การตั้งชื่อดาวชาละวัน จากข้อมูลที่รายงานโดย วิมุติ วสะหลาย กรรมการวิชาการสมาคมดาราศาสตร์ไทย เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสมาคมดาราศาสตร์ ว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2558 สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลได้ประกาศผลการคัดเลือกชื่อสามัญโลกต่างระบบ 20 แห่ง หนึ่งในนั้นคือดาว 47 หมีใหญ่ (47
Ursae Majoris) ได้ชื่อว่า "ชาละวัน" นับเป็นดาวฤกษ์ดวงแรกบนท้องฟ้าที่มีชื่อสามัญสากลเป็นชื่อไทย
สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล หรือไอเอยู (
IAU-International Astronomical Union) ซึ่งเป็นองค์กรสากลที่มีหน้าที่รับผิดชอบการกำหนดชื่อและนิยามต่างๆ ในทางดาราศาสตร์ ได้ดำเนินโครงการ "เนม เอกโซ เวิลด์ส" (
NameExoWorlds) มีเป้าหมายที่จะตั้งชื่อสามัญ ให้แก่ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่นจำนวน 20 ระบบ บางระบบที่ดาวฤกษ์เองยังไม่มีชื่อสามัญก็ให้ตั้งชื่อสามัญให้ดาวฤกษ์นั้นด้วย โดยเปิดโอกาสให้องค์กรทางดาราศาสตร์จากทั่วโลกเสนอชื่อเข้าไป และตัดสินด้วยการลงคะแนนเสียงออนไลน์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดย มีองค์กรทางดาราศาสตร์ 584 องค์กรทั่วโลกร่วมเสนอชื่อ และสมาคมดาราศาสตร์ไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น
ดาวฤกษ์ 20 ดวง ที่สหพันธ์ดาราศาสตร์สากลคัดมาเข้าในโครงการตั้งชื่อในครั้งนี้ได้แก่ ดาวเอปไซลอนวัว (
epsilon Tauri), ดาวไอโอตามังกร (
iota Draconis), ดาวแกมมาซีฟิอัส หรือ แกมมาเซเฟ (
gamma Cephei), ดาวแอลฟาปลาใต้ (
alpha Piscis Austrini), ดาวบีตาคนคู่ (
beta Geminorum), ดาวเอปไซลอนแม่น้ำ (
epsilon Eridani), ดาวมิวแท่นบูชา (
mu Arae), ดาวเทาคนเลี้ยงสัตว์ (
tau Bootis)
ดาวอิปไซลอนแอนดรอเมดา (
upsilon Andromedae), ดาวไซนกอินทรี (
xi Aquilae), ดาว 14 แอนดรอเมดา (14
Andromedae), ดาว 18 โลมา (18
Delphini), ดาว 42 มังกร (42
Draconis), ดาว 47 หมีใหญ่ (47
Ursae Majoris), ดาว 51 ม้าบิน (51
Pegasi), ดาว 55 ปู (55
Cancri), ดาวเอชดี 81688 (
HD 81688), ดาวเอชดี 104985 (
HD 104985), ดาวเอชดี 149026 (
HD 149026) และพีเอสอาร์ 1257+12 (
PSR 1257+12)
ในการเฟ้นหาชื่อดาวที่จะเสนอไปยังสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล สมาคมดาราศาสตร์ไทยได้จัดการประกวดชื่อผ่านทางเว็บไซต์ของสมาคมฯ เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปที่สนใจเสนอชื่อเข้ามา ซึ่งก็มีผู้เสนอชื่อน่าสนใจหลายชื่อ เช่น ข้าวสวย ขนมครก สุดสาคร เป็นต้น ที่สุดสมาคมดาราศาสตร์ไทยได้เลือกเอาชื่อ "ตะเภาแก้ว" เสนอโดย ด.ญ.ศกลวรรณ ตระการรังสี ส่วนชื่อ "ชาละวัน" เสนอโดย นายสุภาภัทร อุดมรัตน์นุภาพ คณะทำงานของสมาคมดาราศาสตร์ไทยจึงได้เพิ่มชื่อ "ตะเภาทอง" เข้าไปอีกหนึ่งชื่อเพื่อนำไปตั้งให้แก่ระบบสุริยะของดาว 47 หมีใหญ่ เหตุที่เลือกดาวดวงนี้เนื่องจากอยู่ในกลุ่มดาวที่ตรงกับดาวจระเข้ ของไทย สอดคล้องกับตัวละครในเรื่องไกรทองพอดี โดยให้ ชื่อชาละวันแก่ดาวฤกษ์ ส่วนตะเภาแก้วและตะเภาทองยกให้เป็นชื่อของดาวเคราะห์ทั้งสองของดาวชาละวัน
การลงคะแนนเพื่อคัดเลือกของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลได้เริ่มขึ้นในเดือนสิงหาคม 2558 สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ปีเดียวกัน ผลออกมาว่า ชื่อดาวชาละวัน-ตะเภาแก้ว-ตะเภาทอง มีผู้ลงคะแนนให้สูงสุด ได้เป็นชื่อสามัญของดาว 47 หมีใหญ่และบริวารอย่างเป็นทางการ
การสถาปนาชื่อไทยให้โลกต่างระบบครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ได้เผยแพร่ถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานให้ชาวโลกได้รับรู้" นายเชิดพงศ์ วิสารทานนท์ กรรมการบริหารสมาคมดาราศาสตร์ไทย ประธานโครงการสถาปนาชื่อไทยให้โลกต่างระบบ (
Thai NameExoWorld) กล่าวและว่า
"เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้โหวตสนับสนุนกว่าครึ่งล้านคะแนนเสียงจาก 182 ประเทศ ที่เลือกโลกต่างระบบจากทั้งหมด 19 ระบบ พบว่าประเทศไทยมีคะแนนโหวตมากเป็นอันดับที่ 7 และมากกว่าชื่อลำดับที่ 2 ที่โหวตแข่งในระบบเดียวกันถึงเกือบ 3 เท่าตัว"
จันทร์ยิ้ม พระจันทร์ยิ้มที่เคยเกิดขึ้น เกิดได้อย่างไร?คำตอบนำมาจากอรรถาธิบายของสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ว่า ดวงจันทร์ยิ้ม คือปรากฏการณ์ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ และดาวพฤหัสบดี อยู่ใกล้กัน ปรากฏให้เห็นในช่วงหัวค่ำของวันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ.2551 ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ นับเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่เกิดขึ้นได้ยาก วัตถุท้องฟ้า 3 วัตถุสว่างที่สุดยามค่ำคืน ได้แก่ ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี มาชุมนุมกัน โดยดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดีอยู่ห่างกันเพียง 2 องศา ส่วนดวงจันทร์ปรากฏเป็นเสี้ยว (ขึ้น 4 ค่ำ) และหันด้านมืดเข้าหาดาวเคราะห์ทั้งสองพอดี ปรากฏการณ์ในครั้งนี้จึงเป็นภาพที่น่าสนใจและปรากฏให้เห็นไม่บ่อยนัก
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ดาวพฤหัสฯ ดาวศุกร์ และ ดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู
ทั้งนี้ ดาวพฤหัสฯ จะใช้เวลาในการเปลี่ยนราศีปีละ 1 ราศี และใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ทั้งหมด 12 ปี ทำให้โอกาสของดาว 2 ดวงและดวงจันทร์ที่จะโคจรมาอยู่บนราศีเดียวกันเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลานับ 10 ปี
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นไปตามระบบสุริยะ แต่เป็นเรื่องยากที่จะได้พบเห็น
ยังมีข้อมูลจาก วรเชษฐ์ บุญปลอด กรรมการสมาคมดาราศาสตร์ไทย ว่า ปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนที่ดวงจันทร์เสี้ยวได้เคลื่อนไปอยู่ใกล้ดาวศุกร์กับดาวพฤหัสบดี จนมีลักษณะคล้ายหน้าคนยิ้ม และหลายคนเรียกว่าพระจันทร์ยิ้ม หรือฟ้ายิ้ม นั้น เป็นภาวะประจวบเหมาะที่สำคัญหลายอย่าง คือ ดาวศุกร์กับดาวพฤหัสบดีเข้าใกล้กันมากที่สุด ด้วยระยะห่างพอประมาณ ไม่ใกล้กันมากเกินไป หากใกล้ชิดจนเกือบติดกันก็จะทำให้ดูไม่เหมือนเป็นดวงตา 2 ข้าง ขณะที่จันทร์เสี้ยวอยู่ในตำแหน่ง พอเหมาะพอเจาะสอดรับกันกับดาวสองดวง ประกอบเข้ากันเป็นตำแหน่งของปาก และทั้งดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี และดวงจันทร์ อยู่สูงจากขอบฟ้ามากพอสมควร ทำให้สังเกตได้ง่าย ทั้งปรากฏการณ์เกิดในเวลาหัวค่ำซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่นอน หากเกิดตอนเช้ามืดคงไม่เป็นที่สนใจและสร้างความฮือฮามากเท่านี้ โดยเฉพาะเกิดในฤดูหนาวซึ่งท้องฟ้าส่วนใหญ่ปลอดโปร่ง ไม่ค่อยมีเมฆเป็นอุปสรรค ยกเว้นภาคใต้
กล่าวได้ว่าพระจันทร์ยิ้มเป็นส่วนหนึ่งของ ปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือน แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นสิ่งเดียวกันเสียทีเดียว เพราะดาวเคียงเดือนใช้กับปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์อยู่ใกล้ดาวสว่าง (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นดาวเคราะห์) ไม่ว่าจะเรียงกันเป็นรูปอะไร
แต่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2551 ยังมีปัจจัยเพิ่มเกี่ยวกับการเรียงกันของวัตถุท้องฟ้าทั้งสามดวงจนกลายเป็นหน้าคนยิ้ม ซึ่งหากพุ่งเป้าไปที่การเข้าใกล้กันระหว่างดวงจันทร์ ดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดี ขอบเขตของการค้นหาก็แคบลง การเข้าใกล้กันระหว่างดาวศุกร์กับดาวพฤหัสบดีเกิดขึ้นได้ปีละ 1-2 ครั้ง แต่ไม่มีครั้งใดในระยะใกล้ๆ นี้ที่จะมีดวงจันทร์มาร่วมอยู่ด้วยจนเกิดเป็นหน้าคนยิ้มได้
อย่างปรากฏการณ์ในเช้ามืดวันที่ 16 กรกฎาคม 2555 เกือบจะดูคล้ายหน้ายิ้มแล้ว แต่ออกจะบิดเบี้ยวไปค่อนข้างมาก ส่วนปรากฏการณ์ในค่ำวันที่ 18 กรกฎาคม 2558 ดูคล้ายหน้าคนเช่นกัน แต่ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ กับดาวพฤหัสบดี อยู่ห่างไกลกันพอสมควร
ต้นพุทธศตวรรษหน้า จะมีการเรียงกันของดวงจันทร์ ดาวศุกร์ กับดาวพฤหัสบดี จนดูคล้ายหน้ายิ้มในค่ำวันที่ 3 เมษายน 2603 และ 20 กันยายน 2620
โดยครั้งแรกจะมีดาวเสาร์มาร่วมอยู่ด้วย แต่ระยะห่างระหว่างดวงจันทร์กับดาวเคราะห์ก็ยังไกลกว่าที่เราเห็นเมื่อคืนวันที่ 1 ธันวาคม 2551 (วันถัดไปดวงจันทร์จะเข้าใกล้ดาวเคราะห์มากที่สุด แต่เคลื่อนเลยไปจนดูไม่เหมือนหน้าคน)
ดังนั้น อาจสรุปได้ว่าเหตุการณ์ที่หลายคนกล่าวขานว่าพระจันทร์ยิ้มเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่ยากนักหากไม่เจาะจงว่าเป็นดาวศุกร์กับดาวพฤหัสบดี แต่ยากพอสมควรเมื่อคำนึงถึงแต่เฉพาะดาวศุกร์กับดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นดาวเคราะห์สองดวงที่สว่างที่สุดและเห็นได้ง่ายที่สุดบนท้องฟ้า
อุกกาบาตใหญ่ที่สุด เคยมีอุกกาบาตตกที่ไหนบ้างที่มีขนาดใหญ่ๆ ของโลก?ตอบ เข้าเว็บไซต์ฟิสิกส์ราชมงคล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จัด 7 อันดับอุกกาบาตขนาดใหญ่โตที่สุดที่เคยพบบนโลกไว้ดังนี้
ลำดับ 7 "วิลลาเมต-
Willamette" น้ำหนักโดยประมาณ 15.5 ตัน ด้วยขนาด 7.8 ตารางเมตร ส่งให้วิลลาเมตเป็นสะเก็ดดาวที่ใหญ่ที่สุดที่พบในสหรัฐอเมริกา องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแร่เหล็กถึง 91 เปอร์เซ็นต์ และนิกเกิล 7.62 เปอร์เซ็นต์ ตกในรัฐโอเรกอน แต่ร่องรอยการกระแทกไม่หลงเหลือแล้ว
ทั้งนี้ หากไม่นับรวมชนอเมริกันพื้นเมืองในอดีต ผู้ค้นพบวิลลาเมตคือ เอลลิส ฮิวจ์ ในปี ค.ศ. 1902 เขาใช้เวลากว่า 3 เดือนในการขนย้ายสะเก็ดดาวก้อนนี้ไปไกล 3 ส่วน 4 ก.ม. จากจุดตก ซึ่งเป็นที่ดินของบริษัทโอเรกอน ไอร์ออน แอนด์ สตีล และพยายามอ้างความเป็นเจ้าของ แต่สุดท้ายก็ถูกจับ และสะเก็ดดาวถูกขายไปในราคา 26,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.6 แสนบาทขณะนั้น) ก่อนที่ภายหลังจะนำมาจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน
ลำดับ 6 "เอ็มโบซี-
Mbozi" น้ำหนักโดยประมาณ 16 ตัน สะเก็ดดาวเอ็มโบซีถูกค้นพบอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1930 ในประเทศแทนซาเนีย และเช่นเดียวกับอุกกาบาตจำนวนมากที่เคยพบ คือแทบไม่หลงเหลือร่องรอยการตกกระทบพื้นผิวโลกเลย ซึ่งเป็นไปได้ว่ามันกลิ้งหลังจากตกสู่พื้นโลก หรือตั้งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานหลายพันปี
เมื่อเอ็มโบซีถูกพบครั้งแรก ครึ่งหนึ่งของมันฝังอยู่ใต้ดิน ปัจจุบันถูกขุดขึ้นมาวางบนฐานที่ก่อสร้างขึ้น ส่วนหลุมที่เกิดจากการขุด กล่าวกันว่าคงสภาพไว้ตามเดิม
ลำดับ 5 "อักปาลิลิก-
Agpalilik" น้ำหนักโดยประมาณ 20 ตัน หนึ่งในชิ้นส่วนของอุกกาบาต เคป ยอร์ก ค้นพบโดย วาน เอฟ. บุชวาลด์ ที่คาบสมุทร อักปาลิลิก ทวีปกรีนแลนด์ รู้จักกันในชื่อ เดอะ แมน ตกสู่พื้นโลกเมื่อราว 10,000 ปีก่อน เป็นหนึ่งในสะเก็ดดาวเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ธรณีวิทยาโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เดอะ แมน ถูกใช้เป็นแหล่งแร่โลหะเพื่อสร้างเครื่องใช้และอาวุธ ก่อนที่ข่าวการคงอยู่ของมันจะไปถึงหูของนักวิทยาศาสตร์ในปี 1818 แต่คณะเดินทาง 5 ชุดที่ออกไปตามหาหินก้อนนี้ในช่วงปี 1818-1883 ล้มเหลวทั้งหมด
ลำดับ 4 "บาคุบิริโต-
Bacubirito" น้ำหนักโดยประมาณ 22 ตัน วัตถุจากนอกโลกความยาว 4 เมตร เป็นสะเก็ดดาวเต็มก้อนที่สมบูรณ์ที่สุดที่เคยค้นพบในเม็กซิโกอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง พบเมื่อปี 1892 โดย กิลเบิร์ต เอลลิส ไบเลย์ นักธรณีวิทยาชาวอเมริกันซึ่งมาจากสำนักวารสารในเมืองชิคาโก ต่อมาทีมสำรวจได้ขุดค้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากชนพื้นเมืองและตั้งชื่อตามชุมชนที่ค้นพบ ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่เมืองคัลญาคาน ประเทศเม็กซิโก
ลำดับ 3 "อาห์นิกิโต -
Ahnighito" น้ำหนักโดยประมาณ 31 ตัน เป็นเศษชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดของอุกกาบาต เคป ยอร์ก รู้จักกันในชื่อ เดอะ เตนต์ นับเป็นสะเก็ดดาวก้อนใหญ่ที่สุดที่เคยถูกเคลื่อนย้ายโดยกำลังของมนุษย์
นักวิทยาศาสตร์พยายามตามหามันมาตั้งแต่ปี 1818 จนกระทั่ง โรเบิร์ต อี เพียรี่ นักสำรวจมหาสมุทรอาร์กติก ชาวอเมริกัน สามารถระบุที่ตั้งที่ชัดเจนของมันได้ในปี 1894 โดยความช่วยเหลือจากชนพื้นเมืองนิรนาม ทีมของเพียรี่ใช้ความพยายามถึง 3 ปี กว่าจะขนก้อนโลหะหนักอึ้งขนาด 12.1 ตารางเมตรลงเรือได้
เพียรี่ขายให้พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกัน ได้ราคาสูงถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะนั้น หรือประมาณ 800,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปัจจุบัน
ลำดับ 2 "เอล คาโก -
El Chaco" น้ำหนักโดยประมาณ 37 ตัน ชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดจากกลุ่มสะเก็ดดาว คัมโป เดล เชโล ซึ่งตกกระแทกกับพื้นโลกสร้างหลุมยุบขนาด 60 ตารางกิโลเมตร ในประเทศอาร์เจนตินา เอล คาโก เป็นวัตถุจากนอกโลกที่หนักที่สุดเป็นลำดับที่ 2 เท่าที่เคยพบบนพื้นโลก
ค้นพบในปี 1969 ในหลุมลึก 5 เมตร ด้วยการใช้เครื่องตรวจจับโลหะ และจากการตรวจสอบจุดตกพบว่ามีอายุประมาณ 4,000-5,000 ปี เมื่อปี 1990 เกิดคดีใหญ่โต เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์เจนตินาสามารถหยุดแผนขโมยสะเก็ดดาวเอล คาโก ของนักล่าอุกกาบาต โรเบิร์ต ฮัก ได้สำเร็จ ทั้งที่หินดังกล่าวถูกเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศไปแล้ว
ลำดับ 1 "โฮบา -
Hoba" น้ำหนักโดยประมาณ 60 ตัน ขนาด 6.5 ตารางเมตร เป็นเจ้าของตำแหน่งสะเก็ดดาวที่ใหญ่ที่สุดที่เคยพบบนโลกใบนี้ ด้วยน้ำหนักที่มากกว่าลำดับ 2 เกือบเท่าตัว
อยู่ที่เมืองกรูตฟอนไตน์ แคว้นโอตโจซอนด์จูปา ประเทศนามิเบีย
คาดกันว่ามันถูกชะลอโดยชั้นบรรยากาศโลกก่อนที่จะตกสู่พื้น ด้วยความเร็วที่ทำให้มันไม่บุบสลายและจมลงเนื้อดินเกือบมิด นอกจากนี้มันยังมีรูปทรงราบแปลกตา ซึ่งมีคำอธิบายว่าอาจตกกระดอนไปกับพื้นในลักษณะการโยนหินให้กระดอนบนผิวน้ำ
จากการตรวจสอบพบว่า สะเก็ดดาว โฮบา ตกสู่พื้นโลกเมื่อประมาณ 80,000 ปีก่อน มีส่วนประกอบของแร่เหล็ก 84 เปอร์เซ็นต์ นิกเกิล 16 เปอร์เซ็นต์ และเนื่องจากมวลมหาศาลทำให้มันไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายไปจากจุดที่ตั้งอยู่เลยตั้งแต่มีการค้นพบเมื่อปี 1920 โดยชาวนาคนหนึ่ง
ปัจจุบันทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปชมหินอุกกาบาตก้อนนี้
นสพ.ข่าวสด นสพ.ข่าวสด