ม้าลาย
ม้าลาย (Zebra) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกีบคี่ จัดอยู่ในสกุลม้า (Eguus) และสกุลย่อย Hippotigris (แปลว่า ม้าลายเสือ) และ Dolichohippus แบ่งออกได้เป็น ๓ ชนิด
ม้าลายเป็นม้าจำพวกหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่าม้า แต่มีปลายหางคล้ายลา มีแผงคอที่สั้นเหมือนขนแปรง ลักษณะเด่นคือมีลำตัวเป็นสีขาวสลับดำตลอดทั้งตัว เป็นที่มาของคำถามมาเป็นระยะเวลานานแล้วว่า แท้ที่จริงแล้วม้าลายเป็นสัตว์ที่มีพื้นลำตัวขาวและมีแถบสีดำพาดผ่าน หรือเป็นสัตว์ที่มีพื้นลำตัวสีดำและมีแถบสีขาวพาดผ่าน
ชาวพื้นเมืองแอฟริกาซึ่งเป็นพื้นถิ่นแผ่นดินเกิดของม้าลาย เชื่อว่าม้าลายเป็นสัตว์ที่มีสีดำและมีแถบสีขาวพาดผ่าน ซึ่งตรงกับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่พบว่าม้าลายแท้ที่จริงเป็นสัตว์ที่มีพื้นลำตัวสีดำและมีลายแถบสีขาวพาดผ่านลำตัว ลายแถบสีขาวนั้นเกิดจากเซลล์ประสาทที่เรียงรายตามแนวกระดูกสันหลังที่ส่วนหนึ่งจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นเซลล์ผลิตเม็ดสีสีดำ เรียกว่าเมลาโนไซต์ หลังจากนั้นเมลาโนไซต์เหล่านี้จะเคลื่อนออกไปด้านข้างของกระดูกสันหลังในแนวตั้งฉาก แล้วเปลี่ยนสภาพไปเป็นผิวหนังที่มีเม็ดสีสีดำ
ทั้งนี้ รูปแบบของเม็ดสีในสัตว์แต่ละชนิดขึ้นอยู่กับการกระตุ้น ทางพันธุกรรมในการเปลี่ยนสภาพและการเคลื่อนที่ของเมลาโนไซต์ โดยจากการศึกษาพบว่าตัวอ่อนของม้าลายที่อยู่ในท้องแม่จะเป็นตัวสีดำก่อน จากนั้นลายแถบสีขาวจึงค่อยๆ พัฒนาขึ้น ซึ่งม้าลายแต่ละตัวก็จะมีลายเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนกัน
ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าม้าลายมีลายแถบสีขาวไว้เพื่ออะไร ทัศนะของชาร์ลส์ ดาร์วิน นักธรรมชาติวิทยาคนสำคัญ เชื่อว่าม้าลายมีลายเพื่อจดจำกันได้ และตัวผู้ใช้เกี้ยวพาตัวเมีย นอกจากนั้นยังมีที่เชื่อว่ามีไว้ป้องกันแมลง โดยเฉพาะแมลงวัน มีหลักฐานว่าม้าลายดึงดูดแมลงน้อยกว่าสัตว์กินพืชชนิดอื่นๆ ในแอฟริกา จากการทดลองของนักวิทยา ศาสตร์ชาวฮังการีกลุ่มหนึ่ง โดยการนำหุ่นของม้า ๔ ตัว ที่มีสีสันแตกต่างกันไป รวมถึงม้าลาย ไปตั้งไว้ในทุ่งหญ้า พบว่าหุ่นม้าลายมีแมลงมาเกาะน้อยที่สุด ทั้งนี้ เชื่อว่าเพราะตาของแมลงเป็นระบบตารวมที่มีส่วนประกอบมากมาย และแมลงจะลงเกาะโดยการใช้แสง โพลาไรซ์ช่วย เป็นไปได้ว่าลายทางของม้าลายไปรบกวนแสง โพลาไรซ์ในการมองของแมลง ทำให้ยากในการลงเกาะบนตัวของม้าลาย ขณะที่บางฝ่ายเชื่อว่าใช้ในการพรางตัวจากศัตรู และทำให้ศัตรูซึ่งได้แก่สัตว์กินเนื้อต่างๆ ตาลายเมื่อได้พบเจอม้าลายที่อยู่รวมกันเป็นฝูงในทุ่งหญ้ากว้าง ทำให้จับระยะทางที่จะโจมตีผิดพลาดไป
โดยทั่วไปม้าลายชอบอยู่ตามที่ราบโล่งที่เป็นหญ้า มีพฤติกรรมอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งมีหลายร้อยตัวจนถึงเป็นพัน โดยจะเล็มหญ้าหากินร่วมกับสัตว์อื่นในทุ่งกว้าง เช่น นกกระจอกเทศ ยีราฟ แอนทีโลป และสัตว์กีบชนิดอื่นๆ โดยมักจะมีนกจับเกาะอยู่บนหลัง ช่วยระวังภัยและจับกินพวกแมลงที่มารบกวน ทั้งมีนกกระจอกเทศและยีราฟช่วยเป็นป้อมยามคอยเตือนภัยและระวังภัยให้ เพราะม้าลายสายตาไม่ค่อยดี แต่จมูกและหูไวมาก ฟันของม้าลายค่อนข้างคม จึงแทะเล็มในส่วนที่เป็นโคนและลำต้นของหญ้าได้ ขณะที่สัตว์อื่นๆ เช่น แอนทีโลป จะกินยอดหญ้า นับเป็นการแบ่งปันอาหารกันตามธรรมชาติ
ม้าลายมีอายุยืน ๒๕-๓๐ ปี โดยเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุประมาณ ๒ ปี ตั้งท้องนาน ๓๔๕-๓๙๐ วัน ออกลูกครั้งละ ๑ ตัว ลูกม้าลายแรกเกิดจะมีขนปุกปุยและมีแถบสีน้ำตาลสลับขาว ใช้เวลาไม่นานในการยืนและวิ่งได้ทันทีหลังคลอด
ม้าลายพบได้ทั่วไปในทวีปแอฟริกาแถบที่ราบโล่งทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาร่า โดยแบ่งได้เป็น ๓ ชนิด และแบ่งออกได้เป็นหลายชนิดย่อย ทั้งนี้ ในอดีตการจำแนกประเภทของม้าลายแบ่งออกได้เป็นกว่า ๑๐ ชนิด โดยแบ่งออกตามถิ่นที่อยู่อาศัย แต่ปัจจุบันหลงเหลืออยู่เพียง ๓ ชนิด และไม่สามารถแบ่งตามที่อยู่อาศัยได้เหมือนเดิมอีกแล้ว เนื่องจากสภาพแวดล้อมและสภาวะความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนไป และจากที่เคยมีกันอยู่ไม่น้อยม้าลายในธรรมชาติจะถูกล่าเพื่อเอาเนื้อเป็นอาหารและหนังเพื่อทำเป็นเครื่องประดับและเครื่องนุ่งห่ม ทำให้บางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้ว เหลือกันอยู่แค่ ๓ ชนิดใหญ่ ได้แก่
๑.Equus zebra หรือ ม้าลายภูเขา (Mountain zebra) เป็นม้าลายที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ มีถิ่นอาศัยอยู่ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศแองโกลา, นามิเบีย และแถบแอฟริกาใต้ มี ๒ สปีชีส์ย่อย คือ ม้าลายภูเขาเคป (Cape Mountain Zebra) และ ม้าลายภูเขาฮาร์ตมันน์ (Hartmann Mountain Zebra)
๒.Equus quagga ม้าลายควากกา หรือ ม้าลายธรรมดา หรือม้าลายทุ่งหญ้า (Plains zebra, Common zebra) พบกระจายพันธุ์มากที่สุดในบรรดาม้าลายด้วยกัน จากตอนใต้ของประเทศเอธิโอเปียตลอดจนฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา ไกลจนถึงตอนใต้ของแองโกลาและทางตะวันออกของประเทศแอฟริกาใต้ มันมีลายแตกต่างจากม้าลายชนิดอื่นตรงที่มีลายขนาดใหญ่สีดำพาดยาวสลับกับลายสีขาวจากหลังลงไปทั้งสองข้างของลำตัวจนถึงใต้ท้อง และแต่ละตัวก็มีลายไม่เหมือนกัน เป็นม้าลายที่มีปฏิสัมพันธ์กันในระหว่างสมาชิกในฝูง มีการตกแต่งร่างกายและทำความสะอาดเนื้อตัวให้กันและกัน จะอยู่รวมฝูงกันทั้งในทุ่งหญ้าที่เป็นที่ราบหรือป่าละเมาะ บางครั้งจะรวมกันเป็นฝูงใหญ่ที่มีสมาชิกถึงหมื่นตัว
ทุกปี ราวเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูแล้ง ม้าลายมากกว่า ๕๐๐,๐๐๐ ตัว จะออกเดินทางร่วมกับฝูงวิลเดอบีสต์ที่มีจำนวน ๑.๘-๒ ล้านตัว (มันคอยระวังภัยให้กัน เพราะม้าลายประสาทตาไม่ดี แต่ประสาทหูดีเยี่ยม ขณะที่วิลเดอบีสต์ประสาทตาดี แต่ประสาทหูไม่ดี) ไปตามเส้นทางอพยพระยะยาวกว่า ๑,๕๐๐ กิโลเมตร ระหว่างอุทยานแห่งชาติเซเรงเกติในแทนซาเนีย กับเขตอนุรักษ์แห่งชาติมาไซมาราในเคนยา เพื่อแสวงหาแหล่งอาหาร คือทุ่งหญ้าใหม่ๆ และแหล่งน้ำ จะอยู่กันที่นั่นราว ๒ เดือนจนถึงเดือนกันยายน-ตุลาคม ก็พากันอพยพกลับไปที่ทุ่งหญ้าเซเรงเกติที่จะมีหญ้าขึ้นใหม่เต็มท้องทุ่ง ระหว่างการอพยพทั้งไปและกลับ ม้าลายกับวิลเดอบีสต์จะล้มตายมากมาย ทั้งจากการเบียดเสียด จมน้ำและถูกจระเข้กินขณะข้ามแม่น้ำมารา ส่วนตัวที่อ่อนแรงก็จะถูกสัตว์กินเนื้ออย่างสิงโต เสือดาว ชีตาห์ ไฮยีน่า ล่าเป็นอาหาร
ม้าลายสปีชีส์ย่อยตัวสำคัญของสายพันธุ์ธรรมดา คือ ม้าลายเบอร์เชลล์ (Burchell zebra) แพร่กระจายพันธุ์ในทวีปแอฟริกาตอนใต้ เช่น บอตสวานา สวาซิแลนด์ แอฟริกาใต้ ชื่อของมันตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแด่วิลเลียม จอห์น เบอร์เชลล์ วิศวกรและนักสำรวจธรรมชาติชาวอังกฤษ เป็นม้าลายอีกชนิดหนึ่งที่ใกล้สูญพันธุ์ โดยฝีมือของมนุษย์ที่ล่าเอาเนื้อหนัง ทั้งถูกบุกรุกถิ่นที่อยู่อาศัย
๓.quus grevy ม้าลายเกรวี หรือ ม้าลายอิมพีเรียล (Grevy zebra, Imperial zebra) เป็นม้าลายที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเป็นม้าป่าที่ใหญ่ที่สุด พบได้เฉพาะถิ่นในป่าของเคนยาและเอธิโอเปีย ชื่อของสายพันธุ์ตั้งเป็นเกียรติแด่ชูเลส เกรวี ประธานาธิบดีฝรั่งเศส โดยรัฐบาลของแอบบินซินเนีย ม้าลายเกรวีมีลายแคบและเบียดชิดกันมาก และจากลวดลายที่แปลกจากม้าลายชนิดอื่นๆ นี่เองที่ทำให้มันถูกล่าอย่างหนักจนเกือบจะสูญพันธุ์ กว่าจะมีกฎหมายอนุรักษ์ออกมาคุ้มครองก็เกือบจะสายไปแล้ว ม้าลายเกรวีไม่ได้มีสังคมในฝูงที่ใกล้ชิดเหมือนกับม้าลายธรรมดา มีการเกื้อกูลช่วยเหลือกันน้อยมาก อีกคุณสมบัติเด่นคืออดน้ำได้นานถึง ๓ น
ผีเสื้อกลางวัน-กลางคืน
จากบทความทางวิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่า ผีเสื้อแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ ผีเสื้อกลางวันและผีเสื้อกลางคืน ซึ่งหากดูเพียงผิวเผินจะเห็นว่าทั้งผีเสื้อกลางวันและผีเสื้อกลางคืนไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย
แต่ในทางอนุกรมวิธานผีเสื้อกลางวันกับผีเสื้อกลางคืนอยู่ในอันดับย่อย (suborder) ต่างกัน คือ อันดับย่อย ผีเสื้อกลางวัน (butterfly) และ อันดับย่อยผีเสื้อกลางคืน (moth) หรือเรียกว่า แมลงมอธ
ในจำนวนผีเสื้อนับแสนชนิดในโลกนี้พบว่าส่วนใหญ่เป็นผีเสื้อกลางคืน ส่วนผีเสื้อกลางวันมีเพียงประมาณ ๑๐% ของผีเสื้อทั้งหมด แต่ด้วยสีสันอันสวยงามสะดุดตา และโอกาสที่พบเห็นได้ง่ายคือเวลากลางวัน ผีเสื้อกลางวันจึงเป็นที่รู้จักมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ในการจะชี้ชัดลงไปว่าเป็นผีเสื้อกลางวันหรือผีเสื้อกลางคืน จะต้องใช้หลักเกณฑ์หลายๆ อย่างประกอบการพิจารณา หากจะให้ละเอียดลงไปต้องอาศัยลักษณะทางกายวิภาคและพฤติกรรมอื่นๆ มาประกอบด้วย
สำหรับลักษณะสำคัญที่พอจะสังเกตได้ง่ายๆ มีดังนี้
๑.หนวด ผีเสื้อกลางวันมีปลายหนวดพองโตออกคล้ายกระบอง บางพวกมีปลายหนวดโค้งงอเป็นตะขอ เวลาเกาะจะชูหนวดขึ้น เป็นรูปตัววี (V) ส่วนผีเสื้อกลางคืนมีหนวดรูปร่างต่างกันหลายแบบ เช่น รูปเรียวคล้ายเส้นด้าย รูปฟันหวี หรือแบบพู่ขนนก เวลาเกาะพักจะวางแนบไปกับขอบปีกคู่หน้า แต่บางชนิดคล้ายผีเสื้อกลางวัน
๒.ลำตัว ผีเสื้อกลางวันมีลำตัวค่อนข้างยาวเรียวเมื่อเปรียบเทียบกับความกว้างของปีก ไม่มีขนปกคลุม หรือมีเพียงบางๆ เห็นไม่ชัดเจน ในขณะที่ผีเสื้อกลางคืนมีลำตัวอ้วนสั้น มีขนปกคลุมมากและเป็นเส้นยาวเห็นได้ชัดเจน
๓.การออกหากิน ผีเสื้อกลางวันส่วนใหญ่จะออกหากินในเวลากลางวัน แต่มีบางชนิดออกหากินในเวลาเช้ามืดและเวลาใกล้ค่ำ ในขณะที่ผีเสื้อกลางคืนออกหากินในเวลากลางคืน ดังที่พบเห็นบินมาเล่นแสงไฟตามบ้านเรือน แต่ก็มีบางชนิดที่ออกหากินกลางวัน เช่น ผีเสื้อทองเฉียงพร้า ซึ่งมีสีสันฉูดฉาดสวยงามไม่แพ้ผีเสื้อกลางวัน
๔.การเกาะพัก ผีเสื้อกลางวันขณะเกาะพักมักหุบปีกขึ้นตั้งตรง ยกเว้นกรณีที่ปีกเปียกฝนอาจกางปีกออกผึ่งแดด แต่ก็มีบางชนิดที่กางปีกตลอดเวลา เช่น ผีเสื้อในสกุลผีเสื้อกะลาสี ส่วนผีเสื้อ กลางคืนจะกางปีกออกแนบกับพื้นที่เกาะ ขอบปีกด้านหน้าอยู่ข้างลำตัวต่ำกว่าระดับของหลัง เป็นรูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว หรือคล้ายกระโจม และคลุมปีกคู่หลังจนมิด
๕.ปีก โดยทั่วไปผีเสื้อกลางวันจะมีปีกกว้างเมื่อเทียบกับขนาดของลำตัว ส่วนผีเสื้อในวงศ์ผีเสื้อกลางคืนจะมีปีกขนาดเล็กใกล้เคียงกับลำตัว แต่ก็มีบางชนิดที่ปีกมีขนาดใหญ่มากๆ เช่น ผีเสื้อหนอนกท้อน
๖.การเชื่อมติดของปีก เพื่อให้ปีกกระพือไปพร้อมกันเวลาบินของผีเสื้อกลางวัน ปีกคู่หลังจะขยายกว้างยื่นเข้าไปซ้อนทับและแนบสนิทอยู่ใต้ปีกคู่หน้า แต่ในผีเสื้อกลางคืนจะมีขนแข็งจากปีกคู่หลัง ซึ่งอาจจะมี ๑ หรือ ๒ เส้น สอดเข้าไปเกี่ยวกับตะขอเล็กๆ ที่โคนปีกด้านใต้ของปีกคู่หน้า
โดยสรุปข้อสังเกตง่ายๆ ผีเสื้อกลางวันมีสีสันสวยงามสดใส ปากมีลักษณะเป็นงวง ลำตัวเรียวยาว ปีกไม่มีขนปกคลุมหรือถ้ามีก็จะบางมากๆ เวลาเกาะปีกจะยกพับขึ้นตั้งฉากกับลำตัว ส่วนหนวดจะชูเป็นรูปตัววี โดยที่ปลายหนวดมีตุ่มเล็กๆ คล้ายกระบองให้สังเกต
ส่วนผีเสื้อกลางคืนส่วนมากสีสันออกโทนเรียบๆ ไม่มีลวดลายเด่นชัดสวยงาม ลำตัวกลมอ้วน ปีกมีขนปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมากเป็นเส้นยาวๆ มองเห็นชัดเจน เวลาเกาะจะกางปีกขนานกับลำตัว พร้อมเอาลำตัวซ่อนไว้ใต้ปีก ส่วนหนวดมีขนเหมือนแปรงลวดหรือขนนก บางชนิดมีปากลดรูปไปจนไม่สามารถกินอาหารได้ เช่น ผีเสื้อยักษ์
ช้างแกลบ
ความรู้นำมาจากการสืบค้นของ เอนก นาวิกมูล ผู้เชี่ยวชำนาญประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้ ว่า "ช้างแกลบ" เป็นช้างที่มีขนาดเล็ก คนจึงเรียกว่าช้างแกลบ ซึ่งแปลว่าช้างขนาดย่อม เหมือนเรียกม้าแกลบ วิหารแกลบ หรือบางทีก็เรียกช้างแคระ หรือช้างค่อม ซึ่งหมายถึงช้างตัวเตี้ย หลังงอ บางทีเรียกตามถิ่นที่ช้างหากินว่าช้างโพระ หรือช้างพรุ คือหากินตามบริเวณที่ลุ่มมีน้ำท่วมขัง อาหารของช้างพันธุ์นี้คือหญ้าพื้นเมืองที่ขึ้นอยู่ตามพรุ เช่นหญ้ากก หญ้าปรือ ใครจับมันไปเลี้ยงเพื่อใช้งานก็เลี้ยงไม่ได้ ช้างจะตายเพราะผิดน้ำผิดอาหารทุกตัว
ทั้งนี้ จากการบันทึกของเอนก นาวิกมูล ระบุด้วยว่า นายแพทย์บุญส่ง เลขะกุล นักนิยมไพรคนสำคัญของไทย ได้กล่าวถึงเรื่องช้างแคระในหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย ฉบับวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖ ว่า เมื่อสิบปีก่อนนั้นเคยพบช้างแคระ หรือช้างค่อม ๒ ครั้ง บริเวณทิศเหนือของทะเลสาบสงขลา โดยครั้งแรกพบ ๗ เชือก ครั้งที่ ๒ พบ ๔ เชือก ขณะที่ยืนกินหญ้าอยู่ตามหนองน้ำ เห็นได้ชัดว่ารูปร่างสูงใหญ่เหมือนควายตามบ้าน มีนิสัยไม่ดุร้ายเหมือนช้างป่า ต่อมาใกล้ๆ ถึงปีพ.ศ.๒๕๐๖ ได้ออกไปสำรวจอีกครั้ง แต่ไม่พบช้างประเภทนี้ สืบสวนได้ความว่าสาเหตุเพราะส่วนหนึ่งชาวบ้านไล่ล่ามากินต่างหมู
ส่วนหนังสือ Five Year in Siam ของ เฮอร์เบิร์ต วาริงตัน สมิธ ชาวอังกฤษ กล่าวว่า ในปี พ.ศ.๒๔๙๓ สมิธได้ไปสำรวจดินแดนชายฝั่งภาคใต้ซีกอ่าวไทย พบว่าในทุ่งระโนดซึ่งแทบจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ และมีบ้านเรือนเพียงน้อยหลัง มีฝูงช้างที่มีขนาดเล็กอย่างประหลาด เรียกกันว่าช้างแดง ตามสีขนของมัน ขนาดสูงราว ๘ ฟุต หัวและเท้าเล็ก ลำตัวอ้วนใหญ่ เป็นที่หวาดกลัวในความดุดันของมันเช่นเดียวกับช้างป่าทั่วไป ช้างแดงพวกนี้ไม่ตื่นตกใจง่ายๆ ชอบบุกรุกเอาบ้านและทุ่งแทนป่า หากจับมาแล้วมักตายง่าย เพราะช้างพวกนี้คุ้นเคยกับน้ำกร่อยในหนองน้ำ ถ้าเปลี่ยนไปอยู่กับน้ำใสๆ จากภูเขาก็จะตาย นอกจากนี้ยังพบว่ากระดูกช้างแกลบถูกนำมาดัดแปลงทำกระต่ายขูดมะพร้าว ด้ามมีดจักตอก
ยังมีข้อมูลจากโครงการยุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้ โรงเรียนสตรีพัทลุง สืบค้นศึกษาเกี่ยวกับช้างแคระ หรือช้างแกลบ ไว้ว่า มีหลักฐานจากหลายแหล่งชี้ชัดว่า ประมาณทศวรรษ ๒๔๘๐ ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยมีช้างที่มีขนาดเล็กกว่าช้างทั่วไปอยู่โขลงหนึ่ง จำนวนประมาณ ๓๐-๔๐ เชือก อาศัยอยู่ในบริเวณทุ่งหญ้าและป่าพรุรอบๆ ทะเลสาบตอนบน ชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกว่า ช้างค่อม ช้างแคระ ช้างแกลบ ช้างพรุ
เล่ากันว่าช้างชนิดนี้มีรูปร่างลักษณะอย่างช้างทั่วไป แต่ขนาดเล็กกว่า ลำตัวสูงประมาณควายป่าคือราวๆ ๗-๘ ฟุต หัวและเท้าเล็ก ลำตัวอ้วนใหญ่ คุ้นเคยกับสภาพน้ำกร่อยและหนองน้ำในทุ่งหญ้าริมทะเล หรือภูมิประเทศแบบกึ่งป่ากึ่งน้ำเป็นอย่างดี ชอบรวมตัวกันเป็นฝูงหรือโขลง มีนิสัยดุร้ายเป็นที่หวาดกลัวของชาวบ้านในชุมชนรอบทะเลน้อย (ช่วงต้นของทะเลสาบสงขลา คาบเกี่ยวอยู่กับ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช และ อ.ระโนด จ.สงขลา)
มีการตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องเล่าและ/หรือการพบเห็นช้างค่อมในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถึงทศวรรษ ๒๕๐๐ น่าจะเป็นเรื่องราวช่วงสุดท้ายของพวกมัน เพราะเรื่องเล่าในทุ่งชุ่มน้ำทางทิศตะวันออกของทะเลน้อยเมื่อปลายทศวรรษ ๒๔๘๐ ช้างค่อมถูกเอ่ยถึงในฐานะศัตรูสำคัญที่ออกจากป่ามาทึ้งกินเหยียบย่ำทำลายนาข้าว ชาวบ้านจึงช่วยกันขับไล่พวกมันออกจากพื้นที่โดยไม่จำกัดวิธีการ
โดยเฉพาะเรื่องเล่าที่ยังเป็นที่จดจำกันว่า ชาวบ้านรอบทะเลน้อยระดมแรงกันออกล่าศัตรูนาข้าวชนิดนี้เพื่อใช้เป็นอาหารด้วยแล้วก็น่าจะเชื่อได้ว่ายุคสุดท้ายของพวกมันได้ผ่านไปแล้วจริงๆ เพราะเมื่อนายแพทย์บุญส่งลงมาสำรวจอีกครั้งเมื่อปี ๒๕๐๖ ก็ไม่ปรากฏร่องรอยของช้างค่อมในทุ่งหญ้าและป่าพรุรอบทะเลน้อยอีกเลย
ลิงธรรมชาติไทย
มารู้จักลิงที่มีในธรรมชาติประเทศไทยกันเถอะ ซึ่งทุกชนิด ปัจจุบันเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.๒๕๓๕
ลิงอ้ายเงียะ, ลิงอัสสัม หรือลิงภูเขา (Assam macaque ; ชื่อวิทยาศาสตร์ : Macaca assamensis) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร (Primates)
มีรูปร่างอ้วนเทอะทะ แขน-ขาสั้น ขนปุย ขนตามลำตัวมี สีเหลืองปนเทา บางตัวอาจมี สีเข้มมากจนดูคล้ายสีน้ำตาลดำ ส่วนที่หัวไหล่ หัวและแขนมี สีอ่อนกว่าบริเวณอื่นๆ
ขนหัวและหางมักมีสีเทา ในบางฤดูกาลผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีเทาอมฟ้า
มักอาศัยในป่าบนภูเขาสูงหรือตามที่ราบสูงซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๕๐๐-๓,๕๐๐เมตร ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนต้นไม้ซึ่งมีเรือนยอดสูงจากพื้นดิน ๑๐-๑๕ เมตร
มักอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ ฝูงหนึ่งมีสมาชิก ๔๐-๖๐ ตัว จัดเป็นลิงนิสัยดุร้าย ทั้งกระดิกหางได้เหมือนสุนัข อาหาร ได้แก่ ผลไม้ ยอดไม้อ่อน แมลง และสัตว์เลื้อยคลานจำพวกกิ้งก่า
ลิงเสน
การกระจายพันธุ์พบในเนปาล ภูฏาน สิกขิม รัฐอัสสัมของอินเดีย ภาคใต้ของจีน ภาคเหนือของพม่าและเวียดนาม รวมถึงภาคตะวันตกและภาคอีสานของไทย ซึ่งปัจจุบันพบได้เพียง ๙ แห่ง ที่วัดถ้ำปลา และวัดถ้ำผาแลนิภาราม เชียงราย, บ้านป่าไม้ เชียงใหม่, เขตห้ามล่าสัตว์ป่า ถ้ำผาท่าพล พิษณุโลก, อุทยานแห่งชาติน้ำตกคลองลาน กำแพงเพชร, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง ตาก, อุทยานแห่งชาติภูเขียว ชัยภูมิ, เขื่อนเขาแหลม และอุทยานแห่งชาติน้ำตกเอราวัณ กาญจนบุรี
ลิงเสน หรือลิงหมี (Stump-tailed macaque, Bear macaque; ชื่อวิทยาศาสตร์ : Macaca arctoides) จัดอยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า (Cercopithecidae) ลำตัวยาว หลังสั้น หางสั้นมากจนดูเหมือนกับไม่มีหาง หน้ากลม เมื่ออายุมากหน้าจะเป็นสีแดง ก้นแดง หน้าท้องมีขนน้อย ขนตามตัวมีสีเทาออกแดง ขนบนหัวจะขึ้นวนเป็นก้นหอย ขนที่แก้มชี้ไปทางหลังและคลุมหูไว้
พฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ หากินตอนกลางวัน เป็นลิงที่หากินตามพื้นดินมากกว่าบนต้นไม้ ชอบอยู่ป่าทึบมากกว่าป่าโปร่ง และพบทั้งป่าสูงและป่าต่ำ เวลาตกใจจะวิ่งขึ้นต้นไม้อย่างรวดเร็ว
ลิงแสม
พบได้ในป่าทุกชนิดของเขตร้อนและกระจายกันอยู่แถบตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ตะวันตกของมาเลเซีย แหลมมลายู พม่า ไทย เวียดนาม และตะวันออกของบังกลาเทศ สำหรับประเทศไทย เดิมพบได้ทุกภูมิภาค แต่ปัจจุบันมีสถานะในธรรมชาติลดลงเป็นจำนวนมากจนเหลือเพียงไม่กี่ฝูงเท่านั้น อาทิ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง, อุทยานแห่งชาติแก่งกรุง, อุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง, อุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง เป็นต้น
ลิงแสม (Long-tailed macaque, Crab-eating macaque ; ชื่อวิทยาศาสตร์ : Macaca fascicularis) จัดอยู่ในวงศ์ลิงโลกเก่า เป็นลิงขนาดกลาง ขนตามลำตัวสีน้ำตาล หางยาวกว่าความยาวของลำตัว ขนตรงกลางหัวตั้งแหลมชี้ขึ้น ขนใต้ท้องสีขาว โดยสีขนจะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ ฤดูกาล และถิ่นที่อยู่อาศัย มีการแพร่กระจายพันธุ์ค่อน ๑๐ ชนิด เป็นลิงอีกชนิดหนึ่งที่พบได้แทบทุกภูมิประเทศ ทั้งในป่าชายเลนใกล้ทะเล โดยลิงฝูงที่อาศัยที่นี่จะว่ายน้ำและดำน้ำเก่ง หากินสัตว์ทะเลขนาดเล็กเป็นอาหาร แต่บางครั้งก็พบอาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นและพื้นที่สูงประมาณ ๒,๐๐๐ เมตร จากระดับน้ำทะเล หรือพื้นที่เกษตรกรรม
ลิงแสมในประเทศไทยมีอยู่หลายชนิด ชนิดที่พบทางอ่าวไทยมีขนยาวเป็นจุกอยู่บนหัว ขนมีสีเหลือง ส่วนชนิดที่พบทางฝั่งทะเลอันดามันมีขนาดเล็กกว่าและหน้าดำ
โดยทั่วไปมันพยายามจะปรับตัวให้สามารถอยู่ในพื้นที่บริเวณขอบนอกของป่า มากกว่าอยู่ในป่าลึก และปรับตัวให้เข้ากับมนุษย์ในบางโอกาส ดังที่มักพบเห็นทั่วไปตามศาลพระกาฬ ลพบุรี หรือศาลเจ้าแม่เขาสามมุข ชลบุรี ซึ่งมักจะอยู่กันเป็นฝูงใหญ่ อาจมีสมาชิกถึง ๒๐๐ ตัว ทั้งยังพบเห็นได้แม้ในเขตกรุงเทพมหานคร
ลิงวอก (Rhesus macaque ; ชื่อวิทยาศาสตร์ : Macaca mulatta) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร เป็นลิงที่มีร่างกายอ้วนสั้น ลำตัวส่วนหลังสีน้ำตาล ส่วนอื่นเป็นสีน้ำตาลเทา หางยาวประมาณครึ่งหนึ่งของความยาวลำตัว ขนหางค่อนข้างยาวและฟู โคนหางค่อนข้างใหญ่และเรียวเล็กลงไปทางปลายหาง แต่หางสั้นกว่าลิงแสม ขนบริเวณสองข้างแก้มม้วนวนเป็นก้นหอย ผลัดขนประมาณช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม โดยจะเริ่มที่บริเวณปากก่อน หลังจากนั้นจึงจะเริ่มผลัดขนที่หลัง ตัวเมียอาจมีขนสีแดงในฤดูผสมพันธุ์ ขนที่หัวของลิงวอกจะชี้ตรงไปด้านหลัง
มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ตั้งแต่ ๕๐ ตัวขึ้นไป มีตัวผู้แก่เป็นจ่าฝูง ชอบอยู่ตามป่าที่มีโขดหินหรือหน้าผา และเป็นป่าที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ออกหากินบริเวณใกล้เคียงกับที่อาศัย ชอบลงมาเดินบนพื้นดิน เป็นลิงที่เชื่องและไม่ค่อยกลัวคน จากการศึกษาพบว่าลิงวอกมีความสัมพันธ์กับชุมชนมนุษย์มาเป็นเวลานาน แต่การที่มันมักเข้ามาอาศัยและใช้ประโยชน์ในพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้บางครั้งถูกจับฆ่าเพื่อนำมาทำเป็นอาหารและฆ่าเพื่อลดความรำคาญ
ลิงวอกมีการกระจายพันธุ์ตั้งแต่อัฟกานิสถาน ภาคเหนือของอินเดีย เนปาล พม่า ภาคใต้ของจีน ลาว เวียดนาม ภาคตะวันตก ภาคเหนือของไทย โดยในประเทศไทย เชื่อว่าเหลือฝูงสุดท้ายที่วัดถ้ำผาหมากฮ่อ อ.วังสะพุง จ.เลย
ลิงลม หรือนางอาย หรือลิงจุ่น
(Slow loris, Loris ; ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nycticebus)
เป็นสกุลของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสกุลหนึ่งในวงศ์ Lorisidae ในอันดับไพรเมต โดยปกติเคลื่อนไหวได้เชื่องช้ามาก แต่จะว่องไวในเวลากลางคืน และแว้งกัดได้รวดเร็ว เมื่อหาอาหาร และเวลาที่โดน ลมพัด อันเป็นที่มาของชื่อลิงลม และเมื่อตกใจมันจะเอาแขนซุกใบหน้าไว้ อันเป็นที่มาของชื่อนางอาย
ลิงลมมีขนนุ่มสั้นหนาเป็นปุย ลำตัวกลมอ้วน หน้าสั้น ตากลมโต ใบหูเล็กจมอยู่ในขน มีเส้นสีน้ำตาลเข้มจากหัวไปตลอดแนวสันหลัง หรือขีดคาดตามใบหน้า ส่วนหัว ดวงตา และ เส้นกลางหลัง อันเป็นลักษณะสำคัญในการแบ่งแยกชนิด มีส่วนหางที่สั้นมากจนดูเหมือนไม่มีหาง ไม่มีนิ้วหัวแม่มือ นิ้วเท้าอันที่สองมีเล็บเป็นตะของอโค้งไว้จับกิ่งไม้ได้แน่นในขณะมันลุกขึ้นยืนเพื่อจับแมลงกินเป็นอาหาร ทั้งสภาพของขนและสียังสามารถแฝงตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติได้ด้วย
ทุกชนิดพบกระจายพันธุ์อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย จนถึงหมู่เกาะต่างๆ ในอินโดนีเซีย มีพฤติกรรมหากินตามลำพังในเวลากลางคืน เว้นแต่ตัวที่มีลูกอ่อนจะเอาลูกเกาะติดอกไปด้วย กลางวันจะซ่อนหน้าเพื่อหลบแสงสว่าง โดยใช้ใบไม้บังหรืออยู่ในโพรงไม้ อาหารที่ลิงลมปีนป่ายหากินตามต้นไม้ คือแมลง สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก และไข่นก แต่ก็กินสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น ค้างคาว หรือนกที่หลับบนกิ่งไม้เป็นอาหารได้ด้วย ลิงลมมีกระดูกสันหลังแบบพิเศษ คือบิดตัวได้คล้ายงู ใช้ปีนป่ายต้นไม้ได้เป็นอย่างดี และมีมือที่เก็บซ่อนนิ้วเพื่อให้จับเหยื่อและเคลื่อนที่ไปทั่วได้โดยไม่เป็นที่สังเกต นิ้วชี้ของขาหลังมีเล็บยาวปลายแหลมเห็นได้ชัด ขาหน้าและขาหลังสั้นแต่แข็งแรง
ลิงกัง
(Pig-tailed Macaque ; ชื่อวิทยาศาสตร์ : Macacanemestrina) วงศ์ Cercopithecidae
อันดับไพรเมต เป็นลิงที่มีรูปร่างอ้วนสั้น ขนสั้นสีเทาหรือสีน้ำตาล หน้าค่อนข้างยาว ขนบนหัวสั้นและขึ้นวนเป็นก้นหอย ขนตรงส่วนใต้ท้องมีสีจางจนเกือบขาว หางค่อนข้างสั้น ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า และมีขนปรกหน้าผากน้อยกว่าตัวผู้ ชอบกินผลไม้ เมล็ดพืช และแมลงเป็นอาหาร เวลากินอาหารมักชอบเก็บไว้ข้างแก้มแล้วค่อยๆ เอามือดันอาหารที่เก็บไว้ออกมากินทีละน้อย
ชอบอาศัยอยู่ตามป่าทึบบริเวณเชิงเขา ชอบท่องเที่ยวไปเรื่อย ไม่ค่อยอยู่เป็นที่ บางตัวออกหากินตัวเดียว ไม่รวมฝูง ชอบลงมาอยู่ตามพื้นดินมากกว่าอยู่บนต้นไม้ แต่เวลานอนขึ้นไปนอนบนต้นไม้ ชอบส่งเสียงร้องและมักร้องรับกันทั้งฝูง ลิงกังพบในอัสสัม พม่า ไทย มาเลเซีย สุมาตรา บอร์เนียว สำหรับประเทศไทยพบทั่วไปแทบทุกภาค พบมากตั้งแต่ราชบุรี เพชรบุรี จนถึงภาคใต้
จระเข้ : น้ำจืด-น้ำเค็ม
จากข้อมูลเผยแพร่ของกรมประมงซึ่งแยกความแตกต่างของจระเข้ ๒ ชนิดไว้ว่า จระเข้น้ำจืด (Crocodylus siamensis) จระเข้น้ำจืดในสภาพธรรมชาติมักอยู่เดี่ยวๆ อาศัยตามแหล่งน้ำนิ่ง บึง หรือวังน้ำที่สงบ มีความลึกไม่เกิน ๕ ฟุต มีร่มเงาพอสมควร เพราะจระเข้เป็นสัตว์เลือดเย็น ถ้าอากาศร้อนมันจะแช่อยู่ในน้ำมากกว่าอยู่บนบก แต่ถ้าอากาศหนาวจะขึ้นมานอนผึ่งแดดบนบกในตอนกลางวันโดยจะนอนนิ่งอ้าปากกว้างเพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกาย
โดยเฉลี่ยแล้วจระเข้น้ำจืดมีความยาวตลอดลำตัวประมาณ ๓-๔ เมตร แต่ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่กลับเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว วิ่งในระยะทางสั้นๆ ได้เร็วพอๆ กับคนเลยทีเดียว จระเข้มีสายตาไวมากมันงับนกที่บินผ่าน รืออาหารที่คนโยนให้ไว้ได้ก่อนตกถึงพื้น ตาของมันมองเห็นได้รอบทิศเป็นมุม ๑๘๐ องศา จึงมองเห็นวัตถุเหนือหัวได้ด้วย หรือแม้แต่เมื่ออยู่ในน้ำก็สามารถมองเห็นได้โดยมีม่านตาใสอีกชั้นหนึ่งปิดทับลูกตา
นอกจากจมูกเป็นปุ่มกลมนูนที่ปลายปากแล้ว จระเข้ยังมีกระเปาะเป็นโพรงภายในปาก จึงรับรู้กลิ่นได้ทั้งบนบกและในน้ำ ประสาทสัมผัสพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือการรับรู้ทางผิวหนังเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนพื้นดินหรือน้ำ และสามารถรับรู้เหตุการณ์ทางธรรมชาติได้ล่วงหน้า เช่น ฝนตก พายุ แผ่นดินไหว จะส่งเสียงร้องในลำคอคล้ายเสียงคำรามและมีอาการตื่นตระหนกตกใจ
เพศของจระเข้จะเห็นได้ชัดในจระเข้ที่มีอายุ ๓ ปีขึ้นไป โดยสังเกตได้จากหลายแห่งด้วยกัน คือ ลำตัว จระเข้ตัวผู้จะมีช่วงลำตัวยาวกว่า มีสีเข้มกว่าเป็นสีเกือบดำ ในขณะที่ตัวเมียลำตัวจะสั้นและป้อมกว่า เกล็ดตัวผู้มีเกล็ดใหญ่กว่า ที่ท้ายทอยมีเกล็ดขนาดใหญ่สองข้าง ข้างละ ๒ เกล็ด ซึ่งเป็นลักษณะประจำพันธุ์ของจระเข้น้ำจืด และจะมีเกล็ดอยู่ที่ด้านบนของส่วนคอเป็นกลุ่มเกล็ดขนาดใหญ่ประมาณ ๖ เกล็ด ส่วนหัว ตัวผู้มีโหนกหลังตาสูงคมเด่นชัด
ส่วนจระเข้น้ำเค็ม (Crocodylus porosus) ธรรมชาติของจระเข้น้ำเค็ม จระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อโตเต็มที่มีความยาวถึง ๙ เมตร ชอบอาศัยอยู่ตามปากแม่น้ำหรือป่าชายเลน ลักษณะแตกต่างจากจระเข้น้ำจืดคือไม่มีเกล็ด ๔ เกล็ดที่ท้ายทอย ปากเรียวยาวกว่า ตีนคู่หลังมีพังผืดระหว่างนิ้วตีนมากกว่า บางครั้งจึงเรียกว่าจระเข้ตีนเป็ด สีลำตัวออกสีเหลืองอ่อน และการเรียงตัวของลายที่ส่วนหางดูคล้ายตาหมากรุก และมีนิสัยดุร้าย
ความแตกต่างของเพศผู้และเพศเมีย ส่วนที่สังเกตได้ชัดเจนคือลำตัว จระเข้น้ำเค็มตัวผู้จะมีลำตัวผอมยาว ตัวเมียจะมีลำตัวอ้วนสั้นกว่า ขนาดตัวโดยรวมดูเล็กกว่าตัวผู้ที่อายุเท่ากัน และหางจระเข้น้ำเค็มตัวผู้จะมีหางยาวกว่าจระเข้ตัวเมีย หัวตัวผู้ระยะห่างของโหนกหลังตาจะกว้างกว่า หัวของตัวผู้จะดูป้อมสั้นในขณะที่ตัวเมียจะดูหัวยาวเรียวกว่า
มีความรู้จากวิกิพีเดียเพิ่มเติมว่า จระเข้ (Crocodile) เป็นวงศ์ของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Crocodylidae อยู่ใน อันดับจระเข้ (Crocodilia) มีลักษณะโดยรวมคือ ส่วนปลายของหัวแผ่กว้างหรือเรียวยาว ขากรรไกรยาวและกว้าง เมื่อหุบปากแล้วจะเห็นฟันซี่ที่ ๔ ของขากรรไกรล่างเนื่องจากขอบปากบนตรงตำแหน่งนี้เป็นรอยหยักเว้า ส่วนปลายของขากรรไกรล่างข้างซ้ายและข้างขวาเชื่อมต่อกันเป็นพื้นที่แคบ มีก้อนเนื้อที่ปลายปากนูนสูงที่ช่องเปิดรูจมูกเรียกว่า "ก้อนขี้หมา" ซึ่งแตกต่างตามชนิดและเพศหรือขนาด โคนหางเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ แข็งแรงเรียกว่า "บ้องตัน" หางแบนยาวใช้โบกว่ายน้ำ
ถือเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เนื่องจากเป็นสัตว์ผู้ล่ากินเนื้อขนาดใหญ่ที่ไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ แต่จระเข้ก็ไม่ใช่สัตว์กินจุ กินอาหารวันละครั้งคิดเป็นน้ำหนักประมาณ ๓-๕% ของน้ำหนักตัวเท่านั้น จระเข้ไม่สามารถกินอาหารใต้น้ำได้ เพราะจะทำให้น้ำไหลเข้าหลอดลม จระเข้ตัวโตเต็มวัยจะมีพฤติกรรมกินอาหารแบบหมุนตัว มันจะใช้ปากที่มีฟันอยู่กว่า ๖๐ ซี่ งับเหยื่อแล้วหมุนตัวเองพร้อมสะบัดเหยื่ออย่างแรงจนฉีกเป็นชิ้นๆ ก่อนกลืนลงคอ ส่วนเหยื่อตัวเล็กจะถูกบดแหลกด้วยลิ้นขนาดใหญ่ โดยใช้ลิ้นดัน เหยื่ออัดแน่นกับเพดานของอุ้งปาก นอกจากนี้จระเข้ยังกลืนก้อนกรวดหรือก้อนหินเข้าไปในกระเพาะเพื่อช่วยในการบดอาหารด้วย
จระเข้พบได้ในเขตอบอุ่นและเขตร้อนทั่วโลก นับเป็นสัตว์ที่มีจำนวนสมาชิกมากและหลากหลายที่สุดของอันดับจระเข้ที่ดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน
เรื่อง : หนังสือพิมพ์ข่าวสด