• แฝดสยาม อิน-จัน ไม่มีสถานะทาสในอเมริกา
หลังจากแยกตัวออกมาจากนายจ้างฝรั่ง อิน-จันตระเวนรอนแรมด้วยรถม้าขึ้นไปรัฐทางเหนือของอเมริกาทะลุเข้าไปในแคนาดา แล้วลงใต้ไปถึงมิสซิสซิปปี อิน-จัน ได้พิสูจน์แล้วว่าความอดทน ความตั้งใจทำธุรกิจในอเมริกา คือปัจจัยที่ทำให้เงินทองไหลมาไม่หยุด ชื่อเสียงของแฝดหนุ่มจากเมืองแม่กลองโด่งดังในอเมริกาในนามของ Siamese Twins (แฝดสยาม)
ส่วนการเดินสายไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกา นายแฮริส ที่ทำหน้าที่เลขาคณะละครเร่ พาอิน-จัน ข้ามทะเลออกจากอเมริกาไปแสดงตัวหาเงินถึงเกาะคิวบา
แฝดอิน-จัน จากสยาม จากเด็กประหลาดตัวติดกัน เลี้ยงเป็ดแถวเมืองแม่กลอง วันนี้กลายเป็นนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ท่องโลก
ในช่วงเวลาตรงนี้ ตรงกับรัชสมัยในหลวง ร.๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ยังไม่มีการแต่งตั้งทูตแลกเปลี่ยนกันระหว่างสยาม-สหปาลีรัฐอเมริกา แต่มีมิชชันนารีและแพทย์จากอเมริกาเดินทางเข้ามาตรวจรักษาชาวสยาม และช่วยวางรากฐานทางการแพทย์สมัยใหม่ให้กับสยาม กิจการด้านต่างประเทศของสยามกับประเทศทางตะวันตกเริ่มมีชีวิต พลิกฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากขับไล่เตะฝรั่งออกนอกสยามจนเกลี้ยงนานหลายปี ชีวิตของแฝดสยามในอเมริกาเริ่มมั่นคงมีรากฐาน แฝดนักธุรกิจคู่นี้ที่ตระเวนไปทั่ว เห็นสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยตัวเอง แผ่นดินในอเมริกาที่แสนกว้างใหญ่ ผู้คนจากทั่วโลกเรียกอเมริกาว่า New World (โลกใหม่) ชาวยุโรปโดยเฉพาะคนผิวขาว แห่กันเข้าไปจับจองที่ดินสร้างชีวิต สร้างครอบครัว มีบาดเจ็บล้มตาย แย่งชิงที่ดิน ตัดสินปัญหากันด้วยปืน บ้างก็เฮง บ้างก็ซวย ใครดีใครอยู่
หนังอเมริกันคาวบอยที่พระเอกคาดเข็มขัดเอียงๆ ขี่ม้ายิงปืน ปล้นธนาคาร ยิงกับอินเดียนแดง ควบม้าปล้นเงินสดจากรถไฟ ความยุติธรรมและความเป็นลูกผู้ชาย ตัดสินกันด้วยการดวลปืนนัดเดียวบนลานกว้าง โดยมีผู้คนทั้งหลายยืนดูในฐานะพยาน ใครชักปืนลูกโม่ขึ้นมาจากเอวเร็วที่สุด แล้วลั่นไกใส่ฝ่ายตรงข้ามแม่นที่สุด คนนั้นชนะ และอยู่รอด ภาพเหล่านี้คือวิถีชีวิตส่วนหนึ่งในแผ่นดินอเมริกา
ม้ากับปืน คือ องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของชีวิตคนอเมริกัน แม้กระทั่งปัจจุบัน เรื่องซื้อปืน ซื้อกระสุน เป็นเรื่องง่ายพอๆ กับการเดินไปหาซื้อบัตรเติมเงินมือถือ ปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๕๙ การพกปืนยังคงเป็นสิ่งที่คนอเมริกัน (ในบางรัฐ) ต้องการ เพราะมันคือสิทธิขั้นพื้นฐาน
เวลาเปลี่ยน แฝดสยามเปลี่ยน คนคู่ตัวติดกันทั้งสองมีบุคลิกภาพดีขึ้นมาก เสื้อผ้า หน้า และผมเปีย ฝาแฝดมีกำหนดตรวจรักษาฟัน ใช้หวี ใช้แปรงสีฟัน เสื้อผ้า รองเท้า แบบของดีมีคุณภาพ ปรับตัวเข้ากับสังคมอเมริกันได้อย่างดี น้ำหนักตัวทั้งสองเพิ่มมากขึ้น
บุคลิกด้านบวก ของแฝดทำให้คนอเมริกันที่จับตาดู เกิดการยอมรับในทีว่าแฝดตัวติดกันคู่นี้ มีเพียงร่างกายเท่านั้นที่ประหลาด ส่วนจิตใจใสประเสริฐ ไม่ใช่สัตว์ประหลาด ไม่ใช่อสุรกาย
ค่านิยมในโลกตะวันตกยุคนั้นทั้งในยุโรปและอเมริกา คือการเหยียดสีผิว ด้วยความเชื่อที่ว่า คนขาวมีสติปัญญา มีความคิด มีคุณธรรมเลอเลิศประเสริฐกว่าคนผิวสีอื่น คนดำไม่มีสิทธิเรียนหนังสือในโรงเรียนคนขาว ไม่มีสิทธิดื่มน้ำ เข้าห้องน้ำของคนขาว คนขาวต้องได้รับสิทธิก่อนเสมอ ในยุคต่อมาแบ่งแยกถึงขนาดขึ้นรถรางคนขาวต้องนั่งตอนหน้าของรถ ส่วนคนดำต้องไปนั่งตอนหลัง
สิ่งที่ฝรั่งทั้งหลายชื่นชม คือ ความมีน้ำใจของแฝดหนุ่ม ที่มีนิสัยการแบ่งปัน ชอบหยิบยื่นเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้กับผู้ที่ยากไร้ที่พบเห็นในอเมริกา สิ่งเหล่านี้คือการบ่งบอกว่าสถานะทางสังคมของแฝดสยามว่า ฉันไม่ใช่คนยากไร้ตามท้องถนน ไม่ใช่คนสิ้นหวังเร่ร่อนขอทาน ฉันประกอบอาชีพมีรายได้ ซึ่งการวางตัววางระดับ เช่นนี้ ทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะดูแคลนแฝดสยาม
เหตุผลที่ผู้เขียนยกประเด็นนี้ขึ้นมา เนื่องจากในเวลานั้น มีกิจการค้าทาสผิวดำที่คนขาวไปซื้อตัวชาย หญิงผิวดำ ตัวเป็นๆ จับล่ามโซ่ลงเรือมาจากแอฟริกา เพื่อนำมาเป็นแรงงานหลักด้านการเกษตรในภาคใต้ของอเมริกา สถานะของทาสผิวดำในเวลานั้นแทบไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงของคนขาว มีการแบ่งสีผิวอย่างชัดเจนแบบที่มนุษย์พึงแยกจากสัตว์ป่า
ชาวเอเชีย ผิวเหลืองแบบอิน-จัน ที่ไปจากสยามไม่อยู่ในสถานะที่โดนรังเกียจ โดนรังแก เช่นทาสคนดำ
ผู้เขียนต้องขอยกย่อง การวางตัวของบรรพบุรุษสยาม ๒ ท่านนี้ที่มีความรอบรู้ มีภูมิปัญญาที่จะเอาตัวรอด วางตัวให้อยู่เหนือระดับจากการเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ของสังคมในอเมริกาในยุคนั้นได้อย่างสง่างาม
ต้องเน้นย้ำกับท่านผู้อ่านนะครับว่า สังคมในอเมริกายุคนั้น คนผิวขาวด้วยกันเอง เห็นต่างกันสุดลิ่มทิ่มประตูครับ พวกทางเหนือไม่กีดกันคนผิวดำ แต่รัฐทางใต้ที่ครอบครองทาสจำนวนมากใช้ทำการเกษตรไม่ยอมรับในสถานะความเป็นมนุษย์ ต้องการมีทาส (และต่อมาจึงเกิดสงครามกลางเมืองรบกันที่เองเรียกว่า Civil War ระหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้นาน ๔ ปี ตายไปราว ๖ แสนคน)
ผู้เขียนเองก็อยากทราบเช่นกันว่าไอ้เรื่องการเกลียด กีดกันคนผิวสีมีสาเหตุมาจากอะไร
คำตอบที่ค้นมาได้แบบบ้านๆ คือ คนผิวขาวแท้ๆ ที่อพยพมาจากยุโรปรวมถึงคนผิวขาวที่มาเกิดในอเมริกา กลัวการสูญเสียสถานะทางสังคมของตนเอง กลัวการโดนตีเสมอเทียบเท่า เพราะมีการปลูกฝังกันมาว่าธรรมชาติได้สร้างให้คนขาวเหนือกว่าคนดำในทุกเรื่อง
กระแสความชิงชังจึงพุ่งไปที่คนผิวดำ คนขาวต่อต้านการอพยพเข้ามาใหม่ กีดกันลัทธิทางศาสนาบางกลุ่ม ในบางพื้นที่บางชุมชนถึงขนาดที่ประกาศว่า คนดำอยู่ไม่ได้ ทำให้เกิดคำว่า Negrophobia ที่หมายถึง ความรู้สึกเกลียด-กลัวคนผิวดำ ซึ่งโชคดีที่อิน-จัน จากสยามไม่ใช่คนผิวดำ
ซึ่งเมื่อเวลาผ่านมาถึงปัจจุบันก็นับว่าคลายตัวไปมาก
อยู่มาราว ๔ ปี อิน-จัน วางตัวได้สง่างาม แฝดหนุ่มเคยได้ขอร้องผู้คนทั้งหลาย อย่าเรียกพวกเขาว่า Siamese Boys เนื่องจากทั้งสองมีอายุ ๒๑ ปี และพ้นจากความเป็น boy แล้ว การเรียกว่า boy มีภาพราวกับว่าเขาทั้งสองยังเป็นเด็กที่วิ่งเล่น แล้วมีคนไปซื้อตัวมาสงเคราะห์เลี้ยงดู โดยขอให้เรียกว่า Gentlemen ที่แปลว่า ท่านสุภาพบุรุษ หรือคุณผู้ชายที่ดูโก้หรูทีเดียว แม้กระทั่งเมื่อไปรับประทานอาหารในร้าน อิน-จัน จะมีความสุขมากเมื่อได้ยินพนักงานเสิร์ฟเรียกแฝดว่า Gentlemen
เรื่องราวตรงนี้โดยเฉพาะการเป็นคนมีจิตใจเมตตา ช่วยเหลือผู้อื่น มีน้ำใจต่อผู้คนที่ด้อยโอกาสเป็นอาจิณ หนังสือพิมพ์ในอเมริกา นำไปเป็นประเด็นบอกเล่า ซึ่งได้ผลออกมาเป็นบวกมีภาพพจน์ที่ดี เมื่อมีคนชอบ ก็ต้องมีคนชัง มีคนหมั่นไส้ เป็นธรรมดาครับ ความยากลำบากในการใช้ชีวิตประการหนึ่งในอเมริกา คือ ความเป็นส่วนตัว ที่หาได้ยากมาก ไม่ว่าจะไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร จะตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนไปซะหมด ไม่เห็นก็ต้องสาระแน สอดรู้สอดเห็นชีวิตของแฝดให้จงได้ โดยเฉพาะชีวิตส่วนตัวที่ไม่เปิดเผย เรื่องเร้นลับทั้งหลายที่คนทั่วไปทำ
ในยุคสมัยนั้น วิธีการสื่อสารของอเมริกันชน คือการเขียนจดหมายไปถึงหนังสือพิมพ์ บอกเล่าเรื่องราวสารพัด เรื่องดี เรื่องร้าย เรื่องซุบซิบนินทา ปัญหาหัวใจ เรื่องที่โดดเด่นจะถูกตีพิมพ์ พร้อมด้วยคำตอบหรือคำแนะนำ เรื่องของแฝดอิน-จัน ก็เป็นข่าวที่ขายได้ในทุกโอกาสในอเมริกา มีทั้งด้านดีและด้านร้าย
ความบาดหมางกับกัปตันคอฟฟิน เป็นเหตุให้ต้องเลิกราทำธุรกิจร่วมกัน เนื่องจากกัปตันต้องไปเดินเรือตามตารางกำหนด คราวนี้คอฟฟินต้องออกเรือจากบอสตันไปไกลถึงอินเดีย และชวา
ท่ามกลางการใช้ชีวิตแบบนักสู้ชีวิตในอเมริกามาเกือบ ๔ ปี ความปลื้มปีติอย่างที่สุด คือ ข่าวจากนางนาก แม่บังเกิดเกล้าที่เมืองแม่กลอง ที่รอแล้วรอเล่า
และอยู่มาวันหนึ่ง นายเจมส์ เฮล (ที่เคยทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการให้แฝดในช่วงที่ไปแสดงในอังกฤษ) ได้เขียนจดหมายมาบอกอิน-จัน ว่า นางนากผู้เป็นมารดา อยู่ที่เมืองแม่กลองสบายดี นางนากได้นายเซ็นเป็นสามีคนใหม่ พี่ชาย-พี่สาวของอิน-จัน สบายดี ทุกคนที่บ้านเมืองสยามอยากให้อิน-จัน กลับมาให้แม่เห็นหน้ากันหน่อย
นายเฮลแยกตัวไปจากแฝดก่อนหน้านี้ เพื่อไปเดินเรือเช่นกัน ช่วงที่ห่างไปแฝดและนายเฮล ยังคงติดต่อกันทางจดหมาย รักษาความเป็นเพื่อนและมีน้ำใจต่อกันเสมอ
(บิดาของแฝดอิน-จัน ชื่อนายทีอาย เสียชีวิตเมื่อตอนแฝดอายุ ๘ ขวบ จากโรคห่าระบาดครั้งใหญ่ในเมืองสยาม มีคนตายจำนวนมาก)
จดหมายจากนายเฮล ยังบรรยายต่อว่า นายฮันเตอร์พ่อค้าอังกฤษเชื้อสายสก๊อต ประกอบความชอบในแผ่นดินสยาม เป็นที่โปรดปรานจนในหลวง ร.๓ พระราชทานบรรดาศักดิ์แต่งตั้งเป็นหลวงอาวุธวิเศษ มีหน้ามีตาโก้หรู มีแฟนตรึมในบางกอกไปแล้ว
ท่านผู้อ่านที่เคารพ คงเห็นความเชื่อมโยงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ที่แฝดอิน-จัน เข้าไปเป็นตัวละครที่สำคัญในตำนานแห่งประวัติศาสตร์ของสยามกับอเมริกาตรงนี้
ความดีความชอบของนายฮันเตอร์ คือเขาเป็นพ่อค้าที่นำอาวุธปืนคาบศิลาที่เรียกว่า ปืนมัสเก็ต พร้อมกระสุนดินดำ เข้ามาขายและมอบให้รัฐบาลสยามจำนวนหนึ่ง นายฮันเตอร์ มีความคุ้นเคยกับราชสำนักสยาม ขุนนางสยามและเพื่อนฝูงเรียกชื่อแบบสะดวกปากว่า นายหันแตร
สยามได้ใช้งานปืนมัสเก็ต (Musket) ที่ทันสมัย ทำศึกทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และทำศึกด้านตะวันออกอย่างได้ผล นอกจากนั้น นายหันแตรพ่อค้าคนเก่งยังได้รับพระบรมราชานุญาตให้ตั้งห้างสรรพสินค้าจากต่างประเทศแห่งแรกในสยามตรงบริเวณหน้าวัดประยูรวงศาวาส (เชิงสะพานพุทธ ฝั่งธนบุรี) อีกต่างหาก ซึ่งต่อมาเกิดน้ำท่วมเมืองสยามครั้งใหญ่ ทำเอานายหันแตรขาดทุนแทบหมดตัว
อิน-จัน คิดหนัก เพราะแม่ร้องขอให้กลับไปเยี่ยมบ้านที่แม่กลอง เมืองสยามแต่ทั้งสองก็ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้
ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป หลังจากตระเวนแสดงตัวในอเมริกาแล้ว ๑๙ รัฐ ในขณะนั้นอเมริกามีเพียง ๒๔ รัฐ (ปัจจุบันมี ๕๐ รัฐ)
นายแฮริส จุดประกายความคิดขึ้นมาอีก คราวนี้คิดที่จะพาแฝดไปแสดงตัวที่ปารีสและตระเวนไปในอีกหลายประเทศในยุโรป ที่ผ่านมาทางการฝรั่งเศสเคยปฏิเสธไม่ให้อิน-จันเข้าประเทศมาแล้ว เพราะมีข้อมูลว่าแฝดคู่นี้เปรียบเหมือนอสุรกาย จะทำให้สตรีฝรั่งเศสที่กำลังมีครรภ์เกิดปัญหาต่อเด็กในท้อง
ในที่สุดการเดินทางเข้าปารีส ก็ได้รับการอนุมัติ นายแฮริส พาแฝดลงเรือชื่อ Resolution เดินทาง ๕ สัปดาห์จากนิวยอร์กไปขึ้นฝั่งที่เมืองโดเวอร์ (Dover) การโฆษณามนุษย์ประหลาดจากสยามกระหึ่มอีกครั้งในปารีส
เมื่อเข้าไปเหยียบแผ่นดินฝรั่งเศสเมืองน้ำหอม ท่อนเนื้อทรงกระบอกยาว ๖ นิ้วที่เชื่อมตรงหน้าอกของหนุ่มสยาม ยังคงเป็นจุดรวมความสนใจของชาวปารีสเช่นเคย ชาวปารีสสนใจมาดูการแสดงพอสมควร แต่เมื่อแสดงตัวไปนานราว ๓ เดือน กลับพบว่าค่าใช้จ่ายทุกอย่างสูงลิ่ว ธุรกิจขาดทุน เพราะปารีสเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงเมืองหนึ่งของโลก
แฝดคู่นี้ ต้องย้ายวิกหากินใหม่อีกและที่หมายต่อไปคือ เดินทางต่อเข้าไปยังกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม แสดงตัวที่นั่นนาน ๓๐ วัน เดินทางต่อไปเมืองแอนทเวอร์ป (Antwerp) นาน ๒ สัปดาห์ ทุกอย่างราบรื่น คณะละครเร่เดินทางต่อไปอีก จัดการแสดงที่เมืองรอตเตอร์ดัม (Rotterdam) ยาวต่อไปถึงกรุงเฮก (Hague) นานอีก ๒ สัปดาห์ ลากต่อไปที่เมืองอัมสเตอร์ดัม (Amsterdam) ประเทศเนเธอร์แลนด์ นาน ๑ เดือน
ที่เนเธอร์แลนด์ แฝดสยามได้รับเกียรติสูงสุด คือการได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ วิลเลียม ถึงในพระบรมมหาราชวัง
ตำนานที่ตระเวนยุโรปช่วงนี้ ค่อนข้างรางเลือน แต่ชัดเจนว่า แฝดทั้งสองจากสยามจากเมืองแม่กลอง ชอบกินหอยนางรมเป็นชีวิตจิตใจ แต่คงไม่มีใบกระถินให้เคี้ยวด้วยแน่นอน
เรือชื่อ ฟรานซิส นำคณะของแฝดกลับจากยุโรปไปถึงอเมริกา ใน ๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๓๗๙
นี่คือตำนานการเดินทางท่องโลกอันเหลือเชื่อของเด็กแฝดตัวติดกัน (Conjoined Twins) จากเมืองแม่กลอง ประเทศสยาม ที่เกิดมาใหม่ๆ มีคนชิงชัง แอบนินทาว่าเป็นกาลกิณีกับบ้านเมือง
ในที่สุด คนสู้ชีวิตตัวติดกันจากสยามคู่นี้ได้พิสูจน์แล้วว่า ในชีวิตจริงทั้งคู่ได้ท่องเที่ยวไปในโลกใบนี้แบบมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เกินคำบรรยาย
โชคชะตาฟ้าลิขิตให้แฝดอิน-จัน จำต้องพบรัก มีเมียอเมริกันซะแล้ว แล้วมันจะไปกันต่อยังไง? แล้วแบบสบายใจสุด มันอยู่ตรงไหน? มีคำถามร้อยแปด
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ