ปางโปรดพระราหุล (๑)
ตอนว่าด้วยโปรดพระพุทธบิดาก็ได้พูดถึงราหุลกุมารมาบ้างแล้ว ขอต่อตรงที่เจ้าชายราหุลเดินตามพระพุทธเจ้า ปากก็พร่ำขอขุมทรัพย์ (หรือความเป็นรัชทายาท) จากพระพุทธองค์ ตามคำแนะนำของพระนางยโสธราพิมพา พระมารดา พระพุทธองค์ไม่ตรัสตอบ ยังคงเสด็จดำเนินไปเรื่อยๆ จนเสด็จกลับจากบิณฑบาต ไปยังป่าไทร (นิโครธราม) อันเป็นที่ประทับชั่วคราว นอกเมืองกบิลพัสดุ์
พระพุทธองค์ทรงดำริว่า อันธรรมดาทรัพย์ภายนอกทั้งหลายย่อมไม่ปลอดภัย อาจวิบัติฉิบหายไปเพราะโจรภัย อัคคีภัย ราชภัย เป็นต้น แต่ทรัพย์ภายในอันเป็นทรัพย์อันประเสริฐ (อริยทรัพย์) ไม่มีวันสูญหายไป จึงรับสั่งให้พระสารีบุตร อัครสาวกบวชให้ราหุลกุมาร เพราะมีทางนี้เท่านั้นที่จะประทาน "อริยทรัพย์" ให้ได้
พระสารีบุตรก็งงเหมือนกัน เนื่องจากไม่เคยมีเด็กอายุน้อยปานนี้บวชมาก่อน จึงกราบทูลถามว่า "จะให้บวชแบบไหน"
"ให้ราหุลรับไตรสรณคมน์ก็พอ" พระพุทธองค์ตรัสตอบ
ตรงนี้ทรงหมายถึง การกล่าววาจาถึงพระรัตนตรัยสามครั้งว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ พุทธัง...ธัมมัง...สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ตติยัมปิ พุทธัง...ธัมมัง...สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
เปล่งวาจาถึงไตรสรณคมน์แล้ว กล่าวสมาทานศีล ๑๐ ก็เป็นสามเณรโดยสมบูรณ์
สมัยก่อนโน้น ยังไม่มีการแบ่งว่าบวชแบบไหนเรียกว่า บรรพชา แบบไหนเรียกว่า อุปสมบท คงใช้คำว่า บรรพชา เหมือนกัน พระบวชก็บรรพชา เณรบวชก็บรรพชา เรียกผู้บรรพชาว่า บรรพชิต
และคำว่า บรรพชิต (ปพฺพชิต) นี้ก็มีความหมายสองนัยคือ
(๑) "ผู้เว้นหมดทุกอย่าง" คือทุกอย่างที่เคยทำ เคยประพฤติในสมัยยังครองเรือน แม้กระทั่งการกิน ก็ปรับเปลี่ยน การแต่งกายก็เปลี่ยน ตลอดจนการเรียกขาน เปลี่ยนหมด เว้นหมด ท่านจึงเรียก บรรพชิต
(๒) ความหมายที่สอง "ผู้ก้าวเดินไปข้างหน้า" หมายความว่าละเพศผู้ครองเรือนแล้ว ก็มุ่งการลดละกิเลส บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นที่สุด ก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น ไม่ยอมหวนกลับมาสู่โลกียวิสัยเป็นอันขาด
เมื่อมีเด็กอายุน้อยมาบวชดังกรณีราหุลกุมารนี้ การใช้คำจึงต้องเปลี่ยน เรียกการบวชเณรว่า บรรพชา เรียกการบวชพระว่า อุปสมบท นี้คือความเป็นมาของถ้อยคำ
ปางโปรดพระราหุล (๒)
ที่บางครั้ง เรียกการบวชว่า บรรพชาอุปสมบท ทั้งสองคำนั้น ก็เพราะผู้บวชเป็นพระต้องผ่านการบวชเณรก่อนอยู่ดี ท่านจึงเรียกพร้อมกันสองคำว่า บรรพชาอุปสมบท แต่จะเรียกว่าอุปสมบทคำเดียวโดดๆ ก็ย่อมได้
เมื่อ "พระลูกชาย" เสด็จออกผนวช พระเจ้าสุทโธทนะ ก็ทรงเสียพระทัยมากแล้ว ทรงตั้งความหวังไว้ว่า ราหุล กุมารนี้แลจะเป็นตัวแทนพระบิดา แต่เมื่อราหุลกุมารถูกพระบิดานำไปบวชอีก พระองค์ย่อมทรงเศร้าโศกเสียพระทัยอย่างสุดซึ้ง ถึงต้องเสด็จไปต่อว่าต่อขานพระพุทธองค์ขนานใหญ่ ในที่สุดได้ทูลขอพรว่า ต่อไปจะให้ใครบวช ขอให้เขาผู้นั้นได้รับอนุญาตจากบิดามารดาก่อน พระพุทธองค์ก็ทรงประทานอนุญาตตามนั้น
ในพิธีอุปสมบทในเวลาต่อมา จึงมีการซักถามจากพระคู่สวดว่า อนุญฺญาโตสิ มาตาปิตูหิ = เธอได้รับอนุญาตจากบิดา มารดาแล้วหรือ นาค หรือผู้ขอบวชจะต้องตอบว่า อามะ ภันเต = ขออนุญาตแล้ว ขอรับ
ปัจจุบันนี้ เพิ่มภรรยาเข้าด้วย ภรรยาต้องอนุญาตด้วย ไม่อย่างนั้นเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน เผลอๆ โบสถ์จะพังเอาไม่รู้ด้วย ยิ่งถ้ามีหลายบ้าน ก็ต้องจัดการให้เรียบร้อยทุกบ้าน
ราหุลสามเณรหลังจากบวชแล้ว ก็ตามเสด็จพระพุทธเจ้าและพระอุปัชฌาย์ไปยังเมืองอื่น เช่น ไพศาลี และสาวัตถี
ท่านเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย และเป็นผู้ใฝ่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง คุณสมบัติข้อนี้เองที่ท่านได้รับการยกย่องในเอตทัคคะ (ความเป็น ผู้เลิศกว่าผู้อื่น)
ว่ากันว่าทุกเช้า ท่านจะลงจากกุฏิ เอามือกอบทรายแล้วอธิษฐานดังๆ ว่า "วันนี้ ขอให้พระศาสดาและพระอุปัชฌาย์ประทานโอวาทแก่เรา มากมายดุจเมล็ดทรายในกำมือของเรานี้เถิด"
ความว่านอนสอนง่าย ไม่ถือตัวว่าเป็น "ลูก" ของพระศาสดานั้นเป็นที่รู้กันไปทั่ว ครั้งหนึ่งพระจากต่างจังหวัดจำนวนมาก มาพักที่พระเชตวัน เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อที่พักไม่พอ จึงไล่สามเณรราหุลออกไปนอนข้างนอก เพราะมีสิกขาบทบัญญัติไว้ว่า "ห้ามภิกษุนอนในที่มุงที่บังเดียวกับอนุปสัมบันเกินหนึ่งคืน"
ราหุลไม่ทราบว่าจะไปอยู่ที่ไหน จึงไปอยู่ในวัจกุฎี (ส้วม) ของพระพุทธเจ้า นั่งตัวสั่นงันงกอยู่ท่ามกลางความมืด ตกดึก พระพุทธองค์เสด็จเข้าไปยังวัจกุฎี ทรงกระแอมกระไอให้สัญญาณ ราหุลน้อยก็กระแอมตอบ พระพุทธองค์ทรงทราบเรื่องเข้า จึงพาราหุลน้อยกลับไปพำนักที่พระคันธกุฎีของพระพุทธองค์
รุ่งเช้าขึ้นมา พระองค์ตรัสถามพระสารีบุตรว่า สารีบุตร เธอรู้ไหมเมื่อคืนนี้ราหุลพักอยู่ที่ไหน พระสารีบุตรกราบทูลว่า ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า พระพุทธองค์จึงทรงเล่าเรื่องให้ฟัง เนื่องด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงลดหย่อนสิกขาบท ข้อห้ามภิกษุพักในที่มุงที่บังเดียวกันกับอนุปสัมบันเกินครึ่งคืน ให้เป็นเวลาไม่เกินสามคืน เพื่อให้มีเวลาหาที่พักได้ทัน
เรื่องราวที่เล่านี้ ชี้ว่าราหุลสามเณรเป็นผู้ว่าง่าย เคารพพระสงฆ์ พระจากบ้านนอก ย่อมไม่รู้ว่าสามเณรน้อยรูปนี้เป็นใคร ถ้าราหุลท่านถือตัว ท่านบอกว่า ท่านคือราหุล พระโอรสของพระบรมศาสดา พระเหล่านั้นคงไม่กล้าออกปากไล่ท่านแน่นอน แต่เพราะความเป็นผู้เคารพในสงฆ์ และเป็นผู้ว่านอนสอนง่าย ราหุลจึงไม่ปริปากแต่อย่างใด ปฏิบัติตามคำสั่งของพระภิกษุเหล่านั้นอย่างว่าง่าย
สามเณรราหุลได้รับคำแนะนำในด้านการปฏิบัติธรรมจากพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษ เนื่องจากท่านเป็นเด็กธรรมะที่สอนและวิธีการถ่ายทอดแก่ราหุลจึงมีลักษณะและจุดเน้นแตกต่างจากที่ทรงสอนแก่บุคคลทั่วไป ในพระไตรปิฎกมีบันทึกพระสูตรที่ตรัสสอนแก่ราหุลสามเณร สองหรือสามสูตร เนื้อหาน่าสนใจ ขอนำมาเสนอในคราวต่อไปก็แล้วกัน
วันนี้ขอจบแค่นี้ก่อน
ปางโปรดพระราหุล (๓)
ผมเคยตั้งข้อสังเกตว่า พระสูตรที่ทรงแสดงแก่พุทธบริษัทนั้น ส่วนมากเป็นการแสดงแก่ผู้ใหญ่ทั้งนั้น น้อยนักจะเป็นการเทศน์โปรดเด็กๆ โดยเฉพาะเมื่ออยากรู้ว่าทรงแสดงอะไร อย่างไร แก่เด็กๆ ก็นึกถึงสามเณรราหุลขึ้นมาทันที สามเณรราหุลบวชเมื่ออายุเพียง ๗ ขวบ ธรรมะที่ทรงแสดงแก่ราหุลสามเณร ย่อมพิเศษกว่าที่ทรงแสดงแก่ผู้อื่นแน่นอน จึงตามไปเปิดตู้พระไตรปิฎกดู ปรากฏมี จูฬราหุโลวาทสูตร มหาราหุโลวาทสูตร ได้การละ ผมคิด จึงตะลุยอ่าน อ่านแล้วก็ได้ความกระจ่างขึ้นมามากมาย ขอขยายภายหลังก็แล้วกัน
ตอนนี้ขอเล่าพระโอวาทที่ทรงสอนเด็กจากคัมภีร์รุ่นหลัง คืออรรถกถาธรรมบท (ธัมมปทัฏฐกถา) ก่อน มีอยู่เรื่องหนึ่ง พระพุทธองค์กำลังเสด็จพุทธดำเนินเข้าไปยังเมืองสาวัตถีเพื่อบิณฑบาต ในระหว่างทางทอดพระเนตรเห็นเด็กเล็กๆ จำนวนหนึ่งกำลังไล่ตีงูอยู่ จึงตรัสถามว่า เด็กน้อยทั้งหลายพวกเธอกำลังทำอะไร
"ไล่ตีงู พระเจ้าข้า" เด็กพวกนี้คงรู้จักพระพุทธเจ้าเป็นใคร จึงวางไม้และก้อนดิน ยืนเจี๋ยมเจี้ยมด้วยความเขินอาย
"ตีมันทำไม" พระสุรเสียงกังวานตามมาอีก
"กลัวมันกัด พระเจ้าข้า"เด็กๆ ตอบ
พระพุทธองค์ตรัสถามต่อไปว่า "สมมติว่ามีใครตีพวกเธอ พวกเธอเจ็บไหม"
"เจ็บ พระเจ้าข้า"
"พวกเธออยากให้เขาตีไหม"
"ไม่อยาก พระเจ้าข้า" พวกเด็กๆ ตอบ
พระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า "งูมันก็เจ็บเหมือนกัน ไม่อยากให้ใครตีมันเหมือนกัน ถ้าเธอไม่อยากให้ใครตีพวกเธอ พวกเธอก็อย่าตีงูมันสิจ๊ะ"
เด็กๆ พวกนั้นเข้าใจที่พระพุทธองค์สอน ไม่ตีงูอีกต่อไป
อ่านเรื่องนี้แล้ว เห็นได้ว่า วิธีทรงสอนเด็กนั้น ทรงยกตัวอย่างง่ายๆ ใช้คำพูดที่ตรงไปตรงมา เด็กเข้าใจในการสอน สามเณรราหุลก็เช่นกัน พระองค์ทรงสอนง่ายๆ โดยการใช้สื่อช่วย และสื่อที่ว่านี้ก็หาเอาใกล้ตัวนั่นเอง
ครั้งหนึ่ง ขณะที่ราหุลสามเณรตักน้ำล้างพระบาท พระพุทธองค์ทรงเอาขันน้ำนั้นตักน้ำเต็มขัน ทรงเทน้ำออกหน่อยหนึ่งแล้วตรัสถามว่า
"ราหุล เห็นน้ำที่เราเทออกหน่อยหนึ่งไหม"
"เห็น พระเจ้าข้า" ราหุลตอบ
"เช่นเดียวกัน ราหุล ผู้ที่พูดเท็จทั้งที่รู้ ย่อมเทคุณความดีของตนออกทีละนิด ดุจเทน้ำออกจากขันนี้"
ทรงเทน้ำออกหมดแล้วตรัสถามว่า "เห็นน้ำที่เราเทออกหมดไหม"
ปางโปรดพระราหุล (จบ)
"เห็น พระเจ้าข้า"
"เช่นเดียวกันราหุล ผู้ที่พูดเท็จทั้งที่รู้ ย่อมเทคุณความดีออกหมด ดุจน้ำที่เทออกจากขันหมดนี้" แล้วทรงคว่ำขันลง ตรัสถามว่า
"ราหุล เห็นขันน้ำที่เราคว่ำลงนี้ไหม"
"เห็น พระเจ้าข้า"
"เช่นเดียวกันราหุล ผู้ที่พูดเท็จทั้งที่รู้ ย่อมคว่ำคุณความดีหมดเกลี้ยง ดุจขันน้ำที่คว่ำนี้" แล้วทรงหงายขันเปล่าขึ้น ตรัสถามว่า
"ราหุล เห็นขันเปล่าที่หงายขึ้นนี้ไหม ไม่มีน้ำแม้หยดเดียว"
"เห็น พระเจ้าข้า"
"เช่นเดียวกันราหุล ผู้ที่พูดเท็จทั้งที่รู้ ย่อมไม่มีคุณความดีอะไรเหลืออยู่ ดุจขันเปล่าไร้น้ำนี้"
เห็นไหมครับ ทรงใช้สื่อช่วยสอน เป็นขั้นเป็นตอน เข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋จริงๆ ความจริงเพียงหนึ่งหรือสองขั้นตอน ก็เชื่อว่าราหุลท่านเข้าใจแล้ว แต่เพื่อให้กระจ่างชัด พระองค์จึงทรงแสดงถึงสี่ขั้นตอน เทน้ำลงหน่อยหนึ่ง - เทออกหมด - คว่ำขันลง - หงายขันเปล่าขึ้น แต่ละขั้นตอนก็สรุปเปรียบเทียบให้เห็น อย่างนี้เรียกว่า ทรงใช้เทคนิคการสอน ๔ ส. อันเป็นพุทธวิธีการสอนเฉพาะพระองค์
๔ ส. คืออะไร
๑. ส. = สันทัสสนา (แจ่มชัด)
๒. ส. = สมาทปนา (ชักชวนให้ปฏิบัติ)
๓. ส. = สมุตเตชนา (เร้าให้กล้า)
๔. ส. = สัมปหังสนา (ปลุกให้ร่าเริง)
พระธรรมเทศนาอีกกัณฑ์หนึ่งที่ประทานสามเณรราหุล คือ ให้ตรวจสอบว่ามีความบกพร่องแห่งการแสดงออกทางกาย วาจา ใจ อย่างไรบ้าง จะได้ปรับปรุงแก้ไข ทรงยกแว่นส่องหน้าขึ้นมาเปรียบเทียบ ดังนี้
"ราหุล แว่นมีไว้สำหรับทำอะไร"
"มีไว้สำหรับส่องดูหน้าตัวเอง พระเจ้าข้า"
"เช่นเดียวกัน ราหุล เธอพึงส่องดูกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ดุจส่องหน้าตัวเอง" ข้อเปรียบเทียบนี้ชัดเจน ฟังแล้วเข้าใจทันที
เมื่อราหุลเป็นหนุ่ม อายุประมาณ ๑๘ ปี พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนให้พิจารณาขันธ์ ๕ โดยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ราหุลสดับพระธรรมเทศนาแล้วได้บรรลุพระอรหัต
ที่มา คอลัมน์ "ฟ้าสางเมื่อใกล้ค่ำ"
โดย ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด
โดย ศาสตราจารย์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
หนังสือพิมพ์รายวันข่าวสด