[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
30 เมษายน 2567 02:12:44 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 [2] 3 4 ... 45
21  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:18:33
บุพกรรมของพระอัครสาวก

โดย  หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

สำหรับวันนี้  ก็จะขอนำเอาบุพกรรมของพระอัครสาวกมาเล่าสู่กันฟัง  ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า  ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า  “พระอัครสาวกทั้งสอง  ได้ทำกรรมอะไรไว้พระเจ้าข้า”

องค์สมเด็จพระชินสีห์จึงได้ตรัสว่า  “อัครสาวกทั้งสองทำความปรารถนาไว้พื่อเป็นอัครสาวก”

พระองค์ทรงกล่าวว่า  ในที่สุดแห่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปนี้ไป  พระสารีบุตรเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล  มีนามว่า  สรทมาณพ  พระโมคคัลลานะ เกิดในตระกูลคหบีมหาศาล  มีนามว่า  สิริวัฑฒกฎุมพี  มาณพทั้งสองนั้นได้เป็นสหายเล่นฝุ่นมาด้วยกัน  สรทมาณพ  เมื่อบิดาตายแล้วได้ครอบครองทรัพย์สมบัติเป็นอันมาก  อันเป็นมรดกของตระกูล

ในวันหนึ่งอยู่ในที่ลับตา  คิดว่า  เราย่อมรู้อัตภาพโลกนี้เท่านั้น  หารู้จักอัตภาพโลกหน้าไม่  (หมายความว่า  ชาตินี้เราเกิดเป็นคน  แต่ชาติหน้าเราจะเกิดเป็นอะไรนี่เราไม่รู้)

อันธรรมดาความตายของสัตว์เกิดแล้วย่อมเป็นของเที่ยง  (หมายความว่าสัตว์ทุกคนที่เกิดมาแล้วในโลก  ต้องตายเหมือนกันหมด  ไม่มีใครหนีได้)  ควรที่เราจะบวชเป็นบรรพชิตอย่างใดอย่างหนึ่ง  ทำการแสวงหาโมกขธรรม

คำว่า โมกขธรรม  แปลว่า  ธรรมเป็นเครื่องพ้นแห่งความตาย

สรทมาณพนั้นเข้าไปหาสหายแล้วพูดว่า  “สิริวัฑฒะผู้สหาย  ข้าพเจ้าจักบวชแสวงหาโมกขธรรม  ท่านจักบวชกับเราหรือไม่  หรือว่าไม่อาจจักบวช”

ท่านสิริวัฑฒะก็ตอบว่า  “ข้าพเจ้าจักไม่อาจ  สหาย  ท่านบวชคนเดียวเถิด”

สรทมาณพนั้นคิดว่า  ธรรมดาผู้ไปสู่ปรโลก  จะพาสหายหรือญาติมิตรไปด้วยได้ ไม่มี

นี่หมายความถึงว่า  คนเราน่ะจะรักกันขนาดไหนก็ตาม  เวลาตายไม่สามารถจะพาใครเขาตายไปพร้อมกันได้  คนที่บอกว่ารักเรามากที่สุดน่ะ  ความจริงเวลาเราตายเขาไม่ได้ตายไปด้วย  เราตายของเราคนเดียว

ท่านคิดต่อไปว่า  กรรมที่ตนทำแล้วย่อมเป็นของตนเอง  ดังนั้น  ท่านสรทมาณพจึงไปเปิดเรือนคลังแก้วออกให้ทานเป็นการใหญ่  แก่คนกำพร้า คนเดินทาง และวณิพก คือคนยากจนเข็ญใจทั้งหลาย  แล้วเข้าไปสู่เชิงเขา  บวชเป็นฤาษี  บรรดาชนทั้งหลายที่มีความรักในท่าน  บวชตามท่านสรทะนั้นด้วยอาการอย่างนี้คือ  หนึ่งคน  สองคน  สามคน  จนกระทั่งมีชฎิลประมาณเจ็ดหมื่นสี่พันคน

สรทชฎิลหรือสรทดาบส (ท่านใช้นามว่าชฎิลนะ)  ทำอภิญญา 5  และสมาบัติ 8 ให้เกิดแล้ว  บอกกสิณบริกรรมแก่ชฎิลทั้งหลายเหล่านั้น  บรรดาชฎิลที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายทั้งหมดก็ทำอภิญญา 5  และสมาบัติ  8  ให้เกิดขึ้น

ท่านกล่าวต่อไปว่า  ในสมัยนั้นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี  เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก  ในนครที่มีชื่อว่า จันทวดี  มีพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า ยสวันตะ  เป็นพระราชบิดา  พระราชเทวีมีนามว่า ยโสธรา  เป็นพระราชมารดา  มีไม้รกฟ้า เป็นที่ตรัสรู้  (ต้นไม้ เดิมเขาเรียกว่าต้นไม้รกฟ้า  แต่พอตรัสรู้ ที่ตรงนั้นเขาเรียกว่า ต้นโพธิ์  เหมือนกัน  โพธิ  แปลว่า รู้)

มีพระอัครสาวกทั้งสอง ชื่อ นิสภะ  และ อโนมะ  อุปัฏฐากชื่อว่า  วรุณะ  อัครสาวิกาเป็นอัครสาวกซ้ายขวาเหมือนกัน มีนามว่า สุมนา และ สุนทรา (อัครสาวิกา หมายความว่าภิกษุณี คือพระผู้หญิงน่ะ)  พระชนมายุพระองค์มีแสนปี  พระสรีระนั้นสูงถึง 58 ศอก  พระรัศมีแห่งพระสรีระแผ่ไปได้ 12 โยชน์  มีภิกษุแสนหนึ่งเป็นบริวาร

วันหนึ่ง  เวลาใกล้รุ่ง  พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี นั้นเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติ

หมายความว่า  ตอนเช้ามืด พระพุทธเจ้าย่อมเข้าสมาบัติ  อันหนึ่งที่เราเรียกกันว่า  พระพุทธญาณ  เป็นญาณเฉพาะของพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ  พระสาวกหรืออัครสาวกไม่สามารถจะทำได้  พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์  ทำอย่างนี้เหมือนกันหมด

ทรงพิจารณาดูสัตว์ในโลกอยู่แล้ว  ก็ทอดพระเนตรเห็นสรทดาบส  แล้วทรงมีพระพุทธดำริว่า  “เพราะเราไปสู่สำนักสรทดาบสในวันนี้  จะเป็นปัจจัยให้เธอได้ฟังพระธรรมเทศนา  จักมีคุณใหญ่  และสรทดาบสนั้นจะปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวก  สิริวัฑฒกฎุมพีผู้สหายดาบสนั้น  จักปรารถนาตำแหน่งพระอัครสาวกที่สอง  (หมายความว่าอัครสาวกเบื้องซ้าย)  ทั้งในการเทศนาชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พันบริวารของดาบสนั้น  จักบรรลุอรหันต์  เราควรไปที่นั้น”

เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว  จึงได้ถือบาตรและจีวรของพระองค์  ไม่ตรัสเรียกใครอื่น  เสด็จไปแต่พระองค์เดียวเหมือนพญาราชสีห์  เมื่ออันเตวาสิกทั้งหลายของสรทดาบสไปแล้วเพื่อต้องการผลาผล  ทรงอธิษฐานว่า  “ขอสรทดาบสจงทราบความที่เราเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อสรทดาบสเห็นอยู่นั่นแหละ”  และก็ทรงเสด็จลงจากอากาศประทับยืนบนแผ่นดิน

ขณะนั้น  ท่านสรทดาบสเห็นพระพุทธานุภาพและความสำเร็จแห่งสรีระ  สอบสวนมนต์สำหรับทำนายลักษณะก็ทราบว่า  อันผู้ประกอบลักษณะอย่างนี้  เมื่ออยู่ในท่ามกลางเรือน  ย่อมเป็นพระเจ้าจักพรรดิ  เมื่อออกบวชก็จะต้องเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า  มีกิเลสเครื่องมุงบังอันเปิดแล้วในโลก (คำว่าเปิดแล้ว  หมายความว่าหมดไป)  บุรุษนี้จักเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย   จึงทำการต้อนรับถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์  ได้จัดอาสนะถวายแล้ว  พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้  สรทดาบสนั่งในที่อันตนเห็นสมควร  คือต่ำกว่าในส่วนข้างหน้า

ในสมัยนั้น  บรรดาชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พัน  ถือผลไม้ต่าง ๆ  อันประณีต  มีรสอันโอชะ มาถึงสำนักของอาจารย์  แลดูอาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับและอาจารย์นั่งแล้ว  จึงได้พูดขึ้นว่า  “ท่านอาจารย์  พวกผมเที่ยวไปด้วยเข้าใจว่า  ในโลกนี้ ผู้เป็นใหญ่กว่าอาจารย์ย่อมไม่มี  และบุรุษผู้นี้เห็นจะเป็นใหญ่กว่าอาจารย์กระมังขอรับ”

ท่านสรทดาบสก็ตอบว่า  “พ่อทั้งหลาย  พวกเจ้าพูดอะไร  พวกเจ้าปรารถนาเพื่อทำเขาสิเนรุซึ่งสูง 68 แสนโยชน์ให้เสมอกับเมล็ดพันธุ์ผักกาดกระนั้นหรือ”

นี่ท่านหมายความว่า  ตัวท่านน่ะเหมือนกับเมล็ดพันธุ์ผักกาด  แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคมีอานุภาพเหมือนกับเขาพระสุเมรุสูง 68 แสนโยชน์

ท่านจึงกล่าวว่า  “ลูกทั้งหลาย  พวกเจ้าอย่าทำการเปรียบเทียบเรากับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย”  ครั้งนั้นดาบสเหล่านั้นคิดว่า  “ถ้าบุรุษผู้นี้จักเป็นคนเล็กน้อยแล้วไซร้  ท่านอาจารย์ของพวกเราคงไม่ชักสิ่งเหล่านี้มาอุปมา  บุรุษผู้นี้จักเป็นใหญ่เพียงไรหนอ”  เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว  เขาทั้งหมดนั่นแหละหมอบลงแทบพระบาททั้งสอง  ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้า

ครั้งนั้น พระอาจารย์กล่าวกับดาบสเหล่านั้นว่า  “ไทยธรรมที่สมควรแก่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราไม่มี  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จมาในเวลานี้  เป็นเวลาภิกขาจาร (คือเป็นเวลาบิณฑบาต)  พวกเราจักถวายไทยธรรมตามสติตามกำลัง  พวกเราจงนำผลไม้อันประณีตมีรสอร่อยที่สุดที่มีอยู่มาถวายเถิด”  ครั้นนำมาแล้ว  ล้างมือทั้งสองแล้ว  ตั้งไว้ในบาตรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยตนเอง

เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับผลไม้แล้ว  บรรดาเทวดาทั้งหลายก็โปรยโอชะอันเป็นทิพย์ลง  ดาบสนั้นได้กรองน้ำถวายด้วยตนเอง

เห็นไหม  เทวดาย่องผสมเขาเสมอ  เวลาที่ใครเขาถวายทานแก่พระพุทธเจ้า  เทวดาท่านก็ย่อง ๆ เอาของทิพย์มาโปรยให้เสมอ  เป็นอันว่าทำบุญร่วมกัน

ตอนนั้น  เมื่อองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาทรงประทับทำภัตกิจ (คือฉัน) แล้ว  ดาบสนั้นเรียกอันเตวาสิกทั้งสิ้นมานั่ง  กล่าวสาราณียกถา ใกล้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

สาราณียกถา คือ ชม  จะไปนั่งกล่าวบนศาลาไม่ใช่อย่างนั้นนะ  ชมเชยความดีของพระพุทธเจ้า

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดำริว่า  “ขออัครสาวกทั้งสองจงมาพร้อมด้วยบรรดาพระภิกษุสงฆ์”

พระอัครสาวกทั้งสองนั้น  ทราบดำริขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า อโนมทัสสีแล้ว  บรรดาพระขีณาสพหรือพระอรหันต์แสนรูปเป็นบริวาร  ก็มาถวายบังคมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้ยืนอยู่   ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ลำดับนั้น  สรทดาบสเรียกอันเตวาสิกคือลูกศิษย์ทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า “พ่อทั้งหลาย  แม้อาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งต่ำ  ซ้ำอาสนะสำหรับสมณะตั้งแสนก็ไม่มี พวกเจ้าควรทำพุทธสัการะให้โอฬารในวันนี้  จงนำดอกไม้ทั้งหลายที่ถึงพร้อมไปด้วยสีและกลิ่นมาแต่งเชิงเขา”

เวลาที่พูดดูเหมือนกับเนิ่นช้า  แต่ความจริงเรื่องผู้มีฤทธิ์แผลบเดียวก็ได้  จำให้ดีนะ  เพราะเรื่องของท่านมีฤทธิ์  คนอื่นที่ไม่มีฤทธิ์อย่าเข้าไปคิด  คิดแล้วเป็นบ้า เป็นอจินไตย  เวลานี้ มักจะชอบคิดกันวิจารณ์กัน  ทั้งที่ตนเองแม้แต่ศีล 5 ก็ไม่ครบ  บางคนหาศีลไม่ได้เลย  ก็ยังไม่คิดเปรียบเทียบอารมณ์ของตนกับท่านผู้มีฤทธิ์นี่น่าสงสาร

เพราะฉะนั้น  โดยการเพียงครู่เดียวเท่านั้น  บรรดาบุตรทั้งหลายเหล่านั้นก็นำดอกไม้ทั้งหลายที่ถึงพร้อมไปด้วยสีและกลิ่นมา  แล้วตบแต่งอาสนะดอกไม้สำหรับพระพุทธเจ้า  ประมาณได้หนึ่งโยชน์  สำหรับพระอัครสาวกทั้งสองประมาณ 3 คาวุธ ( 1 คาวุธ เท่ากับ 100 เส้น  โยชน์หนึ่งเท่ากับ 400 เส้น)  สำหรับภิกษุที่เหลือ ประมาณแตกต่างกัน มีประมาณครึ่งโยชน์เป็นต้น  สำหรับภิกษุใหม่ประมาณ  2  อุสุภะ  (อุสุภะหนึ่งยาว 25 วา)  ใคร ๆ ไม่พึงคิดว่าในอาศรมแห่งเดียวจะตกแต่งอาสนะใหญ่โตเพียงนั้นได้อย่างไร

เรื่องของผู้มีฤทธิ์น่ะมันได้ทั้งนั้นแหละ  อย่างขวดเล็ก ๆ ลูกเดียว  บรรดาพระอรหันต์แสนองค์สามารถอยู่ในนั้นพร้อมกันได้ถ้าทรงอภิญญา  หรือว่าไม่เป็นพระอรหันต์ แต่เป็นพระผู้ทรงอภิญญาก็สามารถอยู่ได้

เมื่อตกแต่งอาสนะเสร็จแล้วอย่างนั้น  ท่านสรทดาบสก็ยืนประคองอัญชลี  (คือพนมมือ)  เบื้องพระพักตร์  กราบทูลว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ขอพระองค์ทรงเสด็จขึ้นสู่อาสนะดอกไม้  เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด พระเจ้าข้า”

ตอนนี้มีภาษิตอยู่ตอนหนึ่ง  ขอกล่าวตามพระบาลีว่า  เพราะเหตุนั้นโบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า  สรทดาบสเอาดอกไม้ต่าง ๆ  และของหอมรวมด้วยกัน  ตกแต่งอาสนะดอกไม้ไว้แล้ว  ได้กราบทูลองค์สมเด็จพระประทีปแก้วว่า

“ข้าแต่พระวีระ  อาสนะที่ข้าพระองค์ตกแต่งแล้วนี้  สมควรแด่พระองค์  พระองค์เมื่อจะยังจิตของข้าพระองค์ให้เลื่อมใสแล้ว  ขอจงประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้  พระพุทธเจ้าได้ทรงยังจิตของข้าพระองค์ให้เลื่อมใสแล้ว  ยังโลกนี้และเทวโลกให้ร่าเริงแล้ว  ขอจงประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ตลอด 7 วัน 7 คืน”

เอาเข้าแล้ว  นี่ท่านให้พระพุทธเจ้าประทับนั่ง 7 วัน 7 คืน  คงจะนอนด้วยกระมัง  แต่ว่าไม่ได้นะ  ท่านดาบสพวกนี้ท่านได้อภิญญา 5  ท่านทรงสมาบัติ 8  ไอ้เรื่องนั่งเฉย ๆ นอนเฉย ๆ 7 วัน 7 คืน  น่ะมันเรื่องเล็ก ๆ  จะว่ากัน 70 วัน 70 เดือน 70 ปี ก็ยังได้  มันเป็นของไม่ยาก  ถ้าไม่มั่นใจละก็ ลองกันดูก็ได้

ทุกท่าน ถ้าไม่เชื่อว่าคำที่พูดนี้เป็นไปได้  จงทำอภิญญา 5  ให้ปรากฎ  แล้วก็ทรงสมาบัติ 8 ให้ปรากฎ  จะเห็นว่าที่พูดว่า 7 ปี 7 เดือน 7 วัน นี่มันยังเล็ก  ท่านคงคิดว่าน่าจะพูด 700 ปี 700 เดือน 700 วัน  หรือ 7,000 ปี  7,000 เดือน 7,000 วัน  ถ้าตั้งจิตอธิษฐานด้วยอำนาจของอภิญญา 5 หรือสมาบัติ 8 มันเป็นของเล็กจริง ๆ  เอ้า คุยกันต่อไป

เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับนั่งแล้ว  พระอัครสาวกทั้งสอง  และภิกษุที่เหลือก็นั่งแล้วอยู่บนอาสนะที่สมควรแก่ตน  ท่านสรทดาบสได้ถือฉัตรดอกไม้ใหญ่  ยืนกั้นเหนือศรีษะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และพระพุทธองค์ได้ทรงอธิษฐานว่า  “ขอสักการะของชฎิลนี้จงมีผลใหญ่”

นี่เป็นคำครอบ  พระจำให้ดีนะ  กินของเขาแล้วอย่ากินเปล่า  รับของของเขาแล้วอย่ารับเปล่า  ทำจิตให้บริสุทธิ์  ตั้งจิตอธิษฐานอย่างนี้  เอาง่าย ๆ  เอาเหมือนพระพุทธเจ้าแล้วกันว่า  “ขอสักการะของท่านผู้นี้ที่สงเคราะห์แก่เราแล้วจงมีผลใหญ่”  เท่านี้พอ

เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว  ก็ทรงเข้า นิโรธสมาบัติ  อัครสาวกทั้งสองก็ดี  ภิกษุที่เหลือก็ดี   ทราบว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์เข้านิโรธสมาบัติแล้ว  ก็เข้าสมาบัติบ้าง  คือ ผลสมาบัติ  (อภิญญาผลสมาบัตินะ  เพราะท่านได้อภิญญา)

ส่วนพวกอันเตวาสิก  เมื่อถึงเวลาเที่ยวไปภิกษาบริโภคมูลผลาผลในป่าแล้ว  ก็ยืนประคองอัญชลี  แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย   ตลอดเวลาที่เหลือ   (หมายความว่า  เวลาที่กินอะไรเสร็จก็มายืนไหว้พระพุทธเจ้าตลอด 7 วันเหมือนกัน)

สำหรับพระอาจารย์ไม่ยอมฉันอาหาร  กั้นฉัตรดอกไม้อยู่อย่างนั้นแหละ  ให้เวลาล่วงไปโดยที่มีปีติ คือความอิ่มใจ  แล้วก็สุขตลอด 7 วัน

เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา  เสด็จออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว  ตรัสเรียกพระนิสภเถระ  พระอัครสาวกผู้นั่งข้างขวา  ด้วยรับสั่งว่า  “นิสภะ  เธอจงทำโมทนาอาสนะดอกไม้  แด่บรรดาดาบสทั้งหลายผู้ทำสักการะ”

พระเถระมีใจยินดีประดุจหนึ่งแม่ทัพใหญ่  ประสพลาภใหญ่จากสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิราช  ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณ  จึงเริ่มอนุโมทนาอาสนะดอกไม้

ในที่สุดแห่งเทศนาของพระนิสภะเถระนั้น  สมเด็จพระภควันต์ได้ตรัสเรียกพระสาวกองค์ที่สองด้วยรับสั่งว่า  “ภิกขเว  ดูกร ภิกษุทั้งหลาย  แม้เธอจงแสดงธรรม”

พระอโนมเถระ  เป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย  ได้พิจารณาพระพุทธวจนะคือพระไตรปิฎกแล้วก็กล่าวธรรม  ด้วยพระธรรมเทศนาของพระอัครสาวกทั้งสอง  การตรัสรู้มิได้มีแก่บรรดาดาบสแม้แต่รูปใดรูปหนึ่ง  เพราะว่าบรรดาดาบสทั้งหมดนี้เป็นผู้ได้อภิญญาและสมาบัติ 8  ฟังเทศน์จากพระอัครสาวกทั้งสองแล้ว  แทนที่จะบรรลุมรรคผลกลับไม่ได้บรรลุมรรคผล  ทั้งนี้เพราะอะไร  เพราะว่าเป็นดาบสที่มีกำลังใหญ่  และก็ต้องเป็นดาบสที่เป็นวิสัยขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาจะทรงสงเคราะห์เอง  จึงจะมีมรรคมีผล

ครั้นองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดา  ตั้งอยู่ในพุทธวิสัยไม่มีปริมาณ (คำว่า พุทธวิสัย  คือวิสัยของพระพุทธเจ้าซึ่งหาประมาณมิได้  มากมายเหลือเกิน)  จึงได้เริ่มแสดงพระธรรมเทศนา  ในกาลจบพระธรรมเทศนา  บรรดาชฎิลเจ็ดหมื่นสี่พัน (ยกเว้นท่านสรทดาบส)  บรรลุอรหันต์ทั้งหมด

องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงเหยียดพระหัตถ์แล้วตรัสว่า  “เธอทั้งหลาย จงเป็นภิกษุมาเถิด”  ทันใดนั้นเอง  ผมและหนวดของบรรดาชฎิลก็อันตรธานไป  บริขาร 8 ที่สำเร็จไปด้วยฤทธิ์ก็ลงมาสวมกายของพระพวกนั้น

ตามบาลีท่านกล่าวว่า  มีคำถามสอดเข้ามาว่า  “เพราะเหตุไร สรทดาบสจึงไม่บรรลุอรหันต์”  ความจริงท่านน่าจะบรรลุอรหันต์เพราะตั้งใจบวชด้วยดี  ตาพระบาลีท่านแก้ว่า  “เพราะความที่เป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน  จึงไม่ได้อรหัตผล”

ตามพระบาลีกล่าวต่อไปอีกว่า  จำเดิมแต่กาลที่ท่านสรทดาบสนั้นเริ่มฟังพระธรรมเทศนาของอัครสาวก  ผู้นั่งบนอาสนะที่สองแห่งพระพุทธเจ้า  ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณแสดงธรรมอยู่  เกิดความคิดขึ้นมาว่า  “โอหนอ  แม้เราได้รับธุระที่พระสาวกรูปนี้ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้จะบังเกิดในอนาคต”

นี่หมายความว่า  พอฟังเทศน์ของพระอัครสาวกแล้ว  ท่านก็คิดว่า  เรานี่อยากจะเป็นอัครสาวกบ้าง  ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเกิดขึ้นในโลกในกาลต่อไป  เราต้องการเป็นอัครสาวก

อย่างนี้ถือว่าเป็นอธิษฐานบารมี  ตามพระบาลีท่านบอกว่า  จิตฟุ้งซ่าน  ก็หมายความว่า  ซ่านด้วยการฟังแล้วไม่คิดตาม  เพราะว่าเห็นว่าท่านเป็นอัครสาวกมีศักดาใหญ่  ที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงให้โอกาสแสดงพระธรรมเทศนาก่อน  จึงเห็นว่า  งานนี้เป็นงานเด่นมาก  เราอยากจะเป็นบ้าง  ฟังไปแล้วก็คิดไป  เลยไม่ได้บรรลุมรรคบรรลุผล

บาลีท่านว่าต่อไปว่า  เพราะอาศัยความปริวิตกอย่างนั้น  สรทดาบสจึงไม่มีโอกาสที่จะถึงทำการแทงตลอดมรรคผลได้

หมายความว่า  เวลาฟังไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณา  ฟังแล้วก็คิดว่าเราอยากจะเป็นอัครสาวก  ถ้าใช้ปัญญาพิจารณาอย่างบรรดาลูกศิษย์ของท่าน  ท่านก็จะได้เป็นอรหันต์และเป็นไม่ยากด้วย  เพราะมีกำลังแรงกล้ากว่าคนอื่น

ท่านจึงยืนถวายบังคม  องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาแล้วในที่เฉพาะพระพักตร์  ได้กราบทูลว่า  “ภันเต ภควา  ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า  ภิกษุที่นั่งบนอาสนะลำดับพระองค์ชื่อว่าอะไรขอรับ”

สมเด็จพระจอมไตรทรงพระนามว่าอโนมทัสสี  จึงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า  “ภิกษุผู้ยังธรรมจักรอันเราให้เป็นไปแล้ว  ให้เป็นไปตามนั้น  บรรลุที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ  แทงตลอดปัญญา 16 อย่างตั้งอยู่ผู้นี้  ชื่อ่าอัครสาวกในศาสนาของเรา”  (อัคร แปลว่า ผู้เลิศ  เป็นสาวกผู้เลิศกว่าสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระองค์)

ท่านจึงได้ทำความปรารถนาว่า  “ด้วยผลแห่งสักการะของข้าพระองค์  ตั้งฉัตรดอกไม้ทำแล้วตลอด 7 วันนี้  ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะ (คือพระอินทร์)  หรือว่าต้องการจะเป็นพรหม  แต่ว่าข้าพระองค์ขอพึงเป็นอัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาล  เหมือนพระนิสภเถระองค์นี้”  เห็นไหมล่ะ  ท่านตั้งใจจะเป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง  แต่พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี ท่านมีเสียแล้วนี่  ก็ต้องรอต่อไป

องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี  เมื่อสดับถ้อยคำของสรทดาบสดังนี้  จึงได้พิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณ  ทรงพิจารณาว่า  ความปรารถนาของบุรุษจักสำเร็จหรือไม่หนอ   พระองค์ทรงเห็นว่าผ่านไป  1 อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปแล้วจะได้สำเร็จ ครั้นทรงเห็นแล้ว  จึงตรัสกับสรทดาบสว่า

“ความปรารถนาของท่านนี้จักไม่เปล่าประโยชน์     เพราะว่าในอนาคตล่วงไป1 อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป  พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า  พระสมณโคดม  จะทรงอุบัติขึ้นในโลก  พระมารดาของพระองค์จักมีพระนามว่า  มหามายาเทวี  พระพุทธบิดาของพระองค์จะมีพระนามว่า  สุทโธทนมหาราช  พระโอรสจะมีพระนามว่า ราหุล  พระผู้อุปัฏฐากจะมีพระนามว่า  อานนท์  พระสาวกที่สองคืออัครสาวก  จักมีพระนามว่า  โมคคัลลานะ  ส่วนตัวท่านจะเป็นอัครสาวกของพระองค์นามว่า  ธรรมเสนาบดีสารีบุตร

ครั้นทรงพยากรณ์ดาบสนั้นแล้ว  ตรัสธรรมกถา  มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้วเหาะไป

เป็นอันว่า  คำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระจอมไตรทรงบอกละเอียด  รู้ละเอียด  ญาณนี้จะมีเฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ฝ่ายสรทดาบสได้ไปยังสำนักของพระเถระผู้เป็นอันเตวาสิก  แล้วกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ  ขอท่านทั้งหลายจงบอกแก่สหายของข้าพเจ้าว่า  สรทดาบสผู้สหายของท่าน ได้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า  พระสมณโคดม  ซึ่งจะทรงอุบัติขึ้นในอนาคตกาล  แทบบาทมูลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า อโนมทัสสีแล้ว  ท่านจงปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่สองเถิด”

ท่านบอกแก่บรรดาพระที่เป็นอรหันต์ที่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่าน ให้ไปบอกเพื่อน  แต่ท่านเองก็ไปเหมือนกัน  ไปแล้วได้ยืนอยู่ที่ประตูเรือนของสิริวัฑฒะ

สิริวัฑฒะได้กล่าวว่า  “นานนักหนอพระคุณเจ้าของเราจึงมา”  จึงได้นิมนต์ให้นั่งบนอาสนะ  ตนนั่งบนอาสนะต่ำกว่า  แล้วเรียนถามว่า  “ทำไมอันเตวาสิก บริษัทของพระคุณเจ้าทั้งหลายจึงหายไปแล้วเจ้าข้า”

สรทดาบสจึงได้กล่าวว่า  “พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าอโนมทัสสีเสด็จมายังอาศรมเป็นวันที่เจ็ด  แล้วก็เพิ่งเสด็จกลับวันนี้  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมา  เราทำการสักการะแล้ว  สมเด็จพระประทีปแก้วแสดงพระธรรมเทศนาโปรด  ในเวลาที่จบพระธรรมเทศนา เว้นข้าพเจ้าคนเดียว  นอกจากนั้นบรรลุอรหันต์ทั้งหมด  และก็บวชเสียแล้ว  ข้าพเจ้าเห็นพระนิสภเถระ  อัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  จึงมีความปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้า  มีนามว่า “พระสมณโคดม”  ซึ่งจะอุบัติขึ้นในโลกในอนาคตกาล  แม้เธอก็จงตั้งความปรารถนาในตำแหน่งอัครสาวกที่สอง  ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นั้นเหมือนกัน  เพราะเราเป็นเพื่อนกัน”

ท่านสิริวัฑฒะจึงกล่าวว่า  “ข้าพเจ้าไม่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเสียเลย  จะทำยังไงล่ะขอรับ”

ท่านสรทะจึงกล่าวว่า  “เรื่องที่จะทูลกับพระพุทธเจ้าเป็นภาระของข้าพเจ้าเอง  ขอท่านจงจัดสักการะที่ยิ่งใหญ่ไว้เถอะ”

ท่านสิริวัฑฒะฟังคำของดาบสผู้ป็นสหายแล้ว  ได้ทำสถานที่มีประมาณ 8 กรีส (1 กรีสเท่ากับ 125 ศอก  หรือว่า 1 เส้นกับ 11 วา  กับอีก 1 ศอก)  ท่านกล่าวว่า  ได้ทำสถานที่ประมาณ 8 กรีส โดยมาตราหลวง  ที่ประตูเรือนของตนให้มีพื้นที่เสมอกัน  แล้วเกลี่ยทรายโปรยดอกไม้ และทำมณฑปมุงไปด้วยดอกอุบลสีเขียว (ดอกบัวสีเขียว)  ตกแต่งพุทธอาสน์  จัดอาสนะบรรดาภิกษุทั้งหลายผู้เป็นบริวาร  จัดสักการะและเครื่องต้อนรับไว้เป็นอันมาก  ได้ให้สัญญาแก่ท่านสรทดาบสเพื่อประโยชน์แห่งการนิมนต์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  มีพระนามว่าอโนมทัสสี

สำหรับพระดาบส  ได้พาภิกษุสงฆ์โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไปที่อยู่ของสิริวัฑฒกฎุมพีแล้ว  สิริวัฑฒกฎุมพีทำการต้อนรับ  รับบาตรจากพระหัตถ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  เชิญเสด็จให้เข้าไปสู่มณฑป   ถวายน้ำทักษิโณทก (น้ำฉัน) แก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย  มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  ซึ่งนั่งบนอาสนะที่ตกแต่งไว้  ได้ถวายโภชนะอันประณีต

ในเวลาที่เสร็จภัตกิจ  นิมนต์ภิกษุสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข  ครองผ้าอันมีค่ามากแล้ว  จึงได้กราบทูลว่า  “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ความริเริ่มนี้มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ตำแหน่งมีประมาณน้อย  ขอพระองค์จงทำความอนุเคราะห์โดยทำนองนี้  สิ้นเวลา 7 วัน”

องค์สมเด็จพระภควันต์ทรงรับแล้ว เขายังมหาทานให้เป็นไป  โดยทำนองนั้นแหละตลอด 7 วัน  ถวายบังคมองค์สมเด็จพระภควันต์ยืนประคองอัญชลี  กราบทูลว่า  “พระพุทธเจ้าข้า  สรทดาบส สหายของข้าพระองค์ปรารถนาว่า  เราพึงเป็นอัครสาวกเบื้องขวาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใด  ข้าพระองค์พึงเป็นอัครสาวกองค์ที่สอง  คือเบื้องซ้ายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเหมือนกัน”

สมเด็จพระภควันต์ทรงพิจารณาถึงอนาคตกาล  ทรงเห็นภาวะคือความสำเร็จแห่งความปรารถนาของเขา   จึงได้ทรงพยากรณ์ว่า  “แต่นี้ล่วงไป 1 อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป  แม้ท่านก็จักได้เป็นอัครสาวกองค์ที่สองขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงพระนามว่า  พระสมณโคดม”

ท่านสิริวัฑฒะฟังคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว  ได้เป็นผู้มีความร่าเริงบันเทิงใจ  แม้องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงทำภัตตานุโมทนา  พร้อมด้วยบริวารเสด็จไปยังวิหาร

คำว่า ภัตตานุโมทนา  ก็หมายความว่า  อนุโมทนาในอานิสงส์ของการถวายทานแล้ว

เป็นอันว่าเมื่อกล่าวเรื่องนี้จบ  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงกล่าวแก่บรรดาภิกษุทั้งหลายว่า  “ก็บุตรของเราคือ โมคคัลลาน์และสารีบุตร  เขาตั้งความปรารถนาเป็นอัครสาวกตั้งแต่สมัยนั้น  ฉะนั้น  เมื่อถึงเวลาแล้ว  เราจึงได้ตั้งท่านทั้สองเป็นอัครสาวก  จะถือว่าการแต่งตั้งนี้เป็นการเลือกหน้าซึ่งกันก็หาไม่  เพราะเป็นการแต่งตั้งตามความปรารถนาเพื่อตนของตนได้บำเพ็ญไว้แล้ว ได้ตั้งใจแล้ว”

เป็นอันว่า  เรื่องบุพกรรมของพระอัครสาวกทั้งสองก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้  ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล  จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน

http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CD%D1%A4%C3%CA%D2%C7%A1&getarticle=155&keyword=&catid=3-


http://kaskaew.com/index.asp?contentID=10000004&title=%BA%D8%BE%A1%C3%C3%C1%A2%CD%A7%BE%C3%D0%CD%D1%A4%C3%CA%D2%C7%A1&getarticle=155&keyword=&catid=3


.
22  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:17:40
บุพกรรมของพระพุทธองค์

โพสโดย คนธรรมะ

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-


๑๑. เรื่อง ด่า แช่งผู้อื่นไว้อย่างไร ก็ได้รับผลอย่างนั้น
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
เราเมื่อครั้งเกิดเป็นคนสามัญ ได้ด่า แช่งเหล่าสาวกในศาสนาของพุทธเจ้า พระนามว่าผุสสะด้วยคำว่า ท่านทั้งหลายจงขบเคี้ยว จงฉันแต่ข้าวเหนียว อย่าได้ฉันข้าวสาลีเลย ด้วยผลกรรมนั้น เรารับนิมนต์พราหมณ์ อยู่จำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา ได้ฉันแต่ข้าวเหนียว ตลอด ๓ เดือน
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธองค์รับคำของเวรัญชพราหมณ์ว่าจะอยู่จำพรรษาแล้ว สมัยนั้นเมืองเวรัญชาเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนมีความเป็นอยู่แร้นแค้น ใช้สลากปันส่วนซื้ออาหาร ล้มตายกันกระดูกขาวเกลื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ ต่อมา พวกพ่อค้าม้าชาวเมืองอุตตราบถ มีม้าอยู่ประมาณ ๕๐๐ ตัว เข้าพักแรมช่วงฤดูฝนในเมืองเวรัญชา พวกเขาตระเตรียมข้าวนึ่ง (ข้าวสารเหนียวที่เอาแกลบออกแล้วนึ่งเก็บไว้ จะเรียกว่าข้าวตาก ก็ได้ พวกพ่อค้านิยมนำติดตัวไป ในเวลาเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง เพื่อเป็นอาหารม้าในถิ่นที่อาหารม้าหายาก) เพื่อถวายพระภิกษุรูปละประมาณ ๑ ทะนานไว้ที่คอกม้า รุ่งเช้า ภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรไปบิณฑบาตในเมืองเวรัญชา บิณฑบาตไม่ได้เลย จึงไปที่คอกม้า รับข้าวนึ่งรูปละประมาณ ๑ ทะนาน นำไปตำให้ละเอียดแล้วฉัน ส่วนพระอานนท์บดข้าวนึ่งประมาณ ๑ ทะนานบนหินบดแล้ว น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค พระองค์เสวยข้าวนั้น
๑๒. เรื่อง เคยเป็นนักมวยปล้ำ หักหลังผู้อื่นไว้
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนักมวย ได้ทำการชกกับนักมวยผู้อื่น ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงเกิดความทุกข์ที่สันหลัง (ปวดหลัง)
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า คราวหนึ่งพระโพธิสัตว์ เกิดในตระกูลคหบดี มีกำลังมากมหาศาล แต่ตัวเตี้ย ต่อมามีนักมวยปล้ำต่างถิ่นมาท้าต่อสู้ และทำให้บุรุษหลายคนในหมู่บ้าน ถูกทำร้ายบาดเจ็บและพ่ายแพ้ และเมื่อพระโพธิสัตว์พบเหตุการณ์นั้น จึงขออาสาต่อสู้ด้วย พอได้ฟังคำพูดเช่นนี้ นักมวยปล้ำผู้นั้นได้พูดดูถูกต่าง ๆ นานา และเมื่อทั้งสองได้ต่อสู้กัน พระโพธิสัตว์แม้ถึงจะตัวเตี้ย แต่ก็ได้จับนักปล้ำผู้นั้นขึ้นแล้วหมุนไปในอากาศ แล้วทุ่มลงภาคพื้น แล้วจับดัดหลัง จนนักปล้ำผู้นั้น กระดูกหักเจ็บปวดอย่างมาก และยอมแพ้ในที่สุด แล้วพระโพธิสัตว์สั่งสอนว่า อย่ามาทำอย่างนี้อีกในหมู่บ้านนี้ ด้วยกรรมนั้น เราได้เสวยผลกรรมมีโรคประจำเช่นปวดหลังเป็นต้น แม้ในชาตินี้ ถึงเราจะทรงพลังอย่างนับไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นโรคปวดหลังอยู่
๑๓. เรื่อง หมอรักษาโรค แต่ประมาท
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้ลูกชายเศรษฐี (ถึงแก่ความตาย) ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงป่วยเป็นโรคปักขันทิกาพาธ
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคหบดี ได้เป็นหมอรักษาคนไข้ คราวหนึ่ง ได้รักษาลูกเศรษฐีคนหนึ่ง ตรวจโรคแล้ว จัดยารักษาโรคชนิดนั้น แต่เพราะความประมาท ตอนจ่ายยานั้น ได้จ่ายยารักษาโรคต่างชนิดกันให้ไป ทำให้ลูกเสรษฐีนั้นรับประทานยาไปแล้วถ่ายอย่างรุนแรง
ตรงนี้ มีกล่าวขยายความไว้ว่า ในชาตินี้ ในสมัยเป็นที่ปรินิพพาน หลังจากพระผู้มีพระภาคเสวยพระกระยาหารที่ชื่อว่าสุกรมัททวะ ของนายจุนทกัมมารบุตรแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัสจวนเจียนจะปรินิพพาน แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาเหล่านั้นอย่างไม่พรั่นพรึง
๑๔. เรื่อง สบประมาทผู้อื่น จึงต้องประสบทุกข์
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
เราเมื่อครั้งเกิดเป็นมาณพ ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวประสบประมาทพระกัสสปพุทธเจ้าว่า การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์จักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้หาได้แสนยาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ว่า เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณที่สูงสุด ด้วยทางนี้ ต่อมา จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ ที่ตำบลอุรุเวลา เราถูกกรรมในปางก่อนตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณผิดทาง เราสิ้นบาปสิ้นบุญแล้ว ปราศจากความเร่าร้อนทุกอย่าง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น ไม่มีอาสวะ จักปรินิพพาน พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวง ทรงพยากรณ์บุพกรรมเช่นนี้ มุ่งหวังประโยชน์สำหรับหมู่ภิกษุ ณ สระอโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล
ตรงนี้ มีเนื้อความกล่าวไว้ว่า หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถโพธิสัตว์ ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ทำความสังเวชให้เกิดขึ้น ขึ้นม้ากัณฐกะพร้อมกับนายฉันนะออกไป ทรงรับสมณบริขารที่มหาพรหมถวาย แล้วผนวชที่ริ่มฝั่งแม่น้ำอโนมานทีบำเพ็ญเพียรประพฤติทุกรกิริยาอย่างหนักอยู่ ๖ ปี อาทิเช่น กดฟันด้วยฟัน ใช้ลิ้นดันเพดานไว้แน่น ใช้จิตข่มคั้นจิต ทำจิตให้เร้าร้อน เมื่อทำเช่นนั้น เหงื่อก็ไหลออกจากรักแร้ทั้ง ๒ ข้าง กลั้นลมหายใจเข้า-ออกทั้งทางปาก-จมูก ทำให้ลมออกทางหูทั้ง ๒ ข้าง มีเสียงดังอู้ ๆ และเกิดลมแรงกล้าเสียดแทงศีรษะ ทำให้เกิดทุกขเวทนาในศีรษะอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดลมอันแรงกล้าบาดในช่องท้อง
เมื่อพระองค์ประพฤติตนเช่นนี้แล้ว ทำให้เกิดความกระวนกระวายในร่างกายอย่างแรงกล้า ทำให้เกิดกายกระสับกระส่ายไม่สงบ ต่อมาก็ลดอาหารที่ละน้อย จนฉันอาหารประมาณเท่าเมล็ดถั่วพูและเมล็ดบัว จึงทำให้ร่างกายซูบผอมมาก เดินไปไหนก็ซวนเซล้มลง ณ ที่นั้น จนชนทั้งหลายเห็นแล้ว พากันทักต่าง ๆ นานา ทำให้ได้คิด จึงเปลี่ยนวิธีปฏิบัติเสียใหม่ กลับมาฉันอาหารตามเดิม แล้วปฏิบัติฌาน ๔ และวิชชา ๓ จึงตรัสรู้พระพุทธเจ้า (จึงได้บรรลุพระโพธิญาณ) ภายใต้ต้นโพธิ
เรื่องบุพกรรมของพระพุทธองค์ดังที่กล่าวมานี้ เป็นการชี้ให้เห็นว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง ไม่ว่าเป็นผู้มีพระคุณมากมายปานใด เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระคุณน้อยนิดเช่น เด็กน้อยเดียงสาแกล้งผู้อื่นก็ตาม ผู้ที่ได้กระทำบุญหรือบาปไว้ ย่อมจะต้องได้รับผลของกรรมนั้น ๆ อย่างแน่นอน ตราบที่ยังเวียนว่ายตายเกิด ยังไม่สิ้นอาสวะกิเลส หรือแม้แต่สิ้นอาสวะกิเลส ยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ปรินิพพานก็ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นเดียวกัน ซึ่งตรงกับเนื้อความกล่าวรับรองไว้ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใด เป็นบุญหรือเป็นบาปก็ตาม เราจะต้องรับผลของกรรมนั้น
ท้ายนี้ ฝากคติธรรมว่า เวรกรรมที่แต่ละคนได้กระทำไว้นั้น อย่าคิดประมาทว่าเป็นกรรมเล็กน้อยและจักไม่ให้ผล กรรมที่กระทำไว้นั้นรอวันให้ผลทั้งนั้น แต่จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นหนักหรือเบานั่นเอง สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านผู้อ่านจงโชคดีและมีความสุขทุกเมื่อเทอญ.

ที่มา : คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา


http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244

.
23  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:15:33
บุพกรรมของพระพุทธองค์

โพสโดย คนธรรมะ

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-

๖. เรื่อง ทรัพย์เป็นเหตุ ทำให้พี่ฆ่าน้อง
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๖ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราได้ฆ่าน้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับโยนลงซอกภูเขาแล้วโยนหินทับไว้ ด้วยผลกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินกลิ้งลงมา สะเก็ดหินกระทบนิ้วหัวแม่เท้าของเราจนห้อเลือด
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ครั้งที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กรุงโกสัมพี พระเทวทัตถูกความมักใหญ่ครอบงำจิต ชักจูงให้อชาตศัตรูกุมารเลื่อมใสในฤทธิ์ของตน คิดจะขอพระพุทธเจ้าปกครองภิกษุสงฆ์ พระเทวทัตได้เสื่อมจากฤทธิ์ พร้อมกับความคิดนั้น ต่อมา ถูกสงฆ์ทำปกาสนียกรรม จึงไปยุยงให้อชาตศัตรูกุมารปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นชนก ส่วนตนเองได้ส่งคนไปลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค แต่คนเหล่านั้นกลับเลื่อมใสในพระองค์ ได้ฟังอนุปุพพีกถาสำเร็จโสดาปัตติผลทุกคน สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่ร่มเงาภูเขาคิชฌกูฏ ทีนั้น พระเทวทัตขึ้นภูเขาคิชฌกูฏกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ ด้วยหมายใจว่า เราจะปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคด้วยก้อนศิลา ยอดภูเขา ๒ ข้างมาบรรจบกันรับศิลาก้อนนั้นไว้ สะเก็ดศิลากระเด็นจากก้อนศิลานั้นไปกระทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคจนพระโลหิตห้อขึ้น ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแหงนพระพักตร์ ได้ตรัสว่า โมฆบุรุษ เธอสั่งสมสิ่งที่มิใช่บุญไว้มากที่มีจิตคิดร้าย คิดฆ่าทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ แล้วตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า เทวทัตทำโลหิตของตถาคตให้ห้อ ได้ทำอนันตริยกรรมแล้ว
๗. เรื่อง เคยแกล้งพระไว้ จึงได้รับการแกล้งตอบ
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๗ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เรายังเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังเดินทางมา ณ ทางนั้น จึงได้หว่านก้อนกรวดไว้ที่หนทาง ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ พระเทวทัต จึงชักชวนนักแม่นธนู ผู้เป็นนักฆ่า เพื่อฆ่าเรา
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ณ กรุงราชคฤห์ หลังจากพระเทวทัตไปถวายพระพรให้พระเจ้าอชาตศัตรูกุมารส่งราชบุรุษไปปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าแล้ว ต่อมา พระเทวทัตก็สั่งบุรุษคนหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่โน้น ท่านจงไปปลงพระชนม์พระองค์แล้วกลับมาทางนี้ แล้วซุ่มบุรุษไว้ริมทาง ๒ คนด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนที่เดินมาทางนี้ เพียงลำพังแล้วมาทางนี้ ซุ่มบุรุษไว้ริมทางอีก ๔, ๘, ๑๖ คน ด้วยสั่งว่า พวกท่านจงฆ่าคนพวกนี้ ที่เดินมาทางนี้ ๆ ต่อมา บุรุษคนหนึ่งนั้น ถือดาบและโล่ห์สะพายธนูเข้าหาประชิดตัวพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วก็ยืนกลัวจนตัวแข็งทื่อไม่ห่างจากพระผู้มีพระภาค
พระองค์จึงตรัสว่า อย่ากลัวเลย พอบุรุษนั้นได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้นแล้ว ได้วางดาบและโล่ห์ ปลดธนูวางไว้ แล้วซบศีรษะแทบพระยุคลบาทกราบทูลว่า กระผมทำความผิดเพราะความโง่เขลา ที่มีจิตคิดประทุษร้ายคิดจะปลงพระชนม์จึงเข้ามาที่นี้ ขอพระองค์โปรดประทานอภัยโทษแก่กระผม เพื่อความสำรวมต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่เป็นไร การที่บุคคลเห็นความผิดเป็นความผิดแล้ว แก้ไขให้ถูกต้อง นี้เป็นความเจริญในอริยวินัย แล้วตรัสอนุปุพพีกถาให้บุรุษนั้นฟัง จนบุรุษได้บรรลุเป็นโสดาบัน แล้วตรัสกับบุรุษนั้นว่า ท่านอย่าไปทางนั้น จงไปทางนี้ แล้วส่งเขาไปทางอื่น
ต่อมาบุรุษอีก ๒ คนปรึกษากันว่า ทำไม บุรุษคนนั้น จึงมาชักช้านักแล้วเดินสวนทางไป ได้พบพระผู้มีพระภาค ณ ควงไม้แห่งหนึ่ง แล้วเข้าไปสนทนาด้วย พระผู้มีพระภาคได้แสดงธรรมให้ฟังจนบุรุษทั้ง๒ ได้บรรลุเป็นโสดาบัน แม้บุรุษ ๔, ๘ และ ๑๖ ก็มีนัยเดียวกันแล ต่อมา บุรุษคนแรกนั้น ได้ไปหาพระเทวทัตแล้วพูดว่า กระผมไม่สามารถปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคได้ พระองค์มีฤทธิ์มาก พอพระเทวทัตได้ฟังเช่นนั้นพูดตัดบทว่า ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้ฆ่าเลย เราจะลงมือปลงพระชนม์พระพุทธเจ้าเอง
๘. เรื่อง ควาญช้างไสช้างไล่พระ
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๘ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างไล่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นพระมุนีสูงสุด ที่กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยผลกรรมนั้น ช้างนาฬาคีรีเชือกดุร้าย จึงวิ่งไล่เราในกรุงราชคฤห์อันประเสริฐ
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า หลังจากที่พระเทวทัตลอบปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาคหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จเลย ก็หาได้หยุดการกระทำเช่นนั้นไม่ สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์มีช้างชื่อนาฬาคีรีดุร้าย ชอบฆ่าคน ต่อมาพระเทวทัตได้ไปที่โรงช้าง แล้วอ้างเหตุผลกับนายควาญช้างว่า พวกเราเป็นพระญาติของพระราชา สามารถจะแต่งตั้งผู้อยู่ในตำแหน่งต่ำไว้ในตำแหน่งสูง และเพิ่มเงินเดือนให้ได้ ทำอย่างนี้ เวลาพระพุทธเจ้าเสด็จมาทางตรอกนี้ พวกท่านจงปล่อยช้างนาฬาคีรีนี้เข้าไป
เมื่อพระผู้พระภาคเสด็จดำเนินถึงตรอกนั้น พวกนายควาญช้างจึงได้ปล่อยนาฬาคีรีไปปลงพระชนม์พระผู้มีพระภาค ช้างนาฬาคีรีได้ชูงวงหูชัน หางชี้ วิ่งตรงไปที่พระผู้มีพระภาค เวลานั้นคนทั้งหลายหนีขึ้นไปบนปราสาทนั้นบ้าง เรือนโล้นบ้าง บนหลังคาบ้าง พวกที่ไม่ศรัทธาพูดว่า พระสมณโคดมจะถูกช้างฆ่า ส่วนผู้มีศรัทธาก็พูดว่า ประเดี๋ยวจะคอยดูสงครามระหว่างพระพุทธเจ้ากับช้าง ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปที่ช้างนาฬาคีรี ช้างนาฬาคีรีได้สัมผัสกระแสเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาค จึงหมดพยศยืนอยู่ตรงพระพักตร์ แล้วพระผู้มีพระภาคทรงยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างนาฬาคีรี
๙. เรื่อง เคยเป็นทหารรับจ้าง จึงได้รับความทรมาน
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๙ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นทหารรับจ้าง ได้ใช้หอกฆ่าคนจำนวนมาก ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงถูกไฟไหม้อย่างร้อนแรงในนรก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่ เพราะกรรมยังไม่สิ้นไป ในบัดนี้ ไฟ (ความร้อน) นั้นยังตามมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทุกแห่ง
เรื่องนี้ มีกล่าวขยายความไว้ในชาดกว่า เมื่อครั้งพระโพธิสัตว์ เกิดเป็นคนรักษาป่า มีบริวาร ๕๐๐ คน ได้รับจ้างคุ้มครองพวกพ่อค้าเกวียน ให้ข้ามดงที่มีโจรผู้ร้ายซุ่มอยู่ด้วยความกล้าหาญตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ บุตรชายพ่อค้าเห็นความกล้าหาญของโพธิสัตว์จึงถามว่า
เมื่อความตายปรากฏอยู่ตรงหน้า เพราเห็นพวกโจรยิงลูกธนูที่แหลมคมเข้ามาด้วยความว่องไว และยังถือดาบอันคมกริบวิ่งเข้ามาอีก เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่สะดุ้งกลัว พระโพธิสัตว์บอกว่า เวลาที่เห็นโจรร้ายวิ่งเข้ามา ข้าพเจ้ากลับมีความยินดีที่จะได้ย่ำยีศัตรู เพราะก่อนที่จะมาทำหน้าที่นี้
ได้ยอมสละชีวิตไว้แล้ว จึงไม่มีความอาลัยในชีวิต สามารถทำกิจของตนได้อย่างกล้าหาญทุกเวลา
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระเทวทัตทำพระโลหิตของพระผู้มีพระภาคให้ห้อแล้ว แล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จไปชีวกัมพวันให้หมอชีวกรักษา หมอชีวกได้รักษาโดยปรุงยาอย่างแรงกล้าเพื่อสมานแผลแล้ว ปิดแผล แล้วกราบทูลว่า กระผมมีธุระในเมือง ขอให้ยานี้อยู่จนกว่ากระผมจะกลับมา แล้วหมอชีวกก็เข้าเมืองไป แต่กลับมาไม่ทันประตูเมืองเพราะประตูปิดก่อน แล้วก็นึกตกใจว่า ถึงเวลาที่จะเอายาออกแล้ว ถ้าไม่เอายาออกล่ะก็ พระผู้มีพระภาคก็จะเกิดความเร่าร้อนในสรีระตลอดทั้งคืนเป็นแน่ ต่อมา พระผู้มีพระภาค ได้รับสั่งให้พระอานนท์นำยาที่ปิดแผลนั้นออกในตอนค่ำนั่นเอง
๑๐. เรื่อง เด็กเล็กเห็นปลาถูกฆ่า แล้ว แต่ดีใจ
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑๐ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เราเมื่อครั้งเกิดเป็นเด็กเล็กลูกของชาวประมง อาศัยอยู่ในเกวัฏฏคาม เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยเจตนาที่เป็นอกุศลกรรมนั้น จึงทำให้ไปเสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔ ด้วยเศษแห่งผลบาปกรรมนั้น เราจึงปวดศีรษะ เมื่อพวกเจ้าศากยะถูกที่พระเจ้าวิฑูฑภะฆ่าตายเป็นจำนวนมาก
24  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:14:43
บุพกรรมของพระพุทธองค์

โพสโดย คนธรรมะ

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-


๑. เรื่อง ถวายผ้าไว้ในอดีต จึงได้รับผลบุญ
คราวหนึ่ง ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๑ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติก่อน เรา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ เห็นภิกษุผู้อยู่ป่าเป็นวัตร จึงได้ถวายผ้าเก่าผืนหนึ่ง ในกาลนั้น ข้าพเจ้าปรารถนาการตรัสรู้ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลของการถวายผ้าเก่าให้ผลในความเป็นพระพุทธเจ้า
เรื่องนี้ มีกล่าวอธิบายขยายความไว้ว่า หลังจากที่พระสิทธัตถโพธิสัตว์ได้เจริญในศากยสกุล มีถิ่นกำเนิดชื่อว่ากรุงกบิลพัสดุ์ พระบิดามีพระนามว่า
สุทโธทนะ พระมารดามีพระนามว่า มายาเทวี ทรงครองฆราวาสอยู่ ๒๙ ปี มีปราสาท ๓ หลัง มีชื่อว่า สุจันทะ โกกนุท และโกญจะ มเหสีพระนามว่ายโสธรา โอรสพระนามว่า ราหุล ทอดพระเนตรเห็นนิมิต ๔ ประการ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตายและสมณะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ กลางคืนได้เสด็จทรงม้ากัณฐกะ พร้อมกับนายฉันนะ แล้วเสด็จถึงแม่น้ำอโนมานที รับสั่งให้นายฉันนะนำม้าและเครื่องทรงกลับ แล้วพระองค์ก็ตัดพระโมลีแล้ว ตั้งสัจจะอธิษฐานโยนไปในอากาศว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานทีแล้ว ก็ดำริอีกว่า ผ้าของชาวกาสีอย่างดีเหล่านี้ ไม่สมควรแก่ความเป็นสมณะของเรา ในทันใดนั้นเอง สหายเก่าเมื่อครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ซึ่งไปเกิดเป็นพรหมชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม ช่วงระยะพุทธันดรหนึ่ง ไม่ถึงความพินาศเลย (คือดำรงอยู่ในชั้นพรหมโลกตลอด) เพราะเคยเป็นเพื่อนกัน จึงคิดว่า วันนี้ สหายเก่าของเราจะบวช เราจะถือสมณบริขาร ๘ อย่างกล่าวคือ ไตรจีวร บาตร มีดน้อย เข็ม ประคดเอว และผ้ากรองน้ำไป เพื่อสหายเก่าของเรานั้นดีกว่า ครั้นแล้ว ก็นำสมณบริขารทั้ง ๘ อย่างนั้น มาถวายด้วยตนเอง พระโพธิสัตว์ก็รับแล้วครองผ้าที่เป็นธงชัยแห่งพระอรหันต์อธิษฐานเพศนักบวชผู้อุดม

๒. เรื่อง ห้ามผู้อื่นดื่มน้ำ ทำให้ต้องอดน้ำ
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาต ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๒ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ชาติปางก่อน เรา เมื่อครั้งเกิดเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง ได้เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่น จึงห้ามมันไว้ไม่ให้ดื่ม ด้วยผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เรากระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
มีเรื่องกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า ก่อนที่พระผู้มีพระภาคจะปรินิพพานหลังจากเสวยพระกระยาหารที่นายจุนทกัมมารบุตรจัดถวายแล้ว ได้เกิดอาการพระประชวรอย่างรุนแรงลงพระบังคนหนักเป็นโลหิต(ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด) ทรงมีทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส(กระหายน้ำอย่างมาก) แต่ทรงใช้สติสัมปชัญญะข่มทุกขเวทนาไว้ ตรัสชวนท่านพระอานนท์ ออกเดินทางต่อไปยังกรุงกุสินารา ระหว่างทางทรงหยุดพักและรับสั่งให้พระเถระนำน้ำดื่มมาถวาย แต่พระอานนท์กราบทูลว่า น้ำในแม่น้ำตรงนั้น มีน้ำน้อยและถูกกองเกวียน ๕๐๐ เล่มเหยียบย่ำไปก่อนหน้านั้นแล้วก็ไม่ไปตักมาถวาย จนพระองค์ต้องรับสั่งในครั้งที่ ๓ พระอานนท์จึงไปตักน้ำนำมาถวายให้พระองค์ได้ทรงดื่ม และน้ำที่พระอานนท์ไปตักนั้น กลับเป็นน้ำใสสะอาด น่าอัศจรรย์ใจมาก

๓. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ต้องตกนรก
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ใกล้สระอโนดาด ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๓ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
ในชาติปางก่อน เราได้เคยเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร ด้วยผลกรรมนั้นเราจึงได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น ในภพสุดท้ายนี้ เราจึงได้รับการกล่าวตู่เพราะนางสุนทรีเป็นเหตุ
เรื่องนี้ มีกล่าวไว้อธิบายไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก เป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์ทั้งหลายอับเฉาสิ้นลาภสักการะไปตาม ๆ กัน ไม่ผิดอะไรกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น วันหนึ่ง พวกเดียรถีย์ได้ปรึกษากันหาทางจะทำลายลาภสักการะของพระพุทธเจ้า เพื่อจะทำให้ตนได้ลาภสักการะ ดังที่เคยเป็น จึงขอแรงนางสุนทรีปริพาชิกาผู้มีรูปงามให้ไปทำลายพระพุทธเจ้า โดยให้ไปใส่ความว่าประพฤติร่วมประเพณีกับพระพุทธเจ้า
นางสุนทรีทำเช่นนั้นอยู่ ๒-๓ วัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างพวกนักเลงให้ไปฆ่านางสุนทรี แล้ว หมกไว้ที่ระหว่างกองขยะดอกไม้ใกล้พระคันธกุฎี พวกนักเลงได้ทำตามสั่งทุกประการ เอาละคราวนี้ พวกเดียรถีย์ก็แกล้งโจษจันหานางสุนทรี กราบทูลเรื่องนั้นแก่พระราชา พระราชารับสั่งให้ค้นหาจนทั่ว จึงได้ไปพบศพนางที่กองขณะดอกไม้ พวกเดียรถีย์จึงยกศพนางขึ้นเตียงแล้วหามเข้าไปยังพระนคร ทูลแด่พระราชาว่า สาวกของพระพุทธเจ้าฆ่านางสุนทรี แล้วหมกไว้ในระหว่างกองขยะดอกไม้ด้วยคิดว่า เราจักปกปิดกรรมชั่วที่พระพุทธเจ้าได้ทำไว้
พระราชาได้ให้ป่าวร้องไปทั่วพระนคร พวกเดียรถีย์ได้เที่ยวป่าวร้องด่าพวกภิกษุในภายในและภายนอกพระนคร แม้กระทั่งในป่า ภิกษุได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระศาสดา พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น พวกเธอจงกลับโจทมนุษย์เหล่านั้นอย่างนี้ แล้วตรัสคาถาเหล่านี้ว่า คนที่ชอบพูดเท็จ หรือคนที่ทำความชั่วแล้วกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำ” ต่างก็ตกนรก คน ๒ จำพวกนั้น ต่างก็มีกรรมชั่ว มีกรรมเลวทราม ตายไปแล้ว มีคติเท่าเทียมกันในโลกหน้า
พระราชาได้ส่งตำรวจไปสืบสวนเรื่องนั้น บังเอิญว่า วันนั้น พวกนักเลงผู้ฆ่านางสุนทรี กำลังเมาสุราทะเลาะกันอยู่ในร้านสุราแห่งหนึ่ง พูดพาดพิงไปถึงนางสุนทรีว่าตนเองเป็นผู้ฆ่านางสุนทรีเอง พวกตำรวจจึงจับกุมตัวไปถวายพระราชา พระราชาได้ตรัสถาม ทราบความจริงว่า เดียรถีย์จ้างให้ฆ่านางสุนทรี จึงรับสั่งให้เรียกพวกเดียรถีย์มาแล้วทรงบังคับให้ไปเที่ยวป่าวร้องบอกแก่ชาวพระนครว่า นางสุนทรีนี้พวกข้าพเจ้าประสงค์จะสาดโคลนใส่พระพุทธเจ้าให้ฆ่านางแล้ว โทษของพระสาวกของพระพุทธเจ้าไม่มี เป็นโทษของพวกข้าพเจ้าฝ่ายเดียว พวกเดียรถีย์ได้ทำอย่างนั้นแล้ว คลายความสงสัยของมหาชนผู้โง่เขลาเสียได้ ต่อมา เดียรถีย์เหล่านั้น พร้อมด้วยพวกนักเลง ก็ถูกตัดสินประหารชีวิตฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา ตั้งแต่นั้นมา ลาภสักการะของพระพุทธเจ้าก็เจริญรุ่งเรืองตามเดิม
๔. เรื่อง กล่าวตู่พระอรหันต์ ทำให้ตกนรกถึงแสนปี
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๔ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า เราเมื่อครั้นเกิดเป็นนักเลงหัวไม้ เป็นอันธพาล เพราะการกล่าวตู่พระนันทเถระ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึง ๑๐๐,๐๐๐ ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เรา ด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน
มีเรื่องกล่าวไว้ว่า สมัยนั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าเป็นอันมาก ฝ่ายพวกเดียรถีย์ลดน้อยลง ราวกับแสงหิ่งห้อยในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น พวกเดียรถีย์จึงประชุมตกลงกัน ออกอุบายให้นางจิญจมาณวิกาปริพพาชิกา ผู้มีรูปงามคนหนึ่งทำลายพระพุทธเจ้า นางจิญจมาณวิกาได้ทำทีเป็นเดินเข้า-ออกในเวลาเช้าตรู่และเวลาเย็น ทำให้พวกอุบาสกผู้ไปฟังธรรมสงสัย นางบอกว่า ได้อยู่ร่วมในพระคันธกุฎีเดียวกันกับพระสมณโคดม ยิ่งทำให้คนพวกนั้นสงสัยขึ้นอีก
ต่อมา นางได้เอาผ้าพันท้อง ทำเป็นคล้ายคนมีท้องได้ ๘-๙ เดือนจวนจะคลอด เมื่อพระพุทธเจ้ากำลังประทับนั่งแสดงธรรมอยู่บนธรรมาสน์นั่นเองได้ไปสู่ธรรมสภา ทูลพระองค์ว่า มหาสมณะ พระองค์ดีแต่พูดเท่านั้น เสียงพระองค์ไพเราะ พระโอษฐ์ของพระองค์สนิท ส่วนหม่อมฉันอาศัยพระองค์ได้เกิดมีครรภ์ครบกำหนดแล้ว พระองค์ไม่ทรงทราบที่คลอดของหม่อมฉัน ไม่ทรงทราบเครื่องบริหารครรภ์แก่หม่อมฉัน เมื่อไม่ทรงทำเอง ก็ไม่ตรัสบอกพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี หรือนางวิสาขามหาอุบาสิกา คนใดคนหนึ่ง แล้วด่าพระพุทธเจ้าต่าง ๆ นานาในท่ามกลางบริษัท
ฝ่ายท้าวสักกะ เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงสั่งให้เทพบุตร ๒ องค์โดยให้แปลงเป็นหนู และแปลงเป็นลม มาทำลายพิธีของนาง กัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ และลมพัดเลิกผ้าห่มขึ้น ไม้กลมพลัดตกลงบนหลังเท้าของนาง ปลายเท้าทั้ง ๒ ข้างแตก มนุษย์ทั้งหลายก็พูดว่า นางกาฬกัณณี เจ้าด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ่มเขฬะลงบนศีรษะ ขับออกจากวิหาร นางวิ่งเตลิดเปิดเปิงไป พอล่วงคลองพระจักษุของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ก็ถูกแผ่นดินสูบตกไปเกิดในอเวจีมหานรก ลาภสักการะของพวกเดียรถีย์เสื่อมลงอีก แต่ของพระทศพลยิ่งเจริญขึ้น

๕. เรื่อง กล่าวว่าร้ายผู้ทรงศีล จึงทำให้ถูกใส่ร้าย
คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ทรงตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์เรื่องที่ ๕ ให้ภิกษุทั้งหลายฟังว่า
เราเกิดเป็นพราหมณ์ ผู้มีสุตะ มีประชาชนสักการะบูชา ได้สอนมนตร์ให้มาณพประมาณ ๕๐๐ คน ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่าเกรงกลัว ผู้ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มายังสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร โดยบอกลูกศิษย์ว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกามคุณ เพียงเราบอกเท่านั้น พวกมาณพก็พลอยเชื่อ ตั้งแต่นั้นมา ครั้นไปเที่ยวหาอาหารในตระกูลทั้งหลาย พากันบอกประชาชนว่า ฤาษีตนนี้มักบริโภคกามคุณ ด้วยผลกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ได้รับการกล่าวตู่ เพราะนางสุนทรี เป็นเหตุ
มีเรื่องกล่าวไว้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้ติดตามพระพุทธเจ้าผู้เสด็จเข้าไปภายในพระนครได้ด่าบริภาษด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ว่า เจ้าเป็นโจร เป็นคนพาล เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นฬา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ไม่มีหวังจะได้สุคติ ทุคติเท่านั้น ที่เจ้าควรหวัง
ท่านพระอานนท์สดับคำนั้นแล้วได้กราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกชาวเมืองได้ด่าบริภาษพวกเรา พวกเราจะไปที่อื่นจากเมืองนี้เถิด พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า จะไปที่ไหน เมื่อถูกด่าที่นั่นอีก จะทำอย่างไร พระอานนท์กราบทูลว่า จะไปเมืองอื่นอีก เมื่อถูกด่าที่นั่นอีกก็หนีไปเรื่อย ๆ พระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า การทำอย่างนั้น ไม่สมควร เมื่ออธิกรณ์เกิดขึ้นในที่ใด ต้องสงบในที่นั้นเสียก่อน จึงสมควรไปที่อื่น แล้วตรัสถามต่อไปว่า พวกไหนเล่าด่าพวกเรา
อานนท์กราบทูลว่า คนทั้งหมดกระทั่งทาสและกรรมกรก็พากันด่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานนท์ เราเป็นเหมือนกับช้างที่เข้าสู่สงคราม การอดทนต่อคำพูดของคนไม่มีศีล มีจำนวนมากเป็นภาระของเรา เช่นเดียวกันกับการอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจกทิศ เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงคราม
25  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:14:12
บุพกรรมของพระพุทธองค์

โพสโดย คนธรรมะ

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244-

ความนำ
พระพุทธเจ้าทรงเล่าบุพกรรมของพระองค์ ในพระชาติต่าง ๆ ๑๔ ชาติ ทรงเริ่มพระชาติแรกที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และได้ถวายท่อนผ้าเก่าผืนหนึ่งแก่พระผู้อยู่ป่าเป็นวัตร
ผลแห่งทานนี้ได้เกิดแก่พระองค์ การที่ทรงเล่าบุพกรรมทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ได้ทำดีและทำชั่วมาแล้ว ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่พวกเรา ดังที่ตรัสไว้ตอนหนึ่งในพุทธาปทาน มีใจความว่า
เมื่อเห็นความเกียจคร้านเป็นภัย เห็นความเพียรเป็นความปลอดภัย ก็จงปรารภความเพียรเถิด นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
อนึ่ง เรื่องบุพกรรมเล่มนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงกรรมและผลของกรรมที่แต่ละคนได้ทำไว้ ในเรื่องบุญและบาป ที่มักพูดกันว่า ด้วยอำนาจบาปที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบาปส่งผลให้ไปเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
ด้วยอำนาจบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ในชาตินี้ จะกลายเป็นแรงบุญส่งผลให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ในชาติหน้าหรือชาติต่อ ๆ ไป
ผลกรรมที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนดีที่นิยมเรียกว่าบุญ หรือส่วนชั่วที่นิยมเรียกกันว่าบาป ย่อมทำหน้าที่ในการตามให้ผลอย่างเที่ยงตรงและต่อเนื่อง โดยไม่มีอำนาจอื่นใดจะมาเบี่ยงเบนให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ส่วนจะตามให้ผลทันตาเห็นในชาตินี้ หรือตามให้ผลในชาติต่อๆไปนั่น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ค่านิยมในสังคมปัจจุบันนี้ มีอะไรหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก บุคคลส่วนใหญ่ไม่ค่อยคำนึงถึงบาปบุญคุณโทษกันเท่าไรนัก จนบางครั้งถึงกับมีการพูดว่า ถ้ามัวแต่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ ก็ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรกันหรอก มีหวังอดตายกันหมด หรือเรื่องบาปบุญคุณโทษเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก ประกอบกับคนทำความชั่วบางคนสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ และได้รับการยกย่องนานัปการว่าเป็นผู้มีเกียรติ เป็นผู้ทำคุณงามความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพียงแค่การบริจาคเงินให้แก่องค์กรสาธารณกุศลเพียงเล็กน้อย เป็นต้นตัวอย่างที่เห็นกันอยู่นี้เองทำให้คนอีกเป็นจำนวนมากเกิดความรู้สึกสับสน หรือให้ความสำคัญเรื่องบาปบุญคุณโทษน้อยไปได้
ความจริง เรื่องบาปบุญคุณโทษมิใช่เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ เพียงแต่ว่าคนที่ทำความดีและความชั่วยังมิได้ประสบผลของมันโดยตรง จึงทำให้บุคคลอีกส่วนหนึ่งเกิดความเข้าใจสับสนไป แต่เมื่อใดที่ผลของความดีและความชั่วให้ผลโดยตรงแล้วนั่นแหละ บุคคลนั้น ๆ จึงจะยอมรับว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง และให้ผลตามที่แต่ละบุคคลได้ทำไว้ทุกประการ ดังตัวอย่าง เรื่อง บุพกรรมของพระพุทธองค์
ท่านพระอานนทเถระ เมื่อจะประกาศประวัติอดีตชาติของพระพุทธเจ้าว่าด้วยบุพกรรมเก่า จึงกล่าวว่า
ณ พื้นศิลาที่น่ารื่นรมย์ ใกล้สระอโนดาตโชติช่วงด้วยรัตนะต่าง ๆ ในละแวกป่า มีดอกไม้มีกลิ่นหอมนานาชนิด พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำสัตว์โลก มีหมู่ภิกษุหมู่ใหญ่ห้อมล้อม ประทับนั่งที่ศิลาอาสน์นั้น ได้ตรัสเล่าบุพกรรมของพระองค์ว่า ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงฟังบุพกรรมของเรา ดังต่อไปนี้
26  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:12:43
บุพกรรมของพระพุทธองค์ และพระอรหันต์

http://www.dhammathai.org/store/karma/view.php?No=244


.
27  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:07:43


มูริญโญ่

จริงๆที่ผ่านมาก็น่าจะพิสูจน์หลายๆอย่างของพระวังหน้าได้ดีอยู่แล้ว
มันอยู่ที่ความเชื่อของแต่ละท่านมากกว่าว่าเชื่อมั้ย ???
ของเลียนแบบของแท้ก็มีมากจริงๆไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ .........
ผมเชื่อจึงห้อยติดตัวมาตลอด เพราะผมเชื่อและศรัทธา ........
และขอบคุณคุณหนุ่มที่มอบของมงคลให้ผมตลอด ...........

อีกอย่างถ้าทุกคนดูพระเป็นพยายามสังเกตุความแตกต่าง ของ
พระวังหน้ากับของเลียนแบบที่วางขายทั่วไป .................
................ คุณจะเห็นความแตกต่างแน่นอน ..............


http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2248.html

.

28  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:06:00
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
รู้สึกผิด ที่ส่งให้ช้ามากๆๆๆๆ

ตอนนี้ กำลังจัดเตรียมส่งพระวังหน้าให้ท่านน้องปฐม ไม่น่าจะน้อยกว่า 1,000 องค์ จะฝากท่านน้องปฐมไปถวายพระภิกษุทางภาคใต้ ซึ่งก็แล้วแต่ท่านจะนำไปทำอะไรสุดแล้วแต่ท่านนะครับ ท่านน้องปฐม

พี่จัดเตรียม พระสมเด็จ Tott 1 และ พระสมเด็จ Tott 4 ส่งให้ด้วย

พี่อนุญาตท่านน้องปฐม หากว่าท่านน้องปฐม ต้องการพิมพ์ไหน จำนวนเท่าไหร่ สามารถเก็บไว้ได้เท่าที่้ต้องการนะครับ

เพื่อเป็นกำลังใจที่เราช่วยพี่ในงานบุญถวายพระวังหน้า

และพี่เองก็รบกวนเวลา กำลังกาย กำลังใจ และเงิน ที่ท่านน้องปฐมเสียสละในงานบุญนี้ครับ

โมทนาบุญกับท่านน้องปฐมในทุกๆบุญครับ

----------------------------------------------------------------
.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ปฐม อ่านข้อความ
อย่าใช้คำว่ารบกวนครับพี่ท่าน ต้องใช้คำว่าพี่ท่านให้โอกาสผมในการสร้างบุญกุศลมากกว่านะครับ สำหรับผมคิดว่ายากที่เราจะได้เอาพระวังหน้าไปถวายพระภิกษุสงฆ์ มันทำให้ผมอิ่มใจทุกครั้งที่เห็นครูบาอาจารย์ท่านยิ้มน้อยๆ ตอนเราไปถวาย และยังไม่รวมกับคำพูดที่ท่านพูดถึงพระที่นำมาถวาย ทำให้ผมอิ่มใจในบุญทุกครั้งที่ได้กระทำ ทำให้ในชิวีตที่ผ่านไปวันๆโดยไม่มีไรให้น่าจดจำ พอเราเอาพระไปถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ทำให้เป็นวันที่น่าจดจำและได้บันทึกไว้ใน จิตในด้านกุศลที่ดี ผมจึงเข้าใจที่พี่ท่านพูดว่าให้ทำเก็บแต้มในด้านดี สำหรับผมคิดว่าพี่ๆทุกๆท่านในชมรมได้ให้โอกาสผมทำบุญกุศลมากกว่า ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดนะครับเท่าที่ผมจะทำได้ ขอบพระคุณพี่ๆทุกท่านเสมอมาครับ

----------------------------------------------------------------

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
สำหรับพระวังหน้า ที่พี่มอบให้น้องปฐม (เดี๋ยวลืม) มีดังนี้ครับ

1.พระวังหน้า(อยุธยา) ซุ้มไทรย้อย ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 3 องค์(หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า และ หลวงปู่พระมูนียะเถระเ้จ้า) อธิษฐานจิต

2.ลูกแก้ว (ไว้ในการทำสมาธิ) หลวงปู่เครา วัดถ้ำระฆังทองเือือมระอาศรัทธาธรรม

3.พระปิดตา (หลวงปู่อิเกสาโร และ กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่) อธิษฐานจิต หากเป็นพิมพ์พระปิดตาหลวงพ่อแก้ว องค์เล็กๆ หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ท่านอธิษฐานจิตด้วยนะครับ

4.พิมพ์หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน มีทั้งเนื้อปูนเพชร , เนื้อใบลาน และ เนื้อทองเหลือง

5.พระสมเด็จ พิมพ์พระประธาน

6.พระปิดตาวังหน้า 2 หน้า เนื้อขาว

7.พิมพ์ต้นรังคู่ เนื้อกรมท่า ลงรักจีน สีแดง

ส่วนที่พี่มอบให้นั้น หากเราจะนำไปถวายพระภิกษุหรือมอบให้ใคร แล้วแต่น้องปฐมนะครับ

ส่วนพิมพ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์ไหน หากเห็นแล้วชอบ พี่อนุญาตให้หยิบได้เลยนะครับ เพื่อเห็นกำลังใจในการทำความดีครับ

สะสมแต้ม(กรรมดี)ไว้นะครับ เรื่องนี้ไม่มีใครแย่งเราไปได้ ใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น

ปลูกข้าว ต้องได้ต้นข้าว ไม่เคยมีที่ปลูกข้าวแล้วต้นที่โตเป็นมะม่วง หรือ ต้นไม้ประเภทอื่น

ใครทำใครได้ ใครกินใครอิ่ม (เป็นคำสอนที่พี่ใหญ่สอนพี่มา)

โมทนาบุญทุกประการครับ


----------------------------------------------------------------
.
อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong อ่านข้อความ
.





พี่ส่งเบี้ยแก้ (บุทอง 2 ตัว และ ลงรัก 4 ตัว) ถวายพระภิกษุด้วยนะครับ


จะได้เป็นสิ่งที่ช่วยท่านในหลายๆเรื่องครับ


.
สำหรับท่านผู้อ่าน

ท่านเลือกเองว่า พระวังหน้า ที่แก๊งบัวใต้น้ำบอกว่า เก๊ , ปลอม , ไม่มีในสารบบการซื้อขายพระของเมืองไทย หรือ คำพูด(โพส)ในลักษณะแบบนี้ ว่า พระวังหน้า มีจริงหรือไม่ อย่างไร ส่วนกรรมที่ปรามาสพระวังหน้า ผู้ที่กระทำกรรม ต้องได้รับผลกรรมเอง ผมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องอีก เทพเทวาที่ท่านมีหน้าที่นี้ ท่านทำหน้าที่ของท่านเอง ผมไม่เข้าไปแย่งงานท่านทำ ผมมาทำงานบุญ สะสมแต้ม(บุญ) เปลี่ยนพระวังหน้าให้เป็นอริยทรัพย์ ดีที่สุด อริยทรัพย์ที่ผมได้ ไม่มีใครที่สามารถแย่งผมไปได้ครับ

ผม , สมาชิกชมรมพระวังหน้า และ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ผมรู้จักหลายๆท่าน ห้อยแต่พระวังหน้า ครับ

ส่วนพระวังหน้า ดีอย่างไร ผมคงไม่มาบอกอีก เนื่องจากได้บอกในกระูทู้พระวังหน้ามามากแล้ว สำหรับท่านที่มีพระวังหน้า ท่านต้องพิสูจน์เองว่า ดีหรือไม่ ลองห้อยเดี่ยวดู แต่การเลี่ยมต้องเจาะรูที่พลาสติกด้วยครับ

ทำไมถึงต้องเจาะรูที่พลาสติก เรื่องนี้ผมก็ได้เคยอธิบายในกระทู้พระวังหน้าแล้วเช่นกัน

โมทนาสาธุครับ


29  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: อัพเดตความคืบหน้าโครงการ สุขใจ แจก CD ธรรมะ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2554 06:01:13
มาเป็นกำลังใจครับ





.
30  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: ผมคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในวันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2554 เมื่อ: 11 เมษายน 2554 19:37:01
.



.
31  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: ผมคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในวันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2554 เมื่อ: 11 เมษายน 2554 19:20:45
.

32  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: ผมคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในวันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2554 เมื่อ: 11 เมษายน 2554 19:17:39
ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกว่า ทางธนาคารก็ต้องสอบถามข้อมูลลูกค้า แล้วไม่ทราบว่า คุณชื่อ และนามสกุลอะไร

ผมตอบไปว่า ธนาคารต้องรู้ชื่อและนามสกุลผมอยู่แล้ว เนื่องจากผมเป็นลูกค้าของธนาคาร เอ้ แต่ว่า คุณเป็นพนักงานธนาคารเหรอ พูดไทยไม่ค่อยชัดเลย ใช่คนไทยแน่หรือ (ลักษณะของการพูด เหมือนกับคนจีนที่พูดภาษาไทยได้แต่ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่)

ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตอบกลับมาว่า ผมเป็นคนไทย (เสียงพูดพยายามจะพูดให้ชัดที่สุด) แล้วทางคุณ(คือผม)ชื่อและนามสกุล อะไร ทางธนาคารจะได้ตรวจสอบข้อมูลให้ว่า ได้ใช้บัตรเครดิตไปถูกต้องหรือไม่

ผมตอบไปว่า ผมว่าคุณไม่ใช่คนไทยแน่เลย

ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตอบมาว่า ผมถามชื่อและนามสกุลคุณ แล้วคุณไม่ตอบ แสดงว่า ผมคุยกับหมาอยู่ (พูดลักษณะนี้ประมาณ 3 ครั้ง)

ผมก็หัวเราะ แล้วบอกไปว่า ผมรู้ว่าคุณเป็นพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำแบบนี้ บาปกรรมเยอะน๊ะ ไปหลอกลวงชาวบ้านเขา

ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บอกมาอีกว่า แล้วมึงจะโอนมาคุยทำเห.. อะไร (พูดลักษณะนี้อีก 2 ครั้ง แล้วให้อีกคนที่เป็นผู้หญิงมาพูดต่อ (คนแรกเป็นผู้ชาย) แต่คราวนี้ ด่าผมมาเป็นชุดสาระพัดสัตว์ ผมก็หัวเราะแล้วบอกว่า กริยาส่อสกุล ปรากฎว่า วางสายไปเลยครับ

มาเล่าสู่กันฟัง

เรื่องสำคัญที่สุดของพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็คือ การที่พวกนี้ได้ชื่อ-นามสกุล , หมายเลขบัตรประชาชน และ ให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม

การที่พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ ชื่อ - นามสกุล และหมายเลขบัตรประชาชนไป เขาจะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้หลายๆเรื่อง เช่น การทำบัตรเครดิตปลอม การทำบัตรประชาชนปลอม

ส่วนการให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็ม นั่นก็การให้เราโอนเงินให้มัน

ห้ามบอก ชื่อ - นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ และรายละเอียดส่วนตัวใดๆ และ ไม่ให้ไปทำรายการที่ตู้เอทีเอ็มโดยเด็ดขาดครับ

http://board.palungjit.com/f179/พระวังหน้า-ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก-ถ้าต้องการที่จะได้-22445-2236.html
33  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / ผมคุยกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในวันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2554 เมื่อ: 11 เมษายน 2554 19:16:31
วันนี้ผมมีเรื่องครับ จะเล่าให้ฟัง

ผมได้ออกไปหาลูกค้า เวลาประมาณ 13.17 น. ผมได้โทร.ไปหาคุณnongnooo จะแซวท่านโดจิ ผมบอกว่า ผมฝากบอกท่านโดจิด้วยว่า ผมไปทานข้าวหมกแพะ แถวๆบางรัก เผื่อ คุณnongnooo บอกว่า ท่านโดจิ เกือบได้ไปเจอลุงหนุ่มแล้ว แต่ท่านโดจิบอกว่า เบื่อ ก็เลยไปทานกันที่อื่น

หลังจากที่ผมคุยกับคุณnongnooo เรียบร้อย ผมได้โทร.ไปหาคนขับรถ ให้เขานำรถมารับผมและเพื่อนที่ทำงาน(2คน) พอจะเดินทางกลับที่ทำงาน ปรากฎว่า มีโทรศัพท์เข้ามาหาผม ผมมองที่โทรศัพท์ปรากฎว่า ขึ้นมาว่าเป็นเบอร์ส่วนตัว ผมก็บอกว่า สงสัยว่าที่โทร.มาจะไม่ดี

พอผมรับสาย เป็นเสียงตอบรับอัตโนมัติ บอกว่า วันนี้ทางคุณ(คือผม) ได้ใช้บัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย จำนวนเงิน สามพันเก้าร้อย..(ผมจำตัวเลขไม่ได้)... หากมีข้อสงสัยให้กด 9 เพื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ หากฟังซ้ำให้กด 1

ผมหันไปบอกเพื่อนร่วมงานที่ไปด้วยกันว่า น่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทร.มาแน่ ให้เงียบๆ

ผมก็เลยกด 9

พอทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์รับสาย สอบถามผมว่า มีเรื่องอะไรที่ได้โทร.เข้ามา

ผมบอกว่า ก็เห็นว่า ทางคุณโทร.เข้ามาว่า ผมได้ใช้บัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทย ไปจำนวน สามพันกว่าบาท

ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บอกว่า แล้วทางคุณ(sithiphong) ได้ใช้บัตรไปตามนั้นจริงหรือเปล่า

ผมบอกว่า ผมได้ใช้ไปจริงๆ จำนวนเงินประมาณ 3 พันกว่าบาท แต่ผมจำไม่ได้ว่า ยอดเงินเท่าไหร่ สลิปอยู่ที่บ้าน

ทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์บอกว่า งั้นผมขอชื่อและนามสกุลด้วย

ผมก็เลยบอกไปว่า อ้าว ธนาคารต้องรู้สิครับว่า ผมชื่ออะไร ไม่อย่างนั้นจะโทร.มาหาผมถูกหรือ
34  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: ชมรมพระวังหน้า เพื่อพระวังหน้าและงานบุญต่างๆ เมื่อ: 06 เมษายน 2554 10:07:10
สำหรับงานบุญในวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554 ที่ผมอัญเชิญพระพุทธรูป หน้าตัก 12 นิ้ว จำนวน 3 องค์( เชียงแสน , สุโขทัย และอู่ทอง) ที่ท่านเจ้าสัวน้อย ฝากถวายวัด โดยผมฝากให้พี่เปี๊ยก เป็นผู้ที่อัญเชิญไปถวายวัดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

มีผู้ร่วมทำบุญในงานบุญนี้

1.ท่านเจ้าสัวใหญ่ และครอบครัว
2.คุณธวัช และครอบครัว
3.คุณกุ้งมังกอนและครอบครัว
4.คุณปฐมและครอบครัว
5.ผมและครอบครัว

เงินที่ร่วมทำบุญในการถวายพระพุทธรูป หน้าตัก 12 นิ้ว จำนวน 3 องค์( เชียงแสน , สุโขทัย และอู่ทอง) ท่านเจ้าสัวน้อยแจ้งมาว่า ให้ผมดำเนินการทำบุญช่วยเหลือชาวภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย ผมจะดำเนินการโอนเงินเข้ามูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เราจะร่วมทำบุญกับในหลวงกันครับ

ทำบุญเรื่องเดียว ได้หลายต่อ แบบนี้ชอบมากที่สุดครับ

โมทนาในทุกบุญกับทุกๆท่านครับ

http://board.palungjit.com/f179/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2233.html



.

http://board.palungjit.com/f6/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A8%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89-285468-2.html

.
35  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: รวมศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อ: 06 เมษายน 2554 10:05:53
สำหรับงานบุญในวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554 ที่ผมอัญเชิญพระพุทธรูป หน้าตัก 12 นิ้ว จำนวน 3 องค์( เชียงแสน , สุโขทัย และอู่ทอง) ที่ท่านเจ้าสัวน้อย ฝากถวายวัด โดยผมฝากให้พี่เปี๊ยก เป็นผู้ที่อัญเชิญไปถวายวัดที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

มีผู้ร่วมทำบุญในงานบุญนี้

1.ท่านเจ้าสัวใหญ่ และครอบครัว
2.คุณธวัช และครอบครัว
3.คุณกุ้งมังกอนและครอบครัว
4.คุณปฐมและครอบครัว
5.ผมและครอบครัว

เงินที่ร่วมทำบุญในการถวายพระพุทธรูป หน้าตัก 12 นิ้ว จำนวน 3 องค์( เชียงแสน , สุโขทัย และอู่ทอง) ท่านเจ้าสัวน้อยแจ้งมาว่า ให้ผมดำเนินการทำบุญช่วยเหลือชาวภาคใต้ที่ประสบอุทกภัย ผมจะดำเนินการโอนเงินเข้ามูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เราจะร่วมทำบุญกับในหลวงกันครับ

ทำบุญเรื่องเดียว ได้หลายต่อ แบบนี้ชอบมากที่สุดครับ

โมทนาในทุกบุญกับทุกๆท่านครับ
36  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: รวมศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อ: 06 เมษายน 2554 10:05:12
37  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: รวมศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อ: 06 เมษายน 2554 10:04:09
38  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: รวมศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อ: 06 เมษายน 2554 10:03:12
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์


พระราชทานกำเนิดมูลนิธิ เมื่อได้ช่วยเหลือประชาชนในระยะแรกแล้ว ยังเหลือเงินอีกสามล้านบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า เงินสามล้านบาทนี้ ควรตั้งเป็นทุนเพื่อหาดอกผลสำหรับสงเคราะห์เด็ก ซึ่งครอบครัวต้องประสบวาตภัยภาคใต้ และขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูประการหนึ่งและสำหรับสงเคราะห์ช่วยเหลือราษฎรผู้ ประสบสาธารณภัยทั่วประเทศอีกประการหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานเงินสามล้านบาท ให้เป็นทุนประเดิมก่อตั้งมูลนิธิ และพระราชทานนามว่า “มูลนิธิราชประชานุเคราะห์” และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ใน “พระบรมราชูปถัมภ์” กับทรงดำรงตำแหน่ง พระบรมราชูปถัมภกแห่งมูลนิธินี้ด้วย ชื่อของมูลนิธินี้หมายความว่า “พระราชา” และ “ประชาชน” อนุเคราะห์ซึ่งกันและกัน เป็นการแสดงน้ำพระทัยว่า เวลาทำงานควรจะได้ให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย

มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้ก่อกำเนิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ ทรงมีต่อพสกนิกรของพระองค์โดยได้ทรงมีพระราชดำริว่าภัยธรรมชาติหรือสาธารณ ภัยอาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ไม่มีผู้ใดจะคาดหมายได้ดังที่ได้เกิดขึ้นที่แหลมตะลุมพุกนครศรีธรรมราช และหลายจังหวัดภาคใต้

มูลนิธิฯ ได้ทุนดำเนินงานจากเงินพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทาน เงินอุดหนุนจากรัฐบาล จากผู้ที่มีจิตศรัทธาบริจาค จากทรัพย์สินซึ่งมีผู้ยกให้ และจากดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินอันเป็นทุนของมูลนิธิฯ

การใช้จ่ายเงินของมูลนิธิฯ อยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับ ซึ่งมีการควบคุม ตรวจสอบอย่างรอบคอบ การดำเนินงานยึดมั่นในพระบรมราโชบาย “...ให้ไปให้ความอบอุ่นไปช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยฉับพลัน ทำให้ผู้ประสบภัยได้รับการช่วยเหลือ มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานต่อไป...”

“...การช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้นจะต้องช่วยในระยะสั้นหมายความว่า เป็นเวลาที่ฉุกเฉินต้องช่วยโดยเร็ว และต่อไปก็จะต้องช่วยให้ต่อเนื่อง...ส่วนเรื่องการช่วยเหลือในระยะยาวก็มี ความจำเป็นเหมือนกัน... เป็นผลว่าเขาได้รับการดูแลเหลียวแลมาจนกระทั่งได้รับการศึกษาที่สามารถทำมา หากินได้โดยสุจริตและโดยมีประสิทธิภาพ เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ...”

คณะกรรมการบริหารได้มอบหมายหน้าที่ให้กรรมการช่วยปฏิบัติงาน แบ่งออกเป็น ๖ ฝ่าย คือ ฝ่ายหาทุน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายบรรเทาทุกข์ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ ฝ่ายการศึกษาสงเคราะห์ และฝ่ายฝึกอบรม คณะกรรมการเจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครต่างๆ ได้เสียสละเวลา กำลังกาย กำลังทรัพย์ ดำเนินตามพระบรมราโชบายตามเบื้องพระยุคลบาท ออกช่วยเหลือสงเคราะห์ประชาชน ผู้ทุกข์ยากเดือดร้อนทั่วราชอาณาจักร ยังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพสกนิกรทั้งใกล้ไกล ที่ได้ทรงห่วงใยเอื้ออาทรอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะสนิทแน่นอยู่ในดวงกมลของคนไทยต่อไป


วัตถุประสงค์ :

1. เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
2. เพื่อให้การสงเคราะห์ด้านการศึกษา

2.1 ทุนการศึกษาแก่นักเรียนที่เรียนดีเยี่ยมในโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ และเด็กกำพร้า หรืออนาถา ที่ครอบครัวประสบสาธารณภัย
2.2 บูรณะ ซ่อมแซม ปรับปรุง โรงเรียนราชประชานุเคราะห์

3. เพื่อให้มีการป้องกันสาธารณภัยที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
4. เพื่อให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือเป็นส่วนรวมแก่ประชาชนที่ได้รับความทุกข์ยาก เดือดร้อนประการ อื่น ซึ่งคณะกรรมการบริหารพิจารณาเห็นสมควร และได้รับความเห็นชอบจากนายกมูลนิธิฯ

กิจกรรมมูลนิธิ :

1. มอบทุนพระราชทานการศึกษาสงเคราะห์ต่อเนื่องแก่นักเรียนกำพร้าที่ครอบครับประสบธารณภัยต่าง ๆ
2. ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการสร้างโรงเรียนที่ประสบสาธารณภัย และสร้างโรงเรียนให้สำหรับบุตรหลานที่ประสบภัยในจังหวัดต่าง ๆ
3. สงเคราะห์ผู้ประสบสาธารณภัยกรณีต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวม 1,258,822 ครอบครัว จำนวน 6,630,412 คน มอบสิ่งของพระราชทานแก่ผู้ประสบสาธารณภัยตามแผนปฏิบัติงานร่วมกันที่ ตกลงไว้กับกรมประชาสงเคราะห์ ได้แก่ เครื่องครัว เครื่องนอน วัสดุซ่อมแซมบ้าน ข้าวสาร อาหารแห้ง เครื่องใช้ ที่จำเป็นสำหรับครอบครัว ทุนพระราชทานการศึกษาสงเคราะห์ และความเดือนร้อนประการอื่น



มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมป์

.

http://www.rajaprajanugroh.org/intro.aspx


.
39  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: รวมศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อ: 06 เมษายน 2554 10:02:12
ช่วยภัยน้ำท่วม มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปัมภ์



วิธีการเงินโดยเสด็จพระราชกุศล
สมทบทุนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
การโอนเข้าบัญชี(ประเภทออมทรัพย์)
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อย สำนักพระราชวัง (สนามเสือป่า)
ชื่อบัญชี มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เลขที่บัญชี 401-636319-9

ธนาคารทหารไทย สาขาย่อย สำนักพระราชวัง(สนามเสือป่า)
ชื่อบัญชี มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เลขที่บัญชี 046-2-44777-2
(กรุณาส่งสำเนาใบนำฝาก พร้อมแจ้งชื่อ ที่อยู่ ที่จะออกใบเสร็จของท่าน มาทางโทรสารหรือจดหมาย ภายใน 15 วัน)

การส่งเช็คธนาคาร ตั๋วแลกเงิน หรือธนาณัติ
สั่งจ่าย ในนามมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ
ปณ.พลับพลาไชย 10100 หรือ ปณ. จิตรลดา 10303
พร้อมแจ้งชื่อที่อยู่ที่จะออกใบเสร็จของท่านแล้วส่งไปที่
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ตู้ ปณ.22 พลับพลาไชย กรุงเทพมหานคร 10100

***********************************

สร้างกุศลร่วมกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครับ

สามารถติดตาม กำหนดการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ที่
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

ครับผม

1522 :

[url=http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=1522]http://www.dhammathai.org/webboard/dbview.php?No=1522

40  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / Re: รวมศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยน้ำท่วมภาคใต้ เมื่อ: 31 มีนาคม 2554 06:23:03
อันว่าความกรุณาปรานี    จะมีใครบังคับก็หาไม่
หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ    จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน


---------------------

เวนิสวาณิช
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เว นิสวาณิช (อังกฤษ: The Merchant of Venice) เป็นบทละครของวิลเลียม เชกสเปียร์ ซึ่งเชื่อว่าแต่งขึ้นในราวปี ค.ศ. 1596-1598 จัดอยู่ในประเภทละครชวนหัว แต่ต่อมาก็ได้รับการยอมรับให้เป็นวรรณกรรมโรแมนติกในบรรดาผลงานของเช็ค สเปียร์ทั้งหมด เนื่องจากมีฉากรักที่โดดเด่นมาก และความโด่งดังของตัวละคร ไชล็อก

The Merchant of Venice ได้แปลเป็นภาษาไทยครั้งแรกโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์แปลเป็นกลอนบทละครในปี พ.ศ. 2459 นอกจากนี้ยังมี เวนิสวาณิช ฉบับการ์ตูน เรียบเรียงโดย ชลลดา ชะบางบhttp://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A

.
หน้า:  1 [2] 3 4 ... 45
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.332 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 01 ตุลาคม 2566 12:04:17