ค้างคาว
ค้างคาวกินแมลงมักจะมีเยื่อบางๆ เชื่อมกันระหว่างขาหลังทั้งสอง และตาจะมีขนาดเล็กมาก ส่วนจมูกและปากจะแตกต่างกันไป ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะเป็นส่วนช่วยบังคับเสียงสัญญาณ (โซน่าร์) ให้มีกำลังและความถี่ที่พอเหมาะสำหรับใช้นำทางและหาอาหาร
หรับค้างคาวกินผลไม้จะมีดวงตาที่ใหญ่ ซึ่งทำให้มองเห็นได้ดีในที่มืด มีจมูกที่ไวในการรับกลิ่นดอกไม้และผลไม้ และจมูกมักมีขอบยื่นออกมา เพื่อกันไม่ให้น้ำหวานจากดอกไม้และผลไม้ไหลเข้ารูจมูกขณะกินอาหาร มีเล็บที่ปลายนิ้วทั้งสองที่อยู่บริเวณปีก ใช้ช่วยในการปีนป่าย ส่วนขาหลังจะมีเพียงเนื้อเยื่ออกมานิดหน่อย แต่ไม่เชื่อมติดกัน เพื่อความสะดวกในการปีนป่าย
ค้างคาวขนาดเล็กจิ๋วที่มีน้ำหนักเบากว่าเหรียญ ๑ เพนนี นั้นอาศัยอยู่ในเมืองไทยของเรานี่เอง ส่วนค้างคาวตัวใหญ่ยักษ์ซึ่งมีปีกยาวเกือบ ๖ ฟุตนั้นมีถิ่นพำนักในอินโดนีเซีย
ค้างคาวสีน้ำตาลของอเมริกาเหนือคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีอายุยืนยาวมาก บางตัวมีอายุยืนมากกว่า ๓๒ ปี ส่วนค้างคาวเม็กซิกันบินเร็วมากกว่า๖๐ ไมล์ต่อชั่วโมง ทางด้านเจ้าค้างคาวแอฟริกันก็สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของแมลงปีกแข็งที่ไต่อยู่บนทรายในระยะไกลมากกว่า ๖ ฟุต
ค้างคาวแดงที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนต้นไม้ทั่วไปในอเมริกาเหนือนั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า ๒๓องศาฟาเรนไฮน์ สำหรับเจ้าค้างคาวตัวจิ๋วที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในตะวันตกของแอฟริกานั้นสามารถอาศัยอยู่ในใยแมงมุมขนาดใหญ่ได้
ค้างคาวมีชีวิตมายาวนาน ซึ่งอาจจะเป็นสัตว์ที่แชร์โลกนี้กับไดโนเสาร์อีกด้วย และที่ๆ ค้างคาวอาศัยอยู่นั้น พวกมันจะสร้างสมดุลให้กับธรรมชาติบริเวณนั้น โดยเฉพาะบรรดาชาวไร่ชาวนาด้วยแล้วคงต้องนึกขอบคุณบรรดาค้างคาวทั้งหลาย เพราะมันจะช่วยจับแมลงศัตรูตัวร้ายที่ทำลายพืชไร่
อย่างเช่นค้างคาวสีน้ำตาลเพียงตัวเดียวสามารถจับยุง ๖๐๐ ตัว ได้ภายในเวลาเพียงแค่ ๑ ชั่วโมงเท่านั้นเอง หรือค้างคาวเม็กซิกัน ๒๐ ล้านตัว สามารถกินแมลงกลางคืนได้ถึง ๒๕๐ ล้านตัน ภายในคืนเดียว
นอกจากช่วยกำจัดแมลงศัตรูพืชแล้ว ค้างคาวยังมีประโยชน์ในการผสมเกสรดอกไม้ และชาวบ้านบริเวณถ้ำค้างคาวเขาช่องพราน จ.ราชบุรี ยังมีรายได้จากการขายมูลค้างคาวที่มีอยู่นับล้านตัวภายในถ้ำแห่งนี้ด้วย
การที่ค้างคาวออกหากินตอนกลางคืนมีเหตุผลร้อยแปด เช่น ตอนกลางวันท่าทางจะหากินสู้นกอื่นๆ ไม่ได้ ด้วยความที่กลางวันไม่สงบเงียบเท่ากับกลางคืน ในการอาศัยคลื่นเสียงนำทางและหาอาหาร นอกจากนี้ค้างคาวสายตาไม่ค่อยดี (แต่ยืนยันว่าค้างคาวตาไม่บอด) สู้นกอื่นๆไ ม่ได้ ที่สำคัญก็คืออาหารของค้างคาวจำพวกแมลงนั้นมีมากในเวลากลางคืน ดังนั้นตอนกลางวันค้างคาวจะนอนหลับอยู่ในถ้ำ แล้วกลางคืนค่อยโผล่ออกมา จึงทำให้ค้างคาวดูเป็นสัตว์ลึกลับน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่
ส่วนท่าที่ค้างคาวนอนห้อยหัวนั้นเป็นท่าที่เหมาะกับโครงสร้างปีกและลำตัวของมันที่พร้อมจะเหินบินได้ในเวลาอันรวดเร็ว
นกฮูก
สาวประวัตินกฮูกกับเค้าแมวก่อน ความรู้จากหนังสือซองคำถามบอกว่า เป็นนกชนิดเดียวกันอยู่ในวงศ์นกเค้าแมว สาเหตุที่เรียกว่านกฮูก ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวบ้านตั้ง น่าจะได้มาจากเสียงร้อง "คุกๆ ฮูก" โดยชื่อทางการของนกฮูกคือนกเค้าแมว
ภาพลักษณ์ความฉลาดรอบรู้ของนกฮูกมีที่มาจากสายตาอันสุขุม ไม่หลุกหลิกของมัน นกส่วนใหญ่จะมีตาอยู่ที่ด้านข้าง ทำให้มองหาอาหารและเห็นศัตรูได้รอบตัว แต่นกฮูกหากินเวลากลางคืน ตาจึงอยู่ด้านหน้าเพื่อประโยชน์ในการล่าเหยื่อ เพราะทำให้มองหาเหยื่อและกะระยะได้ดี ทั้งยังสามารถเห็นได้ในระยะไกล แต่นกฮูกไม่สามารถกลอกตาไปมาได้ เวลาเป้าสายตาขยับหรือเคลื่อนที่ ฮูกจึงใช้วิธีหันหน้า หันคอแทน คอที่มีขนปกคลุมหนา ทำให้ดูเหมือนเป็นนกคอสั้น แต่ความจริงคอของมันยาวพอที่จะหันหัวไปข้างหลังได้อย่างสบายๆ
คนยุคโบราณมักจะพยายามจับคู่สัตว์เข้ากับเทพเจ้าที่ตนบูชา ในเทพนิยายกรีก นกฮูกได้รับการยกย่องให้เป็นสัตว์ประจำองค์เทพีอธีนา ซึ่งเป็นเทพีแห่งความฉลาดรอบรู้ ภาพพจน์ของนกฮูกจึงพลอยผูกติดกับความรอบรู้ไปด้วย นกฮูกเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเอเธนส์ มีภาพปรากฏอยู่บนเหรียญในสมัย ๕๒๕ ปีก่อนคริสตกาล มีคำพูดโบราณซึ่งมาจากละครชวนหัวชื่อ เดอะเบิร์ดส์ ของอริสโตเฟนีส ในเรื่องมีการล้อคนที่เอาสินค้าไปขายในเมืองที่มีสิ่งนั้นอยู่มากแล้ว ว่า "เอานกฮูกไปขายเมืองเอเธนส์"
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นนกฮูกเป็นตัวแทนความฉลาดรอบรู้ อย่างความเชื่อไทยเดิมก็กลัวนกเค้าแมว นกฮูก หรือนกแสก ซึ่งเป็นนกในวงศ์เดียวกัน เพราะนกเหล่านี้ออกหากินในเวลากลางคืน หน้าตารึก็จิ้มลิ้มพริ้มเพราซะเมื่อไหร่ โดยเฉพาะนกแสก เอาไฟฉายส่องประสบพบพักตร์ในที่มืด เห็นวงหน้าน้องๆ ปีศาจนั่นเทียว
อีกคนที่ดิสเครดิตนกฮูกคือนักเขียนชาวอังกฤษชื่อ เฟรเดอริก แมรีแอต ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ว่าสายตาที่เพ่งจ้องมองเหมือนไม่กะพริบ แสดงถึงความไม่รู้เรื่องอะไรมากกว่า เขาเป็นผู้เริ่มใช้สำนวนว่า "เมาเหมือนนกฮูก"
โลมาน่านน้ำไทย
ส่วนหู เป็นเพียงแค่รูเล็กจิ๋วติดอยูด้านข้างของหัวเท่านั้น แต่ประสิทธิภาพสูงมาก รับคลื่นเสียงใต้น้ำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะกับภาษาที่โลมาสื่อสารกันด้วยเสียงที่มีคลื่นความถี่สูง
การมองเห็น โลมามีดวงตาแจ่มใสเหมือนตาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป มีเปลือกตาปิดได้ และในเวลากลางคืนตาก็จะเป็นประกายเหมือนตาแมว ตาของโลมาไม่มีเมือกหุ้มเหมือนตาปลา และมองเห็นได้ไกลถึง ๕๐ ฟุต เมื่ออยู่ในอากาศ
สำหรับสีผิว โลมาแต่ละชนิดมีสีผิวแตกต่างกัน โดยที่ส่วนมากจะออกโทนสีเทา ตั้งแต่เข้มเกือบดำจนกระทั่งถึงเกือบขาว แต่โดยทั่วไปจะมีสีผิวแบบทูโทนคัลเลอร์คือมีสองสีตัดกัน ด้านบนเป็นสีเทาเข้ม ด้านล่างเป็นสีเกือบขาว เพื่อพรางตัวในทะเล ไม่ให้ศัตรูเห็น เพราะเมื่อมองจากด้านบน สีเข้มจะกลืนกับสีน้ำทะเล และถ้ามองจากด้านล่างขึ้นไปสีขาวจะกลืนเข้ากับแสงแดดเหนือผิวน้ำ
สำหรับประเทศไทย โลมาที่พบมี ๒๒ ชนิด รวม ๖ วงศ์ จากจำนวน ๘๐ชนิดที่พบทั่วโลก ตัวเด่นๆ มีอาทิ "โลมาอิระวดี หรือโลมาหัวบาตร" - Irawaddy dolphin : Orcaella brevirostris ตัวมีสีน้ำเงินเทา ด้านหลังหัวกลมมนน่ารัก พบทั้งในน้ำทะเล น้ำกร่อยและขึ้นไปถึงน้ำจืดบริเวณแม่น้ำโขง อุบลราชธานี แม่น้ำสาละวิน แม่ฮ่องสอน และทะเลสาบสงขลาฝั่งอ่าวไทย
"โลมาเผือก หรือโลมาหลังโหนก" - Indo-Pacific hump-backed dolphin : Sousa chinensis ตัวมีสีจางเหมือนเผือก ครีบหลังเป็นสันนูนสูง ชอบว่ายเที่ยวเล่นตามชายฝั่ง "โลมาปากขวด" - Bottlenose dolphin : Tursiops aduncus มีสีน้ำเงินเข้มอมเทา สีจางหรือบางครั้งอมชมพูด้านท้อง ชอบว่ายน้ำแข่งกับเรือขณะที่เดินเรืออยู่ในทะเล "โลมาธรรมดา ชนิดปากยาว" - common dolphin : Delphinus capensis เคยพบที่สมุยซึ่งมากันเป็นครอบครัวเมื่อพ.ศ.๒๕๑๖
"โลมาฟันห่าง" - Rough-toothed dolphin : Steno bredanensis อาศัยอยู่ในทะเลเปิด ไม่ค่อยได้พบตามชายฝั่ง ในน่านน้ำไทยพบตัวอย่างโลมาฟันห่างบาดเจ็บมาเกยตื้นบริเวณอ่าวฉลอง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๓๖ แต่มันก็ตายในที่สุด นอกจากนั้นเคยพบเพศผู้และเพศเมียติดอวนลอยโดยบังเอิญเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๘ บริเวณปากอ่าวพนัง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เพศผู้ตายในเวลาต่อมา ส่วนเพศเมียได้รับการอนุบาลจนแข็งแรงส่งกลับลงน้ำ
"โลมากระโดด" - Spinner dolphin : Stenella longirostris รูปร่างเพรียว ปากค่อนข้างเล็กเรียวดูคล้ายมีปากยาวกว่าโลมาในชนิดอื่น ลำตัวสีน้ำเงินเข้ม ด้านหลังมีแนวแบ่งสีจางข้างลำตัว มีแถบเข้มพาดจากตาจรดครีบข้าง "โลมาแถบ" - Striped dolphon : Stenella coeruleoalba ลักษณะคล้ายโลมากระโดดแต่ป้อมอ้วนกว่า หลังสีน้ำเงินเข้มจางลงข้างลำตัว ตัดกันเป็นลายแหลมรูปตัววี แถบสีเข้มเป็นแนวจากลูกตาไปตามข้างลำตัวและโค้งลงตรงบริเวณช่องก้น ด้านท้องขาว พบโลมาชนิดนี้ตอนตายแล้วเกยตื้นที่หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๓๕ "โลมาลายจุด" - Spotted dolphin : Stenella attenuate พบทั้งหมด ๓ ตัวอย่างที่ จ.สงขลา ภูเก็ต และกระบี่
ผีเสื้อขีดหกลายเข้ม
ผีเสื้อขีดหกลายเข้ม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prosotas aluta ขนาดลำตัวประมาณ ๒๐-๓๐ มิลลิเมตร โทนสีบนลำตัวมีสีน้ำตาลอมเหลือง โทนสีหม่น มีแถบน้ำตาลเข้มอยู่ทั่วไป และมีสีขาวตัดแถบสีน้ำตาล
ผีเสื้อในวงศ์นี้ส่วนใหญ่จะมีจุดสีดำอยู่บริเวณปลายปีกส่วนล่าง จุดดำเข้มนี้คล้ายกับดวงตาขนาดใหญ่มีไว้เพื่อหลอกศัตรูอื่นๆ ยามที่จะเข้ามาทำร้ายมัน เพราะเมื่อศัตรูเห็นดวงตาขนาดใหญ่ย่อมหมายถึงรูปร่างที่ใหญ่ด้วย จึงไม่เข้ามาทำร้าย
อีกทั้งการขยับปีกคู่หลังทำให้จุดตาและหางขยับ ศัตรูที่หมายจะทำร้ายจะคิดว่าบริเวณนี้เป็นส่วนหัว เมื่อเข้าโจมตีทำร้ายจะทำให้พลาดเป้าหมายสำคัญ จึงทำให้ผีเสื้อขีดหกลายเข้มรอดพ้นจากศัตรู
พบผีเสื้อชนิดนี้ได้ทั่วไปบริเวณพุ่มไม้เตี้ยสองข้างทางหรือบริเวณทรายชื้น ชุกชุมในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ย.
นกแขกเต้า
นกชนิดนี้เป็นนกแก้วขนาดกลาง มีความยาวลำตัวประมาณ ๓๕ ซ.ม. รูปร่างค่อนข้างเพรียว หัวใหญ่ คอสั้น หางยาวแหลม ขนหางมี ๑๒ เส้น แต่ละคู่ยาวลดหลั่นกันลงไปมาก คู่บนสุดยาวที่สุดและเรียว แต่ปลายทู่ ขาและเท้าแข็งแรง แต่ละเท้ามี ๔ นิ้ว ใช้เกาะยึดและปีนป่ายกิ่งไม้ได้ดี
ส่วนปีกปลายปีกแหลม ขนปลายปีกมี ๑๐ เส้น เหนือโคนปากมีแผ่นเนื้อนิ่มสีเทาอ่อน มีรูจมูกเปิดออก ๒ รู ม่านตาสีขาวออกเหลือง
ตัวผู้ ลำตัวด้านบนสีเขียว ด้านล่างสีเขียวอ่อนอมฟ้า ส่วนหัว แก้มและใต้คางเป็นสีเทาอมแดงจางๆ บริเวณอกสีชมพูแกมส้ม หัวสีม่วงแกมเทา หน้าผากมีแถบสีดำคาดไปจรดตาทั้งสองข้าง และมีแถบสีดำลากจากโคนปากไปถึงแก้ม
จะงอยปากบนสีแดงสด ปลายสีเหลือง งองุ้มตั้งแต่โคนปากจนถึงปลายปากและพองออกด้านข้าง ปลายปากบนเป็นตะของุ้มแหลมคมแข็งแรงคลุมปลายปากล่าง กึ่งกลางปากมีลักษณะเป็นปุ่มใช้กะเทาะเปลือกเมล็ดพืชทิ้งเพื่อกินเนื้อใน โดยทำงานพร้อมกับลิ้นที่เป็นก้อนเนื้อหนา ปากบนเคลื่อนไหวได้โดยอิสระมากและใช้ปากเกาะยึดกิ่งไม้หรือวัตถุต่างๆ ได้อย่างกับเท้า
จะงอยปากล่างสีดำ จะงอยปากสั้นและงุ้ม ปากล่างโค้งงอขึ้นไปหาปากบนแต่สั้นกว่าและปลายปากทู่ มีปีกสีเขียวและมีหย่อมสีเหลืองคาดอยู่ ขนหางคู่กลางยาวเป็นสีฟ้า แต่ส่วนปลายเป็นสีเหลือง มีอกสีชมพู ท้องสีเขียวอมฟ้า ขาและนิ้วเท้าสีเขียว
ตัวเมีย ต่างจากตัวผู้ตรงที่หัวเป็นสีน้ำเงินแกมเทา แต่มีหัวสีเทามากกว่าตัวผู้ มีทางพาดสีดำทั้งสองแห่งเช่นเดียวกับตัวผู้ จะงอยปากบนและล่างสีดำสนิท อกสีชมพูสด ไม่มีแต้มสีม่วง ขนคลุมลำตัวส่วนใหญ่สีเขียว อกสีเขียว ปากสีดำ
แก้วแขกเต้าพบได้ในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา หมู่เกาะในทะเลอันดามัน จีนตอนใต้และเวียดนาม ในประเทศไทยพบอาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง เช่น ป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ตั้งแต่พื้นราบไปจนถึงระดับความสูง ๑,๒๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล และตามพื้นที่เกษตรกรรมที่มีต้นไม้หรือป่าละเมาะอยู่ใกล้ๆ หรือแหล่งปลูกพืชไร่ที่อยู่ชายป่าโปร่ง สวนผลไม้ที่มีต้นไม้ผลสูงใหญ่ อาจพบในป่าชายเลน หรือป่าริมฝั่งทะเลด้วย สำหรับอาหารของแก้วแขกเต้าในธรรมชาติ ประกอบด้วย เมล็ดพืชต่างๆ ลูกไม้ ผลไม้ ยอดไม้ ลูกไทร ลูกก่อ ข้าวและข้าวโพด แต่บางครั้งก็พากันลงกินดินโป่งด้วย
แก้วแขกเต้าบินได้ดีและเร็ว ชอบเกาะตามกิ่งไม้ที่มีผล ใช้เท้าจับผลไม้และใช้จะงอยปากจกหรือขบให้ผลไม้แตกแล้วกินเนื้อข้างใน มีความสามารถในการเกาะกิ่งไม้ได้ทุกๆ แนวแม้ว่าจะห้อยหัว ส่วนยามบินมักส่งเสียงร้องดังกังวาน ชอบทำรังตามโพรงต้นไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือโพรงที่สัตว์อื่นทำทิ้งไว้
การผสมพันธุ์และการวางไข่ของแก้วแขกเต้าโดยเฉลี่ยเริ่มจากช่วงฤดูหนาวต่อฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน นกแขกเต้าที่จับคู่แล้วจะแยกตัวออกจากฝูง หาที่ทำรังในโพรงไม้
วางไข่ครั้งละ ๓-๔ ฟอง ระยะฟักไข่นาน ๒๘ วัน ไข่มีรูปร่างค่อนข้างกลม สีขาว ไม่มีจุด ขีด หรือลาย ขนาดเฉลี่ย ๒๕x๓๐ ม.ม. ลูกนกแรกเกิด ยังไม่มีขนปกคลุมลำตัว ขาและนิ้วเท้ายังอ่อนแอไม่สามารถยืนหรือเดินได้ พ่อแม่จะหาอาหารมาเลี้ยงโดยขยอกออกมาจากกระเพาะพัก ราว ๓-๔ สัปดาห์ ลูกนกจึงจะทิ้งรัง แต่พ่อแม่ยังต้องตามป้อนอาหารอยู่ระยะหนึ่งหรือจนกว่าถึงฤดูผสมพันธุ์อีกรอบ ลูกนกจึงจะแยกตัวออกไปหากินเอง
หอยทาก
ชื่อวิทยาศาสตร์คือ แอคคาทินา (Achatina spp.) จัดเป็นสัตว์ในกลุ่มหอยที่มีความหลากหลายของชนิดมากเป็นลำดับ ๒ รองจากสัตว์ในกลุ่มแมลง
ปัจจุบันพบหอยทากในโลกนี้ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ ชนิด และพบในภาคตะวันออกของประเทศไทยมากกว่า ๑๐๐ ชนิด
ส่วนหอยทากที่คนไทยรู้จักได้แก่หอยทากแอฟริกัน นำเข้ามาในประเทศไทยโดยทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
หอยทากเป็นหอยฝาเดียว เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ร่างกายอ่อนนุ่มและถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็ง แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ได้แก่แบบที่มีฝาปิด และแบบที่ไม่มีฝาปิด เป็นสัตว์ที่มีสองเพศในตัวเดียวกัน แต่การผสมพันธุ์ต้องผสมข้ามตัว
วัยเจริญพันธุ์ประมาณ ๕-๙ เดือน การออกไข่จะออกไข่เป็น กลุ่ม กลุ่มละ ๒๐๐-๓๐๐ ฟอง หรือราว ๑,๐๐๐ ฟอง ในเวลา ๑ ปี
หอยทากมีอายุเฉลี่ยประมาณ ๕ ปี รูปร่างหน้าตานอกจากจะมีเปลือกแข็งอยู่ส่วนบนลำตัวที่อ่อนนุ่ม ซึ่งดูเหมือนแบกบ้านไว้บนหลังเวลาเคลื่อนที่
หอยทากยังมีหนวด ๒ คู่ หนวดคู่แรกมีลักษณะยาวกว่า มีลูกตาอยู่ส่วนปลายหนวด คือมีลักษณะเหมือนเป็นก้านตา หนวดคู่ที่สองซึ่งมีความยาวน้อยกว่ามีความสามารถดมกลิ่นและรับรู้สิ่งแวดล้อมซึ่งอยู่รอบตัว
ในช่วงฤดูฝน หรือในช่วงที่มีอาหารของหอยทากอุดมสมบูรณ์ จึงจะพบหอยทากได้มาก มันจะออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะหลบแสงแดดอยู่ตามที่ร่มตามโคนต้นไม้
อาหารของหอยทาก ได้แก่พืชทั้งชนิดสดและชนิดที่ถูกย่อยสลายแล้ว ข้าวสุก เศษอาหาร รวมถึงเชื้อราที่อยู่ตามซากพืชที่ทับถมกัน มันใช้อวัยวะคล้ายลิ้นซึ่งมีลักษณะหยาบคล้ายตะไบ คล้ายฟันซี่เล็กๆ จัดเรียงกันเป็นแถว ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร
หอยทากเดินหรือคลานไปข้างหน้าได้ด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หรือเรียกว่าเท้า ลักษณะเป็นแผ่นกล้ามเนื้อบางๆ อยู่ใต้ลำตัว การยืดหดของเท้าทำให้หอยทากคลานหรือเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ และเราทราบถึงทิศทางการคลานของหอยทากได้โดยดูจากรอยเมือกสีเงินตามพื้นดินที่หอยทากคลานผ่านไป
เมือกที่กล่าวถึงนี้ผลิตจากต่อมพิเศษซึ่งอยู่บริเวณเท้าของหอยทาก มีประโยชน์ช่วยหล่อลื่นเส้นทาง ทำให้หอยทากคลานผ่านพื้นได้หลายแบบ ทั้งพื้นที่มีลักษณะขรุขระ มีหนามแหลมคม หรือแม้แต่บนกิ่งไม้ โดยที่ไม่ตกลงมา
หอยทากเป็นตัวการทำให้เกิดการหมุนเวียนถ่ายทอดสารอินทรีย์ได้อย่างดี ทำให้ระบบนิเวศมีความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรใช้หอยทากเป็นวัตถุดิบในการทำปุ๋ยหมักอินทรีย์
นอกจากนั้นมนุษย์ยังนำหอยทากมาประกอบอาหาร อย่างในญี่ปุ่น ไต้หวัน และประเทศในแถบยุโรป พันธุ์ที่นิยมนำมากินได้แก่สายพันธุ์หยกขาว ซึ่งมีลักษณะเนื้อสีขาวสะอาด
ส่วนในไทย หอยที่คนนิยมกิน ได้แก่ หอยหอม และ หอยภูเขา เนื้อของหอยทากอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร โปรตีนสูง ไขมันต่ำ ดังนั้นจึงปรุงเป็นอาหารสำหรับนักบินอวกาศ รวมถึงปรุงเป็นอาหารเสริมสุขภาพให้กับนักกีฬาจีน
ขณะที่ประโยชน์ทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยพบประโยชน์จากเมือกเหนียวของหอยทากว่ายับยั้งการเจริญของเชื้อราในน้ำยางพารา และใช้เป็นส่วนผสมในการทำแผ่นยางได้อีก
แต่หอยทากก็มีโทษ เป็นศัตรูสำคัญของชาวไร่ชาวสวน เพราะอาหารของหอยทากคือพืช ดังนั้นในสวนหรือบริเวณที่ปลูกพืชหากหอยทากเข้าไปกัดกินพืชที่ปลูกได้แล้วก็จะก่อให้เกิดความเสียหาย พืชหรือผลผลิตจะถูกทำลาย
หอยทากยังเป็นตัวการทำให้เกิดโรคในมนุษย์ได้ โดยเป็นโฮสต์กึ่งกลาง (Intermediat host) ได้แก่โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "โรคปวดหัวหอย" เป็นต้น
เพื่อนต่างพันธุ์
เรื่องราวของเพื่อนรักสัตว์ต่างสายพันธุ์ ๒ ตัวนี้เกิดขึ้นที่สวนสัตว์ซาฟารีปรีมอเรีย ในภูมิภาคชโคตอฟสก์ ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย หลังเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลทำตามกิจวัตรนำเจ้าติมูร์เข้าสู่กรงของอามูร์ เพื่อให้สัตว์นักล่าไม่ลืมสัญชาตญาณ ซึ่งปกติทางสวนสัตว์จะนำกระต่ายหรือแพะไปปล่อยไว้ในกรงเสือ ๒ ครั้งต่อสัปดาห์
แต่ผ่านไปนาน ๔ วัน เจ้าอามูร์ก็ยังไม่กินติมูร์ แถมยังปล่อยให้นอนใต้โขดหิน ที่งีบสุดหวงส่วนตั๊วส่วนตัวอีกด้วย แถมตอนกลางวันยังชวนกันเดินเล่นอยู่ในกรงแบบชิลชิลเมื่อยก็นั่งพัก นอนเล่น เป็นกันเองสุด
ด้าน นายดมิทรี เมเซนต์เซฟ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ กล่าวว่าเสือโคร่งเป็นสัตว์ดุร้าย และมีความแข็งแกร่ง ถือเป็นเรื่องแปลกมากๆ เพราะไม่เพียงแค่เจ้าอามูร์จะไม่ยอมกิน ติมูร์ แต่พวกมันยังเป็นเพื่อนกันด้วย
และเพราะมิตรภาพน่ายกย่องเช่นนี้ เจ้าหน้าที่สวนสัตว์เลยกำลังเร่งศึกษาพฤติกรรมของเจ้าอามูร์และติมูร์ เพื่อวางโครงการสร้างกรงนอนเป็นส่วนต่อเติมให้เจ้าแพะได้อยู่ใกล้ๆ ตอนเช้าก็เข้ามาเดินเล่นกับเพื่อนเสือในกรง พอตกเย็นก็กลับไปนอนในกรงนอนของตัวเอง ขนาดต่างสายพันธุ์ ต่างความชอบ ตัวหนึ่งกินเนื้อ ตัวหนึ่งกินพืช ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ มนุษย์อย่างเราๆ ดูแล้วอายเลย...ว่าไหม
จิงโจ้ต้นไม้
แมตธิว มาร์ซิคาร์โน เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลบอกว่าแพตตี้สุขภาพแข็งแรงดี แต่ด้วยอายุมากแล้ว มากกว่าอายุเฉลี่ยที่ ๑๔ ปีของจิงโจ้ต้นไม้ตามธรรมชาติ แพตตี้เลยมีปัญหานิดๆ หน่อยๆ ตามประสารุ่นใหญ่ รวมทั้งการมองเห็นที่เลือนราง
ถึงอย่างนั้น ป้าแพตตี้ก็ยังเก๋ามีทักษะความสามารถสุดฮิพ เป็นศิลปินสะบัดพู่กันวาดภาพแนวแอ็บสแทร็กต์ ที่มีนักลงทุนจากทั่วโลกแห่ซื้อเก็บเข้าคอลเล็กชั่นงานอาร์ต
รู้จักกับป้าแพตตี้พอหอมปากหอมคอไปดูกันดีกว่าว่าสายพันธุ์จิงโจ้ต้นไม้น่ะมีความเป็นมาอย่างไร
จิงโจ้ต้นไม้เนี่ยมีถิ่นกำเนิดและอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนิวกินี ลำตัวมีขนาดราว ๒๐-๓๒ นิ้ว และหนัก ๗-๙ กิโลกรัม เล็กกว่าจิงโจ้แดงของออสเตรเลีย แต่ตัวเมียมีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับลูกจิงโจ้ตัวจ้อยเหมือนกัน ลำตัวปกคลุมด้วยขนหนาสีน้ำตาลแดง ส่วนหน้าอก และท้องเป็นขนสีขาวหรือเหลืองอ่อน มีหางยาวสร้างสมดุลทรงตัวบนต้นไม้ และกรงเล็บคมยึดเกาะต้นไม้ได้เหนียวแน่น
อาหารส่วนใหญ่ที่กินเป็นพืชผักผลไม้ แต่บางครั้งกินแมลง และถั่วเพื่อเพิ่มโปรตีน
ปัจจุบันมีสถานะเป็นสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ เพราะมนุษย์ถางป่านำพื้นที่ไปเพาะปลูกและสร้างชุมชน ยังมีธุรกิจปาล์มน้ำมัน รวมถึงการล่าเพื่อกินเนื้อและนำขนไปใช้ของชนเผ่าท้องถิ่น แต่ยังดีที่มีคนเห็นความสำคัญโดยเฉพาะหมู่บ้านยาวาน ซึ่งแบ่งพื้นที่กว่า ๔๐๐ ตารางกิโลเมตรเพื่ออนุรักษ์จิงโจ้ต้นไม้อย่างจริงจัง
สัตว์สุดลึกลับ วันฮัลโลวีน
เข้าสู่เทศกาลสยองขวัญ"วันฮัลโลวีน" ไปทำความรู้จักกับสารพัดสัตว์สุดลึกลับที่มักจะได้รับการเอ่ยถึงในเทศกาลนี้กันดีกว่า
เริ่มที่ "แมวดำ" ปกติเจ้าเหมียวสีดำเป็นตัวแทนของความโชคร้าย (เฉพาะบางประเทศ) อย่างคนไทยเองก็มองว่า แมวดำเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล ถ้าพบเจอวิ่งตัดหน้าไปไม่ควรเดินทางต่อ หรือเชื่อไปถึงทำให้คนที่เสียชีวิตลุกขึ้นมาได้ แต่ในอังกฤษนั้นเชื่อว่าแมวดำสามารถป้องกันภัย ส่วนสกอตแลนด์มองว่า ถ้าแมวดำเดินเข้าอาณาบริเวณบ้านใคร บ้านนั้นจะมั่งคั่งรุ่งเรือง
ถึงอย่างนั้น สีสันที่ดำทะมึน เวลาวิ่งไวๆ เลยเหมือนมีอะไร แวบไป...แวบมา... ชวนให้ขนหัวลุก แถมเมื่อเจอหน้าตรงๆ ยังต้องผงะกับแววตาลุกวาวแบบเดาอารมณ์ไม่ถูก ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครเลยยกให้แมวดำขึ้นทำเนียบสัตว์ฮัลโลวีน
ตามมาติดๆ เป็นแมลงขายาว และปลีกวิเวกอยู่ในซอกหลืบ อย่าเพิ่งกลัวไป เจ้าตัวนี้น่ะคือ "แมงมุม" ซึ่งเราๆ รู้จักกันดี แต่ที่เหมาะกับฮัลโลวีน ต้องเป็นแมงมุมสีดำ ไม่ก็แมงมุมแม่ม่ายดำ แค่ชื่อก็น่าพิศวงแล้ว เนื่องจากบ้านที่มีแมงมุมอยู่เยอะๆ แบบหยากไย่ยั้วเยี้ย มักจะเป็นบ้านร้าง แน่นอนว่าต้องมีเรื่องเล่าถึงเหตุผลที่ไม่มีใครอยู่ และส่วนใหญ่เป็นเรื่องสยองขวัญ แมงมุมเลยถูกจับคู่กับความหลอนไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม แมงมุมแม่ม่ายดำก็ขึ้นชื่อเป็นแมลงอันตราย ไม่เพียงกินตัวผู้หลังผสมพันธุ์เท่านั้น แต่ยังมีพิษรุนแรงกว่างู โดยพิษจะออกฤทธิ์กับระบบประสาท แผลปวดบวม เรื่อยไปจนเป็นตะคริว อ่อนแรง มือสั่น และหายใจขัด
ปิดท้ายด้วย "ค้างคาว" เจ้าตำรับที่มาของผีดูดเลือด เพราะเมนูโปรดคือ เลือด ทั้งยังออกหากินตอนกลางคืนอีกต่างหาก จึงไม่แปลกที่จะมีการเชื่อมโยงค้างคาวเข้ากับแวมไพร์
แม้ภายนอกจะน่ากลัว แต่สัตว์ก็ยังเป็นสัตว์ และใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณ ไม่เหมือนมนุษย์บางคนที่ใจร้ายต่อเพื่อนสัตว์ร่วมโลกหรอก... จริงไหม
ปลาดาว ดาวทะเล
ใต้แขนแต่ละข้างมีหนวดสั้นๆ เรียงตามส่วนยาวของแขนเป็นคู่ๆ มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อที่เหนียวและแข็งแรง เรียกว่า โปเดีย ใช้สำหรับยึดเกาะกับเคลื่อนที่ มีสีต่างๆ ออกไป ทั้ง ขาว ชมพู แดง ดำ ม่วง หรือน้ำเงิน เป็นต้น
พบอยู่ตามชายฝั่งทะเล โขดหิน และบางส่วนอาจพบได้ถึงพื้นทะเลลึก กินหอยสองฝา โดยเฉพาะหอยนางรม กุ้ง ปู หนอน และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ เช่น ฟองน้ำหรือปะการัง เป็นอาหาร
ดาวทะเลพบอยู่ในทะเลทั่วโลก ทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลน ติก มหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งในเขตขั้วโลกอย่างมหาสมุทรอาร์กติก และแอนตาร์กติกา โดยถึงปัจจุบันพบประมาณ ๑,๘๐๐ ชนิด
ดาวทะเลขนาดเล็กอาจมีความกว้างเพียง ๑ เซนติเมตร ขนาดใหญ่ที่สุดอาจยาวได้ถึง ๑ เมตร และในบางชนิดอาจมีแขนมากกว่า ๕ แขน สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ
การปฏิสนธิเกิดภายนอกตัว ระยะแรกตัวอ่อนจะดำรงชีวิตแบบแพลงตอนสัตว์ จากนั้นจะเริ่มพัฒนาตัวแล้วจมตัวลงเพื่อหาที่ยึดเกาะ แล้วเจริญเป็นตัวเต็มวัย ส่วนการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ในบางชนิดเมื่อแขนถูกตัดขาดลง จะพัฒนาตรงส่วนนั้นกลายเป็นดาวทะเลตัวใหม่เกิดขึ้น และตัวที่ขาดก็จะงอกชิ้นใหม่ขึ้นมาได้จนสมบูรณ์ แต่กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลาเป็นปี
การเคลื่อนที่ของดาวทะเล เนื่องจากดาวทะเลเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีโครงแข็งที่ผิวนอก ไม่ได้ยึดเกาะกับกล้ามเนื้อ จึงมีระบบการเคลื่อนที่ด้วยระบบท่อน้ำ จากท่อวงแหวนจะมีท่อน้ำแยกออกไปในแขน เรียกท่อนี้ว่า เรเดียลคาแนล
ทางด้านข้างของเรเดียลคาแนลมีท่อแยกไปยังทิวบ์ฟีต การยืดและหดของทิวบ์ฟีตจะเกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง และมีความสัมพันธ์กันทำให้เกิดการเคลื่อนที่ไปได้
ดาวทะเลมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ในแง่ของการใช้ซากเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้าน และในบางวัฒนธรรม เช่น จีน ใช้ดาวทะเลปรุงเป็นยา และปิ้งย่างเป็นอาหาร อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในตู้ปลา
มีข้อมูลจากพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ว่า ปลาดาว เป็นสัตว์ในแนวปะการัง สัตว์เหล่านี้อาจอาศัยอยู่ภายในโครงสร้างแนวปะการัง บนแนวปะการัง หรืออาศัยอยู่ในน้ำเหนือแนวปะการัง มีทั้งสัตว์ที่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ และสัตว์ที่อยู่กับที่ เช่น ฟองน้ำ ซึ่งเป็นสัตว์เกาะอยู่กับที่เช่นเดียวกับปะการัง
ส่วนปลาดาวอยู่ในสัตว์แนวปะการังกลุ่มที่ ๖ เอคไคโนเดิร์ม (Echinoderm) ได้แก่ ปลาดาว ปลิงทะเล ดาวขนนก เม่นทะเล
สัตว์กลุ่มนี้เป็นพวกที่มีแผ่นหินปูนปกคลุมร่างกายหรือแทรกอยู่ในเนื้อเยื่อ รูปร่างทั่วไปส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นแฉก ๕ แฉก ตัวอย่างสัตว์ในกลุ่มเอคไคโนเดิร์มที่มีรูปร่างคล้ายดาวมี ๓ ประเภท
๑.ปลาดาว หรือ ดาวทะเล รูปร่างคล้ายดาว ๕ แฉก มีแขนยื่นจากกลางลำตัว ใต้ท้องแขนมีปุ่มดูดใช้ในการเคลื่อนที่ ปากอยู่ตรงกลางลำตัวด้านล่าง กินสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากที่อาศัยอยู่บนพื้นตะกอนในแนวปะการังเป็นอาหาร มีความสามารถในการงอกใหม่ (regenerate) ได้ดี โดยถ้าส่วนของร่างกายหรือแขนของมันขาด หรือหลุดออก ส่วนที่ขาดจะงอกเป็นตัวใหม่ได้
๒.ดาวมงกุฎหนาม กินปะการังเป็นอาหาร โดยผลักกระเพาะอาหารของมันผ่านปากออกมาด้านนอกบริเวณใต้ลำตัว แล้วย้ายกระเพาะไปอยู่บนปะการังเป็น กระเพาะอาหารของปลาดาวชนิดนี้จะย่อยโพลิปปะการังเวลาที่มันยื่นตัวออกมา เมื่อปลาดาวกินอาหารเสร็จ ก็จะดึงกระเพาะอาหารกลับเข้าไปภายในร่างกาย
๓.ดาวเปราะ ชื่อของมันมาจากแขนที่หลุดหักได้ง่าย แต่มันก็สามารถงอกแขนส่วนที่ขาดหรือหักได้ใหม่ ลำตัวมีขนาดเล็ก มีแขนยื่นยาวออกจากลำตัว แผ่นกลางลำตัวเป็น ๕ เหลี่ยมคล้ายดาว ปกติดาวเปราะมีแขน ๕-๖ แขน ไม่มีร่องใต้แขน และเท้า มีลักษณะแบบท่อ ไม่มีปุ่มดูด