. กระดังงาปักกิ่ง ไม้ต้นนี้ มีวางขาย มีภาพถ่ายดอกจริงให้ชมด้วย ทีแรกที่เห็นคิดว่าเป็นต้นกระดังงาจีน ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ อินเดีย และศรีลังกา มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นไม้เถาเลื้อยเนื้อแข็งขนาดใหญ่ นิยมปลูกประดับแพร่หลายในเขตร้อนทั่วไป มีชื่อวิทยาศาสตร์ เฉพาะคือ
ARTABOTRYS HEXAPETALUS (L.F.) BHANDARL. อยู่ในวงศ์
ANNONACEAE ซึ่งถ้าบอกชื่อกระดังงาจีนจะไม่มีใครรู้จัก แต่หากบอกว่า การเวก หรือสะบันงาเครือ และสะบันงาจีน คนจะร้องอ๋อและรู้จักดีทันที
ส่วน “
กระดังงาปักกิ่ง” ผู้ขายกิ่งตอนยืนยันว่าเป็นคนละต้นกับกระดังงาจีน เนื่องจาก “กระดังงาปักกิ่ง” เป็นไม้พุ่มต้น ไม่ใช่ไม้เถาเลื้อย เช่น กระดังงาจีน นำเข้าจากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน นานกว่า ๕ ปีแล้ว ผู้ขายกิ่งตอนบอกลักษณะทางพฤกษศาสตร์ต่อว่า ลำต้นตั้งตรง ต้นสูง ๒-๔ เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลม ใบเดี่ยว ออกสลับ รูปขอบขนาน ปลายแหลม โคนสอบหรือป้าน หน้าใบสีเขียว หลังใบสีจางกว่า
ดอก ออกเป็นช่อ ๑-๓ ดอก ออกตรงกันข้ามกับใบ และตามลำต้นมีกลีบดอกเรียงซ้อนกัน ๒ ชั้น ชั้นละ ๓ กลีบ รูปขอบขนาน ปลายกลีบแหลม โคนมน เนื้อกลีบหนา ดอกอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่เป็นสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมแรง “ผล” เป็นกลุ่ม ๔-๒๐ ผล ก้านผลยาว ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกหรือแก่สีเหลือง แต่ละผลจะมีเมล็ด ๑-๒ เมล็ด ดอกออกตลอดปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง ซึ่งผู้ขายบอกอีกว่า “กระดังงาปักกิ่ง” ปลูกลงดินตัดแต่งกิ่งให้เป็นพุ่ม เวลามีดอกดกเต็มต้นจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมกระจายเป็นที่ประทับใจมาก มีกิ่งตอนขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผงหน้าตึกกองอำนวยการเก่า ราคาสอบถามกันเองครับ.
นสพ.ไทยรัฐ โมกแดงเขาใหญ่ “โมกแดงเขาใหญ่” เป็นโมกแดงชนิดหนึ่งที่มีแหล่งพบครั้งแรกบนป่าเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา มีความแตกต่างจากโมกแดงทั่วไปคือ รูปทรงของดอกและสีสันของดอกไม่เหมือนกันอย่างชัดเจน และ ที่สำคัญดอกของ “โมกแดงเขาใหญ่” จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นข้าวใหม่เหมือนกลิ่นดอกชมนาด หรือกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นใบเตย โดยกลิ่นจะหอมแรงตั้งแต่พลบค่ำเรื่อยไปตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้ากลิ่นจะจางลงเป็นธรรมชาติ จึงทำให้ “โมกแดงเขาใหญ่” เป็นที่นิยมปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน ส่วนกลิ่นหอมของดอกโมกแดงทั่วไปกลิ่นจะฉุนเหมือนกับกลิ่นส่าเหล้า
โมกแดงเขาใหญ่ อยู่ในวงศ์
APOCYNA-CEAE เป็นไม้พุ่ม สูง ๒-๓ เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกัน ข้ามรูปรี ปลายแหลม โคนเป็นรูปลิ่มถึงกลม ใบมีขนาดใหญ่ ดอก ออกเป็นช่อแบบกระจุกที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบเลี้ยงติดกัน ปลายแยกเป็นแฉก ๕ แฉก กลีบดอกเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็นกลีบดอก ๕ กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม เนื้อกลีบดอกหนาแข็งกว่ากลีบดอกโมกแดงทั่วไป กลีบดอกเป็นสีโอลด์โรส หรือสีแดงอมส้ม ใจกลางดอกเป็นเส้าสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมตามที่กล่าวข้างต้น เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมแรงตลอดทั้งคืนเป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” เป็นฝักคู่ เมล็ดมีปุยสีขาวติดที่ปลายเมล็ดด้านหนึ่ง ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๑ ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกประดับในบริเวณบ้านด้านเหนือลม เวลามีดอกถูกลมพัด เอากลิ่นหอมโชยเข้าบ้าน สร้างบรรยากาศเป็นธรรมชาติดีมากครับ.
นสพ.ไทยรัฐ ดีปลี อัมพฤกษ์ เพิ่งเริ่มเป็นใหม่ๆ ยังไม่ถึงขั้นรุนแรงมีวิธีรักษาหรือบรรเทาได้คือ ให้เอาดอก “ดีปลี” หรือรากแห้ง ๒๐ ดอก หรือหยิบมือหนึ่ง พริกไทยดำแห้ง ๒ ช้อนโต๊ะ ผักเสี้ยนผีแห้งพอประมาณ มะตูมอ่อนแห้ง ๑ ขีด ต้มรวมกันกับน้ำ ๑-๑.๕ ลิตร จนเดือด ๑๐ นาที ดื่มต่างน้ำครั้งละครึ่งแก้วก่อนหรือหลังอาหารก็ได้ รสชาติจะเผ็ดร้อน ดื่ม ๔ วันแรกจะเฉยๆ พอวันที่ ๕ จะรู้สึกปวดมากจนแทบทนไม่ได้ โดยเฉพาะบริเวณที่มีอาการเยอะ ต้องทนให้ได้ หลังจากนั้นจะหลุดพ้นบรรเทาหรือหายได้เหมือนไม่เคยมีอาการมาก่อน ทดลองดูไม่ได้ผลเลิกได้ไม่อันตรายอะไร
ดีปลี หรือ
LONG PEPPER PIPER RETROFRACTUM VAHL. อยู่ในวงศ์
PI-PERACEAE ผล ปรุงเป็นยาได้หลายชนิด เช่น แก้โรคนอนไม่หลับ รักษาอาการอักเสบ ราก ต้มน้ำดื่มแก้เส้นอัมพฤกษ์อัมพาต ประโยชน์ทางอาการ ผลสดหรือตากแห้งรสเผ็ดปรุงกับแกงเผ็ดแกงคั่วอร่อยมาก ยอดอ่อนใส่ข้าวยำปักษ์ใต้ดีมาก
นสพ.ไทยรัฐ ผักแว่นกำมะหยี่ ผักแว่น เป็นพืชผักพื้นบ้านที่นิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลายมาช้านานแล้ว โดยธรรมชาติจะพบขึ้นตามหนองน้ำและที่ชื้นแฉะทั่วไป จะเจริญเติบโตดีในช่วงฤดูฝนและจะมีวางขายตามแผงผักพื้นบ้านมากมาย ซึ่งในทางอาหาร นิยมเอายอดอ่อน เถาอ่อนที่มีรสชาติเปรี้ยวปนฝาดเล็กน้อยกินเป็นผักสดกับน้ำพริกชนิดต่างๆ ส้มตำ ลาบ ก้อย หรือนำไปปรุงเป็นแกงรวมใส่หอมแดง กะปิ กระเทียมโขลก และทำแกงอ่อมผักแว่น รสชาติอร่อยมาก
ประโยชน์ทางยา ทั้งต้นเป็นยาสมานแผลในช่องปากและคอ แก้ไข้ แก้อาการร้อนใน กระหายน้ำ ดับพิษร้อน แก้ดีพิการได้ ซึ่งผักแว่นชนิดกินได้ดังกล่าวมีชื่อวิทยาศาสตร์คือ
MAR-SILEA CRENATA PRESL. อยู่ในวงศ์
MARSILEACEAE มีชื่อเรียกอีกคือ “ผักลิ้นปี่” (ภาคใต้) เนื่องจากใบย่อยมีลักษณะคล้ายกับลิ้นของปี่ที่ใช้เป่านั่นเอง ส่วน “ผักแว่นกำมะหยี่” ที่พบมีต้นวางขาย ผู้ขายบอกว่าเป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศ มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์เหมือนกับผักแว่นชนิดกินได้ทุกอย่าง จะแตกต่างกันคือ แผ่นใบของ “ผักแว่นกำมะหยี่” จะมีขนละเอียดสีขาวหนาแน่นคล้ายกำมะหยี่สีเงินสวยงามมาก จึงถูกตั้งชื่อว่า “ผักแว่นกำมะหยี่” และใบของ “ผักแว่นกำมะหยี่” จะหุบในช่วงเย็นพร้อมกับเริ่มกางออกในช่วงเช้าเป็นประจำทุกวัน ใบอ่อนและเถาอ่อนของ “ผักแว่นกำมะหยี่” รับประทานไม่ได้ จึงนิยมปลูกเป็นไม้ประดับเพียงอย่างเดียว
ผักแว่นกำมะหยี่ เป็นไม้ล้มลุกจำพวกเฟิร์น ลำต้นเป็นเหง้าทอดเลื้อย ใบเป็นใบประกอบมีใบย่อย ๔ ใบ ใบย่อยเป็นรูปพัด มีอัปสปอร์ ขยายพันธุ์ด้วยไหล และอัปสปอร์ ปัจจุบัน “ผักแว่นกำมะหยี่” มีต้นขายที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๒ แผงขายไม้น้ำ ราคาสอบถามกันเองครับ.
นสพ.ไทยรัฐ กรวย กรวย ชนิดแรกเรียกชื่อสั้นๆ ว่า “กรวย” อีกชนิดคือ “กรวยป่า” ซึ่งทั้ง ๒ ชนิด มีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ใกล้เคียงกันมากจนเกือบแยกไม่ได้ มีชื่อวิทยาศาสตร์และแหล่งที่พบเหมือนกันทุกอย่าง แต่สรรพคุณทางสมุนไพรแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย “กรวย” หรือ “กรวยป่า” มีชื่อเฉพาะคือ
HORSFIELDIA IRYA (GAERTN.) WARB. อยู่ในวงศ์
MYRISTI-CACEAE เป็นไม้ยืนต้น สูง ๑๐-๒๕ เมตร โคนต้นเป็นพูพอน มักมีรากคํ้ายัน ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรีแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนมนหรือแหลม ขอบใบเรียบ หน้าใบเป็นสีเขียวสด หลังใบสีนวล ดอก ทั้ง ๒ ชนิด ออกเป็นช่อแบบแยกแขนงช่อตามซอกใบ เป็นดอกแยกเพศบนต้นเดียวกัน ช่อดอกตัวผู้แผ่กว้างกว่าช่อดอกตัวเมีย ดอกมีขนาดเล็กจำนวนมาก เป็นสีเหลือง วงกลีบรวมติดกัน ส่วนบนแยกเป็น ๒ กลีบ ดอกตัวผู้จะมีเกสรตัวผู้ ๖-๑๐ อัน ดอกตัวเมียไม่มีและจะมีขนาดใหญ่กว่าดอกตัวผู้อย่างชัดเจน ดอกมีกลิ่นหอมแรง เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกัน ทั้งต้นจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมกระจายทั่วบริเวณใกล้เคียง ทำให้รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง “ผล” รูปทรงกลม ติดผลเป็นพวง ๒-๕ ผล สุกเป็นสีส้มอมแดง ๑ ผล มี ๑ เมล็ด เนื้อหุ้มเมล็ดเป็นสีแดงอมส้ม รับประทานไม่ได้ ดอกออกเกือบทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง พบขึ้นตามที่ราบริมแม่นํ้าลำคลอง ใกล้ๆ กับพื้นที่ที่มีเขตติดต่อกับทะเลทั่วไป ประเทศไทยพบทางภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้ ในต่างประเทศพบตั้งแต่ศรีลังกา หมู่เกาะอันดามัน พม่า ภูมิภาคอินโดจีน และมาเลเซีย
สรรพคุณทางสมุนไพร “กรวย” ชาวมาเลเซียใช้เปลือกต้นต้มนํ้าเดือดอมกลั้วในปากแล้วบ้วนทิ้ง เป็นยาบำบัดอาการเจ็บคอ ส่วน “กรวยป่า” ตำรายาไทยระบุว่า ใบสดตำละเอียดทาแก้โรคผิวหนังผื่นคันชนิดมีตัวดีมาก ใบสดหั่นตากแห้งผสมกับใบยาสูบมวนจุดสูบแก้ริดสีดวงจมูกดีมาก ปัจจุบัน “กรวยป่า” หาซื้อต้นได้ยากกว่า “กรวย” ครับ.
นสพ.ไทยรัฐ ย่านาง ในทางอาหาร “ย่านาง” มีวางขายทั่วไป นิยมรับประทานแพร่หลายทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคอื่นประปราย ส่วนใหญ่เอาเถา ใบอ่อน หรือใบแก่ตำละเอียดคั้นเอาน้ำสีเขียวปรุงกับแกงหน่อไม้ ใส่แกงขนุน แกงอ่อม ห่อหมก ซุบหน่อไม้ แกงยอดหวายและอีกหลายอย่าง ใช้สยบความขมของผักอื่นๆ ในฐานะแหล่งธาตุอาหาร ทำให้ผักอื่นรับประทานอร่อยขึ้น ผักบางชนิดหากขาดน้ำใบ “ย่านาง” เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้ขื่นลิ้น
ในทางสมุนไพรตำรายาแผนไทยระบุว่า ใบสดของ “ย่านาง” ช่วยถอนพิษสุรา มีการทดสอบความเป็นพิษด้วยการสกัดใบด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ ๕๐ แล้วฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังของหนูประมาณ ๑๐ กรัม ต่อน้ำหนักตัวหนู ๑ กิโลกรัม มีปริมาณมากกว่า ๖,๒๕๐ เท่าของปริมาณที่คนได้รับ ไม่แสดงความเป็นพิษ ส่วน รากสด มีฤทธิ์แก้ไข้เกือบทุกชนิด เคยมีเด็กอายุ ๙ ขวบเป็นไข้หวัดมีไข้สูงมาก แต่เด็กแพ้ยาแก้ปวดทุกชนิดแม้กระทั่งยาพาราเซตามอล แม่ของเด็กดังกล่าวได้เอารากสดของ “ย่านาง” ต้มน้ำให้ลูกดื่มต่างน้ำ ปรากฏว่าไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ถือว่าได้ผลดีมาก นอกจากนั้น ทั้งต้นของ “ย่านาง” ยังสามารถปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ ใบสดเป็นยาถอนพิษได้อีกด้วย
ย่านาง หรือ
TILIACORA TRIANDRA DIELS อยู่ในวงศ์
MENISPERMA เป็นไม้เถาเลื้อย ดอกสีเหลือง เป็นแบบแยกเพศอยู่คนละต้น ไม่มีกลีบดอก “ผล” กลมรี ขนาดเล็ก ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่เป็นสีเหลืองและแดงตามลำดับ มีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและหัว มีชื่อเรียกอีกคือ ย่านนาง, หญ้าภคินี, เถาวัลย์เขียว, จ้อยนาง (เชียงใหม่) วันยอ (สุราษฎร์ธานี) เครือย่านาง, ปู่เจ้าเขาเขียว, ขันยอ และ แฮนกึม มีต้นขายทั่วไปที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แต่ละแผงราคาไม่เท่ากัน หรืออยู่ที่ขนาดของต้นครับ.
นสพ.ไทยรัฐ ถั่งเช่า ข้อมูลงานวิจัยที่ได้จากภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กทม.โดยศาสตราจารย์ ดร.มณจันทร์ เมฆธน หัวหน้าภาควิชาดังกล่าว ระบุว่า “ถั่งเช่า” เป็นสมุนไพรจีน พบบนที่สูงจากระดับน้ำทะเล ๔,๐๐๐ เมตรขึ้นไป ในฤดูหนาวจะเป็นตัวหนอนและฤดูร้อนจะเป็นหญ้า เกิดจากหนอนผีเสื้อแถบที่ราบสูงทิเบต จำศีลใต้ดินช่วงฤดูหนาว จากนั้นจะถูกสปอร์ของเห็ดราในสกุล
OPHIOCORDYCEPS อาศัยเป็น “ปรสิต” และเติบโตสร้างเส้นใยออกมาทางส่วนหัวของตัวหนอนในฤดูร้อน เห็ดชนิดนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
OPHIOCORDYCEPS SINENSIS และราชนิดดังกล่าวจะเกาะติดบนตัวด้วงจำพวกผีเสื้อ หนอน มอด ดักแด้ หรือด้วง ค้างคาว ซึ่งตัวหนอนอ่อนที่มีราเกาะอยู่ช่วงฤดูหนาวจะมุดลงไปอยู่ใต้ดินแล้วค่อยๆ กลายเป็นเชื้อราชื่อว่า
OPHIOCORDYCEPS SINENSIS และในช่วงนี้เองเปลือกนอกตัวหนอนจะเป็นตัวสมบูรณ์ขึ้น และเมื่อถึงฤดูร้อน ราดังกล่าวจะค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นมีลักษณะคล้ายต้นหญ้า
พบมาก ในบริเวณภาคใต้ของมณฑลชิงไห่ เขตซองโควในทิเบต มณฑลกานซู และแถบเทือกเขาหิมาลัยในอินเดีย การเก็บเกี่ยวจะเก็บในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อขุดหญ้าหนอน หรือ “ถั่งเช่า” ขึ้นมาแล้ว ล้างน้ำให้สะอาดแล้วตากแห้งใช้เป็นยาสมุนไพรได้เลยสรรพคุณจากงานวิจัย “ถั่งเช่า” บำรุงไต ลดอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมไทรอยด์ และมะเร็งเต้านม แก้ภูมิแพ้ บำรุงเลือด ปรับสมดุลของเซลล์เม็ดเลือดแดง ลดปริมาณผมร่วง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้ผิวพรรณดี และสรรพคุณดีๆ อีกเยอะ
นสพ.ไทยรัฐ สาธร สาธร เป็นดอกไม้ประจำจังหวัดนครราชสีมา ชื่อวิทยาศาสตร์
Millettia leucantha Kurz อยู่ในวงศ์
LEGUMINOSAE ชื่ออื่น อาทิ กระเจาะ ขะเจาะ (ภาคเหนือ), กระพีเขาควาย (ประจวบคีรีขันธ์), กะเชาะ (ภาคกลาง), ขะแมบ คำแมบ (เชียงใหม่) เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง ๑๘-๑๙เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ค่อนข้างกลมหรือทรงกระบอก
เปลือกสีเทาเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็กๆ ใบประกอบเรียงสลับ ใบย่อยติดเป็นคู่ตรงกันข้าม ๓-๕ คู่ ปลายสุดเป็นใบเดี่ยว แผ่นใบย่อยรูปรี กว้าง ๓-๕ ซ.ม. ยาว ๕-๑๒ ซ.ม. ปลายใบแหลม โคนใบมน ใบและยอดอ่อนมีขนยาว ดอกสีขาว รูปดอกถั่ว สีชมพูอ่อน ออกเป็นช่อตามง่ามใบและปลายกิ่ง ออกดอกระหว่างเดือนมี.ค.-พ.ค.
เป็นไม้กลางแจ้ง เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินร่วน ต้องการน้ำและความชื้นมาก ขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด
นสพ.ข่าวสด พญากาหลง ดอกเปลี่ยนสีความเชื่อดีไม้ต้นนี้ จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับต้น ชงโคดอกเหลือง หรือ โยทะกา และ เสี้ยวดอกเหลือง เพียงแต่ “พญากาหลง” จะมีความแตกต่างคือ เวลามีดอกครั้งแรกสีของดอกจะเป็นสีเหลืองเหมือนกัน จากนั้น ๓-๕ วัน สีเหลืองของดอกจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มมองเห็นชัดเจน ทำให้ “พญากาหลง” ต้นเดียวมีดอก ๒ สี ดูสวยงามมาก ซึ่งต้น “พญากาหลง” นิยมปลูกในบริเวณบ้านร้านค้าทั่วไป เนื่องจากมีความเชื่อว่า ปลูก “พญากาหลง” แล้วจะช่วยให้อยู่ดีมีสุขและค้าขายคล่องขึ้น นั่นเป็นความเชื่อมาแต่โบราณ ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
พญากาหลง หรือ
BAUHINIA TOMEN TOSA LINN. ชื่อสามัญ
ST.THOMAS TREE, YELLOW ORCHID TREE อยู่ในวงศ์
LEQUMINOSAE เป็นไม้พุ่มสูง ๑.๕-๓ เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปค่อนข้างกลม ปลายเว้าลึกดูคล้ายใบชงโคหรือใบส้มเสี้ยว ด้านหลังมีขนเล็กน้อย ใบเมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว สีเขียวสด ใบดกน่าชมยิ่งนัก
ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อย ๒-๓ ดอก ห้อยลง มีกลีบดอก ๕ กลีบ เมื่อแรกมีดอกสีของดอกจะเป็นสีเหลือง จากนั้นสีของดอกจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้มดูสวยงามตามที่กล่าวข้างต้น ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔-๔.๕ ซม. มีเกสรตัวผู้ ๑๐ อัน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะมีดอกเป็น ๒ สี แปลกตาน่าชมยิ่งนัก “ผล” เป็นฝักแบน มีหลายเมล็ด ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด และตอนกิ่ง
มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ
กระพี้จั่นปลูกประดับสวยกระพี้จั่น” มีถิ่นกำเนิดทั่วไปในเอเชียเขตร้อน และในประเทศไทยพบเกือบทุกภาค พบมากที่สุดทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขึ้นตามป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณที่มีความแห้งแล้ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
MILLETTIA BRAN DISIANA KURZ. อยู่ในวงศ์
LEGUMINOSAE PAPILIONOIDEAE เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูง ๘-๑๕ เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มโปร่งและกว้าง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ก้านใบหลักออกเรียงสลับ ยาว ๓-๗ ซม. ใบย่อยออกตรงกันข้ามจำนวน ๖-๘ คู่ ใบอ่อนมีขนและขนจะร่วงหมดเมื่อใบแก่ ใบเป็นรูปขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลมหรือมน โคนใบมนหรือแหลม ด้านบนสีเขียวเข้ม ด้านล่างสีจางกว่า เวลามีใบดกจะให้ร่มเงาดีและน่าชมยิ่ง
ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ลักษณะดอกมีกลีบเลี้ยงเป็นรูประฆังปลายแยกเป็น ๕ แฉก สีม่วงเกือบดำ กลีบดอกเป็นรูปดอกถั่ว มี ๕ กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน เป็นสีชมพูอมม่วง มีเกสรตัวผู้ ๑๐ อัน เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น จะดูสวยงามมาก “ผล” เป็นฝักแบน มีเมล็ดหลายเมล็ด ดอกออกเกือบทั้งปี จะมีดอกดกในช่วงฤดูร้อนทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง มีชื่อเรียกอีกคือ จั่น, ปี้จั่น และ ปี๊จั่น (ภาคเหนือ)
นิยมปลูก เป็นไม้ดอกสวยงามประเภทไม้ยืนต้นตามบ้าน ตามสำนักงาน สวนสาธารณะ รีสอร์ตทั่วไป เวลามีต้นสูงใหญ่จะให้ร่มเงาสร้างระบบนิเวศได้ดีและมีดอกสวยงามมาก ประโยชน์ทั่วไป ในยุคสมัยก่อน เนื้อไม้ใช้ทำฟืน ปัจจุบันมีต้นขายทั้งต้นขนาดเล็กและสูงใหญ่ ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้นครับ.
ทองกวาวสรรพคุณดีหลายอย่างทองกวาว นอกจากจะมีดอกงดงามแล้ว ในทางสมุนไพรบางส่วนของต้นยังมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรด้วย โดยตำรายาแผนไทยระบุว่า ยางจากต้นนำไปปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง ใบสดตำพอกแก้ฝีและสิวบนใบหน้าชนิดที่เป็นเม็ดใหญ่ให้แห้งได้ ถอนพิษ แก้ปวด ใบสดนำไปเข้ายาชนิดอื่นเป็นยาบำรุงกำลัง ดอกเป็นยาถอนพิษ เมล็ดขับพยาธิตัวกลม บดละเอียดผสมน้ำมะนาวทาแก้คันตามร่างกายและแสบร้อน ดอกยังให้สีเหลืองใช้ย้อมผ้าได้ด้วย ส่วนเปลือกต้นทำเชือกและกระดาษ
ทองกวาว หรือ
BUTEA MONO SPERMA (LAMK) O.KUNTZE อยู่ในวงศ์
LE GUMINOSAE เป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ สูง ๘-๑๕ เมตร ใบประกอบมีใบย่อย ๓ ใบ รูปไข่ค่อนข้างกว้าง โคนเบี้ยว เวลามีดอกใบจะร่วงหมดเหลือเพียงดอกน่าชมยิ่ง ดอก ออกเป็นช่อตามกิ่งก้านและปลายยอด กลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นรูปบาตรเล็กๆ มีขน กลีบดอกมี ๕ กลีบ ลักษณะคล้ายดอกถั่ว สีเหลืองถึงสีแดงแสด มีเกสร ๑๐ อัน คล้ายรูปเคียว เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้น ใบจะร่วงหมดดูสวยงามมาก “ผล” เป็นฝักแบน มีเพียงเมล็ดเดียว ดอกออกช่วงระหว่างเดือนธันวาคม-มีนาคม ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด พบขึ้นตามป่าผลัดใบ ป่าหญ้า ป่าละเมาะที่แห้งแล้ง พบมากทางภาคเหนือ ภาคอื่นกระจัดกระจาย
มีชื่อเรียกอีกคือ กวาว, ก้าว (ภาคเหนือ) จอมทอง (ใต้) จ้า (เขมร-สุรินทร์) จาน (อุบลราชธานี) ทองธรรมชาติ, ทองพรมชาติ (ภาคกลาง) และทองต้น (ราชบุรี) มีต้นขาย ทั่วไป ทั้งต้นขนาดเล็กและขนาดสูงใหญ่ ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น เหมาะจะปลูกเป็นทั้ง ไม้ประดับและปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ทางสมุนไพรตามสรรพคุณที่กล่าวข้างต้น เวลามีดอกตามฤดูกาลใบจะร่วงหมดทั้งต้นเหลือเพียงดอกสีสันเจิดจ้าสวยงามและใช้บางส่วนของต้น “ทองกวาว” เป็นสมุนไพรได้คุ้มค่ามากครับ.
โมกแดงเขาใหญ่ ดอกกลิ่นข้าวใหม่“โมกแดงเขาใหญ่” เป็นโมกแดงชนิดหนึ่งที่มีแหล่งพบครั้งแรกบนป่าเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา มีความแตกต่างจากโมกแดงทั่วไปคือ รูปทรงของดอกและสีสันของดอกไม่เหมือนกันอย่างชัดเจน และ ที่สำคัญดอกของ “โมกแดงเขาใหญ่” จะมีกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นข้าวใหม่เหมือนกลิ่นดอกชมนาด หรือกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นใบเตย โดยกลิ่นจะหอมแรงตั้งแต่พลบค่ำเรื่อยไปตลอดทั้งคืนจนรุ่งเช้ากลิ่นจะจางลงเป็นธรรมชาติ จึงทำให้ “โมกแดงเขาใหญ่” เป็นที่นิยมปลูกอย่างแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน ส่วนกลิ่นหอมของดอกโมกแดงทั่วไปกลิ่นจะฉุนเหมือนกับกลิ่นส่าเหล้า
โมกแดงเขาใหญ่ อยู่ในวงศ์
APOCYNA-CEAE เป็นไม้พุ่ม สูง ๒-๓ เมตร ใบเดี่ยว ออกตรงกัน ข้ามรูปรี ปลายแหลม โคนเป็นรูปลิ่มถึงกลม ใบมีขนาดใหญ่ ดอก ออกเป็นช่อแบบกระจุกที่ปลายยอด แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก กลีบเลี้ยงติดกัน ปลายแยกเป็นแฉก ๕ แฉก กลีบดอกเชื่อมกันเป็นรูปถ้วย ปลายแยกเป็นกลีบดอก ๕ กลีบ รูปไข่ ปลายแหลม เนื้อกลีบดอกหนาแข็งกว่ากลีบดอกโมกแดงทั่วไป กลีบดอกเป็นสีโอลด์โรส หรือสีแดงอมส้ม ใจกลางดอกเป็นเส้าสีเหลือง ดอกมีกลิ่นหอมตามที่กล่าวข้างต้น เวลามีดอกดกและดอกบานพร้อมกันทั้งต้นจะดูสวยงามและส่งกลิ่นหอมแรงตลอดทั้งคืนเป็นที่ชื่นใจมาก “ผล” เป็นฝักคู่ เมล็ดมีปุยสีขาวติดที่ปลายเมล็ดด้านหนึ่ง ดอกออกทั้งปี ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดและตอนกิ่ง
โมกแดงเขาใหญ่ มีต้นขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๑ ราคาสอบถามกันเอง เหมาะจะปลูกประดับในบริเวณบ้านด้านเหนือลม เวลามีดอกถูกลมพัด เอากลิ่นหอมโชยเข้าบ้าน สร้างบรรยากาศเป็นธรรมชาติดีมากครับ.
กาซะลองคำ ดอกสีสันงดงามไม้ต้นนี้ พบขึ้นตามธรรมชาติบนเทือกเขาหินปูนที่มีสภาพค่อนข้างชื้น ทางภาคเหนือของประเทศไทย ภาคอื่นมีประปราย ซึ่งนอกจากชื่อ “กาซะลองคำ” แล้ว ยังมีชื่อเรียกตามพื้นที่ต่างๆ อีกคือ กากี (สุราษฎร์ธานี) แคะเป๊าะ, สำเภาหลามต้น (ลำปาง) จางจืด (เชียงใหม่) สะเภา, อ้อยช้าง (ภาคเหนือ) และ ปีบทอง (ภาคกลาง) มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะว่า
RADERMACHERA IGNEA (KURZ) STEENIS ชื่อสามัญ
TREE JASMINE อยู่ในวงศ์
BIGNONIACEAE เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง ๖-๒๐ เมตร ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกตรงกันข้าม ใบย่อย ๒-๕ คู่ รูปรีแกมรูปใบหอก ปลายใบแหลมเป็นติ่ง ส่วนโคนใบแหลม สีเขียวสด
ดอก ออกเป็นกระจุกตามกิ่งก้านและตามลำต้น กระจุกละ ๕-๑๐ ดอก ดอกจะทยอยบาน กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด ปลายแยกเป็นแฉกสั้นๆ ๕ แฉก เป็นสีเหลืองอมส้ม ดอกเมื่อบานเต็มที่เส้นผ่าศูนย์ กลางประมาณ ๑.๕-๒ ซม. มีเกสรตัวผู้ ๔ อัน เวลามีดอกจะทิ้งใบหมดทั้งต้นตามสายพันธุ์ เหลือเพียงดอกเป็นสีเหลืองทองเต็มต้นดูสวยงามมาก “ผล” เป็นฝักยาว ๓๕-๙๐ ซม. ผลแก่แตกเป็น ๒ ซีก เมล็ดมีปีกสีขาวเป็นปุยติดที่บริเวณส่วนปลายเมล็ดด้านหนึ่ง ดอกออกช่วงระหว่างเดือนมกราคมต่อเนื่องไปจนถึงเดือนเมษายน ของทุกปี โดยจะผลัดใบก่อนออกดอกทุกครั้ง ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ตอนกิ่ง ปักชำกิ่ง และหน่อ
ปัจจุบันต้น “กาซะลองคำ” มีขายทั่วไป ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ มีทั้งต้นขนาดเล็กสูงไม่เกิน ๑ เมตร และต้นขนาดใหญ่สูง ๕-๗ เมตร โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลมีดอก จะมีดอกติดตามกิ่งก้านและตามลำต้นให้ชมด้วย ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น ปลูกได้ในดินทั่วไป สามารถปลูกในพื้นที่ราบต่ำได้ เมื่อต้นสูงใหญ่และมีดอกตามฤดูกาล จะดูสวยงามมากครับ.
หูกระจงแดง กิ่งก้านสวยแปลกไม้ต้นนี้พบมีวางขาย แต่ละต้นปลูกในกระถางดำขนาดกว้าง ๑๐-๑๒ นิ้วฟุต ต้นสูงเกินกว่า ๒ เมตร ลำต้น ใบ และกิ่งก้านมีสีสันสวยงามแปลกตามาก แต่ไม่มีป้ายชื่อเขียนติดไว้ จึงสอบถามผู้ขาย ทราบว่าเป็นต้น “หูกระจงแดง” เป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศแต่บอกไม่ได้ว่าประเทศไหน ปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานกว่า ๒ ปีแล้ว สามารถเจริญเติบโตได้ดีในทุกสภาพอากาศในประเทศไทย ผู้นำเข้าจึงขยายพันธุ์นำต้นออกวางขายในชื่อ “
หูกระจงแดง” ดังกล่าวและกำลังเป็นที่นิยมของผู้ปลูกอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้
หูกระจงแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์เฉพาะว่า
TERMINALIA BENTZOL (L.) L.F. อยู่ในวงศ์
COMBERTACEAE เป็นไม้ยืนต้นสูง ๕-๑๐ เมตร ลำต้นตั้งตรง ลำต้นใบและกิ่งก้านเป็นสีแดงอมม่วงปนสีเขียวคล้ำเล็กน้อย แตกกิ่งก้านเป็นชั้นๆรูปทรงฉัตร หรือทรงสามเหลี่ยม น่าชมยิ่ง
ใบ เป็นใบประกอบ ก้านใบออกตรงกันข้าม ก้านใบยาว ใบเป็นรูปรีแคบและยาว ปลายใบแหลม โคนใบเป็นกาบ ใบแตกเป็นวงกลม ประกอบด้วยใบย่อย ๘-๑๒ ใบ ผิวใบเรียบ เป็นสีแดงอมม่วงปนสีเขียวคล้ำเล็กน้อยตามที่กล่าวข้างต้น เวลามีใบดกจะเป็นชั้นๆรูปทรงฉัตรหรือทรงสามเหลี่ยม ดูงดงามแปลกตามาก ที่สำคัญใบของ “หูกระจงแดง” จะไม่ร่วงง่ายเหมือนกับใบของต้นหูกระจงชนิดสีเขียวที่มีใบขนาดเล็ก ขยายพันธุ์ด้วยการตอนกิ่ง
ปัจจุบัน “หูกระจงแดง” มีต้นขายที่ ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับสวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาสอบถามกันเอง ปลูกได้ในดินทั่วไป เหมาะจะปลูกประดับตามบ้าน สำนักงาน สวนสาธารณะ และรีสอร์ตทั่วไป ปลูกได้ทั้งแบบลงดินและปลูกลงกระถางตั้งประดับในที่แจ้ง เวลาต้นสูงใหญ่ได้แสงแดดอย่างสม่ำเสมอ สีสันของต้นใบและกิ่งก้านจะเข้มข้นขึ้นดูสวยงามมากครับ.
คูณสายรุ้ง บานทนสวยน่าปลูกไม้ต้นนี้ เคยแนะนำในคอลัมน์ไปแล้ว แต่ยังมีผู้อ่านไทยรัฐอีกจำนวนมากที่พลาดข้อมูลดังกล่าว อยากทราบว่า “คูนสายรุ้ง” เป็นอย่างไร และจะหาซื้อกิ่งพันธุ์ได้จากที่ไหน ซึ่งก็เป็นจังหวะที่พบว่ามีผู้นำเอากิ่งตอนรุ่นใหม่ออกวางขาย จึงแจ้งให้ทราบ พร้อมนำเรื่องแนะนำในคอลัมน์อีกครั้งตามระเบียบ
คูนสายรุ้ง อยู่ในวงศ์
LEGUMINOSAE มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมจาก รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกนำเข้ามาปลูกประดับและขยายพันธุ์ขายในประเทศไทยบ้านเรานานหลายปีแล้ว มีลักษณะพิเศษ คือ เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ต้นสูงไม่เกิน ๕-๖ เมตร ไม่ได้เป็นไม้ผลัดใบเหมือนกับคูนดอกสีเหลืองทั่วไป และหลังจากมีดอกร่วงแล้ว “คูนสายรุ้ง” ยังไม่ติดผลหรือฝัก เช่นคูนทุกชนิดอีกด้วย จึงถือเป็นเรื่องแปลกมาก
ส่วน ลักษณะทางพฤกษศาสตร์โดยรวมจะเหมือนกับคูนทั่วไปเกือบทุกอย่าง ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ช่อดอกห้อยลง ลักษณะพิเศษของดอก เมื่อเริ่มแรกจะเป็นสีชมพูอ่อนปนสีครีม จากนั้นจะค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีชมพูเข้มปนสีเหลืองอย่างชัดเจน ทำให้ดูมีหลายสีในช่อเดียว เวลามีดอกดกช่อดอกห้อยลงจะดูสวยงามมาก จึงถูกผู้นำเข้าตั้งชื่อเป็นภาษาไทยว่า “คูนสายรุ้ง” ดังกล่าว ที่เป็นจุดเด่นของ “คูนสายรุ้ง” อีกอย่างคือ ช่อดอกจะบานได้ทนนานเป็นเดือน ดอกออกช่วงระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ต่อเนื่องไปจนถึงเดือนพฤษภาคมทุกปี ขยายพันธุ์ด้วยวิธีเสียบยอด
มีกิ่งตอนขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ ๑๕ ราคาสอบถามกันเองครับ.
หางนกยูงไทย ไม่ใช่ไม้ไทยหลายคน เข้าใจผิดคิดว่าต้น “หางนกยูงไทย” เป็นไม้ไทยและมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย เพราะชื่อบอกตรงๆว่า “หางนกยูงไทย” แต่ความจริงแล้วไม้ต้นนี้มีถิ่นกำเนิดจากอเมริกาเขตร้อน และ หมู่เกาะเวสต์อินดีส จากนั้นได้แพร่กระจายปลูกในเขตร้อนไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย และเนื่องจากถูกนำเข้ามาปลูกเป็นเวลานานกับมีชื่อเรียกว่า “หางนกยูงไทย” ด้วย จึงทำให้กลายเป็นไม้ไทยไปโดยปริยาย
หางนกยูงไทย หรือ
CAESAL PINIA PULCHERRIMA LINN.อยู่ในวงศ์
LEGU MINOSAE เป็นไม้พุ่ม สูง ๑-๒.๕ เมตร ไม่ผลัดใบ แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มกลม ต้นเกลี้ยงหรือมีหนาม ใบประกอบแบบขนนก ๒ ชั้น ออกสลับ ใบย่อย ๗-๑๑ คู่ รูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ ปลายมนหรือเว้า โคนเบี้ยว ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด มีกลีบดอก ๕ กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน เมื่อบานเต็มที่เส้นผ่า ศูนย์กลางประมาณ ๔ ซม. มีเกสรตัวผู้ ๑๐ อัน มีด้วยกันหลายสี คือ สีเหลือง แดง ส้ม ชมพูแก่ และ สีแดงประขาว มีดอกทั้งปี เวลามีดอกจะสวยงามมาก นิยมปลูกประดับกันอย่างแพร่หลาย “ผล” เป็นฝัก มีเมล็ด ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด มีต้นขายทั่วไป ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ ราคาอยู่ที่ขนาดของต้น
สรรพคุณทางสมุนไพร ของ “หางนกยูงไทย” ราก ของต้นชนิดที่มีดอกเป็นสีแดง สีอื่นใช้ไม่ได้ นำไปปรุงเป็นยารับประทาน สำหรับขับประจำเดือนของสตรี
อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า “หางนกยูงฝรั่ง” หรือ
DELONIX REGIA (BOJER) RAF มีถิ่นกำเนิดจาก เกาะมาดากัสการ์ ต้นสูงใหญ่ ๑๐-๑๕ เมตร ดอกเป็นสีเหลืองแดง ออกดอกช่วงเดือน เมษายน–มิถุนายน เป็นไม้ผลัดใบก่อนจะมีดอก หรือ ออกดอกขณะแตกใบอ่อน แตกต่างจากชนิดแรกอย่างชัดเจนครับ.