ปราสาทเก่าที่สร้างใหม่โดยพระเจ้า Sigismund I และ Stephen Báthory และปราสาทใหม่ที่ก่อตั้งโดยพระเจ้า Sigismund III และ Władysław IV อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมมากมายในโครงสร้างเดิม แต่ปราสาทแห่งนี้ยังคงมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกัน เป็นหนึ่งในอาคารยุคกลางไม่กี่แห่งในยูเครนในปัจจุบันที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้ค่อนข้างดี



12  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทสต็อบนิตซา ประเเทศโปแลนด์ เมื่อ: 25 มิถุนายน 2568 13:07:10


ปราสาทสต็อบนิตซา

ปราสาทสต็อบนิตซา (Stobnica Castle) เป็นอาคารที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในเมืองสต็อบนิตซา ประเทศโปแลนด์ ตั้งอยู่บนเกาะเทียมกลางป่าโนเท็คกาทางตะวันตกของโปแลนด์  อาคารหลังนี้มีขนาดสูงประมาณ 70 เมตร และยาวประมาณ 200 เมตร เป็นตัวอย่างร่วมสมัยของสถาปัตยกรรมฟื้นฟู โดยเลียนแบบปราสาทยุคกลางขนาดใหญ่ ในปี 2018 การก่อสร้างถูกเปิดเผยต่อสาธารณะและก่อให้เกิดข้อโต้แย้งมากมายเนื่องจากตั้งอยู่ริมป่า Noteć และพื้นที่ Natura 2000 ซึ่งเป็นพื้นที่อนุรักษ์

สถาปัตยกรรม : สร้างเลียนแบบปราสาทในยุคกลาง มีหอคอย ป้อมปราการ และกำแพงหินขนาดใหญ่

ปัจจุบัน อาคารหลังนี้ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ได้มีการเปิดเส้นทางการศึกษาให้ผู้เยี่ยมชมได้เข้าชม
 
13  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / กาะมาดากัสก้า ดินแดนแปลกสุดแอฟริกา!! เมื่อ: 24 มิถุนายน 2568 13:43:38

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=kUU-XdwjQNI" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=kUU-XdwjQNI</a>


กาะมาดากัสก้า เป็นยังไง?? ดินแดนแปลกสุดแอฟริกา!!
14  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทดันน็อตทาร์ (Dunnottar Castle) สกอตแลนด์ เมื่อ: 24 มิถุนายน 2568 13:38:14


ปราสาทดันน็อตทาร์ (Dunnottar Castle)

ปราสาทดันน็อตทาร์ (Dunnottar Castle) เป็นป้อมปราการยุคกลางที่พังทลาย ตั้งอยู่บนแหลมหินบนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของสกอตแลนด์ ห่างจากสโตนเฮเวนไปทางใต้ประมาณ 2 ไมล์ (3 กิโลเมตร) ในอเบอร์ดีนเชียร์

อาคารที่ยังหลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นอาคารสมัยศตวรรษที่ 15 และ 16 แต่เชื่อกันว่าสถานที่แห่งนี้ได้รับการเสริมความแข็งแกร่งในช่วงต้นยุคกลาง ดันน็อตทาร์มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของสกอตแลนด์จนถึงการลุกฮือของเจคอไบต์ในศตวรรษที่ 18 เนื่องมาจากทำเลที่ตั้งอันเป็นยุทธศาสตร์และความแข็งแกร่งในการป้องกัน

ปราสาท Dunnottar เป็นที่รู้จักดีในฐานะสถานที่ที่เครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติยศแห่งสกอตแลนด์ หรือมงกุฎเพชรของสกอตแลนด์ ถูกซ่อนไว้จากกองทัพรุกรานของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ในศตวรรษที่ 17 ทรัพย์สินของตระกูลคีธจากศตวรรษที่ 14 และที่นั่งของเอิร์ลมาริชาล Dunnottar เสื่อมโทรมลงหลังจากที่เอิร์ลคนสุดท้ายสละตำแหน่งของตนโดยเข้าร่วมการกบฏจาโคไบต์ในปี 1715 ปราสาทแห่งนี้ได้รับการบูรณะในศตวรรษที่ 20 และปัจจุบันเปิดให้สาธารณชนเข้าชม

ซากปรักหักพังของปราสาทกระจายอยู่บนพื้นที่ 1.4 เฮกตาร์ (3+1⁄2 เอเคอร์) ล้อมรอบด้วยหน้าผาสูงชันที่ลาดลงสู่ทะเลเหนือซึ่งอยู่ลึกลงไป 160 ฟุต (50 เมตร) แผ่นดินแคบๆ เชื่อมแหลมกับแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีทางเดินลาดชันที่นำไปสู่ประตูทางเข้า อาคารต่างๆ ภายในปราสาท ได้แก่ หอคอยสมัยศตวรรษที่ 14 และพระราชวังสมัยศตวรรษที่ 16 ปราสาท Dunnottar เป็นอนุสรณ์สถานตามกำหนดการ และสิ่งก่อสร้าง 12 แห่งในบริเวณนั้นเป็นอาคารที่ได้รับการขึ้นทะเบียน



15  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / หินสปลิทแอปเปิล (Split Apple Rock) เมื่อ: 18 มิถุนายน 2568 12:27:57


หินสปลิทแอปเปิล (Split Apple Rock)


หินสปลิทแอปเปิล (Split Apple Rock) หรือหินแอปเปิ้ลแตก เป็นรูปแบบของหินทางธรณีวิทยา ตั้งอยู่ในอ่าวแทสมันนอกชายฝั่งทางตอนเหนือของเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ เชื่อกันว่าก่อตัวขึ้นในยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดเมื่อหลายหมื่นปีก่อน

หินก้อนนี้ลอยอยู่ในน้ำตื้นขึ้นลงใกล้กับอุทยานแห่งชาติเอเบลแทสมัน ซึ่งดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและนักวิทยาศาสตร์ให้สนใจมาช้านาน หินก้อนนี้เป็นหินแกรนิตมีรูปร่างเหมือแอปเปิ้ลผ่าครึ่ง ตั้งในอุทยานแห่งชาติอาเบลแทสมันห่างจากชายฝั่งประมาณ 50 เมตรระหว่างเมืองแมราฮัวกับเมืองไคร์เทอริเทอและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในอ่าวแทสมัน

โครงสร้างทางธรณีวิทยานี้เป็นหินแกรนิตขนาดใหญ่ที่แยกออกเป็นสองส่วนโดยธรรมชาติอย่างสมมาตร ดูราวกับว่าถูกเฉือนด้วยใบมีดที่แม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ เชื่อกันว่ารอยแยกนี้เกิดจากน้ำซึมเข้าไปในรอยแตกและแข็งตัว ซึ่งเป็นกระบวนการที่เรียกว่าการเกาะตัวของน้ำแข็ง การแบ่งแยกและเสถียรภาพที่เกือบสมบูรณ์แบบของหินก้อนนี้ในทะเลทำให้เกิดการตีความทางวัฒนธรรมมากมาย โดยเฉพาะในหมู่ชาวเมารี

เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าหินก้อนนี้ จะนรู้สึกราวกับว่าเวลาหยุดนิ่งกลางคัน ราวกับว่าโลกเผยให้เห็นท่าทางที่ซ่อนอยู่ ความสมมาตรอันเงียบสงบของหินให้ความรู้สึกทั้งบังเอิญและตั้งใจ เสมือนว่าธรรมชาติได้แกะสลักสัญลักษณ์แห่งความเป็นสองขั้ว ได้แก่ ความสามัคคีและความแยกจากกัน ความคงอยู่และความเปราะบาง ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกยึดเข้าด้วยกันในช่วงเวลาแห่งความสมดุลโดยจังหวะของท้องทะเล



16  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / 5 ชนเผ่าลึกลับที่อันตรายที่สุดในโลก! เมื่อ: 18 มิถุนายน 2568 12:13:53
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=xNsonzbue8w" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=xNsonzbue8w</a>


5 ชนเผ่าลึกลับที่อันตรายที่สุดในโลก!
17  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / NGC 4676 (กาแล็กซีหนู) เมื่อ: 15 มิถุนายน 2568 13:47:16


NGC 4676 (กาแล็กซีหนู)

NGC 4676หรือกาแล็กซีหนูเป็นกาแล็กซีชนิดก้นหอย 2 แห่ง ที่อยู่ในกลุ่มดาว โคม่าเบเรนิซซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 290 ล้านปีแสง กาแล็กซีทั้งสองนี้เริ่มมีกระบวนการชนกันและรวมเข้าด้วยกัน ชื่อของกาแล็กซี "หนู" เหล่านี้หมายถึงหางยาวที่เกิดจากแรงกระทำของแรงน้ำขึ้นน้ำลง ซึ่งเป็นความแตกต่างสัมพัทธ์ระหว่างแรงดึงดูดของแรงโน้มถ่วงที่มี ต่อส่วนใกล้และไกลของกาแล็กซีแต่ละแห่ง ซึ่งเรียกกันว่าแรงน้ำขึ้นน้ำลงของกาแล็กซีมีความเป็นไปได้ที่กาแล็กซีทั้งสองแห่ง ซึ่งเป็นสมาชิกของกระจุกโคม่า อาจเคยประสบกับการชนกัน และจะยังคงชนกันต่อไปจนกว่าจะรวมตัวกัน

สีสันของกาแล็กซีมีลักษณะเฉพาะ ใน NGC 4676A มีแกนที่มีรอยสีเข้มบางส่วนล้อมรอบด้วยเศษซากแขนก้นหอยสีขาวอมฟ้า หางมีลักษณะพิเศษคือเริ่มต้นเป็นสีน้ำเงินและสิ้นสุดด้วยสีเหลืองอมเหลือง แม้ว่าจุดเริ่มต้นของแขนแต่ละแขนในกาแล็กซีชนิดก้นหอยแทบทุกแห่งจะเริ่มต้นเป็นสีเหลืองและสิ้นสุดด้วยสีน้ำเงินอมฟ้าก็ตาม  NGC 4676B มีแกนสีเหลืองและส่วนโค้งสองส่วน เศษซากแขนด้านล่างก็มีสีออกฟ้าเช่นกัน

กาแล็กซีเหล่านี้ถูกถ่ายภาพในปี พ.ศ.2545 โดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ในพื้นหลังของกาแล็กซีหนู มีกาแล็กซีมากกว่า 3,000 แห่ง ห่างออกไปถึง 13,000 ล้านปีแสง
18  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ปราสาทออราวา (Orava) เมื่อ: 15 มิถุนายน 2568 13:41:54



ปราสาทออราวา (Orava)


ปราสาทออราวา (Orava) ตั้งอยู่บนเนินเขาหินที่มองเห็นแม่น้ำ Orava ในหมู่บ้าน Oravský Podzámok ประเทศสโลวาเกีย สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 13 ถึง 16 ต้นกำเนิดของปราสาทย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 12 โดยการก่อสร้างครั้งแรกน่าจะเริ่มในราวปี ค.ศ.1250 สร้างขึ้นในราชอาณาจักรฮังการี โดยส่วนที่เก่าแก่ที่สุดสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 และส่วนล่าสุดสร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ฉากต่างๆ มากมายจากภาพยนตร์เรื่อง Nosferatu ในปี 1922 ถ่ายทำที่นี่ โดยปราสาทแห่งนี้เป็นภาพปราสาททรานซิลเวเนียของเคานต์ Orlok

ปราสาทแห่งนี้ได้รับการดัดแปลงหลายครั้งตลอดหลายศตวรรษ ส่งผลให้มีโครงสร้างที่น่าประทับใจดังที่เห็นในปัจจุบัน  ปราสาทแห่งนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยทำหน้าที่ต่างๆ มากมาย รวมทั้งเป็นที่ประทับของราชวงศ์ ฐานที่มั่นทางทหาร และต่อมากลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว
19  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: บุญเป็นสิ่งที่ควรสั่งสม โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) เมื่อ: 15 มิถุนายน 2568 12:41:40

บุญเป็นสิ่งที่ควรสั่งสม
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
(เทศน์ ๑๒ ธ.ค. ๖๖)
       

         เพราะฉะนั้น บุญนั้นมันสั่งสมอยู่เรื่อยๆ สั่งสมอยู่เนืองๆ สั่งสมอยู่บ่อยๆ มันก็ทำให้บุคคลนั้นมีความเปลี่ยนแปลงนะ บางครั้งคนจนเนี่ยกับรวยก็ได้นะ บางครั้งบางคราวเราประพฤติปฏิบัติธรรมเนี่ยมันเป็นทุกข์เหลือทนนะ เวลาทุกข์เนี่ย เหมือนกับว่าเราไม่เคยสุขสักทีเลยนะ มันเป็นทุกข์ โอ๊ย ไม่รู้ว่าใครจะทุกข์เท่าเราหรือเปล่า อะไรทำนองนี้นะ มันเป็นทุกข์เหมือนกับชีวิตเราไม่เคยมีความสุขสักครั้งเลยนะ นี่มันทุกข์ถึงขนาดนั้นนะ แต่พอมันมีความสุข มันก็พลิกนะ จากความทุกข์เนี่ยเป็นความสุข ก็เหมือนกับเราพลิกหน้ามือไปหลังมือเท่านั้นนะ จิตใจมันพลิกนะ พอจิตใจมันพลิกเท่านั้นแหละ จากทุกข์มันก็เป็นความสุขขึ้นมาทันที เวลามันเกิดความสุขก็เหมือนเราไม่เคยทุกข์สักทีเลยนะ เหมือนเราไม่เคยประสบกับความทุกข์สักทีเลย มันเป็นอย่างงั้นนะ เหมือนกับเรานั่งตัวหนักๆ นี่แหละ นั่งไปเหมือนกับภูเขา ๒-๓ ลูกมันมาทับอยู่บนหัวเรา มันมาทับอยู่ขาเรา เหมือนกระดูกจะแตกมันจะหักมันจะทำลายไป เวลาตัวตนของเรามันหนักนะ นั่งภาวนา ๕ นาที ลืมตา ๒ ครั้ง ๕ ครั้ง เอ๊ มันทำไมมันเจ็บมันปวดมันหนักตัวหนักตนถึงขนาดนั้น ตั้งสัจจะ ถ้าข้าพเจ้านั่งไม่ถึงชั่วโมงเนี่ย หากข้าพเจ้าลุกก่อน ขอให้ข้าพเจ้าตายทันที อะไรตำนองนี้ เมื่อความมั่นคงแห่งจิตแห่งใจมันเกิดขึ้นมาแล้วเนี่ย จิตใจมันเป็นสมาธิ จากอาการที่มันหนักเหมือนกับภูเขาที่มาทับมันก็เปลี่ยน จากหนักกลายเป็นเบาเหมือนกับนุ่นนะ เหมือนกับเราไม่ได้นั่งอยู่กับพื้นอะไรทำนองนี้ เหมือนกับลอยออกจากพื้นดินอะไรทำนองนี้ นี่ในลักษณะของบุญกุศลเนี่ย สภาวธรรมมันจะเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลานะ ไม่ใช่ว่าเราจะทุกข์ก็ต้องทุกข์อยู่อย่างนี้ ลำบากก็ลำบากอยู่อย่างนี้ สุขก็จะสุขอยู่อย่างนี้ มันก็เปลี่ยนไปนะ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีบุญก็เป็นคนไม่มีบุญ เป็นคนจนก็จนอยู่อย่างนี้ อะไรทำลองนี้ ถ้าเราไม่ย่อท้อในการสร้างบุญสร้างกุศล ไม่ย่อท้อในการสร้างสมอบรมบารมีแล้วเนี่ย เราสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเราได้ จากคนจนก็เป็นคนรวยได้ จากคนทุกข์ก็เป็นคนสุขได้ จากปุถุชนที่ไม่มีฌานก็เป็นปุถุชนที่มีฌานได้ จากปุถุชนก็เป็นอริยชน เป็นพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าเราไม่ท้อในการสร้างบุญสร้างกุศลนะ เพราะฉะนั้น บุญกุศลนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นของเราจริงๆ ไม่ใช่ว่าทำแล้วมันสูญไปแล้วไม่มีแล้ว อันนั้นเรียกว่าไม่มีปัญญาจึงไม่รู้ตัวบุญนะ เพราะฉะนั้น บุญนั้นจึงเป็นสิ่งที่เป็นสมบัติติดตามเราไปในสัมปรายภพ เมื่อร่างกายแตกตายทำลายขันธ์แล้วก็ติดตามเราเหมือนเงาติดตามตัว คอยเป็นพ่อเป็นแม่ คอยเป็นพี่เป็นน้อง คอยเป็นคนใช้ คอยอุปถัมภ์อุปัฏฐาก คอยยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่เราทุกภพทุกชาตินั่นแหละ ตราบเท่าถึงพระนิพพานนะ

         แม้แต่พระพุทธเจ้าของเราเนี่ย บำเพ็ญบารมีมามากมายถึงขนาดนั้นเนี่ย ตอนที่พญามารไปรบกวนหรือว่าไปขัดขวางการบรรลุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พาลูกน้องพาเสนามารเหาะไปเต็มอากาศทั้งหมดเลยนะ มืดฟ้ามัวดินไปหมด เพื่อที่จะไปทำร้ายพระพุทธเจ้านะ แล้วก็บอกว่าขอให้พระองค์นั้นน่ะจงลุกขึ้นจากที่นั่งของข้าพเจ้า ที่นั่งนั้นเป็นที่นั่งของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ที่นั้นเป็นที่นั่งของข้าพเจ้า ถ้าไม่เชื่อก็ถามบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้าดู พวกเสนามารทั้งหลายทั้งปวงก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ที่นั่งตรงที่พระองค์นั่งเป็นที่นั่งของพญามาร

         พระพุทธเจ้าของเราพระองค์ก็ทรงตรัสว่าที่นี้เป็นที่นั่งของพระองค์ เกิดขึ้นมาด้วยบุญญาธิการที่พระองค์ทรงสั่งสมไว้ พญามารก็ว่า ถ้าท่านว่าเป็นที่นั่งของท่าน ท่านมีพยานที่ไหน ส่วนข้าพเจ้ามีพยานเต็มท้องฟ้าอยู่เนี่ย ท่านมีพยานที่ไหนล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงนึกถึงบุญกุศลที่ตนเองสร้างสมอบรมไว้ พอนึกถึงบุญกุศลที่ตนเองสร้างไว้นะ พระนางธรณีชื่อว่าสุนทราก็แทรกแผ่นดินขึ้นมา รองรับเอาบุญกุศลที่พระองค์ทรงหยาดน้ำทุกภพทุกชาติมาบีบออก เพื่อที่จะรู้ว่าบุญกุศลที่พระองค์ทรงทำน่ะมันมากมายขนาดไหน ทำให้น้ำนั้นท่วมท้นมารทั้งหลายทั้งปวง บุญกุศลที่พระองค์ทรงทำเนี่ย จะนานขนาดไหนก็ตาม ก็ตามรักษาตามคุ้มครองตามสนับสนุนพระองค์นะ จนทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันนี้เรื่องบุญนะ มันสำคัญอย่างนี้นะ

         เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาแล้วก็อย่าเบื่อหน่ายในการทำบุญ อย่าขี้เกียจในการทำบุญนะ ทำบุญก็เหมือนการค้านั่นแหละ ค้าขายบ่อยๆ ก็ได้กำไรบ่อยๆ ทำนาบ่อยๆ ก็ได้ข้าวบ่อยๆ การทำบุญก็เหมือนกัน ทำบุญบ่อยๆ ก็ได้บุญบ่อยๆ เหมือนกัน วันนี้อาตมาภาพได้กล่าวธรรมะมาก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.
20  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / บุญเป็นสิ่งที่ควรสั่งสม โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร) เมื่อ: 15 มิถุนายน 2568 12:39:51



บุญเป็นสิ่งที่ควรสั่งสม
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี
(เทศน์ ๑๒ ธ.ค. ๖๖)

        การฟังธรรมร่วมกันในวันธรรมสวนะ ก็ถือว่าเป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรม เป็นขนบเป็นจารีต ที่วัดพิชโสภารามของเราได้ประพฤติปฏิบัติ ทำกันมาช้านาน เพราะว่าการฟังธรรมร่วมกัน ทำวัตรร่วมกันในวันพระ ๘ ค่ำก็ดี ๑๔ ค่ำก็ดี ๑๕ ค่ำก็ดี เราทั้งหลายทั้งปวงได้ประพฤติมาร่วมกัน ตั้งแต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่แล้ว การที่เราทั้งหลายทั้งปวงได้มาฟังธรรมร่วมกัน ก็ถือว่าเป็นเหตุให้เกื้อกูลต่อกัน โดยเฉพาะทางสามเณร คณะครูบาอาจารย์ผู้เป็นนักเรียนนักศึกษา ก็มีโอกาสที่จะได้ฝึกฝนอบรมในเรื่องความสงบแห่งจิตแห่งใจต่างๆ ทำให้จิตใจมีความสงบ เมื่อจิตใจของเรามีความสงบ พลังคือความที่จิตใจของเรามันมีความกระปรี้กระเปร่า มีความกระฉับกระเฉงต่างๆ ก็เกิดขึ้นมาได้ ทำให้การอยู่ในพระพุทธศาสนานั้นมีการอยู่ที่เพลิดเพลิน แล้วก็อยู่ในพระพุทธศาสนาได้นานๆ

         นอกจากนั้นก็ ญาติโยมสาธุชนทั้งหลายทั้งปวงที่เสียสละเวลาอันมีค่า ได้มารักษาศีลอุโบสถ ได้มาทำวัตร ได้มาเจริญพระพุทธมนต์ ได้มาฟังธรรมร่วมกัน นอกจากฟังธรรมร่วมกันแล้วก็ยังได้ประพฤติปฏิบัติธรรมร่วมกัน ก็ถือว่ามาฝึกมาฝนมาอบมารม มาเพิ่มเติมบุญ เรียกว่า ๗ วันปลูกต้นโพธิ์ครั้งหนึ่ง ๗ วันเรามาปลูกต้นโพธิ์ด้วยการให้ทาน ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม ด้วยการไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ เจริญภาวนา แผ่เมตตา อันนี้ก็เป็นบุญลาภนะ ลาภคือบุญอันยิ่งใหญ่ของชาววัดพิชโสภารามของเรา

         วันนี้ก็จะได้กล่าวธรรมะในส่วนที่เป็นธรรมะพื้นฐานของญาติโยมชาวบ้านของเรา ในเรื่องบุญในเรื่องบาป คำว่าบาปคำว่าบุญเราทั้งหลายทั้งปวงก็ได้ยินอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่จำความได้พ่อแม่ก็กล่าวในเรื่องบาปในเรื่องบุญ แต่ว่าบาปนั้น ถ้าเราแปลตามภาษาบาลีจริงๆ นั้นน่ะ บาปนี้นี่ ก็หมายถึงสิ่งที่ยังกายยังวาจายังใจของเราให้เร่าร้อน ผู้ใดกระทำบาปทางกายก็ดี กระทำบาปทางวาจาก็ดี กระทำบาปทางใจก็ดี ผลของบาปนั้นก็จะทำให้กายวาจาใจของบุคคลนั้นเดือดร้อนด้วย ลำบากด้วย นอกจากนั้น ผู้ใดกระทำบาป บาปนั้นก็จะยังบุคคลนั้นให้ไปเกิดในอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย แล้วก็สัตว์เดรัจฉานต่างๆ บุคคลผู้ที่ไปเกิดในอบายภูมิต่างๆ นั้น ก็เพราะอาศัยบาปกรรมที่ตนเองทำ บาปกรรมที่ตนเองสร้าง ก็จะเกิดวิบากทำให้ตนไปเกิดในอบายภูมินั้น

         เพราะฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่ไปแออัดยัดเยียดอยู่ในอบายภูมินั้น ก็เพราะความผิดพลาดนะ ความผิดพลาดทางกาย ความผิดพลาดทางวาจา ความผิดพลาดทางใจ ทำบาปทำกรรมลงไป เพราะฉะนั้น บาปนั้นเป็นสภาพที่ลามก เป็นสภาพที่สกปรก เป็นสภาพที่ยังบุคคลผู้ทำนั้นให้เดือดร้อน ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า อันนี้ในเรื่องบาปโดยย่อนะ

         นอกจากนั้นก็ เราก็ได้ยินในเรื่องบุญ คำว่าบุญนั้นน่ะ ถ้าเราจะกล่าวโดยลักษณะของภาษานั้น บุญนั้นแปลว่าสั่งสมนะ บุญที่เราทำคือการให้ทานก็ดี บุญที่เราทำคือการรักษาศีลก็ดี บุญที่เราทำคือการไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ทุกวันทุกวัน ใส่บาตรตอนเช้าทุกวัน มาถวายเช้าถวายเพลเป็นประจำ บางครั้งบางคราววันพระวันโกนต่างๆ ก็มาวัดมาวามาทำวัตรสวดมนต์ เพื่อที่จะทำให้เกิดบุญเกิดกุศล แต่ว่าบุญที่เราทำนั้นน่ะ ทั้งหมดทั้งปวงนั้นมันไปไหน

         บุญที่เราทำมีการใส่บาตรตอนเช้าก็ดี มาถวายเช้าถวายเพลก็ดี มาทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นก็ดี มาเจริญภาวนาไหว้พระทำวัตรสวดมนต์ก็ดี บุญกุศลทั้งหมดทั้งปวงนี้ไม่ได้หนีไปไหน ไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้สูญไปไหน บุญกุศลทั้งหมดทั้งปวงที่เราทำนั้นแหละ ก็หมุนลงไปเก็บในห้วงภวังคจิตของเรา ภาษาธรรมท่านว่า ปวตฺติ คือมันหมุนลงไปเก็บในห้วงภวังคจิตของเรา เหมือนกับที่เรากดชัตเตอร์กล้องนั่นแหละ กดลงไปภาพที่เราถ่ายนั่นแหละมันก็เก็บไว้ในฟิล์มนะ ทุกวันนี้ก็เก็บไว้ในเมมโมรี่ในกล้องของเรา มันเป็นอัตโนมัติของมัน สิ่งที่เราทำบุญทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดีเนี่ย ให้ทานรักษาศีลเป็นต้นเนี่ย บุญกุศลที่เราทำเนี่ย มันก็เหมือนกับกล้องที่ถ่ายภาพนั่นแหละ มันก็เก็บไปไว้ในเมมโมรี่ของมัน บุญที่เราทำแล้วก็เก็บลงไปในห้วงภวังคจิตของเราเป็นอัตโนมัตินะ เราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม บุญนั้นก็ต้องลงไปเก็บในห้วงภวังคจิตของเรา

         เพราะฉะนั้น บุญนั้นท่านจึงแปลว่าสั่งสม เราทำบุญไว้ตั้งแต่โน้น ตั้งแต่เราเป็นเด็ก ทำบุญตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาว จนถึงวัยเฒ่าวัยแก่ บุญกุศลที่เราทำทั้งหมดทั้งปวงทั้งสิ้นนั้นไม่ได้สูญไปไหนนะ บางครั้งเราลืม บางครั้งเราจำไม่ได้แล้ว แต่บุญที่เราทำนั้นก็ยังเป็นบุญของเราอยู่ ก็ยังอยู่ในจิตในใจของเรานั่นแหละ ถึงเราจะจำได้หรือจำไม่ได้ บุญนั้นก็เป็นของเรา บุญนั้นก็เป็นอันเราทำไว้ดีแล้ว ไม่เป็นของคนอื่นนะ บุญนั้นอันโจรลักไม่ได้ น้ำก็ท่วมไม่ได้ ไฟก็ไหม้ไม่ได้ ใครจะมาหลอกเอาบุญของเราก็หลอกลวงเอาไปไม่ได้  เพราะฉะนั้น บุญที่เราทำเนี่ยจึงเป็นสมบัติของเราแท้ๆ เป็นบุญที่เราสั่งสมไว้

         เพราะฉะนั้น ญาติโยมสาธุชนผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกท่านทุกคน เมื่อเราทำบุญแล้วเนี่ย ทำไมเราจึงเป็นทุกข์อยู่ ทำไมเราจึงต้องลำบากลำบน ลูกก็บอกยาก การค้าการขายก็ไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่เราก็ทำบุญเป็นประจำ ถ้าเป็นในลักษณะอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า บาปมันยังให้ผลอยู่ เมื่อบาปที่เราทำมันยังให้ผลอยู่ บุญก็ไม่สามารถที่จะให้ผลได้ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ทำบุญอยู่นั้นน่ะ จึงยังมีความลำบากยังมีความทุกข์อยู่ แต่ไม่ใช่ว่าบุญไม่มีนะ บุญมันก็อยู่ในจิตในใจของเรานี่แหละ แต่มันหาโอกาสที่จะให้ผลไม่ได้

         บางคนทำบาปมาก ทำบาปเป็นประจำ ทำบาปอยู่เรื่อยๆ ทำบาปอยู่เนืองๆ แต่ว่าเขายังร่ำรวย เงินไหลนองทองไหลมา มีคนเชิดหน้าชูตา มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง มีชื่อเสียงในสังคม เอ๊ บาปนี้มันไม่มีหรืออย่างไร เขาทำบาปอยู่ขนาดนั้น แต่ว่าเขาก็ยังมีเงินไหลนองมีทองไหลมา มีชื่อมีเสียง มีคนเคารพนับถือ มีเกียรติในสังคมต่างๆ หรือว่าบาปมันไม่มี อะไรทำนองนี้ แต่เมื่อเราไปพิจารณาคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรงตรัสว่า บุญกุศลของบุคคลนั้นน่ะมันให้ผล เขาทำบุญกุศลมาภพก่อนชาติก่อนมากแล้ว บุญมันยังปกบุญยังคุ้มบุญยังรักษาอยู่ บาปไม่มีโอกาสที่ให้ผลได้ เพราะฉะนั้น เวลาเขาทำบาปนั้นน่ะ มันจึงยังไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าบาปมันยังไม่ให้ผล เขาจึงยังมีความสุข แต่เมื่อบุญมันลดกำลังลงเมื่อไหร่นั่นแหละ บาปมันให้ผล บุคคลนั้นก็มีความทุกข์ตามกำลังแห่งบาปที่ตนเองทำ นี่นะ ถ้าเราพิจารณาในเรื่องของบุญ ในเรื่องของบาปนะ เพราะฉะนั้น บุญเนี่ย จึงแปลว่าสั่งสม คือสั่งสมไว้ในจิตในใจของเราอยู่นั่นแหละ จะนานขนาดไหนบุญนั้นก็เป็นของเราอยู่นะ ไม่ได้ไปไหนนะ เราทำบุญมาตั้งแต่นู้น ตั้งแต่เราเกิดมาแล้วเนี่ย เราลืมไปแล้ว แต่ว่าบุญนั้นยังเป็นของเรา ยังอยู่ในจิตในใจของเราอยู่ตลอดไป เราจะไปเกิดในภพใดชาติใด บุญนี้ก็เหมือนเงาติดตามตัวของเราไป ไม่ทิ้งไม่วาง ก็อยู่ในจิตในใจของเราตลอดไป เพราะฉะนั้น บุญนั้นจึงเป็นสมบัติ เรียกว่าสมบัติภายในนะ เป็นสมบัติที่ควรแก่การสร้าง เป็นสมบัติที่ควรแก่การกระทำ เป็นสมบัติที่สมควรที่เราจะต้องตักตวงกอบโกยเอาบุญนั้นให้มากที่สุด เพราะว่าบุญนั้นน่ะเป็นของเราโดยแท้

         บุญที่เราทำนั้นแหละ ก็จะติดตามเราไปเหมือนเงาติดตามตัว เราจะไปไหน เงามันติดตามเราไปตลอดนะ เราจะมีเงาติดตามตลอดเวลานะ บุญกุศลก็เหมือนกัน เราจะไปขึ้นห้วยลงเขา เราจะไปอยู่กลางทุ่งกลางนา เราจะอยู่กลางป่ากลางดอย หรือว่าเราจะอยู่ในกลางบ้านกลางเรือนต่างๆ บุญกุศลมันก็ติดตามเราไปอยู่ตลอดเวลานะ นอกจากบุญจะติดตามเราไปทุกหนทุกแห่งทุกวิถีทางที่เราเดินในโลกปัจจุบันนี้เนี่ย เมื่อเราละจากโลกนี้ไปแล้ว ละจากร่างกายแล้ว ร่างกายของเรามันแตกมันผุมันพังไป เราไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ บุญกุศลมันก็ติดตามไปนะ เหมือนกับนายโกตุหลิกะ

         นายโกตุหลิกะนั้น ท่านกล่าวไว้ว่า เกิดทุพภิกขภัยนะ เกิดข้าวยากหมากแพง เมื่อเกิดข้าวยากหมากแพงแล้ว ๒ สามีภรรยานั้นก็ไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่บ้านได้ ไม่สามารถที่จะอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นได้ ก็ตกลงกันว่า ถ้าเราอยู่ต่อไปเนี่ย คงจะตายแน่นอน เพราะฝนมันไม่ตกมา ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปีแล้วเนี่ย อะไรอะไรมันก็แห้งเหี่ยวตายไปหมด มิหนำซ้ำก็ยังเกิดโรคระบาดอะไรต่างๆ มากมาย เราควรอพยพไปอยู่ที่อื่น ก็รอนแรมข้ามป่าข้ามทางธุระกันดารต่างๆ อดอาหารมาหลายวัน สามีก็ไม่ได้กินข้าวมาหลายวัน ภรรยาก็ไม่ได้ทานข้าวมาหลายวัน พอดีไปถึงบ้านของนายโคบาล นายโคบาลนั้นก็เป็นคฤหบดีมีความร่ำรวย มีเงินไหนนองมีทองไหนมา ก็ทำการสู่ขวัญให้แม่โค เวลาทำการสู่ขวัญให้แม่โคก็ทำการเลี้ยงข้าวต่างๆ ทำข้าวมธุปายาส ทำข้าวที่มีความเข้มข้นผสมน้ำนมอะไรต่างๆ นอกจากนั้นแล้วนายโคบาลก็เอาข้าวมธุปายาสนั้นให้นางสุนัขกิน

         ๒ สามีภรรยาก็คิดว่า โอ้ เรานี่เป็นคนแท้ๆ อดอยากข้าวมาหลายวัน แต่นางสุนัขตัวนี้ช่างมีบุญเหลือเกิน ได้กินข้าวเอร็ดอร่อย ข้าวก็เป็นข้าวที่มีราคาดี เป็นข้าวมธุปายาส นายโคบาลก็เอาข้าวให้ ๒ สามีภรรยานั้นทาน สามีผู้อดอยากมานานก็ทานข้าวนั้นด้วยความตะกระตะกรามนะ ทานข้าวด้วยความตะกระตะกราม มันอดอยากมานาน ภรรยาผู้มีความรักในสามีมากนี่ก็คิดว่า โอ้ สามีของเราหิวมานาน ก็ให้สามีทานก่อนเถอะ สามีก็ว่า ทำไมไม่ทานด้วยกัน ภรรยาก็บอกว่า ถ้าสามียังมีชีวิตอยู่ ฉันก็มีชีวิตอยู่ ให้พ่อน่ะทานก่อน เดี๋ยวจะทานทีหลัง สามีก็ทานเอาจนเต็มอิ่มนะ หลังจากนั้นมาก็ให้ภรรยาทาน แต่พอตกกลางคืนมา ข้าวมธุปายาสที่ทานนั้นมันไม่ย่อย เมื่อไม่ย่อยก็ทำกาละคือตายไป ขณะที่ตายไปนั้นน่ะจิตมันไปผูกพันกับนางสุนัข เมื่อจิตไปผูกพันกับนางสุนัขนั้นแหละ ก็ไปเกิดในท้องของนางสุนักนั้น นี่เป็นคนแท้ๆ นะ ไปเกิดในท้องของหมา เมื่อไปเกิดในท้องของหมาแล้วเนี่ย เมื่อนางสุนัขนั้นคลอด ก็เลี้ยงลูกสุนัขนั้นจนโตนะ

         ท่านกล่าวว่า มีพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ที่เขาคันธมาสเนี่ย มาบิณฑบาตอยู่ที่บ้านของนายโคบาลเป็นประจำ มีกุฏิอยู่ราวป่า เวลานายโคบาลนั้นไม่มีโอกาสไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ส่งหมานี่แหละไป หมานี่ไปถึงกุฏิของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็เห่านะ เห่าจนพระปัจเจกพุทธเจ้าต้องออกมาห่มจีวรนะ แล้วก็นำพระปัจเจกพุทธเจ้ามาสู่บ้านของนายโคบาลเป็นประจำ สุนัขนั้นน่ะ เมื่อไปถึงพุ่มไม้เนี่ย มันก็จะไปเห่านะ ไปเห่าเพื่อที่จะขับไล่พวกงูพวกอสรพิษออก เพื่อที่จะให้พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นปลอดภัยนะ

         วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ทดลอง หมามันก็ไปเห่า พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ลุกออกมาห่มจีวร แล้วก็ไม่เดินไปตามทางที่จะไปบ้านของนายโคบาล ก็ทำท่าที่จะเดินไปที่อื่น แต่หมาก็ไปคาบจีวรแล้วก็ดึงมาทางบ้านของนายโคบาล ไปถึงพุ่มไม้ถึงอะไรมันก็ไปเห่าไล่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงออกไปแล้วก็พาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาสู่บ้านนายโคบาลนี้ทุกวัน จนออกพรรษานะ

         พอออกพรรษาแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าก็จะกลับไปภูเขาคันธมาส ฉันภัตตาหารเสร็จแล้วก็จะลา ลาแล้วก็ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เหาะไปสู่เขาคันธมาส หมาที่มันดูแลทุกวันๆ เนี่ย มันยินดีในพระปัจเจกพุทธเจ้า มันพาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหารทุกวัน มันก็ผูกพันกับพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็มองดูพระปัจเจกพุทธเจ้าที่เหาะไปภูเขาคันธมาส เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าลับสายตาไปเท่านั้นแหละ มันก็ใจขาดไป พอใจขาดแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นะ อันนี้บุญนะ บุญที่ยินดีในพระสงฆ์ ยินดีในพระปัจเจกพุทธเจ้า ตายแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ บุญที่ทำนี่นะ พาพระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันที่บ้านนายโคบาลเป็นประจำเนี่ย มันก็ลงไปเก็บในห้วงภวังคจิตของหมานี่แหละนะ ตายแล้วก็พาหมานั้นไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

         นอกจากไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วเนี่ย หมานั้นมันเห่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความรัก ด้วยความศรัทธา ด้วยความเลื่อมใส ทำให้เสียงของเทพบุตรนั้นน่ะ กระซิบเฉยๆ นี่่ดังไปตั้งหลายๆ โยชน์นะ เพียงกระซิบเท่านั้นน่ะ เสียงดังสนั่นไปหลายโยชน์ อันนี้แสดงว่าบุญกุศลนั้นน่ะมันติดตามไป แม้แต่ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นเทวดามันก็ติดตามไป เพราะฉะนั้นบุญกุศลที่เราทำไม่ได้ไปไหนนะ มันก็ติดอยู่ในห้วงภวังคจิตของเรานั่นแหละ

         เพราะฉะนั้นการทำบุญทำกุศลเนี่ย เราทำไป ถึงเราจะลืมไป แต่บุญกุศลมันก็อยู่ในจิตในใจของเรานั่นแหละ เหมือนกับกบฟังธรรมนั่นแหละ ขณะที่ฟังธรรมแล้วน่ะ  จิตมันเป็นบุญจิตมันเป็นกุศล เมื่อกบตายไปแล้วก็ไปเกิดในสวรรค์ บุญที่เกิดขึ้นจากความยินดีในธรรมนั้นแหละ ก็พากบนั้นไปเกิดเป็นมัณฑูกเทพบุตรได้ นี่เราลองนึกดูว่าบุญเนี่ยมันเป็นสิ่งที่เราควรสั่งสมนะ

         เหมือนกับที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเทศน์ให้เราฟังเป็นประจำว่า โสณาชีวกเนี่ย ในสมัยโน้น ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เคยเกิดเป็นงูเหลือมนะ เคยฟังธรรมเรื่องอายตนะ เป็นงูเหลือมนะ แต่ว่าฟังธรรมในเรื่องอายตนะ เกิดความเลื่อมใสเกิดความศรัทธา เป็นบุญเป็นกุศล บุญกุศลนั้นก็ลงไปในห้วงภวังคจิตของงูเหลือมนั้นนะ จนมาถึงสมัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา ได้ฟังธรรมเรื่องอายตนะ แล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ลองนึกดูสิ บุญกุศลนั้นมันก็ติดตามเราไปเหมือนเงาติดตามตัวเรานี่แหละ เพราะฉะนั้น ญาติโยมสาธุชนทุกท่านทุกคนที่ร่วมกันทำบุญเนี่ย เวลาเราทำบุญน่ะ บุญนั้นเป็นของเราจริงๆ ไม่เหมือนกับทรัพย์ภายนอกนะ ทรัพย์ภายนอกนี้บางครั้งบางคราวก็คนโน้นโกงไปคนนี้เอาไป มันเป็นของกลางสำหรับโลก

         นอกจากนั้นบุคคลผู้ที่จะประสบกับความสุข ก็ต้องอาศัยผลบุญนะ บุญนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข เพราะว่าบุญนั้นเป็นชื่อของความสุข จะเป็นความสุขในกามาวจรภพก็ดี จะเป็นความสุขที่เป็นรูปาวจรภพก็ดี จะเป็นความสุขที่เป็นอรูปาวจรภพก็ดี หรือว่าจะเป็นความสุขที่เป็นโลกุตรบุญก็ดี ก็เกิดขึ้นมาจากบุญกุศลทั้งหมดทั้งปวงทั้งสิ้นนะ เพราะฉะนั้น เราประสบกับความสุขก็ดี เราประสบกับความสบายกายสบายใจต่างๆ นั้น เป็นบุญนะ สิ่งที่เรามาทำมาค้าขายมีเงินไห้นองมีทองไหลมา มีลูกหลานว่านอนสอนง่าย เกิดในตระกูลสัมมาทิฏฐิ มีสามีซื่อสัตย์สุจริต มีภรรยาซื่อสัตย์สุจริต มีการค้าการขายไม่ขาดตกบกพร่องอะไรต่างๆ นั้นน่ะ เป็นเพราะอานุภาพของบุญนะ เราได้ทำงานราชการก็ดี เราได้เกิดอยู่ในถิ่นที่มีศีลมีธรรมต่างๆ นี่ก็เพราะบุญทั้งหมดทั้งปวงทั้งสิ้นนะ

         เพราะฉะนั้น บุญที่เราทำต่างๆ จะเป็นบุญในการให้ทาน ในในการสร้างโบสถ์สร้างวิหารสร้างถนนหนทาง ขุดบ่อน้ำ ปลูกต้นไม้อะไรต่างๆ ก็ได้บุญนะ เป็นบุญของเราจริงๆ เพราะฉะนั้น บุญที่เราทำทั้งหลายทั้งปวงนี้ถือว่าเป็นสมบัติภายใน เป็นทรัพย์ของเราจริงๆ ไม่เหมือนกับสมบัติภายนอก สมบัติภายนอกก็ผลัดกันชม เปลี่ยนมืออยู่เรื่อยนะ บางครั้งเคยรวยแล้วก็กลับจน บางคนจนแล้วก็กลับรวยก็มี แต่บุคคลผู้ที่มีบุญมีกุศล องค์สมเด็จพระสัมมาสมเจ้าพระองค์ไม่ตรัสว่าเป็นคนจนนะ พระองค์ทรงตรัสว่าเป็นคนรวย เหมือนนายสุปปพุทธกุฏฐิซึ่งเป็นโรคเรื้อน เวลาจะไปฟังธรรมก็เข้าใกล้เขาไม่ได้ ต้องไปนั่งโน้น สุดท้ายโน่นแหละ เพราะบุคคลผู้เป็นโรคเรื้อนมันก็มีกลิ่นนะ มีน้ำเหลืองไหล มีกลิ่นเหม็น มีกลิ่นคาวต่างๆ จะไปนั่งใกล้คนอื่นเขาก็จะขับไล่เอา ต้องไปนั่งนู่น ท้ายบริษัทท้ายคน คนนั่งสุดตรงไหนก็ต้องไปนั่งต่อคนสุดท้ายนั่นแหละ ขณะที่นั่งฟังธรรมนั้นก็ตั้งใจฟังธรรม พอฟังธรรมแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว พระอินทร์ก็รู้ว่า โอ้ นายสุปปพุทธกุฏฐินี้เป็นโรคเรื้อน เป็นคนจน แต่ฟังธรรมแล้วได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระอินทร์ก็ทดลองว่า พระโสดาบันเนี่ย จะมีคุณสมบัติอย่างไร ก็มาบอกว่า นายสุปปพุทธะ ท่านน่ะเป็นคนจน เป็นโรคเรื้อน ถ้าท่านกล้าพูดว่า พระพุทธเจ้าเนี่ยไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าไม่มี พระธรรมเจ้าไม่ใช่ของเรา พระธรรมนั้นไม่มี พระสงฆเจ้าไม่ใช่ของเรา พระสงฆ์นั้นไม่มี ถ้าท่านกล้าพูดน่ะ ฉันจะให้เงินแก่ท่านให้ทองแก่ท่าน ท่านต้องการเท่าไหร่ก็จะให้แก่ท่าน นายสุปปพุทธะกุฏฐิไม่กล้าพูดนะ เพราะบุคคลผู้บรรลุเป็นพระโสดาบัน มีความศรัทธา มีความเลื่อมใส ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นั้นอย่างไม่หวั่นไหวนะ จิตใจของบุคคลผู้เข้าถึงธรรมคือความเป็นพระโสดาบันนั้นน่ะ จะมองไม่เห็นสิ่งใดที่มีค่ากว่าพระนิพพานนะ มองไม่เห็นทรัพย์สมบัติของมนุษย์ มองไม่เห็นทรัพย์สมบัติของเทวดา มองไม่เห็นทรัพย์สมบัติใดๆ ที่มีอยู่ในโลก ในมนุษย์โลกเทวโลกเนี่ย มันจะสำคัญเท่ากับพระนิพพานนะ เรียกว่ามีจิตใจตรงต่อพระนิพพาน เป็นสัมมาทิฏฐิ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะ ผู้ที่เป็นพระสโสดาบัน

         เพราะฉะนั้น นายสุปปพุทธะนั้นจึงไม่สามารถที่จะว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าไม่มี ไม่กล้าพูด พระธรรมพระสงฆ์ไม่ใช่ของเรา ไม่มีเนี่ย พูดไม่ได้ เพราะว่าจิตใจมันถึงซึ่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ตายก็ยอมตายนะ ถ้าจะให้พูดว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา พระธรรมไม่ใช่ของเรา พระสงฆ์ไม่ใช่ของเรา ให้ตายเสียดีกว่า อะไรทำนองนี้นะ พระอินทร์จึงหายวับไปกราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า นายสุปปพุทธะนี่เป็นคนจน เมื่อได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ข้าพเจ้าเอาเงินไปให้บอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าไม่มี พระธรรมไม่ใช่ของเรา พระธรรมไม่มี พระสงฆ์ไม่ใช่ของเรา พระสงฆ์ไม่มี ข้าพเจ้าจะให้เงินให้ทองขนาดไหนก็ไม่เอา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร บุตรของเรานั้นน่ะไม่ใช่เป็นคนจน บุตรของเรานั้นเป็นคนมั่งมี เป็นคนรวย รวยด้วยอริยทรัพย์ คือ ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา ทรัพย์ ๗ ประการเนี่ย เต็มอยู่ในจิตในใจของพระโสดาบัน

         เพราะฉะนั้น บุคคลรวยหรือบุคคลจนนั้นน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงวัดเอาทรัพย์ภายในนะ ไม่ได้เอาทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายนอกมันเป็นของชั่วคราว เป็นของนิดหน่อย แต่ทรัพย์ภายในที่เราทำนี้เนี่ย ติดตามเราไปทุกภพทุกชาติ ไปไหนไปไหนมันก็ติดตามเราไป สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้เนี่ย จะติดตามเราไปทุกฝีก้าว ลองนึกดูสิ จนกว่าอานิสงส์ของทานมันจะหมดไป จนกว่าอานิสงส์ที่เรารักษาศีลไว้เนี่ยมันจะหมดไป จนกว่าอานิสงส์ของการเจริญภาวนาแผ่เมตตามันจะหมดไป ลองนึกดูสิว่ามันจะนานขนาดไหน

         เหมือนกับต้นไม้นี่แหละ ต้นไม้เนี่ย เราปลูกขึ้นมา ต้นมะม่วงเนี่ย กว่าที่มันจะตายมันนานขนาดไหน บางครั้งคนตายไปแล้วหลายคน ต้นมะม่วงยังไม่ตายนะ บุญเราก็เหมือนกันนั่นแหละ กว่าที่มันจะหมดไปสิ้นไปน่ะมันนานเหลือเกินนะ เหมือนกับเราสร้างเจดีย์นี่แหละ สร้างเจดีย์ไปนี่ บางครั้งเจดีย์อย่างเช่นองค์พระปฐมเจดีย์ก็ดี องค์พระธาตุพนมก็ดีเนี่ย สร้างตั้งแต่นู้นนะ ตามประวัติตามตำนานของพระธาตุพนม สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. ๕ พ.ศ. ๘ โน่น มีพระมหากัสสปะมาสร้างเป็นต้น ประวัติมีมาตั้งแต่โน้นนะ ที่ภูกำพร้าเนี่ย ผู้ใดที่ได้บริจาคสร้างพระธาตุก็ดี ผู้ใดที่ได้สร้างเจดีย์ก็ดีเนี่ย บุญกุศลมันก็เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานะ พระธาตุนั้นก็คงไว้อยู่เท่าทุกวันนี้นะ พระธาตุคงไว้เท่าทุกวันนี้ เราก็คิดว่ามันนานแล้วนะ แต่บุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการสร้างพระธาตุ สร้างคุณงามความดีเนี่ย มันนานกว่านั้นอีกนะ

         เหมือนกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราเนี่ย ในสมัยที่เป็นมหาทุคคตบุรุษ ได้เห็นเขาประกาศว่าการทำบุญกฐินเนี่ยมันมีบุญมากมีอานิสงส์มาก แต่ว่าตนเองเป็นมหาทุคคตบุรุษ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปเสาะแสวงหา ได้เข็มมา ๑ เล่ม ได้ด้ายมา ๑ ม้วน ก็เกิดศรัทธา เกิดความเลื่อมใส ว่าเรานี่จะเอาเข็มนี้แหละจะเอาด้าย ๑ ม้วนนี่แหละ ไปร่วมกับบุญกฐิน เราคงจะได้บุญมากได้อานิสงส์มาก เกิดศรัทธาเกิดความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า ก็เอาเข็มเอาด้าย ๑ ม้วนนั่นแหละ ไปร่วมทอเป็นผ้ากฐิน แล้วก็ตั้งความปรารถนาว่า ด้วยผลบุญที่ข้าพเจ้าได้ถวายเข็ม ๑ เล่ม ได้ถวายด้าย ๑ ม้วนเนี่ย ขอให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลข้างหน้า ตั้งแต่โน้น ตั้งแต่ที่พระองค์ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ จนพระองค์ได้รับลัทธพยากรณ์ จนบุญกุศลที่พระองค์ทรงถวายด้ายถวายเข็มเนี่ยมายังให้พระองค์ได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ลองนึกดูสิว่าบุญที่มันติดตามในจิตในใจของเราเนี่ย มันจะติดตามอยู่ในจิตในใจของเรานานขนาดไหน ตั้งแต่โน้น ตั้งแต่พระองค์ทรงเป็นมหาทุคคตบุรุษ ถวายเข็มถวายด้าย ตั้งแต่ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร นึกอยู่ในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๙ อสงไขยนะ อสงไขยหนึ่ง แปลว่า นับไม่ได้ครั้งหนึ่ง นับไม่ได้ว่ามันกี่ล้านล้านโกฏิ นับไม่ได้ เป็นอสงไขยหนึ่ง นึกอยู่ในใจนั้นแหละว่าอยากจะเป็นพระพุทธเจ้านั้นแหละ ต้องบำเพ็ญบารมีก้าวอสงไขย เมื่อบารมีแก่กล้าแล้วก็ออกปากปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเนี่ย ต้องบำเพ็ญบารมีอีก ๗ อสงไขยนะ เป็น ๑๖ อสงไขยแล้วนะ พระพุทธเจ้าของเราเป็นปัญญาธิกะ เป็นผู้มีปัญญามากนะ เมื่อได้รับลัทธพยากร์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งแล้วเนี่ย ต้องบำเพ็ญบารมีอีก ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บุญกุศลที่พระองค์ทรงทำตั้งแต่ยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์นั่นแหละ ยังติดตามมาถึง ๙ อสงไขย ยังติดตามมาถึง ๗ อสงไขย ยังติดตามมาถึง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป

         เพราะฉะนั้น บุญนั้นจึงเป็นสมบัติที่มั่นคงจริงๆ เป็นสมบัติของคนจริงๆ ผู้ใดมีปัญญา ผู้นั้นพึงสั่งสมบุญนะ สมบัติภายนอกนั้นเป็นของชั่วคราวนะ เป็นสะพานที่จะทำให้เราเข้าถึงบุญ สมบัติภายนอเนี่ยนะ เป็นสะพานที่จะทำให้เราเข้าถึงบุญ เป็นสิ่งที่ให้เราได้ประสบกับบุญ สมบัติภายนอกไม่ใช่บุญนะ แต่เราอาศัยทรัพย์สมบัติภายนอกเนี่ยให้เรานั้นได้ประสบกับบุญ ให้เรานั้นได้ทำบุญ ให้เรานั้นได้มีบุญ เพราะฉะนั้น บุญที่เกิดขึ้นจากทรัพย์ภายนอกเนี่ย จึงเป็นบุญที่ยาวนานเหมือนกับที่ได้กล่าวให้แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นแหละ เมื่อบุญทั้งหลายทั้งปวงที่เราสร้างมาเรื่อยๆ เนี่ย บุญกุศลมันเพิ่มขึ้นๆ เหมือนตุ่มน้ำที่เราวางไว้กลางแจ้งเนี่ย ฝนมันตกลงทีละหยาด ๒ หยาด มันก็เต็มขึ้นมาได้ ถ้ามันตกอยู่บ่อยๆ เหมือนเราทำบุญบ่อยๆ นี่แหละ เหมือนกับเราเดินจงกรมเหมือนกับเรานั่งภาวนานี่แหละ ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมด้วยศรัทธาด้วยความเลื่อมใสด้วยความตั้งใจจริงๆ เนี่ย ปฏิบัติแต่ละปีๆ สภาวะมันไม่เหมือนเดิมนะ มาปฏิบัติกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อในปีแรกเนี่ย เดินจงกรมนั่งภาวนาไปทั้งพรรษานั้นไม่มีอะไรนะ มีแต่ปีติ ปีติเกิดขึ้นมาตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้ายของพรรษานะ เกิดอยู่อย่างงั้นแหละ พอพรรษาที่ ๒ ก็มีแต่สมาธิ นั่งไปมีแต่จิตใจสงบเป็นสมาธิ แต่ไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน พอปีที่ ๓ วิปัสสนาญาณมันเกิดขึ้นมา โอ้ มรรคผลพระนิพพานมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ปีที่ ๔ เราปฏิบัติธรรมมันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ปีที่ ๕ เราปฏิบัติธรรมก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ปีที่ ๖ เราปฏิบัติธรรมก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ปีที่ ๗ เราปฏิบัติธรรมก็เป็นอีกแบบหนึ่งนะ แต่ละๆ สภาวธรรมมันไม่เหมือนกันนะ เพราะอะไรมันจึงเป็นอย่างนั้น เพราะเราทำอยู่เรื่อยๆ ทำอยู่เนืองๆ บุญกุศลมันก็เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ บุญกุศลมันก็สั่งสมไปเรื่อยๆ มันไม่เหมือนเดิมนะ สภาวธรรมต่างๆ

หน้า:  [1] 2 3 ... 63
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.367 วินาที กับ 24 คำสั่ง

Google visited last this page 12 กรกฎาคม 2568 07:22:52