โป๊ยเซียนแอฟริกา สวยแปลกน่าปลูกบางครั้งการแนะนำต้นไม้ในคอลัมน์แล้วผู้อ่านตามไปซื้อในแหล่งที่บอกไว้ แต่ปรากฏว่าผู้ขายบอกว่าต้นหมดหรือไม่มีแล้ว ทำให้เสียความรู้สึกได้เช่นกัน และ “โป๊ยเซียนแอฟริกา” เป็นอีกต้นหนึ่งที่มีต้นวางขาย มีป้ายชื่อติดไว้ชัดเจน แต่ผู้ขายบอกไม่ได้ว่ามีชื่อวิทยาศาสตร์และวงศ์อย่างไร ระบุเพียงว่าเป็นไม้นำเข้าจากประเทศแอฟริกาและอยู่ในวงศ์โป๊ยเซียน ซึ่งดูแล้วลำต้นสวยงามแปลกตามาก เนื่องจากส่วนใหญ่ต้นโป๊ยเซียนที่คนทั่วไปรู้จักและนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายนั้น จะไม่มีเหง้าหรือหัว ส่วนดอก ผู้ขายบอกต่อว่ายังไม่เคยเห็นเช่นกัน เลยขอแนะนำให้รู้จักเป็นความรู้เท่านั้น
โป๊ยเซียนแอฟริกา เท่าที่ดูจากต้นจริงและผู้ขายบอกเพิ่มเติมพอจะบอกลักษณะได้ดังนี้คือ เป็นไม้พุ่มมีหัวหรือเหง้าขนาดใหญ่ เปลือกเหง้าเรียบสีน้ำตาลเทา เหง้าหรือหัวจะสูงประมาณเกือบครึ่งฟุต บริเวณส่วนปลายของเหง้าหรือหัวจะมีต้นแทงขึ้นจำนวนหลายต้น ลำต้นเป็นสีเขียวเขียวสด และเป็นสันเหลี่ยมเหมือนกับลำต้นของโป๊ยเซียนหรือลำต้นของตะบองเพชรทั่วไป แต่ที่แปลกคือลำต้นจะบิดเป็นเกลียวสวยงามน่าชมมาก ตามสันเหลี่ยมจะมีหนามแหลมเป็นกระจุก ๔-๕ หนามแหลม และทิ้งระยะห่างกันอย่างชัดเจนคล้ายต้นโป๊ยเซียนหรือตะบองเพชรทั่วไปทุกอย่าง ลำต้นของ “โป๊ยเซียนแอฟริกา” ผู้ขายบอกว่าสามารถยาวได้กว่า ๑ ฟุต
ส่วนดอกที่ผู้ขายบอกในตอนแรกแล้วว่าไม่เคยเห็น จึงไม่รู้ว่าลักษณะดอกเป็นอย่างไรและสีอะไรด้วย ดอกจะออกบริเวณไหนของลำต้น เป็นช่อหรือเป็นดอกเดี่ยวๆ ก็ไม่รู้ ผู้ขายบอกได้เพียงว่า ขยายพันธุ์ด้วยเหง้าหรือหัว
โป๊ยเซียนแอฟริกา ปลูกได้ในดินผสมสำหรับปลูกต้นตะบองเพชรทั่วไป เป็นไม้ทนแล้งโดยธรรมชาติ ชอบแสงแดดได้เต็มวัน รดน้ำอาทิตย์ละครั้ง เหมาะจะปลูกกระถางกะทัดรัด ตั้งประดับโต๊ะทำงาน สามารถยกเข้ายกออกได้ง่ายๆ สวยงามมาก เคยมีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แถวบริเวณโครงการ ๒๔ แต่ปัจจุบันจะยังมีต้นขายอยู่หรือไม่ต้องเดินสำรวจดูครับ.
จำปูน ไม้ดอกหอมใต้ไม้ต้นนี้พบมีขึ้นตามธรรมชาติมากมายในแถบเทือกเขาบรรทัดทางภาคใต้ของประเทศไทย สมัยก่อนนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายเฉพาะถิ่นในบริเวณบ้านมาช้านาน จนทำให้ต้น “จำปูน” ได้ชื่อว่าเป็นไม้ดอกหอมของภาคใต้ และเป็นสัญลักษณ์ของชาวใต้โดยปริยาย ปัจจุบันคนรุ่นใหม่น้อยคนนักจะรู้จักต้น “จำปูน” เนื่องจากค่านิยมปลูกได้ลดน้อยลงไปตาม
กาลเวลา ซึ่งต้น “จำปูน” มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ
ANAXAGOREA JAVANICA BL. อยู่ในวงศ์
ANNONACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก ต้นสูงเต็มที่ประมาณ ๒-๔ เมตรเท่านั้น แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่น ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับเป็นรูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบเกือบมน ผิวใบเกลี้ยงเป็นมัน ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีจางกว่า เวลามีใบดกผู้ปลูกตัดแต่งกิ่งอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เป็นพุ่มน่าชมยิ่ง
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามกิ่งก้านตรงกันข้ามกับใบและปลายกิ่ง มีกลีบดอก ๖ กลีบ เนื้อกลีบหนาและแข็ง กลีบดอกเรียงซ้อนกันเป็น ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาวนวล โคนกลีบดอกเป็นสีเขียว ปลายกลีบสีอ่อนกว่า ดอกมีกลิ่นหอมแรงมาก ดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ ซม. มีเกสรตัวผู้และ เกสรตัวเมียจำนวนมาก เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามแปลกตาพร้อมส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจและประทับใจยิ่ง “ผล” เป็นผลกลุ่ม รูปร่างค่อนข้างกลม ภายในมีเมล็ดสีดำจำนวนมาก ดอกออกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
ปัจจุบันต้น “จำปูน” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณแผงขายไม้ไทยโครงการ ๕ ใกล้ทางออกประตู ๓ ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกในบริเวณบ้าน ๒-๓ ต้น เวลามีดอกถูกลมพัดเอากลิ่นหอมโชยเข้าบ้านจะสร้างบรรยากาศเป็นธรรมชาติดีมากครับ
ไทยรัฐ จำปีแดงพันธุ์ใหม่ปกติไม้ในสกุลจำปีต้น จะสูงใหญ่ ๗-๑๐ เมตรขึ้น แต่ “จำปีแดงพันธุ์ใหม่” ที่พบมีกิ่งตอนวางขายมีภาพถ่ายของดอกจริงโชว์ให้ชมด้วยนี้ ผู้ขายยืนยันว่าเป็นไม้พุ่มโดยธรรมชาติของสายพันธุ์ไม่ใช่ไม้ยืนต้นเช่นจำปีทั่วไป ต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน ๔ เมตร ผู้ขายบอกต่อว่าสามารถปลูกลงกระถางขนาดใหญ่แล้วตัดแต่งกิ่งให้ต้นสูงเพียง ๒ เมตร รดน้ำบำรุงปุ๋ยสม่ำเสมอ จะมีดอกดกสีสันของดอกสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจได้ทั้งปีเหมือนกับปลูกลงดินทุกอย่าง
จำปีแดงพันธุ์ใหม่ เท่าที่ดูด้วยสายตาจากต้นที่วางขายพอระบุได้ว่าเป็นไม้อยู่ในวงศ์แม็กโนเลียทั่วไป ผู้ขายบอกว่าเป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศนานกว่า ๕ ปีแล้ว เป็นไม้พุ่มสูง ๔ เมตรตามที่ผู้ขายบอกตอนต้น ใบเดี่ยวออกสลับหนาแน่นช่วงปลายยอด ใบรูปใบหอกแกมขอบขนาน ปลายแหลมโคนสอบ เนื้อใบหนา ใบมีขนาดใหญ่ ขอบใบเรียบเป็นคลื่นเล็กน้อย สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ ตามซอกใบใกล้ปลายยอด มีกลีบดอก ๘-๑๒ กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น เนื้อกลีบดอกหนา เป็นสีแดงเข้มอมสีม่วงตลอดทั้งกลีบดอก ดอกขณะยังตูมเป็นรูปกระสวย ดอกมีขนาดใหญ่มาก มีเกสร ๑๐-๑๓ อัน ดอกมีกลิ่นหอมแรง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น สีสันของดอกจะดูเจิดจ้าสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ประทับใจมาก ดอกออกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง ทาบกิ่ง และเสียบยอด ปลูกได้ในดินทั่วไปและ ปลูกเจริญเติบโตได้ดีทั้งในพื้นที่ราบต่ำและพื้นที่สูง เป็นไม้ไม่ชอบน้ำมากนัก รดน้ำวันละครั้งหรือวันเว้นวันได้ บำรุงปุ๋ยมูลสัตว์สลับกับใส่ปุ๋ยสูตร ๑๖-๑๖-๑๖ ครึ่งเดือนครั้ง จะทำให้ต้น “จำปีแดงพันธุ์ใหม่” แข็งแรงมีดอกสีสันงดงามและส่งกลิ่นหอมไม่ขาดต้น ปัจจุบันมีกิ่งตอนแท้ขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
ไทยรัฐ จำปาสีทอง กับที่มาพันธุ์สวยหอมจำปาชนิดนี้ เกิดจากการนำเอาเมล็ดของจำปาสายพันธุ์พื้นเมืองของไทยจำนวนหลายเมล็ดไปเพาะเป็นต้นกล้า แล้วแยกปลูกเลี้ยงจนโตมีดอกและติดผล ปรากฏว่าลักษณะดอกใหญ่และดีกว่าดอกจำปาสายพันธุ์พื้นเมืองหรือพันธุ์แม่อย่างชัดเจน จึงคัดเอาต้นดีที่สุดไปปลูกเลี้ยงและขยายพันธุ์ปลูกทดสอบความนิ่งของสายพันธุ์อยู่หลายวิธีจนมั่นใจได้ว่าเป็นจำปาพันธุ์ใหม่ที่กลายพันธุ์ถาวรแล้วแน่นอน เนื่องจากยังเหมือนเดิมทุกอย่าง เลยตั้งชื่อว่า “จำปาสีทอง” ดังกล่าว พร้อมขยายพันธุ์ออกขายได้รับความนิยมจากผู้ปลูกอย่างแพร่หลายในเวลานี้
จำปาสีทอง อยู่ในวงศ์
MAGNOLIACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๒๐ เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเวียนสลับรูปรี รูปไข่หรือรูปไข่แคบ ปลายใบแหลม หรือเป็นติ่งแหลม โคนกลมมน หรือแหลม ใบมีขนาดใหญ่ สีเขียวสด เวลามีใบดกจะหนาทึบให้ร่มเงาดีมาก
ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบเกือบทุกซอกใบ มีกลีบดอก ๑๒-๑๕ กลีบ เรียงซ้อนกันหลายชั้น กลีบด้านนอกสด จะมีขนาดใหญ่และยาวกว่ากลีบที่อยู่ชั้นถัดไปตามลำดับ ปลายกลีบดอกแหลม เนื้อกลีบดอกหนากว่าเนื้อของกลีบดอกจำปาทั่วไปเยอะ ดอกตูมเป็นรูปกระสวย เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดใหญ่ กว่าดอกจำปาทั่วไป ๒ เท่า มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียเยอะ สีของกลีบดอกเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีเหลืองทอง ดอกจะมีกลิ่นหอมแรงในช่วงเช้า พอตกบ่ายกลิ่นหอมจะจางลง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงามอร่ามตาและสิ่งกลิ่นหอมตอนเช้าตรู่เป็นที่ชื่นใจยิ่ง “ผล” เป็นกลุ่ม มีผลย่อยจำนวนมาก ผลย่อยเป็นรูปค่อนข้างกลมและแข็ง ผิวผลสีน้ำตาลอ่อน มีแต้มหรือจุดด่างสีขาว มีเมล็ดจำนวนมาก ดอกออกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ทั่วไปด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด
ปัจจุบันมีกิ่งตอนวางขายทั่วไปที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น เหมาะจะปลูกประดับในบริเวณบ้านมากครับ.
ไทยรัฐ อโศกระย้า ดอกสวยน่าปลูกเมื่อประมาณ ๖-๗ ปีที่ผ่านมา “อโศกระย้า” มีกิ่งตอนวางขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ที่เปิดขายเฉพาะไม้ดอกและไม้ผลทุกวันพุธ–พฤหัสฯ ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเวลามีดอกจะดูสวยงามมากนั่นเอง แต่ปัจจุบันไม่พบว่ามีกิ่งตอนวางขายอีกแล้ว เลยทำให้ “อโศกระย้า” กลายเป็นไม้หายากไปโดยปริยาย
อโศกระย้า หรือ
AMHERSTIA NOBILIS WALL. ชื่อสามัญ
ORCHID FLOWER, PRIDE OF BURMA, QUEEN OF FLOWERING TREE อยู่ในวงศ์
LEGUMINOSAE, FABACEAE วงศ์ย่อย CAESALPINIOIDEAE มีถิ่นกำเนิดจากประเทศพม่า เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๑๕ เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลมหนาทึบ กิ่งห้อยลง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ปลายคู่มีใบย่อย ๖-๘ คู่ รูปขอบขนาน
ดอก ออกเป็นช่อห้อยลงที่ปลายกิ่งหรือออกตามลำต้น ช่อยาวประมาณ ๕๐-๘๐ ซม.แต่ละช่อมีดอกย่อยหลายดอกเรียงห่างกันอย่างเป็นระเบียบ ใบประดับและก้านดอกเป็นสีแดง หรือ สีแดงอมชมพู มีกลีบเลี้ยง ๔ กลีบ กลีบดอกมี ๕ กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน คู่ล่างเล็ก คู่ข้างดูคล้ายรูปช้อน เป็นสีแดง ปลายสีเหลือง กลีบบนแผ่กว้าง ขอบจัก มีจุดแดงและปื้นสีเหลืองบริเวณปลายกลีบ เวลามีดอกจะเป็นช่อห้อยระย้าทั้งต้นดูสวยงามมาก “ผล” เป็นฝักโค้ง สีแดงมีเมล็ดกลมแบน ๔-๖ เมล็ด ดอกออกเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
ปัจจุบันหากิ่งตอนวางขายยากมาก หากใครต้องการไปปลูกจะต้องเดินสำรวจให้ละเอียดอาจเจอได้ แต่หากหาไม่ได้สามารถสั่งผู้ค้าให้จัดหาให้ได้ ส่วนราคาต้องตกลงกันเอง ซึ่งต้น “อโศกระย้า” เหมาะที่จะปลูกประดับทั้งในบริเวณบ้านสำนักงานสวนสาธารณะทั่วไป เพราะต้น “อโศกระย้า” ได้ชื่อว่าเป็นไม้ยืนต้นที่มีดอกสวยที่สุดครับ.
ไทยรัฐ กระดังงาไต้หวัน หอมแรงดกสวยผู้อ่านไทยรัฐ จำนวนมากที่พลาดอ่านข้อมูลเกี่ยวกับต้น “กระดังงาไต้หวัน” ที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปนานแล้ว อยากทราบว่ามีความเป็นมาอย่างไรและมีต้นขายที่ไหน ซึ่งต้น “กระดังงาไต้หวัน” มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม ต้นสูงเต็มที่ประมาณ ๒.๕-๓ เมตรเท่านั้น ไม่ใช่ไม้เถาเลื้อย แตกกิ่งก้านหนาแน่น ลำต้นอวบอ้วนและใหญ่ในช่วงโคนต้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบเกือบมน ผิวใบเรียบ สีเขียวสดเป็นมัน เนื้อใบหนา ใบมีขนาดใหญ่
ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามปุ่มตาของลำต้นและกิ่งก้าน แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดใหญ่หนาแน่นจำนวนมาก ลักษณะดอกมีกลีบดอก ๖ กลีบ เรียงซ้อนกันเป็น ๒ ชั้น เหมือนกลีบดอกกระดังงาทั่วไป หรือกลีบดอกการเวก กลีบดอกเป็นสีเขียว เมื่อดอกแก่หรือนิยมเรียกว่า “กลีบสุก” จะเป็นสีเหลืองอมเขียว ดอกมีกลิ่นหอมแรงแบบเฉพาะตัว เมื่อดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔-๕ ซม. ดอกออกเกือบทั้งปี โดยดอกจะออกตั้งแต่โคนต้นเรื่อยขึ้นไปตามลำต้นและกิ่งก้าน
ที่สำคัญ จุดที่เคยออกดอกครั้งแรกจะออกดอกซ้ำที่เดิมหรือจุดเดิมตลอดไปและจะมีจำนวนดอกเพิ่มมากขึ้นตามอายุของต้นด้วย จึงทำให้เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงาม และส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ประทับใจมาก “ผล” ผู้ขายระบุว่ายังไม่เคยเห็นว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง เหมาะจะปลูกประดับทั้งในบริเวณบ้านและสำนักงานทั่วไป เวลามีดอกจะสวยงามและส่งกลิ่นหอมชื่นใจมากครับ.
ไทยรัฐ “แองเจิ้ลวิง” ไม้ดอกหอมที่หายไปไม้ต้นนี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ขายในประเทศไทยนานกว่า ๒๐ ปีแล้ว โดยในช่วงแรก “แองเจิ้ลวิง” ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อไปปลูกอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีดอกดกและดอกมีกลิ่นหอมแรงเป็นที่ประทับใจมาก ปัจจุบัน “แองเจิ้ลวิง” หาซื้อไปปลูกได้ยากมาก เนื่องจากผู้ขายดั้งเดิมได้เลิกขายไม้ดอกหอมไปหลายปีแล้ว แต่ยังมีผู้อ่าน ไทยรัฐที่ชื่นชอบปลูกไม้ดอกหอมตามหา “แองเจิ้ลวิง” ไปปลูกประดับอยู่ จึงแจ้งให้ทราบอีกตามหน้าที่
แองเจิ้ลวิง เป็นไม้ในกลุ่มเดียวกันกับจัสมินทั่วไป มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่มเตี้ย ต้นสูงเต็มที่ไม่เกิน ๑-๒ เมตร เนื้อลำต้นไม่แข็งนัก แตกกิ่งก้านสาขาหนาแน่น กิ่งเปราะ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามเป็นคู่ๆ รูปใบหอก ปลายแหลม โคนมน ยอดอ่อนเป็นสีม่วงแกมน้ำตาล เมื่อใบแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ทำให้ดูสวยงามแปลกตาสองรูปแบบ
ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย เป็นพวง ๑๐-๑๕ ดอก ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดสีม่วงอมแดง ปลายแยกเป็นกลีบดอก ๙-๑๒ กลีบ ดูคล้ายกลีบของดอกมะลิงาช้าง ปลายกลีบแหลมและบิดงอเล็กน้อย กลีบดอกเป็นสีขาว เมื่อดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑-๑.๕ ซม. หลังกลีบดอกจะมีเส้นสีม่วงลากยาวจากโคนกลีบถึงปลายกลีบ ดอกมีกลิ่นหอมแรงคล้ายกลิ่นหอมของดอกมะลิทั่วไปทุกอย่าง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมเป็นที่ชื่นใจมาก ดอกออกตลอดทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่ง
ไม่พบว่ามีกิ่งตอนหรือต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ตามที่ระบุข้างต้น ใครต้องการจะต้องเดินเสาะหาหรือบอกกล่าวให้ผู้ขายไม้ดอกหอมจัดหาให้ ราคาต่อรองกันเอาเอง เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับในบริเวณบ้านหลายๆ ต้น เวลามีดอก นอกจากจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมชื่นใจแล้ว ยังสามารถเก็บเอาดอกบูชาพระได้อีกด้วย
ไทยรัฐ “ตันหยง” หอมช่วงวสันต์ผู้อ่านจำนวนมากเข้าใจว่า “ตันหยง” เป็นไม้ไทยและเชื่อว่ามีถิ่นกำเนิดทางภาคใต้ของไทยด้วย เพราะชื่ออ่านแล้วน่าจะเป็นอย่างที่คิด แต่ความจริงแล้ว “ตันหยง” เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจากประเทศสหรัฐอเมริกาเขตร้อนทั่วไป ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในบ้านเราตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่าแล้ว จนทำให้กลายเป็นไม้ไทยไปโดยปริยาย มีชื่อเรียกในประเทศไทยว่า “ตันหยง” เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน นิยมปลูกตามบ้านตามสวนสาธารณะอย่างแพร่หลาย มีลักษณะประจำพันธุ์คือ ดอกดกสวยงามน่าชมยิ่ง ดอกมีกลิ่นหอมแรง และจะหอมจัดจ้านเต็มที่ในช่วงฤดูฝน หรือยุคสมัยก่อนชอบเรียกว่าหอมช่วงฤดูวสันต์นั่นเอง
ตันหยง หรือ
CAESALPINIA CORIARIA WILLD ชื่อสามัญ
DIVI-DIVI อยู่ในวงศ์
LEGUMINOSAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๕-๑๐ เมตร ลำต้นเดี่ยว แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกว้างรูปดอกเห็ด ใบเป็นใบประกอบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยขนาดเล็ก รูปขอบขนานแคบ ปลายมน ออกเป็นคู่ๆ ใบย่อยไม่มีก้านใบ สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก มีกลีบดอก ๖ กลีบ เป็นสีขาวอมเขียว หรือ สีเขียวอมเหลืองอ่อน เมื่อดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลาง ๐.๓-๐.๕ ซม. ดอกมีกลิ่นหอมแรงเป็นธรรมชาติ และจะมีกลิ่นหอมที่สุดในช่วงฤดูฝนหรือฤดูเหมันต์ ตามที่กล่าวข้างต้น เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกัน จะส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” เป็นฝักแบนและบิดงอ กว้างประมาณ ๑.๕ ซม. ยาวประมาณ ๓.๕ ซม.ภายในมีเมล็ด ดอกออกช่วงระหว่างเดือนมิถุนายนต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกรกฎาคมของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีต้นขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้นประโยชน์ เนื้อฝักของ “ตันหยง” มีสารพัด
TANNIN ๔๐-๕๐ เปอร์เซ็นต์ตำละเอียด พอกแผลสดแผลเปื่อยให้แห้งได้ และนำไปย้อมหนังสัตว์ได้อีกด้วยครับ
ไทยรัฐอินทนิล-เสลา-ตะแบก
ดอกไม้ที่ใกล้เคียงกัน ๓ ชนิด คือ อินทนิล เสลา (อ่านว่า สะ-เหลา) ตะแบก ดร.ธวัชชัย สันติสุข ราชบัณฑิต ประเภทวิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาขาวิชาพฤกษศาสตร์ อธิบายให้เข้าใจ ดังนี้
เมื่อลมร้อนเริ่มโชยจะสังเกตเห็นว่าต้นไม้บางชนิดที่ปลูกตามถนนหนทาง สวนสาธารณะ สถานที่ทำการบางแห่งในเมือง ผลิใบพร้อมกับช่อดอกขนาดใหญ่ สีม่วงสด ม่วงอมชมพู หรือชมพูเด่นสะดุดตา ต้นไม้เหล่านี้มีทั้ง ตะแบก เสลา อินทนิลน้ำ และอินทนิลบก ซึ่งดูผิวเผินมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จึงทำให้เกิดความสับสนว่า ต้นใดเป็น ตะแบก เสลา อินทนิล
พรรณไม้จำพวก ตะแบก เสลา อินทนิล เป็นไม้ในสกุลเดียวกัน คือ Lagerstroemia วงศ์ Lythraceae ชนิดที่เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของไทยนำมาปลูกประดับเรียงลำดับตามความนิยม ได้แก่ อินทนิลน้ำ เสลา ตะแบก และอินทนิลบก ตามถนน ในกรุงเทพมหานคร มักจะปรากฏพรรณไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง ดังกล่าวปลูกแทรกอยู่เสมอ เช่น สองฟากถนนเพชรบุรี มีอินทนิลน้ำ เสลา และตะแบก และปลูกกันประปรายในเมืองต่างๆ ทางภาคเหนือและภาคอีสาน พรรณไม้ทั้ง ๔ ชนิด มีลักษณะเด่นแตกต่างกันพอสังเกตได้ดังนี้
อินทนิลน้ำ (Lagerstroemia speciosa (Linn.) Pers.) เปลือกลำต้นสีเทาหรือน้ำตาลอ่อน ค่อนข้างเรียบ อาจจะตกสะเก็ดเป็นแผ่นบางๆ บ้างเล็กน้อย ใบเกลี้ยง ปลายใบเรียวแหลม ผลิใบอ่อนเต็มต้นพร้อมช่อดอก สังเกตได้ง่ายที่ตำแหน่งช่อดอกเป็นพุ่มทรงเจดีย์ชูตั้งขึ้นเหนือเรือนยอดโดยรอบ ขนาดของดอกบานกว้าง ๕-๘ เซนติเมตร ออกชิดกันเป็นกลุ่ม สีม่วงสด ม่วงอมชมพูจนถึงชมพู และสีจะซีดจางลงเล็กน้อย เมื่อดอกโรย ผลมีผิวขรุขระ สีคล้ายเนื้อไม้ ออกดอกช่วงฤดูร้อน (มีนาคม -พฤษภาคม)
อินทนิลบก (L. macrocarpa Wall. ex Kurz) ลักษณะคล้ายอินทนิลน้ำมาก แต่ใบ ดอก และผลมีขนาดใหญ่กว่า ใบป้อมและกว้างกว่าใบอินทนิลน้ำ ปลายใบมนกว้างหรือแหลมเป็นติ่งสั้นๆ ดอกออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ช่อดอก ไม่ชูตั้งขึ้นเหนือเรือนยอด ขนาดของดอกบานกว้าง ๑๐-๑๓ เซนติเมตร แต่ละดอกจะชิดกันเป็นกลุ่ม ดอกสีม่วงอมชมพู และสีจะจางซีดลงเป็นสีขาวอมชมพู ออกดอกช่วงฤดูร้อน มีชื่ออื่นๆ ว่า กาเสลา จ้อล่อ จะล่อ
เสลา (L. loudonii Teysm. et Binn.) เปลือกลำต้นสีน้ำตาลดำหรือสีคล้ำ แตกเป็นร่องตื้นๆ ตามยาว ปลายกิ่งย้อยลู่ลงสู่พื้น ใบมีขนปกคลุมประปราย ช่อดอกออกตามกิ่ง ตามง่ามใบและปลายกิ่ง แต่ช่อไม่ชูตั้งขึ้น เมื่อดอกในช่อบานจะชิดกัน ดอกสีชมพูอมม่วง ออกดอกช่วงฤดูร้อน ผลผิวเรียบเป็นมันสีน้ำตาลไหม้ มีชื่ออื่นๆ ว่า เสลาใบใหญ่ อินทรชิต
ตะแบก (L. floribunda Jack) เปลือกลำต้นสีเทา เรียบ ลื่น เป็นมัน มักมีรอยแผลเป็นหลุมตื้นคล้ายเปลือกต้นฝรั่ง ใบอ่อนมีขนปกคลุม ใบแก่เกลี้ยง ช่อดอกออกตามปลายกิ่ง โค้งชูเหนือเรือนยอด มีดอกจำนวนมาก ดอกขนาดเล็ก บานเต็มที่กว้าง ๔-๕ เซนติเมตร ดอกในช่อเรียงกันห่างๆ ทำให้ช่อดอกโปร่ง ดอกสีม่วงอมชมพู และสีจะจางซีดลงเกือบเป็นสีขาวเมื่อดอกโรย ผลผิวเรียบเป็นมันสีน้ำตาลเข้ม มีขนปกคลุมบางๆ ที่ส่วนปลาย ออกดอกในช่วงฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน)โกจิเบอร์รี่
จากบทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนของภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล โดย ผศ.ดร.ภญ.วีณา นุกูลการ และ น.ส.ธันย์ชนก ปักษาสุข ว่า โกจิเบอร์รี่ (Goji berry) หรือ Wolfberry มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Lycium barbarum วงศ์ Solanaceae หรือรู้จักกันในอีกชื่อว่า เก๋ากี้ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งในตระกูลเบอร์รี่ มีถิ่นกำเนิดแถบทวีปเอเชีย ผลของโกจิเบอร์รี่มีสีแดงอมส้ม ขนาดเล็ก รสชาติเปรี้ยวอมหวาน มีสรรพคุณหลากหลาย ได้รับขนานนามว่าเป็น ซูเปอร์ฟรุต (super fruit)
โกจิเบอร์รี่เป็นพืชที่มีใยอาหารสูงถึงร้อยละ ๒๐ ประกอบด้วยกรดอะมิโนหลายชนิด มีแร่ธาตุต่างๆ เช่น สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซียม ฟอสฟอรัส ซีลีเนียม เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสารสำคัญจำพวก ซีแซนทิน (zeaxanthin) และลูทีน (lutein) สูงมากกว่าผักและผลไม้ทั่วไป ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถสร้างสารทั้งสองนี้ได้ จำเป็น ต้องได้รับจากอาหาร ซึ่งพบว่า ซีแซนทินและลูทีนเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ๒ ชนิดเท่านั้นที่พบในจุดรับภาพของจอตา
มีการศึกษาพบว่า ภายในจอประสาทตาของคนเรา มีร่องเล็กๆ อยู่จุดหนึ่งที่มีเซลล์รับภาพในจอประสาทตา เป็นจุดที่แสงตกกระทบและทำให้คนเราสามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจนในแต่ละวัน ซึ่งบริเวณเซลล์รับภาพนี้มีสารสีเหลือง หรือลูทีน อยู่หนาแน่นมากที่สุด จะพบได้ตรงชั้นเนื้อเยื่อที่หล่อเลี้ยงเส้นประสาท หากบริเวณดังกล่าวเสื่อมหรือเสียไปอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ โดยสารลูทีนในเซลล์รับภาพในจอประสาทตานี้จะทำหน้าที่สำคัญคือ คอยกรองแสงสีฟ้าซึ่งเป็นอันตรายต่อจอประสาทตา เป็นแสงที่หลีกเลี่ยงได้ยากเพราะมีอยู่ทั่วไปรอบๆ ตัวเรา ทั้งแสงแดดจากดวงอาทิตย์ แสงจากโทรทัศน์ แสงจากจอคอมพิวเตอร์ แสงจากหลอดไฟ ฯลฯ
จากการศึกษาพบว่า ระดับลูทีน ๒.๐-๖.๙ มิลลิกรัมต่อวัน จะช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดด่างในดวงตาได้ ทั้งลูทีนยังทำหน้าที่เป็นสารต้านออกซิเดชั่นในดวงตาของคนเราอีกด้วย เพราะในดวงตาของเราจะมีสารอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นตัวทำลายเซลล์รับภาพและทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับจอประสาทตา ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ได้
ส่วนซีแซนทิน พบในโกจิเบอร์รี่ปริมาณสูง มากกว่าสาหร่ายเกลียวทองถึง ๕ เท่า ซีแซนทินเป็นองค์ประกอบสำคัญในจอตา โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า macular ซึ่งเป็นชั้นของเม็ดสี ทำหน้าที่กรองแสงที่จะผ่านเข้าสู่จอตาและช่วยลดการสะท้อนของแสง ป้องกันรังสีจากแสงแดดที่เป็นอันตรายต่อดวงตา ทำให้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันโรคหลายชนิด เช่น โรคต้อกระจก โรคจอรับภาพเสื่อม โรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากนี้ ผลโกจิเบอร์รี่ยังมีเบต้าแคโรทีน (beta carotene) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อีกชนิดหนึ่ง พบว่าในผลโกจิเบอร์รี่มีปริมาณเบต้าแคโรทีนสูงกว่าแครอต เบต้าแคโรทีนมีคุณสมบัติเป็นโปร วิตามินเอ คือเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ และจะถูกเปลี่ยนไปเป็นวิตามินเอจากเอนไซม์ที่ตับ วิตามินเอจัดเป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตา
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวันเราอาจหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงสีฟ้าได้ยาก เนื่องจากเป็นแสงที่อยู่รอบๆ ตัว รวมทั้งจากอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการบำรุงสุขภาพตาทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รวมทั้งการปกป้องสายตาจากแสงสีฟ้า นอกจากการหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงสีฟ้านานๆ การพักสายตาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ แล้ว การรับประทานสารที่มีฤทธิ์ปกป้องและบำรุงสายตา เช่น โกจิเบอร์รี่ ลูทีน และวิตามินเอ จะมีผลให้มีสุขภาพตาที่ดี โดยรับประทานได้จากอาหาร ผัก ผลไม้ นมสารภี
สารภี ชื่อสามัญ Negkassar ชื่อวิทยาศาสตร์ Mammea siamensis T.Anderson จัดอยู่ในวงศ์ CALOPHYLLACEAE ชื่อท้องถิ่นอื่นมีเช่น สารภีแนน (เชียงใหม่), ทรพี สารพี (จันทบุรี), สร้อยพี (ภาคใต้) เป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในพม่า ไทย อินโดจีน และคาบสมุทรมาเลเซีย ในธรรมชาติพบในป่าเบญจพรรณและป่าดงดิบที่ความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๒๐-๔๐๐ เมตร ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด หรือตอนกิ่ง ปลูกได้ดีทั้งในที่ร่มรำไรและที่กลางแจ้ง ในดินทุกสภาพ ชอบดินร่วนซุย ต้องการน้ำและความชื้นปานกลาง
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ ความสูงประมาณ ๑๐-๑๕ เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ แตกกิ่งก้านแผ่กว้าง เปลือกลำต้นเป็นสีเทาอมน้ำตาลถึงดำ แตกล่อนเป็นสะเก็ดตลอดลำต้น เปลือกในเป็นสีน้ำตาลแดง มียางสีครีมหรือสีเหลืองอ่อนเล็กน้อย ส่วนเนื้อไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เนื้อละเอียด เสี้ยนตรง ถี่ และสม่ำเสมอ แข็ง ทนทาน
ใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ลักษณะใบเป็นรูปไข่กลับ หรือรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบมนกว้างๆ บางทีอาจมีติ่งสั้นๆ หรือหยักเว้าแบบตื้นๆ โคนใบสอบเรียว ขอบใบเรียบ ใบมีความกว้าง ๒-๕.๗ เซนติเมตร ยาว ๗.๕-๒๕ เซนติเมตร แผ่นใบหนาเกลี้ยงสีเขียวเข้มเป็นมัน ท้องใบสีอ่อนกว่า เนื้อใบหนาและค่อนข้างเรียบ เส้นแขนงของใบไม่มี แต่เห็นเส้นใบย่อยเป็นแบบเส้นร่างแหชัดทั้งสองด้าน ก้านใบยาว ๐.๕-๑.๕ เซนติเมตร
ดอกสีขาวอมเหลือง ออกดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อกระจุกตามกิ่ง ดอกย่อยเป็นสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ดอกมีกลีบดอก ๔ กลีบ กลีบเลี้ยงมี ๒ กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองจำนวนมาก ออกดอกช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม ผลสารภีลักษณะเป็นรูปกระสวย หรือกลมรี ขนาด ๒.๕-๕ เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกเป็นสีเหลืองอมส้ม เนื้อผลนิ่ม รับประทานได้ มีเมล็ดเดียว เป็นผลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน
สารภีมีสรรพคุณ ดอกรสหอมเย็นใช้ผสมในยาหอม บำรุงหัวใจ บำรุงเส้นประสาท แก้วิงเวียนหน้ามืดตาลาย ชูกำลัง ช่วยทำให้เจริญอาหาร รักษาธาตุไม่ปกติ โลหิตพิการ ช่วยแก้ไข้มีพิษร้อน มีฤทธิ์ขับลม ใช้เป็นยาฝาดสมาน ทั้งนี้ ดอกสารภีจัดอยู่ในตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งห้า" (ดอกสารภี ดอกพิกุล ดอกมะลิ ดอกบุนนาค เกสรบัวหลวง), ตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งเจ็ด" (เพิ่มดอกกระดังงา ดอกจำปา) และในตำรับยา "พิกัดเกสรทั้งเก้า" (เพิ่มดอกลำดวน ดอกลำเจียก) เป็นตำรับยาที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น ทำให้ชื่นใจ แก้ลมกองละเอียด แก้อาการหน้ามืดตาลาย วิงเวียนศีรษะ แก้โรคตา แก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ และช่วยบำรุงครรภ์
ใบสารภีช่วยบรรเทาอาการปวดตามข้อ ช่วยขับปัสสาวะ, ผลสุกมีรสหวาน นอกจากรับประทานเป็นผลไม้ ยังช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยขยายหลอดเลือด, เกสรหอมเย็น ใช้เป็นยาแก้ไข้ บำรุงครรภ์ ส่วนยางไม้ของต้นสารภีนำมาใช้แก้อาการแพ้คันจากพิษของต้นหมามุ่ย หรือจากน้ำลายของหอยบางชนิด
ดอกตูมของสารภีใช้สกัดทำสีย้อมผ้าสีแดง ดอกแห้งใช้ทำน้ำหอม โดยเพิ่มดอกคำฝอย ส้มป่อยเผา แช่ในน้ำจะได้น้ำหอมสำหรับใช้สรงน้ำพระในเทศกาลสงกรานต์ ส่วนดอกสดนำมา สกัดเป็นน้ำมันหอมระเหยนำไปใช้แต่งกลิ่นเครื่องสำอาง
โบราณเชื่อว่า หากบ้านใดปลูกต้นสารภีไว้ จะทำให้มีอายุยืนยาวเหมือนเช่นต้นสารภีที่มีเนื้อไม้แข็งแรง ทนทาน เป็นไม้ไทยที่มีอายุยืน ทั้งเชื่อว่าดอกสารภีช่วยบำรุงสุขภาพจิต เพราะเป็นเครื่องยาบำรุงหัวใจ ทำให้ร่างกายเกิดอารมณ์เยือกเย็น มีอายุยืนยาวเช่นกัน และเพื่อความเป็นสิริมงคล ควรปลูกในวันเสาร์ (โบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เอาคุณให้ปลูกในวันเสาร์) และปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ป้องกันเสนียดจัญไร และผู้ปลูกควรเป็นสตรี เพราะสารภีเป็นชื่อที่เหมาะกับสตรี ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด