ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศจากหนังสือ
เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ราชยาน ราชรถ และพระเมรุมาศ
งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
จัดพิมพ์ทูลเกล้าฯ ถวายสนองพระมหากรุณาธิคุณ ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง
วันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๓๙
ประเทศไทยมีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งชาติสืบเนื่องมาแต่โบราณ เป็นระยะเวลายาวนานกว่า ๗๐๐ ปี นับแต่กรุงสุโขทัยได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานีเมื่อราว พ.ศ.๑๘๐๐ เป็นต้นมา ในสมัยสุโขทัย พระมหากษัตริย์ทรงปกครองบ้านเมืองในลักษณะของบิดาปกครองบุตร ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่เหมาะสมต่อสถานการณ์ในขณะนั้น เพราะอาณาเขตยังไม่กว้างขวางนัก จำนวนประชากรก็ยังน้อย พระมหากษัตริย์จึงสามารถดูแลและสร้างความสัมพันธ์กับราษฎรได้อย่างใกล้ชิด เปิดโอกาสให้ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมาร้องทุกข์ และเข้าเฝ้าขอความเป็นธรรมได้ตลอดเวลา
เมื่อถึงสมัยอยุธยา ราชอาณาจักรไทยมีอาณาเขตกว้างขวางใหญ่โตขึ้นมาก การปกครองจึงย่อมมีความซับซ้อนแตกต่างไปจากสมัยสุโขทัย แม้จะมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในการปกครองอยู่เช่นเดิม แต่ฐานะของพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลงไป จากที่เคยได้รับการยกย่องเป็นพ่อเมืองในสมัยสุโขทัย ก็ได้รับการยกย่องขึ้นเป็นสมมติเทพ ตามคติเทวราชของขอมอันเป็นคติที่ขอมได้รับอิทธิพลมาจากศาสนาฮินดูที่เชื่อในเรื่องเทพอวตาร โดยเฉพาะพระวิษณุ (พระนารายณ์) ซึ่งอวตารหรือแบ่งภาคลงมาปราบยุคเข็ญให้แก่ชาวโลก ในสมัยอยุธยาพระมหากษัตริย์จึงได้รับการเคารพนับถือและทรงพระราชอำนาจประดุจเทพเจ้า ทรงเป็นทั้งเจ้าแผ่นดินและเจ้าชีวิตของประชาชน มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองราชอาณาจักร
การปกครองในลักษณะดังกล่าว ซึ่งเรียกว่าการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ได้เป็นระบอบการปกครองที่สืบเนื่องมายาวนานตลอดสมัยอยุธยา จนกระทั่งถึงปีที่ ๑๕๐ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นับเป็นเวลาถึง ๕๗๒ ปี ในช่วงเวลาดังกล่าวประเทศไทยได้ผ่านทั้งภาวะของการสงครามและภาวะของความสันติสุข มีการติดต่อค้าขายกับประเทศอื่นทั้งไกลและใกล้ การติดต่อสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศตะวันตกชักนำให้มีชาวตะวันตกเข้ามาตั้งถิ่นฐานตลอดจนรับราชการในแผ่นดิน ทำให้วัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามาแพร่หลายในสมัยอยุธยาตอนปลาย แต่ได้หยุดชะงักไปในช่วงสุดท้ายของกรุงศรีอยุธยา เนื่องจากความไม่สงบของบ้านเมือง จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ วัฒนธรรมตะวันตกจึงเริ่มเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง และตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา คนไทยได้มีโอกาสออกไปศึกษาเล่าเรียนในประเทศตะวันตกกันมาก จึงได้นำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการปฏิบัติราชการ ตลอดจนนำสิ่งที่พบเห็นหรือได้ประพฤติปฏิบัติจนเห็นว่าดีงามเป็นประโยชน์แก่ชาติกลับมาเผยแพร่ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นภายในประเทศอย่างมากมาย ทั้งทางด้านวัตถุธรรมและนามธรรม จนในที่สุดระบอบการปกครองก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ตามกระแสของยุคสมัย จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปกครองประเทศ
สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นสถาบันที่มีความสำคัญสูงสุดของประเทศ และเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของประชาชนชาวไทยตลอดมา ไม่ว่าในยุคสมัยใด เราต่างระลึกอยู่เสมอว่า ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นมั่นคง ดำรงเอกราชมาได้จนทุกวันนี้ ก็ด้วยพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณของพระบุรพมหากษัตริย์ ที่ทรงนำประเทศหลีกพ้นอันตรายมาด้วยวิเทโศบายอันชาญฉลาด ทรงปกครองแผ่นดินด้วยหลักทศพิธราชธรรม นำความร่มเย็นเป็นสุขมาสู่ประชาราษฎร ทรงทะนุบำรุงประเทศให้รุ่งเรืองทางด้านเศรษฐกิจและศิลปวัฒนธรรม ซึ่งยังคงสืบทอดเป็นมรดกอันล้ำค่า นำมาซึ่งความภาคภูมิใจในความเป็นชาติเอกราชที่มีอารยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีงามมาจนทุกวันนี้การปกครองประเทศตั้งแต่โบราณมา พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกสรรบุคคลที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาช่วยปฏิบัติราชการ โดยแต่งตั้งให้มีตำแหน่ง มียศตามหน้าที่ตามลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมาย และพระราชทานสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ แก่ผู้ปฏิบัติราชการต่างพระเนตรพระกรรณเหล่านั้นเพื่อเป็นบำเหน็จความชอบและเพื่อเป็นเครื่องแสดงฐานะ หรือเป็นเครื่องประกอบเกียรติยศตามศักดิ์ตามตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ของพระราชทานดังกล่าวเรียกว่า เครื่องยศ
การพระราชทานเครื่องยศ คงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาแต่โบราณแล้ว เพียงแต่ไม่มีเรื่องราวจารึกไว้เป็นหลักฐาน และอาจจะยังไม่มีการวางระเบียบไว้เป็นประเพณี มามีหลักฐานปรากฏชัดว่าได้มีพระราชกำหนดตราขึ้นเป็นระเบียบประเพณีในสมัยอยุธยา ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอู่ทองเป็นต้นมา ดังที่มีกล่าวถึงในเอกสารต่างๆ เช่น ในกฎมณเฑียรบาลบ้าง ในพระราชพงศาวดารบ้าง
การพระราชทานเครื่องยศในสมัยต่อมา ได้ยึดถือโบราณราชประเพณีแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นหลัก ถึงแม้เมื่อมีการสร้างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้สร้างขึ้นเป็นครั้งแรก เป็นดวงตราสำหรับติดเสื้อ เรียกกันในสมัยนั้นว่า ตรา และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงปรับปรุง ตลอดจนกำหนดระเบียบตั้งเป็นพระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับพระราชทานเป็นบำเหน็จความชอบแก่พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และบุคคลอื่นๆ แล้วประเพณีการรับพระราชทานเครื่องยศก็ยังคงมีอยู่สืบมาจนถึงปัจจุบัน แต่จำกัดลงเฉพาะในโอกาสรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า และในการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์พระราชวงศ์
เครื่องยศดังกล่าวนี้ ประกอบด้วยสิ่งของเครื่องใช้มากมายหลายประเภท เป็นของต่างชนิดกันบ้าง ชนิดเดียวกันแต่ต่างกันที่รูปแบบบ้าง ที่เนื้อวัสดุบ้าง ที่การตกแต่งบ้าง ตามแต่ยศ ศักดิ์ และตำแหน่ง ตลอดจนความดีความชอบของผู้ได้รับพระราชทาน อาจจำแนกประเภทของเครื่องยศเป็นหมวดหมู่ได้ ๗ หมวด คือ หมวดเครื่องสิริมงคล เครื่องศิราภรณ์ เครื่องภูษณาภรณ์ เครื่องศัตราวุธ เครื่องอุปโภค เครื่องสูง และยานพาหนะ
ในส่วนขององค์พระมหากษัตริย์นั้น ทรงมีเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับเป็นเครื่องแสดงฐานะเช่นกัน สิ่งสำคัญที่ถือว่าเป็นเครื่องแสดงความเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งยึดถือมาแต่โบราณ ๕ อย่าง เรียกว่า เบญจราชกกุธภัณฑ์ มี ๒ แบบ ดังนี้
แบบที่ ๑ ประกอบด้วย
๑.นพปฎลมหาเศวตฉัตร
๒.พระมหาพิชัยมงกุฎ
๓.พระแสงขรรค์ชัยศรี
๔.พัดวาลวิชนี และพระแส้จามรี (หรือพระแส้หางช้างเผือก)
๕.ฉลองพระบาทเชิงงอน
แบบที่ ๒ ประกอบด้วย
๑.พระมหาพิชัยมงกุฎ
๒.พระแสงขรรค์ชัยศรี
๓.ธารพระกรชัยพฤกษ์
๔.พัดวาลวิชนี และพระแส้จามรี (หรือพระแส้หางช้างเผือก)
๕.ฉลองพระบาทเชิงงอน
สมัยโบราณนับถือพระมหาเศวตฉัตรเป็นสิ่งสำคัญกว่าอย่างอื่น ถือว่ามีความหมายเท่ากับความเป็นพระราชามหากษัตริย์ ส่วนมงกุฎนั้นถือเป็นราชกกุธภัณฑ์ที่เป็นเครื่องราชศิราภรณ์เท่านั้น มิได้ถือเป็นยอดแห่งความสำคัญอย่างเช่นพระมหาเศวตฉัตร จนถึงรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไทยเราได้สมาคมกับชาติตะวันตกที่นับถือพระมงกุฎอยู่หลายประเทศ คติที่นับถือพระมงกุฎเป็นสิ่งสำคัญในจำนวนราชกกุธภัณฑ์จึงได้เข้ามาสู่ประเทศไทยตั้งแต่นั้น
คำว่า พระราชอิสริยยศ เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ชั้นสูง ตั้งแต่พระบรมราชโอรสธิดาขึ้นไป เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศอื่นๆ ที่นอกไปจากเบญจราชกกุธภัณฑ์อันเป็นเครื่องพระราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ จึงเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศพระบรมราชวงศ์ชั้นสูงดังกล่าวแล้วนั้นด้วย โดยมีความแตกต่างลดหลั่นกันไปตามพระราชอิสริยยศของพระบรมราชวงศ์นั้นๆ อาจจำแนกประเภทของเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศออกเป็นหมวดหมู่ได้เช่นเดียวกันกับเครื่องยศดังนี้
เครื่องสิริมงคล
ได้แก่ พระสังวาล พระธำมรงค์ พระประคำทองคำ ๑๐๘ เม็ด พระสายดิ่ง และพระตะกรุดทองคำ
เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศหมวดนี้ เป็นของสำหรับพระมหากษัตริย์ และพระบรมราชวงศ์ชั้นสูงฝ่ายหน้า ซึ่งรัชกาลปัจจุบันมีพระองค์เดียว ได้แก่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
พระสังวาล ที่เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสำหรับพระมหากษัตริย์ทรงใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญ มีอยู่ ๒ องค์ คือ สังวาลพระนพ และพระมหาสังวาลนพรัตน์ ส่วนพระธำมรงค์ คือ พระธำมรงค์วิเชียรจินดา และพระธำมรงค์รัตนวราวุธ
เครื่องประกอบพระราชอิสริยยศในหมวดนี้ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารทรงได้รับพระราชทาน มีดังนี้
๑.พระสังวาลพระนพน้อย
๒.พระธำมรงค์นพรัตน์
๓.พระประคำทองคำ ๑๐๘ เม็ด
๔.พระสายดิ่งทองคำ
๕.พระตะกรุดทองคำสายทอง
๖.พระตะกรุดทองคำลงยาประดับเพชร
เครื่องศิราภรณ์
คือเครื่องประดับพระเศียร ได้แก่ พระมงกุฎ พระชฎา และพระมาลา ซึ่งมีหลายแบบหลายองค์ สำหรับทรงในโอกาสต่างๆ กัน
เครื่องราชศิราภรณ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันพระราชทาน เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้แก่
๑.พระอนุราชมงกุฎ
๒.พระมาลาเส้าสูงทองคำลงยา
เครื่องภูษณาภรณ์
ได้แก่ ฉลองพระองค์ต่างๆ เช่น ฉลองพระองค์ครุย สำหรับพระมหากษัตริย์ทรงในงานพระราชพิธีสำคัญ ที่มีการเสด็จออกมหาสมาคม เพื่อรับการถวายพระพรชัยมงคล
เครื่องศัสตราวุธ
คือ พระแสงต่างๆ เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์ และพระบรมราชวงศ์ฝ่ายหน้า ซึ่งในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน มีพระบรมราชวงศ์ที่ได้รับพระราชทานพระแสงเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระแสงที่ได้รับพระราชทานมีดังนี้
๑.พระแสงฝักทองเกลี้ยง
๒.พระแสงกระบี่สันปรุทองศีรษะนาค ๓ เศียร ฝักทองคำลงยาราชาวดีลายมงคล ๘ และพระเศวตฉัตร ๗ ชั้น
เครื่องราชูปโภค
เครื่องราชูปโภคสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ กล่าวเฉพาะที่สำคัญ ได้แก่
๑.พานพระขันหมาก สำหรับวางมังสี (พานรูปรีทองคำทองยา) ใส่พระศรี คือ หมากพลู และยา สำรับใหญ่ชุดกลมตัด ทำด้วยทองคำลงยาทั้งชุด
๒.พระมณฑปรัตนกรันฑ์ คือ ภาชนะบรรจุน้ำเย็นทำด้วยทองคำลงยามีพานรองและจอกลอย
๓.พระสุพรรณศรีบัวแฉก คือ กระโถนเล็กปากเป็นกลีบๆ ทำด้วยทองคำลงยา
๔.พระสุพรรณราช คือ กระโถนใหญ่ ทำด้วยทองคำลงยา
นอกจากนั้น ยังมีเครื่องพานพระศรีอีก ๒ สำรับ คือ ชุดไม้สิบสอง เรียก ชุดพระสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ ทำด้วยทองคำลงยาสำหรับหนึ่ง อีกสำรับหนึ่งทำด้วยนาก
ในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน (รัชกาลที่ ๙) ได้มีการพระราชทานเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศในหมวดนี้ดังต่อไปนี้
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
-พานพระศรีทองคำลงยาลายบัวเครื่องพร้อม
-หีบพระศรีทองคำลงยาลายบัว พร้อมพานทองคำลงยาลายบัว
-พระสุพรรณศรีทองคำลงยาลายบัว
-ขันพระสุธารสทองคำลงยาลายบัว พร้อมพานรองทองคำลงยา
-กาพระสุธารสทองคำลงยา พร้อมถาดรองรูปไข่
-ขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยาลายบัว พร้อมพานรอง และคลุมปักดิ้นทอง
-กล่องหมากตราจุลจอมเกล้าพร้อมพานรองทองคำลงยา
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
-พานพระศรีทองคำลงยาเครื่องพร้อม
-คนโทน้ำทองคำลงยา พร้อมพานรอง
-พระสุพรรณศรีทองคำลงยา
-หีบพระศรีทองคำลงยา พร้อมพานรอง
-กากระบอกทองคำ พร้อมถาดรอง
-ที่พระสุธารสทองคำเครื่องพร้อม
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
-พานพระศรีทองคำลงยาเครื่องพร้อม
-หีบพระศรีทองคำลงยา ตราพระจุลมงกุฎฝังเพชร
-ขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยา พร้อมพานรอง
-ขันน้ำฝาครอบทองคำลงยา พร้อพานและจอก
-กากระบอกทองคำลายสลัก
-ที่ชาทองคำเครื่องพร้อม
-พระสุพรรณศรีทองคำลงยา
เครื่องสูง
ได้แก่ ฉัตร อภิรุมชุมสาย บังสูรย์ บังแทรก จามร กลด พัดโบก เป็นต้น
ฉัตรประกอบพระราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์ คือฉัตรขาว ๙ ชั้น มีระบายขลิบทอง ๓ เส้น แต่ละชั้น เรียกว่า พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร หรือเรียกโดยย่อว่า พระมหาเศวตฉัตร เป็นเครื่องแสดงพระราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์ที่ทรงรับพระบรมราชาภิเษกเป็นสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชโดยสมบูรณ์แล้ว
ฉัตร ๗ ชั้น มีชื่อว่า พระสัปตปฎลเศวตฉัตร เป็นฉัตรสำหรับพระราชอิสริยยศพระมหากษัตริย์ที่ยังคงมิได้ทรงรับพระบรมราชาภิเษก และสำหรับสมเด็จพระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง สมเด็จพระอัครมเหสี สมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังสถานมงคล สมเด็จพระยุพราช และสมเด็จเจ้าฟ้าที่ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศพิเศษ เช่น สมเด็จพระบรมราชกุมารี
ฉัตรขาว ๕ ชั้น มีชื่อว่า พระเบญจปฎลเศวตฉัตร สำหรับพระราชทานพระบรมราชวงศ์ที่ดำรงพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จเจ้าฟ้า
อภิรุมชุมสาย เป็นฉัตรประเภทหนึ่ง ทรงชะลูด มีสีต่างๆ สำหรับตั้งหรือเข้ากระบวนแห่ สำรับหนึ่งประกอบด้วย ฉัตร ๗ ชั้น ๔ คัน ฉัตร ๕ ชั้น ๑๐ คัน ชุมสาย ๔ คัน มี ๒ ชนิด ชนิดหนึ่ง ปักดิ้นทอง เรียกรวมทั้งสำรับที่ปักดิ้นทองด้วยกันคือรวมทั้ง บังสูรย์ ๑ บังแทรก ๖ กลด ๑ และจามร ๘ ว่า เครื่องสูง หักทองขวาง อีกชนิดกรุเย็บด้วยแผ่นทองแผ่ลวด เรียกว่า เครื่องสูงทองแผ่ลวด
พระบรมราชวงศ์ในรัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ ๙) ที่ได้รับพระราชทานเครื่องสูงหักทองขวาง เป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ มีดังนี้
-สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
-สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
-สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
-สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ยานพาหนะ
แบ่งเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
เครื่องคานหาม คือ ยานพาหนะประเภทมีคานหาม เคลื่อนที่โดยมีเจ้าพนักงานแบกหาม ได้แก่ พระราชยาน มีลักษณะต่างๆ ทั้งชนิดประทับราบ และประทับห้อยพระบาท
ยานพาหนะประเภทมีล้อ เคลื่อนที่โดยเจ้าพนักงานฉุดชักหน้าหลัง เรียกว่า ราชรถ
ยานพาหนะทางเรือ แต่โบราณเรียกเรือลำที่พระมหากษัตริย์ทรงว่า เรือต้น เรียกในเวลาต่อมาจนในปัจจุบันว่า เรือพระที่นั่ง เรือพระที่นั่งสำหรับเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค มี ๔ ประเภท คือ เรือพระที่นั่งกราบ เรือพระที่นั่งศรี เรือพระที่นั่งเอกชัย และเรือพระที่นั่งกิ่ง
เครื่องประโคม
สำหรับพระมหากษัตริย์ยังมีเครื่องประโคมเป็นเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศ ๒ ประเภท คือ
๑.เครื่องประโคมแตรและมโหระทึก ใช้ในการเสด็จออกขุนนาง เสด็จพระราชพิธีบวงสรวงเสด็จเปิดสภาผู้แทนราษฎร หรือนำเสด็จพระราชดำเนินขบวนน้อย
๒.เครื่องประโคมสังข์แตรและกลองชนะ ประโคมในเวลาเสด็จพระราชดำเนินขบวนพยุหยาตรา หรือโปรดเกล้าฯ ให้มีการแห่ในงานพระราชพิธีใหญ่ที่มีการยืนช้างยืนม้า และแห่เชิญพระบรมศพ
พระโกศ
นอกจากเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศประเภทต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ยังมีเครื่องใช้ที่เกี่ยวกับพระบรมศพ หรือพระศพสำคัญคือ พระโกศ ได้แก่ พระโกศทองใหญ่ และพระโกศทองน้อย ตามลำดับ
สำหรับพระมหากษัตริย์และพระบรมราชวงศ์ชั้นสูง เช่น สมเด็จพระอัครมเหสี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระยุพราช สมเด็จเจ้าฟ้าที่ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศพิเศษ เมื่อเสด็จสวรรคต พระบรมศพจะทรงพระโกศทองใหญ่ประดิษฐานบนพระมหาปราสาท
สำหรับพระศพพระบรมราชวงศ์ที่ดำรงพระอิสริยศักดิ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า พระศพจะทรงพระโกศทองน้อย แต่ถ้ารับราชการหรือทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนา ก็จะโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระโกศทองใหญ่เป็นกรณีพิเศษ
ในวาระที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระโกศทองใหญ่ตามพระราชอิสริยยศสมเด็จพระบรมราชชนนี และประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพตามพระราชประเพณี พระโกศทองใหญ่ประดิษฐานอยู่เหนือพระแท่นสุวรรณเบญจฎล ภายใต้สัปตปฎลเศวตฉัตร แวดลอมด้วยอภิรุมชุมสาย เครื่องสูงหักทองขวาง พุ่มดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง และตั้งแต่งเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศประเภทเครื่องราชูปโภค และเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้เบื้องหน้าพระแท่นสุวรรณเบญจฎล ดังนี้ (อธิบายตามผัง)๑.เครื่องราชอิสริยยศราชูปโภค ที่ตั้งแต่งถวายหน้าที่ประดิษฐานพระโกศทองใหญ่บนพระแท่นสุวรรณเบญจปฎล มีดังนี้
๑.พานพระศรีทองคำลงยาเครื่องพร้อม
๒.หีบพระศรีทองคำลงยา
๓.คนโทน้ำทองคำสลักลายลงยา
๔.พระสุพรรณศรีทองคำลงยา
๕.ขันสรงพระพักตร์ทองคำลงยาพร้อมพานรอง
๖.ที่ชาทองคำเครื่องพร้อม
๗.พานเครื่องพระสำอาง
๘.พระคันฉ่อง
๙.ราวผ้าซับพระพักตร์๒.เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงได้รับพระราชทาน และตั้งแต่งไว้หน้าที่ประดิษฐานพระโกศทองใหญ่บนพระแท่นสุวรรณเบญจฎล มีดังนี้
๑.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคล นพรัตนราชวราภรณ์ (ฝ่ายใน)
๒.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่ง มหาจักรีบรมราชวงศ์ (ฝ่ายใน)
๓.เครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า (ฝ่ายใน)
๔.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่ง มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก
๕.เหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๘ ชั้นที่ ๑
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลปัจจุบัน (รัชกาลที่ ๙) ชั้นที่ ๑
๖.เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่ง มหาวชิรมงกุฎ
๗.เครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ทรงได้รับจากประเทศญี่ปุ่น (Grand Cordon of the Order of the Precious Crown)
๘.เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ประถมดิเรกคุณาภรณ์
๙.เหรียญสุขภาพดีถ้วนหน้า จากองค์การสหประชาชาติเมื่อครบกำหนดการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บำเพ็ญพระราชกุศลออกพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพ การพระราชพิธีในชั้นนี้มีเครื่องประกอบพระราชอิสริยยศที่สำคัญคือ
-พระยานมาศ ๓ ลำคาน ๒ องค์
-พระมหาพิชัยราชรถ
-ราชรถพระอ่านพระอภิธรรมนำ
-ราชรถประดิษฐานพระพุทธรูป
-พระเมรุมาศ ยอดสัปตปฎลเศวตฉัตร
-เสลี่ยงกลีบบัว พระอ่านพระอภิธรรมนำเวียนพระเมรุมาศ
-พระที่นั่งราเชนทรยาน ทรงพระโกศพระบรมอัฐิ
-พระโกศทองคำลงยาประดับเพชรฝาปักพระเศวตฉัตร ๗ ชั้น
-พระวอสีวิกากาญจน์ ทรงผอบพระราชสรีรางคาร
พระราชยานและราชรถ เป็นยานพาหนะที่ใช้ในกระบวนแห่เชิญพระบรมศพไปยังพระเมรุมาศเพื่อประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ พระเมรุมาศ ซึ่งออกแบบก่อสร้างขึ้นสำหรับการพระราชพิธีนี้โดยเฉพาะ ณ ปริมณฑลพิธีท้องสนามหลวง
ทั้งพระราชยาน ราชรถ พระเสลี่ยง พระที่นั่งราเชนทรยาน พระวอ และพระเมรุมาศ ล้วนเป็นงานศิลปกรรมที่ประณีตงดงามยิ่ง จัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ไทยเราสามารถรักษาและสืบทอดกันมาให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมและภาคภูมิใจ ควรที่เราทั้งหลายจะได้ช่วยกันอนุรักษ์และสืบสานมรดกอันดีงามนี้ไว้สืบไป.ลำดับต่อไป
ราชยาน
ความหมาย ประวัติ และวิวัฒนาการ
โปรดติดตาม