[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 17:43:50 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 165 166 [167] 168 169 ... 274
3321  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: สารคดี ชีวิตสัตว์โลก เมื่อ: 07 ธันวาคม 2558 20:11:04
.



ค้างคาว
ค้างคาวมี ๒ ชนิด ชนิดแรกคือ ค้างคาวกินแมลง และค้างคาวกินผลไม้

ค้างคาวกินแมลงมักจะมีเยื่อบางๆ เชื่อมกันระหว่างขาหลังทั้งสอง และตาจะมีขนาดเล็กมาก ส่วนจมูกและปากจะแตกต่างกันไป ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะเป็นส่วนช่วยบังคับเสียงสัญญาณ (โซน่าร์) ให้มีกำลังและความถี่ที่พอเหมาะสำหรับใช้นำทางและหาอาหาร

 หรับค้างคาวกินผลไม้จะมีดวงตาที่ใหญ่ ซึ่งทำให้มองเห็นได้ดีในที่มืด มีจมูกที่ไวในการรับกลิ่นดอกไม้และผลไม้ และจมูกมักมีขอบยื่นออกมา เพื่อกันไม่ให้น้ำหวานจากดอกไม้และผลไม้ไหลเข้ารูจมูกขณะกินอาหาร มีเล็บที่ปลายนิ้วทั้งสองที่อยู่บริเวณปีก ใช้ช่วยในการปีนป่าย ส่วนขาหลังจะมีเพียงเนื้อเยื่ออกมานิดหน่อย แต่ไม่เชื่อมติดกัน เพื่อความสะดวกในการปีนป่าย

ค้างคาวขนาดเล็กจิ๋วที่มีน้ำหนักเบากว่าเหรียญ ๑ เพนนี นั้นอาศัยอยู่ในเมืองไทยของเรานี่เอง ส่วนค้างคาวตัวใหญ่ยักษ์ซึ่งมีปีกยาวเกือบ ๖ ฟุตนั้นมีถิ่นพำนักในอินโดนีเซีย

ค้างคาวสีน้ำตาลของอเมริกาเหนือคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีอายุยืนยาวมาก บางตัวมีอายุยืนมากกว่า ๓๒ ปี ส่วนค้างคาวเม็กซิกันบินเร็วมากกว่า๖๐ ไมล์ต่อชั่วโมง ทางด้านเจ้าค้างคาวแอฟริกันก็สามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของแมลงปีกแข็งที่ไต่อยู่บนทรายในระยะไกลมากกว่า ๖ ฟุต

ค้างคาวแดงที่มีถิ่นอาศัยอยู่บนต้นไม้ทั่วไปในอเมริกาเหนือนั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า ๒๓องศาฟาเรนไฮน์ สำหรับเจ้าค้างคาวตัวจิ๋วที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในตะวันตกของแอฟริกานั้นสามารถอาศัยอยู่ในใยแมงมุมขนาดใหญ่ได้

ค้างคาวมีชีวิตมายาวนาน ซึ่งอาจจะเป็นสัตว์ที่แชร์โลกนี้กับไดโนเสาร์อีกด้วย และที่ๆ ค้างคาวอาศัยอยู่นั้น พวกมันจะสร้างสมดุลให้กับธรรมชาติบริเวณนั้น โดยเฉพาะบรรดาชาวไร่ชาวนาด้วยแล้วคงต้องนึกขอบคุณบรรดาค้างคาวทั้งหลาย เพราะมันจะช่วยจับแมลงศัตรูตัวร้ายที่ทำลายพืชไร่

อย่างเช่นค้างคาวสีน้ำตาลเพียงตัวเดียวสามารถจับยุง ๖๐๐ ตัว ได้ภายในเวลาเพียงแค่ ๑ ชั่วโมงเท่านั้นเอง หรือค้างคาวเม็กซิกัน ๒๐ ล้านตัว สามารถกินแมลงกลางคืนได้ถึง ๒๕๐ ล้านตัน ภายในคืนเดียว

นอกจากช่วยกำจัดแมลงศัตรูพืชแล้ว ค้างคาวยังมีประโยชน์ในการผสมเกสรดอกไม้ และชาวบ้านบริเวณถ้ำค้างคาวเขาช่องพราน จ.ราชบุรี ยังมีรายได้จากการขายมูลค้างคาวที่มีอยู่นับล้านตัวภายในถ้ำแห่งนี้ด้วย

การที่ค้างคาวออกหากินตอนกลางคืนมีเหตุผลร้อยแปด เช่น ตอนกลางวันท่าทางจะหากินสู้นกอื่นๆ ไม่ได้ ด้วยความที่กลางวันไม่สงบเงียบเท่ากับกลางคืน ในการอาศัยคลื่นเสียงนำทางและหาอาหาร นอกจากนี้ค้างคาวสายตาไม่ค่อยดี (แต่ยืนยันว่าค้างคาวตาไม่บอด) สู้นกอื่นๆไ ม่ได้  ที่สำคัญก็คืออาหารของค้างคาวจำพวกแมลงนั้นมีมากในเวลากลางคืน ดังนั้นตอนกลางวันค้างคาวจะนอนหลับอยู่ในถ้ำ แล้วกลางคืนค่อยโผล่ออกมา จึงทำให้ค้างคาวดูเป็นสัตว์ลึกลับน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่

ส่วนท่าที่ค้างคาวนอนห้อยหัวนั้นเป็นท่าที่เหมาะกับโครงสร้างปีกและลำตัวของมันที่พร้อมจะเหินบินได้ในเวลาอันรวดเร็ว





นกฮูก
ลูกสาวของเทพซูส เทพีอธีนา ผู้เป็นที่มาของชื่อกรุงเอเธนส์ กรีซ เธอเป็นเทพีแห่งปัญญา ความฉลาดรอบรู้ เป็นผู้ให้ภาพพจน์ ฮ นกฮูก ตาโต เป็นสัญลักษณ์ของความฉลาดและภูมิปัญญา

สาวประวัตินกฮูกกับเค้าแมวก่อน ความรู้จากหนังสือซองคำถามบอกว่า เป็นนกชนิดเดียวกันอยู่ในวงศ์นกเค้าแมว สาเหตุที่เรียกว่านกฮูก ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวบ้านตั้ง น่าจะได้มาจากเสียงร้อง "คุกๆ ฮูก" โดยชื่อทางการของนกฮูกคือนกเค้าแมว

ภาพลักษณ์ความฉลาดรอบรู้ของนกฮูกมีที่มาจากสายตาอันสุขุม ไม่หลุกหลิกของมัน นกส่วนใหญ่จะมีตาอยู่ที่ด้านข้าง ทำให้มองหาอาหารและเห็นศัตรูได้รอบตัว แต่นกฮูกหากินเวลากลางคืน ตาจึงอยู่ด้านหน้าเพื่อประโยชน์ในการล่าเหยื่อ เพราะทำให้มองหาเหยื่อและกะระยะได้ดี ทั้งยังสามารถเห็นได้ในระยะไกล แต่นกฮูกไม่สามารถกลอกตาไปมาได้ เวลาเป้าสายตาขยับหรือเคลื่อนที่ ฮูกจึงใช้วิธีหันหน้า หันคอแทน คอที่มีขนปกคลุมหนา ทำให้ดูเหมือนเป็นนกคอสั้น แต่ความจริงคอของมันยาวพอที่จะหันหัวไปข้างหลังได้อย่างสบายๆ

คนยุคโบราณมักจะพยายามจับคู่สัตว์เข้ากับเทพเจ้าที่ตนบูชา ในเทพนิยายกรีก นกฮูกได้รับการยกย่องให้เป็นสัตว์ประจำองค์เทพีอธีนา ซึ่งเป็นเทพีแห่งความฉลาดรอบรู้ ภาพพจน์ของนกฮูกจึงพลอยผูกติดกับความรอบรู้ไปด้วย นกฮูกเป็นสัญลักษณ์ของกรุงเอเธนส์ มีภาพปรากฏอยู่บนเหรียญในสมัย ๕๒๕ ปีก่อนคริสตกาล มีคำพูดโบราณซึ่งมาจากละครชวนหัวชื่อ เดอะเบิร์ดส์ ของอริสโตเฟนีส ในเรื่องมีการล้อคนที่เอาสินค้าไปขายในเมืองที่มีสิ่งนั้นอยู่มากแล้ว ว่า "เอานกฮูกไปขายเมืองเอเธนส์"

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นนกฮูกเป็นตัวแทนความฉลาดรอบรู้ อย่างความเชื่อไทยเดิมก็กลัวนกเค้าแมว นกฮูก หรือนกแสก ซึ่งเป็นนกในวงศ์เดียวกัน เพราะนกเหล่านี้ออกหากินในเวลากลางคืน หน้าตารึก็จิ้มลิ้มพริ้มเพราซะเมื่อไหร่ โดยเฉพาะนกแสก เอาไฟฉายส่องประสบพบพักตร์ในที่มืด เห็นวงหน้าน้องๆ ปีศาจนั่นเทียว

อีกคนที่ดิสเครดิตนกฮูกคือนักเขียนชาวอังกฤษชื่อ เฟรเดอริก แมรีแอต ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ว่าสายตาที่เพ่งจ้องมองเหมือนไม่กะพริบ แสดงถึงความไม่รู้เรื่องอะไรมากกว่า เขาเป็นผู้เริ่มใช้สำนวนว่า "เมาเหมือนนกฮูก"





โลมาน่านน้ำไทย
โลมา (Dolphin) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ทว่าแต่ละส่วนของอวัยวะจะปรับเปลี่ยนต่างไปจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป ดังนี้ จมูก โลมามีจมูกไว้หายใจ โดยจมูกนั้นตั้งอยู่กลางกระหม่อม เพื่อให้สะดวกต่อการเชิดหัวขึ้นหายใจเหนือน้ำ จากจมูกมีท่อหายใจต่อลงถึงปอดในตัว จึงไม่จำเป็นต้องให้น้ำผ่านเหงือกเข้าไปในปอดเพื่อช่วยหายใจเหมือนปลาทั่วไป

ส่วนหู เป็นเพียงแค่รูเล็กจิ๋วติดอยูด้านข้างของหัวเท่านั้น แต่ประสิทธิภาพสูงมาก รับคลื่นเสียงใต้น้ำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะกับภาษาที่โลมาสื่อสารกันด้วยเสียงที่มีคลื่นความถี่สูง

การมองเห็น โลมามีดวงตาแจ่มใสเหมือนตาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป มีเปลือกตาปิดได้ และในเวลากลางคืนตาก็จะเป็นประกายเหมือนตาแมว ตาของโลมาไม่มีเมือกหุ้มเหมือนตาปลา และมองเห็นได้ไกลถึง ๕๐ ฟุต เมื่ออยู่ในอากาศ

สำหรับสีผิว โลมาแต่ละชนิดมีสีผิวแตกต่างกัน โดยที่ส่วนมากจะออกโทนสีเทา ตั้งแต่เข้มเกือบดำจนกระทั่งถึงเกือบขาว แต่โดยทั่วไปจะมีสีผิวแบบทูโทนคัลเลอร์คือมีสองสีตัดกัน ด้านบนเป็นสีเทาเข้ม ด้านล่างเป็นสีเกือบขาว เพื่อพรางตัวในทะเล ไม่ให้ศัตรูเห็น เพราะเมื่อมองจากด้านบน สีเข้มจะกลืนกับสีน้ำทะเล และถ้ามองจากด้านล่างขึ้นไปสีขาวจะกลืนเข้ากับแสงแดดเหนือผิวน้ำ

สำหรับประเทศไทย โลมาที่พบมี ๒๒ ชนิด รวม ๖ วงศ์ จากจำนวน ๘๐ชนิดที่พบทั่วโลก ตัวเด่นๆ มีอาทิ "โลมาอิระวดี หรือโลมาหัวบาตร" - Irawaddy dolphin : Orcaella brevirostris ตัวมีสีน้ำเงินเทา ด้านหลังหัวกลมมนน่ารัก พบทั้งในน้ำทะเล น้ำกร่อยและขึ้นไปถึงน้ำจืดบริเวณแม่น้ำโขง อุบลราชธานี แม่น้ำสาละวิน แม่ฮ่องสอน และทะเลสาบสงขลาฝั่งอ่าวไทย

"โลมาเผือก หรือโลมาหลังโหนก" - Indo-Pacific hump-backed dolphin : Sousa chinensis ตัวมีสีจางเหมือนเผือก ครีบหลังเป็นสันนูนสูง ชอบว่ายเที่ยวเล่นตามชายฝั่ง "โลมาปากขวด" - Bottlenose dolphin : Tursiops aduncus มีสีน้ำเงินเข้มอมเทา สีจางหรือบางครั้งอมชมพูด้านท้อง ชอบว่ายน้ำแข่งกับเรือขณะที่เดินเรืออยู่ในทะเล "โลมาธรรมดา ชนิดปากยาว" - common dolphin : Delphinus capensis เคยพบที่สมุยซึ่งมากันเป็นครอบครัวเมื่อพ.ศ.๒๕๑๖

"โลมาฟันห่าง" - Rough-toothed dolphin : Steno bredanensis อาศัยอยู่ในทะเลเปิด ไม่ค่อยได้พบตามชายฝั่ง ในน่านน้ำไทยพบตัวอย่างโลมาฟันห่างบาดเจ็บมาเกยตื้นบริเวณอ่าวฉลอง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๓๖ แต่มันก็ตายในที่สุด นอกจากนั้นเคยพบเพศผู้และเพศเมียติดอวนลอยโดยบังเอิญเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๘ บริเวณปากอ่าวพนัง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เพศผู้ตายในเวลาต่อมา ส่วนเพศเมียได้รับการอนุบาลจนแข็งแรงส่งกลับลงน้ำ

"โลมากระโดด" - Spinner dolphin : Stenella longirostris รูปร่างเพรียว ปากค่อนข้างเล็กเรียวดูคล้ายมีปากยาวกว่าโลมาในชนิดอื่น ลำตัวสีน้ำเงินเข้ม ด้านหลังมีแนวแบ่งสีจางข้างลำตัว มีแถบเข้มพาดจากตาจรดครีบข้าง "โลมาแถบ" - Striped dolphon : Stenella coeruleoalba ลักษณะคล้ายโลมากระโดดแต่ป้อมอ้วนกว่า หลังสีน้ำเงินเข้มจางลงข้างลำตัว ตัดกันเป็นลายแหลมรูปตัววี แถบสีเข้มเป็นแนวจากลูกตาไปตามข้างลำตัวและโค้งลงตรงบริเวณช่องก้น ด้านท้องขาว พบโลมาชนิดนี้ตอนตายแล้วเกยตื้นที่หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๓๕ "โลมาลายจุด" - Spotted dolphin : Stenella attenuate พบทั้งหมด ๓ ตัวอย่างที่ จ.สงขลา ภูเก็ต และกระบี่





ผีเสื้อขีดหกลายเข้ม
จัดเป็นผีเสื้อในวงศ์ผีเสื้อสีน้ำเงิน ผีเสื้อในวงศ์นี้มีจำนวนมากที่สุด พบเห็นบ่อยและเป็นผีเสื้อขนาดเล็ก

ผีเสื้อขีดหกลายเข้ม มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prosotas aluta ขนาดลำตัวประมาณ ๒๐-๓๐ มิลลิเมตร โทนสีบนลำตัวมีสีน้ำตาลอมเหลือง โทนสีหม่น มีแถบน้ำตาลเข้มอยู่ทั่วไป และมีสีขาวตัดแถบสีน้ำตาล

ผีเสื้อในวงศ์นี้ส่วนใหญ่จะมีจุดสีดำอยู่บริเวณปลายปีกส่วนล่าง จุดดำเข้มนี้คล้ายกับดวงตาขนาดใหญ่มีไว้เพื่อหลอกศัตรูอื่นๆ ยามที่จะเข้ามาทำร้ายมัน เพราะเมื่อศัตรูเห็นดวงตาขนาดใหญ่ย่อมหมายถึงรูปร่างที่ใหญ่ด้วย จึงไม่เข้ามาทำร้าย

อีกทั้งการขยับปีกคู่หลังทำให้จุดตาและหางขยับ ศัตรูที่หมายจะทำร้ายจะคิดว่าบริเวณนี้เป็นส่วนหัว เมื่อเข้าโจมตีทำร้ายจะทำให้พลาดเป้าหมายสำคัญ จึงทำให้ผีเสื้อขีดหกลายเข้มรอดพ้นจากศัตรู

พบผีเสื้อชนิดนี้ได้ทั่วไปบริเวณพุ่มไม้เตี้ยสองข้างทางหรือบริเวณทรายชื้น ชุกชุมในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ย.





นกแขกเต้า
นกแขกเต้า (Red-breasted Parakeet) เป็นหนึ่งในนกแก้วที่พบทั้งหมด ๗ ชนิดในประเทศไทย เป็นนกประจำถิ่นที่พบได้ทุกภาค ยกเว้นเฉพาะภาคใต้เท่านั้นที่ไม่พบ มีเสียงร้องแหลมดังแค้ก-แค้ก และร้องเสียง อื่นๆ อีกหลายแบบ

นกชนิดนี้เป็นนกแก้วขนาดกลาง มีความยาวลำตัวประมาณ ๓๕ ซ.ม. รูปร่างค่อนข้างเพรียว หัวใหญ่ คอสั้น หางยาวแหลม ขนหางมี ๑๒ เส้น แต่ละคู่ยาวลดหลั่นกันลงไปมาก คู่บนสุดยาวที่สุดและเรียว แต่ปลายทู่ ขาและเท้าแข็งแรง แต่ละเท้ามี ๔ นิ้ว ใช้เกาะยึดและปีนป่ายกิ่งไม้ได้ดี

ส่วนปีกปลายปีกแหลม ขนปลายปีกมี ๑๐ เส้น เหนือโคนปากมีแผ่นเนื้อนิ่มสีเทาอ่อน มีรูจมูกเปิดออก ๒ รู ม่านตาสีขาวออกเหลือง

ตัวผู้ ลำตัวด้านบนสีเขียว ด้านล่างสีเขียวอ่อนอมฟ้า ส่วนหัว แก้มและใต้คางเป็นสีเทาอมแดงจางๆ บริเวณอกสีชมพูแกมส้ม หัวสีม่วงแกมเทา หน้าผากมีแถบสีดำคาดไปจรดตาทั้งสองข้าง และมีแถบสีดำลากจากโคนปากไปถึงแก้ม

จะงอยปากบนสีแดงสด ปลายสีเหลือง งองุ้มตั้งแต่โคนปากจนถึงปลายปากและพองออกด้านข้าง ปลายปากบนเป็นตะของุ้มแหลมคมแข็งแรงคลุมปลายปากล่าง กึ่งกลางปากมีลักษณะเป็นปุ่มใช้กะเทาะเปลือกเมล็ดพืชทิ้งเพื่อกินเนื้อใน โดยทำงานพร้อมกับลิ้นที่เป็นก้อนเนื้อหนา ปากบนเคลื่อนไหวได้โดยอิสระมากและใช้ปากเกาะยึดกิ่งไม้หรือวัตถุต่างๆ ได้อย่างกับเท้า

จะงอยปากล่างสีดำ จะงอยปากสั้นและงุ้ม ปากล่างโค้งงอขึ้นไปหาปากบนแต่สั้นกว่าและปลายปากทู่ มีปีกสีเขียวและมีหย่อมสีเหลืองคาดอยู่ ขนหางคู่กลางยาวเป็นสีฟ้า แต่ส่วนปลายเป็นสีเหลือง มีอกสีชมพู ท้องสีเขียวอมฟ้า ขาและนิ้วเท้าสีเขียว

ตัวเมีย ต่างจากตัวผู้ตรงที่หัวเป็นสีน้ำเงินแกมเทา แต่มีหัวสีเทามากกว่าตัวผู้ มีทางพาดสีดำทั้งสองแห่งเช่นเดียวกับตัวผู้ จะงอยปากบนและล่างสีดำสนิท อกสีชมพูสด ไม่มีแต้มสีม่วง ขนคลุมลำตัวส่วนใหญ่สีเขียว อกสีเขียว ปากสีดำ

แก้วแขกเต้าพบได้ในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา หมู่เกาะในทะเลอันดามัน จีนตอนใต้และเวียดนาม ในประเทศไทยพบอาศัยอยู่ตามป่าโปร่ง เช่น ป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ตั้งแต่พื้นราบไปจนถึงระดับความสูง ๑,๒๐๐ เมตรจากระดับน้ำทะเล และตามพื้นที่เกษตรกรรมที่มีต้นไม้หรือป่าละเมาะอยู่ใกล้ๆ หรือแหล่งปลูกพืชไร่ที่อยู่ชายป่าโปร่ง สวนผลไม้ที่มีต้นไม้ผลสูงใหญ่ อาจพบในป่าชายเลน หรือป่าริมฝั่งทะเลด้วย สำหรับอาหารของแก้วแขกเต้าในธรรมชาติ ประกอบด้วย เมล็ดพืชต่างๆ ลูกไม้ ผลไม้ ยอดไม้ ลูกไทร ลูกก่อ ข้าวและข้าวโพด แต่บางครั้งก็พากันลงกินดินโป่งด้วย

แก้วแขกเต้าบินได้ดีและเร็ว ชอบเกาะตามกิ่งไม้ที่มีผล ใช้เท้าจับผลไม้และใช้จะงอยปากจกหรือขบให้ผลไม้แตกแล้วกินเนื้อข้างใน มีความสามารถในการเกาะกิ่งไม้ได้ทุกๆ แนวแม้ว่าจะห้อยหัว ส่วนยามบินมักส่งเสียงร้องดังกังวาน ชอบทำรังตามโพรงต้นไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ หรือโพรงที่สัตว์อื่นทำทิ้งไว้

การผสมพันธุ์และการวางไข่ของแก้วแขกเต้าโดยเฉลี่ยเริ่มจากช่วงฤดูหนาวต่อฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน นกแขกเต้าที่จับคู่แล้วจะแยกตัวออกจากฝูง หาที่ทำรังในโพรงไม้

วางไข่ครั้งละ ๓-๔ ฟอง ระยะฟักไข่นาน ๒๘ วัน ไข่มีรูปร่างค่อนข้างกลม สีขาว ไม่มีจุด ขีด หรือลาย ขนาดเฉลี่ย ๒๕x๓๐ ม.ม. ลูกนกแรกเกิด ยังไม่มีขนปกคลุมลำตัว ขาและนิ้วเท้ายังอ่อนแอไม่สามารถยืนหรือเดินได้ พ่อแม่จะหาอาหารมาเลี้ยงโดยขยอกออกมาจากกระเพาะพัก ราว ๓-๔ สัปดาห์ ลูกนกจึงจะทิ้งรัง แต่พ่อแม่ยังต้องตามป้อนอาหารอยู่ระยะหนึ่งหรือจนกว่าถึงฤดูผสมพันธุ์อีกรอบ ลูกนกจึงจะแยกตัวออกไปหากินเอง





หอยทาก
หอยทากเป็นสัตว์โบราณที่เกิดขึ้นมาบนโลกเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน

ชื่อวิทยาศาสตร์คือ แอคคาทินา (Achatina spp.) จัดเป็นสัตว์ในกลุ่มหอยที่มีความหลากหลายของชนิดมากเป็นลำดับ ๒ รองจากสัตว์ในกลุ่มแมลง

ปัจจุบันพบหอยทากในโลกนี้ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ ชนิด และพบในภาคตะวันออกของประเทศไทยมากกว่า ๑๐๐ ชนิด

ส่วนหอยทากที่คนไทยรู้จักได้แก่หอยทากแอฟริกัน นำเข้ามาในประเทศไทยโดยทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒

หอยทากเป็นหอยฝาเดียว เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ร่างกายอ่อนนุ่มและถูกห่อหุ้มด้วยเปลือกแข็ง แบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ได้แก่แบบที่มีฝาปิด และแบบที่ไม่มีฝาปิด เป็นสัตว์ที่มีสองเพศในตัวเดียวกัน แต่การผสมพันธุ์ต้องผสมข้ามตัว

วัยเจริญพันธุ์ประมาณ ๕-๙ เดือน การออกไข่จะออกไข่เป็น กลุ่ม กลุ่มละ ๒๐๐-๓๐๐ ฟอง หรือราว ๑,๐๐๐ ฟอง ในเวลา ๑ ปี

หอยทากมีอายุเฉลี่ยประมาณ ๕ ปี รูปร่างหน้าตานอกจากจะมีเปลือกแข็งอยู่ส่วนบนลำตัวที่อ่อนนุ่ม ซึ่งดูเหมือนแบกบ้านไว้บนหลังเวลาเคลื่อนที่

หอยทากยังมีหนวด ๒ คู่ หนวดคู่แรกมีลักษณะยาวกว่า มีลูกตาอยู่ส่วนปลายหนวด คือมีลักษณะเหมือนเป็นก้านตา หนวดคู่ที่สองซึ่งมีความยาวน้อยกว่ามีความสามารถดมกลิ่นและรับรู้สิ่งแวดล้อมซึ่งอยู่รอบตัว

ในช่วงฤดูฝน หรือในช่วงที่มีอาหารของหอยทากอุดมสมบูรณ์ จึงจะพบหอยทากได้มาก มันจะออกหากินในเวลากลางคืน ส่วนกลางวันจะหลบแสงแดดอยู่ตามที่ร่มตามโคนต้นไม้

อาหารของหอยทาก ได้แก่พืชทั้งชนิดสดและชนิดที่ถูกย่อยสลายแล้ว ข้าวสุก เศษอาหาร รวมถึงเชื้อราที่อยู่ตามซากพืชที่ทับถมกัน มันใช้อวัยวะคล้ายลิ้นซึ่งมีลักษณะหยาบคล้ายตะไบ คล้ายฟันซี่เล็กๆ จัดเรียงกันเป็นแถว ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร

หอยทากเดินหรือคลานไปข้างหน้าได้ด้วยกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หรือเรียกว่าเท้า ลักษณะเป็นแผ่นกล้ามเนื้อบางๆ อยู่ใต้ลำตัว การยืดหดของเท้าทำให้หอยทากคลานหรือเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ และเราทราบถึงทิศทางการคลานของหอยทากได้โดยดูจากรอยเมือกสีเงินตามพื้นดินที่หอยทากคลานผ่านไป

เมือกที่กล่าวถึงนี้ผลิตจากต่อมพิเศษซึ่งอยู่บริเวณเท้าของหอยทาก มีประโยชน์ช่วยหล่อลื่นเส้นทาง ทำให้หอยทากคลานผ่านพื้นได้หลายแบบ ทั้งพื้นที่มีลักษณะขรุขระ มีหนามแหลมคม หรือแม้แต่บนกิ่งไม้ โดยที่ไม่ตกลงมา

หอยทากเป็นตัวการทำให้เกิดการหมุนเวียนถ่ายทอดสารอินทรีย์ได้อย่างดี ทำให้ระบบนิเวศมีความอุดมสมบูรณ์ เกษตรกรใช้หอยทากเป็นวัตถุดิบในการทำปุ๋ยหมักอินทรีย์

นอกจากนั้นมนุษย์ยังนำหอยทากมาประกอบอาหาร อย่างในญี่ปุ่น ไต้หวัน และประเทศในแถบยุโรป พันธุ์ที่นิยมนำมากินได้แก่สายพันธุ์หยกขาว ซึ่งมีลักษณะเนื้อสีขาวสะอาด

ส่วนในไทย หอยที่คนนิยมกิน ได้แก่ หอยหอม และ หอยภูเขา เนื้อของหอยทากอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร โปรตีนสูง ไขมันต่ำ ดังนั้นจึงปรุงเป็นอาหารสำหรับนักบินอวกาศ รวมถึงปรุงเป็นอาหารเสริมสุขภาพให้กับนักกีฬาจีน

ขณะที่ประโยชน์ทางด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยพบประโยชน์จากเมือกเหนียวของหอยทากว่ายับยั้งการเจริญของเชื้อราในน้ำยางพารา และใช้เป็นส่วนผสมในการทำแผ่นยางได้อีก

แต่หอยทากก็มีโทษ เป็นศัตรูสำคัญของชาวไร่ชาวสวน เพราะอาหารของหอยทากคือพืช ดังนั้นในสวนหรือบริเวณที่ปลูกพืชหากหอยทากเข้าไปกัดกินพืชที่ปลูกได้แล้วก็จะก่อให้เกิดความเสียหาย พืชหรือผลผลิตจะถูกทำลาย

หอยทากยังเป็นตัวการทำให้เกิดโรคในมนุษย์ได้ โดยเป็นโฮสต์กึ่งกลาง (Intermediat host) ได้แก่โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "โรคปวดหัวหอย" เป็นต้น





เพื่อนต่างพันธุ์
สร้างกระแสฮือฮาไปทั่วโลกออนไลน์ เมื่อ "อามูร์" เสือโคร่งไซบีเรียนตัวโต กับแพะขนหนาชื่อ "ติมูร์" เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างนักล่ากับอาหารเย็น ไปเป็นมิตรภาพน่าประทับใจ

เรื่องราวของเพื่อนรักสัตว์ต่างสายพันธุ์ ๒ ตัวนี้เกิดขึ้นที่สวนสัตว์ซาฟารีปรีมอเรีย ในภูมิภาคชโคตอฟสก์ ทางตะวันออกไกลของรัสเซีย หลังเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลทำตามกิจวัตรนำเจ้าติมูร์เข้าสู่กรงของอามูร์ เพื่อให้สัตว์นักล่าไม่ลืมสัญชาตญาณ ซึ่งปกติทางสวนสัตว์จะนำกระต่ายหรือแพะไปปล่อยไว้ในกรงเสือ ๒ ครั้งต่อสัปดาห์

แต่ผ่านไปนาน ๔ วัน เจ้าอามูร์ก็ยังไม่กินติมูร์ แถมยังปล่อยให้นอนใต้โขดหิน ที่งีบสุดหวงส่วนตั๊วส่วนตัวอีกด้วย แถมตอนกลางวันยังชวนกันเดินเล่นอยู่ในกรงแบบชิลชิลเมื่อยก็นั่งพัก นอนเล่น เป็นกันเองสุด

ด้าน นายดมิทรี เมเซนต์เซฟ ผู้อำนวยการสวนสัตว์ กล่าวว่าเสือโคร่งเป็นสัตว์ดุร้าย และมีความแข็งแกร่ง ถือเป็นเรื่องแปลกมากๆ เพราะไม่เพียงแค่เจ้าอามูร์จะไม่ยอมกิน ติมูร์ แต่พวกมันยังเป็นเพื่อนกันด้วย

และเพราะมิตรภาพน่ายกย่องเช่นนี้ เจ้าหน้าที่สวนสัตว์เลยกำลังเร่งศึกษาพฤติกรรมของเจ้าอามูร์และติมูร์ เพื่อวางโครงการสร้างกรงนอนเป็นส่วนต่อเติมให้เจ้าแพะได้อยู่ใกล้ๆ ตอนเช้าก็เข้ามาเดินเล่นกับเพื่อนเสือในกรง พอตกเย็นก็กลับไปนอนในกรงนอนของตัวเอง  ขนาดต่างสายพันธุ์ ต่างความชอบ ตัวหนึ่งกินเนื้อ ตัวหนึ่งกินพืช ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ มนุษย์อย่างเราๆ ดูแล้วอายเลย...ว่าไหม





จิงโจ้ต้นไม้
จิงโจ้ต้นไม้เพศเมียประจำสวนสัตว์นครไมอามี่ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งฉลองวันเกิดครบ ๒๗ ปีเมื่ีอ ๓ สิงหาคม และขึ้นแท่นเป็นจิงโจ้ต้นไม้อายุมากที่สุดที่เคยบันทึกไว้ทีเดียว

แมตธิว มาร์ซิคาร์โน เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลบอกว่าแพตตี้สุขภาพแข็งแรงดี แต่ด้วยอายุมากแล้ว มากกว่าอายุเฉลี่ยที่ ๑๔ ปีของจิงโจ้ต้นไม้ตามธรรมชาติ แพตตี้เลยมีปัญหานิดๆ หน่อยๆ ตามประสารุ่นใหญ่ รวมทั้งการมองเห็นที่เลือนราง

ถึงอย่างนั้น ป้าแพตตี้ก็ยังเก๋ามีทักษะความสามารถสุดฮิพ เป็นศิลปินสะบัดพู่กันวาดภาพแนวแอ็บสแทร็กต์ ที่มีนักลงทุนจากทั่วโลกแห่ซื้อเก็บเข้าคอลเล็กชั่นงานอาร์ต

รู้จักกับป้าแพตตี้พอหอมปากหอมคอไปดูกันดีกว่าว่าสายพันธุ์จิงโจ้ต้นไม้น่ะมีความเป็นมาอย่างไร




จิงโจ้ต้นไม้เนี่ยมีถิ่นกำเนิดและอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนิวกินี ลำตัวมีขนาดราว ๒๐-๓๒ นิ้ว และหนัก ๗-๙ กิโลกรัม เล็กกว่าจิงโจ้แดงของออสเตรเลีย แต่ตัวเมียมีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับลูกจิงโจ้ตัวจ้อยเหมือนกัน ลำตัวปกคลุมด้วยขนหนาสีน้ำตาลแดง ส่วนหน้าอก และท้องเป็นขนสีขาวหรือเหลืองอ่อน มีหางยาวสร้างสมดุลทรงตัวบนต้นไม้ และกรงเล็บคมยึดเกาะต้นไม้ได้เหนียวแน่น

อาหารส่วนใหญ่ที่กินเป็นพืชผักผลไม้ แต่บางครั้งกินแมลง และถั่วเพื่อเพิ่มโปรตีน

ปัจจุบันมีสถานะเป็นสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ เพราะมนุษย์ถางป่านำพื้นที่ไปเพาะปลูกและสร้างชุมชน ยังมีธุรกิจปาล์มน้ำมัน รวมถึงการล่าเพื่อกินเนื้อและนำขนไปใช้ของชนเผ่าท้องถิ่น แต่ยังดีที่มีคนเห็นความสำคัญโดยเฉพาะหมู่บ้านยาวาน ซึ่งแบ่งพื้นที่กว่า ๔๐๐ ตารางกิโลเมตรเพื่ออนุรักษ์จิงโจ้ต้นไม้อย่างจริงจัง





สัตว์สุดลึกลับ วันฮัลโลวีน

เข้าสู่เทศกาลสยองขวัญ"วันฮัลโลวีน" ไปทำความรู้จักกับสารพัดสัตว์สุดลึกลับที่มักจะได้รับการเอ่ยถึงในเทศกาลนี้กันดีกว่า

เริ่มที่ "แมวดำ" ปกติเจ้าเหมียวสีดำเป็นตัวแทนของความโชคร้าย (เฉพาะบางประเทศ) อย่างคนไทยเองก็มองว่า แมวดำเป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล ถ้าพบเจอวิ่งตัดหน้าไปไม่ควรเดินทางต่อ หรือเชื่อไปถึงทำให้คนที่เสียชีวิตลุกขึ้นมาได้ แต่ในอังกฤษนั้นเชื่อว่าแมวดำสามารถป้องกันภัย ส่วนสกอตแลนด์มองว่า ถ้าแมวดำเดินเข้าอาณาบริเวณบ้านใคร บ้านนั้นจะมั่งคั่งรุ่งเรือง

ถึงอย่างนั้น สีสันที่ดำทะมึน เวลาวิ่งไวๆ เลยเหมือนมีอะไร แวบไป...แวบมา... ชวนให้ขนหัวลุก แถมเมื่อเจอหน้าตรงๆ ยังต้องผงะกับแววตาลุกวาวแบบเดาอารมณ์ไม่ถูก ด้วยเหตุนี้ใครต่อใครเลยยกให้แมวดำขึ้นทำเนียบสัตว์ฮัลโลวีน

ตามมาติดๆ เป็นแมลงขายาว และปลีกวิเวกอยู่ในซอกหลืบ อย่าเพิ่งกลัวไป เจ้าตัวนี้น่ะคือ "แมงมุม" ซึ่งเราๆ รู้จักกันดี แต่ที่เหมาะกับฮัลโลวีน ต้องเป็นแมงมุมสีดำ ไม่ก็แมงมุมแม่ม่ายดำ แค่ชื่อก็น่าพิศวงแล้ว เนื่องจากบ้านที่มีแมงมุมอยู่เยอะๆ แบบหยากไย่ยั้วเยี้ย มักจะเป็นบ้านร้าง แน่นอนว่าต้องมีเรื่องเล่าถึงเหตุผลที่ไม่มีใครอยู่ และส่วนใหญ่เป็นเรื่องสยองขวัญ แมงมุมเลยถูกจับคู่กับความหลอนไปโดยปริยาย

อย่างไรก็ตาม แมงมุมแม่ม่ายดำก็ขึ้นชื่อเป็นแมลงอันตราย ไม่เพียงกินตัวผู้หลังผสมพันธุ์เท่านั้น แต่ยังมีพิษรุนแรงกว่างู โดยพิษจะออกฤทธิ์กับระบบประสาท แผลปวดบวม เรื่อยไปจนเป็นตะคริว อ่อนแรง มือสั่น และหายใจขัด

ปิดท้ายด้วย "ค้างคาว" เจ้าตำรับที่มาของผีดูดเลือด เพราะเมนูโปรดคือ เลือด ทั้งยังออกหากินตอนกลางคืนอีกต่างหาก จึงไม่แปลกที่จะมีการเชื่อมโยงค้างคาวเข้ากับแวมไพร์

แม้ภายนอกจะน่ากลัว แต่สัตว์ก็ยังเป็นสัตว์ และใช้ชีวิตตามสัญชาตญาณ ไม่เหมือนมนุษย์บางคนที่ใจร้ายต่อเพื่อนสัตว์ร่วมโลกหรอก... จริงไหม





ปลาดาว ดาวทะเล
ดาวทะเล หรือเรียกกันทั่วไปว่า ปลาดาว (Starfish, Seastar) เป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูก สันหลัง อยู่ในชั้น Asteroidea ลักษณะทั่วไป มีลำตัวแยกเป็นห้าแฉกคล้ายรูปดาว เรียกว่าแขน ส่วนกลางมีลักษณะเป็นจานกลม ด้านหลังมีตุ่มหินปูนขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วไป มีปากอยู่ด้านล่างบริเวณจุดกึ่งกลางของลำตัว

ใต้แขนแต่ละข้างมีหนวดสั้นๆ เรียงตามส่วนยาวของแขนเป็นคู่ๆ มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อที่เหนียวและแข็งแรง เรียกว่า โปเดีย ใช้สำหรับยึดเกาะกับเคลื่อนที่ มีสีต่างๆ ออกไป ทั้ง ขาว ชมพู แดง ดำ ม่วง หรือน้ำเงิน เป็นต้น

พบอยู่ตามชายฝั่งทะเล โขดหิน และบางส่วนอาจพบได้ถึงพื้นทะเลลึก กินหอยสองฝา โดยเฉพาะหอยนางรม กุ้ง ปู หนอน และสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ เช่น ฟองน้ำหรือปะการัง เป็นอาหาร

ดาวทะเลพบอยู่ในทะเลทั่วโลก ทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลน ติก มหาสมุทรอินเดีย รวมทั้งในเขตขั้วโลกอย่างมหาสมุทรอาร์กติก และแอนตาร์กติกา โดยถึงปัจจุบันพบประมาณ ๑,๘๐๐ ชนิด

ดาวทะเลขนาดเล็กอาจมีความกว้างเพียง ๑ เซนติเมตร ขนาดใหญ่ที่สุดอาจยาวได้ถึง ๑ เมตร และในบางชนิดอาจมีแขนมากกว่า ๕ แขน สืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ

การปฏิสนธิเกิดภายนอกตัว ระยะแรกตัวอ่อนจะดำรงชีวิตแบบแพลงตอนสัตว์ จากนั้นจะเริ่มพัฒนาตัวแล้วจมตัวลงเพื่อหาที่ยึดเกาะ แล้วเจริญเป็นตัวเต็มวัย ส่วนการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ในบางชนิดเมื่อแขนถูกตัดขาดลง จะพัฒนาตรงส่วนนั้นกลายเป็นดาวทะเลตัวใหม่เกิดขึ้น และตัวที่ขาดก็จะงอกชิ้นใหม่ขึ้นมาได้จนสมบูรณ์ แต่กระบวนการเหล่านี้ต้องใช้เวลาเป็นปี

การเคลื่อนที่ของดาวทะเล เนื่องจากดาวทะเลเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีโครงแข็งที่ผิวนอก ไม่ได้ยึดเกาะกับกล้ามเนื้อ จึงมีระบบการเคลื่อนที่ด้วยระบบท่อน้ำ จากท่อวงแหวนจะมีท่อน้ำแยกออกไปในแขน เรียกท่อนี้ว่า เรเดียลคาแนล

ทางด้านข้างของเรเดียลคาแนลมีท่อแยกไปยังทิวบ์ฟีต การยืดและหดของทิวบ์ฟีตจะเกิดขึ้นหลายๆ ครั้ง และมีความสัมพันธ์กันทำให้เกิดการเคลื่อนที่ไปได้

ดาวทะเลมีความสัมพันธ์กับมนุษย์ในแง่ของการใช้ซากเป็นเครื่องประดับตกแต่งบ้าน และในบางวัฒนธรรม เช่น จีน ใช้ดาวทะเลปรุงเป็นยา และปิ้งย่างเป็นอาหาร อีกทั้งยังนิยมเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในตู้ปลา

มีข้อมูลจากพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ว่า ปลาดาว เป็นสัตว์ในแนวปะการัง สัตว์เหล่านี้อาจอาศัยอยู่ภายในโครงสร้างแนวปะการัง บนแนวปะการัง หรืออาศัยอยู่ในน้ำเหนือแนวปะการัง มีทั้งสัตว์ที่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้ และสัตว์ที่อยู่กับที่ เช่น ฟองน้ำ ซึ่งเป็นสัตว์เกาะอยู่กับที่เช่นเดียวกับปะการัง

ส่วนปลาดาวอยู่ในสัตว์แนวปะการังกลุ่มที่ ๖ เอคไคโนเดิร์ม (Echinoderm) ได้แก่ ปลาดาว ปลิงทะเล ดาวขนนก เม่นทะเล

สัตว์กลุ่มนี้เป็นพวกที่มีแผ่นหินปูนปกคลุมร่างกายหรือแทรกอยู่ในเนื้อเยื่อ รูปร่างทั่วไปส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นแฉก ๕ แฉก ตัวอย่างสัตว์ในกลุ่มเอคไคโนเดิร์มที่มีรูปร่างคล้ายดาวมี ๓ ประเภท

๑.ปลาดาว หรือ ดาวทะเล รูปร่างคล้ายดาว ๕ แฉก มีแขนยื่นจากกลางลำตัว ใต้ท้องแขนมีปุ่มดูดใช้ในการเคลื่อนที่ ปากอยู่ตรงกลางลำตัวด้านล่าง กินสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากที่อาศัยอยู่บนพื้นตะกอนในแนวปะการังเป็นอาหาร มีความสามารถในการงอกใหม่ (regenerate) ได้ดี โดยถ้าส่วนของร่างกายหรือแขนของมันขาด หรือหลุดออก ส่วนที่ขาดจะงอกเป็นตัวใหม่ได้

๒.ดาวมงกุฎหนาม กินปะการังเป็นอาหาร โดยผลักกระเพาะอาหารของมันผ่านปากออกมาด้านนอกบริเวณใต้ลำตัว แล้วย้ายกระเพาะไปอยู่บนปะการังเป็น กระเพาะอาหารของปลาดาวชนิดนี้จะย่อยโพลิปปะการังเวลาที่มันยื่นตัวออกมา เมื่อปลาดาวกินอาหารเสร็จ ก็จะดึงกระเพาะอาหารกลับเข้าไปภายในร่างกาย

๓.ดาวเปราะ ชื่อของมันมาจากแขนที่หลุดหักได้ง่าย แต่มันก็สามารถงอกแขนส่วนที่ขาดหรือหักได้ใหม่ ลำตัวมีขนาดเล็ก มีแขนยื่นยาวออกจากลำตัว แผ่นกลางลำตัวเป็น ๕ เหลี่ยมคล้ายดาว ปกติดาวเปราะมีแขน ๕-๖ แขน ไม่มีร่องใต้แขน และเท้า มีลักษณะแบบท่อ ไม่มีปุ่มดูด


3322  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / วิธีทำ ผัดผักบุ้งไฟแดง ใส่ไข่เยี่ยวม้า เมื่อ: 07 ธันวาคม 2558 19:24:49
.





ผัดผักบุ้งไฟแดง

• เดรื่องปรุง
- ผักบุ้งจีน
- พริกขี้หนูสด 5-10 เม็ด
- กระเทียมไทย 7-10 กลีบ
- ผงปรุงรส ½ ช้อนชา
- น้ำตาลทรายขาว ¼ ช้อนชา
- ซอสหอยนางรม 1 ช้อนชา
- เต้าเจี้ยว 1 ช้อนชา
- น้ำสะอาด หรือน้ำซุป 1 ช้อนโต๊ะ


• วิธีทำ
1.ล้างผักบุ้งให้สะอาด เด็ดท่อนยาวประมาณหนึ่งนิ้วครึ่ง (กะประมาณผัดได้ 1 จานเปล)
2.บุบพริกและกระเทียมพอแตก แล้วสับหยาบ   
3.จัดผักบุ้งใส่จาน ใส่เครื่องปรุงทั้งหมด (ยกเว้นน้ำสะอาดหรือน้ำซุป)
4.เอาน้ำมันพืชใส่กระทะ 1-2 ช้อนโต๊ะ รอให้น้ำมันร้อนจัด (สังเกตมีควันลอยขึ้น)
   ใส่ผักบุ้งและส่วนผสมลงผัดด้วยไฟแรงจัด ใส่น้ำสะอาดหรือน้ำซุป ปิดแก๊ส ผัดให้เข้ากัน
5.ตักใส่จานเสิร์ฟ ใส่ไข่เยี่ยวม้าหั่นเป็นเสี้ยววางด้านข้าง (ต้มไข่เยี่ยวม้า 2-3 นาที เพื่อหั่นแล้วไข่แดงไม่ไหลเยิ้ม)
6.รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ หรือข้าวต้มกุ๊ย.


3323  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / วัดโกเสยเขต จ.หนองคาย ชมโบสถ์เก่า วัฒนธรรมล้านช้าง เมื่อ: 07 ธันวาคม 2558 18:37:08
ชมโบสถ์เก่า วัฒนธรรมล้านช้าง
วัดโกเสยเขต
หมู่ ๑ บ้านปะโค ต.ปะโค อ.เมือง จ.หนองคาย

วัดโกเสยเขต ตั้งอยู่หมู่ ๑ บ้านปะโค ตำบลปะโค อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย  ห่างจากอำเภอเมืองหนองคาย ระยะทางประมาณ ๑๐ กิโลเมตร โดยมีถนนลาดยางเป็นเส้นทางสัญจร เลาะเลียบแม่น้ำโขงขึ้นไปทางทิศเหนือ หรืออำเภอท่าบ่อ

วัดแห่งนี้มีจุดเด่นน่าสนใจ คือ พระอุโบสถเก่า ที่ก่อสร้างด้วยประติมากรรม-สถาปัตยกรรม แบบล้านช้าง ปัจจุบันอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม แต่ยังคงเหลือร่องรอยให้ได้ศึกษาศิลปะของสกุลช่างล้านช้าง

พระอุโบสถเก่าแห่งนี้ ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน




พระประธาน พระอุโบสถเก่าวัดโกเสยเขต




พระอุโบสถวัดโกเสยเขต




หน้าบันพระอุโบสถ ประดับปูนปั้น พระพุทธรูปปางประทานพร ในพระอิริยาบถประทับ (นั่ง) บนดอกบัว
ล้อมรอบด้วยพระอัครสาวก นั่งขนาบซ้ายขวา มีเทพยดาสถิตอยู่เบื้องบน และพญานาคสถิตอยู่เบื้องล่าง








ประติมากรรมปูนปั้นซุ้มประตู-หน้าต่าง


พุทธประวัติ "ลิงและช้างเป็นพุทธอุปัฏฐาก"
พญาลิงถวายรวงผึ้งแด่พระพุทธเจ้า มีพญาช้างเฝ้าหมอบอยู่แทบพระบาท


พุทธประวัติ - พระนางสิริมหามายาประสูติพระบรมโพธิสัตว์เจ้า (พระราชกุมารสิทธัตถะ)








พระอุโบสถหลังใหม่ วัดโกเสยเขต

3324  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: วัฒนธรรมร่วมอาเซียน เมื่อ: 05 ธันวาคม 2558 16:26:45
วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน ประเพณี ๑๒ เดือน ทำขวัญลาน เดือนยี่ (เดือน ๒)

น้ำลดหมดแล้วเมื่อล่วงถึงเดือนยี่ (หรือเดือน ๒) ชาวนาลงแขกเกี่ยวข้าวได้สะดวก พร้อมนวดข้าวเอาเมล็ดมากะเทาะเปลือกแล้วหุงกินในชีวิตประจำวัน

ต้นข้าว มีลำต้นกับรวงเมล็ดข้าวสีเหลืองแก่หรือน้ำตาลแก่ ติดปลายรวงเป็นช่อยาวที่ต้องเกี่ยวหรือตัดไปนวด (หรือตี หรือฟาด) เอาเมล็ดข้าวออกจากรวง

เกี่ยวข้าว
เกี่ยวข้าวโดยทั่วไปใช้เคียวทำด้วยเหล็กตีให้บางด้านหนึ่งจนคมเป็นจักๆ มีปลายโค้งเข้าหากันรูปครึ่งวงกลม

ต้นข้าวที่เกี่ยวแล้วตั้งแต่โคนถึงปลายรวงเฉลี่ยยาวเกือบวา (ราว ๒ เมตร) รวมกันเป็นหอบใหญ่ แล้วถูกมัดโคนด้วยตอกไม้ไผ่ เรียกแต่ละมัดว่าฟ่อน (หรือฟ่อนข้าว) วางกระจายในนาไว้ก่อน รอขนไปนวด

เมื่อเกี่ยวข้าวหมดแล้ว ชาวนาขนฟ่อนข้าวไปวางรวมกันที่ลานดินแห่งหนึ่งที่เตรียมไว้เป็นวงกลมใกล้หมู่บ้าน หรืออาจในหมู่บ้านก็ได้ เรียกลานนวดข้าว

ลานนวดข้าว
ลานนวดข้าว มีขวัญสิงอยู่ตามความเชื่อในศาสนาผีของบรรพชนคนสุวรรณภูมิอุษาคเนย์ ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว

ก่อนใช้งานต้องมีพิธีทำขวัญ เรียกทำขวัญลาน หมายถึงทำขวัญลานนวดข้าว แต่ประเพณีลาวลุ่มน้ำโขง เรียกบุญคูนลาน

ขวัญ คือส่วนที่ไม่เป็นตัวตนของคน, สัตว์, สิ่งของ ซึ่งมีในความเชื่อตรงกันของคนทุกชาติพันธุ์ในอุษาคเนย์ ว่าคนเรามีส่วนประกอบสำคัญอยู่ ๒ ส่วน คือส่วนที่เป็นตัวตน ได้แก่ ร่างกาย  กับส่วนที่ไม่เป็นตัวตนได้แก่ ขวัญ

ขวัญมีหน่วยเดียว แต่ฝังกระจายอยู่ทั่วทุกแห่งหรือทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่เกิดมามากกว่า ๓๐ แห่ง เช่น ขวัญหัว ขวัญตา ขวัญมือ ขวัญแขน ขวัญขา ฯลฯ และมีความสำคัญมากเท่าๆ กับส่วนที่เป็นตัวตนหรือร่างกาย

ถ้าขวัญอยู่คู่กับร่างกาย เจ้าของขวัญจะมีความสุขสบาย แต่ถ้าขวัญออกจากร่างกายไป เจ้าของขวัญจะไม่เป็นปกติ อาจเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงตาย

สัตว์และสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและการทำมาหากินของคนล้วนมีขวัญทั้งนั้น เช่น ขวัญวัว ขวัญควาย ขวัญเรือน ขวัญข้าว ขวัญเกวียน ขวัญลานนวดข้าว ขวัญยุ้ง ฯลฯ

พิธีทำขวัญ (หรือสู่ขวัญ หรือเรียกขวัญ) เป็นพิธีกรรมที่แสดงความผูกพันและความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติระหว่างบุคคลกับครอบครัว, บุคคลกับชุมชน, สิ่งของ, และสถานที่ในสังคมเกษตรกรรม

เมื่อรับศาสนาจากอินเดียแล้ว พิธีทำขวัญอย่างง่ายๆ ในท้องถิ่นก็ถูกปรับเปลี่ยนให้ซับซ้อนขึ้นโดยรับคติพราหมณ์กับพุทธเข้ามาประสมประสาน เช่น มีบายสีและแว่นเวียนเทียนเป็นเครื่องประกอบ และมีหมอขวัญเป็นผู้ชำนาญขับคำร้องขวัญ คือกล่าวเชิญทั้งผีฟ้าพญาแถนและทวยเทพยดามาปลอบขวัญ

บุญคูนลาน เป็นคำลาวลุ่มน้ำโขง หมายถึงลานที่มีเมล็ดข้าวเปลือกกองอยู่มาก (คูน มีความหมายเดียวกับ พูน แปลว่า ทำให้กองทับถมสูงขึ้น หรือพอกพูนขึ้น)

นวดข้าว
นวดข้าว หมายถึงทำให้เมล็ดข้าวหลุดจากรวง โดยไล่ควายขึ้นย่ำฟ่อนข้าว

แต่บางท้องที่ใช้ตีข้าว หรือฟาดข้าว โดยชาวนาหยิบต้นข้าวเป็นมัดตีฟาดกับขอบกระด้งใหญ่ให้เมล็ดข้าวหลุด

สงฟาง
เมื่อคะเนว่าเมล็ดข้าวหลุดจากรวงหมดแล้ว ชาวนาร่วมกันสงฟางให้เหลือแต่เมล็ดข้าวเปลือก

สงฟาง หมายถึงใช้ตะขอไม้ไผ่ เสมือนคันหลาวยาว เขี่ยฟางออกจากเมล็ดข้าว

สง แปลว่า หยิบหย่งๆ หรือเขย่าให้อีกสิ่งหนึ่งร่วงลง ฟาง แปลว่า ต้นข้าวแห้งที่นวดเอาเมล็ดออกแล้ว

[เพลงสงฟางของชาวบ้านแต่ก่อน ได้ชื่อจากชาวนาร่วมกันสงฟาง ไม่ได้เล่นเพลงไปสงฟางไป แต่เล่นตอนเสร็จงานสงฟางแล้ว]



(ซ้าย) ทำบุญคูนลาน คือทำขวัญลานนวดข้าว (ภาพเก่า)
(ขวา) ฟ่อนข้าววางตั้งเรียงเป็นวงกลม บนลานนวดข้าวที่ทำบุญทำขวัญแล้ว รอควายมานวด


(ซ้าย) ควายนวดข้าว (ภาพของโสมนิมิตต์ พ.ศ.๒๕๑๒)
(ขวา) สงฟางที่ควายนวดข้าวแล้ว (ภาพเก่า)
ภาพประกอบทั้งหมด ล้วนเป็นภาพเก่าในช่วงเวลาต่างๆ กัน
แต่จัดเก็บไม่เป็นระบบตั้งแต่แรก เลยจำไม่ได้ว่าภาพของใคร? ถ่ายเมื่อไร?
ล่าสุดใช้พิมพ์ประกอบหนังสือประเพณี ๑๒ เดือน สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๓๘

ชักกระดาน
เมื่อสงฟางออกหมดแล้ว จะมีเมล็ดข้าวตกกระจายเรี่ยรายปนเศษผงฟางข้าวเต็มลานนวดข้าว

ชาวนาต้องร่วมกันใช้ไม้กวาด (จากต้นมอน หรือต้นไม้กวาด) กวาดเมล็ดข้าวไปกองรวมกัน

แต่ยังไม่สมบูรณ์ ต้องเอาเชือก ๒ เส้น ผูกแผ่นกระดานเป็นสองสาย แล้วช่วยกันลากเอาข้าวเป็นกองพูนสูงขึ้นไป

[เพลงชักกกระดานของชาวบ้านแต่ก่อน ได้ชื่อจากชาวนาร่วมกันชักกระดานพูนข้าวเป็นกองสูงในลานนวดข้าว ไม่ได้เล่นเพลงขณะชักกระดาน แต่เล่นเมื่องานชักกระดานเสร็จสมบูรณ์แล้ว]

ยุ้งข้าว
เมื่อได้ข้าวเปลือกกองอยู่ลานนวดข้าว ต้องขนเก็บในยุ้งข้าว (บางแห่ง เรียก เยียข้าว, เล้าข้าว) หมายถึงเรือนเก็บข้าวเปลือกไว้กินตลอดปี

ยุ้งข้าวมีขวัญ ก่อนขนข้าวเปลือกขึ้นยุ้ง ต้องทำขวัญยุ้ง (เช่นเดียวกับทำขวัญลานนวดข้าว)

พระราชพิธีนวดข้าว
คำให้การขุนหลวงหาวัด เล่าถึงนาฏกรรมแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ สรุปดังนี้
พระเจ้าแผ่นดินอยุธยา เสด็จออกไปนวดข้าวที่ทุ่งหันตรา (หานตรา) และอีกแห่งหนึ่งเรียกสารคู (ไม่ทราบที่ไหน?)

ได้ฟางข้าวจำนวนหนึ่งขนใส่เกวียน (รันแทะ) และใส่กระบะ (ล้อ) เข้าวัง เอาฟางประดิษฐ์เป็นฉัตรข้าวถวายพระทุกวัด แล้วมีการละเล่นมหรสพฉลองและให้ทาน
 

ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : มติชนสุดสัปดาห์ "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" ประเพณี ๑๒ เดือน ทำขวัญลาน เดือนยี่ (เดือน ๒)  โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ประจำวันที่ ๒๐-๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘




วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน เผาข้าว เดือนสาม พิธีส่งกลับแม่โพสพ

เผาข้าว เดือนสาม หรือบางกลุ่มเรียกพิธีส่งกลับแม่โพสพ เป็นประเพณีสืบเนื่องจากเดือน ๒ (เดือนยี่) เกี่ยวข้าวและนวดข้าว ได้ข้าวขนขึ้นยุ้งหมดแล้ว

[เดือนสาม (ทางจันทรคติ) อยู่ราวกลางเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมในปฏิทินสากล]

ต่อจากนี้ชาวบ้านมีข้าวใหม่ไว้หุงทำบุญเลี้ยงผี เลี้ยงพระ กับหุงกินเองตลอดปี ส่วนควายมีกองฟางขนาดมหึมาไว้เคี้ยวกิน

สิ่งที่เหลือตกค้างเต็มท้องนา คือ ตอ (ข้าว) หรือซัง (ข้าว) [หมายถึงต้นข้าวส่วนที่ติดกับดินเหลืออยู่ในนา หลังจากชาวนาเอาเคียวเกี่ยว (ตัด) ส่วนลำต้นกับรวงข้าวไปนวดแล้ว]

ตรงนี้เป็นสิ่งที่ชาวนาแต่ก่อนต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง ถือเป็นเรื่องสำคัญและศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง เพราะหมายถึงความมั่นคงทางอาหารเลี้ยงชีวิตในอนาคต ว่าข้าวกล้าในปีเพาะปลูกต่อไปจะเจริญงอกงามอุดมสมบูรณ์มากน้อยอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการจัดการของปีนี้

ด้วยเหตุนี้เอง ร.๕ จึงทรงพระราชนิพนธ์ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน (เรื่องเดือนสาม) ว่า “พิธีเผาข้าวนี้เป็นการคู่กันกับพิธีจรดพระนังคัล”

เผาข้าว
การจัดการตอข้าวหรือซังข้าวเป็นพิธีกรรม เรียกเผาข้าว หมายถึงจุดไฟเผาตอหรือซังในนา พระเจ้าแผ่นดินในรัฐจารีตโบราณต้องเสด็จไปทำพิธี (หรือโปรดให้เจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่ไปแทนก็ได้)

กฎมณเฑียรบาลยุคต้นกรุงศรีอยุธยา เรียกเป็นพิธีพราหมณ์ว่า ธานยเทาะห์ (เป็นภาษาสันสกฤตว่า ธานฺย แปลว่าข้าว กับ เทาะห์ แปลว่าเผา) หมายถึงพิธีส่งแม่โพสพ (ซึ่งเป็นเทพีแห่งข้าว) กลับสู่ถิ่นเดิมหลังเสร็จสิ้นการช่วยเหลือมนุษย์ให้มีพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้ว

ทวาทศมาสโคลงดั้น ยุคต้นกรุงศรีอยุธยาเรียก “ฤดูส่งพระไพสพราช” พิธีนี้ อ. ฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ เคยอธิบายไว้ (ในหนังสือ ทวาทศมาสโคลงดั้น พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๑๒ หน้า ๒๘๗-๒๘๘) ว่า

“ฤดูส่งพระไพ สพราช มาแม่” คือฤดูเสร็จการนวดข้าวและขนข้าวขึ้นยุ้งฉางแล้ว จึงเริ่มด้วยแห่แม่ไพสพไปตามทาง ต่อจากนั้นเอาฟางข้าวไปเผา

พิธีเสี่ยงทาย
เผาข้าวเป็นพิธีเสี่ยงทายที่มีการละเล่น แล้วมีคำทำนายอนาคตของพืชพันธุ์ธัญญาหาร เพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในฤดูทำนาคราวต่อไป (ซึ่งจะเริ่มเดือน ๖ ในอีกสามเดือนข้างหน้า) มีในคำอธิบายของ ร.๕ ดังนี้

“พระจันทกุมารเป็นผู้ฉลองพระองค์ออกไปทำการพิธี ตั้งโรงพิธีที่ทุ่งนา เห็นจะเป็นทุ่งหันตราซึ่งเป็นทุ่งนาหลวง มีกระบวนแห่ออกไปเช่นแรกนา แล้วเอารวงข้าวมาทำเป็นฉัตรปักไว้หน้าโรงพิธี พระจันทกุมารนั่งที่โรงพิธี แล้วจึงเอาไฟจุดรวงข้าวที่เป็นฉัตรนั้นขึ้น

มีคนซึ่งแต่งตัวเสื้อสีเขียวพวกหนึ่ง เสื้อแดงพวกหนึ่ง สวมเทริดท่วงทีจะคล้ายๆ กับอินทร์พรหม หรือโอละพ่อ สมมติว่าเป็นพระอินทร์พวกหนึ่ง พระพรหมพวกหนึ่ง เข้ามาแย่งรวงข้าวกัน ข้างไหนแย่งได้มีคำทำนาย แต่คำทำนายนั้นก็คงจะ——ดีทั้งนั้น”
 
การละเล่นเผาข้าวเสี่ยงทาย
ในตำราพระราชพิธีเก่า บอกต่างไปว่ามีคนอีกพวกหนึ่ง แต่งตัวชุดดำขี่ควายบุกไปชิงเอาพนมข้าวไปเสีย ดังนี้

“ครั้นเดือนสาม พระราชพิธีธานยเทาะเผาข้าว ตั้งโรงราชพิธีดุจก่อน ให้เจ้าพนักงานแต่งที่ยาว ๓ เส้น กว้าง ๑๐ วา ให้ตั้งหลัก ๘ ทิศ

หลักกลางนั้นหลักหนึ่งให้เป็นสำคัญ เอาปลายไม้ลงทั้ง ๘ หลัก แล้วให้เจ้าพระยาแลพระยาพระหลวงขุนหมื่นเจ้าพนักงาน จับหลักตามทิศของตัวนั้น

ทิศบูรพาหลวงธรรมศาสตร ทิศอาคเนย์หลวงอัถยา ทิศทักษิณหลวงศรีสังกร ทิศหรดีหลวงเทพมุนี ทิศประจิมหลวงศรีเสาวภักดิ์ ทิศพายัพพระจักรปาณี ทิศอุดรพระศรีมโหสถ ทิศอิสานพระครูมเหธร

ให้ยืนตามทิศ ตามตำแหน่ง ถือพนมข้าวคนละอัน เป็น ๙ พนมด้วยทั้งกลาง เป็นพนักงานกรมนาทำส่ง

ครั้นได้เพลาฤกษ์ดีให้พระอินทรกุมารแต่งตัวโอ่โถง นุ่งสมปักใส่อินธนูเสนมกุฎ มีสัประทนกระชิงคานหาม แห่มายังโรงราชพิธี

จึงกรมพระนครบาลตั้งชุมรมพิธีอันหนึ่ง ใกล้โรงพิธี ๕ เส้น มีพวกเพื่อน ๗๐-๘๐ คน มีกระบือตัวหนึ่งใส่กระดึงแลพรวน มือถืออาวุธเปลือย แต่ขุนพลแต่งตัวนุ่งห่มเสื้อหมวกดำทั้งเครื่อง

ครั้นได้ฤกษ์ดีพระอินทรกุมารถือเอาพนมข้าวกับเทียนเล่มหนึ่งออกจากโลงพิธีมาทิศบูรพาก่อน แล้วพระหลวงขุนหมื่นทั้งปวงจับเอาพนมแลเทียนข้าวคนละอันๆ แห่มาเวียน ๓ รอบ จึงพระอินทรกุมารเอาเทียนจุดพนมเข้าก่อน พระหลวงขุนหมื่นทั้งปวงจึงจุดไฟพนมข้าว เข้าพร้อมกันทั้ง๘ ทิศ

แล้วขุนพลกับพวกเพื่อนจึงขี่กระบือโห่ร้องเข้ามาตีชิงเอาพนมข้าว ฝ่ายพระอินทรกุมารก็หนีเข้ามายังโรงราชพิธี ขุนพลกับพวกเพื่อนก็ต่างคนต่างไป”

เผาข้าว ของ เจ้าฟ้ากุ้ง
พระราชพิธีธานยเทาะห์เผาข้าว มีการละล่นสืบเนื่องมาจนถึงยุคปลายอยุธยา มีในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศก ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ว่า
     เดือนสามเคยตามพี่       ดูพิธีธานย์เทาะห์แสดง
     เผาเข้าเจ้างามแฝง        พงศ์พวกพ้องน้องเคยดู

     ๏ มาฆมาสอาจเปล่งถ้อย  เรียมแคลง
     ธานย์เทาะห์พิธีแสดง      บอกเบื้อง
     เผาเข้าเจ้าเคยแฝง        พงศ์พวก
     โนนาดยุรยาตรเยื้อง       ย่างน่าเอ็นดู

เผาข้าว ของ นางนพมาศ
พิธีเผาข้าวมีหลังพิธีนวดข้าวสงฟาง จึงนำเอาฟางข้าวไปเผารวมทั้งข้าวที่เสียหายเพราะเมล็ดลีบหรือถูกเพลี้ยด้วงแมลงลงด้วยเป็นการเผาทำลาย

ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ยังมีพิธีเผาข้าวตามโบราณราชประเพณี ดังมีในตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์หรือนางนพมาศ (พระราชนิพนธ์ ร.๓) ที่ปรับปรุงจากตำราพระราชพิธีเก่า ได้ความว่า

เผาข้าวคือจุดเผาฟางและซังข้าว สมมุติเป็นเผาทุ่ง เผาป่า กำจัดเสนียดจัญไร มีความว่า “จึงเชิญพระเพลิงออกจุดเผาฟางและซังข้าว สมมุติว่าคลอกทุ่งเผาป่ากันอุปัทวจัญไร”

หลังทำพิธีเผาข้าวแล้วจะมีฝนตกลงมาอีกครั้ง ชาวบ้านเรียกกันว่าฝนชะลาน



เผาข้าวในท้องนาปัจจุบัน (ภาพจาก http://www.northpublicnews.net)

ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : มติชนสุดสัปดาห์ "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" เผาข้าว เดือนสาม พิธีส่งกลับแม่โพสพ  โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ประจำวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน - ๒ ธันวาคม ๒๕๕๘



วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน บุญข้าวหลาม เดือน ๓

        เดือน ๓ ชาวนาส่วนมากเก็บเกี่ยวข้าวในนาเสร็จแล้ว นวดข้าวแล้ว ได้ข้าวไว้กินทั้งปีแล้ว ขนข้าวเก็บขึ้นยุ้งหมดแล้ว
 
          ถือเป็นช่วงได้ข้าวใหม่ สิ่งแรกต้องทำคือหุงเลี้ยงผี (หลังรับศาสนาแล้ว เพิ่มเลี้ยงพระด้วย) โดยเฉพาะข้าวเหนียว ซึ่งเป็นข้าวไพร่ ได้แก่ข้าวที่สามัญชนคนชาวบ้านทั่วไปในสุวรรณภูมิใช้หุงหรือนึ่งกินในชีวิตประจำวัน (ส่วนคนชั้นสูงกินข้าวเจ้า)
 
          วิธีหุงยุคดึกดำบรรพ์หลายพันปีมาแล้ว น่าจะเป็นอย่างเดียวกับที่รู้จักทุกวันนี้ว่า หลาม เรียกกันว่า ข้าวหลาม ทำได้ทั้งจากข้าวเหนียวและข้าวเจ้า
 
หลาม
          ข้าวสารทำให้สุกด้วยการหลามในกระบอกไม้ไผ่ (เรียกบั้งข้าวหลาม) ส่วนมากใช้ข้าวเหนียวล้วนๆ ไม่ปรุงแต่งด้วยวัสดุอื่นใด เช่น กะทิ
 
          โดยตั้งกระบอกขึ้นเป็นแถวแล้วก่อไฟขนาบเผาล้อมรอบ แต่ต้องคอยหมุน หรือกลับกระบอกหลบไฟเผาไหม้ ขณะเดียวกันก็ให้โดนความร้อนรอบกระบอกจนข้าวสุก
 
          หลาม แปลว่า มากขึ้น, ขยายขึ้น หมายถึง ทำให้สุกในกระบอกไม้ไผ่ เช่น ข้าวหลาม, ปลาหลาม ฯลฯ

หุง, นึ่ง
          หุงข้าว หรือ นึ่งข้าว ต้องมีภาชนะดินเผา เรียกหม้อดิน หรือหม้อดินเผา ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้นจากภาชนะธรรมชาติ เช่น กะลา, กระบอกไม้ไผ่, เครื่องจักสาน
 
          [หุง, นึ่ง หมายถึง ข้าวสารเหนียวทำให้สุก ด้วยการหุง หรือนึ่งในภาชนะ]
 
          ในยุคแรกเริ่ม คนที่กินข้าวเหนียวด้วยวิธีหุงหรือนึ่ง เป็นคนชั้นสูงระดับหมอผีหัวหน้าเผ่าพันธุ์ เจ้าของเทคโนโลยี ส่วนคนทั่วไปกินข้าวหลามจากกระบอกไม้ไผ่




ภาชนะดินเผา (เก่าสุดแบบหนึ่ง) มีลายจักสานราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว เป็นต้นแบบหม้อดิน
ใช้หุงหรือนึ่งข้าว พบที่บ้านเชียง อ.หนองหาร จ.อุบลราชธานี


(ซ้าย) ข้าวหลามเมื่อเผาไฟสุกแล้ว
(ขวา) กรอกข้าวเหนียวใส่กระบอกไม้ไผ่ก่อนนำไปเผาเป็นข้าวหลาม

 
ข้าว
          ข้าวเหนียว หรือ ข้าวนึ่ง เป็นข้าวเมล็ดป้อม ตระกูลข้าวเก่าแก่ในไทยและสุวรรณภูมิในอาเซียน อาหารหลักของคนทุกชาติพันธุ์ในอาเซียนอุษาคเนย์
 
          เมื่อรับศาสนาจากอินเดียสมัยหลังๆ ข้าวเหนียวยังเป็นอาหารหลักของพระสงฆ์ ในวัดด้วย
 
          ราวหลัง พ.ศ.๑๐๐๐ พบแกลบข้าวเหนียว ผสมดินเหนียวในแผ่นอิฐสร้างเจดีย์แบบทวารวดีทั่วลุ่มน้ำเจ้าพระยา และที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
 
          [ดูบทความเรื่อง แหล่งกำเนิดและการแพร่กระจายของข้าวที่ปลูกในทวีปเอเชีย ของวาตาเบะ ทาดาโยะ แปลโดย สมศรี พิทยากร พิมพ์ในหนังสือ ญี่ปุ่น-ไทย-อุษาคเนย์ บรรณาธิการโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และฮายาโอะ ฟูกุย จัดพิมพ์โดยโครงการ Core University ธรรมศาสตร์-เกียวโต ร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๔๑ หน้า ๗๕-๑๐๙]
 
          ราวหลัง พ.ศ.๑๘๐๐ พบเมล็ดข้าวเหนียวที่หุงหรือนึ่งแล้ว ปนอยู่ในดินบริเวณศาลาโถง (เนินปราสาท) หน้าวัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย จ.สุโขทัย น่าจะเป็นข้าวเหนียวที่คนเอามาถวายพระสงฆ์เมื่อทำบุญเลี้ยงพระ
 
          ข้าวเจ้า หรือ ข้าวจ้าว เป็นข้าวเมล็ดเรียว พบพร้อมข้าวเมล็ดป้อมทั้งในไทยและอาเซียน แต่การแพร่กระจายและความต่อเนื่องต่างกัน
 
          เจ้า, จ้าว ในคำว่า ข้าวเจ้า, ข้าวจ้าว มีความหมายหลายอย่าง แต่ที่สำคัญอยู่ในภาษาไทยอาหม และไทใหญ่ หมายถึง ร่วน, ซุย, ไม่เหนียว, หุง
 
          [จากหนังสือเทศกาลจีนและการเซ่นไหว้ ของ ถาวร สิกขโกศล สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๕๗]
 
          มีคำบอกเล่าว่า ข้าวเจ้า เป็นคำกร่อนจากคำเรียกว่าข้าวเหลือเจ้า หมายถึงข้าว
 
          ที่เจ้านายเสวยก่อน แล้วเหลือไว้ให้พวกไพร่กินทีหลัง นานเข้าก็เรียก ข้าวเจ้า ส่วนข้าวที่เจ้าเสวย เพี้ยนเสียงเป็นข้าวสวย
  
บุญส่งฟืนใช้เผาข้าวหลามของชาวมอญ
          เดือนสามของชาวมอญในประเทศไทย มีประเพณีบุญส่งฟืน เรียก “จองโอะห์ต่าน”
 
          “จอง” แปลว่า เผา ส่วน “โอะห์” แปลว่า ฟืน “ต่าน” แปลว่า การบริจาคสิ่งที่ให้ซึ่งมีความหมายตรงกับภาษาบาลีว่า ทาน
 
          ประเพณีนี้ยังไม่มีชื่อแปลเป็นภาษาไทยได้ลงตัวตามต้องการ แต่ชาวบ้านหลายคนมักเรียกว่า บุญส่งฟืน หรือ บุญข้าวหลาม เพราะในงานบุญชาวบ้านมีส่งฟืนเผาข้าวหลาม ทำบุญเลี้ยงพระ




(ซ้าย) เผาข้าวหลาม โดยตั้งวางเรียกกระบอกข้าวหลามเป็นแถว
แล้วสุมไฟขนาบสองข้างจนกว่าข้าวเหนียวในกระบอกจะสุกทั่วกัน (ภาพจากห้องสมุดภาพมติชน)
(ขวา) บุญข้าวหลามเดือนสาม ยุคก่อนๆ ยังหนาวมากต้องอาศัยผิงไฟแก้หนาว
จากกองไฟเผาข้าวหลามในตอนเช้า ดังเห็นเด็กๆ ในภาพนี้ ที่ จ.กาฬสินธุ์
เมื่อ ๗ มกราคม ๒๕๕๕ (ภาพจากห้องสมุดภาพมติชน)


ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : มติชนสุดสัปดาห์ "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" บุญข้าวหลาม เดือน ๓  โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ประจำวันที่ ๑๑-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘
3325  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: วัฒนธรรมร่วมอาเซียน เมื่อ: 05 ธันวาคม 2558 16:25:05
วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน มหากาพย์

มหากาพย์
มหากาพย์ ๒ เรื่องจากอินเดีย คือ รามายณะกับมหาภารตะ แพร่หลายถึงอุษาคเนย์พร้อมการค้าและศาสนา

บางรัฐรับทั้งรามายณะและมหาภารตะ เช่น รัฐในอินโดนีเซีย, รัฐในกัมพูชา

แต่รัฐในไทยเลือกเฉพาะรามายณะ โดยรับผ่านรัฐกัมพูชา แล้วเรียกรามเกียรติ์



ขอมกัมพูชาสลักภาพรามายะณะ (รามเกียรติ์) บนปราสาทหิน ก่อนไทยสยามมีโขนเล่นรามเกียรติ์นับร้อยปี
(ซ้าย) รามายณะเป็นตอนๆ บนภาพสลักบนปราสาทบาปวน ในกัมพูชา ราวหลัง พ.ศ.๑๕๐๐
(ขวา) ทศกัณฐ์โยกเขาไกาลาส มีหน้ากากต่างๆ เป็นต้นแบบหน้ากากโขนสมัยหลังๆ
บนภาพสลักที่หน้าบันปราสาทบันทายสรี ในกัมพูชา ราวหลัง พ.ศ.๑๕๐๐

อินเดียใต้ถึงอุษาคเนย์
พ่อค้าอินเดียถึงไหน รามายณะกับมหาภารตะก็ถึงที่นั่น

อาเซียนโบราณรับมหากาพย์ ๒ เรื่อง จากพ่อค้าและนักบวชจากอินเดียภาคใต้ (ไทยเรียก ทมิฬ) โดยแพร่หลายไปกับการค้าทางทะเลเลียบชายฝั่ง และข้ามอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย

รามายณะที่เรียกรามเกียรติ์ในไทยและเพื่อนบ้าน จึงเป็นฉบับอินเดียใต้ ไม่ใช่ฉบับวาลมิกิโดยตรง

รามเกียรติ์
รามายณะเป็นการละเล่นในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาพราหมณ์ แรกมีเก่าสุด (เท่าที่พบหลักฐานขณะนี้) ในราชสำนักรัฐกัมพูชา ที่โตนเลสาบ (ทะเลสาบ) เมืองเสียมเรียบ เรียก ละโคนพระกรุณา

ต่อจากนั้น ราชสำนักกัมพูชาส่งแบบแผนการละเล่นรามายณะ ให้ราชสำนักขอม อโยธยา-ละโว้ (ยุคก่อนกรุงศรีอยุธยา) ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง

ราชสำนักไทยกรุงศรีอยุธยาสืบจากราชสำนักขอม อโยธยา-ละโว้ ก็สืบทอดการละเล่นรามายณะแบบขอมไว้ด้วย แต่ปรับเปลี่ยนเรียกรามายณะด้วยคำใหม่ว่ารามเกียรติ์ แล้วเรียกการละเล่นอย่างนี้ตามคำเขมรว่าละโขนละคอน ปัจจุบันคือ โขน, ละคร

เล่นหนังก่อนโขน
มีผู้รู้ประวัติศาสตร์ศิลป์อุษาคเนย์ อธิบายว่ารามายณะเล่นเป็นหนังก่อนอย่างอื่น [ชวาเรียกวาหยัง, เขมรเรียกแสฺบก (อ่านคล้าย สะ-แบก)]

แล้วหนังเป็นต้นแบบให้สลักภาพบนเทวสถาน เช่น ปราสาทหิน

พบภาพสลักเล่าเรื่องรามายณะเก่าสุดบนเทวาลัยปรัมบะนัม ในเกาะชวา สร้างหลัง พ.ศ.๑๔๐๐
 
โขนจากขอมกัมพูชา
ราชสำนักขอมกัมพูชา นับถือศาสนาพราหมณ์ มีการละเล่นแสฺบกธม (หนังใหญ่) เรื่องรามายณะ เป็นต้นแบบให้สลักภาพรามายณะบนปราสาทหิน ตั้งแต่ราวหลัง พ.ศ.๑๕๐๐

และสลักภาพกวนเกษียรสมุทรบนปราสาทนครวัด ราวหลัง พ.ศ.๑๖๐๐ (ยังไม่มีกลุ่มชนเรียกตัวเองว่าคนไทย) เหล่านี้เป็นต้นแบบโขนสมัยหลัง



โขนปัจจุบันของกรมศิลปากร เล่นผสมละคร ตกทอดจากโขนและละครยุคอยุธยา
[ภาพจากหนังสือลักษณะไทย ศิลปะการแสดง เล่ม ๓ จัดพิมพ์โดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) พ.ศ.๒๕๕๑]

พิธีกวนเกษียรสมุทรของราชสำนักขอมกัมพูชา เป็นต้นแบบให้ราชสำนักไทยสยามอยุธยา ที่นับถือศาสนาผี-พราหมณ์-พุทธ มีการละเล่นชักนาคดึกดำบรรพ์ ในพระราชพิธีอินทราภิเษก ซึ่งจะมีพัฒนาการเป็นโขนต่อไป

(ดึกดำบรรพ์ มีผู้รู้ภาษาเขมรบอกว่าเพี้ยนจากคำเขมรว่า ตึ๊ก แปลว่า น้ำ และ ตะบัล แปลว่า กวน หรือตำ รวมความแล้วหมายถึง กวนน้ำ หรือกวนเกษียรสมุทร)

ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา โขนเป็นเครื่องราชูปโภค หมายถึงพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงมีคณะโขนได้

คนเล่นโขนต้องเป็นผู้ดีมีเชื้อสายอยู่ในราชสำนัก เช่น มหาดเล็ก, ตำรวจ, ฯลฯ

โขนยุคแรกๆ เป็นการละเล่นกลางสนาม เล่นยกรบ มีแต่พากย์และเจรจา (ไม่มีร้อง) ในพิธีกรรมสำคัญที่สุดของราชอาณาจักร เช่น พระราชพิธีอินทราภิเษก ในรัชกาลหนึ่งอาจเล่นครั้งเดียวเท่านั้น และไม่เล่นเป็นมหรสพให้สามัญชนคนดูทั่วไปเหมือนปัจจุบัน

ละครเรื่องรามเกียรติ์เล่นทั้งกลางแจ้งและในโรง มีทั้งพากย์, เจรจา, และร้อง

 
ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : มติชนสุดสัปดาห์ "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" (๓๓) มหากาพย์ โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ  ประจำวันที่ ๑๔-๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๘



วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน ลอยกระทง มีครั้งแรก สมัย ร.๓

ลอยกระทงที่ทำสืบเนื่องถึงทุกวันนี้ เป็นประเพณีสร้างใหม่สมัย ร.๓ ยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์

แล้วสร้างคำอธิบายใหม่โดยอ้างอิงย้อนหลังถึงยุคสุโขทัย ๓ เรื่อง ดังนี้
๑.นางนพมาศ ริเริ่มประดิษฐ์กระทงทำจากใบตอง (กล้วย) ก่อนหน้านั้นไม่มี
๒.พระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย ทรงลอยกระทงครั้งแรก ก่อนหน้านั้นไม่มี
๓.ลอยกระทง เนื่องในศาสนาพุทธ เพื่ออุทิศบูชาพระพุทธบาทซึ่งประดิษฐานยัง นัมมทานที

แต่หลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีไม่สนับสนุนคำอธิบายทั้ง ๓ เรื่องนั้น [รายละเอียดมีในหนังสือ ไม่มีนางนพมาศ ไม่มีลอยกระทง สมัยสุโขทัย (สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ) สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๓๐] จะสรุปมาดังนี้
๑.นางนพมาศเป็นหนังสือมีนิยายแต่งใหม่สมัย ร.๓ เป็นคู่มือลูกสาวผู้ดีที่ถวายตัวเข้ารับราชการในวัง เป็นสนมนางบำเรอ
๒.ลอยกระทง สมัยกรุงเทพฯ สืบจากลอยโคมในน้ำไหล สมัยอยุธยา ซึ่งมีพัฒนาการจากพิธีกรรมขอขมาน้ำและดิน ยุคดึกดำบรรพ์
๓.ลอยกระทง มีรากเหง้าเนื่องในศาสนาผี

ขอขมาธรรมชาติในศาสนาผี
ลอยกระทง เป็นประเพณีประจำฤดูกาลสืบเนื่องจากพิธีกรรมในศาสนาผี เพื่อขอขมาเจ้าแม่ที่สิงอยู่ในน้ำและดิน (ก็คือขอขมาธรรมชาติ) ปีละครั้ง

เหตุที่ต้องขอขมาก็เพราะคนเราได้ล่วงเกินและดื่มกินข้าวปลาอาหารเลี้ยงชีวิตตลอดปีจากน้ำและดิน

เจ้าแม่ คือ ผีน้ำ ผีดิน ที่สิงอยู่ในน้ำและดิน บางทีเรียกว่าผีเชื้อ แต่คนบางกลุ่มออกเสียงเป็นผีเสื้อ (คำว่าเชื้อ ออกเสียงเป็น เสื้อ)

มีร่องรอยอยู่ในคำสอนของพวกไทดำ (ในเวียดนาม) ว่า “กินข้าวอย่าลืมเสื้อนา กินปลาอย่าลืมเสือน้ำ”

“กินข้าว อย่าลืมเสื้อนา” หมายความว่าเมื่อกินข้าวอย่าลืมผีเจ้าแม่ที่สิงอยู่ในท้องนา ซึ่งปลูกข้าวเติบโตออกรวงมีเมล็ดให้คนกิน

“กินปลา อย่าลืมเสื้อน้ำ” หมายความว่าเมื่อกินปลาก็อย่าลืมผีเจ้าแม่ที่สิงอยู่ในน้ำ
 
กัมพูชามีนานแล้ว
พิธีกรรมขอขมาธรรมชาติในศาสนาผี มีในราชสำนักกัมพูชามาก่อนนานแล้ว ก่อนยุคสุโขทัย

หลักฐานอยู่ในภาพสลักปราสาทบายน ราว พ.ศ.๑๗๕๐ เป็นรูปเจ้านาย, ขุนนาง, และนางใน ฯลฯ ลงเรือทำพิธีกรรมขอขมา มีภาชนะอย่างหนึ่งคล้ายกระทงบรรจุเครื่องเซ่น

ฤดูกาล
ลอยกระทง เป็นประเพณีคาบเกี่ยวระหว่างเดือน ๑๒ (สิ้นฤดูกาลเก่า) กับเดือนอ้าย (ขึ้นฤดูกาลใหม่)

ดังนั้น ลอยกระทงจะว่าเป็นประเพณีสิ้นฤดูกาลเก่าก็ได้ หรือจะว่าขึ้นฤดูกาลใหม่ก็ได้ เพราะเปลี่ยนปีนักษัตร (ชวด, ฉลู, ขาล, เถาะ ฯลฯ) ในช่วงเวลานี้

จะเทียบว่าปีเก่า, ปีใหม่ ก็ได้ แต่ไม่ควรยึดถือจริงจังว่าปีเก่า, ปีใหม่ เพราะเป็นคำในวัฒนธรรมสังคมสมัยใหม่ตามแบบแผนตะวันตก ซึ่งไม่มีในสังคมตะวันออกยุคก่อนๆ

ฤดูกาลเก่ากับฤดูกาลใหม่ ไม่แบ่งเป็นเส้นตรงตายตัวเหมือนขีดด้วยไม้บรรทัด

แต่เป็นที่รับรู้จากความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของน้ำ ตั้งแต่เดือนสิบเอ็ด เดือนสิบสอง ต่อเนื่องถึงเดือนอ้าย เดือนยี่ (เดือนที่หนึ่ง เดือนที่สอง) ดังมีกลอนเพลงของชาวบ้านดั้งเดิมร้องเล่นทั่วไปว่า
     เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง     เดือนสิบสองน้ำทรง
     เดือนอ้ายเดือนยี่        น้ำก็รี่ไหลลง



พิธีกรรมขอขมาธรรมชาติ เจ้าแม่ของน้ำและดิน เป็นแบบแผนศักดิ์สิทธิ์
มีในราชสำนักกัมพูชา ตั้งแต่ก่อน พ.ศ.๑๗๕๐ หรือก่อนยุคสุโขทัย
ลายเส้นจำลองจากภาพสลักที่ปราสาทบายน (ฝีมือ ธัชชัย ยอดพิชัย)


ภาพสลักขอขมาธรรมชาติ บนผนังระเบียงด้านนอก บริเวณมุมผนังด้านทิศใต้
มุมตะวันออกของปราสาทบายน (ถ่ายภาพโดย วรรณิภา สุเนต์ตา)


สมุดไทยดำเรื่องนางนพมาศ ฉบับเจ้าพระยารัตนบดินทร์ มอบให้หอพระสมุดวชิรญาณ
ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ รับสั่งว่าเป็นลายพระหัตถ์ ร.๓

ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : มติชนสุดสัปดาห์ "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" ลอยกระทง มีครั้งแรก สมัย ร.๓ โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ  ประจำวันที่ ๘-๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๘



วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน เดือนอ้าย ขึ้นฤดูกาลใหม่ (ขึ้นปีใหม่สุวรรณภูมิ)

เดือนอ้าย ราวหลังกลางเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นช่วงขึ้นฤดูกาลใหม่ เทียบปัจจุบันคือขึ้นปีใหม่ของชุมชนดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิในอุษาคเนย์

[สงกรานต์ อยู่ในเดือนห้าทางจันทรคติ เป็นช่วงเปลี่ยนราศีตามปฏิทินสุริยคติ จากราศีมีนสู่ราศีเมษ (ถือเป็นมหาสงกรานต์) เทียบสากลเป็นขึ้นปีใหม่ของอินเดีย แต่ไทยและเพื่อนบ้านรับสงกรานต์จากอินเดีย แล้วต่างเหมาเป็นขึ้นปีใหม่ของตน]

เดือนอ้าย
เดือนอ้าย แปลว่า เดือนที่หนึ่ง หรือเดือนแรกของ ๑๒ เดือน (ใน ๑ ปี) ตามปฏิทินจันทรคติ

หมายถึงเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ เริ่มปีนักษัตรใหม่ ตั้งแต่ลอยกระทง เดือน ๑๒ (เมื่อเทียบปฏิทินสากลทางสุริยคติ จะอยู่ราวหลังกลางเดือนพฤศจิกายน ต่อเนื่องถึงเดือนธันวาคม)

ปีนักษัตร ได้แก่ ชวด, ฉลู, ขาล, เถาะ ฯลฯ มีรูปประจำปีเป็นสัตว์ต่างๆ เช่น ชวด หนู, ฉลู วัว, ขาล เสือ, เถาะ กระต่าย ฯลฯ

เป็นวัฒนธรรมจากตะวันออกกลาง (ไม่มีในอินเดีย) เช่น อิหร่าน (เปอร์เซีย) ผ่านไปทางจีน เข้าสู่อุษาคเนย์ ถึงไทย

อ้าย
อ้าย ในภาษาไทยแปลว่าหนึ่ง เป็นคำเรียกลำดับและนับจำนวนที่เป็นเพศชาย

ในภาษาไทยมีใช้ต่างกันเมื่อเรียกลูกสาวกับลูกชาย เรียงลำดับลูกสาวว่า เอื้อย อี่ อ่าม ไอ อัว อก เอก แอก เอา อัง ฯลฯ ลูกชายว่า อ้าย ญี่ สาม ไส งัว ลก เจด แปด เจ้า จ๋ง ฯลฯ

[คำว่า อ้าย แผลงเป็น ไอ้ เช่น ไอ้เบิ้ม, ไอ้ห่า ฯลฯ คำว่า อี่ แผลงเป็น อี เช่น อีบัว, อีดอกทอง ฯลฯ]

เดือน
เป็นคำเรียกดวงจันทร์ ที่ทำให้มีน้ำขึ้น-น้ำลง หล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ธัญญาหาร

ดวงจันทร์เห็นได้ชัดตอนกลางคืน เรียกว่าค่ำ มีความเปลี่ยนแปลงเรียกเดือนขึ้น (หรือข้างขึ้น) สลับกับเดือนแรม (หรือข้างแรม) รวมกันได้ราว ๓๐ วันบางครั้ง ๓๑ วัน คนเราเลยยอมรับเรียกชื่อเวลาทั้งหมดว่าเดือนหนึ่ง หรือหนึ่งเดือน
คำว่าเดือนจึงหมายถึงระยะเวลา ๓๐-๓๑ วันตามจันทรคติ (แปลว่า คติที่มีดวงจันทร์เป็นแกนกลาง)

ปี หมายถึง ช่วงเวลาที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ครั้งหนึ่งประมาณ ๓๖๕ วัน แบ่งเป็น ๑๒ เดือน

คนแต่ก่อนไม่เรียกปี แต่เรียกเข้า (ที่ปัจจุบันเสียงเป็นข้าว) ตามการเพาะปลูกทางกสิกรรม ทำนาปลูกข้าวแล้วได้ข้าวปีละครั้ง



ช่วงเดือนอ้าย ในทุ่งนาลุ่มน้ำเจ้าพระยา สมัย ร.๕
เม็ดข้าวเริ่มสุกเหลืองเต็มรวงรอเวลาเก็บเกี่ยว (ภาพจาก หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)

ภาคเหนือเร็วกว่าภาคกลาง
เดือนอ้ายของล้านนาอยู่ทางเหนือ เริ่มก่อนภาคกลาง ๒ เดือน (ขณะนั้นภาคกลางยังเป็นเดือน ๑๑)

เมื่อภาคกลางถึงเดือน ๑๒ มีลอยกระทง แต่ทางภาคเหนือเป็นเดือนยี่ (เดือน ๒) แล้ว จึงเรียกคืนวันเพ็ญลอยกระทงว่ายี่เป็ง (เป็ง คือ เพ็ญ)

เหตุที่ภาคเหนือเรียกประเพณีลอยกระทงว่ายี่เป็ง ก็เพราะรับพิธีลอยกระทงขึ้นไปจากภาคกลาง (ที่มีในกลางเดือน ๑๒) เลยต้องปรับกำหนดให้ตรงกับภาคกลางด้วย

แต่ขณะนั้นภาคเหนือเป็นเดือนยี่แล้ว จึงเรียกลอยกระทงว่ายี่เป็ง หมายถึง เพ็ญเดือนสอง (ไม่ใช่เพ็ญเดือนสิบสอง)

พอภาคกลางเริ่มปีใหม่เดือนอ้าย ทางภาคเหนือก็เข้าเดือนสามแล้ว

มีเหตุจากประเทศไทยมีพื้นที่เป็นรูปยาวตั้งแต่เหนือลงใต้ ทำให้แต่ละพื้นที่รับมรสุมไม่พร้อมกันจากมหาสมุทร

ภาคเหนือรับมรสุมก่อนภาคกลางและภาคใต้ ฝนจึงตกทางภาคเหนือแล้วเริ่มฤดูทำนาก่อนภาคกลางและภาคใต้

เป็นเหตุให้ข้าวทางภาคเหนือออกรวงสุกเต็มที่ ต้องเก็บเกี่ยวก่อนภาคกลางและภาคใต้ โดยเฉลี่ยราว ๖๐ วัน หรือ ๒ เดือน
 
 
ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : มติชนสุดสัปดาห์ "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" เดือนอ้าย ขึ้นฤดูกาลใหม่ (ขึ้นปีใหม่สุวรรณภูมิ)  โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ประจำวันที่ ๑๖-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘



วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน วิงวอนเจ้าแม่ ให้น้ำลด เดือนอ้าย

เพื่อบันดาลให้น้ำลดลงเร็วๆ ชาวนาต้องมีพิธีอ้อนวอนวิงวอนร้องขอต่อเจ้าแม่ผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ (หมายถึงผีที่สิงอยู่ในน้ำและดิน) เช่น ไหลเรือ (หรือส่วงเฮือ), ชักว่าวขอลม ฯลฯ อาจมีอย่างอื่นอีก แต่ยังไม่พบหลักฐาน หรือร่องรอยพิธีกรรม

เหตุเพราะเป็นช่วงเปลี่ยนฤดูกาล หลังน้ำขึ้นสูงสุดช่วงพระจันทร์วันเพ็ญ กลางเดือน ๑๒ (เฉลี่ยราวกลางพฤศจิกายน) พูดอีกอย่างก็ได้ว่าสิ้นสุดปีนักษัตรเก่า ขึ้นปีนักษัตรใหม่ เรียกเดือนอ้าย (เดือน ๑)

นับแต่นี้ไป ข้าวเต็มรวงในนามีเมล็ดข้าวค่อยๆ แก่เต็มที่จนสุกเต็มรวง พร้อมให้เก็บเกี่ยว

ขณะนั้นระดับน้ำสูงมากในท้องที่ภาคกลาง น้ำต้องค่อยๆลดลงจนแห้งหายจากท้องนา เพื่อชาวนาเข้าเก็บเกี่ยวข้าวในนา

ถ้าน้ำไม่ลด หรือลดช้า ชาวนาเข้าเก็บเกี่ยวไม่ได้ เมื่อปล่อยจมน้ำไว้นานข้าวก็เน่าน้ำ อาจไม่มีข้าวกินในปีนั้น
 
ไหลเรือ
ไหลเรือ คำลาวเรียก ส่วงเฮือ หมายถึงแข่งเรือเพื่อเบิกทางผลักดันให้น้ำไหลลดเร็วๆ ของชุมชนบริเวณลุ่มน้ำโขง

ส่วง แปลว่า แข่ง เช่น แข่งเรือ, หลีกไป, หลบไป เช่น ไล่สัตว์ป่าให้หลีกหรือหลบไปทางใดทางหนึ่ง [สรุปจาก สารานุกรมภาษาอีสานฯ โดย ปรีชา พิณทอง พ.ศ.๒๕๓๒ หน้า ๗๕๔]
 
ไล่เรือ
ไล่เรือของชุมชนบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีความหมายอย่างเดียวกับไล่น้ำ เป็นพิธีกรรมอย่างเดียวกับไหลเรือ หรือส่วงเฮือ ทางลุ่มน้ำโขง

น่าเชื่อว่าไหลเป็นคำทางลุ่มน้ำโขง เมื่อเคลื่อนลงไปลุ่มน้ำเจ้าพระยาเรียกว่า ไล่

ยุคต้นอยุธยาราวเรือน พ.ศ.๒๐๐๐ มีในกฎมณเฑียรบาลว่า พระราชพิธีไล่เรือ แล้วมีในโคลงทวาทศมาสว่า ไล่ชล แปลว่า ไล่น้ำ

พระราชพิธี
พระราชาของบ้านเมืองต่างๆ บนสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ ต้องทำพิธีกรรมตามประเพณี ๑๒ เดือน ของราษฎร

ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจของราษฎรในการทำมาหากิน ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ว่าอยู่รอดปลอดภัยจากการกระทำของผี ผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ

พิธีกรรมประจำเดือนในรอบปีที่พระราชาทำขึ้นนี้ มีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า พระราชพิธี ๑๒ เดือน ปรับปรุงจากประเพณี ๑๒ เดือนของราษฎร โดยเพิ่มพิธีพราหมณ์กับพุทธเคลือบไว้ ไม่ขัดกับผี

ถ้าพระราชาละเว้นไม่ทำตามประเพณี ย่อมมีอันเป็นไป ไม่สงบสุข แล้วมักเกิดปัญหาเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในราชสำนัก

พิธีไล่เรือ ทำที่บางขดาน
พิธีไล่เรือทำที่ตำบลบางขดาน มีบอกไว้ในโคลงทวาทศมาส

บางขดาน มีเอกสารเก่าระบุว่าอยู่ใต้ขนอนหลวงวัดโปรดสัตว์ (บ้านขนอนหลวง ต. ขนอนหลวง อ. บางปะอิน จ. พระนครศรีอยุธยา)
เพราะบริเวณนี้เป็น “ดินสะดือ” (ในกำสรวลสมุทรเขียนว่า “จากมามาแกล่ใกล้ บางขดาน”, “ขดานราบคือขดานดือ ดอกไม้”) หมายถึงมีน้ำวนเป็นเกลียวลึกลงไป ถือเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำ เป็นทางลงบาดาลของนาค

ต้องทำพิธีกรรมเห่กล่อมอ้อนวอนวิงวอนร้องขอต่อผี คือนาคที่บันดาลให้มีน้ำ โปรดรับน้ำคืนลงบาดาล จะได้น้ำลดเร็วๆ

 

พิธีไหลเรือ หรือส่วงเฮือในแม่น้ำโขง ลายเส้นฝีมือช่างในคณะสำรวจชาวยุโรป
ที่เดินทางเข้ามาสำรวจแม่น้ำโขง ระหว่าง พ.ศ.๒๔๐๙-๒๔๑๑ เมื่อปลายแผ่นดิน ร.๔ ถึงต้นแผ่นดิน ร.๕
(ภาพจาก A Pictorial Journey on the Old Mekong Cambodia, Laos and Yunnan.
Louis Delaporte and Francis Garnier. White Lotus, 1998
.)

เห่เรือ
เห่เรือ ถ้าจะมีก็มีในพิธีไล่เรือตอนเห่กล่อมที่บางขดาน เพื่ออ้อนวอนวิงวอนร้องขอเจ้าแม่แห่งน้ำบันดาลให้น้ำลดเร็วๆ

พบร่องรอยในโคลงทวาทศมาสว่า “ดลฤดูสั่งล้ำ ไล่ชล” ที่ว่า“สั่งล้ำ ไล่ชล” มีนัยยะถึงสถานการณ์ดังกล่าวโดยตรง คือเห่กล่อมขณะเรือจอดอยู่กลางน้ำ ตรงบริเวณที่เรียกดินสะดือ ดังนี้
     ๏ ชลธีปละปลั่งค้าง  ทางสินธุ์
     นาเวศนาวาวาง     วาดน้ำ
     ตกบางขดานดิน    สดือแม่
     ดลฤดูสั่งล้ำ         ไล่ชล ฯ

เห่หมายถึงทำนองขับลำนำเพื่อวิงวอนร้องขอ หรือทำให้เพลินใจแล้วเคลิบเคลิ้มถึงหลับไปก็ได้

บางทีก็ใช้ควบคู่กับกล่อม เช่น เห่กล่อมพระบรรทมถวายเจ้านายเมื่อจะบรรทม

กล่อม หมายถึงร้องเป็นทำนองเพื่อเล้าโลมใจ เช่น กล่อมเด็ก คือร้องลำนำกล่อมให้เด็กเพลินจนนอนหลับ, กล่อมหอ ขับร้องหรือเล่นดนตรีบนเรือนหอเพื่อให้รื่นเริงในพิธีแต่งงาน ฯลฯ

[ในพิธีพราหมณ์สยาม มีพิธีกล่อมหงส์ เป็นทำนองอย่างหนึ่งเรียกช้าเจ้าหงส์ คือเอาเทวดาลงเปลแล้วไกวพร้อมกล่อมเจ้าหงส์ เป็นต้น]

ในกฎมณเฑียรบาลยุคต้นอยุธยาไม่มีกล่าวถึงเห่เรือ

เห่เรือ ทุกวันนี้หมายถึงขับลำนำเป็นทำนองอย่างหนึ่งในกระบวนเรือพระราชพิธี พยุหยาตราทางชลมารค มีต้นเสียงเห่นำ แล้วมีลูกคู่เห่ตาม เป็นประเพณีที่เพิ่งสร้างใหม่ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์

พบร่องรอยเก่าสุดโดยไม่ให้ความสำคัญนักเมื่อเทียบอย่างอื่นในพระราชพิธีลอยพระประทีป (ลอยกระทง) สมัย ร.๔ ว่า “เรือพระที่นั่งนั้นพายร้องเห่ล่องลงไปตามลำน้ำ” [พระราชพิธีเดือนสิบสอง ในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ ร.๕]

แต่ไม่มีบอก “ร้องเห่” ว่าร้องอะไร? อย่างไร?

จนสมัย ร.๕ จึงพบเห่เรือในงานสร้างสรรค์เพลงดนตรีและละครของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ แล้วถือเป็นแบบแผนสืบเนื่องจนปัจจุบัน
 
ฟันน้ำ
ฟันน้ำเป็นพระราชพิธีที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จลงประทับเรือพระที่นั่งไปกลางแม่น้ำ แล้วทรงใช้พระแสงฟันลงไปในน้ำ (หวังให้น้ำขาดจากกัน) เพื่อให้น้ำลดโดยเร็ว

มีคำบอกเล่าลักษณะตำนานและนิทานจดไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในคำให้การขุนหลวงหาวัดว่าพระนารายณ์ทรงมีบุญญาภินิหารและอิทธิฤทธิ์มาก “วันหนึ่งเสด็จทรงเรือพระที่นั่งเอกชัยในเวลาน้ำขึ้น รับสั่งว่าให้น้ำลด แล้วทรงพระแสงฟันลงไป น้ำก็ลดลงตามพระราชประสงค์”

สมเด็จพระนารายณ์ “เสด็จไปประกอบพระราชพิธีฟันน้ำเพื่อมิให้น้ำท่วมมากขึ้น” มีบอกไว้ในบันทึกของนิโคลาส แชร์แวส ชาวฝรั่งเศส

พิธีกรรมฟันน้ำนี้มิได้แสดงความอ่อนน้อมวิงวอนร้องขอแต่เพียงด้านเดียว แต่ยังแฝงไว้ด้วยลักษณะ “แกมบังคับ” หรือ “บงการ” อย่างแข็งกร้าว

พิธีไม่ประจำ
พิธีไล่เรือ ไล่น้ำ และฟันน้ำ มิได้ทำทุกปี และมิได้มีกำหนดเวลาแน่นอน หากขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และความตกลงของชุมชนว่าพร้อมจะมีเมื่อไร?

ถ้าปีไหนน้ำไม่ท่วมนานก็ไม่ต้องทำพิธี ต่อปีไหนมีน้ำมากเกินไปแล้วท่วมนานจึงทำ เรียกว่าเป็นพิธีจร เพราะไม่ได้ทำประจำ

แต่ปัจจุบันทำประจำเพื่อรายได้จากการท่องเที่ยว

 
ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : มติชนสุดสัปดาห์ "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" วิงวอนเจ้าแม่ ให้น้ำลด เดือนอ้าย  โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ประจำวันที่ ๒๓-๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘



วัฒนธรรมร่วมอาเซียน
ตอน ประเพณี ๑๒ เดือนนาฏกรรมแห่งรัฐ

พระราชาไม่มีอำนาจจริง จึงต้องอ้างอิงพิธีกรรมตามประเพณี ๑๒ เดือนของประชาชน ที่คนทั้งหลายในชุมชนท้องถิ่นทำมาก่อนแล้วนับพันๆ ปี กับรับแบบแผนจากต่างประเทศมาประสมประสานให้ดูศักดิ์สิทธิ์ขึ้น แล้วเรียกพระราชพิธี ๑๒ เดือน

ในพิธีกรรม พระราชาต้องแสดงพระองค์เป็นแถน หรือเทพผู้มีอำนาจบงการ เหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม (ทางการเมืองภายใน)

ขณะเดียวกันฝ่ายตรงข้ามก็คอยจับผิดแล้วขยายผลความผิดพลาด เช่น ฟ้าฝนไม่ตกต้องฤดูกาล เพราะพระราชาประพฤติปฏิบัติผิดจารีตผิดทำนองคลองธรรม
 
รัฐนาฏกรรม
รัฐนาฏกรรม (หรือรัฐละคร) มีพระราชาและเจ้านายเป็นผู้สร้างและผู้แสดง โดยมีนักบวช เช่น พราหมณ์, พระสงฆ์ เป็นผู้กำกับ ส่วนราษฎรเป็นตัวประกอบและผู้ดู

พิธีกรรมเหล่านี้ต้องลงทุนสูงอันเป็นหน้าที่ของรัฐต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ แสดงว่าอำนาจรับใช้นาฏกรรมที่โอ่อ่า ไม่ใช่นาฏกรรมโอ่อ่ารับใช้อำนาจ

[สรุปและดัดแปลงจากหนังสือ วัฒนธรรมคือความหมาย ทฤษฎี และวิธีการของ คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ โดย อคิน รพีพัฒน์ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.๒๕๕๑ หน้า ๑๘๘]



กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค และเรือพระราชพิธีสมัยสมเด็จพระนารายณ์
[ลายเส้นฝีมือชาวยุโรป พิมพ์ครั้งแรก เมื่อ ค.ศ.๑๖๘๘ (พ.ศ.๒๒๓๑)]


กระบวนพยุหยาตราพระกฐินทางสถลมารค สมัยสมเด็จพระนารายณ์
สมุดภาพริ้วกระบวนฯ ฉบับนี้ พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์)
ให้ช่างคัดจำลองภาพเขียนที่ผนังอุโบสถวัดยม เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๐
วัดยม อยุธยา เป็นวัดเก่าแก่สมัยสมเด็จพระนารายณ์
ภาพต้นฉบับที่ฝาผนังอุโบสถวัดยมเลือนหายไปมาก จึงคัดลอกมาได้เพียงบางส่วน
โดยไม่อาจประมวลภาพรวมทั้งหมดของริ้วกระบวน
(ภาพจาก “กระบวนพยุหยาตรา : ประวัติและพระราชพิธี” กรมศิลปากร จัดพิมพ์ พ.ศ.๒๕๔๓)

นาฏกรรมคืออำนาจ
นาฏกรรมเข้ามาแทนที่อำนาจที่เป็นจริง นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบาย (มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ ๑-๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ หน้า ๓๐) จะสรุปย่อมาดังต่อไปนี้

พระราชาของรัฐโบราณในอุษาคเนย์ ไม่มีอำนาจมากล้นจริงจัง เพราะข้าราชบริพารที่ปฏิบัติราชการตามพระราชโองการ มักเป็นลูกท่านหลานเธอ หรือผู้มาจากตระกูลที่มีอำนาจในตัวเองที่พระราชาต้องประนีประนอมด้วย

ดังนั้น ระบบราชการจึงเป็นหอกข้างแคร่ของพระราชาเสมอ ไม่มีก็ไม่ได้ เมื่อมีก็ต้องระวังตัวทุกฝีก้าว

สรุปว่า พระราชาไม่มีเครื่องมือแห่งอำนาจของรัฐอย่างที่จะทำให้พระองค์มีอำนาจจริงๆ สักอย่าง

อำนาจจึงต้องตั้งอยู่บนการแสดง หรือเป็นอำนาจเชิงสัญลักษณ์

หนึ่งในการแสดงที่สำคัญคือพระราชพิธีต่างๆ ซึ่งรัฐต้องทำให้ได้ชมกันเป็นประจำเกือบทุกเดือน (ดังมีในกฎมณเฑียรบาล)

ขบวนแห่ เป็นสิ่งหนึ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ในพระราชพิธีต่างๆ

ภาพเขียนฝาผนังในพระอุโบสถวัดพระแก้ว คือภาพขบวนเสด็จพยุหยาตราทางชลมารคและสถลมารค เหมือนหนึ่งเป็นตำรา (แปลว่าที่ “ตรา” เอาไว้) สำหรับเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องตลอดไป

ขบวนแห่เป็น “ละคร” หรือนาฏกรรมที่ให้สารสำคัญบางอย่าง จึงต้องเคร่งครัดกับแบบธรรมเนียม สารที่ว่านั้นมีดังต่อไปนี้
๑.ความมั่งคั่งหรูหราอุดมสมบูรณ์ เพราะทุกคนแต่ง “เต็มยศ” แม้แต่ไพร่เลวที่ถูกเกณฑ์เข้าขบวนก็ยังสวมเสื้อสีต่างๆ อันเป็นหน้าที่ของคลังศุภรัตน์ต้องจัดหาให้
๒.สถานภาพอันสูงสุดของพระราชา หรือบุคคลที่พระราชามอบหมายให้ทำหน้าที่แทน หรือพระโกศ พระราชยานที่ประทับตั้งอยู่กึ่งกลางขบวนค่อนไปข้างหน้า แวดล้อมด้วยไพร่พลหน้าหลัง มีเครื่องยศนับตั้งแต่บังสูรย์และอื่นๆ ล้อมหน้าหลัง
๓.การแสดงช่วงชั้นทางสังคม ขุนน้ำขุนนางหรือแม้แต่พระบรมวงศานุวงศ์ จะเดินในขบวนแห่ตรงไหน ใกล้ไกลจากพระราชาเท่าไร ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คิดเอาเอง หรือแทรกลงไปในที่ว่างตามใจชอบ แต่ต้องจัดขึ้นให้ตรงกับสถานภาพที่แท้จริงของแต่ละคน

สารของ “ละคร” ตรงนี้ ช่วยตอกย้ำระเบียบทางสังคมของรัฐโบราณเหล่านี้ คือความไม่เสมอภาคเป็นระเบียบที่ขาดไม่ได้ในสังคมที่สงบสุข

อาจท้วงว่าในเมืองไทยโบราณเขาห้ามประชาชนเงยหน้าขึ้นดูพระราชา ต้องหมอบก้มหน้าอยู่กับพื้นเท่านั้น “ละคร” จึงแสดงโดยไม่มีคนดู และไม่มีผลในทางสังคมและการเมืองอย่างไร

ประชาชนผู้หมอบก้มหน้าบนหนทางเสด็จพระราชดำเนินนั้น เป็นฉาก “ละคร” ที่ขาดไม่ได้ของขบวนแห่ เมื่อพระราชยานที่ประทับผ่านไปแล้ว ก็ย่อมเงยหน้าขึ้นชมขบวนแห่ได้ และหลังรัชกาลที่ ๔ ก็ไม่ได้ห้ามชมพระบารมีอีกแล้ว

สรุปก็คือนาฏกรรมเข้ามาแทนที่อำนาจที่เป็นจริง
 
 
ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : มติชนสุดสัปดาห์ "วัฒนธรรมร่วมอาเซียน" ประเพณี ๑๒ เดือนนาฏกรรมแห่งรัฐ โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ประจำวันที่ ๑๓-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

3326  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: 'ผู้สละโลก' นวนิยายอิงประวัติพุทธสาวก โดย วศิน อินทสระ เมื่อ: 04 ธันวาคม 2558 19:12:51
.


       ผู้สละโลก
       เรื่อง พระสารีบุตร
       ๗ ปุพเพปณิธาน

ภิกษุทั้งหลายทูลถามถึงบุพพกรรมของพระอัครสาวกทั้งสองว่า มีปณิธานมาอย่างไร พระศาสดาได้ตรัสเล่าว่า

ในสมัยแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี อันเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ พระสารีบุตรเกิดในสกุลพราหมณ์มหาศาล มีนามว่า สรทมานพ ส่วนพระโมคคัลลานะเกิดในสกุลคหบดีมหาศาล มีนามว่า สิริวัฒกุฎุมพี ท่านทั้งสองเป็นสหายรักกัน

วันหนึ่ง สรทมานพอยู่ในที่เงียบสงัด ไตร่ตรองเรื่องของชีวิต เกิดความคิดขึ้นว่า “เราสามารถรู้เรื่องของชีวิต และอัตตภาพในโลกนี้เท่านั้น แต่มืดมนต่อปัญหาชีวิตและอัตตภาพในโลกหน้าเหลือเกิน สัตว์ผู้เกิดแล้วจะไม่ตายนั้นไม่มี เราจักต้องตายแน่แท้ ชีวิตในโลกหน้าของเราจักเป็นอย่างไรหนอ?”

เพื่อตอบปัญหาชีวิตนี้ให้ได้ สรทมานพต้องการออกบวชแสวงหาโมกขธรรม จึงไปชวนสิริวัฒกุฎุมพีผู้สหาย แต่สิริวัฒไม่พร้อมจะทำได้ จึงปฏิเสธ สรทมานพคิดว่า “ผู้ไปสู่ปรโลก คือโลกหน้าจะชวนสหายหรือญาติมิตรไปด้วยไม่ได้ โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของๆ ตน บุคคลต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป กรรมดีกรรมชั่วที่เราทำนั่นแหละเป็นของเรา และจะติดตามเราไปในโลกหน้า” คิดดังนี้แล้ว จึงบริจาคทรัพย์เท่าที่มีเป็นทานแล้วออกบวชเป็นชฏิล มีผู้ออกบวชตามเป็นอันมาก

สรทดาบสทำ กสิณบริกรรม จนได้อภิญญา ๕ และมาสมาบัติ ๘  ชฎิลบริวารก็ได้คุณสมบัติเช่นนั้นเหมือนกัน

เช้าวันหนึ่ง พระอโมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติ หรือพระมหากรุณาสมบัติ ทรงพิจารณาอุปนิสัยแห่งสัตว์โลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งสรทดาบสพร้อมด้วยบริวารว่า สรทดาบสอาศัยพระองค์แล้วจักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวก ดังนี้แล้วเสด็จไปยังสำนักของสรทดาบส เสด็จไปทางอากาศ ทรงอธิษฐานพระทัยว่าขอให้สรทดาบสรู้ความที่พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อสรทดาบสเห็นอยู่นั่นเองเสด็จลงจากอากาศประทับยืนบนภาคพื้น

สรทดาบสเห็นอานุภาพแห่งอาคันตุกะ และเพ่งพินิจสง่าราศีแห่งพระพุทธสรีระแล้วระลึกถึงวิชาดูลักษณะคนที่ตนช่ำชองอย่างดี ก็ได้ทราบด้วยปัญญาญาณว่า อาคันตุกะผู้นี้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ถอดถอนกิเลสทั้งปวงออกจากจิตได้แล้วจึงถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ จัดอาสนะถวาย ตนเองนั่งบนอาสนะที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้น้อยกว่า

ขณะนั้นชฏิลบริวารของสรทดาบสจำนวนมาก กลับจากหาผลาผลได้เห็นอาจารย์ของตนนั่งแสดงความเคารพอาคันตุกะผู้หนึ่งอยู่เกิดความประหลาดใจ จึงกล่าวว่าพวกเราเข้าใจว่า ในโลกนี้ผู้ที่เป็นใหญ่กว่าอาจารย์ไม่มี บุรุษผู้นี้เป็นใหญ่กว่าอาจารย์หรือ?

สรทดาบสตอบว่า “ท่านทั้งหลายอย่านำเม็ดทรายไปเทียบภูเขาสิเนรุราชเลย เราเป็นเสมือนเม็ดทราย ส่วนท่านผู้นี้เป็นเสมือนสิเนรุราชบรรพต พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า”

บริวารของสรทดาบสแน่ใจว่า อาคันตุกะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แท้จริง มิฉะนั้นแล้ว ไฉนเล่าอาจารย์ของพวกตนจึงแสดงอาการกายและวาจาเช่นนั้น จึงพร้อมพันหมอบลงแสดงความเคารพ

สรทดาบสล้างมืออย่างดีแล้วนำเอาผลไม้ที่มีรสดีวางลงในบาตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่พระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้ากำลังทรงทำภัตตกิจ ท่ามกลางการแวดล้อมของชฎิลบริวารของสรทดาบส และทรงปราศรัยอยู่กับสรทดาบสนั่นเอง ทรงดำริว่า “ขอให้อัครสาวกของเราพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จงมา”

พระอัครสาวกทั้งสองทราบพระดำริของพระศาสดาด้วยโทรจิต แล้วรีบมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวาร ยืนถวายบังคมอยู่ ณ ที่อันสมควรด้านหนึ่ง

สรทดาบสสั่งให้ชฏิลบริวารผู้ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ไปนำดอกไม้จากป่าใหญ่มาทำอาสนะดอกไม้ถวายพระพุทธเจ้า พระอัครสาวกและภิกษุสงฆ์ทั้งมวลทำอาสนะดอกไม้สำเร็จโดยรวดเร็ว ด้วยอำนาจฤทธิ์ของผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย

ภราดา! วิสัยสามารถแห่งเด็กเล็กกับวิสัยสามารถแห่งผู้ใหญ่ผู้สมบูรณ์ด้วยกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังความรู้ และกำลังปัญญา ย่อมแตกต่างกันมากฉันใด วิสัยสามารถแห่งสามัญชนกับท่านผู้สำเร็จแล้วทางอภิญญาสมาบัติก็แตกต่างกันมากฉันนั้น ท่านจึงเตือนไว้ว่าสามัญชนไม่ควรคิดมากในเรื่องต่อไปนี้คือ
๑.วิสัยสามารถของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พุทธวิสัย)
๒.วิสัยสามารถแห่งผู้ได้ฌานสมาบัติ (ญาณวิสัย)
๓.วิสัยแห่งกรรมและผลของกรรม (กัมมวิปากวิสัย)
๔.ความคิดถึงความเป็นมาของโลก (โลกจินตา)

ท่านว่าเรื่องทั้ง ๔ นี้เป็น อจินไตย ใครคิดมากต้องการรู้ด้วยเหตุผล อาจเป็นบ้าได้

ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น? คำตอบก็คือว่า บางอย่างเรารู้ได้ด้วย ประสาทสัมผัส๗ ธรรมดาเช่น รูปที่หยาบรู้ด้วยตาเนื้อ เสียงที่หยาบรู้ด้วยหูเนื้อ สัมผัสที่หยาบรู้ด้วยกายเนื้อเป็นต้น, บางอย่างเรารู้ได้ด้วยเหตุผล เช่น ความผิด ความถูก ความดี ความชั่ว เป็นต้น, แต่บางอย่างเราไม่อาจรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสและด้วยเหตุผล แต่รู้ได้จริงๆ ด้วย ญาณวิเศษ ของท่านผู้ที่มีจิตใจประณีตจนมีญาณเกิดขึ้นเช่นทิพจักษุญาณ เป็นต้น สามารถเห็นกายทิพย์ที่จักษุธรรมดาเห็นไม่ได้

ภราดา! สรุปว่า สิ่งอันเป็นวิสัยแห่งผัสสะเรารู้ได้ด้วยผัสสะสิ่งอันเป็นวิสัยแห่งเหตุผล เรารู้ได้ด้วยเหตุผล ส่วนสิ่งอันเป็นวิสัยแห่งญาณก็ต้องรู้ด้วยญาณ

แม้ในเรื่องผัสสะนั่นเองก็ต้องจับให้ถูกคู่ของมันจึงจะสำเร็จประโยชน์ ผิดคู่ก็ไม่เกิดประโยชน์ เช่น เอาตาไปชิมแกง เอาลิ้นไปดูรูป เป็นต้น

ตลอดเวลา ๗ วันที่พระอโนมทัสสีสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ สำนักของสรทดาบสนั้น สรทดาบทได้ยืนกั้นฉัตรดอกไม้ถวายด้วยปีติปราโมช มีความสุขตลอด ๗ วัน และ ๗ วันนั้น พระพุทธเจ้าและพระอัครสาวกรวมทั้งพระสาวกอรหันต์ได้เข้านิโรธสมาบัติ เพื่อให้สักการะของสรทดาบสและชฏิลบริวารมีอานิสงส์มาก

ในวันที่ ๗ พระศาสดาเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติ รับสั่งให้อัครสาวกนามว่าพระนิสภะอนุโมทนา และรับสั่งให้พระอัครสาวกอีกรูปหนึ่งคือ พระอโนมเถระแสดงธรรม แต่ไม่มีใครได้สำเร็จมรรคผลเลย พระศาสดาจึงทรงแสดงธรรมเอง ชฏิลบริวารของสรทดาบสได้สำเร็จอรหัตผลหมด ส่วนท่านสรทะไม่ได้สำเร็จเพราะมีจิตฟุ้งซ่านอยู่ตั้งแต่เริ่มฟังอนุโมทนาของพระอัครสาวกจนถึงฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า จิตของท่านวนเวียนอยู่ว่า “ไฉนหนอเราจะพึงได้รับภาระเช่นนี้บ้างจากพระพุทธเจ้าซึ่งจะบังเกิดขึ้นในอนาคต”

สรทดาบสจึงตั้งความปรารถนาเฉพาะพระพักตร์ของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าว่า “พระเจ้าข้า, ด้วยกุศลกรรมครั้งนี้ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ปรารถนาความเป็นท้าวสักกะหรือความเป็นพรหม แต่ข้าพระองค์ปรารถนาเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตเหมือนพระนิสภเถระ”

พระศาสดาทรงส่งพระญาณไปในอนาคต ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า “ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมในอนาคต ท่าจักเป็นอัครสาวกที่หนึ่ง นามว่าสารีบุตร จักเป็นผู้สามารถหมุนธรรมจักรได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า จักเป็นผู้มีปัญญามาก บรรลุถึงยอดแห่งสาวกบารมีญาณ”

เมื่อพระศาสดาเสด็จกลับแล้ว สรทดาบสรีบไปหาสิริวัฒผู้สหายเล่าเรื่องทั้งปวงให้ฟัง และขอร้องสิริวัฒปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่ ๒

สิริวัฒเชื่อท่านสรทดาบส จึงเตรียมหาทานถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุขตลอด ๗ วันแล้วปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่ ๒

พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเล่าเรื่องปุพพจริยาของอัครสาวกทั้งสองจบลงแล้ว ตรัสเพิ่มเติมว่า
“ภิกษุทั้งหลาย! นี่คือความปรารถนาที่บุตรของเราตั้งไว้แล้วในครั้งนี้ บัดนี้ เธอทั้งสองได้ตำแหน่งนั้นตามปรารถนาแล้ว ภิกษุทั้งหลาย! เราหาได้ให้ตำแหน่งเพราะเห็นแก่หน้าไม่”

ภราดา! ความพยายามและความปรารถนาของบุคคลผู้ทำความดี สั่งสมกรรมดีนั้นไม่เคยไร้ผล มันจะคอยจังหวะให้ผลในโอกาสอันควรอยู่เสมอ แต่เนื่องจากคนบางคนขณะพยายามเพื่อทำกรรมดี สั่งสมกรรมดีอยู่นั้นก็ให้โอกาสแห่งความชั่วแทรกแซงเข้ามาเป็นระยะๆ เมื่อเป็นดังนี้ผลแห่งกรรมดีก็ถูกขัดขวางเป็นระยะๆ เหมือนกัน, ไม่มีโอกาสให้ผลได้เต็มที่

อนึ่ง ความพยายามเพื่อเอาชนะความชั่วในตนนั้น จัดเป็นความพยายามที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในชีวิตมนุษย์ เราจะต้องพยายามไปตลอดชีวิต ชีวิตเดียวไม่เพียงพอด้วยซ้ำไป ต้องพยายามกันชาติแล้วชาติเล่า โดยหาวิธีให้จิตค่อยเจริญขึ้นทีละน้อย ค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น ดังที่พระพุทธองค์ทรงอุปมาไว้ว่า “มหาสมุทร๑๑ ลึกลงโดยลำดับ ลาดลงโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนภูเขาขาด ฉันใด ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้น มีการศึกษาตามลำดับ (อนุปุพพสิกขา) มีการกระทำตามลำดับ (อนุปุพพกิริยา) มีการปฏิบัติตามลำดับ (อนุปุพพปฏิปทา)”

ความเจริญที่ค่อยเป็นค่อยไปอย่างช้าๆ นั้นจะช่วยให้เราเอาชนะความคิดและนิสัยที่ชั่วช้าได้ทีละน้อย ถ้าเร่งเกินไป อาจทำให้ฟุ้งซ่านเกิดภาวะความขัดแย้งมากมายในใจ

ความรู้หรือการให้อาหารแก่ใจก็ทำนองเดียวกับการให้อาหารแก่ร่างกายต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อยทีละขั้น อาหารที่ย่อยดีจึงจะเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ความรู้ความเข้าใจที่ย่อยดีแล้วจึงจะเป็นประโยชน์แก่ดวงจิต ในการนี้ความอดทนเป็นคุณธรรมที่จำเป็นจริงๆ ปราศจากความอดทนเสียแล้วก็ทำไปได้ไม่ตลอด อาจทอดทิ้งเสียกลางคัน

ช่างฝีมือบางพวก เมื่อจะทำงานสำคัญบางชิ้น เขาจะอุทิศชีวิตทั้งชีวิตทีเดียวเพื่องานนั้น นักปราชญ์ผู้แสวงหาปัญญาจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตเหมือนกันเพื่อให้รู้อะไรสักอย่างหนึ่ง หรือเพื่อให้ชีวิตก้าวไปสักขั้นหนึ่งในทางปัญญา แม้จะเป็นขั้นเล็กๆ ก็ตามแล้วไปต่อเอาชาติหน้าอีก ความพยายามของเราจะต้องเป็นไปติดต่อ (วิริยารัมภะ) ซื่อสัตว์และเอาจริง ผลจะต้องมีอย่างแน่นอนแม้จะช้าสักหน่อยก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ โชคชาตาของแต่ละคนจึงเป็นผลรวมแห่งการกระทำในอดีตของเขา ความสามารถทางจิต สภาพทางกาย อุปนิสัยทางศีลธรรม และเหตุการณ์สำคัญในชาติหนึ่งๆ ย่อมเป็นผลรวมแห่งความปรารถนา ความคิด ความตั้งใจของเราเองในอดีต ความต้องการในอดีตของเราเป็นสิ่งกำหนดโอกาสในปัจจุบันให้เรา ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ สภาพปัจจุบันของเราจึงเป็นผลแห่งการกระทำ, ความคิดและความต้องการของเราในอดีต ไม่เฉพาะแต่ในชาติก่อนเท่านั้น แต่หมายถึงในตอนต้นๆ แห่งชีวิตในชาตินี้ของเราด้วย

จึงสรุปได้ว่า ทุกอย่างที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นผลแห่งสิ่งที่เราเคยคิดไว้

“สิ่ง๑๑ทั้งปวงมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จมาจากใจ ถ้าใจเศร้าหมอง การทำและการพูดก็เศร้าหมอง ความทุกข์จะตามมา ถ้าใจผ่องแผ้ว การทำและการพูดก็สะอาดบริสุทธิ์ ความสุขจะตามมาเหมือนล้อเกวียนหมุนตามรอยเท้าโค หรือเหมือนเงาตามตัว”

ภราดา! พระตถาคตเจ้าตรัสไว้อีกว่า
“จิต๑๒ที่ตั้งไว้ถูกย่อมอำนวยผลดีให้สุดจะคณนาอย่างที่มารดาบิดาหรือญาติไม่อาจมอบให้ได้ ส่วนจิตที่ตั้งไว้ผิดย่อมทำให้บุคคลนั้นย่อยยับป่นปี้ยิ่งเสียกว่าศัตรูคู่เวรทำให้”

ดังนั้น การบำรุงรักษาใจให้ดีจึงมีคุณแก่บุคคลผู้บำรุงรักษายิ่งกว่าบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลกนี้ เพราะใจเป็นสมบัติอันล้ำค่าของมนุษย์
 
 
บันทึกทางวิชาการท้ายบทที่ ๗

กสิณบริกรรม การเพ่งกสิณ เช่น เพ่งดิน น้ำ ลม ไฟ หรือสีเหลือง สีเขียว สีขาว สีแดง เป็นต้น พร้อมกับบริกรรมว่า ดินๆ เป็นต้น  กสิณ ๑๐ เป็นทางให้เกิดอภิญญาสมาบัติ
อภิญญา คือความรู้ยิ่ง ความรู้เหนือสามัญชน เหนือธรรมดา (Supernatural knowledge) ผู้ได้อภิญญา ย่อมได้อำนาจเหนือธรรมชาติ (Supernatural power) สามารถทำสิ่งทีสามัญชนทำไม่ได้ เราอาจเทียบให้เห็นได้กับช่างอิเล็คโทรนิคที่สามารถทำกับเครื่องไฟฟ้าที่คนผู้ไม่ได้เรียนไม่ได้ฝึกฝนมาทำไม่ได้ หรือแม้นักกายกรรมก็สามารถทำอะไรได้แปลกๆ ชนิดที่สามัญชนทำไม่ได้เหมือนกัน ผู้ฝึกทางจิตก็ย่อมมีอำนาจจิตพิเศษเป็นรางวัลตอบแทนความพยายาม
สมาบัติ ๘ คือฌาน ๗ นั่นเอง เป็นความละเอียดประณีตของดวงจิตเป็นขั้นๆ ฌานที่เองเป็นบาทฐานอันสำคัญของอภิญญา
นิโรธสมาบัติ เป็นสมาบัติลำดับที่ ๙ เหนือสมาบัติ ๘ ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ในขั้นนี้ผู้เข้าดับสัญญาและเวทนาหมดสิ้น ไม่หายใจเหมือนคนตาย แต่ยังมีไออุ่นอายุยังไม่สิ้น การหมุนเวียนของโลหิตในร่างกายยังมีพระอริยบุคคลชั้นอนาคามี และอรหันต์ที่ได้สมาบัติ ๘ เท่านั้น จึงจะเข้าได้ต่ำกว่านั้นเข้าไม่ได้ เพราะสมาธิไม่พอ เข้านิโรธสมาบัติอย่างน้อย ๗ วัน อย่างมาก ๑๕ วัน
เบญจางคประดิษฐ์ การแสดงความเคารพที่ประกอบด้วยองค์ ๕ คือศีรษะ ๑ มือ ๒ เท้า ๒ ทั้งหมดราบลงกับพื้น เป็นการหมอบลงราบกับพื้น เห็นชาวธิเบตทำเป็นประจำที่พุทธคยาในอินเดีย
โทรจิต (Telepathy) การส่งความคิดให้ผู้อื่นทราบโดยไม่ต้องใช้เครื่องหมายหรือคำพูดใดๆ (The passing  of thought from one person to another without the use of signs or words) เป็นวิสัยของท่านผู้ฝึกจิตจนเกิดความชำนาญแล้ว
ลัทธิปรัชญาที่เรียกว่า Empiricism เชื่อว่าบุคคลรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยประสาทสัมผัสหรือประสบการณ์ทางอายตนะ
ลัทธิปรัชญาที่เรียกว่า Rationalism เชื่อว่าบุคคลได้รับความรู้ด้วยผ่านทางเหตุผล
ลัทธิปรัชญาที่เรียกว่า Intuitionism เชื่อว่าบุคคลจะได้รับความรู้ผ่านทางญาณ เป็นความรู้แจ้งเห็นจริงภายใน
๑๐-๑๑-๑๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ หน้า ๑๕๒, ๑๔ ๒๐ ข้อ ๑๑๗, ๑๑, ๑๓ ตามลำดับ

3327  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า / Re: ประวัติบุคคลสำคัญของพระพุทธศาสนา โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก เมื่อ: 04 ธันวาคม 2558 13:06:17


สามเณรสุมน (๑)


มีสามเณรอีกรูปหนึ่ง ประวัติความเป็นมาค่อนข้างน่าอัศจรรย์ : อัศจรรย์อย่างไรลองอ่านดูก่อนนะครับ

สามเณรน้อยรูปนี้นามว่า สามเณรสุมน เรื่องราวบันทึกอยู่ในธัมมปทัฏกถาภาค ๘

ในอดีตกาลนานโพ้น เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระมาตรัส คนใช้ทำหน้าที่ขนหญ้าให้เศรษฐีคนหนึ่ง ได้ถวายทานแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าในเช้าวันที่พระปัจเจกพุทธเจ้าออกนิโรธสมาบัติพอดี ซึ่งตำราบอกว่าเป็นทานที่อำนวยผลทันตาเลยทีเดียว

เศรษฐีทราบเรื่องเข้าก็ขอ “ซื้อ” บุญทั้งหมดที่คนขนหญ้าทำ (พูดยังกับบุญมันซื้อขายกันได้เนาะ)

นายคนนี้แกก็ไม่ยอม เศรษฐีจึงขอว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้แบ่งส่วนบุญให้ได้ไหม ฉันขออนุโมทนาด้วย

นายคนใช้แกไม่ทราบว่า จะแบ่งส่วนบุญให้กันได้ไหม จึงขอไปปรึกษาพระท่านก่อน แกจึงไปเรียนถามท่าน ท่านยกอุปมาให้ฟังว่า เหมือนกับหมู่บ้านแห่งหนึ่งมีหลายหลังคาเรือน หลังแรกจุดตะเกียงไว้ เพื่อนบ้านมาขอต่อไฟจากตะเกียงนั้นไป แสงไฟจากตะเกียงแรกก็ยังสว่างไสวอยู่เหมือนเดิม ไม่ลดน้อยลงไปเลย แถมยังเพิ่มแสงสว่างให้มากกว่าเดิมอีก

การทำบุญแล้วแบ่งส่วนบุญให้คนอื่นก็เป็นเช่นเดียวกัน

กระทาชายนายขนหญ้าดีใจ รีบมาแบ่งส่วนบุญให้เศรษฐี พระราชาแห่งเมืองนั้นทรงทราบเรื่อง อยากได้ส่วนบุญบ้าง จึงรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้าขอส่วนบุญด้วย แล้วพระราชทานทรัพย์สินจำนวนมากแก่เขา เพิ่มจากที่เศรษฐีเคยให้แล้ว

ตกลงด้วยผลทานที่ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าครั้งเดียว บันดาลผลทันตาเห็น ทำให้กระยาจกกลายเป็น “เสี่ย” ภายในสองสามวัน

เขาได้รับสถาปนาจากพระราชาให้เป็นเศรษฐีใหม่อีกคนหนึ่งของเมืองและได้เป็นเพื่อนซี้กับเศรษฐีเจ้านายเก่าของตนต่อมาจนสิ้นอายุขัย

หลังจากเวียนว่ายอยู่ในภพต่างๆ ตามแรงกรรมดี-ชั่วที่ทำไว้ในชาติสุดท้าย เขาก็มาเกิดในราชสกุลศากยะ เป็นโอรสองค์ที่สองของเจ้าอมิโตทนะ (เชษฐาคือเจ้าชายมหานาม)

ด้วยอานิสงส์แห่งทานที่ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าคราวนั้น และด้วยแรงอธิษฐานที่คนขนหญ้าตั้งไว้ว่า เกิดชาติใดฉันใดอย่าได้พบคำว่า “ไม่มี” อีกเลย

เจ้าชายน้อยองค์นี้ซึ่งมีพระนามว่า “อนุรุทธะ” จึงไม่เคยได้ยินคำว่าไม่มีเลย อยากได้อะไร อยากกินอะไร สั่งเดี๋ยวเดียวก็ได้มารวดเร็วทันใจ

เจ้าชายน้อยมีพระสหายวัยเดียวกันหลายองค์ วันหนึ่งกำลังเล่นตีคลีกัน (ถ้าสมัยนี้ก็คงเล่นเกมคอมพิวเตอร์ สมัยนั้นยังไม่มี) โดยเอาขนมพนันกัน เจ้าชายอนุรุธะเล่นแพ้จนขนมหมด ส่งคนไปขอขนมจากเสด็จแม่

เสด็จแม่ส่งมาให้หลายเที่ยว เพราะเล่นแพ้อยู่เรื่อย จนขนมหมด บอกว่า ตอนนี้ขนมไม่มี เมื่อคนรับใช้มารายงานว่า เสด็จแม่บอกว่าขนม “ไม่มี” เจ้าชายน้อยจึงบอกว่า “ขนมไม่มีนั่นแหละเอามาเร็ว”

เสด็จแม่ได้ยินดังนั้น จึงคิดว่า ลูกเราไม่เคยรู้จักคำว่า ไม่มี และมีพระประสงค์จะสอนให้โอรสรู้จักคำว่าไม่มีเสียบ้าง จึงเอาถาดทองคำเปล่าใบหนึ่งมา เอาอีกใบครอบไว้ แล้วให้คนนำไปให้เจ้าชาย

ว่ากันว่า ร้อนถึงเทพยดาต้องนำขนมทิพย์มาใส่ไว้เต็มถาด พอเจ้าชายรับถาดมา เปิดฝาครอบออกเท่านั้น ขนมทิพย์ส่งกลิ่นหอมหวนน่ารับประทานอย่างยิ่ง เจ้าชายน้อยเกิดน้อยพระทัย ว่าเสด็จแม่ไม่รักตน ขนม “ไม่มี” อร่อยปานนี้ เสด็จแม่ไม่เคยให้เสวยเลย จึงไปต่อว่าพระมารดา

พระมารดาก็แปลกพระทัยว่าเกิดอะไรขึ้น จึงตรัสถามมหาดเล็กที่นำถาดเปล่าไปให้ มหาดเล็กกราบทูลเรื่องราวแปลกประหลาดที่ตนเห็นมาให้ทรงทราบ

พระมารดาทรงเข้าใจว่า คงเป็นเพราะบุญแต่ปางก่อน โอรสน้อยของตนเองจึงไม่เคยรู้รสชาติของ “ความไม่มี”

เมื่อเจ้าชายโตขึ้น ได้ออกผนวชพร้อมกับเจ้าชายจากศากยวงศ์ ๖ องค์พร้อมกับอุบาลี นายภูษามาลาอีก ๑ คน รวมเป็น ๗  หลังจากอุปสมบทแล้ว ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็น “เอตทัคคะ” (เลิศกว่าผู้อื่น) ในทางมีทิพยจักษุ (ตาทิพย์)  



สามเณรสุมน (๒)

พระอนุรุทธะผู้ตาทิพย์ วันดีคืนดีก็นั่งเข้าฌานดูว่า เศรษฐีสหายเก่าของตนเมื่อครั้งกระโน้น บัดนี้เกิดเป็นใครอยู่ที่ไหน

ก็ทราบว่า นิคมชื่อมุณฑนิคม อยู่เชิงเขาแห่งหนึ่ง หัวหน้านิคมชื่อมหามุณฑะ มีบุตรชายอยู่ ๒ คน ชื่อ มหาสุมน กับ จูฬสุมน

สหายเก่าของท่านเกิดเป็นจูฬสุมน หวังจะสงเคราะห์สหายเก่า จึงเดินทางมุ่งหน้าไปยังนิคมนั้น

หัวหน้านิคมเห็นพระเถระก็นิมนต์ให้ท่านอยู่จำพรรษาที่นิคมของตน เพื่อสงเคราะห์ชาวบ้าน ท่านก็รับนิมนต์เพราะมีความประสงค์เช่นนั้นอยู่แล้ว

ถึงวันออกพรรษา มหามุณฑะก็นำไทยธรรม (ของถวายพระ) จำนวนมากมายมาถวาย พระเถระบอกว่า จะให้อาตมารับได้อย่างไร อาตมาไม่มีสามเณรผู้เป็น “กัปปิยการก

นายนิคมจึงว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะให้บุตรชายคนโตบวชรับใช้ท่าน พระเถระบอกว่า ขอให้คนเล็กบวชดีกว่า ผู้เป็นพ่อก็ยินยอมให้จูฬสุมนบวช ในขณะนั้นเธอมีอายุเพียง ๗ ขวบเท่านั้น

อ้อ คำว่า “กัปปิยการก” แปลว่าผู้ทำให้ควร ทำให้ถูกตามพระวินัย เช่น เวลาเอาส้มถวายพระฉัน จะต้องปอกเปลือกหรือไม่ก็เฉาะตรงขั้วก่อน เพื่อป้องกันมิให้พระท่านผิดวินัยข้อห้ามทำลายพีชคาม (พืชพรรณ) ผู้มีหน้าที่อย่างนี้แหละ เรียกว่า “กัปปิยการก”

แปลกันง่ายๆ ว่า เด็กรับใช้ หรือเด็กวัด

สามเณรสุมนได้บรรลุพระอรหัตผลคือ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทันทีที่บวชเสร็จ ไม่ใช่แค่หมดกิเลสอย่างเดียว ยังบรรลุอภิญญา (ความสามารถพิเศษ) เช่น อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์) อีกด้วย ท่านพระอนุรุทธะพาสามเณรสุมนไปอยู่ในป่าหิมพานต์ (เขาหิมาลัย) บังเอิญโรคลมจุกเสียด ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของพระเถระกำเริบ ทำให้ได้รับทุกขเวทนา

พระเถระบอกสามเณรสุมนให้ไปเอาน้ำจากสระอโนดาตมาให้ดื่ม เพื่อระงับโรคลม สั่งว่าพญานาคชื่อ ปันนกะ รู้จักกับท่าน ให้ไปขอน้ำจากพญานาค

สามเณรเหาะไปด้วยอิทธิฤทธิ์มุ่งตรงไปยังสระอโนดาต ขณะนั้นปันนกะกำลังจะพาประดาอีหนูทั้งหลายลงเล่นน้ำในสระอโนดาตพอดี เห็นสมณะน้อยเหาะข้ามศีรษะมาก็โกรธ หาว่าสมณะโล้นน้อยนี้มาโปรยฝุ่นที่เท้าลงบนศีรษะตน

แกคงโกรธที่มาขัดจังหวะกำลังจะเล่นโปโลน้ำกับอีหนูทั้งหลายมากกว่า จึงหาว่าสามเณรโปรยขี้ตีนใส่หัว ทั้งๆ ที่ไม่มีแม้แต่นิดเดียว

สามเณรอ้างนามพระอุปัชฌาย์ซึ่งพญานาครู้จัก ขอน้ำไปทำยาเพราะท่านกำลังป่วย พญานาคไม่สนใจ ไล่กลับท่าเดียว แถมยังแผ่พังพานใหญ่ปิดสระน้ำทั้งหมด ดุจเอาฝาปิดหม้อข้าว ฉันใดฉันนั้น ร้องท้าว่า ถ้าสามเณรเก่งจริงก็มาเอาได้เลย

สามเณรถือว่าได้รับอนุญาตแล้ว จึงแปลงกายเป็นพรหมสูงใหญ่ เหยียบลงตรงพังพานของพญานาค พังพานยุบลง เปิดช่องให้สายน้ำพุ่งขึ้นมาเป็นลำ สามเณรเอาบาตรรองน้ำจนเต็มแล้วก็เหาะกลับไป

พญานาคทั้งเจ็บทั้งอายที่ถูกสามเณรน้อยเหยียบหัวแบน จึงตามไปทันที่สถานที่อยู่ของพระเถระ ฟ้องว่าสามเณรเอาน้ำมาโดยไม่ชอบธรรม

พระเถระหันมามองสามเณร สามเณรกราบเรียนท่านว่า น้ำนี้กระผมนำมาโดยชอบธรรมแล้ว พญานาคร้องบอกอนุญาตแล้ว

พระเถระเชื่อว่าพระอรหันต์ย่อมไม่พูดเท็จ จึงฉันน้ำนั้น และโรคในกายท่านก็สงบระงับ

พระเถระขอให้พญานาคขอโทษสามเณรเสีย พญานาคก็ยอมขอขมา

และปวารณาว่าถ้าสามเณรต้องการน้ำเมื่อใด เพียงแต่สั่งเท่านั้น ตนจะนำมาให้เอง



สามเณรสุมน (จบ)

เมื่อพระอนุรุทธะพาสามเณรไปพระวิหารเชตวัน พระภิกษุอื่นๆ เห็นสามเณรน้อยน่าเอ็นดู ก็จับหูบ้าง ลูบศีรษะบ้าง ด้วยความเอ็นดู หยอกล้อว่าเจ้าเด็กน้อย บวชแต่อายุยังน้อย เจ้าไม่คิดถึงแม่ดอกหรือ หย่านมหรือยังจ๊ะ อะไรทำนองนี้

พระพุทธองค์ทรงเกรงว่า พระปุถุชนจะละลาบละล้วงล่วงเกินพระอรหันต์มากกว่านี้ เป็นบาปเป็นกรรมเปล่าๆ

ทรงต้องการให้พระสงฆ์ทราบว่าสามเณรเป็นใคร จึงรับสั่งให้ประชุมสามเณร นัยว่ามีถึง ๕๐๐ รูป ตรัสว่าพระองค์ต้องการน้ำจากสระอโนดาตในเร็วพลัน สามเณรรูปใดจะอาสาเหาะไปเอามาถวายได้

สามเณรอื่นที่เป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญามีอิทธิปาฏิหาริย์ก็มี แต่ทราบว่า “พวงดอกไม้” นี้ พระพุทธองค์ทรงร้อยไว้เพื่อสามเณรสุมานเท่านั้น (เป็นสำนวน หมายความว่า เรื่องนี้ต้องการให้เป็นหน้าที่ของสามเณรสุมน) จึงไม่เสนอตัว

เมื่อไม่มีใครอาสา สามเณรสุมนก็รับอาสาถวายบังคมพระพุทธองค์ แล้วถือบาตรเหาะลิ่วๆ ไปในอากาศบ่ายหน้าไปยังป่าหิมพานต์ทันที

ว่ากันว่าแสดงตัวให้พระสงฆ์เห็นกับตาเลยทีเดียว ต่างก็ร้อง โอ้โฮๆ น่าชื่นชมแท้ๆ ว่ากันอย่างนั้น

ขากลับก็ปรากฏตัวให้เห็นกลางนภากาศลิ่วๆ ลงมายังลานพระวิหารแล้วก็นำน้ำไปถวายพระพุทธองค์

พระพุทธองค์ตรัสถามเธอว่าอายุเท่าไหร่

สามเณรกราบทูลว่า อายุ ๗ ขวบพระเจ้าข้า

พระพุทธองค์ตรัสว่าตั้งแต่วันนี้ไปเธอเป็นพระภิกษุได้

คัมภีร์อรรถกถากล่าวว่า การอุปสมบทที่ทรงประทานให้สามเณรครั้งนี้เรียกว่า “ทายัชชอุปสมบท” เป็นกรณีพิเศษที่บวชเณรอายุ ๗ ขวบเป็นพระ

นัยว่ามีสามเณร ๒ รูปเท่านั้นที่ได้รับพระมหากรุณานี้คือ สามเณรสุมนกับสามเณรโสปากะ

เรื่องราวของสามเณรสุมนค่อนข้างพิลึกกว่าสามเณรรูปอื่น คือ เต็มไปด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ความจริงเรื่องนี้มิใช่เรื่องประหลาดหรือลึกลับอะไร

ผู้สำเร็จอรหัตผลพร้อมอภิญญาสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ได้ นับว่าเป็น “ธรรมดาของพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา” ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร

ถ้าท่านเข้าในคำว่า “ธรรมดา” ก็จะหมดสงสัย ธรรมดาของนกมันย่อมบินได้ ธรรมดาของปลาย่อมแหวกว่ายในน้ำได้ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามพิเศษอะไร

เวลาเราเห็นนกบิน เห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำทั้งวันเราอัศจรรย์ไหม

เปล่าเลย เห็นเป็นของธรรมดาฉันใด พระอรหันต์ที่ท่านได้อภิญญา (อรหันต์บางประเภทก็ไม่ได้อภิญญา) ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ เช่น เหาะได้ดุจนก เพราะนั่นเป็น “ธรรมดา” ของท่าน

พญานาคที่พูดถึงนี้จะเชื่อตามนิยายว่า เป็นสัตว์พิเศษชนิดหนึ่ง อยู่ในนาคพิภพจำแลงกายเป็นคนได้ ดังนาคที่แปลงกายเป็นคนมาบวช (ในพระวินัยปิฎก) ก็ตามใจครับ ไม่ว่ากัน

แต่ถ้ามองในแง่มานุษยวิทยา นาคในที่นี้ก็คือมนุษย์เผ่าหนึ่งที่ยังไม่ศิวิไลซ์นัก ชื่อเผ่านาคา มีอยู่ทั่วไปตามป่าเขาในชมพูทวีป

ตามรูปศัพท์ นาค แปลว่า “ผู้อยู่ในภูเขา” หรือชาวเขา (นค=ภูเขา, นาค=บุคคลผู้อยู่ในภูเขา) มนุษย์เผ่านี้คงบูชางูใหญ่ด้วย คำว่า นาค จึงแปลกันว่า งู ได้ด้วย

ส่วนนาคที่ไปเกี่ยวกับน้ำ ไปเกี่ยวกับใต้บาดาลนั้นน่าจะเป็นความเชื่อของทางฮินดูที่ว่า นาคเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ

และเป็นความเชื่อประจำถิ่นของบางภูมิภาคครับ


ข้อมูล : บทความพิเศษ สามเณรสุมน (๑), (๒) และ (จบ) โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก  หน้า ๗๑ หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๘๔๐-๑๘๔๒ ประจำวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน - ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘





สามเณรบัณฑิต


มีสามเณร ๒ รูป ประวัติคล้ายกันมาก ยังกับเรื่องของคนคนเดียวกันคือ เรื่องสามเณรบัณฑิตกับสามเณรสุข

รูปแรกมีเรื่องเล่าอยู่ในธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๔  รูปหลังมีประวัติอยู่ในธัมมปทัฏฐกถา ภาค ๕ คล้ายกันอย่างไร ขอเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้ครับ

บัณฑิตสามเณร เป็นบุตรชายของตระกูลอุปฐากพระสารีบุตรเถระ พอเกิดมาเด็กในบ้านที่โง่เซอะกลายเป็นคนฉลาด มีปฏิภาณโต้ตอบฉับไวน่าอัศจรรย์

พ่อแม่จึงถือเป็นนิมิตหมายอันดี ตั้งชื่อลูกชายว่า บัณฑิต

พ่อแม่ตั้งใจว่า จะไม่ขัดใจลูก ถ้าลูกต้องการอะไรอย่างไร จะพยายามทำตามทุกอย่างตามประสาคนรักลูกมาก

บังเอิญว่าเด็กชายบัณฑิตเป็นบัณฑิตสมชื่อ โตมาได้ ๗ ขวบ ก็คิดอยากบวชเป็นลูกศิษย์พระสารีบุตร  พ่อแม่จึงพาไปมอบให้พระเถระบวชเณร บวชลูกชายแล้ว ก็อยู่ในวัดนั้นเอง เลี้ยงพระสงฆ์ ๗ วัน วันที่ ๘ จึงกลับมาบ้าน

รอสามเณรน้อยไปบิณฑบาตที่บ้าน

วันนั้น พระสารีบุตรพาบัณฑิตสามเณรไปยังเรือนของพ่อแม่สามเณรสายกว่าปกติ

ระหว่างทางจากวัดไปยังหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนา สามเณรน้อยเห็นชาวนาไขน้ำเข้านา ผ่านไปอีกหน่อยเห็นช่างศรกำลังดัดลูกศร ผ่านไปอีกหน่อยเห็นช่างไม้ถากไม้ทำเฟอร์นิเจอร์ จึงถามไถ่ตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น

พระเถระก็อธิบายให้ฟัง ขณะฟังคำอธิบายของพระเถระ สามเณรน้อยก็ “ฉุกคิด” ขึ้นในใจว่า
   น้ำไม่มีจิตใจ คนยังบังคับให้มันไหลไปโน่นไปนี่สนองความต้องการของคนได้
   ลูกศรก็ไม่มีจิตใจ คนก็ดัดให้ตรงได้ตามต้องการ  
   ไม้ไม่มีจิตใจ ช่างไม้ก็ถากไม้ให้มันเกลี้ยง และให้เป็นรูปร่างต่างๆ ตามชอบใจ  

ไฉนเราซึ่งมีจิตใจจะฝึกฝนตนให้ได้สิ่งที่ต้องการไม่ได้เล่า  คิดดังนั้นจึงกล่าวกับอุปัชฌาย์ว่า ท่านขอรับ ถ้าท่านจะกรุณาให้ผมกลับวัดไปบำเพ็ญภาวนาก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

พระเถระบอกกับสามเณรว่าตามใจ แล้วก็รับบาตรจากสามเณรเดินไปหมู่บ้านรูปเดียว

ศิษย์น้อยสั่งว่า กรุณานำอาหารมาเผื่อด้วย ได้ปลาตะเพียนก็ดี (แน่ะ สั่งเอาตามใจชอบด้วย)  พระเถระถามว่า จะได้มาจากไหน (ไม่ได้ไปจ่ายตลาดนะจ๊ะ)

สามเณรน้อยบอกว่า ถ้าไม่ได้ด้วยบุญของท่าน ก็ด้วยบุญของผม แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

สามเณรกลับไปวัด เข้ากุฏิปิดประตูนั่งกรรมฐานท่ามกลางความเงียบสงัด เพราะพระเณรออกไปภิกษาจารกันหมด จิตของเธอจึงเป็นสมาธิแน่วแน่ ฝ่ายพระสารีบุตรเป็นห่วงจะเลยเวลาเพลเพราะจวนจะเที่ยงแล้ว ได้อาหาร (มีปลาตะเพียนด้วยแน่ะครับ ว่ากันว่าเพราะบุญสามเณร) จึงรีบกลับวัด

พระพุทธเจ้าเสด็จไปดักหน้าพระสารีบุตรที่ประตูพระเชตวันมหาวิหารเพราะทรงทราบว่าสามเณรกำลังจะบรรลุอรหัตผล ถ้าพระสารีบุตรเข้าไปในเวลาดังกล่าวจะ “ขัดจังหวะ”

พระพุทธองค์จึงตรัสถามปริศนา ๔ ข้อให้พระสารีบุตรตอบ พระเถระก็ตอบได้ถูกต้อง ความประสงค์ของพระพุทธองค์ก็เพียงหน่วงเหนี่ยวพระเถระมิให้ไปรบกวนสมาธิสามเณรเท่านั้น มิใช่เพื่อทดสอบปัญญาพระอัครสาวก หรือเล่น “เกมทายปัญหา” แต่ประการใด

เมื่อพระสารีบุตรวิสัชนาปัญหา ๔ ข้อจบลง ก็พอดีสามเณรได้บรรลุพระอรหัตพร้อมปฏิสัมภิทา พระพุทธองค์ตรัสตอบพระสารีบุตรว่า ไปเถิดสารีบุตร สามเณรคงหิวแล้ว

ว่ากันว่า วันนั้นพระเถระเข้าบ้านสายกว่าปกติ กว่าจะฉันเสร็จ กว่าจะนำอาหารกลับมาให้สามเณรน้อยก็ผ่านไปหลายชั่วโมง คือตกบ่ายแล้ว

แต่คัมภีร์ได้เขียนไว้ว่าเดือดร้อนถึงท้าวสักกเทวราช ต้องสั่งให้สุริยเทพบุตรฉุดรั้ง “สุริยมณฑล” ให้นิ่งอยู่กับที่อย่าให้เลยเที่ยงไป จนกว่าสามเณรจะฉันเสร็จ ว่าอย่างนั้น

พอสามเณรฉันเสร็จ ล้างบาตร เช็ดบาตรเท่านั้น พระอาทิตย์ซึ่งนิ่งอยู่กับที่ก็ติด “เทอร์โบ” โคจรปรู๊ดปร๊าดตกบ่ายทันที คงประมาณบ่ายสองบ่ายสามกระมัง ไม่อย่างนั้นเหล่าภิกษุคงไม่เกิดฉงนฉงาย ถึงกับพูดว่า วันนี้แปลก ทำไมบ่ายเร็วนัก สามเณรเพิ่งจะฉันเสร็จเมื่อกี้นี้เอง

ดีนะที่ไม่กล่าวหาว่า สามเณรศิษย์พระสารีบุตรฉันเย็น

พระพุทธองค์ทรงทราบว่าพระทั้งหลายเกิดฉงนฉงายใจ จึงตรัสว่า เวลาผู้มีบุญทำสมณธรรม จันทเทพบุตรฉุดมณฑลพระจันทร์รั้งไว้ สุริยเทพบุตรฉุดมณฑลพระอาทิตย์รั้งไว้ อย่างนี้แหละ แล้วทรงยกสามเณรบัณฑิตเป็นตัวอย่างของคนที่มองเห็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวแล้วเกิดแง่คิดในการปฏิบัติจนได้บรรลุพระอรหัตผล โดยตรัสพระคาถาว่า
   ชาวนาไขน้ำเข้านา
   ช่างศรดัดลูกศร
   ช่างไม้ถากไม้
   บัณฑิตย่อมฝึกตน

เรื่องราวของสามเณรบัณฑิตมหัศจรรย์กว่านี้มาก แต่ผมตัดส่วนที่เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ออกบ้าง ถ้าเราไม่มองแค่ชาตินี้ชาติเดียว เราจะเห็นว่าความสำเร็จอะไรอย่างง่ายดายและความมหัศจรรย์บางอย่างเกี่ยวกับสามเณรบัณฑิต เป็นผลเนื่องมาจาก “บุญเก่า” ที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อนทั้งนั้น

เรื่องนี้มองเห็นได้ในปัจจุบัน บางคนตั้งแต่เกิด ไม่ได้ทำบุญกุศลอะไรเห็นๆ กันอยู่ แต่ชีวิตสะดวกสบาย เกิดมาในกองเงินกองทองต้องการอะไรก็ได้ ถามว่า เขาทำเอาในชาตินี้หรือ เปล่าทั้งนั้น คนนิสัยอย่างนี้ พื้นเพจิตใจอย่างนี้ถ้าให้เริ่มจาก “ศูนย์” เหมือนคนอื่น รับรองไม่พ้นกระยาจกธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ที่เขามีอยู่เป็นอยู่ เชิดหน้าเหยียดหยามคนอื่นอยู่นั้น เพราะผลบุญเก่าทั้งนั้น

คัมภีร์กล่าวว่า สามเณรบัณฑิตนั้น ในอดีตชาติอันยาวนานโพ้น เกิดเป็นชายทุคตะ (คนยากจน) คนหนึ่ง เห็นเขาพากันนิมนต์พระคนละสิบรูป ยี่สิบรูปไปฉันที่บ้าน ก็อยากทำบุญกะเขาบ้าง จึงชวนภรรยาไปรับจ้างเขาเพื่อเอาข้าวน้ำมาถวายพระ ไป “จองพระ” ไว้รูปหนึ่ง

หลังจากได้ค่าจ้างแล้วก็พากันตระเตรียมอาหารถวายพระ นายทุคตะไปถามผู้จัดการในการทำบุญว่าจองพระรูปไหนให้ตน ตนจะไปนิมนต์ไปฉันที่บ้าน  ผู้จัดการบอกว่าลืมจดบัญชีไว้ ขอโทษขอโพยนายทุคตะเป็นการใหญ่ นายทุคตะแทบล้มทั้งยืนครวญกับผู้จัดการว่า นายเป็นคนชวนผมทำบุญ ผมก็ไปรับจ้างหาเงินมาตระเตรียมอาหารถวายพระตามคำชวนของนายแล้ว นายไม่มีพระให้ผม จะให้ผมทำอย่างไร

ผู้จัดการหาทางออกให้เขาว่า พระพุทธเจ้ายังไม่มีใครนิมนต์ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาต่อคนยากไร้อยู่แล้ว แกรีบไปนิมนต์พระองค์เถอะ

นายทุคตะได้ยินดังนั้นก็รีบไปกราบแทบพระบาทกราบทูลอาราธนาพระองค์เสด็จไปรับภัตตาหารที่บ้านตน พระองค์ทรงรับ ประทานบาตรให้นายทุคตะอุ้มนำหน้า อัญเชิญเสด็จไปยังเรือนของตน

เรื่องเล่าถึงพระอินทร์ปลอมเป็นพ่อครัวหัวป่า ฝีมือเยี่ยมมาช่วยนายทุคตะทำกับข้าวจานเด็ดให้โดยไม่คิดค่าบริการแต่อย่างใด ถ้าไม่พูดถึงอิทธิฤทธิ์ใดๆ ก็คงจะเป็นเพื่อนบ้านสักคนมาช่วยทำอาหารให้นั่นเอง

หลังจากพระพุทธองค์เสวยเสร็จ เสด็จกลับพระอาราม ก็เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์คือ เรือนน้อยๆ ของนายทุคตะเต็มเปี่ยมไปด้วยรัตนะทั้ง ๗ ประการ (ทำไมแค่ ๗ ไม่ใช่ ๙ ก็ไม่รู้สิครับ) เป็นที่ฮือฮามาก คนเข้าใจกันว่าเป็นเพราะผลแห่งทานที่ถวายแด่พระพุทธเจ้า

พระราชาแห่งเมืองนั้นทรงทราบเรื่อง เสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง รับสั่งให้ขนรัตนะเหล่านั้นออกมากองยังลานบ้าน ตรัสถามว่าทรัพย์สมบัติมากมายปานนี้ มีใครบ้านในเมืองนี้ เมื่อไม่มีใครมีมากเท่านายทุคตะ จึงทรงสถาปนาเขาในตำแหน่งเศรษฐี มีศักดิ์เป็นศรีของเมืองต่อไป

เขาจึงได้นามว่า ทุคตเศรษฐี แต่บัดนั้น เขาสำนึกเสมอว่าสมบัติเหล่านี้ได้มาเพราะการทำบุญทำทาน เขาจึงไม่ประมาทในการทำบุญทำทานจนสิ้นชีวิต ตายจากชาตินั้นแล้วมาเกิดเป็นบุตรของตระกูลอุปฐากพระสารีบุตรในบัดนี้

ได้รับขนานนามว่า บัณฑิต เพราะพอเกิดมา คนโง่ๆ ที่พูดไม่รู้เรื่องในบ้าน กลายเป็นคนฉลาดมีไอคิวสูงโดยอัตโนมัติ

คนใช้ประเภทนายบอกว่า “อย่าลืมเอาแอปเปิ้ลแช่ตู้เย็นนะ” แล้วก็เอาลูกเจ้านายที่ชื่อ “แอปเปิ้ล” ยัดตู้เย็นจนตาย ถ้าไปอยู่บ้านพ่อแม่เด็กชายบัณฑิต ก็จะฉลาดหมดเลยครับ

สามเณรบัณฑิตมี “บุญเก่า” ที่สั่งสมไว้มาก จึงอำนวยให้เธอประสบความสำเร็จในชีวิตแต่อายุยังน้อย โดยเฉพาะสำเร็จเป็นสามเณรอรหันต์แต่อายุเพียง ๗ ขวบ เรื่องผลบุญผลบาปเป็นอจินไตยครับ คนธรรมดาสามัญอย่าคิดสงสัย คิดจนหัวแทบแตกก็ไม่เข้าใจดอก ขืนคิดมากเดี๋ยวจะเป็นอย่างที่พระบาลีว่า อุมฺมาทสฺส ภาคีอสฺส =เขาพึงมีส่วนแห่งความเป็นบ้า

แค่คิดเรื่องว่า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมันเป็นมรดกตกทอดที่ใครจะยกให้ใครได้ตั้งแต่เมื่อใด คนอายุ ๖๔ เป็นนายกฯ ยังถูก “อัด” แทบกระอักแล้ว คนอายุ ๘๔ เดินยังไม่ค่อยไหว จะทนทานได้หรือ หรือคิดว่าปากว่าไม่อยากเป็นนายกฯ แต่ทำไมวิ่งล็อบบี้กันพล่าน แม้ที่เป็นแล้วยังไม่อยากเลิกเป็น

คิดแค่นี้ยังจะเป็นบ้าเลยครับ


ข้อมูล : บทความพิเศษ สามเณรบัณฑิต โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก  หน้า ๗๑ หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๘๔๓ ประจำวันที่๑๑-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘




สามเณรสุข (๑)


เรื่องราวของสามเณรสุข คล้ายกับสามเณรบัณฑิต แม้กระทั่งแรงบันดาลใจให้บรรลุธรรมก็อย่างเดียวกัน พุทธวจนะที่ตรัสสอนพระภิกษุเนื่องมาแต่สามเณรเป็นเหตุก็คล้ายกับที่ตรัสในเรื่องสามเณรบัณฑิต ความคล้ายกันอาจเกิดจากการเอาอย่างกันก็ได้

สามเณรบัณฑิตอาจเป็นแรงบันดาลใจให้สามเณรสุขก็เป็นได้

ที่พูดถึงนี้นึกถึงสามเณรประยุทธ์ สอบเปรียญ ๙ ประโยคได้ตั้งแต่ครั้งเป็นสามเณร และจบพุทธศาสตรบัณฑิตจากมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยด้วย

โยมพ่อของสามเณรอีกรูปหนึ่งมีลูกชายก็ตั้งชื่อเลียนแบบสามเณรประยุทธ์ว่า “ประยูร” ตั้งใจว่าจะให้ลูกจบเปรียญ ๙ ประโยคเช่นเดียวกัน จึงให้ลูกชายบวชหลังจากจบประถมศึกษา สามเณรประยูรก็สามารถสอบได้เปรียญ ๙ ประโยคตั้งแต่เป็นสามเณรเช่นกัน จบพุทธศาสตรบัณฑิตเช่นกัน

ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือต่างก็เป็นปราชญ์ในทางพระพุทธศาสนา ดำรงสมณเพศยืนยาวมาจนเป็นพระราชาคณะ เจริญวัฒนาในพระบวรพุทธศาสนาเช่นเดียวกัน

สามเณรประยูรบอกว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะผลแห่งการ “เลียนแบบ” อันเกิดจากแรงจูงใจเป็นสำคัญ (ตอนแรกโยมพ่ออยากให้ทำ แต่ตอนหลังเห็นคุณค่าด้วยตนเอง จึงทำตามด้วยความเต็มใจ)

สามเณรสุขที่กล่าวถึงนี้ อาจเกิดแรงบันดาลใจอยากเอาอย่างสามเณรบัณฑิตก็เป็นได้ จึงมีอะไรคล้ายกับสามเณรบัณฑิต

สามเณรสุข เกิดในตระกูลอุปัฏฐากพระสารีบุตรเถระในเมืองสาวัตถี ตอนแม่ตั้งครรภ์เกิดแพ้ท้องอยากกินอาหารที่เป็นเดนของภิกษุสงฆ์ นางจึงนิมนต์พระสารีบุตรพร้อมภิกษุจำนวนมากไปฉันภัตตาหารที่บ้านตนเอง นุ่งผ้าย้อมฝาด นั่งท้ายอาสนะ เมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วก็กินอาหารที่เป็นเดนของพระสงฆ์

ว่ากันว่าตลอดระยะเวลาที่เด็กน้อยอยู่ในครรภ์ ไม่มีใครมีความทุกข์เลย มีแต่ความสุขความสบายกันถ้วนหน้า

เมื่อคลอดออกมา บุตรน้อยคนนี้จึงมีชื่อว่าเด็กชายสุข เมื่ออายุได้ ๗ ขวบ เด็กชายสุขก็พูดกับแม่ว่าอยากบวชอยู่กับพระเถระ

แม่ก็ไม่ขัดใจ จัดแจงให้บวชเป็นสามเณรรับใช้พระสารีบุตร

โยมบิดามารดาบวชให้ลูกชายแล้วก็อยู่ถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่วัดเป็นเวลา ๗ วัน วันที่ ๘ จึงกลับบ้าน

พระสารีบุตรได้พาสามเณรไปบิณฑบาตที่บ้านโยมในวันที่ ๘ ขณะเดินผ่านท้องนา สามเณรน้อยเห็นคนไขน้ำเข้านา เห็นช่างศรดัดลูกศร เห็นช่างไม้ถากไม้ จึงเรียนถามอุปัชฌาย์เช่นเดียวกับสามเณรบัณฑิตและก็ได้คำตอบเช่นเดียวกัน

สามเณรสุขคิดว่าสิ่งต่างๆ ที่เอ่ยมาข้างต้นนั้น ไม่มีจิตใจ แต่คนสามารถบังคับให้มันเป็นไปตามความต้องการได้ เราเองมีจิตใจ มีความคิด ไฉนจะบังคับตัวเองไม่ได้เล่า

คิดดังนี้แล้ว จึงกราบเรียนอุปัชฌาย์ว่า ถ้าท่านจะรับบาตรและอนุญาตให้กระผมกลับไปบำเพ็ญกรรมฐานที่วัดก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง

พระเถระรับบาตรจากมือสามเณรและอนุญาตให้กลับวัดตามประสงค์ สามเณรสั่งอุปัชฌาย์ว่า ถ้าจะกรุณานำอาหารที่มีรส ๑๐๐ (สงสัยว่าอาหารอร่อยมาก) มาฝากก็จะเป็นพระคุณมาก พระเถระว่าจะไปเอาที่ไหน

สามเณรบอกว่าถ้าไม่ได้ด้วยบุญท่านก็ด้วยบุญของกระผมขอรับ ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

บังเอิญว่าพอฉันเสร็จญาติโยมก็ฝากอาหารมีรส ๑๐๐ มากับพระเถระ พระเถระรีบนำอาหารนั้นกลับวัด เพื่อให้ทันก่อนเที่ยง

พระพุทธเจ้าทรงทราบเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยพระญาณ ทรงทราบต่อไปว่าขณะที่สามเณรกำลังเข้าฌานแน่วดิ่งอยู่นั้น สารีบุตรอาจมา “ขัดจังหวะ” ทำให้เป็นอันตรายแก่การบรรลุมรรคผล พระองค์จึงเสด็จไปดักพระสารีบุตรที่หน้าซุ้มประตูพระเชตวัน

ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อ พระสารีบุตรก็ถวายวิสัชนาได้อย่างถูกต้องทั้ง ๔ข้อ (ปัญหาก็เช่นเดียวกับที่ถามในเรื่องสามเณรบัณฑิต) เมื่อทรงเห็นว่าสามเณรได้บรรลุพระอรหัตแล้ว พระองค์จึงตรัสให้พระสารีบุตรรีบนำอาหารไปให้สามเณร

ว่ากันว่าขณะที่สามเณรฉันข้าว พระอาทิตย์ก็ยังไม่เที่ยงวัน หลังจากสามเณรฉันเสร็จล้างบาตรแล้ว เงาพระอาทิตย์ก็เอียงวูบบ่ายคล้อยไปอย่างรวดเร็ว  พระภิกษุทั้งหลายจึงโจษขานกันเซ็งแซ่ว่า เมื่อกี้นี้ยังเช้าอยู่เลย พอสามเณรฉันเสร็จก็บ่ายคล้อยทันที ทำไมเวลาเช้ามีมาก เวลาเย็นมีน้อย แปลกแท้ๆ

พระพุทธองค์เสด็จมาตรัสบอกภิกษุเหล่านั้นว่า เวลาผู้มีบุญบำเพ็ญสมณธรรมมักจะเป็นเช่นนี้แหละ แล้วก็ตรัสพระคาถาว่า
   ชาวนา ไขน้ำเข้านา
   ช่างศร ดัดลูกศร
   ช่างไม้ ถากไม้
   คนดี ย่อมฝึกตน

พระคาถาที่ตรัสก็คล้ายที่ตรัสเกี่ยวกับสามเณรบัณฑิต เปลี่ยนเพียง “บัณฑิตย่อมฝึกตน” มาเป็น “คนดีย่อมฝึกตน” เท่านั้น


3328  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / Re: พระพุทธคันธารราษฎร์ - พระปฏิมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ เมื่อ: 02 ธันวาคม 2558 15:45:23



พระพุทธรูปคันธารราษฎร์
พระปฏิมาเพื่อความอุดมสมบูรณ์

(จบ)

พระพุทธคันธารราษฎร์ถือเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ ๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หล่อพระปฏิมาคันธารราษฎร์เนื้อเงิน ทรงพระราชอุทิศถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลักษณะอย่างพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา คือประทับขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวาเรียกฝน พระหัตถ์ซ้ายรองรับฝน พระพักตร์ค่อนข้างกลม ไม่มีพระเกตุมาลา ปรากฏเฉพาะพระรัศมีรูปเปลว ใบพระกรรณสั้น ครองจีวรห่มเฉียง จีวรเป็นริ้วแบบธรรมชาติ สังฆาฏิเป็นแถบกว้าง ชายผ้าทิพย์มีตราพระเกี้ยวประจำรัชกาลที่ ๕ ฐานกลีบบัวคว่ำบัวหงาย มีเกสรบัว ต่อด้วยฐานเขียงมีท้องไม้สูง สำหรับจารึกข้อความซึ่งทรงพระราชอุทิศ

แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ผู้ประกอบการพระราชพิธีพืชมงคล จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ และพระราชพิธีพรุณศาสตร์ คงได้หล่อพระคันธารราษฎร์ยืนองค์ใหญ่ขนาดใหญ่ขึ้นในการพิธีองค์หนึ่ง ด้วยสังเกตฝีมือสร้างในรัชกาลนั้น ต่อมาเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี เสนาบดีกระทรวงวัง ส่งมาให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เก็บรักษา พร้อมตู้แปดเหลี่ยมสลักปิดทอง ลักษณะเป็นพระปฏิมาคันธารราษฎร์ยืน พระศกยาวเกล้าเป็นมุ่นโมลี เช่นเดียวกับพระคันธารราษฎร์ สมัยปลายรัชกาลที่ ๕ แต่รูปทรงคลี่คลายเป็นแบบไทยประเพณียิ่งขึ้น คือ พระพักตร์เป็นแบบไทย พระวรกายเรียบรื่นไม่แสดงกล้ามเนื้ออย่างมนุษย์สามัญ ทรงผ้าชุบสรงบางแนบพระองค์เป็นริ้วอย่างธรรมชาติ สบงมีชายพับจีบเป็นริ้วทางด้านหน้า พระพักตร์แหงนเงย เหลือบพระเนตรสู่เบื้องบนท้องฟ้า พระหัตถ์ขวายกขึ้นกวักเรียกฝน พระหัตถ์ซ้ายหงายรองรับน้ำฝน ประทับยืนบนฐานกลีบบัวคว่ำบัวหงาย มีเกสรบัว ซ้อนบนแข้งสิงห์และหน้ากระดานย่อไม้ยี่สิบ กึ่งกลางฐานตกแต่งด้วยหน้ากาลหรือหน้าสิงห์ แบบศิลปะรัชกาลที่ ๖



พระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตักกว้าง ๗.๒๐ ซม. สูงรวมฐาน ๑๑.๒๐ ซม. สูงรวมฉัตร ๔๖.๒๐ ซม.
ภาพจากหนังสือพระพุทธปฏิมา ในพระบรมมหาราชวัง หน้า ๔๓๖,๔๓๘.




พระปฏิมาคันธารราษฎร์ กระทรวงเกษตราธิราช ศิลปะรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๖
เก็บรักษาและจัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน เขตพระนคร กรุงเทพฯ
ภาพจาก พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน


ในรัชสมัยนี้ เจ้าพระยาพลเทพ เสนาบดี กระทรวงเกษตราธิราช ได้หล่อพระพุทธคันธารราษฎร์ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการพระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล พุทธศักราช ๒๔๖๘ และถวายประดิษฐานยังหัวเมือง มีจำนวนอีก ๘๓ พระองค์ เพื่อส่งไปประดิษฐานยังหอทะเบียนที่ดินจังหวัดต่างๆ สำหรับสักการบูชาและกระทำพิธีพรุณศาสตร์ พระพุทธรูปชุดนี้ องค์หนึ่งยังคงพบเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์กรมที่ดิน ถนนพระพิพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ เดิมประดิษฐาน ณ หอทะเบียนที่ดินกลาง เป็นพระปฏิมายืนหล่อด้วยทองเหลือง แบบไทยประเพณี พระพักตร์รูปไข่ เม็ดพระศกเป็นขมวดก้นหอย มีพระเกตุโมลีและพระรัศมีรูปเปลว พระขนงโค้ง พระเนตรรูปกลีบบัว พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์หยักเป็นคลื่น ครองผ้าอุทกสาฎกเฉวียงพาดพระอังสาซ้าย รวบชายพันไว้กับข้อพระกรซ้าย สบงมีชายทบจีบเป็นริ้วทางด้านหน้า พระพักตร์แหงนเงยขึ้นเบื้องบน พระหัตถ์ขวากวักเรียกฝน พระหัตถ์ซ้ายหงายรองรับน้ำฝน ฐานบัวคลุ่มทรงกลม ขนาดสูงเฉพาะองค์พระ ๒๘ เซนติเมตร สูงรวมฐาน ๓๓ เซนติเมตร และฐานกว้าง ๘.๕ เซนติเมตร

พระคันธารราษฎร์ลักษณะและขนาดเดียวกันยังพบเก็บรักษาและจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก (วิหารพระศรีศาสดา) ข้อมูลทะเบียนวัตถุไม่มีบันทึกประวัติที่มา แต่สันนิษฐานได้ว่าเดิมคงประดิษฐานที่หอทะเบียนที่ดินจังหวัดพิษณุโลกมาแต่เดิม ต่อมาคงได้รวบรวมถวายไว้ยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก

พระคันธารราษฎร์กระทรวงเกษตราธิราช ซึ่งส่งไปตามหัวเมือง เพื่อการบวงสรวงขอฝนเพื่อผลในการทำนา ก่อให้เกิดความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธานุภาพของพระพุทธรูปปางขอฝนแพร่หลายไปในท้องถิ่นต่างๆ มีการบริจาคทรัพย์และขออนุญาตกระทรวงเกษตราธิราช จัดสร้างพระพุทธปฏิมาคันธารราษฎร์เป็นพระพุทธรูปขอฝนประจำตำบลต่างๆ อีกหลายแห่ง การสร้างพระคันธารราษฎร์ตามขนบการพระราชพิธีพรุณศาสตร์ของหลวง จึงเกิดเป็นความนิยมในหมู่ราษฎรต่อมาด้วยเหตุนั้น



พระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สัมฤทธิ์ กะไหล่ทอง ตักว้าง ๕.๖๐ ซม. สูงรวมฐาน ๑๙.๕๐ ซม. สูงรวมฉัตร ๓๖.๒๐ ซม.
ภาพจากหนังสือพระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง หน้า ๔๕๒.

รัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธคันธารราษฎร์เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษา แต่ทำยักเยื้องต่างจากพระพุทธรูปประจำพระชนมพรรษารัชกาลที่ ๕ โดยทำพระพุทธรูปปางขอฝนประทับห้อยพระบาทบนพระแท่น พระบาททั้งสองวางบนฐานกลีบบัวหงาย พระหัตถ์ขวายกขึ้นจีบนิ้วพระหัตถ์ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบนพระเพลา พระพักตร์ค่อนข้างกลม มีอุณาโลมที่กึ่งกลางพระนลาฏ พระขนงโค้ง พระเนตรเหลือบต่ำ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์เรียว พระเกศายาวรวบเกล้าเป็นมวยแบบพระคันธารราษฎร์ของอินเดีย มีพระรัศมีรูปเปลวไฟต่อจากมุ่นพระเกศา ทรงครองจีวรห่มเฉียงเป็นริ้วแบบธรรมชาติ พาดชายเหนืออังสาซ้ายพับซ้อนยาวลงมาจรดพระนาภี จำนวนรวม ๔๒ พระองค์ ไม่มีฉัตรกั้น ๓๒ พระองค์ เท่าพระชนมพรรษาเมื่อยังมิได้เสวยราช ด้านหลังแท่นจารึกพระนามย่อ ปศ (ประชาธิปกศักดิเดช) และกั้นฉัตร จำนวน ๑๐ พระองค์ เท่าจำนวนปีที่เสวยราชสมบัติ ด้านหลังแท่นจารึกพระปรมาภิไธย ปปร (ประชาธิปก ปรมราชา)

เมื่อทรงสละราชสมบัติวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ แล้ว ภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน โปรดเกล้าให้กรมศิลปากรสร้างพระพุทธรูปปางขอฝนประทับห้อยพระบาท องค์พระพุทธรูปกั้นด้วยฉัตรทองปรุ ๕ ชั้น ประดิษฐานเหนือฐานเขียงสูง มีจารึกประกอบทรงพระราชอุทิศถวายเป็นพระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗



พระพุทธรูปประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เงิน กะไหล่ทอง สูงรวมฐาน ๑๖.๘๐ ซม. สูงรวมฉัตร ๔๐ ซม.
ภาพจากหนังสือพระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง หน้า ๔๘๑.


ระหว่างรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เข้าใจว่ามีการหล่อพระพุทธคันธารราษฎร์ทองคำ สำหรับการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลและการพระราชพิธีพรุณศาสตร์ขึ้นอีกองค์หนึ่ง ปัจจุบันประดิษฐานภายในหอพระคันธารราษฎร์ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทำเป็นพระพุทธรูปยืนขอฝน พระหัตถ์ขวายกขึ้นกวักขอฝน พระหัตถ์ซ้ายหงายเป็นกิริยารองรับน้ำฝน พุทธลักษณะใกล้เคียงกับมนุษย์ตามแบบศิลปกรรมในช่วงเวลานี้ คือ พระรัศมีรูปดอกบัวตูม เม็ดพระศกขมวดเวียนขวาขนาดใหญ่ พระเกตุมาลาเตี้ย พระพักตร์ค่อนข้างกลม เงยพระพักตร์ขึ้นเล็กน้อย พระขนงโก่ง มีอุณาโลมกึ่งกลางพระขนง พระเนตรเหลือบขึ้นด้านบน พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์หยักเป็นคลื่น พระหนุเป็นปม ใบพระกรรณค่อนข้างสั้น ครองผ้าอุทกสาฎกพาดเฉวียงเหนืออังสาซ้าย ปล่อยชายพับซ้อนยาวจรดพระนาภี เป็นริ้วเสมือนจริงตามธรรมชาติ ส่วนล่างนุ่งสบงจีบเป็นริ้ว ทบชายพับซ้อนทิ้งลงเป็นจีบหน้านาง ประทับยืนตรงบนก้านดอกบัว มีกลีบบัวหงายซ้อน ๓ ชั้น และเกสรบัว ผุดขึ้นจากฐานที่หล่อเป็นภาพสระโบกขรณีแห้งขอดเต็มด้วยสัตว์น้ำฝูงปลาดิ้นรนอยู่ในเปือกตม ตามพระประวัติที่ปรากฏในมัจฉชาดก



(ซ้าย) พระพุทธคันธารราษฎร์ รัชกาลที่ ๗ ทองคำ สูง ๔๕.๗๕ ซม. สูงรวมฐาน ๖๐.๙๐ ซม.  
ภาพจากหนังสือพระพุทธปฏิมาในพระบรมมหาราชวัง หน้า ๕๖๒.
(ขวา) พระพุทธคันธารราษฎร์ ศิลปะรัตนโกสินทร์ พ.ศ.๒๔๗๐-๒๔๗๓
โลหะผสม สูง ๔๐ ซม. วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ปั้นหล่อ
สมบัติของวัดมงกุฏกษัตริยาราม ภาพจากหนังสือศิลปวัตถุวัดมกุฏกษัตริยาราม หน้า ๒๕


ปัจจุบันพระพุทธรูปคันธารราษฎร์ของหลวงที่สร้างขึ้นและอัญเชิญสักการบูชาสำหรับการพระราชพิธีพรุณศาสตร์ พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีรวมทั้งสิ้น ๕ พระองค์ คือ พระคันธารราษฎร์ใหญ่ และพระคันธารราษฎร์จีนหล่อสัมฤทธิ์ในรัชกาลที่ ๑ กะไหล่ทองในรัชกาลที่ ๔ จำนวน ๒ พระองค์ พระคันธารราษฎร์ประทับยืนบนฐานขั้นบันได หล่อในรัชกาลที่ ๔ พระองค์หนึ่ง พระคันธารราษฎร์เงิน นั่งขัดสมาธิเพชร สร้างในรัชกาลที่ ๕ พระองค์หนึ่ง และพระพุทธคันธารราษฎร์ทองคำประทับยืนเหนือสระโบกขรณี สร้างในรัชกาลที่ ๗ พระองค์หนึ่ง แสดงให้เห็นถึงพระราชกรณียกิจของพระเจ้าแผ่นดินที่ผูกพันกับทุกข์สุขการทำมาหากินของอาณาประชาราษฎร โดยอาศัยพระพุทธานุภาพเป็นกุศโลบายในการสร้างขวัญกำลังใจ ช่วยผ่อนภัยพิบัติจากน้ำด้วยประการต่างๆ ยังดำรงแบบแผนสืบมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน

พระพุทธคันธารราษฎร์ ยังพบสร้างและประดิษฐานอยู่ตามพระอาราม ซึ่งมีหมายเกณฑ์ให้พระสงฆ์ทำพิธีขอฝนหรือสวดขอฝน และเริ่มปรากฏการสร้างพระพุทธรูปปางขอฝนแพร่กระจายในชุมชนท้องถิ่นที่ทำการกสิกรรมเพาะปลูก ทำนา ตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๖ ต่อต้นรัชกาลที่ ๗ สืบต่อเนื่องจากการประดิษฐานพระพุทธคันธารราษฎร์ของกระทรวงเกษตราธิการยังหัวเมืองต่างๆ พระพุทธคันธารราษฎร์จึงได้รับความนับถือสักการบูชาเป็นพระพุทธรูปที่อำนวยความอุดมสมบูรณ์เป็นสิริแก่การเพาะปลูก ทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ ยังความผาสุกสวัสดีแก่ชุมชนบ้านเมืองตราบเท่าถึงทุกวันนี้



ที่มา (เรื่อง-ภาพ) : นิตยสารศิลปากร  ปีที่ ๕๖ ฉบับที่ ๔ ก.ค.-ส.ค.๒๕๕๖ หน้า ๑๑๐-๑๒๖.

3329  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / เสาเฉลียง ประติมากรรมหินทรายอันทรงคุณค่า และน่าทึ่ง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2558 16:43:32
.




เสาเฉลียง  (Rock Pillars)
ต.ห้วยไผ่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี

เสาเฉลียง แผลงมาจาก “สะเลียง” เป็นภาษาส่วย หมายถึง “เสาหินที่มีลักษณะแปลก”  

มีลักษณะเป็นแท่งหินตั้งขึ้น มีส่วนบนเป็นแผ่นวางอยู่โดยไม่ติดกัน มองดูคล้ายดอกเห็ด เกิดขึ้นเองตามความปรวนแปรของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ จากการกัดเซาะของน้ำ สายลม และแสงแดด

เสาเฉลียงประกอบด้วยหินสองส่วน เกิดจากกระบวนการกัดกร่อนทางธรรมชาติที่ยาวนานหลายล้านปี อันมีสาเหตุมาจากกระแสน้ำ แรงลม อากาศ และการเปลี่ยนแปลงพื้นผิวของเปลือกโลกครั้งสำคัญ (การเคลื่อนตัว การโก่งตัว และการทรุดตัว)  

หินส่วนบนเกิดจากการสะสมตะกอนของหินทรายในแนวนอน ช่วงปลายยุค ครีเตเซียส มีอายุประมาณ ๑๓๐ ปี ลักษณะคล้ายดอกเห็ด  และหินทรายยุค “ไดโนเสาร์” มีอายุประมาณ ๑๘๐ ล้านปี เป็นชั้นหินส่วนล่างที่เหลือจากการกัดกร่อน ซ้อนอยู่ในแนวดิ่ง เป็นส่วนของต้นเสาท่อนล่าง ซึ่งผ่านกระบวนการชะล้างพังทลายของดินอันเกิดจากสภาพอากาศ ฝน และลมพายุเป็นเวลาหลายล้านปี  

คุณสมบัติทางธรณีวิทยาของหินทรายนั้นง่ายต่อการสึกกร่อนกว่าหินชนิดอื่น ที่จัดอยู่ในกลุ่มหินชั้นเดียวกัน และเมื่อผ่านการสึกกร่อนไปได้ระยะหนึ่ง กระบวนการต้านทานทางธรรมชาติ และแรงกดทับของเม็ดฝนทำให้หินทรายแข็งยิ่งขึ้นเป็นผลให้สามารถรักษาสภาพให้คงรูป เป็นประติมากรรมหินทรายอันทรงคุณค่า และน่าทึ่งไว้ให้เราได้ชมได้ดังที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้








เสาเฉลียง อยู่ในอุทยานแห่งชาติผาแต้ม
ก่อนถึงผาแต้มประมาณ ๑.๕ กิโลเมตร



3330  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / เมืองจำลอง ดุสิตธานี - The Model City of Dusit Thani เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2558 15:14:31
.


เมืองจำลอง “ดุสิตธานี”
ภาพจาก : เว็บไซต์หอสมุดแห่งชาติ

เมืองจำลอง ดุสิตธานี
The Model City of Dusit Thani

เมืองจำลองดุสิตธานี มีนามเต็มว่า “ดุสิตธานี : เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”

สถานที่จัดแสดง อยู่ภายในอาคารหอวชิราวุธานุสรณ์ ชั้น ๔ สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม

สมเด็จพระเจ้าภคิณีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี โปรดให้พลตรี หม่อมเจ้าเฉลิมศึก ยุคล เสด็จแทนพระองค์ทรงเปิดดุสิตธานี : เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ หอวชิราวุธานุสรณ์ เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓

อาคารจำลองภายในดุสิตธานี : เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จัดแสดงประกอบภูมิทัศน์เมืองจำลอง มีถนนหนทาง สะพาน เสาไฟฟ้า และน้ำพุ โดยมีอาคาร ๑๒ หลัง ดังนี้
๑.พระที่นั่งเทวอาสน์จำรูญ
๒.พระที่นั่งบรมราชพิมาน
๓.พระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาท
๔.พระที่นั่งจันทรกานต์มณี
๕.หอพระพุทธรัตนสถาน
๖.พระที่นั่งสุทไธสูรย์ปราสาท
๗.พระที่นั่งวายุสุขไสยาสน์
๘.พระวัชรเจดีย์
๙.พระที่นั่งสมุทาภิมุข
๑๐.พระปรางค์วัดอรุณ
๑๑.วัดพระพุทธบาท
๑๒.วัดสุขสมาวาส

ประวัติความเป็นมาของดุสิตธานี
ดุสิตธานี เป็นชื่อเมืองจำลองที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๖๑ มีเนื้อที่ประมาณ ๒ ไร่ครึ่ง ตั้งอยู่บริเวณพระที่นั่งอุดรภาคใต้กับอ่างหยกด้านทิศเหนือในพระราชวังดุสิต และตั้งอยู่ ณ ที่นั้นจนถึงเดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๖๒ หลังจากสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชนนีพันปีหลวงสวรรคต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายดุสิตธานีไปตั้งอยู่ภายในบริเวณพระราชวังพญาไท และขยายพื้นที่ให้มีขนาด ๔ ไร่ เนื่องจากดุสิตธานีแห่งแรกคับแคบ เมืองจำลองดุสิตธานีจึงตั้งอยู่ที่พระราชวังพญาไท จนสิ้นรัชกาล

การสร้างเมืองจำลองดุสิตธานี มีเหตุผลเนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตยในสยามประเทศ ดังปรากฏกระแสพระราชดำรัสครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดศาลารัฐบาลมณฑลดุสิต เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๖๒ ความว่า
“...วิธีการที่ดำเนินเป็นไปนี้ เป็นการทดลองว่า จะเป็นประโยชน์ได้เพียงใด เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับธานีให้แน่ชัดเสียก่อน...วิธีการในธานีเล็กๆ ของเราเป็นเช่นไร ก็ตั้งใจไว้ว่า จะให้ประเทศสยามกระทำเช่นเดียวกัน...”

เมืองจำลองดุสิตธานีที่โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นนี้ เป็นเมืองย่อส่วนให้เล็กลงเหลือประมาณ ๑ ใน ๒๐ เท่าของของจริง ก่อสร้างด้วยการก่ออิฐถือปูนหรือสร้างด้วยไม้ตามลักษณะของบ้านเมืองในสมัยนั้น และมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนบ้านเมืองจริง เช่น พระราชวัง บ้านเรือน โรงละคร วัดวาอาราม สถานที่ราชการ โรงทหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ใช้ชื่อว่า วัชรพยาบาล ตลาด ร้านค้า ธนาคาร ธรงแรม สำนักงาน ถนนหนทาง สวน แม่น้ำ ลำธาร คลอง น้ำตก น้ำพุ สะพาน และบ้านพักอยู่อาศัย โดยพระองค์ทรงวางข้อกำหนดสำหรับบุคคลที่จะเข้ามาเป็นราษฎรของดุสิตธานีนั้น ต้องยื่นใบสมัครและต้องได้รับใบอนุญาตก่อน จึงจะสามารถจับจองที่ดินสร้างบ้าน และอาคารพาณิชย์ ตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามด้วยช่างฝีมือเป็น “ทวยนาคร” หรือสมาชิกเมืองจำลองดุสิตธานีได้ แม้ว่าเมืองจำลองดุสิตธานีนี้จะเข้าอยู่อาศัยไม่ได้จริง แต่ก็มีการจัดเก็บภาษีที่ดิน ภาษีโรงเรือน ค่าธรรมเนียม ใบอนุญาต ยานพาหนะ ใบอนุญาตจำหน่ายสุรา และมีการเก็บค่าน้ำค่าไฟจากบ้านแต่ละหลัง รวมทั้งทรงวางระเบียบปฏิบัติหรือกติกาพิเศษ คือ ผู้ที่เป็นราษฎรในเมืองดุสิตธานีจะต้องดูแลบ้านเรือนให้สะอาด หากมีการตรวจตราพบว่าบ้านเรือนใดไม่สะอาด เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะชักธงดำขึ้นเหนือบ้านหลังนั้น ซึ่งถือเป็นขั้นตอนของการเตือน ส่วนโทษร้ายแรงก็คือราษฎรผู้นั้นจะถูกคัดชื่อออกจากบัญชีทวยนาคร

นอกจากนั้นยังมีการประกวดให้รางวัลบ้านที่มีการดูแลรักษาดีเยี่ยม และมีการปรับไหมเจ้าของบ้านในราคาแพงค่าทำผิดกฎธานิโยปการ ละเลยให้บ้านเรือนรกร้าง รายได้ของเมืองจำลองดุสิตธานีจึงมีมาก เพราะทรงกำหนดเวลาย่อให้เหลือ ๑ ใน ๑๒ คือ หนึ่งปีของดุสิตธานีเท่ากับ ๑ เดือนธรรมดา ดังนั้นภาษีอากรซึ่งควรจะเสียปีละครั้งก็จึงต้องเสียทุกเดือน แต่รายได้จำนวนมากที่ได้มานั้นนำมาใช้จ่ายสำหรับเมืองจำลองบ้าง ส่งสมทบทุนซื้อ “เรือรบพระร่วง” บ้าง ส่งสมทบทุนซื้อปืนให้เสือป่าบ้าง เป็นต้น

การปกครองในเมืองจำลองดุสิตธานี
เมืองจำลองดุสิตธานีมีข้อกำหนดเพื่อใช้ในการควบคุมและปกครองทวยนาครในดุสิตธานี ชื่อ ธรรมนูญดุสิตธานีลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล ธรรมนูญนี้ได้ทดลองใช้ที่ดุสิตธานีก่อนจะนำไปใช้ที่จังหวัดสมุทรสาคร มีพระยาบุรีนวราษฐ์ (ชวน สิงหเสนี) เป็นผู้อ่านประกาศธรรมนูญลักษณะปกครอง เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๑ แล้วโปรดให้มีการเลือกตั้งเชษฐบุรุษ และนคราภิบาล ตามรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ เพื่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารับผิดชอบดำเนินงานการปกครองในดุสิตธานี ทรงตั้งและสังกัดคณะแพรแถบสีน้ำเงิน ให้ทำหน้าที่คล้ายกับพรรคฝ่ายค้าน เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๒ ขณะเดียวกันก็ทรงสนับสนุนมหาดเล็กอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำหนังสือพิมพ์ ให้ตั้งคณะแพรแถบสีแดงขึ้นมาต่อสู้กัน ต่อมาพุทธศักราช ๒๔๖๕ จึงได้ออกกฏธานิโยปการ เพื่อวางระเบียบและอัตราพิกัดภาษีสำหรับดุสิตธานี เพื่อฝึกราษฎรให้รู้จักปกครองตนเองด้วยเสรีภาพหรือประชาธิปไตยในสมัยปัจจุบัน

นอกจากนี้ภายในเมืองจำลองดุสิตธานียังมีการออกหนังสือพิมพ์สำหรับทวยนาครแห่งนี้ ๓ ฉบับ เป็นหนังสือพิมพ์รายวัน ๒ ฉบับ คือ หนังสือพิมพ์ดุสิตสมัย และหนังสือพิมพ์ดุสิตสักขี หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ ๑ ฉบับ ชื่อหนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต หนังสือพิมพ์รายวันออกเพื่อนำเสนอข่าวสารความเป็นไปในดุสิตธานี ข่าวต่างธานี สุภาษิต คำสั่งสอน และเขียนโจมตีเรื่องส่วนบุคคลต่างๆ ซึ่งนับว่าผู้ผลิตหนังสือพิมพ์ในสมัยนั้นยังไม่มีทักษะเพียงพอ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงสอนวิธีนำเสนอข่าวด้วยการตั้งหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ชื่อ ดุสิตสมิต ขึ้นแล้วทรงฝึกให้แสดงความคิดเห็น มีการประท้วงและติชมเพื่อตักเตือน โดยไม่เฉพาะเจาะจง จะได้ไม่เกิดความอับอายหรือเสียหน้า รวมทั้งยังทรงวาดภาพล้อตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ด้วยภาพเหล่านี้ สะท้อนพระอัจฉริภาพของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงจดจำลักษณะเด่นของแต่บุคคลมาแสดงด้วยภาพได้อย่างชัดเจน  ปัจจุบันยังมีหนังสือพิมพ์เหล่านี้เหลือเป็นหลักฐานให้ศึกษาเรียนรู้ ณ ห้องสมุดภายในหอวชิราวุธานุสรณ์ สำนักหอสมุดแห่งชาติด้วย



ภาพจาก : เว็บไซต์ 2.bp.blogspot.com

การกำหนดขอบเขตและผังเมือง
แม้ว่าระยะเริ่มแรกของเมืองจำลองดุสิตธานี ภายในพระราชวังดุสิตจะมีเพียง ๓ อำเภอ คือ อำเภอดุสิต อำเภอปากน้ำ และอำเภอดอนพระราม ต่อมาทรงกำหนดให้มีอำเภอต่างๆ ๖ อำเภอ ดังนี้ อำเภอดุสิต อำเภอปากน้ำ อำเภอดอนพระราม อำเภอบึงพระราม อำเภอบางไทร และอำเภอเขาหลวง โดยมีทวยนาครเป็นชายล้วน ในปีแรกมีจำนวนประมาณ ๒๕๐ คน แต่จำนวนอาคารบ้านเรือนในเมืองดุสิตธานีมีมากกว่า ๑,๐๐๐ หลัง เพราะสถานที่บางแห่ง เช่น พระราชวังและวัด มีอาคารแห่งละหลายหลัง อาคารส่วนใหญ่เป็นอาคาร ๒ ชั้น บางอาคารสร้างเป็น ๓ ชั้น บางบ้านก็มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบแปลกๆ เพราะต่างก็พยายามสร้างบ้านให้สวยงามที่สุดและมีรูปร่างหลากหลายวิจิตรพิสดารแปลกประหลาดอลังการอย่างมาก เช่น พระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) รู้สึกว่าบ้านเล็กเกินไป ไม่สมฐานะเสนาบดี...เลยต้องให้ทำใหม่เป็นตึกทำด้วยไม้อย่างงดงาม สิ้นค่าทำกว่า ๓,๐๐๐ บาท

อย่างไรก็ตามแม้ว่าการดำเนินงานของเมืองจำลองดุสิตธานีจะประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเฉพาะสำหรับแขกที่ได้รับเชิญ โดยโปรดให้มีมัคคุเทศก์คอยชี้แจงแนะนำสถานที่ต่างๆ ซึ่งมัคคุเทศก์เหล่านี้ต่างก็มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการนำชมอย่างดี เพราะปรากฏหลักฐานว่ามีการสอบมัคคุเทศก์ของเมืองดุสิตธานีถึง ๑๒ ครั้ง แต่เมื่อสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๘ มีการย้ายสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในเมืองจำลองดุสิตธานี ไปยังสถานที่ต่างๆ รวมทั้งผู้เป็นเจ้าของอาคารบ้านเรือนในเมืองดุสิตธานี ต่างก็ย้ายสิ่งก่อสร้างของตนเองกลับไปอยู่ในความดูแลของตนเอง เหลือเพียงอาคารที่เป็นพระราชวังและวัดต่างๆ อยู่ภายในความดูแลของกรมศิลปากร จำนวน ๑๔ หลัง เท่านั้น ต่อมากรมศิลปากรได้ดำเนินการซ่อมแซมอาคารทุกหลังเก็บรักษาไว้ที่กองหัตถศิลป์ และส่งมอบอาคารทั้ง ๑๔ หลังนี้ ให้แก่หอวชิราวุธานุสรณ์เป็นผู้ดูแล โดยได้รับเงินบริจาคน้อมเกล้าฯ ถวายจากผู้มีอุปการคุณจำนวน ๕ ราย เพื่อจัดสร้างเป็นนิทรรศการถาวร ชื่อ ดุสิตธานี : เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ อาคารหอวชิราวุธานุสรณ์ ชั้น ๔ จำนวน ๑๒ หลัง อีก ๒ หลัง จัดแสดงภายในพระบรมราชะประทรรศนีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บริเวณชั้น ๓ อาคารหอวชิราวุธานุสรณ์ ซึ่งพันตรี คุณหญิงผะอบ โปษะกฤษณะ ขยายความชื่อพระบรมราชะประทรรศนีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่า นิทรรศการหุ่นจำลองพระราชกรณียกิจพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

นิทรรศการถาวรเมืองจำลองดุสิตธานี จัดแสดงบนฐานไม้ขนาดพื้นที่ ๒๑๕ ตารางเมตร มีการจัดระบบแสง สี เสียง และคำบรรยายนำชม ๔ ภาษา คือ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาญี่ปุ่น เปิดให้ชมวันละ ๔ รอบ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ ค่าเข้าชมสำหรับนักเรียน นักศึกษา ในเครื่องแบบ คนละ ๑๐ บาท ประชาชนทั่วไป คนละ ๒๐ บาท ชาวต่างประเทศคนละ ๔๐ บาท

นิทรรศการถาวร ดุสิตธานี : เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากจะแสดงความงดงามอลังการในเชิงช่าง สะท้อนงานศิลปะในรัชสมัยแล้ว เมื่อศึกษาในรายละเอียดของพระราชดำริให้ลึกซึ้งก็จะพบว่าทรงตั้งพระราชหฤทัยจะพัฒนาประชาชนและประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศผ่านกิจกรรมต่างๆ อันเปรียบเสมือนแบบฝึกหัด เพื่อก้าวสู่โลกของความเป็นจริงต่อไป


ที่มา : นิตยสารศิลปากร
3331  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: รวมภาพเก่าหาดูยาก : ภาพเก่าเล่าเรื่อง เมื่อ: 30 พฤศจิกายน 2558 15:10:45
.


รัชกาลที่ ๖ ในพระราชพิธีราชาภิเษกสมโภช เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๕๔



พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯเปิดพระบรมรูปทรงม้า



ตุ๊กตาจีนรูปคนชาวยุโรป เป็นอับเฉาสำหรับถ่วงน้ำหนักเรือสำเภา ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ที่วัดโพธิ์



พระเจ้าลูกยาเธอในรัชกาลที่ ๕ ทรงฉายกับกล้องถ่ายรูป


เรือพระที่นั่งสุพรรณหงษ์สำหรับเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑


สะพานพระพุทธยอดฟ้า


ภาพถ่ายทางอากาศพระบรมหาราชวัง ถ่ายเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๔๖๖


ภาพถ่ายทางอากาศวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร(วัดโพธิ์) พระอารามหลวงประจำรัชกาลที่ ๑


บริเวณสะพานผ่านพิภพลีลา ปี พ.ศ.๒๔๔๕ มองเห็นพระบรมหาราชวัง


พิธีคล้องช้างในเพนียด


งานประชุมรถยนต์ในสมัยรัชกาลที่ ๕


ย่านการค้าบริเวณถนนเยาวราช


“ป้อมมหากาฬ” ชื่อใหม่
เดิมคือ “บ้านสาย-ตรอกพระยาเพชร”

ข้อมูล-ภาพ : มติชนออนไลน์


วิกลิเกพระยาเพชรปาณี ที่ตรอกพระยาเพชร บริเวณป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร ในสมัยรัชกาลที่๕
ยืนยันการเป็นชุมชนเก่าแก่ของป้อมมหากาฬ ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกเรียกในภายหลัง จึงถูกมองจากภาครัฐว่าไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์
(ภาพถ่ายโดย เจ. อันโตนิโย เจ้าของร้านถ่ายรูป เจ. อันโตนิโย ปากตรอกชาร์เตอร์ดแบงก์ ถนนเจริญกรุง)


ชุมชนป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร ตั้งแต่ก่อน ร.๔ มีในภาพถ่ายเก่าจากภูเขาทอง สมัยปลาย ร.๔ ต้น ร.๕
(ซ้าย) เห็นป้อมมหากาฬ (กลาง) สะพานไม้ คือจุดที่สร้างสะพานผ่านฟ้าลีลาศ


บ้านสาย ชุมชนทอสายรัดประคดพื้นที่ต่อเนื่องชุมชนป้อมมหากาฬซึ่งล้วนมีผู้คนอยู่อาศัยตั้งแต่อดีตไม่มีขาดสาย
(ภาพจาก ย่านเก่าในกรุงเทพฯ เล่ม ๑ โดย ปราณี กล่ำส้ม, เมืองโบราณฉบับพิเศษ พิมพ์ครั้งที่ ๒, ๒๕๔๙)


กรุงเทพฯมุมสูง มองเห็นเสาชิงช้า วัดสุทัศน์ ถัดมาด้านหน้าเป็นวัดราชนัดดา วัดเทพธิดาราม
และแนวใบเสมากำแพงเมืองที่ทอดยาวต่อเนื่องถึงป้อมมหากาฬ อันเป็นที่ตั้งของชุมชนชานกำแพงพระนคร
(ภาพโปสการ์ดสมัย ร.๖ พ.ศ.๒๔๖๒ ของสินชัย เลิศโกวิทย์)


ป้อมมหากาฬ ชานกำแพงพระนคร ริมคลองโอ่งอ่าง กรุงเทพฯ
(ซ้าย) ภูเขาทอง (ขวา) เห็นคลองมหานาค เชื่อมคลองโอ่งอ่างและสะพานผ่านฟ้า
[ภาพถ่ายทางเครื่องบิน โดย ปีเตอร์ วิลเลี่ยมส์ ฮันต์ (Peter Williams Hunt)
นักบินฝ่ายพันธมิตร ถ่ายเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๔๖ หรือ พ.ศ.๒๔๘๙]


เริ่มที่ประเด็นชื่อชุมชนป้อมมหากาฬที่ไม่เคยพบพานในเอกสารโบราณใดๆ ต่างจากบ้านบาตร บ้านดอกไม้ บ้านพานถม ฯลฯ

เรื่องนี้ต้องผายมือไปที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ด้านประวัติศาสตร์ ผู้มีผลงานมากมายเกี่ยวกับ “กรุงเทพฯ” ซึ่งตอบทันควัน ว่าชื่อชุมชนป้อมมหากาฬจะมีได้อย่างไร เพราะมันเป็นชื่อใหม่ที่เพิ่งเรียกกันภายหลัง แต่เดิมนั้น รู้จักกันในชื่อ “ตรอกพระยาเพชร” เพราะเป็นที่ตั้งของวิกลิเกแห่งแรกในกรุงเทพฯ ยุครัชกาลที่ ๕ ของพระยาเพชรปาณี โดยแต่งตัวเลียนแบบละครพันทางของเจ้าคุณมหินทร์ วิกปรินซ์เธียเตอร์ ท่าเตียน แต่แหกคอก นอกกรอบละคร ชาวบ้านจึงนิยมมาก เพราะดูรู้เรื่องและสนุก

นอกจากนี้เมื่อเขยิบออกไปอีกนิด ก็มีชุมชนยุคต้นรัตนโกสินทร์ชื่อว่า “บ้านสาย” เพราะทำสายรัดประคดของพระสงฆ์ ซึ่งเป็นพื้นที่ต่อเนื่องกัน ชาวบ้านก็เป็นพวกเดียวกันไม่อาจแยกขาดจากกันได้ แล้วจะบอกว่าป้อมมหากาฬไม่ใช่ชุมชนประวัติศาสตร์ได้อย่างไร

“จะมีชื่อชุมชนป้อมมหากาฬในประวัติศาสตร์ได้ยังไง เพราะมันเป็นชื่อใหม่ที่เพิ่งเรียกกัน จะโดยสื่อมวลชนหรือใครก็แล้วแต่ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นชุมชนใหม่ เพราะมีหลักฐานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เรียกตรอกพระยาเพชร มีวิกลิเกแห่งแรกในกรุงเทพฯ ของพระยาเพชรปาณี เขยิบไปนิดเดียวเป็นบ้านสาย ชุมชนทำสายรัดประคด อยู่ติดกัน แล้วจะไปแยกกันยังไง จะบอกว่ามีบ้านสาย แต่ตรงป้อมไม่มีชุมชนมันเป็นไปไม่ได้ ตอนเข้ากรุงเทพฯ มาเป็นเด็กวัดเมื่อปี ๒๔๙๗ คนบ้านสายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดก็มาใส่บาตรที่วัดเทพธิดารามนี่แหละ” สุจิตต์เล่าอย่างออกรส


‘ลาว’ สร้างกำแพงเมืองกรุงเทพฯ
๒๓๔ ปี กรุงรัตนโกสินทร์


คนลาวในอีสาน และเวียงจันทน์เป็นผู้สร้างกำแพงเมือง
และป้อมปราการในกรุงเทพฯ (ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๕)

เมษายน ๒๓๒๕ รัชกาลที่ ๑ สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ มีกรุงเทพเป็นราชธานี บัดนี้ ครบรอบ ๒๓๔ ปีของมหานครแห่งนี้ ซึ่งไม่ได้ถูกเนรมิตขึ้นในชั่วข้ามคืน หากแต่สร้างขึ้นโดยบรรพชนที่ประกอบด้วยกลุ่มคนหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ ‘ลาว’ ซึ่งมีบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นผู้สร้างกำแพงเมืองและป้อมปราการอันแข็งแกร่ง

พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ จดจารไว้ว่า ให้ตั้งกองสักเลกไพร่หลวงสมกำลัง และเลกหัวเมืองทั้งปวง แล้วให้เกณฑ์ทำอิฐขึ้นใหม่บ้าง ให้ไปรื้ออิฐกำแพงเมืองกรุงเก่าบ้าง ลงมือก่อสร้างพระนคร ทั้งพระบรมมหาราชวังและพระราชวังบวรสถานมงคล

โปรดให้เกณฑ์ลาวทางภาคอีสานของไทย ลาวจากเวียงจันทน์ ตลอดจนหัวเมืองลาวริมแม่น้ำโขงฟากตะวันตก เข้ามาขุดรากก่อกำแพงพระนคร และสร้างป้อมเป็นระยะๆ รอบพระนคร

ลาวที่ถูกเกณฑมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้กลับถิ่นเดิม เพราะการสร้างแปลงเมืองไม่ได้เสร็จในคราวเดียว แต่ทำต่อเนื่องหลายรัชกาล ชาวลาวเหล่านี้ จึงตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ในกรุงเทพฯ กลายเป็นส่วนหนึ่งของคนกรุงเทพที่มีลูกหลานสืบมาจนถึงปัจจุบัน

ผศ.ดร. รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวว่า พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ บันทึกไว้ชัดเจนว่า คนลาวเป็นผู้สร้างกำแพงเมืองกรุงเทพรวมถึงป้อมปราการต่างๆ โดยถูกเกณฑ์มาจากลุ่มน้ำโขง เนื่องจากหลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ แรงงานไพร่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเหลือน้อย หากไม่มีแรงงานลาว คงใช้เวลาสร้างนานกว่าที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างมาก

“ผลจากปัญหาสงครามเสียกรุงครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ คนในลุ่มน้ำภาคกลางเหลือน้อย เพราะฉะนั้น พอต้องมีการก่อกำแพงพระนคร อำนาจราชสำนักแผ่ถึงลุ่มน้ำโขง จึงเกณฑ์ลาวมาช่วยสร้างพระนครเป็นการใหญ่ ถ้าไม่ได้แรงงานเหล่านี้ ๓ ปีก็ก่อกำแพงไม่เสร็จ ที่ต้องเน้นกำแพงเพราะใช้เตรียมรับศึก” ผศ.ดร. รุ่งโรจน์กล่าว



ยุคแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ คนลาวถูกเกณฑ์มาสร้างกำแพงและป้อมปราการในกรุงเทพฯ
(ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๕)


แม่หญิงลาวมณฑลอุดร

ที่มา (ภาพ-ข้อมูล): มติชนออนไลน์
3332  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / วิธีทำ ปลานิลนึ่ง เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2558 19:06:28
.



ปลานิลนึ่ง

เครื่องปรุง
- ปลานิล 1 ตัว
- ตะไคร้ 3 ต้น หั่นเป็นท่อนยาวประมาณ 3 นิ้ว ทุบให้แตก
- ใบเตยหอม 3 ใบ ฉีกแล้วขมวดเป็นปม
- เกลือป่น ½ ช้อนชา
- น้ำมันพืช 1 ช้อนชา


วิธีทำ
1. ทำความสะอาดปลานิล แล้วล้างให้สะอาด
2. นำตะไคร้และใบเตยยัดในช่องท้องและในปากของปลา
3. ทาน้ำมันพืชที่ตัวปลา แล้วโรยด้วยเกลือป่น ให้ทั่วตัวปลาทั้งสองด้าน
4. วางปลาบนใบตองที่รองรังถึง นำไปนึ่งด้วยไฟแรงประมาณ 10-15 นาที หรือจนปลาสุก
5. รับประทานกับน้ำพริก แนมด้วยผักนึ่ง ผักลวก 


วิธีทำน้ำพริกจิ้มปลา
ส่วนผสม : พริกขี้หนูสวนสด 25-30 เม็ด กระเทียมไทยแกะกลีบ ½ หัว หอมแดง 2 หัว  น้ำปลาดี และน้ำมะนาว
วิธีทำ : คั่วพริก หอม และกระเทียมจนสุกหอม นำไปโขลกพอหยาบๆ
         ผสมกับน้ำปลาดีและน้ำมะนาว ชิมรสตามชอบ



ทาผิวปลาด้วยน้ำมันพืชให้ทั่ว (หนังปลาจะไม่ติดภาชนะและเป็นมันสวย)
แล้วโรยด้วยเกลือป่นเกลี่ยให้ทั่วตัวปลา


นำตะไคร้ใบเตย ยัดในช่องท้องและในปากปลา


พลิกปลาคว่ำลง วางบนใบตองที่รองรังถึง


นำไปนึงด้วยไฟแรง จนปลาสุก


พริกน้ำปลา : คั่วพริก หอม และกระเทียมจนสุกหอม
นำไปโขลกพอหยาบๆ ตักใส่ถ้วย ผสมน้ำปลาดีและน้ำมะนาว ชิมรสตามชอบ


รับประทานคู่กับพริกน้ำปลา และผักลวก ผักนึ่ง


เห็ดนางฟ้านึ่ง : ล้างเห็ดให้สะอาด วางในภาชนะทนไฟ
โรยเกลือป่นเล็กน้อย นำไปนึ่ง 5 นาที)

 
3333  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: พรรณไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้มงคล เมื่อ: 29 พฤศจิกายน 2558 18:08:25
    กระบองเพชรสว่าน   ไม้สวยแปลกที่หายไป
ผมเคยแนะนำต้น “กระบองเพชรสว่าน” ไปหลายปีแล้ว โดยในขณะนั้นผู้ขายบอกได้เพียงว่าเป็นต้นกระบองเพชรสายพันธุ์เดียวกับกระบองเพชรชนิดที่มีต้นสูงใหญ่และคนทั่วไปรู้จักเป็นอย่างดีนั่นเอง แต่กระบองเพชรชนิดนี้ผู้ขายบอกต่อว่าเป็นกระบองเพชรกลายพันธุ์จากต้นดั้งเดิมแล้วมีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจนคือ ลำต้นจะเล็กลงโตหรืออ้วนประมาณท่อนแขนของเด็ก และลำต้นจะบิดเป็นเกลียวคลายเกลียวสว่าน (ตามภาพประกอบคอลัมน์) ซึ่งผู้ขายบอกว่าจำชื่อวิทยาศาสตร์ไม่ได้ และไม่มีชื่อภาษาไทยอย่างเป็นทางการด้วย เป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศ จึงพร้อมใจเรียกกระบองเพชรดังกล่าวตามลักษณะต้นว่า “กระบองเพชรสว่าน”

กระบองเพชรสว่าน หากเป็นไม้กลายพันธุ์จากต้นกระบองเพชรชนิดที่มีต้นสูงใหญ่และคนทั่วไปรู้จักตามที่ผู้ขายบอกข้างต้น พอจะระบุได้ว่า เป็นกระบองเพชรในกลุ่ม CE-REUS HEXAGONUS (LINN.) MILL อยู่ในวงศ์ CACTACEAE มีลักษณะเป็นไม้พุ่ม ต้นดั้งเดิมสูง ๓-๕ เมตร แต่ “กระบองเพชรสว่าน” สูงแค่ ประมาณ ๑ ฟุต ลำต้นกลม อวบน้ำ มีรอยหยักเป็นร่องลึกและมีสันสูงบิดเป็นเกลียวเหมือนสว่าน โดยส่วนที่เป็นสันสูงจะมีหนามแหลมแข็งออกเป็นกระจุก กระจุกละ ๕-๗ หนาม เว้นระยะห่างกันประมาณ ๑.๕-๒ นิ้วฟุต เรียงตลอดแนวสันของต้น ต้นเป็นสีเขียว นอกจากต้นจะดูคล้ายเกลียวสว่านแล้วยังดูเหมือนกับ “เทียนวันเกิด” ที่ใช้ปักบนขนมเค้กแล้วจุดเป่าฉลองวันเกิดอีกด้วย  

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆหรือเป็นช่อ ๑-๓ ดอกบริเวณปลายยอด ดอกขนาดใหญ่ กลีบดอกเป็นสีเขียว มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกมักจะบานตอนกลางคืน ดอกสามารถออกได้เรื่อยๆ เมื่อต้นสมบูรณ์เต็มที่ ขยายพันธุ์ด้วยต้น

ปัจจุบันต้น “กระบองเพชรสว่าน” ไม่พบมีขายหรือหายไปจากวงการไม้สวยแปลกหลายปีแล้ว สมัยก่อนเคยมีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๓ ครับ.ไทยรัฐ


    ปาล์มเจ้าชาย  สวยพลิ้ว
ปาล์มชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า ๑๐ ปีแล้ว โดยในช่วงแรกๆมีต้นวางขายได้รับความนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลาย แต่ในปัจจุบันไม่พบว่ามีต้นขายอีกแล้ว ซึ่งต้น “ปาล์มเจ้าชาย” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ARCHONTOPHOENIX ALEXANDRAE (F.J.MUELL.) H.A. WENDL.–DURDE อยู่ในวงศ์ PALMAE มีชื่อสามัญ KING PALM มีชื่อเรียกในท้องถิ่น ปาล์มสามเหลี่ยมเขียว

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ทั่วไป ลำต้นสูง ๑๑-๑๓ เมตร อาจสูงได้ถึง ๒๐ เมตร ลำต้นเห็นปล้องชัดเจน ลำต้นตั้งตรง สีของลำต้นเป็นสีเทาปนน้ำตาล ขนาดลำต้นเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐-๑๕ ซม. ใบเป็นรูปขอบขนานคล้ายทางมะพร้าว ใบยาว ๓-๕ ฟุต ใบย่อยออกเรียงสลับ มี ๓๐-๔๐ คู่ ปลายใบแหลมแผ่กางออก สีใบเป็นสีเขียวเป็นมัน หลังใบเป็นสีเทาเงินดูงดงามมาก

ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ตามซอกใบช่วงปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก เป็นสีขาวครีม “ผล” กลมรียาวประมาณ ๑ นิ้วฟุต ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีแดง ๑ ผล จะมีเพียง ๑ เมล็ด ดอกและผลจะมีเรื่อยๆอยู่ที่ความสมบูรณ์ของต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด

นิยมปลูก ประดับตามสำนักงาน สวนสาธารณะและปลูกริมถนนสองข้างทางเป็นแถวยาว เวลาต้นเจริญเติบโตใบของต้นจะพลิ้วไหวน่าชมยิ่ง ปลูกได้ในดินทั่วไป เป็นไม้ชอบแดดจัดตลอดทั้งวัน เป็นปาล์มที่ปลูกแล้วเติบโตได้เร็วกว่าปาล์มชนิดใดๆ ใครต้องการต้นไปปลูกต้องเสาะหากันเอง เพราะที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ที่เปิดขายเฉพาะไม้ดอกไม้ผลเพียงอย่างเดียวทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ไม่พบมีวางขายอีกแล้วตามที่กล่าวข้างต้นครับ.ไทยรัฐ


    ปาล์มกะพ้อ  ใบอ่อนห่อตูป๊ะ
ปาล์มกะพ้อ พบทั่วไปตามริมทะเลที่ความสูง ๒๕๐ เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และขึ้นได้หลายรูปแบบทั้งริมบึงที่ราบ มีเขตกระจายพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายแดนไทยมาเลเซีย หมู่เกาะอันดามัน มาเลเซีย เกาะนิโคบา เกาะสุมาตรา เกาะชวา เกาะบอเนียว และฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ทั้งในที่ร่มและกลางแจ้ง คนท้องถิ่นภาคใต้ของไทยและมาเลเซียนิยมตัดเอาใบอ่อนที่ยังไม่คลี่มาฉีกออกเอาเฉพาะใบ นำไปห่อข้าวเหนียวผัดใส่ถั่วขาว หรือถั่วดำนึ่งเป็นข้าวต้มมัดใต้ หรือเรียกชื่อตามภาษายาวีว่า “ตูป๊ะ” หมายถึงข้าวต้มมัดใบกะพ้อรับประทานเฉพาะถิ่นอร่อยมาก

ปาล์มกะพ้อ หรือ LICUALA SPINOSA THUNB เป็นปาล์มกอ ต้นสูงได้ ๕ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางลำต้น ๕ ซม. เป็นกอรวมกันหนาแน่นจนหนาทึบ จัดเป็นไม้พื้นล่างของป่า ใบเป็นใบประกอบแบบนิ้วมือตั้งขึ้นและแผ่ออก ๑๐-๑๕ ทาง กาบใบแยกออกจากกัน แต่จะมีใยหยาบๆสานกันชัดเจน ก้านใบยาว ๒-๓ เมตร ขอบก้านใบมีหนามรูปสามเหลี่ยมแคบๆและงอยาว ๑-๒ ซม. ตลอดทั้งก้าน ใบเรียงกันเกือบกลม ขนาด ๘๐-๑๕๐ ซม. ฉีกเป็นแฉกลึกถึงกลางใบ ๑๕-๒๕ แฉก แต่ละแฉกมีขนาด ๓.๕-๑๔ คูณ ๔๐-๗๕ ซม. แฉกกลางมีขนาดใหญ่ที่สุด ปลายใบตัดและหยักไม่เท่ากัน

ดอก ออกเป็นช่อตั้งขึ้น โค้งและแผ่ออก ๒-๓ ช่อ มักมีความยาวกว่าใบ ช่อดอกรวมสามารถยาวได้ถึง ๓ เมตร แตกกิ่งย่อย ๗-๑๐ กิ่ง ยาว ๕๐ ซม. กิ่งแขนงย่อยอีก ๔ กิ่ง ยาว ๒๐-๔๐ ซม. “ผล” รูปทรงกลม เมื่อผลสุกเป็นสีส้มหรือสีแดง ๑ ผล มี ๑ เมล็ด ดอกและผลทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและแยกต้น

ปัจจุบันมีต้นขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แต่ละแผงราคาต่างกันต้องเดินสำรวจก่อนตัดสินใจซื้อไปปลูกประดับครับ.ไทยรัฐ


    กันภัยมหิดล  ดอกสวยกับที่มาชื่อและพันธุ์
ไม้ต้นนี้ถูกค้นพบโดยเจ้าหน้าที่ของกองพืชฯ กรมวิชาการเกษตร เมื่อวันที่ ๑๔ ก.ย.๑๐ บริเวณเขาหินปูนเตี้ยๆ หลังสถานีรถไฟวังโต จ.กาญจนบุรี เป็นไม้เถาเลื้อยสกุลเดียวกับถั่วแปบช้าง แต่สีสันของดอกไม่เหมือนกัน เจ้าหน้าที่จึงเก็บเอาเมล็ดจากฝักไปปลูกที่กรุงเทพฯ ในวันที่ ๑๕ พ.ย. ปีเดียวกันพร้อมกับนำตัวอย่างส่งไปพิสูจน์ชื่อที่ประเทศสกอตแลนด์ ได้รับการยืนยันว่าเป็นคนละต้นกับถั่วแปบช้าง แต่อยู่ในสกุลเดียวกันและเป็นพันธุ์ใหม่ จึงได้ทำเรื่องขอพระราชทานชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่พระชนนีศรีสังวาลย์ในขณะนั้น โดยมีคำแนะนำให้ใช้คำว่า ศรีสังวาลย์ หรือมหิดล เลยได้ชื่อว่า “กันภัยมหิดล” ดังกล่าวและเรียกกันเรื่อยมาจนปัจจุบัน

กันภัยมหิดล หรือ SCIENTIFIC NAME, AFGEKIA MAHIDOLAE BURTTET CHERMSIRIXATHANA อยู่ในวงศ์ FABACEAE, LEGUMINOSAE, PAPILIONOIDEAE เป็นไม้เถาเลื้อยมีขนนุ่มหนาแน่น ใบประกอบขนนก ออกเรียงสลับ มีใบย่อย ๙-๑๑ ใบ เป็นรูปไข่กลับ ปลายมนเป็นติ่ง โคนมน ใบดกและเยอะมาก

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่ง ดอกเป็นรูปดอกถั่ว ยาว ๒ ซม. กลีบเลี้ยงโคนซ้อนกัน ปลายแยกเป็น ๕ แฉก ก้านช่อดอกยาว กลีบดอกเป็นสีม่วง ลักษณะดอกคล้ายกับดอกถั่วแปบช้าง เวลามีดอกดกดอกจะชูตั้งขึ้นสวยงามน่าชมยิ่งนัก มีเกสรตัวผู้ ๑๐ อัน โคนเชื่อมกัน ๙ อัน “ผล” เป็นฝักแบน มีหลายเมล็ด ดอกออกช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายนทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด

ปัจจุบันต้น “กันภัยมหิดล” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาแต่ละแผงไม่เท่ากันหรืออยู่ที่ขนาดของต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับให้ต้นหรือเถาเลื้อยพันรั้วและไต่ซุ้มดอกเห็ดทำม้านั่งรอบโคนต้น เวลามีดอกดกตามฤดูกาลจะดูสวยงามมากครับ. ไทยรัฐ


    พุดกุหลาบฮอลแลนด์
พุดกุหลาบฮอลแลนด์ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศเนเธอร์แลนด์ หรือ ฮอลแลนด์ นำเข้ามาปลูกขยายพันธุ์ในบ้านเรานานแล้ว มีลักษณะเด่นเฉพาะตัวคือ มีกลีบดอกเรียงซ้อนกันหลายชั้นจนทำให้ดูคล้ายดอกกุหลาบสีขาวสวยงามมาก จึงถูกตั้งชื่อภาษาไทยว่า “พุดกุหลาบฮอลแลนด์” และที่สำคัญดอกจะมีกลิ่นหอมแรงมาก เวลามีดอกดกเต็มต้นและดอกบานพร้อมกันจะส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายเป็นที่ชื่นใจยิ่งนัก

ส่วนพุดสายพันธุ์ที่มีดอกลักษณะใกล้เคียงกับ “พุดกุหลาบฮอลแลนด์” คือ พุดฮาวายกับพุดเวียดนาม ทั้ง ๒ ชนิดนี้มีข้อแตกต่างกับ “พุดกุหลาบฮอลแลนด์” คือ มีกลีบดอกเรียงซ้อนกัน ๒ ชั้น หรือไม่เกิน ๓ ชั้น ขนาดของดอกใหญ่ใกล้เคียงกัน จึงทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดเสมอว่าเป็นพุดต้นเดียวกัน

พุดกุหลาบฮอลแลนด์ หรือ GRADENIA JASMINOIDES อยู่ในวงศ์ RUBIACEAE เป็นไม้พุ่มสูง ๑.๕-๒ เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกันข้ามรูปไข่กลับ ปลายแหลม โคนสอบ สีเขียวสด ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆที่ปลายยอด มีกลีบดอก ๕-๗ กลีบ เรียงซ้อนกันหนาแน่นหลายชั้นเกินกว่า ๕-๖ ชั้น เนื้อกลีบดอกหนาแข็ง เป็นสีขาว ดอกมีกลิ่นหอมแรง โดยเฉพาะตอนพลบค่ำ ดอกแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ดอกบานได้ทนนาน ๕ วัน เมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓-๔ นิ้วฟุต ดอกออกได้เรื่อยๆ และดกมาก ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่งและตอนกิ่ง
มีกิ่งตอนรุ่นใหม่ขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ    ไทยรัฐ


    "อโศกขาว" ใบอ่อนสวยเหมือนดอก

อโศกชนิดนี้ มีถิ่นกำเนิดจาก นิวกินี ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ขายในประเทศไทยบ้านเรานานหลายปีแล้ว  “อโศกขาว” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์เฉพาะคือ MANILTOA GRANDIFLORA SCHEFF., WHITE HAND- KERCHIEF อยู่ในวงศ์ LEGUMINOSAE หรือ FABACEAE มีลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม ต้นสูงเต็มที่เฉลี่ยระหว่าง ๔-๕ เมตรเท่านั้น ไม่ผลัดใบ แตกกิ่งก้านเป็นทรงพุ่มหนาแน่น

ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกชนิดปลายคู่ มีใบย่อย ๑-๓ คู่ เป็นรูปขอบขนานหรือรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบสอบหรือป้าน ใบยาวประมาณ ๙-๑๗ ซม. และที่เป็นจุดเด่นคือเมื่อแตกใบอ่อน ใบอ่อนดังกล่าวจะเป็นพู่ หรือเป็นจีบเรียงซ้อนกันเป็นระเบียบยาวห้อยลงเป็นระย้า และเป็นสีขาวหรือสีชมพูทำให้ดูเหมือนดอก เวลาแตกยอดอ่อนทั้งต้นยอดอ่อนห้อยลงลองหลับตานึกภาพดูว่าจะสวยงามน่าชมขนาดไหน ผู้นำเข้าจึงตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “อโศกขาว” ดังกล่าว ซึ่งหลังจากใบอ่อนแก่ขึ้นจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวตามธรรมชาติ จากนั้นก็จะแตกยอดอ่อนเป็นสีขาวหรือสีชมพูให้ ชื่นชมอย่างต่อเนื่องไม่ขาดต้น

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆที่ปลายยอด หรือออกตามกิ่งก้านใกล้ก้านใบ มีใบประดับหุ้มหลายชั้น มีกลีบดอก ๕ กลีบ ขนาดเล็กไม่เท่ากัน มีเกสรตัวผู้สีขาวจำนวนมาก “ผล” เป็นฝักยาว ภายในมีเมล็ด ๑-๒ เมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

ปัจจุบัน “อโศกขาว” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ หลายแผงหลายเจ้า มีทั้งต้นขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไป เวลาแตกยอดอ่อนจะดูสวยงามมากครับ   ไทยรัฐ


    โมกหลวงสีชมพู สวยหอม อมตะ
โมกหลวงชนิดนี้ เกิดจากการเอาเมล็ดของโมกหลวงพันธุ์ดั้งเดิมที่มีดอกเป็นสีขาวไปเพาะเป็นต้นกล้าหลายเมล็ดและหลายต้น จากนั้นก็ปลูกเลี้ยงจนต้นโตมีดอก ปรากฏว่ามีอยู่ ๒-๓ ต้นที่สีสันของดอกเป็นสีชมพูแตกต่างจากสีสันของดอกโมกหลวงพันธุ์แม่ที่เป็นสีขาวอย่างชัดเจน ผู้ขยายพันธุ์เชื่อว่าเป็นไม้กลายพันธุ์ จึงทำการขยายพันธุ์ปลูกทดสอบความนิ่งของพันธุ์หลายวิธีและหลายครั้ง ปรากฏว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม คือ สีสันของดอกยังคงเป็นสีชมพูไม่กลับไปเป็นสีขาวเช่นโมกหลวงพันธุ์แม่อีก ทำให้มั่นใจว่าได้กลายพันธุ์ถาวรอย่างแน่นอนแล้ว จึงตั้งชื่อว่า “โมกหลวงสีชมพู” พร้อมขยายพันธุ์ตอนกิ่งวางขายได้รับความนิยมปลูกอย่างแพร่หลายขณะนี้

โมกหลวงสีชมพู หรือ HOLARRHENA ANTIDYSENTERICA WALL อยู่ในวงศ์ APOCYNACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๘-๑๕ เมตร เปลือกต้นเรียบ สีน้ำตาลเข้ม ทุกส่วนมียางขาวข้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกตรงกันข้าม รูปรีกว้าง ปลายใบแหลม โคนมน หน้าใบสีเขียว ท้องใบมีขนสีขาวละเอียด ขอบใบเรียบ

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ลักษณะดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็นกลีบดอก ๕ กลีบ รูปรียาว ปลายกลีบมน เนื้อกลีบค่อนข้างหนา กลีบดอกเป็นสีชมพูอ่อนจนถึงชมพูเข้ม ดอกมีกลิ่นหอมแรงเหมือนกับดอกโมกหลวงชนิดดอกสีขาวที่เป็นพันธุ์แม่ทุกอย่าง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงาม และส่งกลิ่นหอมมากแบบเป็นอมตะไม่เสื่อมคลาย “ผล” เป็นฝักยาว มีเมล็ดแบน มีปีกสีขาวคล้ายปุยนุ่นติดที่บริเวณส่วนปลายของเมล็ดด้านหนึ่ง ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด

มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๑ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกประดับในบริเวณบ้าน เวลามีดอกจะสวยงามและส่งกลิ่นหอมชื่นใจครับ. ไทยรัฐ


    เหลืองอินเดีย อร่ามตาฤดูร้อน
ในช่วง ระหว่างเดือน มีนาคม ต่อเนื่องไปจน ถึงเดือนเมษายน ของทุกๆปี ใครที่เป็นคนช่างสังเกตจะพบว่าตามริมถนนหลายสายทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดบางจังหวัดที่ปลูกต้น “เหลืองอินเดีย” ๒ ข้างทางเป็นแนวยาวตลอดทั้งถนนจะมีดอกบานสะพรั่งเป็นสีเหลืองอร่ามสวยงามน่าชมมาก ซึ่งหลายคนอยากทราบว่าต้น “เหลืองอินเดีย” เป็นอย่างไร มีถิ่นกำเนิดจากที่ไหน และหาซื้อต้นไปปลูกได้จากแหล่งใด

เหลืองอินเดีย มีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศเม็กซิโกถึงตอนเหนือของประเทศเวเนซุเอลา จากนั้นมีผู้นำพันธุ์ไปปลูกในเขตร้อนทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วยที่ถูกนำเข้ามาปลูกประดับตั้งแต่โบราณแล้วในชื่อว่า “เหลืองอินเดีย” มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะว่า TABEBUIA CHRY-SANTHA (JACQ.) NICHOLS ชื่อสามัญ GOLDEN TREE ลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูง ๕-๙ เมตร ใบเป็นประกอบแบบนิ้วมือ มีใบย่อย ๕ ใบ รูปรีแกมขอบขนานหรือรูปขอบขนานปลายเรียวแหลมและเป็นติ่งสั้นๆ โคนมนด้านล่างใบมีขนสีขาว

ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย ๓-๑๐ ดอก กลีบเลี้ยงมีขน ส่วนกลีบดอกโคนเชื่อมติดกันเป็นหลอดยาว ๔-๗ ซม. ปลายแยกเป็นรูปปากแตรหรือเป็นกลีบดอก ๕ กลีบ เป็นสีเหลืองสดใส ดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลาง ๓-๔ ซม. มีเกสรตัวผู้ ๔ อัน สั้น ๒ อัน ยาว ๒ อัน โคนก้านเกสรมีขน เวลามีดอกจะทิ้งใบหมดทั้งต้น เหลือเพียงดอกเป็นสีเหลืองอร่ามงดงามจับใจมาก ดอกออกช่วงฤดูร้อนตามที่กล่าวข้างต้น ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง

ปัจจุบันต้น “เหลืองอินเดีย” มีทั้งต้นขนาดเล็กและต้นขนาดใหญ่วางขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป ทนแล้งได้ดี นิยมปลูกประดับในบริเวณบ้านสำนักงาน สวนสาธารณะ ริมถนนสองข้างทางเวลามีดอกจะทิ้งใบหมดเหลือเพียงดอกเหลืองอร่ามงดงามยิ่งครับ.  ไทยรัฐ


    “บอทเทิลทรี” ต้นกักน้ำดอกสวย
ไม้ต้นนี้ มีวางขายมีภาพถ่ายของต้นและดอกจริงแขวนโชว์ให้ชมด้วย และยังมีป้ายชื่อภาษาไทยติดไว้ว่า “บอทเทิลทรี” กับชื่อภาษาอังกฤษ BRACHYCHITON POPULNEUS, BOTTLE TREE แต่ผู้ขายบอกลักษณะทางพฤกษศาสตร์ไม่ได้ รู้เพียงว่าเป็นไม้นำมาจากประเทศออสเตรเลีย มีดอกสีสันงดงามมากเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ได้จากเพื่อน ช่วยเหลือมอบให้พอจะบอกได้ว่า ต้น “บอทเทิล-ทรี” มีถิ่นที่พบจากรัฐควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์ ของประเทศออสเตรเลีย และมีชื่อวิทยาศาสตร์คือ BRACHYCHITON POPULNEUS ชื่อสามัญ LACEBARK KURRATONG หรือ “ต้นไม้ขวด” อยู่ในวงศ์ STERCULIACEAE เป็นไม้ยืนต้นสูง ๑๐-๑๕ เมตร พบขึ้นตามธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่แห้งแล้งหรือทะเลทรายทั่วไป

บอทเทิลทรี หรือ “ต้นไม้ขวด” จะมีความเป็นพิเศษคือ ลำต้นสามารถเก็บกักเอาน้ำไว้ในลำต้นเพื่อใช้หล่อเลี้ยงตัวเองได้ในช่วงที่เจอสภาพอากาศแห้งแล้งจัด โดยในช่วงที่ลำต้นกักเก็บน้ำนั้นจะมีลักษณะอ้วนป่องขนาดใหญ่ทำให้ดูคล้ายขวดโบราณ จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะดังกล่าวว่า “ต้นไม้ขวด” ส่วนปลายของลำต้นจะแตกกิ่งก้านสาขาเช่นต้นไม้ทั่วไป ใบมี ๒ แบบ คือใบกลมรีขนาดใหญ่และใบเรียวแหลมขนาดเล็ก ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ปลายยอด มีดอกย่อยจำนวนมาก ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นกลีบดอกรูประฆัง ๕ แฉก แต่ละแฉกแหลม ภายในหลอดดอกมีเกสรสีเหลืองเป็นกระจุก กลีบดอกเป็นสีชมพูเข้ม หรือสีชมพูอ่อน เวลามีดอกเต็มต้นและดอกบานพร้อมกันจะดูสวยงามมาก “ผล” รูปทรงกลม ภายในมีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ชาวพื้นเมืองของออสเตรเลียนิยมเอาเมล็ดไปคั่วก่อนกินเป็นอาหาร
มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑ ราคาสอบถามกันเองครับ.  ไทยรัฐ


    “ไดโนซอรัส” ไม้ประดับใบสวย
ต้น “ไดโนซอรัส” หรือ ไดโนเสาร์ ที่เคยแนะนำไปนั้น เป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ผู้ขายบอกไม่ได้ว่าเป็นประเทศอะไร มีลักษณะเป็นไม้เถาเลื้อยขนาดเล็ก มีเหง้าใต้ดิน เถาสามารถเลื้อยหรือพาดพันต้นไม้อื่นได้ยาวกว่า ๓ เมตร เถารูปทรงกลม มีขนละเอียดทั่ว แตกกิ่งก้านน้อย เถาเป็นสีแดงอมม่วง เถาอ่อนจะเป็นสีเขียวก่อนเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงเมื่อแก่ขึ้น

ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับห่างๆ ก้านใบยาวเป็นสีแดงอมม่วง ใบเป็นรูปนิ้วมือ ปลายใบเว้าหรือหยักเป็น ๓ แฉก ปลายแต่ละแฉกแหลม แฉกตรงกลางจะยาวกว่า ๒ แฉกที่อยู่ด้านข้างอย่างชัดเจน โคนใบมน แผ่นใบอ่อนเป็นสีเขียว มีลายสีขาวแทงขึ้นจากโคนใบไปจนจดปลายแฉกทั้ง ๓ แฉก ทำให้ดูเหมือนกับรอยเท้าของตัวไดโนเสาร์สวยงามมาก หลังใบเป็นสีม่วงเข้ม ใบเมื่อแก่ขึ้นหน้าใบจะเป็นสีแดงอมม่วง จึงเป็นที่มาของชื่อที่ผู้นำเข้าตั้งให้คือ “ไดโนซอรัส” และ “ไดโนเสาร์” เวลาเถาเลื้อยพาดพันโครงหรือห้อยเป็นสายยาวและมีใบดกจะงดงามแปลกตาแก่ผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนดอก ผู้ขายบอกไม่เคยพบเห็น จึงไม่มั่นใจว่าต้น “ไดโนซอรัส” หรือไดโนเสาร์จะมีดอกหรือไม่ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำต้น เหมาะจะปลูกทั้งลงดินทำโครงให้เถาไต่ หรือปลูกลงกระถางแขวนให้เถาห้อยลงเป็นสายยาว เวลามีใบจะสวยงามมากครับ.   ไทยรัฐ


    “สตรอเบอรี่แคคตัส” สวยแปลก
ผู้อ่านไทยรัฐจำนวนมากที่ชอบปลูกไม้ประดับจำพวกต้นกระบองเพชร อยากทราบว่าต้น “สตรอเบอรี่แคคตัส” เป็นอย่างไร ซึ่งก็เป็นต้นกระบองเพชรชนิดหนึ่งที่มีลักษณะเด่นเฉพาะพันธุ์คือ ขนาดของต้นเล็ก แตกต้นเป็นกอกระจายหลายสิบต้นต่อกอ ลำต้นเป็นสีม่วงอมแดง เวลาแตกต้นเป็นกอจำนวนหลายๆต้นทำให้ดูคล้ายผลสตรอเบอรี่เป็นกระจุกสวยงามน่าชมมาก จึงถูกตั้งชื่อตามลักษณะว่า “สตรอเบอรี่แคคตัส” ดังกล่าว เป็นไม้นําเข้าจากต่างประเทศนานกว่า ๒ ปีแล้ว ระบุไม่ได้ว่าเป็นพันธุ์ลูกผสมใหม่หรือพันธุ์แท้ กำลังนิยมแพร่หลายในปัจจุบัน

สตรอเบอรี่แคคตัส มีชื่อเฉพาะคือ SULCOREBUTIA RAUSCHII ลำต้นเป็นรูปทรงกลมขนาดเล็ก ต้นสูงไม่เกิน ๒-๒.๕ นิ้วฟุต ตามลำต้นมีหนามแหลมสั้นกระจายทั่ว แตกต้นเป็นกอเบียดกันหนาแน่นจำนวนมากกว่า ๒๐-๓๐ ต้น
ขึ้นไป ลำต้นเป็นสีแดงอมม่วง

ดอก ออกบริเวณปลายยอดของต้น กลีบดอกเป็นสีแดงอมม่วง เวลามีดอกพร้อมๆกันหลายๆ ต้น จะมีสีสันสวยงามน่าชมยิ่งนัก “ผล” กลมขนาดเล็ก มีเมล็ด ดอกออกได้เรื่อยๆ อยู่ที่ความสมบูรณ์ของต้น ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และเสียบยอดกับตอต้นแก้วมังกร

การปลูก “สตรอเบอรี่แคคตัส” เป็นไม้ชอบแดดจัด ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ชอบนํ้ามากนักจะทำให้รากเน่าตาย หลังปลูกรดนํ้า ๗-๑๐ วันครั้ง ในช่วงฤดูฝนต้องยกหลบไม่ให้โดนฝน เพราะไม่ชอบฝน บำรุงปุ๋ยละลายช้าสูตรเสมอ ๓-๔ เดือนครั้ง จะทำให้ต้น “สตรอเบอรี่แคคตัส” แตกเป็นกอจำนวนมากและมีดอกสวยงาม
ปัจจุบัน “สตรอเบอรี่แคคตัส” กำลังเป็นที่นิยมปลูกอย่างแพร่หลาย เนื่องจากเป็นแคคตัสหรือต้นกระบองเพชรขนาดเล็กสามารถยกไปตั้งประดับบนโต๊ะทำงานหรือเคลื่อนย้ายได้ง่ายนั่นเอง

มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณตรงกันข้ามกับโครงการ ๑๓ หรือโครงการ ๑๕ ผู้ขายมีวิธีปลูกแนะนำให้ด้วย ราคาสอบถามกันเองครับ   ไทยรัฐ


    พวงแก้วกุดั่น ดอกสวยหอมแรง
หลายคนอยากทราบว่า “พวงแก้วกุดั่น” เป็นอย่างไรและจะหาซื้อต้นไปปลูกประดับได้จากที่ไหน ซึ่ง “พวงแก้วกุดั่น” ถูกระบุว่าเป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดจากประเทศอินเดีย แล้วกระจายพันธุ์ปลูกในเขตร้อนไปทั่วโลก ในประเทศไทยถูกนำเข้ามาปลูกแพร่หลายช้านานแล้วจนกลายเป็นไม้ไทยไปโดยปริยาย ส่วนใหญ่จะปลูกให้ต้นหรือเถาเลื้อยพันรั้วหน้าบ้านหรือปลูกให้เลื้อยซุ้มประตูทางเข้าบ้าน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันตามฤดูกาลนอกจากจะดูสวยงามแล้ว ดอกยังส่งกลิ่นหอมแรงฟุ้งกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ชื่นใจยิ่ง

พวงแก้วกุดั่น หรือ CLEMATIS SMILACIFOLIA WALL. อยู่ในวงศ์ RANUNCULACEAE เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งอายุหลายปี ต้นหรือเถาสามารถเลื้อยได้ยาวกว่า ๕ เมตร ลำต้นกลมสีเขียวหรือสีคลํ้าดำเกือบม่วง ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปไข่ ปลายและโคนใบแหลม เนื้อใบค่อนข้างหนา ผิวใบและขอบใบเรียบเป็นมัน สีเขียวสด ใบดกน่าชมมาก

ดอก ออกเป็นช่อกระจุก ๒-๓ ดอกต่อช่อ ออกตามซอกใบ มีกลีบเลี้ยง ๔-๖ แฉก รูปแถบยาว ปลายแฉกแหลม สีม่วงแดง ปลายกลีบเลี้ยงจะม้วนงอลงชัดเจน กลีบดอกไม่มี ส่วนที่เป็นฝอยๆ สีขาวจำนวนมากนั้นคือเกสรไม่ใช่กลีบดอก ดอกจะทยอยบานไม่พร้อมกัน ดอกมีกลิ่นหอมแรงตลอดทั้งวัน จะส่งกลิ่นจัดจ้านยิ่งขึ้นในช่วงพลบคํ่า ทำให้เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันหลายๆ ดอก นอกจากจะดูงดงามแล้ว ดอกยังส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายเป็นที่ประทับใจมาก “ผล” รูปทรงกลม มีขนาดเล็ก ภายในมีเมล็ดเยอะ ดอกออกช่วงระหว่างเดือนมกราคม ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนเมษายนของทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและปักชำต้น มีชื่อเรียกในประเทศไทยอีกคือ เครือจางหลวง และจางน้อย

มีต้นขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น เป็นไม้ชอบแดดจัด ไม่ชอบนํ้าท่วมขังครับ.  ไทยรัฐ


    บัวรัตติกาล บานกลางคืนสีสวย
บัวชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานแล้ว จัดเป็นบัวสายชนิดหนึ่งที่ดอกจะบานสะพรั่งตอนกลางคืนตั้งแต่พลบคํ่าเรื่อยไปจนถึงรุ่งเช้าประมาณสิบโมงเช้าดอกจะหุบลง จึงถูกตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “บัวรัตติกาล” หรืออีกชื่อหนึ่ง “บัวราตรี” ซึ่งก็เป็นตัวเดียวกันกับบัวเรดแฟร์ ที่เคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้ว เวลามีดอกบานยามคํ่าคืนถูกแสงจันทร์ในคืนพระจันทร์เต็มดวงหรือแสงไฟสาดส่องกระทบสีสันของกลีบดอกจะดูสวยงามยิ่งนัก

บัวรัตติกาล หรือ บัวเรดแฟร์ อยู่ในวงศ์ MYMPHAEACEAE เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นใต้ดินคล้ายหัวเผือก ใบเดี่ยวออกสลับลอยเหนือผิวนํ้าเรียงเป็นวงกว้าง แผ่นใบค่อนข้างกลม โคนเว้าลึก ขอบจัก ผิวใบเป็นสีแดงอมม่วงเกือบดำ มีขนนุ่ม ก้านใบหรือเรียกว่าสายบัวเป็นสีแดงเข้ม เมื่อหักจะมีใยสีขาวยาวยืดเรียกว่า “ใยบัว” ที่คนมักจะเอาไปเปรียบเทียบเป็นคำพังเพยว่า “ตัดบัวแล้วยังเหลือเยื่อใย” ซึ่งก็หมายถึง “ตัดไม่ขาด” นั่นเอง

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆ บานเหนือนํ้าเล็กน้อย มีกลีบเลี้ยง ๔ กลีบ ด้านหลังกลีบเลี้ยงเป็นสีเขียว ด้านในเป็นสีเดียวกับกลีบดอก ซึ่งกลีบดอกจะมีจำนวนมากเรียงซ้อนกันหลายชั้น เป็นสีแดงเข้มหรือสีแดงอมม่วงตามภาพประกอบคอลัมน์ ดอกมีขนาดใหญ่กว่าดอกบัวสายสายพันธุ์ไทยทั่วไป ดอกจะบานเฉพาะตอนกลางคืนและจะหุบตอนเช้าประมาณสิบโมงเช้าตามที่กล่าวข้างต้น ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยหน่อ

ปัจจุบัน “บัวรัตติกาล” หรือบัวเรดแฟร์ และ “บัวราตรี” มีขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒ ราคาสอบถามกันเอง นิยมปลูกลงกระถางบัวตั้งประดับในที่แจ้ง บำรุงปุ๋ยสูตร ๑๖-๑๖-๑๖ ห่อด้วยกระดาษชำระ ๕-๗ เม็ด กดลงใต้ดินในกระถางเดือนละครั้งจะทำให้ “บัวรัตติกาล” มีดอกสวยงามยามราตรีครับ.  ไทยรัฐ


    บัวคิงออฟสยาม ชื่อมงคลสวยหอม
ผู้อ่านไทยรัฐจำนวนมาก อยากทราบว่า “บัวคิงออฟสยาม” มีความเป็นมาอย่างไร ซึ่ง บัวดังกล่าวจัดอยู่ในกลุ่มของ บัวผัน ที่มีการเจริญจากหัวหรือเหง้าใต้ดินในแนวตั้ง เป็นบัวที่เกิดจากการขยายพันธุ์โดยฝีมือของ อ.ชัยพล ธรรมสุวรรณ มีลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือ สีสันของดอกสวยงามน่าชมยิ่ง และดอกยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ อีกด้วย จึงตั้งชื่อเป็นมงคลว่า “บัวคิงออฟสยาม” หรืออีกชื่อหนึ่งว่า “บัวฉลองขวัญ” ดังกล่าว

บัวคิงออฟสยาม หรือ “บัวฉลองขวัญ” อยู่ในสกุล NYMPHAEA และอยู่ในวงศ์ NYMPHAEACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวหรือเหง้า ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับถี่ลอยบนผิวน้ำ เป็นวงกลม แผ่นใบเป็นรูปไข่ โคนเว้า ฐานใบเปิดครึ่งหนึ่ง ขอบเรียบและเป็นคลื่น ด้านบนสีเขียวมัน ด้านล่างสีม่วงอมน้ำเงิน ในก้านใบมีน้ำยางใส เมื่อหักจะเป็นใยติดยาวยืด เรียกว่า “ใยบัว” ซึ่งคนมักจะนำไปเปรียบเปรยว่า “ตัดบัวแล้วยังมีเยื่อใย” หมายถึงยังตัดไม่ขาดนั่นเอง

ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวๆตามซอกใบ บานเหนือน้ำ ปลายกลีบดอกแหลมเรียงซ้อนกันหลายชั้น เป็นสีม่วงเข้มหรือสีม่วงอมชมพู ใจกลางดอกมีเกสรจำนวนมากเป็นสีเหลืองสด ดอกบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐-๑๒ ซม. ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เวลามีดอกบานเหนือน้ำหลายๆดอกจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมโชยเข้าจมูกเมื่อเข้าไปใกล้ๆ เป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” ค่อนข้างกลม อยู่ในน้ำ มีเมล็ด จำนวนมาก ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและหน่อ นิยมปลูกประดับ ทั้งลงกระถางบัวและปลูกลงสระน้ำจำลองที่มีน้ำไม่สูงนัก เนื่องจาก “บัวคิงออฟสยาม” หรือ “บัวฉลองขวัญ” เป็นสายพันธุ์ที่ชอบน้ำตื้นและลึกปานกลาง ชอบแดดจัด ๕-๖ ชั่วโมงต่อวัน บำรุงปุ๋ยสม่ำเสมอจะมีดอก สวยงามและส่งกลิ่นหอมประทับใจยิ่ง

มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒  ราคาสอบถามกันเองครับ.  ไทยรัฐ

3334  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: "เกษตรน่ารู้" สารพัดสารพันเรื่องพันธุ์ไม้ เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2558 20:03:53
.

 
     แคบ้าน
แคบ้าน หรือ SESBAN–SESBANIA GRANDIFLORA (L.) PERS. อยู่ในวงศ์ LEGUMINOSAE เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก ต้นสูง ๕-๑๐ เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ ใบย่อยเป็นรูปขอบขนานออกตรงกันข้าม สีเขียวสด

ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย ๓-๕ ดอก ลักษณะดอกเป็นรูปดอกถั่ว มีด้วยกัน๒ สี คือ ชนิดดอกสีขาว กับ ชนิดดอกสีแดง ซึ่งชนิดดอกสีขาวมีวางขายมากมายตามตลาดสดทั่วไป ชนิดดอกสีแดงนานๆจะมีวางขายไม่มากนัก ชนิดดอกสีขาวนิยมปรุงเป็นแกงส้มหรือต้มลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริก ชนิดดอกสีแดงจะลวกหรือต้มเป็นผักจิ้มน้ำพริกชนิดต่างๆอย่างเดียว ไม่นิยมปรุงเป็นแกงส้ม เพราะจะทำให้น้ำแกงเป็นสีม่วง ยอดอ่อนต้มหรือลวกเป็นผักจิ้มน้ำพริกได้อร่อยเช่นเดียวกัน “ผล” เป็นฝักยาว มีเมล็ดจำนวนมาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง

ประโยชน์อื่น ใบสดตำให้ละเอียดแล้วคั้นเอาเฉพาะน้ำใช้ย้อมผ้า เปลือกต้นแบบสดต้มน้ำเดือดมีรสฝาดจัดใช้ย้อมแหอวน หรือหนังดีมาก สมัยก่อนนิยมกันอย่างแพร่หลาย ต้น “แคบ้าน” ปลูกจำนวนหลายๆ ต้นจะช่วยทำให้ดินที่ไม่ดีหรือดินเสื่อมคุณภาพกลาย เป็นดินดีขึ้นมาได้ในเวลาอันรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ

ชาวอินเดีย นิยมเอาน้ำที่คั้นได้จากดอกหรือใบ สูบเอาน้ำเข้าจมูกเป็นยารักษาโรคริดสีดวงจมูกทุกระดับ ทำให้มีน้ำมูกไหลออกมาและหายได้ในที่สุด นอกจากนั้น ชาวอินเดียยังนิยมต้มเอาน้ำจากเปลือกต้นเป็นยาสมานแผลได้ดีอีกด้วย  ปัจจุบัน “แคบ้าน” ทั้งสองชนิด มีต้นขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาแต่ละแห่งไม่เท่ากัน ต้องสำรวจราคาก่อนซื้อไปปลูกครับ.  
  นสพ.ไทยรัฐ – พฤหัสบดีที่ ๑๕/๕/๕๗


     แคดอกแดง
แคดอกแดง เป็นไม้ต้นขนาดเล็ก สูง ๓-๖ เมตร แตกกิ่งก้านสาขามาก เปลือกต้นสีน้ำตาลปนเทาขรุขระแตกเป็นสะเก็ด ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกออกเรียงสลับ ใยย่อยรูปรีขอบขนาน ยาว ๓-๔ ซม. ปลายใบและโคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว  ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบ ๒-๔ ดอก  ดอกสีแดงมีกลิ่นหอม ก้านเกสรเพศผู้สีขาว ๖๐ อัน ผลเป็นฝัก ยาว ๘-๑๕ ซม. ฝักแก่แตกเป็น ๒ ซีก เมล็ดกลมแป้น สีน้ำตาล มีหลายเมล็ด

เป็นพืชที่มีสรรพคุณทางสมุนไพรไทย โดยเปลือกต้มหรือฝนรับประทาน แก้โรคบิดมีตัว แก้มูกเลือด แก้ท้องเดิน ท้องร่วง คุมธาตุ ใช้ชะล้างบาดแผล ดอกและใบรับประทานแก้ไข้ เปลี่ยนอากาศ เปลี่ยนฤดู ชาวอินเดีย ใช้สูดดมน้ำที่คั้นได้จากดอกหรือใบแคเข้าจมูกรักษาโรคริดสีดวงในจมูก และทำให้มีน้ำมูกออกมา แก้ปวดและหนักศีรษะ ลดความร้อน ลดไข้ ใบสด ทำให้ระบาย นำมาตำละเอียดพอกแก้ช้ำชอก
  นสพ.เดลินิวส์



     ลูกยอ
ยอ เป็นไม้พุ่มหรือไม้ขนาดเล็ก เป็นไม้พื้นเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่มีผู้นำไปแพร่พันธุ์จนกระจายไปทั่วอินเดียและตามหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกและหมู่เกาะอินดัสตะวันตก ต้นยอขึ้นได้ทั้งในป่าทึบหรือตามชายฝั่งทะเลที่เป็นโขดเขาหรือพื้นทราย ต้นโตเต็มที่เมื่ออายุครบ ๑๘ เดือน และให้ผลซึ่งมีน้ำหนักรวมกันระหว่าง ๔-๘ กิโลกรัมต่อเดือน ตลอดทั้งปี ทนทานต่อดินเค็ม สภาวะแห้งแล้ง และดินทุติยภูมิ จึงพบแพร่หลายทั่วไป

ผลยอเป็นผลรวม กลิ่นฉุนเมื่อสุก แม้จะมีกลิ่นแรงและรสขม แต่ก็มีการบริโภคผลยอกันมาก ทั้งดิบๆ หรือปรุงแต่ง บางหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก กินผลยอเป็นอาหารหลัก ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และชาวพื้นเมืองออสเตรเลียกินผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงกับผงกะหรี่ เมล็ดของยอคั่วรับประทานได้

ทางการแพทย์แผนไทยระบุไอระเหยจากลูกยอใช้รักษากุ้งยิง ลูกยอดิบใช้รักษาอาการเจ็บ หรือแผลตกสะเก็ดรอบปากหรือข้างในปาก ลูกยอสุก ใช้รับประทาน ลูกยอบดละเอียดใช้กลั้วคอแก้คอเจ็บ ลูกยอบดใช้ทาเท้าแก้เท้าแตก ใช้ทาผิวฆ่าเชื้อโรค หรือรับประทานเพื่อฆ่าพยาธิในร่างกาย รักษาบาดแผลและอาการบวม แก้ปากและเหงือกอักเสบ แก้ปวดฟัน กระตุ้นความอยากอาหารและสมอง ใช้ทำอาหารหมู ทำยาพอก ใช้แก้หัวสิว ตุ่ม ฝีฝักบัว แก้วัณโรค อาการเคล็ด แผลถลอกลึก โรคปวดในข้อ น้ำมันสกัดจากลูกยอใช้แก้ปวดกระเพาะ แก้ความดันโลหิตสูง
  นสพ.เดลินิวส์



     เปลือกหมากสด   กำจัดคราบหินปูนฟัน
คนส่วนใหญ่พอมีคราบหินปูนเกาะตามซอกฟันมักไม่ชอบไปพบทันตแพทย์หรือหมอฟัน เพราะกลัวเจ็บและกลัวเสียวฟัน ซึ่งในยุคสมัยก่อนใครมีคราบหินปูนเกาะตามซอกฟัน มีวิธีกำจัดแบบง่ายๆ คือ เอา “เปลือกหมากสด” ผ่าเป็นซีกเอาเนื้อหมากออกแล้วตัดขวางระหว่างกลางซีกแล้วทุบให้ส่วนปลายที่ตัดพอให้แตกและนิ่มถู บริเวณที่มีคราบหินปูนเกาะวันละครั้ง ถูต่อเนื่อง ๒-๓ วัน จะพบว่าคราบหินปูนที่เกาะอยู่หลุดหายไปได้

หมาก หรือ ARECA CATECHU LINN. อยู่ในวงศ์ ARECACEAE ราก ของต้น “หมาก” นำไปแช่เหล้าขาว ๔๐ ดีกรี ดื่มแก้ปวดเมื่อยเส้นเอ็น ราก ต้มน้ำดื่มแก้พิษร้อนภายใน สมานลำไส้ ใบ ต้มน้ำดื่มและอาบแก้ไข้ แก้หวัด ผื่นคันตามตัว ป้องกันสารพิษทำลายตับ ราก ต้มน้ำเดือดอมขณะอุ่นแก้ปากเปื่อย ถอนพิษถูกสารปรอทในฟันได้ดีมาก สมัยก่อนนิยมกันอย่างแพร่หลาย
  นสพ.ไทยรัฐ



     ข้าวเย็น
ข้าวเย็นเป็นไม้เถาเนื้อแข็ง ลงหัว เลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น หรือตามพื้นดิน ลำต้นกลมหรือเป็นเหลี่ยมเล็กน้อย เถามีหนาม กระจายห่างๆ หัวมีเนื้อแข็ง ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปรี ถึงรูปรีแกมรูปใบหอก ปลายกลมหรือเว้าตื้น และเป็นติ่งแหลมสั้น โคนกลม ขอบเรียบ แผ่นใบหนา คล้ายแผ่นหนัง ผิวใบเกลี้ยงทั้งสองด้าน เส้นใบหลัก ๕-๗ เส้น มี ๓ เส้นกลาง ที่เด่นชัดกว่าเส้นที่เหลือด้านข้าง  เชื่อมกับเหนือโคนใบ มือจับยาวได้ถึง ๑๒ เซนติเมตร ช่อดอกแบบช่อซี่ร่ม ๑-๓ ช่อดอก ออกที่ซอกใบ ใกล้ปลายกิ่ง ดอกแยกเพศต่างต้น ใบประดับย่อยรูปไข่กว้าง ดอกสีเขียว กลีบรวม ๖ กลีบ รูปรี หรือรูปรีแกมรูปขอบขนาน กลีบวงในมักแคบกว่ากลีบวงนอก ช่อดอกเพศผู้มี ๒๐-๔๐ ดอกต่อช่อ เกสรเพศผู้มีจำนวน ๖ อัน ผลทรงกลม มีเนื้อ เกิดตามป่าโปร่ง ป่าดงดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ออกดอกและผล ราวเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม หัวที่มีเนื้อสีแดงเข้ม เนื้อละเอียด มีรสมัน มักเกิดทางภาคเหนือและอีสาน เรียกว่าข้าวเย็นเหนือ อีกชนิดมักส่งมาจากเมืองแต้จิ๋ว หัวมีเนื้อสีขาว เรียกว่า ข้าวเย็นใต้

ในตำรายาพื้นบ้านจะใช้ หัว ต้มน้ำกิน เพื่อลดปวด สำหรับหญิงอยู่ไฟหลังคลอดบุตร ใช้หัวในยาตำรับ นำมาต้มน้ำดื่ม แก้มะเร็ง โดยบดยาหัวให้ละเอียด ผสมกับส้มโมง ต้มจนแห้ง แล้วผสมกับน้ำผึ้ง กินวันละ ๑ เม็ด หัวต้มน้ำดื่มเป็นยาบำรุงเลือดตำรายาไทย  ใช้หัวมีรสมันกร่อยหวานเล็กน้อย แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้เส้นเอ็นพิการ แก้กามโรค เข้าข้อออกดอก เข้าข้อ ฝีแผลเน่าเปื่อยพุพอง ทำให้แผลฝียุบแห้ง แก้เม็ดผื่นคัน แก้ปัสสาวะพิการ แก้อักเสบในร่างกาย นิยมใช้คู่กันทั้งข้าวเย็นเหนือและข้าวเย็นใต้ เรียกว่า ข้าวเย็นทั้งสองต้น รสจืดเย็น แก้ไข้เรื้อรัง ไข้ตัวร้อน ใบรสจืดเย็น แก้ไข้เหนือ แก้ไข้สันนิบาต ผล รสขื่นจัด แก้ลมริดสีดวงตำรายาพื้นบ้านแถบประเทศมาเลเซียจะใช้เหง้าเป็นยาบำรุง.
  นสพ.เดลินิวส์



     หมากเม่าภูพาน
เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ความสูงประมาณ ๑๒-๑๕ เมตร ออกดอกช่วงเดือนมีนาคม–พฤษภาคม และผลจะสุกในช่วงเดือนสิงหาคม–กันยายน ในผลดิบสีเขียวอ่อน นำมาประกอบอาหารได้ ผลแก่สีแดงมีรสเปรี้ยว ส่วนผลแก่จัดสีดำม่วง จะมีรสหวานอมเปรี้ยว รับประทานเป็นผลไม้สด ผลมีสรรพคุณเป็นยาระบายและบำรุงสายตา ใบสดนำมาอังไฟเพื่อใช้ประคบแก้อาการฟกช้ำดำเขียว เปลือกต้นหมากเม่าใช้เป็นส่วนประกอบของลูกประคบ ผลหมากเม่าสุกมีกรดอะมิโน ๑๘ ชนิด แคลเซียม เหล็ก สังกะสี วิตามินบี ๑ บี ๒  ซี และ อี ผลิตภัณฑ์แปรรูปเช่น น้ำผลไม้ ไวน์หมากเม่า แยมกวน สีธรรมชาติผสมอาหาร ฯลฯ น้ำหมากเม่าสกัดเข้มข้น ๑๐๐% มีสารอาหาร วิตามินหลายชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระ ไวน์หมากเม่ามีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง.   นสพ.เดลินิวส์



     ใบชะมวง
สถานวิจัยยาสมุนไพรและเทคโนโลยีชีวภาพทางเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ (มอ.) ได้ศึกษาวิจัยคุณสมบัติที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็งและต้านแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหารจากใบชะมวง พบเป็นพืชที่ออกฤทธิ์ดีจึงนำมาแยกสารที่ต้องการ สามารถได้สารมีฤทธิ์ในระดับดี เป็นสารที่มีค่าความเข้มข้นต่ำสามารถยับยั้งเชื้อได้ประมาณ๗.๘ ไมโครกรัมต่อมิลลิเมตร ซึ่งถือว่าเป็นสารตัวใหม่ที่ยังไม่มีการค้นพบมาก่อน ทั้งนี้ ยังได้ศึกษาต่อถึงความเป็นไปได้ในการออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อโปรโตซัวร์ ซึ่งเป็นโรคระบาดที่พบบ่อยในภาคใต้ของประเทศไทย พบว่าสารจากชะมวง สามารถยับยั้งโปรโตซัวร์ได้ดี จึงนำไปทดสอบกับเซลล์มะเร็งปอด และเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่ามีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้เช่นกัน ทั้งนี้จะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมก่อนนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อการรักษาที่ได้ผลและลดอาการข้างเคียงจากการใช้ต่อไป.   นสพ.เดลินิวส์



     คำหด
คำหดเป็นไม้ต้นผลัดใบ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงได้ถึง๒๕ เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มกลม กิ่งอ่อนมีรอยแผลใบเห็นได้ชัด ลำต้นคดงอ เปลือกหนาสีเทาแตกเป็นร่องลึก ใบ เป็นใบประกอบ ช่อใบเรียงเวียนสลับ ใบย่อย ๑-๖ คู่ ใบอ่อนมีขนสาก ส่วนใบแก่เกลี้ยง ขอบใบเรียบ จะทิ้งใบหมดก่อนออกดอก ดอก เพศผู้และดอกเพศเมียอยู่แยกช่อกัน ดอกเพศผู้รวมกันอยู่เป็นช่อสั้นๆ แบบหางกระรอก ส่วนดอกเพศเมียอยู่รวมกันเป็นช่อยาวห้อยย้อยลง แต่ละดอกมีกาบบางๆ รูปสามเหลี่ยมสีเหลืองอ่อนรองรับ และกาบนี้จะเจริญเป็นกาบของผลต่อไป ผล กลมแข็ง โตไม่เกิน ๑ ซม. มีขนแข็งคลุมแน่น มีแฉกกาบเป็นรูปสามง่ามติดอยู่ ง่ามกลางจะยาวที่สุดประมาณ ๔ ซม.

พบขึ้นตามป่าดิบเขา และป่าเบญจ พรรณทั่วไป ยกเว้นทางภาคใต้ ตั้งแต่ระดับ ๕๐๐-๑,๕๐๐ เมตร จากน้ำทะเลปานกลาง เป็นไม้เบิกนำที่ทนต่อความแห้งแล้งและไฟป่า เนื้อไม้ทำสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ได้ดี มีสรรพคุณด้านการแพทย์แผนไทย เปลือกต้นรักษาอาการปวดฟัน หรือให้หญิงหลังคลอดบุตรต้มอาบช่วยให้มดลูกหดตัวเร็วและต้มอาบ เพื่อรักษา ตุ่มคันในเด็ก เปลือกต้นไปผิงไฟอุ่นๆ แล้วนำมาทาแผล ช่วยสมานแผลอักเสบ.
  นสพ.เดลินิวส์



     กระไดลิง   สรรพคุณน่ารู้
ในประเทศอินโดนีเซีย นิยมเอาน้ำเลี้ยงหรือน้ำที่ตัดได้จากเถาหรือต้นสดๆของ “กระไดลิง” ที่ไหลซึมออกมา แล้วใช้ภาชนะรอง จิบบ่อยๆ เป็นยาบรรเทาอาการไอได้อย่างชะงัดนัก และนิยมใช้กันมาแต่โบราณจนกระทั่งปัจจุบันก็ยังใช้อยู่ ส่วนในประเทศไทย ระบุว่า เถาหรือต้น “กระไดลิง” มีรสเบื่อเมาใช้ปรุงเป็นยาแก้พิษทั้งปวง (กะจำนวนพอประมาณต้มกับน้ำดื่ม) แก้ร้อนใน ขับเหงื่อ แก้ไข้ แก้พิษฝี แก้ไข้เซื่องซึม ตำรายาพื้นบ้านภาคอีสานของไทย เถาหรือต้นต้มกับน้ำหรือฝนกับน้ำดื่มเป็นยาแก้บิด เมล็ด กินเป็นยาขับพยาธิ แก้ไข้เซื่องซึม มีอาการหน้าหมองเนื่องมาจากพิษไข้ แก้ร้อนในได้ดีมาก

กระไดลิง หรือ BAUHINIA  SCAN DENSL, HORSFIELDII อยู่ในวงศ์ CAESAPINIOIDEAE เป็นไม้เถาเนื้อแข็งขนาดใหญ่ เถาที่แก่จัดจะแข็ง เหนียว และแบน โค้งไปมาเป็นลอนสม่ำเสมอเป็นขั้นๆคล้ายบันได จึงเรียกว่า “กระไดลิง” ใบออกเรียงสลับรูปไข่หรือรูปพัด ปลายแหลมหรือเว้าลึกเป็น ๒ แฉก

ดอก ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงช่อที่ปลายยอด กลีบเลี้ยงคล้ายรูปถ้วย แยกเป็น ๕ แฉก กลีบดอกมี ๕ กลีบ เป็นสีขาวอมเหลือง กลีบแยกกันคล้ายรูปพัด มีเกสรตัวผู้ ๓ อัน เกสรตัวเมียไม่สมบูรณ์เพศ ๒ อัน “ผล” เป็นฝักแบน รูปรี มีเมล็ด ๑-๒ เมล็ด เมื่อฝักแก่จะเป็นสีน้ำตาลแดง ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีชื่ออีกคือ กระไดวอก, มะลืมดำ, บันไดลิง, ลางลิง, เครือกระไดเต่า, โชคหนุ่ย และ ปอกระไดลิง พบขึ้นตามป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณในประเทศไทย ยกเว้นภาคใต้ มีเขตกระจายพันธุ์ อินโดนีเซีย อินเดีย ภูมิภาคอินโดจีน

ปัจจุบัน “กระไดลิง” มีขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ



     ละหุ่ง   มีทั้งประโยชน์และโทษ
ละหุ่ง พบมีขึ้นเองตามธรรมชาติในป่าราบและที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป มีชื่อทางวิทยาศาสตร์เฉพาะว่า CASTOR OIL PLANT—CASTER BEAN RICINUS COMMUNIS LINN. อยู่ในวงศ์ EUPHORBIACEAE มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เป็นไม้พุ่ม ต้นสูง ๑-๔ เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับหนาแน่นบริเวณช่วงปลายกิ่ง ใบเป็นรูปฝ่ามือ กว้างและยาวประมาณ ๑๕-๓๐ ซม. เป็นแฉก ๘-๑๐ แฉก ก้านใบเป็นสีเขียวยาวติดบริเวณก้นกลางใบ ใบเป็นสีเขียวเข้ม

ดอก ออกเป็นช่อแบบเชิงลดที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ดอกขณะยังตูมเป็นรูปทรงกลมสีเขียว เมื่อบานจะแตกอ้าไม่มีกลีบดอก แต่จะมีเกสรสีเหลืองเป็นกระจุกมองเห็นชัดเจน เป็นดอกแยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน “ผล” รูปทรงกลม ติดผลเป็นกระจุกจำนวนมาก รอบผลมีหนามสีเขียวคล้ายผลเงาะ ผลโตเต็มที่ประมาณลูกปิงปอง เมื่อผลแห้งจะแตกได้แบ่งเป็น ๓ พูชัดเจน ภายในมีเมล็ดหลายเมล็ด เปลือกเมล็ดเป็นสีน้ำตายประขาว ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ชนิดดอกสีเหลืองและกิ่งก้านเป็นสีเขียวเรียกว่า “ละหุ่งขาว”  อีกชนิดหนึ่ง ดอกจะเป็นสีแดง ลำต้นกิ่งก้านเป็นสีแดงด้วย ชนิดนี้นิยมเรียกกันมาแต่โบราณว่า “ละหุ่งแดง”

การใช้ประโยชน์ทั่วไปเหมือนกันคือ ตำรายาไทยใช้ใบแก้ช้ำรั่ว (อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่) รากสุมไฟให้เป็นถ่านใช้เป็นยาแก้พิษ แก้ไข้เซื่องซึม น้ำมันจากเมล็ดซึ่งบีบโดยวิธีไม่ใช้ความร้อนเป็นยาระบายสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ หมายเหตุ ถ้าบีบโดยใช้ความร้อนจะมีโปรตีนที่เป็นพิษ ชื่อ RICIN ออกมาด้วย จึงไม่ใช้น้ำมันที่บีบจากเมล็ดของ “ละหุ่ง” ที่ผ่านความร้อนเป็นยา ส่วนใหญ่จะใช้เป็นน้ำมันหยอดเครื่องจักรเรียกว่าน้ำมันละหุ่ง ซึ่งในยุคสมัยก่อนนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายเพื่อเก็บผลแกะเมล็ดขาย ปัจจุบันต้น “ละหุ่ง” ทั้ง ๒ ชนิด หายากมาก แนะนำเพื่อเป็นความรู้เท่านั้นครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ



     หนาด   กับความเชื่อดีๆ มีสรรพคุณ
โบราณ มีความเชื่อว่า ใบของต้น “หนาด” สามารถป้องกันภูตผีปีศาจได้ โดยให้เด็ดเอาใบสด ๑-๒ ใบ พกใส่กระเป๋าติดตัวเดินทางไปไหนต่อไหน ภูตผีปีศาจจะไม่เข้าใกล้หรือคอยหลอกหลอนได้อย่างเด็ดขาด และในการทำพิธีเกี่ยวกับเรื่องผีๆ หรือพิธีไล่ผี หมอผีผู้ประกอบพิธีจะต้องนำเอาใบ “หนาด” ใช้ร่วมในพิธีแบบขาดไม่ได้ทุกครั้ง ในยุคสมัยนั้น ชาวบ้านนิยมปลูกต้น “หนาด” ในบริเวณบ้านกันเกือบทุกครัวเรือน เพื่อป้องกันภูตผีปีศาจตามความเชื่อดังกล่าว ปัจจุบันในชนบทบางพื้นที่ยังคงเชื่อถือและปลูกต้น “หนาด” กันอยู่แต่ไม่แพร่หลายนัก

สรรพคุณทางสมุนไพร ใบสดของต้น “หนาด” หั่นเป็นฝอยตากแห้งอย่าให้มีราเกาะ แล้วหยิบเพียงเล็กน้อยชงกับน้ำร้อน จะมีกลิ่นหอมเพราะมีน้ำมันหอมระเหย ดื่มเรื่อยๆเป็นน้ำชา จะช่วยป้องกัน ไม่ให้เป็นไข้หวัดหัวลมหลังสิ้นฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาวได้ ใบสดดังกล่าวมีสารชื่อ CRYTOMERIDION นำไปกลั่นเป็นน้ำมันแล้วทำให้แห้งตกผลึกเป็น “พิมเสน” มีกลิ่นหอมเย็น ใบสดยังหั่นเป็นฝอยตากแดดพอสลบผสมยาเส้นหรือยาฉุนมวนด้วยใบตองแห้งสูบ เป็นยาแก้ริดสีดวงจมูกให้แห้งและหายมีกลิ่นเหม็นดีมาก

นอกจากนั้น ใบสด สามารถกินครั้งละ ๑-๒ ใบ เป็นยาขับผายลม แก้จุกเสียด แน่นเฟ้อ แก้ปวดท้อง ขับเหงื่อ ขับเสมหะได้ ใบแห้ง นำไปบดเป็นผงผสมเนื้อไม้ต้นข่อย แก่นต้นก้ามปู ต้นพิมเสน การบูร แห้งแล้ว มวนด้วยใบตองแห้งสูบเป็นยารักษาโรคหืดดีระดับหนึ่ง รากสดของต้น “หนาด” กะจำนวนเล็กน้อยต้มน้ำดื่ม เป็นยาขับนิ่ว ขับปัสสาวะ และไตพิการ

หนาด มีหลายชนิด บางชนิดมีชื่อวิทยาศาสตร์ไม่เหมือนกัน แต่จะเป็นไม้อยู่ในวงศ์เดียวกันหมดคือวงศ์ COMPOSITAE ต้นใบและดอกแตกต่างกันด้วย ส่วนใหญ่สรรพคุณทางสมุนไพรใช้ได้เหมือนกันหมด ชาวจีนเรียกต้น “หนาด” ว่า เฉ่าฮวนเกี๊ย และตั้วโองเช่า มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑ ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ



     ข่อย   กับสรรพคุณยา
ข่อย หรือ STREBLUS ASPER LOUR. อยู่ในวงศ์ MORACEAE ชื่อสามัญ SIAMESE ROUGH BUSH, TOOTH BRUSH TREE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๕-๑๐ เมตร กิ่งอ่อนมีขนสากมือ ใบเดี่ยวออกเรียงสลับรูปรีแกมรูปไข่กลับ ปลายและโคนสอบมน ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยไม่เป็นระเบียบ เนื้อใบหนา ผิวทั้ง ๒ ด้านสากมือเหมือนผิวกระดาษทราย ดอก ออกเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุกตามซอกใบและกิ่งก้าน เป็นดอกแยกเพศอยู่ต้นเดียวกัน ดอกตัวเมียออกตามซอกใบสีเหลืองอ่อนหรือสีขาว มีกลีบเลี้ยง ๔ กลีบคงอยู่จนดอกกลายเป็นผล ดอกตัวผู้ออกตามกิ่งก้านเป็นสีเขียวอ่อน เป็นช่อเล็กๆ มีเกสรตัวผู้ ๔ อัน “ผล” กลม เป็น ๒ พู เมื่อสุกเป็นสีเหลือง มีเมล็ดเดียว ดอกออกเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง พบขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป

ชาวบ้าน ใช้ใบสดถูผิวปลาไหลทำให้หมดเมือก เปลือกต้นทำกระดาษเรียกว่า “กระดาษข่อย” หรือทำเป็นสมุดไทยเรียกว่า “สมุดข่อย” ซึ่งกระดาษและสมุดที่ทำจากเปลือกต้นข่อยสามารถเก็บไว้ได้นานเป็นร้อยปีไม่ถูกสัตว์กัดแทะ เพราะเปลือกต้นข่อยมีรสเบื่อเมาอาจฆ่าแมลงได้ กระดาษข่อยใช้มวนยาสูบเป็นยาแก้ริดสีดวงจมูกโดยเอาแก่นข่อยหั่นเป็นฝอยเล็กๆ แล้วมวนสูบเรียกว่า “ไชโย หรือ ขี้โย” คนอินเดียเอากิ่งข่อยสดทุบปลายให้แตกถูฟันทุกเช้าฆ่าแลงกินฟันทำให้ฟันทนแข็งแรงขาวด้วย ใบปิ้งไฟให้เหลืองกรอบชงน้ำร้อนดื่มเป็นยาระบายอ่อนๆ เมล็ดกินเป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงธาตุ รากสดฝนน้ำทารักษาแผลได้ เปลือกต้นรสเบื่อเมาดับพิษในกระดูกและในเส้นเอ็น ต้มน้ำทาแก้โรคผิวหนัง

ปัจจุบัน “ข่อย” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒๑  ราคาสอบถามกันเองครับ.
  นสพ.ไทยรัฐ

sp.
3335  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / Re: 'ผู้สละโลก' นวนิยายอิงประวัติพุทธสาวก โดย วศิน อินทสระ เมื่อ: 27 พฤศจิกายน 2558 16:11:18



       ผู้สละโลก
       เรื่อง พระสารีบุตร
       ๖ กรรมบังไว้

ภราดา! ข้าพเจ้าได้พูดแล้วว่า คนจำนวนไม่น้อยแบกก้อนหินแห่งชีวิตคือความหนักอกหนักใจวิ่งฝ่ากองไฟคือความทะยานอยากไปสู่ภูเขาแห่งความว่างเปล่า

ภราดา! สมมติว่ามีใครสักคนหนึ่ง กลิ้งหินอันแสนหนักขึ้นสู่ยอดเขาแล้วปล่อยให้หินนั้นตกลงมายังภาคพื้น ตามลงมากลิ้งขึ้นไปอีกแล้วปล่อยลงมาเขากลิ้งหินขึ้นยอดเขาอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่า ท่านจะรู้สึกอย่างไรต่อบุคคลผู้นั้น เขาถูกบังคับให้เข็นก้อนหินโดยที่ตัวเขาเองไม่รู้ว่าจะต้องเข็นทำไม

บุคคลสมมติดังกล่าวนั้นฉันใด คนส่วนมากในโลกนี้ก็ฉันนั้น ได้ลงทุนลงแรงเป็นอย่างมาก เข็นก้อนหินคือภาระอันหนักของตนเพื่อไปสู่ยอดเขาแห่งความว่างเปล่า ต่างคนต่างก็กลิ้งขึ้นไป ถูกความทะยานอยากของตนผลักดันให้กลิ้งขึ้นไปด้วยเข้าใจว่าบนยอดเขานั้นจะมีอะไร บางพวกก็กลิ้งหินกระทบกันแย่งทางกันแล้วทะเลาะกัน เบียดเบียนฆ่าฟันกัน แข่งกันว่าใครจะถึงยอดเขาก่อน เมื่อถึงยอดเขาแล้วจึงได้รู้ว่ามันไม่มีอะไร คนทั้งหมดต้องนั่งลงกอดเข่ารำพันว่า ‘เหนื่อยแรงเปล่า’

ท่านผู้แสวงสัจจะ! มนุษย์จะถูกลงทัณฑ์ให้ประสบชะตากรรมคือการลงแรงที่สิ้นหวังและไร้ผลตอบแทนอันคุ้มเหนื่อย ก็เพราะความเขลาของมนุษย์เอง แม้มนุษย์จะพอฉลาดบ้างแล้วในเรื่องอื่นๆ ในสาขาวิชาการมากหลาย แต่มนุษย์ยังเขลาต่อเรื่องราวแห่งชีวิต มนุษย์ส่วนมากยังเข้าไม่ถึงสิ่งที่ชีวิตควรจะต้องการ และขึ้นให้ถึง ส่วนใหญ่ยังถือเอา กาม กิน และเกียรติ เป็นจุดหมายของชีวิต นั่นคือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของสังคมมนุษย์ ตามความเป็นจริงแล้ว การงานทุกอย่างของมนุษย์ควรเป็นเครื่องมือไปสู่การพัฒนาตนให้ขึ้นสู่ฐานะอันสูงสุดเท่าที่มนุษย์จะขึ้นให้ถึงได้ นั่นคือความสะอาดแจ่มใสแห่งดวงจิต ข้ามแดนแห่งความมืดมนของชีวิตเสียได้

ขอกล่าวถึงปุพพกรรมของสหาย ๕๕ คน มีพระยสะเป็นต้น พระตถาคตเจ้าตรัสว่า บุคคล ๕๕ คน มีพระยสะเป็นประมุขนั้นได้ปรารถนาอรหัตคุณ ในสำนักของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ชวนกันทำบุญเป็นอันมาก ต่อมาในช่วงหลัง เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น (พุทธันดร) ทั้ง ๕๕ คนเป็นสหายกันเที่ยวจัดแจงศพอนาถา วันหนึ่งพวกเขาพบศพหญิงตายทั้งกลม จึงนำไปป่าช้า ให้ ๕ คนทำหน้าที่เผา อีก ๕๐ คนเที่ยวตรวจดูศพไม่มีญาติอื่นๆ

นายยสะซึ่งเป็นหัวหน้าได้เอาหลาวเหล็กแทงศพนั้นพลิกกลับไปกลับมา ขณะที่กำลังเผาอยู่นั่นเองได้อสุภสัญญา คือความสำคัญหมายว่า ไม่งาม เขาชี้ให้สหายอีก ๔ คนดูว่า “จงดูศพนี้ หนังลอกออกแล้ว ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง เหมือนรูปโคค่าง ไม่สะอาด เหม็น พึงรังเกียจ”

สหายทั้ง ๔ คนก็ได้อสุภสัญญาเหมือนกัน เมื่อกลับเข้าไปในบ้านได้บอกเรื่องนั้นแก่สหายทั้ง ๕๐ คน สหายเหล่านั้นก็ได้อสุภสัญญา ยสกุลบุตรเมื่อกลับไปบ้านได้บอกแก่มารดาบิดาและภริยา ท่านเหล่านั้นก็ได้อสุภสัญญา

เพราะเหตุที่มี บูรพูปนิสัย ทางอสุภสัญญานี่แล เรือนซึ่งเกลื่อนกล่นด้วยสตรีงามบำรุงบำเรอให้เพลิดเพลินอยู่ จึงปรากฏแก่ยสกุลบุตรประดุจป่าช้า และด้วยอุปนิสัยนั้นเหมือนกัน เขาจึงได้บรรลุคุณวิเศษคืออรหัตผล พวกเขาได้รับผลที่ตนปรารถนาแล้ว

ดูก่อนท่านผู้แสวงสัจจะ! ถ้าไม่มีอุปนิสัยทางนี้แล้ว ความรู้สึกอย่างนั้นจะเกิดแก่ยสกุลบุตรไม่ได้ ยสะเป็นบุตรเศรษฐีมั่งคั่งมากในเมืองพาราณสี มีสตรีที่สวยงามบำรุงบำเรออย่างดี คืนหนึ่งยสะนอนหลับไปก่อน เมื่อตื่นขึ้นตอนดึกขณะที่ไฟสว่างอยู่ เขาเห็นสตรีเหล่านั้นนอนด้วยอาการพิกลต่างๆ บางนางพิณตกอยู่ที่รักแร้ บางนางมีตะโพนวางอยู่ข้างคอ บางนางสยายผม บางนางน้ำลายไหล บางนางละเมอเพ้อพก หญิงเหล่านั้นปรากฏแก่ยสะประดุจซากศพที่เขาทิ้งเกลื่อนกล่นอยู่ในป่าช้า เกิดความสลดจิต เบื่อหน่าย ออกอุทานด้วยความสลดใจว่า “ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” จึงลงมาสวมรองเท้าออกจากเรือนไป ออกประตูเมืองเดินไปทางที่จะไปป่าอิสิปตนะ เวลานั้นใกล้รุ่งแล้ว พระบรมศาสดาเสด็จจงกรมอยู่ในที่โล่งแจ้ง ทรงได้ยินเสียงของยสกุลบุตรว่า “ที่นี่ขุดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” จึงตรัสเรียกและว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง” ยสกุลบุตรได้ฟังดังนั้น จึงถอดรองเท้าเข้าไปเฝ้า พระศาสดาทรงแสดงธรรมให้ฟัง ตรัสถึงเรื่อง ทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม (กามาทีนพ) และความสุขความโปร่งใจของผู้ออกจากกามแล้ว (เนกขัมมะ) โดยใจความย่อว่า มนุษย์ผู้อยู่ร่วมกันควรต้องมีการเสียสละให้กัน, ไม่เบียดเบียนกัน จึงจะอยู่ร่วมกันเป็นสุข แต่ความสุขชั้นกามนั้นเจือด้วยโทษ เป็นสุขที่เจือด้วยทุกข์ สุขโสมนัสอันใดเกิดจากกาม นั่นคือคุณของกาม ทุกข์โทมนัสอันใดเกิดจากกาม นั่นคือโทษของกาม แต่กามทั้งหลายมีสุขน้อย มีทุกข์มาก มีพิษมาก มีความเดือดร้อนมาก มีรสอร่อยน้อย มีความขมขื่นปวดร้าวมาก ผู้เห็นโทษของกามจึงชักกายชักใจออกจากกาม ได้ความโปร่งใจ มีความสุขอันประณีต นั่นคือเนกขัมมสุข ไม่ต้องเศร้าโศก ไม่ต้องหวาดระแวงภัยเพราะกาม

ยสกุลบุตรผู้หน่ายกามอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังพระพุทธพจน์อันชี้ให้เห็นโทษของกามและคุณของการออกจากกาม จิตก็แล่นไปสู่เนกขัมมสุข พระศาสดาทรงทราบว่า จิตของยสะห่างจากความพอใจในกาม ควรรับพระธรรมเทศนาที่สูงขึ้นไปได้แล้ว จึงแสดงอริยสัจ ๔ เสมือนช่างย้อมผู้ฉลาด ฟอกผ้าให้สะอาดควรแก่การย้อมก่อน แล้วจึงย้อมด้วยสีที่ต้องการ ยสกุลบุตรฟังพระธรรมเทศนาแล้วได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นพระโสดาบัน ต่อมาภายหลังจึงได้สำเร็จอรหัตตผล

ดูก่อนท่านผู้แสวงสัจจะ! ข้อความที่น่าสะกิดใจอย่างยิ่งก็คือคำสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับเศรษฐีผู้เป็นบิดาของพระยสะ บิดาของท่านยสะบอกว่ามารดาเศร้าโศก รำพันถึงบุตรนักหนา จงให้ชีวิตแก่มารดาโดยการกลับไปเรือนเถิด พระยสะมองดูพระศาสดา พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “...จิตของยสะหลุดพ้นจากอาสวะ มิได้ยึดมั่นด้วยอุปาทานแล้ว ควรหรือที่ยสะจะกลับไปบริโภคกามคุณอีกเหมือนแต่ก่อน?” บิดาของพระยสะทูลตอบว่า “ไม่อย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า, เป็นลาภแล้ว ความเป็นมนุษย์อันพ่อยสะได้ดีแล้ว”

ภราดา! เมื่อเศรษฐีบิดาของท่านยสะทราบว่าบุตรของตนบรรลุอรหัตตผล สิ้นกิเลสทั้งปวงแล้ว พูดออกมาว่า “ความเป็นมนุษย์อันพ่อยสะได้ดีแล้ว” ดังนี้ เป็นการยืนยันถึงความเข้าใจของท่านว่า “การได้ดีสูงสุดของมนุษย์นั้นคือการสิ้นกิเลส” ดังนั้นภาวะแห่งการสิ้นกิเลสจึงควรเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของมนุษย์ และต้องเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดทุกๆ ชาติที่เกิด แต่จะไปสำเร็จเอาชาติใดนั้นก็สุดแล้วแต่บารมีที่สั่งสม ผู้มีจุดมุ่งหมายของชีวิตอย่างนี้เท่านั้นจึงจะพบกับความสงบสุขของชีวิต มิฉะนั้นแล้ว ถึงจะได้อะไรมาก็หาพอใจไม่ ชีวิตจะต้องระหกระเหินต่อไป จิตใจจะดิ้นรนร่านหาของใหม่ๆ แปลกๆ ที่เข้าใจเอาว่าจะให้ความสุขความสมหวังแก่ตนได้

พระภัทรวัคคีย์ผู้สำเร็จมรรคผลที่ไร่ฝ้าย และท่านชฎิลมีอุรุเวลกัสสปเป็นต้น ก็ล้วนแต่ได้บำเพ็ญบารมีมาเพื่ออรหัตตผลเท่านั้นหาได้ปรารถนาตำแหน่งใดๆ ไม่

อนึ่ง ชฎิลสามพี่น้องมีอุรุเวลกัสสปเป็นต้น มีชีวิตเกี่ยวพันกับพระเจ้าพิมพิสารเพียงในชาตินี้ก็หาไม่ แม้ในชาติก่อนๆ ก็เคยเกี่ยวพันกันมาแล้ว ได้ทำบุญกุศลร่วมกันมา พระศาสดาได้ทรงเล่าเรื่องนี้แก่ภิกษุทั้งหลายว่า
“นับถอยหลังจากนี้ไป ๙๒ กัปป์ ในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่าติสสะและปุสสะ พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๐ และ ๒๑ พระเจ้าพิมพิสารเกิดเป็นสมุห์บัญชีของพระราชกุมาร ๓ พระองค์ คือ ชฏิล ๓ พี่น้องเวลานี้ได้ร่วมกันทำบุญทำทานในสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พระราชกุมาร ๓ พระองค์ได้รับศีล ๑๐ นุ่งห่มผ้ากาสายะ ๒ ผืน ตลอดเวลา ๓ เดือน มอบพระราชภาระในการบำรุงพระตถาคตและสาวกของพระตถาคตให้แก่สมุห์บัญชีของพระองค์คือพระเจ้าพิมพิสารเวลานี้ แต่บริวารของสมุห์บัญชีอันเป็นทาสบ้าง กรรมกรบ้างได้กินของที่เขาอุทิศสงฆ์เองบ้าง ให้บุตรหลานกินบ้าง เพราะไม่อาจระงับความอยากได้เมื่อเห็นของดีๆ ของนั้นมิใช่เหลือจากสงฆ์ แต่เป็นของที่เขาอุทิศถวายสงฆ์และสงฆ์ยังมิได้ฉัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้นจึงเกิดเป็นเปรตอยู่นานถึง ๔ พุทธันดร ได้ถามพระพุทธเจ้าถึง ๓ พระองค์ว่า เมื่อใดพวกตนจึงจะพ้นจากความทุกข์ทรมานนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้นตรัสตอบว่าจักพ้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า “โคดม”

เมื่อพระเจ้าพิมพิสารถวายเวฬุวันแก่พระศาสดาแล้ว เพราะอำนาจแห่งกรรมชั่วของเปรตเหล่านั้นปิดบังไว้ จึงบันดาลให้พระเจ้าพิมพิสารมิได้ทรงระลึกที่จะอุทิศส่วนกุศลให้ใครเลย ในราตรีนั้น เปรตทั้งหลายจึงไปเปล่งเสียงอันน่ากลัวในพระราชวังของพระราชา แสดงตนให้ปรากฏ จอมเสนาแห่งแคว้นมคธ ทรงสะดุ้งตกพระทัยเป็นอันมาก รุ่งเช้าจึงเสด็จไปเฝ้าพระศาสดา ทูลถามเรื่องนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า “มหาบพิตร นับถอยหลังจากกัปป์นี้ไป ๙๒ กัปป์ ในศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปุสสะ พวกเปรตเหล่านั้นเป็นญาติของพระองค์ กินอาหารที่เขาเตรียมไว้ถวายสงฆ์ เกิดในเปรตโลกแล้ว หวังได้รับส่วนบุญจากพระองค์มาตลอดกาลช้านาน......”

“พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าหม่อมฉันถวายทานในบัดนี้ เปรตเหล่านั้นจักได้รับหรือ?”
“ได้รับ มหาบพิตร” พระศาสดาตรัสตอบ

พระราชาพิมพิสารทรงนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายมหาทานในวันรุ่งขึ้นแล้วได้พระราชทานส่วนบุญว่า “ด้วยอานุภาพแห่งมหาทานนี้ ขอข้าวน้ำอันเป็นทิพย์จงสำเร็จแก่เปรตเหล่านั้น” ข้าวน้ำอันเป็นทิพย์เกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้นแล้ว

คืนต่อมา เปรตเหล่านั้นเปลือยกายแสดงตนแก่พระราชา พระเจ้าพิมพิสารทูลถามความนั้นกับพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ตรัสให้ถวายผ้าแก่พระสงฆ์ พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายจีวรแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้วทรงอุทิศส่วนบุญว่า “ด้วยอานุภาพแห่งจีวรทานนี้ ขอผ้าอันเป็นทิพย์จงเกิดขึ้นแก่เปรตทั้งหลาย” ขณะนั้นเอง ผ้าทิพย์อันเกิดขึ้นแก่เปรตเหล่านั้น พวกมันละอัตตภาพแห่งเปรตดำรงอยู่ในอัตตภาพอันเป็นทิพย์แล้ว

พระศาสดาทรงอนุโมทนาบุญของพระราชาพิมพิสารโดยนัยว่า
“เปรตทั้งหลายมายืนอยู่ที่ทาง ๓ แพร่ง ๔ แพร่งบ้าง มาสู่เรือนของตนแล้วยืนอยู่นอกฝาประตูบ้าง เมื่อข้าวน้ำและของควรเคี้ยวควรบริโภคเป็นอันมากมีอยู่ ใครสักคนหนึ่งก็มิได้นึกถึงเปรตเหล่านั้น เพราะกรรมของสัตว์ (คือเปรต) นั่นเองปิดบังไว้ ผู้มีใจอนุเคราะห์เมื่อให้ทาน จึงควรระลึกถึงญาติบ้างว่า ‘ขอกุศลผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า’ ญาติทั้งหลายผู้ไปบังเกิดเป็นเปรตมาประชุมกันอนุโมทนาด้วยความเคารพ ตั้งจิตให้ญาติผู้ทำบุญไปให้ได้มีอายุยืนนาน ทายกผู้ทำบุญก็ไม่ไร้ผล ในเปตโลกนั้นไม่มีกสิกรรม โครักขกรรมก็ไม่มี ไม่มีพานิชกิจ หรือการซื้อขายใดๆ เปรตทั้งหลายเลี้ยงชีพด้วยทานที่มนุษย์ทำบุญอุทิศไปให้เท่านั้น น้ำตกลงในที่ดอนย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่มฉันใด ขอทานที่ท่านให้แล้วจากโลกนี้ จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้น เหมือนห้วงน้ำหรือห้วยหนองคลองบึงเต็มแล้วหลั่งลงสู่สาคร

“ผู้มีใจกรุณาระลึกถึงอุปการะที่ท่านทำแล้วแก่ตนมาก่อนว่า ‘ผู้นี้ได้เคยให้สิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้ได้เคยทำสิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้เป็นญาติเป็นมิตรหรือเป็นเพื่อนของเรา’ แล้วทำบุญให้ทานอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ล่วงลับทั้งหลายด้วยความสำนึกคุณนั้น อันนี้เป็นประโยชน์ ส่วนการร้องไห้เศร้าโศกคร่ำครวญไม่เป็นประโยชน์แก่ญาติทั้งหลายผู้ล่วงลับ เขาคงอยู่อย่างนั้นเอง ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น

“ทักษิณาที่พระองค์ทรงบำเพ็ญนี้ ชื่อว่าทรงตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ จักเป็นไปเพื่อประโยชน์สุขตลอดกาลนาน จะสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับตามควรแก่ฐานะ”
“พระองค์ทรงแสดงญาติธรรมให้ประจักษ์แล้วในคราวนี้ ทรงทำการบูชาอันโอฬารแก่พระญาติผู้ล่วงลับ ทรงให้กำลังแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยแล้ว ชื่อว่าได้ทรงขวนขวายในบุญเป็นอันมาก”

พระคาถาอนุโมทนานี้ ยังความปลาบปลื้มพระทัยให้เกิดแก่พระเจ้าพิมพิสารเป็นที่ยิ่ง เพราะมีพระทัยจดจ่อในการบุญกุศลอยู่แล้ว เมื่อทรงทราบว่าพระราชกุศลที่ทรงทำอุทิศให้พระญาติในอดีตสำเร็จประโยชน์เช่นนั้น ก็ทรงปราโมชขึ้นอีกเป็นทวีคูณ

ภราดา! กรรมดีกรรมชั่วมีจริง ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีจริง บุคคลมีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นพวกพ้อง เป็นที่พึ่งอาศัย คนทำดีหาความสุขได้ง่าย ส่วนคนทำชั่วหาความสุขได้ยาก
 

บันทึกทางวิชาการท้ายบทที่ ๖

๑.พุทธธันดร คือระยะกาลที่ว่างจากศาสนาของพระพุทธเจ้า ถ้าพระปัจเจกพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นก็เกิดในระยะนี้
๒.บูรพูปนิสัย คืออุปนิสัยในกาลก่อน หมายถึงได้เคยอบรมบ่มนิสัยมาอย่างไร เมื่อได้ประสบพบเห็นสิ่งนั้นหรือสิ่งคล้ายคลึงกันในชาติต่อมา บูรพูปนิสัย จะกระตุ้นเตือนให้มีความรู้สึกนึกคิดอย่างที่เคยรู้สึกมาแล้ว
๓.จงกรม คือการเดินกลับไปกลับมา เพื่อพิจารณาอารมณ์กัมมฐาน หรือพิจารณาหัวข้อธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง
๔.ทั้ง ๕ อย่างมีทานเป็นต้นนี้เรียกอนุปุพพิกถา
๕.นัยติโรกุฑฑสูตร
๖.จูฬกัมมวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ หน้า ๓๗๖ ข้อ ๕๘๑
๗. น หิ ตํ สุลภํ โหติ สุขํ ทุกฺกฎการินา
3336  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / Re: พระวินัย ๒๒๗ พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (ปาราชิก ๔ สิกขาบท) เมื่อ: 26 พฤศจิกายน 2558 16:58:08
.
     (ต่อ)

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๑
(พระวินัยข้อที่ ๒๐)
ภิกษุเก็บจีวรที่ไม่ได้ทำเป็นสองเจ้าไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ วัน
ถ้าเกินกว่ากำหนดนั้น ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์


    ๑๐.อธิบายการวิกัปจีวร
     วิกัปมี ๒ อย่าง คือ วิกัปต่อหน้า ๑ วิกัปลับหลัง ๑
     ภิกษุพึงทราบว่า จีวรมีผืนเดียวหรือมากผืน และจีวรนั้นอยู่ใกล้หรือมิได้อยู่ใกล้ (อยู่ในหัตถบาส หรือนอกหัตถบาส) แล้วกล่าวว่า อิมํ จีวรํ-จีวรผืนนี้บ้าง ว่า อิมานิ จีวรานิ-จีวรเหล่านี้บ้าง ว่า เอตํ จีวรํ-จีวรนั่นบ้าง ว่า เอตานิ จีวรานิ-จีวรเหล่านั้นบ้าง แล้วพึงกล่าวว่า ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ-ข้าพเจ้าวิกัปแก่ท่าน ดังนี้
     วิกัปต่อหน้านี้มีอยู่อย่างเดียว วิกัปแล้วจะเก็บไว้สมควรอยู่, จะใช้สอย จะสละหรืออธิษฐาน ไม่ควร, แต่หากภิกษุผู้รับวิกัป กล่าวคำว่า มยฺหํ สนฺตกํ สนฺตกานิ ปริภุญฺช วา วิสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ-จีวรนี้หรือจีวรเหล่านี้ เป็นของข้าพเจ้า ท่านจงใช้สอย จงจำหน่าย จงกระทำตามสมควรแก่ปัจจัยเถิด ดังนี้ชื่อว่า ปัจจุทธรณ์ (ถอนวิกัป) จำเดิมจากนี้ แม้จะบริโภคเป็นต้น ย่อมสมควร
     อีกนัยหนึ่ง ภิกษุพึงรู้ว่าจีวรผืนเดียว หรือมากผืน อยู่ใกล้หรือมิได้อยู่ใกล้ แล้วกล่าวว่า อิมํ จีวรํ, อิมานิ จีวรานิ, เอตํ จีวรํ, เอตานิ จีวรานิ ดังนี้ ในสำนักของภิกษุนั้นนั่นแหละ ระบุชื่อสหธรรมิก ๕ รูปใดรูปหนึ่งที่ตนชอบใจแล้ว พึงกล่าวว่า ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน วิกปฺเปมิ-เข้าพเจ้าวิกัปแก่ภิกษุติสสะ หรือว่า ติสฺสาย ภิกฺขุนิยา, ติสฺสาย สิกฺขมานาย, ติสฺสสฺส สามเณริยา วิกปฺเปมิ-ข้าพเจ้าวิกัปแล้วแก่ติสสาภิกษุณี แก่ติสสาสิกขมานา แก่ติสสสามเณร ติสสสามเณรี ดังนี้ นี้เป็นวิกัปต่อหน้า, วิกัปแล้วจะเก็บไว้สมควรอยู่ แต่ในการใช้สอยเป็นต้น ย่อมไม่ควร แต่เมื่อภิกษุนั่นกล่าวคำว่า จีวรนี้ของภิกษุชื่อติสสะ...ท่านจงบริโภคก็ตาม จงจำหน่ายก็ตาม ชื่อว่าเป็นอันถอน, จำเดิมแต่นี้ไปแม้การใช้สอยเป็นต้น ก็สมควร
     -ภิกษุพึงทราบว่า จีวรผืนเดียวหรือมากผืน อยู่ใกล้หรือมิได้อยู่ใกล้ กล่าวว่า อิมํ จีวรํ-ซึ่งจีวรนี้ หรือว่า อิมานิ จีวรานิ-ซึ่งจีวรทั้งหลายนี้ว่า เอตํ จีวรํ-ซึ่งจีวรนั่น หรือว่า เอตานิ จีวรานิ-ซึ่งจีวรทั้งหลายนั้น ดังนี้ แล้วกล่าวว่า ตุยฺหํ วิกปฺปนตุ ถาย ทมฺมิ-ข้าพเจ้าให้แก่ท่าน เพื่อประโยชน์แก่การวิกัป
     ภิกษุผู้รับวิกัปนั้น พึงกล่าวว่า ใครเป็นมิตร หรือเป็นเพื่อนเห็น หรือเป็นเพื่อนคบกันของท่าน ภิกษุผู้วิกัปกล่าวว่าภิกษุชื่อติสสะ หรือว่า ฯลฯ สามเณรชื่อติสสา โดยนัยที่กล่าวแล้ว ภิกษุนั้นพึงกล่าวอีกว่า อหํ ติสฺสสฺส ภิกขุโน ทมฺมิ-ข้าพเจ้าให้แก่ภิกษุชื่อติสสะ ฯลฯ หรือว่า อหํ ติสฺสาย สามเณริยา ทมฺม ข้าพเจ้าให้แก่สามเณรีชื่อติสสา ดังนี้ อย่างนี้ชื่อว่าวิกัปลับหลังด้วยการวิกัปเพียงเท่านี้ การเก็บไว้สมควรอยู่, ส่วนในการใช้สอยเป็นต้น กิจแม้อย่างเดียวก็ไม่สมควร, แต่หากภิกษุ (ผู้วิกัป) กล่าวคำว่า อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ-(จีวร) ของภิกษุชื่อนี้ ท่านจงใช้สอยก็ได้ จงจำหน่ายก็ได้ จงกระทำตามสมควรแก่ปัจจัยก็ได้ โดยนัยดังกล่าวแล้วในวิกัปต่อหน้าอย่างที่สองนั้นแล, ชื่อว่าเป็นอันถอนจำเดิมแต่นั้น กิจทั้งหลายมีการใช้สอยเป็นต้น ย่อมควร
     ถามว่า การวิกัปทั้ง ๒ อย่างต่างกันอย่างไร?
     ตอบว่า ในการวิกัปต่อหน้า ภิกษุวิกัปเองแล้วให้ผู้อื่นถอนได้, ในวิกัปลับหลัง ภิกษุให้คนอื่นวิกัปแล้วให้คนอื่นนั่นเองถอน นี้เป็นความต่างกัน, ในเรื่องวิกัปทั้ง ๒ นี้ ก็ถ้าวิกัปแก่ผู้ใด ผู้นั้นไม่ฉลาดในพระบัญญัติ ไม่รู้จะถอน พึงถือจีวรนั้นไปยังสำนักสหธรรมิกอื่นผู้ฉลาด วิกัปใหม่แล้วพึงให้ถอน นี้ชื่อว่าการวิกัปบริขาร ที่วิกัปไปแล้ว ควรอยู่
     ๑๑.เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ไม่คืนให้ ด้วยสำคัญว่า ภิกษุนี้ให้แล้วแก่เรา แต่ภิกษุผู้รู้ว่าเป็นของภิกษุนั้นต้องการชิงเอาด้วยเลศ พระวินัยธรพึงให้ตีราคาสิ่งของปรับอาบัติ
     ๑๒.สิกขาบทนี้ชื่อว่า มีกฐินเป็นสมุฏฐาน เกิดทางกายกับวาจา และทางกายวาจากับจิต, เป็นอกิริยา เพราะต้องด้วยการไม่อธิษฐานและไม่วิกัป, เป็นอจิตตกะ (แม้ไม่รู้ก็ต้องอาบัติ) ปัณณัติติวัชชะ, กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ (อกุศลจิต กุศลจิต กิริยาจิต, พระอรหันต์ก็ต้องได้)
     ๑๓.พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์
     กฐิน
-ตามศัพท์แปลว่า ไม้สะดึง คือไม้แบบสำหรับขึงเพื่อตัดเย็บจีวร, ในทางพระวินัยใช้เป็นชื่อเรียกสังฆกรรมอย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตแก่สงฆ์ผู้จำพรรษาแล้ว เพื่อแสดงออกซึ่งความสามัคคีของภิกษุที่ได้จำพรรษาอยู่ร่วมกัน โดยให้พวกเธอพร้อมใจกันยกมอบผ้าผืนหนึ่งที่เกิดขึ้นแก่สงฆ์ให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งในหมู่พวกเธอที่เป็นผู้มีคุณสมบัติสมควร แล้วภิกษุรูปนั้นนำผ้าที่ได้รับมอบไปทำเป็นจีวร (จะทำเป็นอันตรวาสก หรืออุตราสงค์ หรือสังฆาฏิ ก็ได้ และพวกเธอทั้งหมดจะต้องช่วยภิกษุนั้นทำ) ครั้นทำเสร็จแล้ว ภิกษุรูปนั้นแจ้งให้ที่ประชุมสงฆ์ซึ่งได้มอบผ้าแก่เธอนั้นทราบเพื่ออนุโมทนา เมื่อสงฆ์ คือที่ประชุมแห่งภิกษุเหล่านั้นอนุโมทนาแล้ว ก็ทำให้พวกเธอได้สิทธิพิเศษที่จะขยายเขตทำจีวรให้ยาวออกไป (เขตทำจีวรตามปกติ ถึงกลางเดือน ๑๒ ขยายต่อออกไปถึงกลางเดือน ๔),  ผ้าที่สงฆ์ยกมอบให้แก่ภิกษุรูปหนึ่งนั้น เรียกว่า ผ้ากฐิน,  สงฆ์ผู้ประกอบกฐินกรรมต้องมีจำนวนภิกษุอย่างน้อย ๕ รูป, ระยะเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ประกอบกฐินกรรมได้ มีเพียง ๑ เดือน ต่อจากสิ้นสุดการจำพรรษา เรียกว่า เขตกฐิน คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
     ภิกษุผู้กรานกฐินแล้วย่อมได้อานิสงส์ ๕ ประการ คือ ๑) เที่ยวไปไม่ต้องบอกลา  ๒) จาริกไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปครบสำรับ  ๓) ฉันคณโภชน์และปรัมปรโภชน์ได้  ๔) เก็บอดิเรกจีวรได้ตามปรารถนา  ๕) จีวรอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของได้แก่พวกเธอ
     อานิสงส์ ๕ นี้ หากจำพรรษาแล้ว ย่อมได้ชั่วเวลาเดือนหนึ่งนับแต่ออกพรรษาแล้ว คือ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒, เมื่อกรานกฐินแล้วย่อมได้รับอานิสงส์ ๕ นี้ ออกไปอีก ๔ เดือน (ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ ถึง ๑๕ ค่ำ เดือน ๔) และได้โอกาสขยายเขตจีวรกาลออกไปตลอด ๔ เดือนนั้น
     เดาะ-(ในคำว่าการเดาะกฐิน) เสียหาย คือ กฐินใช้ไม่ได้ หมดประโยชน์ หมดอานิสงส์ ออกมาจากคำว่า อุพฺภาโร. อุทฺธาโร แปลว่า ยกขึ้น หรือรื้อ เข้ากับศัพท์กฐิน แปลว่า รื้อไม้สะดึง คือ หมดโอกาสได้ประโยชน์จากกฐิน


.
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๒
(พระวินัยข้อที่ ๒๑)
ภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้คืนหนึ่ง
ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้สมมติ

    ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายฝากผ้าสังฆาฏิไว้กับภิกษุทั้งหลายแล้ว มีแต่ผ้าอุตราสงค์และผ้าอันตรวาสก หลีกไปจาริกในชนบท ผ้าสังฆาฏิเหล่านั้นถูกเก็บไว้นานก็ขึ้นรา ภิกษุทั้งหลายจึงผึ่งผ้าสังฆาฏิเหล่านั้น พระอานนท์เที่ยวตรวจดูเสนาสนะ พบเข้า จึงถามว่าจีวรที่ขึ้นราเหล่านี้ของใคร ภิกษุเหล่านั้นแจ้งแก่ท่านพระอานนท์แล้ว พระอานนท์เพ่งโทษติเตียน แล้วกราบทูล...
     ทรงมีพระบัญญัติว่า “จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว กฐินเดาะเสียแล้ว ถ้าภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร แม้สิ้นราตรีหนึ่ง เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
     สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธอยู่ในพระนครโกสัมพี พวกญาติส่งทูตไปนิมนต์ให้ท่านไปยังบ้านญาติเพื่อพยาบาล แต่ภิกษุรูปนั้นกล่าวว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลายไว้ว่า ภิกษุไม่พึงอยู่ปราศจากไตรจีวร ผมกำลังอาพาธ ไม่สามารถจะนำไตรีจีวรไปด้วยได้ ผมจักไม่ไป”
     ภิกษุทั้งหลายกราบทูล... รับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า เราอนุญาตให้สมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรแก่ภิกษุผู้อาพาธ ก็สงฆ์พึงให้สมมติอย่างนี้ว่า

วิธีสมมติจีวราวิปวาส
     ภิกษุผู้อาพาธพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธไม่สามารถจะนำไตรจีวรไปด้วยได้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าขอสมมติ เพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรต่อสงฆ์ ดังนี้ พึงขอแม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓
     จากนั้น ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้
     “ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อผู้นี้อาพาธ ไม่สามารถจะนำไตรจีวรไปด้วยได้ เธอขอสมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรต่อสงฆ์ ถ้าความพรั่งพร้อมของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้สมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรแก่ภิกษุมีชื่อนี้ นี่เป็นญัตติ
     ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่อผู้นี้อาพาธ ไม่สามารถจะนำไตรจีวรไปด้วยได้ เธอขอสมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรต่อสงฆ์ สงฆ์ให้สมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรแก่ภิกษุมีชื่อนี้ การให้สมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวรแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ควรแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
     การสมมติเพื่อไม่เป็นการอยู่ปราศจากไตรจีวร อันสงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้” แล้วทรงมีพระอนุบัญญัติว่า
    “จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว กฐินเดาะเสียแล้ว ถ้าภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร แม้สิ้นราตรีหนึ่ง เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”

อรรถาธิบาย

     -บทว่า จีวร...สำเร็จแล้ว และคำว่า กฐินเดาะเสียแล้ว พึงทราบคำอธิบายจากสิกขาบทที่ ๑ ที่ผ่านมา
     -คำว่า ถ้าภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร แม้สิ้นราตรีหนึ่ง ได้แก่ ถ้าภิกษุอยู่ปราศจากไตรจีวร คือ ผ้าสังฆาฏิก็ดี ผ้าอุตราสงค์ก็ดี ผ้าอันตรวาสกก็ดี แม้คืนเดียว
     -บทว่า เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ คือ ภิกษุผู้ได้รับสมมติสามารถอยู่ปราศจากได้
     -บทว่า เป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำจะสละ พร้อมกับเวลาอรุณขึ้น ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล

วิธีเสียสละแก่สงฆ์
     ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งประนมมือ กล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้าอยู่ปราศจากและล่วงราตรี เป็นของจำจะสละ เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ ข้าพเจ้าสละจีวรนี้แก่สงฆ์”
     ครั้นแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนจีวรนั้นด้วยญัตติกรรมวาจาว่า “ท่านเจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้”

วิธีเสียสละแก่คณะ
     ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป กล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้าปราศจากแล้วล่วงราตรี เป็นของจำจะสละ เว้นแต่ได้รับสมมติ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย”
     ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาดสามารถพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนจีวรนั้นด้วยญัตติกรรมวาจาว่า “ท่านเจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้”

วิธีเสียสละแก่บุคคล
     ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง กล่าวว่า... ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ พึงคืนให้ด้วยคำว่า “ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน” ดังนี้
     -เขตที่กำหนดไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร มีอยู่มากมาย เช่น บ้าน เรือน โรงเก็บของ ป้อม เป็นต้น,  “บ้าน” ที่ชื่อว่ามีอุปจารเดียว คือ เป็นบ้านของสกุลเดียวและมีเครื่องล้อม ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในบ้าน ต้องอยู่ภายในบ้าน; บ้านที่ไม่มีเครื่องล้อม ภิกษุเก็บจีวรไว้ในเรือนใด ต้องอยู่ในเรือนนั้น หรือไม่ละจากหัตถบาส
     -ที่ชื่อว่า อุปจารต่าง คือ เป็นบ้านของต่างสกุล และมีเครื่องล้อม ภิกษุเก็บจีวรไว้ในเรือนใด ต้องอยู่ในเรือนนั้น หรือในห้องโถง หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส เมื่อจะไปสู่ห้องโถงต้องเก็บจีวรไว้ในหัตถบาส แล้วอยู่ในห้องโถง หรืออยู่ที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส, บ้านที่ไม่มีเครื่องล้อม เก็บจีวรไว้ในเรือนใด ต้องอยู่ในเรือนนั้น หรือไม่ละจากหัตถบาส,  “เรือ” ของสกุลเดียว ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเรือ ต้องอยู่ภายในเรือ เรือของต่างสกุล มีห้องเล็กห้องน้อยต่างๆ เก็บจีวรไว้ในห้องใด ต้องอยู่ในห้องนั้น หรือที่ริมประตู หรือไม่ละจากหัตถบาส
     “โคนไม้” ของสกุลเดียว กำหนดเอาเขตที่เงาแผ่ไปโดยรอบในเวลาเที่ยง ภิกษุเก็บจีวรไว้ภายในเขตเงา ต้องอยู่ภายในเขตเงา, โคนไม้ต่างสกุลไม่พึงละจากหัตถบาส
     “ที่แจ้ง” ที่ชื่อว่า อุปจารเดียว, มีอุปจารต่าง คือ ในป่าหาบ้านมิได้ กำหนด ๗ อัพภันดร โดยรอบจัดเป็นอุปจารเดียว, พ้นนั้นไป จัดเป็นอุปจารต่าง
     คำอธิบายเขตไม่อยู่ปราศจากของเรือน วิหาร โรงเก็บของ ป้อม เป็นต้น พึงทราบทำนองเดียวกับบ้านและเรือ เป็นต้น
    
อาบัติ
     ๑.จีวรอยู่ปราศจาก ภิกษุรู้ว่าอยู่ปราศจาก เว้นแต่ภิกษุได้รับสมมติ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     ๒.จีวรอยู่ปราศจาก ภิกษุสงสัย... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์
     ๓.จีวรอยู่ปราศจาก ภิกษุคิดว่าไม่อยู่ปราศจาก... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์
     ๔.จีวรยังไม่ได้ถอน ภิกษุสำคัญว่าถอนแล้ว... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์
     ๕.จีวรยังไม่ได้สละให้ไป ภิกษุคิดว่าสละให้ไปแล้ว... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์
     ๖.จีวรยังไม่หาย ภิกษุคิดว่าหายไปแล้ว... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์
     ๗.จีวรยังไม่ฉิบหาย ภิกษุสำคัญว่าฉิบหายแล้ว... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์
     ๘.จีวรยังไม่ถูกไฟไหม้ ภิกษุคิดว่าถูกไฟไหม้แล้ว... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์
     ๙.จีวรยังไม่ถูกโจรชิงไป ภิกษุคิดว่าโจรชิงไปแล้ว... เป็นนิสสัคคีย์ ต้องปาจิตตีย์
    ๑๐.ภิกษุไม่สละจีวรที่เป็นนิสสัคคีย์ บริโภค ต้องทุกกฎ
    ๑๑.จีวรไม่อยู่ปราศจาก ภิกษุคิดว่าอยู่ปราศจาก บริโภค (ใช้สอย) ต้องทุกกฎ
    ๑๒.จีวรไม่อยู่ปราศจาก ภิกษุสงสัย บริโภค ต้องทุกกฎ

อนาบัติ
     จีวรไม่อยู่ปราศจาก ภิกษุรู้ว่าไม่อยู่ปราศจาก บริโภค ไม่ต้องอาบัติ ๑  ภิกษุสละให้ไป ๑  ในภายในอรุณ ภิกษุถอนเสีย ๑  จีวรหาย ๑  ฉิบหาย ๑  ถูกไฟไหม้ ๑  โจรชิงเอาไป ๑  ภิกษุถือวิสาสะ ๑  ภิกษุได้รับสมมติ ๑  วิกลจริต ๑  อาทิกัมมิกะ ๑

สมนฺตปาสาทิกาอรรถกถา วินย.มหาวิ.๑/๓/๗๔๒-๗๕๓
     ๑.อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) ตรัสเรียกว่า อันตระ, อุตราสงค์ (ผ้าห่ม) ตรัสเรียกว่า อุตตระ, ผ้าห่มกับผ้านุ่ง ชื่อว่า สันตรุตตระ
     ๒.ภิกษุอาพาธผู้ได้รับสมมติ
       สมมติในการไม่อยู่ปราศจาก (ไตรจีวร) ชื่อว่า อวิปปวาสสมมติ, ก็อวิปปวาสสมมตินี้ มีอานิสงส์อย่างไร?  ตอบว่า ภิกษุผู้อยู่ปราศจากจีวรผืนใด จีวรผืนนั้นย่อมไม่เป็นนิสสัคคีย์ และภิกษุผู้อยู่ปราศจาก ไม่ต้องอาบัติ, อยู่ปราศจากได้สิ้นเวลาเท่าไร? พระมหาสุมเถระกล่าวว่า ชั่วเวลาที่โรคยังไม่หาย แต่เมื่อโรคหายแล้ว ภิกษุพึงรีบกลับมาสู่สถานที่เก็บจีวร, ก็ภิกษุยังแสวงหาพวกเกวียน หรือว่าทำความผูกใจอยู่ว่า เราจะไป จำเดิมแต่กาลนั้นจะอยู่ปราศจาก ก็ควร,  แต่เมื่อภิกษุทำการทอดธุระว่า เราจักยังไม่ไปในเวลานี้ พึงถอนเสีย ไตรจีวรที่ถอนแล้วจักอยู่ในฐานะเป็นอดิเรกจีวร ดังนี้
     ถ้าว่าโรคของเธอกลับกำเริบขึ้น เธอจะทำอย่างไร?  ตอบว่า พระปุสสเทวเถระกล่าวว่า ถ้าโรคนั้นนั่นเองกลับกำเริบขึ้น อวิปปวาสสมมตินั้นนั่นแล ยังคงเป็นสมมติอยู่ ไม่มีกิจที่จะต้องสมมติใหม่, ถ้าโรคอื่นกำเริบ พึงให้สมมติใหม่ ดังนี้, พระอุปติสสะเถระกล่าวว่า โรคนั้นหรือโรคอื่นก็ตาม จงยกไว้ ไม่มีกิจที่จะต้องให้สมมติใหม่ ดังนี้
     ๓.พระราชวังของพระราชาพระองค์หนึ่ง หรือบ้านของนายบ้านคนหนึ่งชื่อว่า บ้านของตระกูลเดียว, ล้อมแล้วด้วยกำแพง ด้วยรั้ว หรือด้วยคูน้ำ อย่างใดอย่างหนึ่ง
     ภิกษุอยู่ ณ ที่ใด ไม่พึงละที่นั้น จากหัตถบาสโดยรอบ ไม่พึงละให้ห่างจากที่นั่นประมาณ ๒ ศอกคืบไป; ก็การอยู่ใน ๒ ศอกคืบ ย่อมสมควร, ล่วงเลยประมาณนั้นไป ถ้าแม้นภิกษุมีฤทธิ์ยังอรุณให้ตั้งขึ้นในอากาศ ก็เป็นนิสสัคคีย์เหมือนกัน
     -ที่ชื่อว่า โรงเก็บของ ได้แก่ โรงเก็บสิ่งของ มียวดยาน เป็นต้น
     -ที่ชื่อว่า ป้อม ได้แก่ ที่อาศัยพิเศษ ซึ่งเขาก่อด้วยอิฐ เพื่อป้องกันพระราชาจากข้าศึกเป็นต้น มีฝาผนังหนา มีพื้น ๔-๕ ขั้น
     -ปราสาท ๔ เหลี่ยมจัตุรัส อันสงเคราะห์เข้าด้วยยอดเดียวกัน ชื่อว่า เรือนยอดเดียว, ปราสาทยาวชื่อว่า ปราสาท, ปราสาทที่มีหลังคาตัด (ปราสาทโล้น) ชื่อว่า ทิมแถว, อัพภันดรท่านกล่าวไว้ในคำว่า ๗ อัพภันดรนี้มีประมาณ ๒๘ ศอก
     -ถ้าหมู่เกวียนไปหยุดพักโอบหมู่บ้านหรือไม่น้ำ เนื่องเป็นอันเดียวกันกับหมู่เกวียนที่เข้าไป ภายในกระจายอยู่ตลอดไปทั้งฝั่งในฝั่งนอก ย่อมได้บริหารว่า หมู่เกวียนแท้, ถ้าหมู่เกวียนยังเนืองกันอยู่ที่บ้านหรือว่าที่แม่น้ำ, หมู่เกวียนที่เข้าไปภายในแล้ว ย่อมได้บริหารว่าบ้าน และบริหารว่าแม่น้ำ, ถ้าหมู่เกวียนหยุดพักอยู่เลยวิหารสีมาไป จีวรอยู่ภายในสีมา พึงไปยังวิหารแล้วอยู่ภายในสีมานั้น, ถ้าจีวรอยู่ในภายนอกสีมา พึงอยู่ในที่ใกล้หมู่เกวียนนั่นแล, ถ้าหมู่เกวียนกำลังเดินทาง เมื่อเกวียนหักหรือโคหาย ย่อมขาดกันในระหว่าง จีวรที่เก็บไว้ในส่วนไหนพึงอยู่ในส่วนนั้น, หัตถบาสแห่งจีวรนั่นแล ชื่อว่า หัตถบาสในไร่นาของตระกูลเดียว, หัตถบาสแห่งประตูไร่นา ชื่อว่า หัตถบาสในไร่นาของตระกูลต่างกัน, หัตถบาสแห่งจีวรเท่านั้น ชื่อว่าหัตถบาสในไร่นาที่ไม่ได้ล้อม
     -โคนไม้ เก็บจีวรไว้เฉพาะภายในโอกาสที่เงาแผ่ไปถึง แต่จีวรที่ภิกษุเก็บไว้ในโอกาสที่แดดถูกต้นไม้มีกิ่งโปร่ง เป็นนิสสัคคีย์แท้ เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงเก็บจีวรไว้ที่เงาแห่งกิ่งไม้ หรือที่เงาแห่งลำต้นของต้นไม้เช่นนั้น ถ้าจะเก็บไว้บนกิ่งหรือบนคาคบ พึงวางไว้ในโอกาสที่เงาแห่งต้นไม้ต้นอื่นข้างบนแผ่ไปถึงเท่านั้น เงาของต้นไม้เตี้ยย่อมแผ่ทอดไปไกล พึงเก็บไว้ในโอกาสที่เงาแผ่ไปถูก ควรจะเก็บไว้ในที่เงาทึบเท่านั้น, หัตถบาสแห่งโคนไม้นี้ ก็คือ หัตถบาสแห่งจีวรนั่นเอง
     -ลาน ท่านเรียกว่า ธัญญกรณ์ (ลานนวดข้าวเปลือก), ส่วนดอกไม้หรือสวนผลไม้ท่านเรียกว่า สวนในลานนวดข้าว และสวนดอกไม้ สวนผลไม้ มีวินิจฉัยเช่นเดียวกับที่กล่าวในไร่นา, บทว่า วิหาร ก็มีวินิจฉัยเช่นเดียวกับเรือนพักนั่นเอง
     ๔.อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ถ้าภิกษุผู้ประกอบความเพียร บำเพ็ญเพียรตลอดคืนยันรุ่งใฝ่ใจว่า เราจักสรงน้ำในเวลาใกล้รุ่ง แล้วออกไป วางจีวรทั้ง ๓ ผืนไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ ลงสู่แม่น้ำ เมื่อเธออาบอยู่นั่นเอง อรุณขึ้น เธอพึงกระทำอย่างไร? ด้วยว่า ถ้าขึ้นมาแล้วนุ่งห่มจีวร ย่อมต้องทุกกฎเพราะไม่เสียสละจีวรที่เป็นนิสสัคคีย์แล้วใช้สอยเป็นปัจจัย ถ้าเธอเปลือยกายไป แม้ด้วยการเปลือยกายไปอย่างนั้นก็ต้องทุกกฎ
     ตอบว่า เธอไม่ต้อง เพราะว่าเธอตั้งอยู่ในฐานแห่งภิกษุผู้มีจีวรหาย เพราะจีวรเหล่านั้นเป็นของไม่ควรบริโภค ตราบเท่าที่ยังไม่พบภิกษุรูปอื่นแล้วกระทำวินัยกรรม, และชื่อว่าสิ่งที่ไม่สมควรแก่ภิกษุผู้มีจีวรหาย ไม่มี เพราะฉะนั้นเธอพึงนุ่งผืนหนึ่ง เอามือถือสองผืน ไปสู่วิหารแล้วกระทำวินัยกรรม, ถ้าว่าวิหารอยู่ไกล ในระหว่างทางมีพวกชาวบ้านสัญจรไปมา เธอพบชาวบ้านเหล่านั้น พึงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง วางผืนหนึ่งไว้บนจะงอยบ่า แล้วพึงเดินไป, ถ้าหากไม่พบภิกษุที่ชอบพอกันในวิหาร ภิกษุทั้งหลายไปเที่ยวภิกษาจารเสีย เธอพึงวางผ้าสังฆาฏิไว้ภายนอกบ้าน ไปสู่โรงฉันด้วยผ้าอุตราสงค์กับอันตรวาสกแล้วกระทำวินัยกรรม, ถ้าในภายนอกบ้านมีโจรภัยพึงห่มสังฆาฏิไปด้วย ถ้าโรงฉันคับแคบ มีคนพลุกพล่าน เธอไม่อาจเปลื้องจีวรออกทำวินัยกรรมในด้านหนึ่งได้ พึงพาภิกษุรูปหนึ่งไปนอกบ้านกระทำวินัยกรรม แล้วใช้สอยจีวรทั้งหลายเถิด
     -ถ้าภิกษุทั้งหลายให้บาตรและจีวรไว้ในมือแห่งภิกษุหนุ่มทั้งหลายผู้กำลังเดินทางไป มีความประสงค์จะนอนพักในปัจฉิมยาม พึงกระทำจีวรของตนๆ ไว้ในหัตถบาสก่อนแล้วจึงนอน, ถ้าเมื่อภิกษุหนุ่มมาไม่ทัน อรุณขึ้นไปแก่พระเถระทั้งหลายผู้กำลังเดินไปนั่นแล จีวรทั้งหลายย่อมเป็นนิสสัคคีย์ ส่วนนิสัยไม่ระงับ, เมื่อพวกภิกษุหนุ่มเดินล่วงไปก่อนก็ดี พระเถระทั้งหลายเดินตามไม่ทันก็ดี มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน
     เมื่อภิกษุทั้งหลายพลัดทางไม่เห็นกันและกันในป่าก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน, ก็ถ้าพวกภิกษุนุ่มเรียกว่า ท่านขอรับ พวกกระผมจักนอนพักสักครู่หนึ่ง จักตามไปทันพวกท่านในที่โน้น ดังนี้ แล้วนอนอยู่จนอรุณขึ้น จีวรเป็นนิสสัคคีย์ด้วย นิสัยก็ระงับด้วย, แม้เมื่อพระเถระทั้งหลายส่งพวกภิกษุหนุ่มไปก่อนแล้วนอน ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน พบทางสองแพร่ง พระเถระทั้งหลายบอกว่า ทางนี้ พวกภิกษุหนุ่มเรียนว่าทางนี้ ไม่เชื่อถือถ้อยคำของกันและกันไปเสีย (แยกทางกันไป) พร้อมกับอรุณขึ้น จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ และนิสัยย่อมระงับ
     ถ้าพวกภิกษุหนุ่มแวะออกจากทางกล่าวว่า พวกเราจักกลับมาให้ทันภายในอรุณ แล้วเข้าไปยังบ้านเพื่อต้องการเภสัช เมื่อกำลังเดินมาและอรุณขึ้นก่อนพวกเธอผู้กลับมายังไม่ถึงนั่นเอง จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ แต่นิสัยไม่ระงับ, ก็ถ้าว่าพวกเธอกล่าวว่า พวกเรายืนอยู่สักครู่หนึ่งแล้วจักไป แล้วยืนหรือนั่ง เพราะกลัวแม่โคนม (โคแม่ลูกอ่อน) หรือเพราะกลัวสุนัข แล้วจึงเดินไป เมื่ออรุณขึ้นในระหว่างทาง จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ด้วย นิสัยก็ระงับด้วย, เมื่อภิกษุทั้งหลาย (เมื่ออาจารย์และอันเตวาสิก) เข้าไปสู่บ้านภายในสีมาด้วยใส่ใจว่า เราจักมาในภายในอรุณขึ้นนั่นเทียว อรุณขึ้นในระหว่าง จีวรทั้งหลายไม่เป็นนิสสัคคีย์ นิสัยก็ไม่ระงับ, ก็ถ้าว่าภิกษุทั้งหลายนั่งอยู่ด้วยไม่ใส่ใจว่า ราตรีจะสว่างหรือไม่ก็ตามที แม้เมื่ออรุณขึ้นแล้ว จีวรไม่เป็นนิสสัคคีย์ แต่นิสัยย่อมระงับ
     ก็ภิกษุเหล่าใดเข้าไปสู่โรงในภายนอกอุปจารสีมาด้วยทั้งที่ยังมีอุตสาหะว่า เราจักมาในภายในอรุณนั่นแล เพื่อประโยชน์แก่กรรมมีอุปสมบทกรรมเป็นต้น อรุณตั้งขึ้นที่โรงนั้นแก่พวกเธอ จีวรเป็นนิสสัคคีย์แต่นิสัยไม่ระงับ, ภิกษุทั้งหลายเข้าไปสู่โรงนั้นนั่นแลภายในอุปจารสีมา เมื่ออรุณตั้งขึ้น จีวรไม่เป็นนิสสัคคีย์ นิสัยไม่ระงับ, แต่ภิกษุเหล่าใดยังมีอุตสาหะไปยังวิหารใกล้เคียง เพื่อประสงค์จะฟังธรรม ตั้งใจว่าจักมาให้ทันภายในอรุณ แต่อรุณขึ้นในระหว่างทางนั่นเอง จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ แต่นิสัยยังไม่ระงับ. ถ้าพวกเธอนั่งอยู่ด้วยเคารพในธรรมว่า พวกเราฟังจนจบแล้วจึงจักไป พร้อมกับอรุณขึ้นนั้น จีวรทั้งหลายก็เป็นนิสสัคคีย์ ทั้งนิสัยก็ระงับ
     พระเถระ เมื่อจะส่งภิกษุหนุ่มไปสู่ละแวกบ้าน เพื่อต้องการซักจีวร พึงปัจจุทธรณ์จีวรของตนก่อน แล้วจึงให้ไป แม้จีวรของภิกษุหนุ่มก็พึงให้ปัจจุทธรณ์แล้วเก็บไว้ ถ้าภิกษุหนุ่มไปด้วยไม่มีสติ พระเถระพึงถอนจีวรของตนแล้วถือเอาจีวรของภิกษุหนุ่มด้วยวิสาสะ พึงเก็บไว้, ถ้าพระเถระระลึกไม่ได้ แต่ภิกษุหนุ่มระลึกได้ ภิกษุหนุ่มพึงถอนจีวรของตน แล้วถือเอาจีวรของพระเถระด้วยวิสาสะ แล้วไปเรียนว่า ท่านขอรับ ท่านจงอธิษฐานจีวรของท่านเสียแล้วใช้สอยเถิด จีวรของตนเธอก็พึงอธิษฐาน, แม้ด้วยความระลึกได้ของภิกษุรูปหนึ่งอย่างนี้ ก็ย่อมพ้นอาบัติได้แล
     ๕.สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานเป็นต้น เหมือนสิกขาบทที่ ๑ แห่งจีวรวรรค, แปลกกันแต่สิกขาบทนี้เป็นอกิริยา คือ ไม่ปัจจุทธรณ์ (จึงต้องอาบัติ)




อนิกฺกสาโว กาสาวํ   โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
อเปโต ทมสจฺเจน   น โส กาสาวมรหติ ฯ ๙ ฯ

คนที่กิเลสครอบงำใจ  ไร้การบังคับตนเองและไร้สัตย์
ถึงจะครองผ้ากาสาวพัสตร์ ก็หาคู่ควรไม่

whosoever, not freed from defilements, Without self-control and truthfulness,
Should put on the yellow robe- He is not worthy of it.
.
 ... ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก

คัดจาก คัดจาก พระวินัย ๒๒๗ พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก,
          ธรรมสภา และ สถาบันบันลือธรรม จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา
          (ฉลองพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า)
3337  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / Re: พระวินัย ๒๒๗ พุทธบัญญัติจากพระไตรปิฎก (ปาราชิก ๔ สิกขาบท) เมื่อ: 26 พฤศจิกายน 2558 16:52:22
.


นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ มี ๓ วรรค วรรคละ ๑๐ สิกขาบท ว่าด้วย
วรรคที่ ๑ จีวรวรรค   วรรคที่ ๒ โกสิยวรรค  วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ เป็นอาบัติปาจิตตีย์อันทำให้ต้องสละสิ่งของ
ภิกษุใดซึ่งต้องอาบัติประเภทนี้ จะต้องสละสิ่งของที่ทำให้ต้องอาบัติก่อน
จึงจะปลงอาบัติตก


นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๑
(พระวินัยข้อที่ ๒๐)
ภิกษุเก็บจีวรที่ไม่ได้ทำเป็นสองเจ้าไว้ได้ไม่เกิน ๑๐ วัน
ถ้าเกินกว่ากำหนดนั้น ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์

    พระฉัพพัคคีย์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไตรจีวรแล้ว จึงครองไตรจีวรเข้าบ้านสำรับหนึ่ง อยู่ในอารามอีกสำรับหนึ่ง สรงน้ำอีกสำรับหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเพ่งโทษติเตียนว่า ใช้จีวรเกินหนึ่งสำรับ แล้วกราบทูล...ทรงมีพระบัญญัติว่า “อนึ่ง ภิกษุใดทรงอดิเรกจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
     สมัยต่อมา อดิเรกจีวรเกิดแก่พระอานนท์ ท่านต้องการจะถวายแก่พระสารีบุตร แต่พระสารีบุตรอยู่ถึงเมืองสาเกต ท่านจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า...ตรัสถามว่า อีกนานเท่าไร พระสารีบุตรจึงจักกลับมา พระอานนท์ทูลว่าจักกลับมาในวันที่ ๙ หรือวันที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าข้า แล้วทรงมีพุทธานุญาตให้ภิกษุทรงอดิเรกจีวรไว้ได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง ทรงมีพระอนุบัญญัติว่า
     “จีวรสำเร็จแล้ว กฐินอันภิกษุเดาะเสียแล้ว พึงทรงอดิเรกจีวรได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง ภิกษุให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”

อรรถาธิบาย
     -บทว่า จีวรสำเร็จแล้ว ความว่า จีวรของภิกษุทำสำเร็จแล้วก็ดี หายเสียก็ดี ฉิบหายเสียก็ดี ถูกไฟไหม้เสียก็ดี หมดหวังว่าจะได้ทำจีวรก็ดี
     -คำว่า กฐินอันภิกษุเดาะเสียแล้ว คือ เดาะเสียแล้วด้วยมาติกาอันใดอันหนึ่งในมาติกา ๘ อันสงฆ์เดาะเสียในระหว่าง
     -บทว่า ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง คือ ทรงไว้ได้ ๑๐วันเป็นอย่างมาก
     -ที่ชื่อว่า อดิเรกจีวร ได้แก่ จีวรที่ยังไม่ได้อธิษฐาน ยังไม่ได้วิกัป
     -ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ ผ้า ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าวิกัปเป็นอย่างต่ำ จีวร ๖ ชนิด ได้แก่ ผ้าที่ทอด้วยเปลือกไม้, ผ้าฝ้าย, ผ้าไหม, ผ้าขนสัตว์ (ยกเว้นผมมนุษย์), ผ้าป่าน, ผ้าผสมกันด้วยของ ๕ อย่างข้างต้น
     -คำว่า ให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคีย์ คือ เมื่ออรุณที่ ๑๑ ขึ้นมา จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล

วิธีสละแก่สงฆ์
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วง ๑๐ วัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์”
     ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงรับอาบัติ แล้วพึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้
     “ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้...เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้”

วิธีเสียสละแก่คณะ ( ๒-๓ รูป)
     ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือกล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วง ๑๐ วัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย”
     ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจาว่า
     “ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อว่า...เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้”

วิธีเสียสละแก่บุคคล
     ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่งประนมมือกล่าวว่า “ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วง ๑๐ วัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน”
     ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับสละนั้น พึงรับอาบัติแล้วพึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า “ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน” ดังนี้
     สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ ไม่ให้คืนจีวรที่ภิกษุเสียสละ ภิกษุทั้งหลายต่างพากันติเตียนแล้วกราบทูล ทรงติเตียน แล้วรับสั่งว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จีวรที่ภิกษุเสียสละแล้ว สงฆ์ คณะ หรือบุคคล จะไม่คืนให้ไม่ได้ ภิกษุใดไม่คืนให้ ต้องอาบัติทุกกฎ”

อาบัติ
     ๑.จีวรล่วง ๑๐ วันแล้ว ภิกษุรู้ว่าล่วงแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     ๒.จีวรล่วงแล้ว ๑๐ วัน ภิกษุสงสัย เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     ๓.จีวรล่วง ๑๐ วันแล้ว ภิกษุเข้าใจว่ายังไม่ล่วง เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     ๔.จีวรยังไม่ได้อธิษฐาน ภิกษุเข้าใจว่าอธิษฐานแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     ๕.จีวรยังไม่ได้วิกัป ภิกษุเข้าใจว่าวิกัปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     ๖.จีวรยังไม่ได้สละ ภิกษุเข้าใจว่าสละแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     ๗.จีวรยังไม่หาย ภิกษุคิดว่าหายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     ๘.จีวรยังไม่ฉิบหาย ภิกษุเข้าใจว่าฉิบหายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
     ๙.จีวรยังไม่ถูกไฟไหม้ ภิกษุคิดว่าถูกไฟไหม้แล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
    ๑๐.จีวรยังไม่ถูกชิงไป ภิกษุคิดว่าถูกชิงไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
    ๑๑.จีวรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุยังไม่ได้เสียสละ บริโภค (นุ่งห่มเป็นต้น) ต้องทุกกฎ
    ๑๒.จีวรยังไม่ล่วง ๑๐ วัน ภิกษุเข้าใจว่าล่วงแล้ว บริโภค ต้องทุกกฎ
    ๑๓. จีวรยังไม่ล่วง ๑๐ วัน ภิกษุสงสัย บริโภค ต้องทุกกฎ

อนาบัติ
     จีวรยังไม่ล่วง ๑๐ วัน ภิกษุรู้ว่ายังไม่ล่วง บริโภค ไม่ต้องอาบัติ ๑  ในภายใน ๑๐ วัน ภิกษุอธิษฐาน ๑  ภิกษุวิกัปไว้ ๑  ภิกษุสละให้ไป ๑  จีวรหาย ๑  จีวรฉิบหาย ๑  จีวรถูกไฟไหม้ ๑  โจรชิงเอาไป ๑  ภิกษุถือวิสาสะ ๑  วิกลจริต ๑  อาทิกัมมิกะ ๑

สมนตฺปาสาทิกาอรรถกถา วินย.มหาวิ.๑/๓/๗๐๒-๗๒๙
     ๑.พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต จีวร ๓ ผืน คือ อันตรวาสก ๑  อุตราสงค์ ๑  สังฆาฏิ ๑ ไว้ในเรื่องหมอชีวกโกมารภัทท์ในจีวรขันธกะ
     -พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ครองไตรจีวรเข้าบ้านสำรับหนึ่ง ต่างหากจากสำรับที่ใช้ครองอยู่ในวัด และสำรับที่ใช้ครองสรงน้ำ ใช้จีวรวันละ ๙ ผืน ทุกวัน ด้วยอาการอย่างนี้
     ๒.ได้ยินว่า ท่านพระอานนท์นับถือท่านพระสารีบุตร โดยนับถือความมีคุณของท่านว่า เว้นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว บุคคลอื่นที่มีคุณวิเศษเห็นปานนี้ ไม่มีเลย เมื่อท่านได้จีวรที่ชอบใจมา จึงซักแล้วกระทำพินทุกัปปะแล้ว ถวายแก่พระสารีบุตรทุกคราว, ในเวลาก่อนฉันได้ยาคูและของเคี้ยวหรือบิณฑบาตอันประณีตแล้ว ย่อมถวายแก่พระเถระเหมือนกัน, ในเวลาหลังฉัน แม้ได้เภสัช มีน้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น ก็ถวายแก่พระเถระนั่นเอง, เมื่อพาเด็กทั้งหลายออกจากตระกูลอุปัฏฐากก็ให้บรรพชา ให้ถืออุปัชฌายะในสำนักพระเถระแล้ว กระทำอนุสาวนากรรมเอง, ฝ่ายท่านพระสารีบุตรนับถือพระอานนท์เหลือเกิน ด้วยทำในใจว่า ธรรมดาว่ากิจที่บุตรจะพึงกระทำแก่บิดา เป็นภาระของบุตรคนโต  เพราะฉะนั้น กิจใจที่เราจะพึงกระทำแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า กิจนั้นทั้งหมดพระอานนท์กระทำอยู่ เราอาศัยพระอานนท์ จึงได้เพื่อเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย แม้พระเถระได้จีวรที่ชอบใจแล้ว ก็ถวายแก่พระอานนท์เหมือนกันเป็นต้น พระอานนท์นับถือมากเช่นนี้ จึงเป็นผู้มีความประสงค์จะถวายจีวรนั้นแม้ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้แก่ท่านพระสารีบุตร
     ๓.ท่านพระอานนท์ทราบการมาของพระสารีบุตรได้ ก็เพราะได้ยินว่า พระสารีบุตรเถระเมื่อจะหลีกจาริกไปในชนบท มักบอกลาพระอานนท์เถระแล้วจึงหลีกไปว่า ผมจักมาโดยกาลเช่นนี้ ประมาณเท่านี้ ในระหว่างนี้ท่านอย่าละเลยพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้, ถ้าแม้นว่าท่านไม่บอกลาในที่ต่อหน้า ก็ต้องส่งภิกษุไปบอกลาก่อนจึงไป, ถ้าว่าท่านอยู่จำพรรษาในอาวาสอื่น และภิกษุเหล่าใดมาก่อน ท่านก็สั่งภิกษุเหล่านี้ว่า พวกท่านจงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้าตามคำของเรา และจงเรียนถามถึงความไม่มีโรคของพระอานนท์ แล้วบอกว่า เราจักมาในวันโน้น และพระเถระย่อมมาในวันที่ท่านกำหนดไว้แล้วเสมอๆ
     อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ย่อมทราบได้ด้วยการอนุมานบ้าง ย่อมทราบได้โดยนัยว่าท่านพระสารีบุตรเมื่อทนอดกลั้นความวิโยค (พลัดพราก) จากพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่สิ้นวันมีประมาณเท่านี้ บัดนี้นับแต่นี้ไป จักไม่เลยวันชื่อโน้น ท่านจักมาแน่นอน, เพราะชนทั้งหลายผู้ซึ่งมีปัญญามาก ย่อมมีความรักและความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก, พระเถระย่อมทราบได้ด้วยเหตุหลายอย่างด้วยประการเหล่านี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกราบทูลว่า จักมาในวันที่ ๙ หรือวันที่ ๑๐ พระพุทธเจ้าข้า
     เมื่อพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว เพราะสิกขาบทมีโทษทางพระบัญญัติ มิใช่โทษทางโลก เพราะเหตุนั้นเมื่อจะทรงทำวันที่ท่านพระอานนท์กราบทูลนั้นให้เป็นกำหนด จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทรงอดิเรกจีวรไว้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง ดังนี้, ถ้าหากว่า พระเถระนี้จะพึงทูลแสดงขึ้นกึ่งเดือนหรือเดือนหนึ่ง แม้กึ่งเดือน หรือเดือนหนึ่งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะพึงทรงอนุญาต
     ๔.บทว่า นิฏฺฐิตวีวรสฺมึ ได้แก่ เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว โดยการสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งถึงเพราะจีวรนี้ ย่อมเป็นอันสำเร็จแล้วด้วยการกระทำบ้าง ด้วยเหตุมีการเสียหายเป็นต้นบ้าง
     -กรรมมีสูจิกรรมเป็นที่สุด ได้แก่ การทำกรรมที่ควรทำด้วยเข็มอย่างใดอย่างหนึ่ง มีการติดรังดุมและลูกดุมเป็นที่สุด แล้วเก็บเข็มไว้ (ในกล่องเข็ม)
     -จีวรถูกพวกโจรเป็นต้นลักเอาไป ท่านเรียกว่า สำเร็จแล้ว ก็เพราะความกังวลด้วยการกระทำนั่นเองสำเร็จลงแล้ว (ไม่มีกิจต้องทำอีก)
     -หมดความหวังในจีวรซึ่งบังเกิดขึ้นว่า เราจักได้จีวรในตระกูลชื่อโน้นก็ดี อันที่จริงควรทราบด้วยความที่จีวรแม้เหล่านี้สำเร็จแล้ว เพราะความกังวลด้วยการกระทำนั่นแลสำเร็จลงแล้ว
     -สองบทว่า อพฺภตสฺมํ กฐิเน คือ (เมื่อจีวรสำเร็จแล้ว) และเมื่อกฐินเดาะเสียแล้ว, ด้วยบทว่า อุพฺภตสฺมึ กฐิเน นี้ ทรงแสดงความไม่มีแห่งปลิโพธิที่ ๒, ก็กฐินนั้นอันภิกษุทั้งหลายย่อมเดาะด้วยมาติกาอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดามาติกา (หัวข้อแห่งการเดาะกฐิน) ๘ หรือด้วยการเดาะในระหว่าง
     -วินยฺ มหา.ข้อ ๙๙ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มาติกาเพื่อเดาะกฐิน ๘ ข้อนี้ คือกำหนดด้วยหลีกไป ๑ กำหนดด้วยจีวรทำเสร็จ ๑ กำหนดด้วยตกลงใจ ๑ กำหนดด้วยผ้าเสียหาย ๑ กำหนดด้วยได้ยินข่าว ๑ กำหนดด้วยสิ้นหวัง ๑ กำหนดด้วยล่วงเขต ๑ กำหนดด้วยเดาะพร้อมกัน ๑
     ๕.จีวรที่ชื่อว่า อดิเรก เพราะไม่นับเข้าในจำพวกจีวรที่อธิษฐานและวิกัปไว้
     -จีวร ๖ ชนิด มีจีวรที่เกิดจากผ้าเปลือกไม้ เป็นต้น เพื่อจะทรงแสดงขนาดแห่งจีวร จึงตรัสว่า จีวรอย่างต่ำควรจะวิกัปได้ขนาดแห่งจีวรนั้น ด้านยาว ๒ คืบ ด้านกว้างคืบหนึ่ง ในขนาดแห่งจีวรนั้น มีพระบาลีดังนี้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้วิกัปจีวรอย่างต่ำ ด้านยาว ๘ นิ้ว กว้าง ๔ นิ้ว โดยนิ้วพระสุคต”
     -เมื่อภิกษุยังจีวรมีกำเนิดและประมาณตามที่กล่าวแล้วนั้น ให้ล่วงกาลมี ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง คือ เมื่อไม่ทำโดยวิธีที่จะไม่เป็นอดิเรกจีวรเสียในระหว่างกาลมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่งนี้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์  อธิบายว่า จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ด้วย เป็นอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุนั้นด้วย อีกอย่างหนึ่ง การเสียสละชื่อว่านิสสัคคีย์  คำว่า นิสสัคคีย์ เป็นชื่อของวินัยกรรมอันภิกษุพึงกระทำในกาลเป็นส่วนเบื้องต้น, การเสียสละมีอยู่แก่ธรรมชาติใด เหตุนั้นธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่า นิสสัคคีย์,  นิสสัคคีย์นั้นคืออะไร? คือปาจิตตีย์ “เป็นปาจิตตีย์ มีการเสียสละเป็นวินัยกรรม แก่ภิกษุผู้ให้ล่วงกาลนั้นไป”
     ๖.อธิบายวิธีเสียสละและวิธีแสดงอาบัติ
     พึงแสดงเหมือนอย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในขันธกะ ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ กระทำอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ไหว้เท้าภิกษุผู้แก่ทั้งหลายแล้ว นั่งกระโหย่ง ประนมมือ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อหํ ภนฺเต อิตฺถนฺนามํ อาปตฺตึ อาปนฺโน ตํ ปฏิเทเสมิ (ท่านเจ้าข้า กระผมต้องอาบัติมีชื่ออย่างนี้ ขอแสดงคืนอาบัตินั้น)
     ถ้าจีวรมีผืนเดียว พึงกล่าวว่า เอกํ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ...(ต้องแล้ว)  ซึ่งนิสสัคคิยปาจิตตีย์ตัวหนึ่ง ถ้าจีวร ๒ ผืน พึงกล่าวว่า เทฺว...ซึ่งอาบัติ ๒ ตัว, ถ้าจีวรมากผืนพึงกล่าวว่า สมฺพหุลา...ซึ่งอาบัติหลายตัว
     แม้ในการเสียสละ ถ้าว่าจีวรมีผืนเดียว พึงกล่าวตามสมควรแก่บาลีนั่นแลว่า อิทํ เม ภนฺเต จีวรํ ท่านเจ้าขา จีวรของกระผมผืนนี้ เป็นต้น, ถ้าหากว่าจีวร ๒ ผืนหรือมากผืน พึงกล่าวว่า อิมานิ เม ภนฺเต จีวรานิ ทสาหาติกฺกนฺตานิ นิสฺสคฺคิยานิ อิมานาหํ สงฺฆสฺส นิสฺสชฺชามิ (ท่านเจ้าข้า จีวรของกระผมเหล่านี้ ล่วง ๑๐ วัน เป็นนิสสัคคีย์ กระผมเสียสละจีวรเหล่านี้แก่สงฆ์, เมื่อไม่สามารถจะกล่าวบาลีได้ พึงกล่าวโดยภาษาอื่นก็ได้, ภิกษุพึงรับอาบัติโดยนัยดังกล่าวไว้ในขันธกะนั่นแลว่า ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงเผดียงสงฆ์ว่า ท่านเจ้าขา ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อนี้รูปนี้ ระลึกได้ เปิดเผย กระทำให้ตื้น ย่อมแสดงซึ่งอาบัติ ถ้าความพรั่งพร้อมแห่งสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของภิกษุมีชื่ออย่างนี้ ดังนี้
     ภิกษุผู้แสดง  อันภิกษุรับอาบัตินั้น พึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (เธอเห็นหรือ)
     ผู้แสดง  อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ผมเห็น)
     ผู้รับ  อายตึ สํวเรยฺยาสิ (เธอพึงสำรวมต่อไป)    
     ผู้แสดง  สาธุ สุฏฺฐุ สํวริสฺสามิ (ดีละ ผมจะสำรวมให้ดี)
     -ก็ในอาบัติ ๒ ตัว หรือหลายตัวด้วยกัน ผู้ศึกษาพึงทราบความต่างแห่งวจนะโดยนัยก่อนนั่นแล แม้ในการให้จีวรคืน ก็พึงทราบความแตกต่างแห่งวจนะด้วยอำนาจแห่งจำนวน คือ สงฺโฆ อิมํ จีวรํ อิมานิ จีวรานิ...สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้...พึงให้จีวรทั้งหลายเหล่านี้...ถึงในการเสียสละแก่คณะและแก่บุคคลก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน
     -ในการแสดงและการรับอาบัติ (แก่คณะ) มีบาลีดังต่อไปนี้, เตน ภิกฺขเว ภิกฺขุนา ฯเปฯ เอวมสฺสุ วจนียา อหํ ภนฺเต อิตฺถนฺนามํ อาปาตฺตึ อาปนฺโน ตํ ปฏิเทเสมิ  แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุมากรูป กระทำผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ไหว้เท้าทั้งหลายแห่งภิกษุแก่ทั้งหลาย แล้วนั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องอาบัติชื่อนี้ ขอแสดงคืนซึ่งอาบัตินั้น
     อันภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถ พึงเผดียงสงฆ์ให้ทราบว่า สุณาตุ เม ภนฺเต อายสฺมนฺตา อยํ อิตฺถนฺนาโม ภิกฺขุ อาปตฺตึ สรติ วิวรติ อุตฺตานี กโรติ เทเสติ ยทายสฺมนฺตานํ ปตฺตกลฺลํ อหํ อิตฺถนฺนามสฺส ภิกฺขุโน อาปตฺตึ ปฏิคฺคณฺเหยฺยํ แปลว่า ท่านเจ้าข้า! ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า ภิกษุมีชื่ออย่างนี้ รูปนี้ ย่อมระลึก ย่อมเปิดเผย ย่อมกระทำให้ตื้น ย่อมแสดงอาบัติ ถ้าว่าความพรั่งพร้อมแห่งท่านผู้มีอายุทั้งหลายถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าพึงรับอาบัติของภิกษุชื่อนี้
     ภิกษุผู้แสดง  อันภิกษุผู้รับอาบัตินั้น พึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (ท่านเห็นหรือ)
     ผู้แสดง  อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ผมเห็น)  
     ผู้รับ  อายตึ สํวเรยฺยาสิ (ท่านพึงสำรวมระวังต่อไป)
     -ภิกษุ (ผู้ต้องเสียสละ) พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง (บุคคล) ทำอุตราสงค์เฉวียงบ่า แล้วนั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส ข้าพเจ้าต้องอาบัติมีชื่ออย่างนี้แล้ว จะแสดงคืนอาบัติภิกษุผู้แสดง อันภิกษุผู้รับอาบัตินั้นพึงกล่าวว่า ปสฺสสิ (ท่านเห็นหรือ)
     ผู้แสดง  อาม ปสฺสามิ (ขอรับ ผมเห็น)
     ผู้รับ  อายตึ สํวเรยฺยาสิ (ท่านพึงสำรวมระวังต่อไป)
     -ในการแสดงและรับอาบัติ พึงทราบการระบุชื่ออาบัติและความต่างแห่งวจนะ โดยนัยก่อนนั่นแหละ และพึงทราบบาลีแม้ในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูป เหมือนการสละแก่คณะฉะนั้น เพราะถ้าจะมีความแปลกกัน, พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะพึงตรัสบาลีไว้แผนกหนึ่ง เหมือนอย่างที่พระองค์ตรัสปาริสุทธิอุโบสถแก่ภิกษุ ๓ รูป โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๓ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถ ภิกษุทั้งหลายก็แลภิกษุเหล่านั้น พึงทำอุโบสถเหล่านั้นอย่างนี้ ภิกษุผู้ฉลาดผู้สามารถพึงเผดียงให้ภิกษุเหล่านั้นทราบ แล้วตรัสปาริสุทธิอุโบสถแก่ภิกษุ ๒ รูปอีกแผนกหนึ่งต่างหาก โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถ ภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุเหล่านั้นพึงทำอุโบสถนั้นอย่างนี้ ภิกษุเถระพึงทำอุตราสงค์เฉวียงบ่า ดังนี้  ฉะนั้น ก็เพราะไม่มีความแปลกกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมิได้ตรัสไว้ เพราะฉะนั้นบาลีในการสละแก่ภิกษุ ๒ รูปนี้ เป็นบาลีที่ตรัสไว้แก่คณะเหมือนกัน
     -ส่วนในการรับอาบัติมีความแปลกกัน ดังนี้ บรรดาภิกษุ ๒ รูป ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง อย่าตั้งญัตติเหมือนภิกษุผู้รับอาบัติตั้งญัตติ ในเมื่อภิกษุผู้ต้องอาบัติสละแก่คณะแล้วแสดงอาบัติ พึงรับอาบัติเหมือนบุคคลคนเดียวรับฉะนั้น, แท้จริง ชื่อว่าการตั้งญัตติสำหรับภิกษุ ๒ รูป ย่อมไม่มี, ก็ถ้าหากจะพึงมีจะไม่พึงตรัสปาริสุทธิอุโบสถไว้แผนกหนึ่ง
     สำหรับภิกษุ ๒ รูป แม้ในการให้จีวรที่เสียสละแล้วคืน จะกล่าวว่า อิมํ จีวรํ อายสฺมโต เทม พวกเราให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน, เหมือนภิกษุรูปเดียวกล่าวว่า อิมํ จีวรํ อายสฺมโต ทมฺมิ ผมให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้ก็ควร, จริงอยู่ แม้ญัตติทุติยกรรมซึ่งหนักกว่านี้ ตรัสว่า ควรอปโลกน์ทำก็มี, วินัยกรรมมีการสละนี้สมควรแก่ญัตติทุติยกรรมเหล่านั้น แต่จีวรที่สละแล้ว ควรให้คืนทีเดียว จะไม่ให้คืนไม่ได้ ก็การให้คืนจีวรที่สละเสียแล้วนี้ เป็นเพียงวินัยกรรม จีวรนั้นจะเป็นอันภิกษุนั้นให้แก่สงฆ์ หรือแก่คณะ หรือแก่บุคคลหามิได้ทั้งนั้นแล
     ๗.จีวรที่ควรอธิษฐานและวิกัป มีพระบาลี (วิ.มหา.) ดังต่อไปนี้
     ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายได้มีความรำพึงอย่างนี้ว่า จีวรทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ คือ ไตรจีวรก็ดี คือ วัสสิกสาฎกก็ดี นิสีทนะก็ดี คือปัจจัตถรณะ (ผ้าปูนอน) ก็ดี คือ ภัณฑุปฏิจฉาทิ (ผ้าปิดแผล) ก็ดี คือ มุขปุญฺฉนโจลก (ผ้าเช็ดหน้า) ก็ดี ปริขารโจลกะ (ท่อนผ้าใช้เป็นบริขารเช่นผ้ากรองนี้ ถุงบาตร ย่าม ผ้าห่มของ) ควรอธิษฐานทั้งหมดหรือว่าควรจะวิกัปหนอแล? ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอนุญาตว่า ภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้อธิษฐานไตรจีวร ไม่อนุญาตให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐานวัสสิกสาฎก ตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน พ้นจากฤดูฝนนั้นอนุญาตให้วิกัปไว้ อนุญาตให้อธิษฐานนิสีทนะ ไม่ใช่ให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐานผ้าปูนอน ไม่ใช่ให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษฐานกัณฑุปฏิจฉาทิชั่วเวลาอาพาธ พ้นจากกาลอาพาธนั้น อนุญาตให้วิกัป, อนุญาตให้อธิษบานมุขปุญฺฉนโจล (ผ้าเช็ดหน้า) ไม่อนุญาตให้วิกัป อนุญาตให้อธิษฐานบริขารโจล ไม่อนุญาตให้วิกัป ดังนี้
     ๘.การอธิษฐานไตรจีวร เป็นต้น
     บรรดาจีวรเป็นต้นเหล่านั้น อันภิกษุเมื่อจะอธิษฐานไตรจีวรย้อมแล้ว ให้กัปปะพินทุ พึงอธิษฐานจีวรที่ได้ประมาณเท่านั้น, ประมาณแห่งจีวรนั้น โดยกำหนดอย่างสูง หย่อนกว่าสุคตจีวร (จีวรของพระสุคต) จึงควร, และโดยกำหนดอย่างต่ำ ประมาณแห่งสังฆาฏิและอุตราสงค์ ด้านยาว ๕ ศอกกำ ด้านกว้าง ๓ ศอกกำ จึงควร, อันตรวาสก ด้านยาว ๕ ศอกกำ ด้านกว้างแม้ ๒ ศอก ก็ควร เพราะอาจเพื่อจะปกปิดสะดือ ด้วยผ้านุ่งบ้าง ผ้าห่มบ้างแล ก็จีวรที่เกินและหย่อนกว่าประมาณดังกล่าวแล้ว พึงอธิษฐานว่าบริขารโจล
     การอธิษฐานจีวรมี ๒ อย่าง คือ อธิษฐานด้วยกายอย่างหนึ่ง อธิษฐานด้วยวาจาอย่างหนึ่ง ฉะนั้นภิกษุพึงถอนสังฆาฏิผืนเก่าว่า อิมํ สงฺฆาฏึ ปจฺจุทฺธรามิ (เราถอนสังฆาฏิผืนนี้) แล้วเอามือจับสังฆาฏิใหม่ หรือพาดบนส่วนแห่งร่างกาย กระทำการผูกใจว่า อิมํ สงฺฆาฏึ อธิฏฐามิ (เราอธิษฐานสังฆาฏินี้) แล้วพึงทำกายวิการ (มีการเอามือจับจีวรเป็นต้น) อธิษฐานด้วยกายนี้ ชื่อว่า การอธิษฐานด้วยกาย, เมื่อไม่ถูกต้องจีวรนั่นด้วยส่วนแห่งร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง การอธิษฐานนั้นไม่ควร
     ส่วนในการอธิษฐานด้วยวาจา พึงเปล่งวาจาแล้วอธิษฐานด้วยวาจา มีการอธิษฐาน ๒ วิธี, ถ้าผ้าสังฆาฏิอยู่ในหัตถบาส พึงเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าอธิฐานสังฆาฏิผืนนี้, ถ้าอยู่ภายในห้องในปราสาทชั้นบน หรือในวัดใกล้เคียง พึงกำหนดที่เก็บสังฆาฏิไว้แล้วเปล่งวาจาว่า ข้าพเจ้าอธิฐานสังฆาฏินั่น, ในอุตราสงค์ และอันตรวาสก ก็มีนัยอย่างนี้, พึงอธิษฐานจีวรทั้งหมดโดยชื่อของตนเท่านั้น อย่างนี้ว่า สงฺฆาฏึ อุตฺตราสงฺคํ อนฺตรวาสกํ ดังนี้
     ถ้าภิกษุกระทำจีวรสังฆาฏิเป็นต้น ด้วยผ้าที่อธิษฐานเก็บไว้ เมื่อย้อมและกัปปะเสร็จแล้ว พึงถอนว่า ข้าพเจ้าถอนผ้านี้ แล้วอธิษฐานใหม่ แต่เมื่อเย็บแผ่นผ้าใหม่หรือขัณฑ์ใหม่ เฉพาะที่ใหญ่กว่าเข้ากับจีวรที่อธิษฐานแล้ว ควรอธิษฐานใหม่, ในแผ่นผ้าที่เท่ากันหรือเล็กกว่า ไม่มีกิจด้วยการอธิษฐานใหม่
     -ผ้าอาบน้ำฝนที่ไม่เกินประมาณ อันภิกษุพึงระบุชื่อแล้วอธิษฐานสิ้น ๔ เดือนแห่งฤดูฝน โดยนัยดังกล่าวแล้ว ต่อจากนั้นพึงถอนแล้ววิกัปไว้, ผ้าอาบน้ำฝนนี้ แม้ย้อมพอทำให้เสียสี ก็ควร, แต่สองผืนไม่ควร
     -ผ้านิสีทนะพึงอธิษฐานโดยนัยดังกล่าวแล้ว ก็แลผ้านิสีทนะมีได้เพียงผืนเดียวเท่านั้น สองผืนไม่ควร
     -แม้ผ้าปูนอนก็ควรอธิษฐานเหมือนกัน; ผ้าปูนอนนี้ถึงใหญ่ก็ควร แม้ผืนเดียวก็ควร แม้มากผืนก็ควร มีลักษณะเป็นต้นว่าสีเขียวก็ดี สีเหลืองก็ดี มีชายก็ดี มีชายเป็นลายดอกไม้ก็ดี ย่อมควรทุกประการ ภิกษุอธิษฐานคราวเดียว ย่อมเป็นอันอธิษฐานแล้วทีเดียว
     -ผ้าปิดฝีที่ได้ประมาณพึงอธิษฐานชั่วเวลาที่ยังมีอาพาธอยู่ เมื่ออาพาธหายแล้ว พึงถอนแล้ววิกัปเก็บไว้ผืนเดียวเท่านั้น จึงควร
     -ผ้าเช็ดหน้าพึงอธิษฐานเหมือนกัน ภิกษุจำต้องปรารถนาผืนอื่น เมื่อต้องการใช้ในเวลาที่ยังซักอีกผืนหนึ่งอยู่ เพราะฉะนั้น สองผืนก็ควร
     -ในบริขารโจล ชื่อว่าการนับจำนวนไม่มี พึงอธิษฐานได้เท่าจำนวนที่ต้องการนั่นเทียว, ถุงย่ามก็ดี ผ้ากรองน้ำก็ดี มีประมาณเท่าจีวรที่ควรวิกัปเป็นอย่างต่ำ พึงอธิษฐานว่าบริขารโจลเหมือนกัน แม้จะรวมจีวรมากผืนเข้าด้วยกันแล้วอธิษฐานว่า ข้าพเจ้าอธิษฐานจีวรเหล่านี้เป็นบริขารโจร ดังนี้ก็สมควรเหมือนกัน แม้ภิกษุจะเก็บไว้เพื่อประโยชน์แก่เภสัช นวกรรมและมารดา เป็นต้น ก็จำต้องอธิษฐาน แต่ในมหาปัจจรีว่า ไม่เป็นอาบัติ
     -ส่วนในเสนาสนบริขารเหล่านี้คือ ฟูกเตียง ๑ ฟูกตั่ง ๑ หมอน ๑ ผ้าปาวาร ๑ ผ้าโกเชาว์ ๑  และในเครื่องปูลาดที่เขาถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่เสนาสนบริขาร ไม่มีกิจที่ต้องอธิษฐานเลย
     ๙.เหตุให้ขาดอธิษฐาน
     ถามว่า จีวรอธิษฐานแล้ว เมื่อภิกษุใช้สอยอยู่ จะละอธิษฐานไปด้วยเหตุอย่างไร? ตอบว่า ย่อมละด้วยเหตุ ๙ อย่างนี้ คือ ด้วยให้บุคคลอื่น ๑ ด้วยถูกชิงไป ๑ ด้วยถือเอาโดยวิสาสะ ๑ ด้วยหันไปเป็นคนเลว (เข้ารีตเดียรถีย์) ๑ ด้วยลาสิกขา ๑ ด้วยกาลกิริยา (ตาย) ๑ ด้วยเพศกลับ ๑ ด้วยถอนอธิษฐาน ๑ ด้วยความเป็นช่องทะลุ ๑
     บรรดาเหตุ ๙ อย่างนั้น จีวรทุกชนิดย่อมละอธิษฐานด้วยเหตุ ๘ อย่างข้างต้น, แต่เฉพาะไตรจีวรละอธิษฐานด้วยความเป็นช่องทะลุ อรรถกถาทุกแห่งกล่าวว่า ช่องทะลุประมาณเท่าหลังเล็บแห่งนิ้วก้อย และช่องทะลุเป็นช่องโหว่ทีเดียว ถ้าภายในช่องทะลุมีเส้นด้ายเส้นหนึ่งยังไม่ขาด ก็ยังไม่ละอธิษฐาน
     “บรรดาไตรจีวรนั้น สำหรับสังฆาฏิและอุตราสงค์ ช่องทะลุจากด้านในแห่งเนื้อที่มีประมาณเพียง ๑ คืบ จากชายด้านยาว, มีประมาณ ๘ นิ้ว จากชายด้านกว้าง ย่อมทำให้ขาดอธิษฐาน แต่สำหรับอันตรวาสก ช่องทะลุจากด้านในแห่งเนื้อที่ มีประมาณเพียง ๑ คืบ จากชายด้านยาว, มีประมาณ ๔ นิ้ว จากชายด้านกว้าง ย่อมทำให้ขาดอธิษฐาน ช่องทะลุเล็กลงมาไม่ทำให้ขาดอธิษฐาน....เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดเป็นช่องทะลุ จีวรนั้นย่อมตั้งอยู่ในฐานแห่งอดิเรกจีวร, ควรกระทำสูจิกรรมแล้ว อธิษฐานใหม่”. (สูจิกรรม-การเย็บ)
     ก็ภิกษุใดดามผ้าปะลงในที่ชำรุดก่อนแล้ว เลาะที่ชำรุดในภายหลัง การอธิษฐานของภิกษุนั้นยังไม่ขาดไป, แม้ในการเปลี่ยนแปลงกระทงจีวรก็มีนัยนี้เหมือนกัน สำหรับจีวร ๒ ชิ้น เมื่อชิ้นหนึ่งเกิดเป็นช่องทะลุหรือขาดไป อธิษฐานยังไม่ขาด, ภิกษุกระทำจีวรผืนเล็กให้เป็นผืนใหญ่ หรือกระทำผืนใหญ่ให้เป็นผืนเล็ก อธิษฐานยังไม่ขาด เมื่อจะต่อริมสองข้างเข้าที่ตรงกลาง ถ้าว่าตัดออกก่อนแล้วภายหลังเย็บติดกัน อธิษฐานย่อมขาด ถ้าเย็บต่อกันแล้วภายหลังจึงตัด อธิษฐานยังไม่ขาด, แม้เมื่อใช้พวกช่างย้อมซักให้เป็นผ้าขาว อธิษฐานก็ยังคงเป็นอธิษฐานอยู่ทีเดียว

3338  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: นาฏกรรมในวังหน้า - หุ่นกระบอกไทย เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2558 13:03:26



หุ่นกระบอกไทย
จากผลงานของ ภูวนารถ สังข์เงิน นักอักษรศาสตร์ปฏิบัติการกลุ่มจารีตประเพณี สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร เล่าความเป็นมาของ "หุ่นกระบอก" ไว้ว่า พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้คำนิยามไว้ว่า "หุ่นชนิดหนึ่ง มีแต่ส่วนหัวและมือ ๒ ข้างลำตัว ทำด้วยไม้กระบอก มีผ้าเย็บเป็นถุงคลุม เวลาเชิดใช้มือสอดเข้าไปจับไม้กระบอกนั้นเชิด" ทั้งนี้ลักษณะทั่วไปของหุ่นกระบอกไทยสูง ๓๐-๕๐ เซนติเมตร ผู้เชิดจะอยู่ด้านล่างของตัวหุ่น คล้ายกับหุ่นกระบอกของเวียดนาม หากแต่หุ่นกระบอกเวียดนามใช้ผู้เชิดแสดงหุ่นอยู่ใต้น้ำ เป็นเอกลักษณ์โดดเด่น จึงนิยมเรียกหุ่นกระบอกเวียดนามว่า "หุ่นน้ำ"

ประวัติจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทยพบว่า มีการเล่นหุ่นเป็นมหรสพมาตั้งแต่สมัยอยุธยา โดยปรากฏมีการเล่นหุ่นในหมายรับสั่ง สมุดไทย และวรรณคดีเรื่องต่างๆ ตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถึงรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เรื่อยมาจนถึงสมัยธนบุรี ส่วนในสมัยรัตนโกสินทร์พบระบุว่า มีการเล่นหุ่นในงานฉลองและสมโภชในพิธีหลวง เช่น การออกพระเมรุ ซึ่งสันนิษฐานว่าคงเป็นการเล่นหุ่นหลวง และพบว่า หุ่นกระบอกแพร่หลายตั้งแต่รัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงมา

สำหรับหุ่นหลวง จักรพันธุ์ โปษยกฤต ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ให้นิยามเอาไว้ว่า "หุ่นหลวงเป็นศิลปะการแสดงชนิดหนึ่งที่ใช้วัสดุมาประดิษฐ์ให้มีรูปร่างท่าทางเหมือนคน มีขนาดใหญ่ สูงถึง ๑ เมตร มีคนเชิดและชักให้เคลื่อนไหว หุ่นหลวงเป็นมหรสพของหลวงที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา"

ลักษณะของหุ่นหลวง ตัวหุ่นทำด้วยไม้คว้านให้เบาลง ที่ส่วนเอวของตัวหุ่นใช้เส้นหวายขดซ้อนกันเพื่อให้เคลื่อนไหวได้ มีเชือกร้อยจากนิ้วมือผ่านลำแขนเข้าสู่ลำตัวของหุ่นเพื่อให้มือและแขนขยับได้ ส่วนเท้าติดกับแข้งและขาเคลื่อนไหวไม่ได้ ภายในลำตัวมีแกนไม้ยาวสำหรับคนเชิดจับยื่นออกมาจากส่วนก้นของหุ่น แม้หุ่นหลวงจะมีขนาดใหญ่กว่าหุ่นกระบอก แต่มีน้ำหนักเบากว่ามาก

การประดิษฐ์และรายละเอียดของหุ่นมีความประณีตมาก เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับมีลักษณะคล้ายกับเครื่องแต่งกายของโขนละคร ส่วนวิธีเชิดหุ่นหลวง นายจักรพันธุ์สันนิษฐานว่า ผู้เชิดคงจะเชิดหุ่นให้อยู่ในระดับเหนือศีรษะ โดยยืนจับแกนไม้ที่ใช้บังคับหุ่นยกชูขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างบังคับสายชักที่ร้อยจากอวัยวะต่างๆ ของหุ่นออกมาทางก้น โดยห้อยลงมารวมกันที่แป้นไม้ที่ตรึงติดอยู่กับแกนไม้ชิ้นที่สำหรับจับเชิด

นอกจากหุ่นหลวง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ได้ทรงประดิษฐ์หุ่นที่มีความสูงประมาณ ๕๐ เซนติเมตร เรียกว่า หุ่นเล็ก แล้วเรียกหุ่นหลวงที่มีมาแต่เดิมว่า หุ่นใหญ่ โดยหุ่นเล็กที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นมี ๒ แบบ คือ
๑.หุ่นจีน เป็นหุ่นมือ ใช้นิ้วเชิดบังคับให้เคลื่อนไหว หัวและหน้าเขียนสีต่างๆ เครื่องแต่งกายเหมือนอย่างงิ้ว ใช้เล่นเรื่องวรรณคดีของจีน เช่น ซวยงัก สามก๊ก และ
๒.หุ่นไทย ลักษณะของเครื่องประดับและเครื่องแต่งกาย รวมถึงวิธีชักเหมือนกับหุ่นหลวง ใช้เล่นเรื่องรามเกียรติ์ ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เรียกกันโดยทั่วไปว่า หุ่นวังหน้า

หุ่นวังหน้ามีความสูง ๒๘-๓๐ มตร โครงหุ่นแกะเหลาด้วยไม้เนื้ออ่อนที่มีน้ำหนักเบา คว้านเจาะให้กลวงตลอดลำตัวเพื่อร้อยเชือกสำหรับชักให้อวัยวะบางส่วนเคลื่อนไหวได้ หัวหุ่นโกลนด้วยไม้เนื้ออ่อนเช่นเดียวกับตัวหุ่น แล้วปั้นเสริมรายละเอียดบนใบหน้าด้วยรัก ปิดกระดาษเขียนสีตัดเส้นวิธีเดียวกับหัวโขน ส่วนคอของหุ่นมีก้านไม้เล็กๆ ต่อยาวลงไปทางช่องกลวงกลางลำตัวสำหรับบังคับหุ่นให้หันหน้าไปมาได้ขณะที่เชิด

หุ่นทุกตัวมีแกนไม้สำหรับให้ผู้เชิดถือเชิดอยู่ต่อจากส่วนล่างของโครงลำตัว มีสายเชือกร้อยต่อจากมือ ขาและแขน สำหรับชักให้ส่วนต่างๆ เคลื่อนไหว หุ่นบางตัวมีสายเชือกสำหรับชักมากถึง ๑๘ เส้น โดยสายเชือกสำหรับชักหุ่นจะโยงจากตรงกลางข้อมือ สอดร้อยเข้าไปในลำแขนมายังต้นแขนช่วงต่อกับไหล่ แล้วร้อยผ่านรูเล็กๆ เข้าไปยังช่องกลางลำตัวหุ่น ลงมายังแกนไม้สำหรับถือเชิดซึ่งทำเป็นแป้นเจาะรูเพื่อจัดสายชักให้เป็นระเบียบ ปลายสายชักมีห่วงสำหรับคนเชิดสอดนิ้วบังคับให้หุ่นเคลื่อนไหว


เรื่อง-ภาพ: หนังสือพิมพ์ข่าวสด น.๒๔ พุธที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
3339  สุขใจในธรรม / พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม / Re: พระสูตรน่าสนใจ : ข้อคิดจากคอลัมน์ "ฟ้าสางเมื่อใกล้ค่ำ เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2558 12:51:17
.



ปางโปรดพุทธมารดา (๑)
พุทธมารดา ที่ถูกต้องเรียกว่า อดีตพุทธมารดา เพราะพระนางสิริมหามายาได้สวรรคตไปอุบัติเป็นเทพแล้ว เมื่อพระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปโปรดเหล่าเทพยดาบนดาวดึงส์ อันมีท้าวสักกเทวราชเป็นประมุขนั้น สันดุสิตเทพบุตรซึ่งอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงขึ้นไป ได้ลงมาสดับพระธรรมเทศนา ณ ดาวดึงส์สวรรค์ด้วย

คนชอบสงสัยมักจะถามว่า พระพุทธองค์เสด็จขึ้นไปจำพรรษาที่ดาวดึงส์สวรรค์และทรงแสดงพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดาจริงหรือ คำถามนี้ ท่านผู้รู้ยืนยันว่าจริง ถ้าถามต่อว่ารู้ได้อย่างไร คำตอบก็คือ ก็ท่านรู้ และผู้ที่รู้ด้วยกันก็ย่อมรู้ว่ารู้ได้อย่างไร

ตอบอย่างนี้มิใช่ยวน (ไทยแท้ๆ เลย ไม่ใช่ญวน) สมมติง่ายๆ อย่างนี้ คนตาบอดสองข้างสงสัยว่าสีแดง สีขาว พระอาทิตย์ พระจันทร์ มีหรือไม่ คนดีตอบว่ามี คนตาบอดซึ่งมองไม่เห็นซักว่า คุณรู้ได้อย่างไรว่ามี คนตาดีตอบว่า รู้แล้วกัน และคนอื่นๆ ที่ตาดีเหมือนเขาก็รู้ว่ามี ฉันใด ฉันนั้นแล โยม

แม้ว่าจะมีการตีความการเสด็จไปโปรดพุทธมารดา เป็นภาษาสัญลักษณ์ และเป็นการตีความที่มีเหตุผลน่ารับฟังก็ตาม มิได้หมายความว่าการแปลความตามตัวอักษรจะเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้

ความต่างแห่งเงื่อนเวลาระหว่างโลกมนุษย์กับสวรรค์เป็นเรื่องน่าสังเกต พระพุทธเจ้าทรงหายไปสามเดือนไปแสดงธรรมโปรดเทวดา แต่เวลาบนสวรรค์นั้นแค่เพียงไม่กี่นาทีเอง พูดอีกนัยหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จแวบไปเทศน์บนสวรรค์เดี๋ยวเดียว ไม่รบกวนเวลาของเทวดาสักเท่าไร แต่นับตามเวลาของมนุษย์ตั้งสามเดือนแน่ะ

คัมภีร์อรรถกถาเล่าว่า หลังจากทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์เสร็จแล้ว พระพุทธองค์ทรงรำพึงว่า บัดนี้ได้เวลาจะไปโปรดพุทธมารดา ซึ่งเคยอยู่บนดุสิตสวรรค์แล้ว จึงทรงยกพระบาทขวาขึ้นจากจงกรมแก้ว ก้าวขึ้นเหยียบยอดเขายุคันธร แล้วยกพระบาทซ้ายก้าวขึ้นเหยียบยอดเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) แล้วเสด็จขึ้นประทับยังแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ร่มไม้ปาริชาตบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ตำราท่านพูดอย่างนี้ ก็ทำให้เราวาดภาพว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ ขณะพระพุทธองค์เสด็จขึ้นไป ก็ปรากฏแก่สายตาประชาชนทั้งหลาย จะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่ความเป็นจริง สวรรค์จะอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่บนยอดเขา ซ้อนๆ อยู่ในโลกเรานี้แหละ หากแต่เพียงอยู่คนละมิติ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้

พระพุทธองค์ไปสวรรค์ก็อาจแวบไปชั่ววินาทีเดียว ดุจเราหมุนคลื่นวิทยุหรือโทรทัศน์ จากคลื่น ก. ไปหาคลื่น ข. เดี๋ยวเดียวเท่านั้น เดี๋ยวเดียวแค่มือกดจริงๆ และเสียงหรือภาพก็เปลี่ยนไป



ปางโปรดพุทธมารดา (จบ)
ทันที ที่คัมภีร์บรรยายให้เห็นภาพพระพุทธองค์เสด็จก้าวพระบาทเหยียบยอดเขาขึ้นไปสวรรค์ เพียงแต่บรรยายให้เห็นในแง่รูปธรรมเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมว่าของผมอย่างนี้แหละ คุณจะว่าอย่างไร ยินดีรับฟังครับ

ท้าวสักกเทวราช ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธองค์ขึ้นมาประทับบนพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ก็มีความยินดี ป่าวประกาศให้บรรดาเทพยดาบนสรวงสวรรค์ทราบ เหล่าเทพยดาก็พากันมาเฝ้า พุทธมารดาซึ่งอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตก็ทราบข่าวการเสด็จมาของพระพุทธเจ้าด้วย จึงมาเฝ้าพระพุทธองค์เช่นกัน

พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรม กล่าวกันว่าอย่างนั้น แก่ประชุมเทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันมีท้าวสักกเทวราชเป็นประมุข

พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้ประชุมเทพยดาทั้งหลายฟัง ว่ากันว่าทรงแสดงพระอภิธรรม ว่ากันอย่างนั้น คำกล่าวนี้กล่าวตามคัมภีร์อรรถกถา เช่น ธัมมปทัฏฐกถา และอัตถสาลินี แต่ไม่มีหลักฐานใดในพระไตรปิฎก จึงเชื่อกันว่าเป็นความคิดยุคหลัง

เพราะถ้าเชื่อตามอรรถกถา ก็แสดงว่า พระไตรปิฎกมีมาตั้งแต่พุทธกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอภิธรรมปิฎกมีมาตั้งแต่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าโน่นแน่ะ เพราะมีพูดถึงพระพุทธองค์ทรงพิจารณาพระอภิธรรม ในเรือนแก้วในสัปดาห์ที่สี่หลังตรัสรู้ ความเชื่อเช่นนี้ไม่เป็นที่รับรองกันนักในวงวิชาการพระพุทธศาสนา ฝากไว้ให้พิจารณาด้วย

เล่ากันอีกแหละว่า ได้เวลาเช้าพระพุทธองค์ก็เสด็จลงมาให้พระสารีบุตรเฝ้า ใกล้สระอโนดาต ป่าหิมพานต์ พระพุทธองค์ทรงแสดงพระอภิธรรมให้พระสารีบุตรฟังอีกทอดหนึ่ง ในขณะที่เสด็จลงมายังมนุษย์โลก พระพุทธองค์ทรงนิรมิตพระพุทธนิรมิตแสดงธรรมแทนพระองค์ โดยที่เหล่าเทพยดาไม่รู้ว่าพระองค์ไม่อยู่ นึกว่าพุทธนิรมิตเป็นพระองค์จริง

พระสารีบุตรเมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์แล้ว ก็ได้นำไปถ่ายทอดให้ภิกษุสงฆ์และประชาชนฟังในเวลาต่อมา

ตรงนี้คือที่มาของระบบความเชื่อของชาวพุทธนิกายสรวาสติวาทิน ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นิกายอภิธรรม นิกายอภิธรรมนี้ ระบุว่า พระอภิธรรมปิฎกเป็นเถรภาษิต คือเป็นเทศนาของพระสารีบุตร และพระมหากัจจายนะ หาใช่พระพุทธองค์โดยตรงไม่

เมื่อพระพุทธองค์ประทับอยู่บนดาวดึงส์สวรรค์ครบสามเดือนแล้ว ก็เสด็จลงยังมนุษย์โลกตามเดิมต่อไป




ปางปาฏิหาริย์เปิดโลก (๑)

พระพุทธรูปปางนี้ มักจะอธิบายรวมกันกับปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ ส่วนมากอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ขวา-ซ้ายเหยียดลงตามปกติ เหมือนปางทรงยืน (ไม่อยากใช้คำว่าประทับยืน) แต่แบพระหัตถ์ทั้งสองไปข้างหน้า ทำท่าเปิดโลก

แต่ท่านเหม เวชกร ศิลปินใหญ่ผู้ล่วงลับวาดเป็นภาพประทับท่าสมาธิ แต่เบื้องหน้าวาดภาพสัตว์ทั้งสามโลกปรากฏอยู่ในมิติเดียวกัน มองเห็นกันและกัน ชัดแจ๋วแหววเหมือนนั่งอยู่ข้างๆ กัน

โลกทั้งสามที่ว่านี้คือ เทวโลก มนุษย์โลก และยมโลก เทวโลกคือโลกเทวดา ตั้งแต่พรหมโลกลงมา จนถึงสวรรค์ทุกชั้น มนุษย์โลกก็คือโลกมนุษย์เดินดินทั้งหลายนี้แล ส่วนยมโลกก็คือนรกทั้งหลาย กี่ขุมๆ ปรากฏให้เห็นหมด

พระพุทธองค์ ขณะเสด็จลงจากดาวดึงส์ ทอดพระเนตรดูเบื้องบน โลกทั้งมวลตั้งแต่มนุษย์ก็สว่างโล่งไปหมด เมื่อทรงเหลียวดูไปรอบทิศก็สว่างไปทั่ว เมื่อทอดพระเนตรลงเบื้องต่ำ ความสว่างก็ปรากฏไปทั่วนรกทุกขุม

สัตว์ทั้งหลายต่างก็แลเห็นกันและกัน มนุษย์เห็นเทวดา เทวดาเห็นมนุษย์ มนุษย์และเทวดาเห็นสัตว์นรก สัตว์นรกเห็นมนุษย์และเทวดา เป็นที่น่าอัศจรรย์

คัมภีร์ปฐมสมโพธิบรรยายว่า "ครั้งนั้นเทพยดา มนุษย์ และสัตว์เดรัจฉาน กำหนดที่สุดมดดำมดแดง ซึ่งเห็นพระชินสีห์ แลสัตว์คนใดคนหนึ่งซึ่งจะมิได้ปรารถนาพุทธภูมินั้น มิได้มีเป็นอันขาด"

แปลไทยเป็นไทยว่า ทุกคนปรารถนาอยากเป็นพระพุทธเจ้า อยากทำได้เหมือนพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่คนเลย กระทั่งมดดำมดแดงก็อยากเป็นเลย สำนวนบรรยายท่านอาจจะ "เว่อร์" ไปบ้าง แต่สรุปแล้วก็คือ ไม่ว่าใครเมื่อเห็นปรากฏการณ์ครั้งนี้แล้ว ต่างก็อัศจรรย์ใจและเลื่อมใสในพุทธานุภาพ

ฉากนี้จะ "ถอดความ" หรือแปลภาษาสัญลักษณ์ก็น่าจะได้ความว่า มาถึงตอนนี้ (ประมาณ ๗ ปีหลังตรัสรู้) พระพุทธองค์ทรงประกาศพระพุทธศาสนาได้ผล ประชาชนทุกชาติชั้นวรรณะ ตั้งแต่สูงลงมาหาต่ำ ต่างก็เลื่อมใส และเข้ามาบวชเป็นสาวกของพระองค์มากขึ้น พรมแดนระหว่างวรรณะสูงกับวรรณะต่ำไม่มีอีกต่อไป ไม่ว่ามาจากวรรณะไหน เมื่อมาบวชแล้วก็ถูกหลอมลงเป็น "สมณะศากยบุตร" เหมือนกัน ถือศีลวินัย มีข้อวัตรปฏิบัติเหมือนๆ กัน

นี้เท่ากับพระพุทธองค์ทรงเปิดโลกทุกโลกให้มาอยู่ในมิติเดียวกันนั้นแล อย่างนี้ไม่เรียกว่าปาฏิหาริย์จะเรียกว่าอะไรเล่าครับ



ปางปาฏิหาริย์เปิดโลก (๒)
บังเอิญ ขณะเขียนต้นฉบับนี้ พระมหาอุเทน ปัญญาปริทัตต์ ส่งพุทธประวัติภาคหลากบทกวี มาให้อ่าน จึงเปิดผ่านๆ ไปถึง "ทรงเปิดโลก" ท่านแต่งได้ไพเราะดี ขออนุญาตคัดลอกบางตอนมาลงไว้ดังนี้

ทรงทำโลกวิวรณ์ปาฏิหาริย์
โอ้..ตระการน่าตระหนกไม่ผกผัน
โลกาเกิดเปิดกระจ่างสว่างพลัน
ทุกแห่งนั้นเตียนโล่งแลโปร่งทาง
ทั่วทุกทิศทั้งทุกหนจนทุกที่
หาได้มีสิ่งสรรพ์มากั้นขวาง
นรกเปิดสวรรค์เผยไม่เลยราง
แลสว่างอย่างไสวให้เห็นมอง
มนุษย์มองจ้องตาเทวาจ้อง
สบตามองต้องตากันนั่นสนอง
นรกเห็นสวรรค์อ้าช่างน่าปอง
ทั่วทั้งผองต้องตะลึงอึ้งตะไล
พุทธองค์ทรงย่างเยื้องยุรยาตร
ค่อยลีลาศลงมางามตามวิสัย
โดยบันไดแก้วพราวแวววาวไว
เพื่อลงไปให้ชโยแก่โลกัน
มีท้าวเทพอมรินทร์องค์ปิ่นฟ้า
อยู่เบื้องขวาบันไดทองประคองขวัญ
ท้าวสหัมบดีพรหมอุดมวรรณ
ค่อยผายผันลงมาจากฟ้าคราม
อยู่บันไดเงินเบื้องซ้ายพราวพรายพร่าง
แลสว่างอย่างสง่าน่าเกรงขาม
ปัญจสิขรคนธรรพ์เทวัญงาม
ไม่ครั่นคร้ามอยู่หน้าเริงร่าสราญ
ดีดพิณเหลืองเสียงใสฟังไพเราะ
โสตเสนาะเพราะเสมอเสนอหวาน
มธุรถ้อยร้อยเรียงเสียงกังวาน
ขับผสานขานผสมกลมกลืนไป...

แค่นี้คงพอครับ คัดมาให้อ่านมาก เดี๋ยวมดจะขึ้นเต็มห้อง แต่งได้หวานจริงครับ


ที่มา คอลัมน์ "ฟ้าสางเมื่อใกล้ค่ำ"
โดย ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด
3340  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / วิธีทำ ลาบปลาดุกย่าง เมื่อ: 23 พฤศจิกายน 2558 15:00:20
.





ลาบปลาดุกย่าง

เครื่องปรุง
- ปลาดุกย่าง 1 ตัว (ขนาดน้ำหนักตัวละ 6 ขีด)
- หอมแดง 5 หัว
- ข่าคั่ว 2 ช้อนชา
- พริกคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ (นำไปผัดกับน้ำมันพืชให้หอม)
- ข้าวคั่ว (ข้าวเหนียว) 2 ช้อนโต๊ะ
- มะนาว 6 ผล
- น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
- ใบมะกรูดหั่นละเอียด 3 ใบ
- ผักชีฝรั่งซอย (ผักชีใบยาว)


วิธีทำ
1. คั่วข้าวสารให้สุกเหลืองหอม แล้วโขลกให้ละเอียด
   (ถ้าใช้ข้าวเหนียว จะให้ความหอมและอร่อยกว่าใช้ข้าวสารเจ้า)
2 หั่นข่าเป็นแว่นบาง นำไปคั่วให้สุกเหลืองหอม แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
3. แกะเนื้อปลาดุกย่าง แล้วนำไปสับรวมกับข่าให้ละเอียด ใส่ในชามผสม ใส่มะนาว น้ำปลาดี และหอมแดงซอย
    คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมให้ได้รสชาติเปรี้ยวนำ
4. ใส่ข้าวคั่วป่น ใบมะกรูดซอย และผักชีซอย คลุกให้เข้ากัน ตักใส่จานเสิร์ฟ รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ หรือข้าวเหนียว







คั่วข้าวสารเจ้าหรือข้าวสารเหนียวให้สุกเหลือง นำไปโขลกให้ละเอียด


ข่าหั่นแว่นบาง นำไปคั่วจนสุกเหลืองหอม แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ


แกะก้างปลาทิ้ง เอาแต่เนื้อไปสับรวมกับข่า


ใส่น้ำปลา น้ำมะนาว หอมแดงซอย และพริกป่นคั่วผัด ชิมรสชาติตามชอบ
วิธีทำพริกคั่วผัด : ใส่น้ำมันในกระทะครึ่งช้อนโต๊ะ รอให้น้ำมันร้อนจัดจึงปิดแก๊ส
แล้วใส่พริกคั่วป่น ผัดให้เข้ากันกับน้ำมัน จะได้พริกที่หอมกว่าพริกคั่วธรรมดา


ใส่ใบมะกรูดซอย ผักชีฝรั่งซอย และข้าวคั่ว คลุกให้เข้ากัน
(ข้าวคั่วควรใส่หลังสุดก่อนเสิร์ฟ..ข้าวคั่วจะกรุบกรอบ...ยังไม่ได้ดูดความชื้นจากส่วนผสมอื่นๆ)


จัดใส่จานเสิร์ฟ รับประทานกับผักสดต่างๆ เช่น กะหล่ำปลี ใบโหระพา ถั่วฝักยาว ฯลฯ

หน้า:  1 ... 165 166 [167] 168 169 ... 274
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.181 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 2 ชั่วโมงที่แล้ว