[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 14:52:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 [2] 3 4
21  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / Re: ลูกทุ่งจังหวะโจ๊ะๆ เพลงทั้งถอนทั้งปลูก โดยราชห์สีมาเพชรดาราพันธ์ เมื่อ: 23 มิถุนายน 2557 01:04:26
ทั้งถอนทั้งปลูก by Babyจ๊าบปิ๊งนุ๊ก


 หัวเราะลั่น
22  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / ลูกทุ่งจังหวะโจ๊ะๆ เพลงทั้งถอนทั้งปลูก โดยราชห์สีมาเพชรดาราพันธ์ เมื่อ: 23 มิถุนายน 2557 01:03:15
ทั้งถอนทั้งปลูก ราชห์สีมาเพชรดาราพันธ์2007


ทั้งถอนทั้งปลูก ราชห์สีมาเพชรดาราพันธ์
23  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / 'โสมาลี มัม' แม่พระและคนลวงโลก เมื่อ: 17 มิถุนายน 2557 01:03:13



'โสมาลี มัม' แม่พระและคนลวงโลก

                         หากพูดถึงนักเคลื่อนไหวหญิงโดดเด่นที่สุดจากเอเชีย ..โสมาลี มัม น่าจะขึ้นมาเป็นชื่อแรกๆ  สตรีกัมพูชาผู้พลิกชีวิตสุดรันทดจากอดีตโสเภณีเด็ก มาเป็นผู้ให้ชีวิตแก่เหยื่อค้าแรงงานทางเพศเด็กหญิงและผู้หญิงในบ้านเกิดและประเทศเพื่อนบ้าน
 
                         เธอได้รับรางวัลยกย่องจากหลากหลายสถาบัน รวมถึงรางวัลด้านการต่อต้านค้ามนุษย์จากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ  เป็นหนึ่งในสตรีแห่งปีของนิตยสาร "เกลเมอร์" เมื่อปี 2549 ติดทำเนียบฮีโร เอเชีย ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นในปีเดียวกัน และอีกสามปีหลังจากนั้น ก็ติดอันดับบุคคลทรงอิทธิพล 100 คนของนิตยสารไทม์       
 
                         กว่าจะมาเป็นแม่พระและแม่เหล็กระดมทุนให้องค์กรปฏิบัติการเพื่อสตรีในสถานการณ์คับขัน ที่มีชื่อย่อตามภาษาฝรั่งเศส  AFESIP ให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงและสตรีรอดพ้นจากการถูกบังคับค้าประเวณี และมูลนิธิ"โสมาลี มัม"  เธอต้องผ่านอะไรมามากมาย จะว่าเป็นนรกบนดินก็ไม่ผิดนัก ตามข้อมูลจากหนังสือชีวประวัติ The Road of Lost Innocence  ที่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อปี  2548 เป็นหนังสือขายดีและแปลออกมาหลายภาษา
 
                         ในโลกออนไลน์ โสมาลี มัม มีผู้ตามทวิตเตอร์กว่า 4 แสนคน
 
                         เธอเดินทางกระทบไหล่คนดังไม่ได้หยุดหย่อน มีภาพถ่ายกับราชวงศ์ นักธุรกิจใหญ่ จนถึงดาราภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด
 
                         โสมาลี มัม ช่วยระดมทุนหลายล้านดอลลาร์มาใช้ต่อสู้การค้าเหยื่อทางเพศ โดยได้แรงหนุนและความสนใจจากสตรีแถวหน้าของโลก อย่าง โอปรา วินฟรีย์ เจ้าแม่ทอล์คโชว์ในสหรัฐฯ  สมเด็จพระราชนีโซเฟียแห่งสเปน  ซูซาน ซาแรนดอน ดาราเฟมินิสต์  เชอริล แซนเบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่สายปฏิบัติการ ผู้บริหารหญิงคนเก่งของเฟซบุ๊ค ที่นั่งเป็นบอร์ดที่ปรึกษาให้กับมูลนิธิโสมาลี มัม ร่วมกับซาแรนดอน
 
                         การทำงานด้านสังคมของเธอยังได้เหยี่ยวข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ และคอลัมนิสต์ชื่อดัง อย่าง นิโคลัส ดี.คริสตอฟ จากนิวยอร์คไทมส์ เขียนถึงเมื่อปี 2552  ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นอีก         
 
                         จึงเป็นเรื่องที่ทั้งช็อคและน่าเศร้าใจอย่างที่สุดเมื่อเป็นที่เปิดเผยว่า อันเรื่องราวลำเค็ญต่างๆนานา ที่นำมาซึ่งทุนสนับสนุุนของผู้บริจาค เป็นเรื่องที่กุขึ้นทั้งเพ     
 
                         ข้อสงสัยประวัติชีวิตลวงโลก เริ่มถูกขุดคุ้ยตั้งแต่สองปีก่อน แต่อาจเป็นเพราะตีพิมพ์ทางหนังสิอพิมพ์ คัมโบเดีย เดลีย์  จึงอาจไม่เป็นรับรู้ในวงกว้างนักนอกกัมพูชา  เพิ่งมาครึกโครมเมื่อนักข่าวคนเดียวกันคือ ไซมอน มาร์ค  เขียนให้นิวสวีค เผยแพร่บนเวบไซต์เมื่อ 21 พฤษภาคม และขึ้นปกฉบับ 30 พฤษภาคม ที่สุด  จึงมาสู่การลาออกจากตำแหน่งในมูลนิธิของเธอเมื่อวันพุธที่แล้ว
 
                         เมื่อปี 2554 โสมาลี มัม นั่งคุยกับ เชอริล แซนเบิร์ก ผู้บริหารหญิงของเฟซบุ๊ค ในที่ประชุมสุดยอดสตรีทรงอิทธิพลของนิตยสารฟอร์จูน และบอกกับผู้ฟังว่า อะไรที่เป็นแรงจูงใจให้เธอกลายเป็นนักต่อสู้เพื่อยุติการค้าแรงงานทางเพศ  "ฉันเคยถูกขายเข้าซ่อง จากผู้ชายที่บอกว่าเป็นตาของเธอ ฉันอยู่ที่นั่นเกือบ 10 ปี เจ้าของซ่องให้พวกเราอยู่รวมกัน นั่งอยู่บนพื้น เขาบอกให้พวกเราต้องทำตามคำสั่ง แต่มีผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่ยอมทำตาม เขาชักปืนมายิงเธอ นั่นเป็นวันที่ฉันหลบหนีออกจากซ่อง"
 
                         ในหนังสือชีวประวัติขายดีเล่มนี้ เธอบอกว่า ตาเลี้ยงเธอเหมือนทาส ติดพนันและดื่มเหล้า พอกลับถึงบ้าน บางครั้งทุบตีจนเลือดออก ที่สุด ขายเธอให้กับพ่อค้าชาวจีน และถูกบังคับแต่งงานกับทหารเลวคนหนึ่งตอนอายุ 14 ปี ต่อมา ถูกขายอีกเข้าซ่องโสเภณีในกรุงพนมเปญ ซึ่งที่นั่น เธอบรรยายเรื่องถูกทรมานด้วยการช็อตไฟฟ้าที่ต่อสายกับแบตเตอรีรถยนต์   
 
                         แต่เมื่อคนรู้จักและครูของโสมาลี มัม บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เคยเห็นตาแก่ใจยักษ์ที่เธอพูดถึง และเธอพูดไม่ตรงกันในบางโอกาส เช่น ตาข่มขืนเธอ หรือเป็นทหารอีกคนที่ข่มขืน และบังคับแต่งงาน แต่ที่แน่ๆ เธอไม่ใช่ลูกกำพร้าหรือถูกทิ้ง มีคนระบุชื่อบิดามารดาได้ และร่ำเรียนจนจบมัธยมปลาย เจ้าตัวเองก็พูดสับสนว่า ถูกขายเข้าซ่องโสเภณีเมื่อใดแน่และนานแค่ไหนที่ต้องอยู่ในสภาพนั้น
 
                         เมื่อครั้งปรากฏตัวที่ทำเนียบขาว เธอระบุว่าถูกขายเป็นแรงงานทาสเมื่ออายุ 9-10 ขวบ และอยู่ใน10 ปีแต่ในหนังสือ เธอเขียนว่า ถูกส่งตัวเข้าไปทำงานในซ่องเมื่ออายุประมาณ 14 ปี           
 
                         ต่อมา เธออ้างว่า ลูกสาวของเธอถูกแก๊งค้ามนุษย์ลักพาตัวไปเพื่อแก้แค้นงานที่เธอทำ แต่เพื่อนร่วมงานของเธอ บอกกับคัมโบเดีย เดลีย์ว่า ลูกสาวหนีออกจากบ้าน
 
                         อีกหนึ่งข้อหาที่ไซมอน มาร์ค กล่าวหาคือโสมาลี มัม ยุยงให้หญิงสาวคนอื่นที่ไม่เคยตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ให้โกหกด้วยว่าถูกข่มขืนบ้าง ถูกล่วงละเมิดบ้างเพื่อดึงเงินในกระเป๋าของเศรษฐีใจดี           
 
                         ปี 2552 นิโคลัส คริสตอฟ ผู้สื่อข่าวนิวยอร์คไทมส์ เขียนถึงเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลอง ปรัส ที่รวบรวมความเข้มแข็ง ออกมาบอกเล่าเรื่องราวช็อคเช่นกันว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งลักพาตัวเธอไป และขายเข้าซ่อง ซึ่งที่นั่น เธอถูกทุบตี ทรมานด้วยสายไฟ บังคับทำแท้งแบบดิบเถื่อนสองครั้ง ถูกแมงดาที่กำลังโกรธจัดใช้เศษโลหะควักลูกตาหนึ่งข้าง และโสมาลี มัม เป็นนางฟ้าที่เข้าช่วยชุบชีวิตเด็กหญิงคนนี้
 
                         ลอง ปรัส ยังได้มีโอกาสไปเล่าเรื่อง(โกหก) ซ้ำอีกกับโอปราห์ วินฟรีย์ และปรากฎตัวในสารคดีชื่อ Half the Sky ทางช่องพีบีเอส 
 
                         "เชื่อมั้ย พอฉันกลับบ้าน พ่อกับแม่ไม่อยากเห็นหน้า ฉันเป็นคนไม่ดีในสายตาพวกเขาแล้ว" เธอพูดในสารคดีชุดนั้น
 
                         แต่ไซมอน มาร์ค ไปตามคุยกับครอบครัว เพื่อนบ้านและหมอคนหนึ่งที่บอกว่า เป็นคนผ่าตัดตาให้กับลอง ปรัส ตอนอายุ 13 ปี หลังจากพ่อแม่พาเธอไปโรงพยาบาลเพราะตาข้างขวามีเนื้อเยื่อผิดปกติ
 
                         ในรายงานของนิวสวีค ยังมีรายละเอียดของเหยื่อที่ถูกเหน็บว่า เป็นดาราที่โสมาลี มัม พาออกสื่อโดยที่ไม่เคยผ่านประสบการณ์เลวร้ายในฐานะเหยื่อค้ามนุษย์เลย แต่แสดงไปตามบทที่นักระดมทุนซักซ้อมและกำกับมาเป็นอย่างดี
 
                         ไซมอน มาร์ค เกาะติดเรื่องนี้มากว่าสองปีและเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ แต่ไม่พบเห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ เพิ่งจะเริ่มเห็นท่าทีใหม่สองเดือนก่อน เมื่อคณะกรรมการมูลนิธิมอบหมายให้บริษัททนายความ กู้ดวิน พร้อคเตอร์ ที่มีสำนักงานในแคลิฟอร์เนียสอบสวน และผลสอบภายใน 2 เดือนนำไปสู่การลาออกของเธอเมื่อวันพุธ แต่ไม่มีการเปิดเผยผลสอบสวนนั้น
 
                         ที่ผ่านมา "เธอช่วยเหยื่อค้ามนุษย์ได้มากมาย แล้วจะเป็นอะไรมั้ยถ้าเรื่องราวชีวิตของเธอ จะไม่เป็นความจริง" เป็นคำถามที่ถูกตั้งไว้บนหน้าปกนิวสวีค และเป็นคำถามที่เชื่อว่าหลายคนก็คิดอยู่เช่นกัน 
 
                         การค้ามนุษย์เพื่อบังคับค้าประเวณี เป็นปัญหาร้ายแรงไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ในบางสถานการณ์ ขอบข่ายปัญหา มักถูกทำให้เข้าใจผิดบ่อยๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะการเล่าเรื่องสะเทือนใจอย่างที่โสมาลี มัมและดาราในค่ายของเธอทำ
 
                         โธมัส สไตน์แฟตต์ ศาสตราจารย์สถิติมหาวิทยาลัยไมอามี ศึกษาปัญหาการค้าเหยื่อขายบริการเพศและทำรายงานให้กับโครงการว่าด้วยการค้ามนุษย์ของสหประชาชาติ ระบุในผลศึกษาเมื่อปี 2551 ว่า จากการใช้เวลาสำรวจหลายเดือนทุกพื้นที่ของกัมพูชา ประเมินว่า เหยื่อค้ามนุษย์ในกัมพูชา มีไม่เกิน  1,058 คน 
 
                         เด็กที่พบทำงานเป็นแรงงานทางเพศมีจำนวน 127 คน อายุต่ำกว่า 15 มีจำนวน 11 คน และ 6 คนอายุต่ำกว่า 13  ปี หากประเมินแบบสูงสุดคาดว่าเด็กที่อยู่ในวงการค้าประเวณีในกัมพูชาเมื่อปี 2551 อยู่ที่ 310 คน แต่ประเด็นคือสถานการณ์นับจากนั้นก็ดีขึ้นมาก 
 
                         กรณีของโสมาลี มัม ในฐานะบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในด้านการพัฒนาระดับโลก ด้านหนึ่ง ฉายภาพความกดดันต่อองค์กรพัฒนาเอกชน และหัวขบวน ที่เผชิญกับโลกซับซ้อนและเรื่องของกระแสความนิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ว่าความสงสัยเรื่องราวของเธอเกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่าสองปี แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องภาพลักษณ์  เมื่อเป็นข่าวใหญ่ก็ได้ทุน  และอย่างประจักษ์ชัดว่าเธอประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อเมื่อเชื่อมต่อถูกคน อย่างดาราชื่อดัง นักร้องเพลงร็อค และคนดังจากหลากลายวงการที่เข้ามาสนับสนุน
 
                         อดีตพนักงานทั้งของมูลนิธิ AFESIP และโสมาลี มัม บางคน ยอมรับว่าพอรู้อยู่ว่ามีการใช้เทคนิคไม่เหมาะสมในการปลุกกระแสและเงินสนับสนุน แต่ไม่มีใครกล้าพูด เพราะกลัวโสมาลี มัม และเพราะกลัวผลกระทบต่อองค์กรด้วย       
 
                         ปิแอร์ เลกรอส์ อดีตสามีชาวฝรั่งเศสของโสมาลี และผู้ร่วมก่อตั้งองค์กร AFESIP โทษระบบความช่วยเหลือระหว่างประเทศ และองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้รับทุนสนับสนุนเหลือเฟือ เป็นแรงจูงใจให้มูลนิธิอย่างโสมาลี มัม  กุตัวเลขเพื่อสะท้อนปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่เกินจริง และบิดเบือนความเป็นจริง
 
                         "เธอใช้ระบบ และเธอถูกระบบใช้" เลกรอส์ซึ่งออกจากองค์กรเมื่อปี 2547 กล่าวถึงอดีตภรรยา และทิ้งท้ายว่า ผมทำงานกับองค์กรมากมาย และเจอกับปัญหาเดิมๆเวลาต้องการเงิน หากคุณไม่มีเรื่องเล่า คุณก็ไม่ได้เงิน ผมไม่ประหลาดใจ จะประหลาดใจหน่อยก็คือใช้เวลาถึง 10 ปีกว่าผู้คนจะค้นพบว่ามันไม่จริง"
 
 
 
 
--------------------------

 
เปิดโลกวันอาทิตย์ : 'โสมาลี มัม' แม่พระและคนลวงโลก
โดย...อุไรวรรณ นอร์มา
วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2557
24  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ หนังสือแนะนำ / กฏแห่งกระจก “ชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจ” เมื่อ: 09 มิถุนายน 2557 01:13:03



กฏแห่งกระจก
................

“ชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจ”


คุณยางุจิแนะนำกฎง่าย ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาของคุณเอโกะ กฎข้อนั้นก็คือ “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคือ กระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง” และนี่คือ กฎแห่งกระจก ถ้าจิตใจของเรามีแต่ความทุกข์เงาในกระจกก็จะสะท้อนออกมาเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี

“ความสบายใจจากการให้อภัย”

เมื่อใดที่เกลียดคนอื่นและไม่ให้อภัย เราก็จะรู้สึกไม่สบายใจ ร่างกายจะทำงานไม่ได้ดังใจคิด ทั้งยังกระวนกระวาย ถ้ามีอาการเช่นนี้เราก็จะเป็นทุกข์ ในทางตรงกันข้ามถ้าเราเลือกที่จะให้อภัย เราก็จะรู้สึกผ่อนคลายเบาสบายทั้งร่างกายและจิตใจ

“8 ขั้นตอนสู่การให้อภัย”

ขั้นตอนที่ 1
เขียนรายชื่อคนที่ให้อภัยไม่ได้ลงในกระดาษ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับพ่อ แม่ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมาก ลองถามตัวเองว่าเกลียด พ่อแม่ หรือไม่ สำนึกในบุญคุณ พ่อแม่ หรือเปล่า ถ้าไม่แน่ใจเขียนชื่อพ่อแม่ลงไปด้วย
.........................................

ขั้นตอนที่ 2
ระบายความรู้สึกของตนเอง เขียนระบายความรู้สึกที่มีต่อคน ๆ นั้น ควรเขียนความรู้สึกในใจแทนที่การเขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขียนระบายความรู้สึกอย่างตรงไป ตรงมา ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมา เมื่อเขียนจนหมดแล้วให้ฉีกกระดาษเหล่านั้นเป็นชิ้น ๆ แล้วทิ้งลงถังขยะไป
.........................................

ขั้นตอนที่ 3
จินตนาการสาเหตุของการกระทำ

1) เขียนการกระทำของคน ๆ นั้นลงในกระดาษ

2) ลองจินตนาการถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องทำเช่นนั้น โดยแยกออกเป็นสองสาเหตุใหญ่คือ อยากมีความสุข และอยากเลี่ยงความทุกข์

3) อย่าตัดสินการกระทำนั้นว่า “ไม่ถูกต้อง” แต่ขอให้เข้าใจว่าสิ่งนั้นคือการกระทำที่เกิดจากความด้อยประสบการณ์ ความไม่รู้ หรือความอ่อนแอ

4) ให้พิจารณาการกระทำของคนๆ นั้นโดยไม่สนใจว่าจะถูกหรือผิด แล้วพูดออกมาว่า “คุณก็คงอยากมีความสุข คุณก็คงอยากหนีให้พ้นจากความทุกข์เหมือนกันกับฉัน”
.........................................

ขั้นตอนที่ 4
เขียนสิ่งที่ควรขอบคุณ เขียนสิ่งที่ควรขอบคุณคนคนนั้นออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
.........................................

ขั้นตอนที่ 5
ขอพลังจากคำพูด

1) ปฏิญาณว่า “ฉันจะให้อภัยคุณเพื่อความเป็นอิสระ ความบายใจ และความสุขใจของตัวฉันเอง”

2) กล่าวคำขอบคุณซ้ำ ๆ ว่า “คุณ.......ขอบคุณนะครับ/ค่ะ” โดยให้พูดออกเสียงเบา ๆ ควรใช้เวลาในขั้นตอนนี้อย่างน้อย 10 นาที (จะพูดได้ประมาณ 400-500 ครั้ง) ในขั้นตอนนี้ไม่จำเป็นต้องรู้สึกของคุณคนคนนั้นจากใจจริง แม้ในจิตใจจะยังรู้สึกไม่ให้อภัย แต่ก็ขอให้เริ่มจากคำพูดก่อน
.........................................

ขั้นตอนที่ 6
เขียนสิ่งที่อยากขอโทษ เขียนสิ่งที่อยากขอโทษคนคนนั้นให้มากที่สุด
.........................................

ขั้นตอนที่ 7
เขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้ เขียนว่าได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการรู้จักคน ๆ นี้
.........................................

ขั้นตอนที่ 8
ประกาศว่า “ฉันให้อภัยคุณแล้ว”.
.........................................

หากทำครบ 8 ขั้นตอนนี้แล้วยังรู้สึกให้อภัยไม่ได้อยู่ก็ไม่เป็นไร ให้ปฏิบัติตามข้อ 2 ในขั้นตอนที่ 5 ให้เป็นกิจวัตร แล้วสักวันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นแน่นอน

“นำพาความสุขสู่ชีวิตคุณ”

เมื่อทำตามขั้นตอนทั้งหมดนี้แล้ว หากรู้สึกอยากขอบคุณ หรือขอโทษคน ๆ นั้นขึ้นมาจริง ๆ ก็ขอให้ลงมือทำก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะหายไป

และหากมีชื่อ พ่อแม่ ปรากฏอยู่ใน ขั้นตอนที่ 1 ก็ขอให้ลองปฏิบัติตามทุกขั้นตอนให้ได้ มีหลายคนที่เปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีได้อย่างน่าประหลาดใจ เพราะความสัมพันธ์ที่มีต่อพ่อแม่ส่งผลไปยังความสัมพันธ์ที่มีต่อคนอื่น ๆ ด้วย

โยชิโนริ โนงุจิ.....เขียน
ทิพวรรณ ยามาโมโตะ....แปล



25  สุขใจในธรรม / คำทำนายภัยพิบัติที่จะเกิด / ระวัง ! สึนามิลูกที่ 2 ถล่มไทย คำเตือนจาก ดร.สมิทธ ธรรมสโรช เมื่อ: 09 มิถุนายน 2557 01:10:45


ระวัง!!! สึนามิลูกที่ 2 ถล่มไทย
รุนแรงและน่ากลัวกว่าครั้งที่ผ่านมา
................................................
คำเตือนจาก ดร.สมิทธ ธรรมสโรช


"ปีที่แล้วผมมีโอกาสเข้าไปร่วมประชุมกับนักวิจัยญี่ปุ่น ซึ่งเขาก็พูดถึงเรื่องของศาสตราจารย์จอห์น แมคคลอสคีย์ ออกมาบอกว่าอีกไม่นานจะเกิดสึนามิอีกครั้ง ในส่วนประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากๆ เพราะว่ารอยเลื่อนแผ่นดินที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 47 มันเลื่อนแค่เศษ 1 ส่วน 4 เท่านั้น ดังนั้นจะเหลืออีกเศษ 3 ส่วน 4 ที่ยังไม่เกิด ซึ่งแผ่นดินมันค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาทางเหนือระหว่างเกาะนิโคบาและเกาะอันดามัน โดยการเลื่อนในครั้งนี้มันจะเขยิบเข้ามาใกล้กับชายฝั่งของประเทศไทยมากขึ้นจากครั้งที่แล้ว

ดร.สมิทธ บอกต่อว่า ครั้งนี้ไม่จำเป็นต้อง 9 ริกเตอร์เหมือนกับครั้งที่แล้ว เรียกว่าขอให้เกิดสึนามิขึ้นเมื่อใด ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมหาศาล.....

"คำนวณง่ายๆ ว่าสึนามิครั้งที่แล้วมันไกลจาก 6 จังหวัดภาคใต้ถึง 1,200 กิโลเมตร แต่รอยเลื่อนอีกเศษ 3 ส่วน 4 มันอยู่ใกล้ประเทศไทยเพียง 300-400 กิโลเมตร ดังนั้นถ้าเกิดสึนามิขึ้นไม่ว่าจะกี่ริกเตอร์ ประเทศไทยจะได้รับความเสียหายมากกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน"

แต่เหตุการณ์จะเกิดเมื่อใดก็ยังไม่สามารถบอกได้


26  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / ถ้าฟ้าผ่าอยู่ในรถแล้วจะปลอดภัยจริงหรือ เมื่อ: 09 มิถุนายน 2557 01:07:20






เวลาที่ฝนตก...ฟ้าผ่า!!!
มีคนบอกว่าอยู่ในรถจะปลอดภัย จริงหรือไม่ ??
แล้วถ้าฟ้าผ่าลงมาตรงๆ จะเป็นอะไรมั๊ย ??


คำตอบคือ...จริง

เพราะ ...เมื่อฟ้าผ่ามาจะทำให้ไฟฟ้าไหลไปตามตัวรถด้านนอกที่เป็นโลหะ แต่จะไม่เข้ามาภายในรถ
ตามหลักของ...กรงฟาร์ราเดย์ ประจุไฟฟ้าจะวิ่งผ่านบนพื้นผิวตัวถังรถ และไหลผ่านเพลาล้อมายังกระทะล้อ และสังเกตว่ากระแสไฟฟ้ากระโดดจากกระทะล้อลงสู่พื้นดิน (ตามรูป)

ข้อควรปฎิบัติหากขับรถในช่วงมีฝนตกฟ้าคะนอง ควรปิดกระจกทุกบาน หากฟ้าผ่าลงรถควรตั้งสติให้มั่น ไม่ควรออกจากรถโดยเด็ดขาด เพราะกระแสไฟฟ้าที่ไหลตามผิวโลหะของตังถังรถจะไหลลงสู่พื้นดิน หากวิ่งออกนอกรถจะมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้าผ่าสูง การหลบฟ้าผ่าในรถจึงเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุด เพราะโครงสร้างรถยนต์เป็นโลหะนำไฟฟ้าที่ไม่ดีนัก จึงช่วยป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าได้

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
ห้องไฟฟ้า (Electrical Room)
facebook.com/ElectricalRm
27  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / Re: งักฮุย ขุนพลในยุคปลายราชวงศ์ซ่งเหนือ เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ตัวจริง เมื่อ: 06 มิถุนายน 2557 01:51:29
 เยี่ยม
28  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: เจ้ากรรมนายเวรสิ่งลี้ลับที่ติดตามทุกภพชาติ เมื่อ: 06 มิถุนายน 2557 01:33:54


"เวลาเราทำบุญทุกครั้งจึงควรอุทิศกุศลให้เขาด้วย จะได้อโหสิกรรมต่อกัน ชีวิตเราจะได้เบาลง ไม่มีอุปสรรค"

เจ้ากรรมนายเวรที่น่ากลัวก็ได้แก่ พรหม เทวดา มนุษย์ด้วยกัน เพราะเขามีฤทธิ์ มีผลให้คุณโทษเราได้ ส่วนผีนั้น ไม่ว่าจะเปรต อสุรกาย หรือปีศาจต่างๆนั้น ทำอันตรายเราได้ยาก หากกรรมไม่สบช่องให้ เพราะว่าวาระกรรมเขาหนัก จึงไม่มีฤทธิ์มากจนถึงขั้นทำร้ายเรา หากเขาทำเราได้ เขาทำแล้ว ฆ่าแล้วไม่ปล่อยเราไว้หรอก ดังนั้นจึงอย่ากลัวจนเกินเหตุ

บางคนเคยทำแท้งมา เจ้ากรรมนายเวรก็คือลูกของตนเองนั่นเอง จิตเขาผูกอาฆาต เลยมาเกาะอยู่กับแม่ เป็นกึ่งผี กึ่งสัมภเวสี พอเกาะอยู่ไม่มีอะไรกิน เขาก็อาศัยกายทิพย์ในร่างโอปาติกะที่แทรกเกาะตามกายหยาบเรานั่นแหละ ดูดกินน้ำเลือดน้ำเหลืองในกายเรา พอกินในจุดนั้นไปนานๆ ก็ก่อให้เกิดการเป็นมะเร็ง เป็นเนื้องอก ผิดปรกติ บ้างก็เคยฆ่าสัตว์มา จิตวิญญาณมันก็เกาะในคนที่ฆ่าสัตว์นั่นแหละ ก็เป็นมะเร็ง จนกว่าจะรู้แล้วฉลาดทำบุญอุทิศกุศลให้

เมื่อเขาอภัยให้ โรคภัยที่เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรเบียดเบียนนั้นจะหายเป็นปลิดทิ้งเลย เคยเจอมาหลายราย ทำบุญถูกจุดอุทิศให้เขาตามที่เขาต้องการแล้วก็เรียกร้องมา ทำให้ครั้งเดียวพอเลย โรคกรรมจุดนั้นหายเลย





คนเราเกิดมาล้วนมีกรรมด้วยกันทั้งสิ้น

ให้หมั่นทำบุญ ด้วยทาน ศีล ภาวนา แล้วอุทิศให้เขาบ่อยๆ แล้วจะดีเอง หนึ่งหละคือเวรเบาบางลง อุปสรรคในชีวิตก็จะลดลง สองบุญกุศลที่เราทำบ่อยๆนั่นแหละจะเบนชะตาชีวิตของเราให้เป็นไปในทางที่ดี ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งหมอสะเดาะเคราะห์ที่ไหนให้สูญเสียเงินอีกต่อไป เพราะกรรมเราเวรเรา เราแก้เอาเองจะถูกจุดที่สุด เพราะเป็นหนี้ระหว่างเรากับเขา ใครจะเข้าใจไปกว่าเจ้าหนี้และลูกหนี้

บางทีคนสะเดาะทำไม่ได้จริง มาหลอกให้เราเสียเงินเสียทองเสียเวลา เราทำเองแก้เองดีที่สุด กรรมแก้ไม่ได้หรอก ทำแล้วต้องได้รับ แต่มีวิธีเบนผลของกรรมชั่ว ด้วยกรรมที่มีอำนาจตัดรอนกันหรือสร้างบุญที่มาเสริมบุญเก่า เพื่อให้หนุนโชคลาภมันใหญ่มากขึ้น แต่เรื่องของเวรตัดได้แน่นอน คือการขออโหสิกรรมต่อกัน แล้วอย่าไปสร้างใหม่ หากสร้างใหม่ต้องตามไปแก้อยู่เรื่อยๆ





29  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / เจ้ากรรมนายเวรสิ่งลี้ลับที่ติดตามทุกภพชาติ เมื่อ: 06 มิถุนายน 2557 01:32:37
เจ้ากรรมนายเวรสิ่งลี้ลับที่ติดตามทุกภพชาติ





เจ้ากรรมนายเวรคืออะไร

คือใครก็ได้ที่เราเคยไปสร้างความไม่พอใจให้แก่เขา ไม่ว่าจะเป็นกาย วาจา หรือใจ

เจ้ากรรมนายเวร

หากมีคนผูกใจเจ็บว่าในอนาคตมีโอกาสเมื่อไหร่ขอแก้แค้นผู้ที่เบียดเบียนเรา หรือผูกใจต่อเราว่าขอให้ได้ทำร้ายคืน ผู้ที่มีจิตแค้นผูกใจเจ็บว่าจะล้างแค้นนั้นแหละเรียกเจ้ากรรมนายเวร แต่ทุกวันนี้และคำคำนี้ใช้กันจนพร่ำเพรื่อ แล้วมองกันดูว่าน่ากลัว มองในแง่ที่น่ากลัวลึกลับ หรือบางคนมองเป็นเรื่องเหลวไหล

สมมติเอาแค่วันดีคืนดี เรานึกครื้มใจสนุก อยากแกล้งเพื่อนในห้องเรียน ตบหัวเพื่อน เอาสมุดโน้ตเพื่อนไปซ่อนบ้าง เพื่อนได้รับความเดือดร้อน ผูกใจเจ็บ นั่นแหละเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรเกิดขึ้นแล้ว เราได้ทั้งกรรม ได้กรรมคือไปซ่อนสมุดโน้ตเพื่อน ตบหัวเพื่อน ได้เวรมาด้วยคือเพื่อนผูกใจเจ็บ

ถึงแม้กรณีว่าเพื่อนจะอโหสิกรรมให้ให้อภัยคือไม่โกรธไม่ผูกใจเจ็บ แต่ทว่าเราต้องได้รับใช้ผลของกรรมที่เราทำไปแล้ว ณ จุดนั้น ได้กรรมแต่ไม่ได้เวร

แต่กรณีของบางรายที่ไม่ยอมอโหสิกรรมคือผูกใจเจ็บ เราจึงได้ทั้งเวร ทั้งกรรม บางทีมีโอกาสก็แกล้งกันคืนบ้าง มีอคติต่อกันบ้าง ต่างคนต่างสร้างกรรมต่อกัน พอตายไป บางทีคนหนึ่งไปเกิดเป็นคนอีกรอบ อีกคนยังไม่ได้ไปเกิดเป็นคนแต่ไปอยู่ในภพของโอปาติกะบ้าง บางทีเป็นโอปาติกะที่มีฤทธิ์เช่น เทวดา จิตที่ยังมีความอาฆาตต่อกันนั้น ยังไม่ได้ให้อภัย จึงมีการตามไปแก้แค้น ตามไปเอาคืนอยู่ตลอด จึงวุ่นวาย

เจ้ากรรมนายเวรของเราทุกๆคน จึงมีได้ทุกภพ ไม่ว่าจะเป็นพรหม เทวดา นางฟ้า สัมภเวสี อสุรกาย พญานาค สัตว์เดรัจฉาน หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยกันเอง แล้วแต่ภพภูมิ และบ่วงกรรมที่หมุนเวียนไป บางวาระกรรมมาสนองสองดวงจิตโคจรกันมาอีกวาระ คนบางคนแค่เราเจอหน้าครั้งแรกก็รู้สึกเกลียดไม่ถูกชะตาแล้วนั่นแหละจิตใต้สำนึกมันเคยอาฆาตไม่ดีต่อกันมาก่อน เป็นเจ้ากรรมนายเวร หรือบางคนเคยเกื้อกูลกันมาก่อน ในอดีตชาติ พอเจอกันครั้งแรกก็ถูกชะตาเลยเป็นต้น



30  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / 5 อาหารกินแล้วฟันขาว เมื่อ: 21 เมษายน 2557 00:50:44
5 อาหารกินแล้วฟันขาว

ดร. แคโรลีน เจ. มอร์ดาส รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ได้แนะนำ 5 อาหารที่สามารถต่อสู้กับกระบวนการฟันเหลือง เพื่อให้สามารถเผยรอยยิ้มได้อย่างมั่นใจ

แอปเปิ้ล : สามารถช่วยทำความสะอาดฟันได้ เนื้อที่กรุบกรอบจะช่วยให้ลดคราบและเพิ่มการผลิตน้ำลาย เพื่อป้องกันการสะสมของคราบแบคทีเรีย ที่เป็นเสมือนกาวเกาะติดระหว่างคราบและผิวฟัน นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังมีกรดมาลิก ที่สามารถละลายคราบได้อย่างเป็นธรรมชาติ




ถั่ว : อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันที่ดี มีฤทธิ์กัดกร่อนเล็กน้อยไม่ส่งผลต่อผิวฟัน สามารถขจัดรอยเปื้อนและคราบบนพื้นผิวฟันออกไป นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมที่ช่วยให้ฟันแข็งแรงอีกด้วย




ขึ้นฉ่าย : เป็นอีกหนึ่งอาหารดีแคลอรี่ต่ำ ช่วยรักษาขาวความกระจ่างใสดั่งไข่มุกของผิวฟัน เส้นใยเซลลูโลสจะทำงานเสมือนแปรงสีฟันธรรมชาติ ที่จะขัดคราบออกไปจากผิวฟันเมื่อเคี้ยว

 

สับปะรด : สับปะรดมี บรอมีเลน โดยเอนไซม์จะทำงานสลายโปรตีน ที่จะก่อให้เกิดคราบต่างๆ ให้หลุดออกไปอย่างเป็นธรรมชาติ




แครอท : ช่วยกระตุ้นน้ำลายและมีวิตามินที่ร่างกายต้องการ เพื่อให้ฟันที่มีสุขภาพดี ในขณะที่ยังมีอาหารที่ควรระวัง โดยเฉพาะอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด หรือมีวิตามินซี เพราะอาจจะทำลายสารเคลือบฟันได้

 



31  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / ประโยชน์ของผ้าอนามัย ที่อยากให้คุณลอง ! เมื่อ: 21 เมษายน 2557 00:43:30
ประโยชน์ของผ้าอนามัย ที่อยากให้คุณลอง !

ในการฝึกทหาร มีเคล็ดลับที่ทำให้การฝึกหนักได้มีการผ่อนคลาย
นั่นก็คือ การใช้ผ้าอนามัย รองแทนแผ่นรองเท้าเผื่อช่วยซึมซับเหงื่อที่ออกมานั่นเอง
และยังนุ่มสบายเท้าอย่างเหลือเชื่อ บรรดานักศึกษาวิชาทหารในหลาย ๆ ที่ต่างก็ใช้กัน



32  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / เคล็ดลับผิวเปล่งปลั่งสดใส ใน 10 นาที เมื่อ: 21 เมษายน 2557 00:36:13
เคล็ดลับผิวเปล่งปลั่งสดใส ใน 10 นาที

สาวๆ ยุคดิจิตอลอย่างเรา ชีวิตรีบเร่งสับสน งานก็เยอะ กิจกรรมก็แยะเป็นเรื่องธรรมด๊า แต่เอิ่ม! พอหันมาส่องกระจกปั๊บก็มีอันต้องตกใจ "อั๊ยย่ะ! หน้าชั้นดูเพลียไปไหน จะหันซ้าย เล็งขวา หรือหน้าตรง บอกเลยว่าโทรมจนป้าเรียกพี่ ฮือออออ รันทดชีวิต" โถๆๆ ไม่ต้องเสียใจไปค่ะคุณสาวๆ ขา ปัญหาทุกอย่างมันมีทางแก้ไข เอาล่ะไปดูเคล็ดลับดีๆ ในการดูแลฟื้นฟูผิวให้กลับมาเปล่งปลั่งสดใสดั่งผิวกำเนิดใหม่ ภายใน 10 นาที ที่ Sassy นำมาฝากกันดีกว่า บอกตรงเลยว่าทำง่าย ไม่ยาก ไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินไปเข้าคอร์สแพงๆ เลยสักนิด ใครอยากรู้มาดูกันจ้า


เคล็ดลับผิวเปล่งปลั่งสดใส ใน 10 นาที
ถ้ารู้สึกว่าหน้าเพลียไม่ไหวจะเคลียร์แล้วล่ะก็ ไม่ต้องเครียดค่ะ พยายามผ่อนคลายปล่อยใจให้สบายๆ (เป็นวิธีชะลออายุ ต่อต้านริ้วรอยได้อย่างหนึ่ง ^ ^) แล้วมองหาว่านหางจระเข้พืชพื้นบ้านที่อยู่ใกล้ๆ ตัวคุณ นี่แหละเคล็ดลับความงามชั้นเลิศเลยทีเดียว


ในว่านหางจระเข้มีดีอะไร!?!
เจลว่านหางจระเข้มีน้ำอยู่ 99.5 เปอร์เซ็นต์ มันจึงให้ความรู้สึกสดชื่นแก่ผิวได้เป็นอย่างดี และยังมีพอลิแซ็กคาไรด์ ไกลโคโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และเอนไซม์ซึ่งเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ และสารป้องกันการอักเสบที่มีประสิทธิภาพ เจลว่านหางจระเข้สามารถบรรเทาแผลไหม้ (โดยเฉพาะแดดเผา) ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวและอาจป้องกันสีผิวเข้มขึ้นได้ ที่สำคัญมันยังช่วยกระชับผิวได้อย่างเห็นผล ทำให้กลายเป็น "มินิมาส์ก" ยอดนิยมสำหรับสาวๆ ที่มักจะทาก่อนออกไปปาร์ตี้ใหญ่ในตอนกลางคืน นอกจากนี้สาวๆ ยังนิยมนำเจลของว่านหางจระเข้มานวดมาส์กหน้าก่อนนอน เพื่อเพิ่มความเปล่งปลั่ง คืนความสดใสอ่อนกว่าวัยให้ผิวหน้า ตามแบบฉบับของพระนางคลีโอพัตรา ราชินีแห่งความงามที่ได้รับการจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นพระองค์แรกที่ทรงนวดว่านหางจระเข้ลงบนพระพักตร์เพื่อความเปล่งปลั่งเยาว์วัย


มาส์กว่านหางจระเข้
คืนความเปล่งปลั่งสดใสง่ายๆ ภายใน 10 นาที


ทำมาส์กกระชับผิวง่ายๆ โดยตัดใบว่านหางจระเข้จากต้น กรีดใบตามแนวยาว แล้วใช้เจลที่ไหลออกมาทาลงบนใบหน้าที่ล้างสะอาดดีแล้ว ทิ้งไว้เพียง 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น เพียงเท่านี้คุณก็จะสัมผัสได้ถึงผิวที่สดชื่นเปล่งปลั่ง เนียนนุ่ม ดูอ่อนวัยยิ่งกว่าที่เคย

สาวๆ คนไหนอยากมีผิวเปล่งปลั่งสดใสลองเอาไปใช้ดูสิคะ แล้วคุณจะรู้ว่าสุขภาพผิวดีไม่ต้องยุ่งยากและจ่ายแพงอย่างที่คิด


33  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / Re: เหตุใดจึงยอมเดินทาง แบบไม่มีวันกลับ ไปยังดาวอังคาร ? เมื่อ: 10 เมษายน 2557 02:04:38
Mars One Way
34  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / เหตุใดจึงยอมเดินทาง แบบไม่มีวันกลับ ไปยังดาวอังคาร ? เมื่อ: 10 เมษายน 2557 02:03:34


"ผมทราบดีว่าการไปดาวอังคารของผม ทางเทคนิคแล้วคือการตายไปจากโลกของเรา" ชมสารคดีสั้น Mars One Way ซึ่งตั้งคำถามกับผู้สมัครร่วมโครงการสร้างถิ่นอาศัยของมนุษย์บนดาวอังคาร ว่าอะไรคือสาเหตุที่ยอมสละทุกอย่างเพื่อภารกิจ แบบ"วัน-เวย์" ไม่มีตั๋วกลับครั้งนี้

เลื่อนลงด้านล่างเพื่อชมคลิปภาพยนตร์ Mars One Way

Mars One Way เป็นสารคดีสั้น สร้างโดยกลุ่ม Vita Breavis Films ซึ่งเผยแพร่เป็นคลิปชมฟรีบนเว็บไซต์ Vimeo ความยาวเกือบ 12 นาที ซึ่งเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มชาวอเมริกันผู้ที่ยื่นใบสมัครกับโครงการเอกชน Mars One เพื่อจะเข้าคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 4 คน ที่จะพาเผ่าพันธุ์มนุษยชาติไปตั้งถิ่นฐานใหม่บนดาวอังคาร โดยจะเริ่มเดินทางในปี 2024 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า

Mars One ปิดรับสมัครผู้ที่จะเดินทางไปตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมปีที่แล้ว ซึ่งจนถึงขณะนี้มีผู้ยื่นใบสมัครแล้วกว่า 2 แสนคนจากทั่วโลก

" ผมทำงานที่นิทรรศการจำลองอวกาศ ผมรักสุริยะจักรวาล สิ่งที่ผมจะคิดถึงมากที่สุดหากได้ไปดาวอังคาร คือ หาดทราย ทะเล ฝน หิมะ คงไม่ใช่ผู้คนหรอก" Will Robbins หนุ่มโสด หนึ่งในผู้ส่งใบสมัครบอกในสารคดีผู้เชื่อว่าเขาไม่ได้มีห่วงอะไรมากมายบนโลกใบนี้ จึงขอเลือกทำตามความต้องการของตัวเอง

ในขณะที่ Kitty Kane สาวมั่นนักออกแบบทรงผม ส่งใบสมัครไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมกับแฟนหนุ่ม บอกว่า "ฉันสงสัยว่าในอนาคตจะมีอนุสาวรีย์รูปตัวฉันบนดาวอังคารหรือเปล่า" และ " ทุกคนรู้สึกถึงความพิเศษของตัวเอง และฉันรู้มาตลอดว่า ฉันต้องไป"

โดยสารคดีเลือกสะท้อนภาพความฝันของเธอด้วยของสะสม เช่น ภาพยนตร์อย่าง Battlestar Galactica ในขณะที่แฟนของเธอก็เชื่อว่าถ้าเธอได้รับเลือกให้ไปจริง เธอจะไปแน่นอน เพราะเธอเลือกทำในสิ่งที่เชื่อเสมอ อย่างไรก็ตาม Kane บอกว่าหากเธอมีลูก เธอจะไม่ยอมทิ้งลูกไปดาวอังคาร

สอดคล้องกับ Ken Sullivan ที่แม้เขาจะต้องทะเลาะกับภรรยาแม้ว่ายังไม่ได้รับเลือกให้ไปด้วยซ้ำ ก็ยืนยันด้วยน้ำตาคลอเบ้า ต่างจากตอนพูดถึงการไปเป็นมนุษย์กลุ่มแรกในดินแดนใหม่ ซึ่งแววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ว่าหากได้รับเลือก แต่ในที่สุดลูกชายมาขอร้องไม่ให้เขาไป เขาก็อาจเปลี่ยนใจก็ได้

อีกความคิดเห็นที่น่าสนใจคือความคิดของ Casey Hunter หนุ่มที่ยอมรับว่าชีวิตของเขาช่างน่าเบื่อ จึงขอทำอะไรที่เป็นประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์บ้าง

"ตอนผมได้ยินเรื่องโครงการ Mars One ครั้งแรก ผมคิดว่า ทำไมผมจะไม่บริจาคตัวเองล่ะ"

ยังมีคำพูด และ แนวคิดเบื้องหลังการตัดสินใจสมัครไปเป็นมนุษย์กลุ่มแรกบนดาวอังคารอีกหลายประเด็นที่น่าสนใจในคลิปลองชมกันครับ

35  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / เครื่องบินบนฟ้าอยู่ตรงไหนบ้าง เรารู้ได้อย่างไร ? เมื่อ: 10 เมษายน 2557 01:59:14


ท้องฟ้านั้นกว้างมากๆสำหรับสายตาของคนเรา และเครื่องบินแต่ละลำนั้นต่อให้ใหญ่ซักแค่ไหนก็ดูจะเล็กกระจ้อยเมื่อเทียบกับผืนฟ้าจริงไหมครับ ยิ่งถ้าบินข้ามประเทศ ข้ามทวีป การใช้คนตามดูคงเป็นไปไม่ได้... แล้วเราเฝ้าตามดูเครื่องบินแต่ละลำยังไงกัน?

เรื่องนี้ย้อนกลับไปสมัยสงครามโลกครั้งที่สองครับ เป็นครั้งแรกที่เราสร้างอุปกรณ์ที่เรียกว่า เรด้าร์ ขึ้นมาใช้งาน Radar ซึ่งย่อมาจาก Radio Detection and Ranging แปลตามชื่อก็หมายถึง "การใช้คลื่นวิทยุตรวจจับและวัดระยะ" โดยวิธีการก็คือสถานี Radar จะส่งคลื่นวิทยุออกไป เพื่อหวังให้คลื่นวิทยุนี้ไปสะท้อนวัตถุบนฟ้า (เช่นเครื่องบินต่างๆ) กลับมายังตัวรับที่สถานี และใช้การคำนวนเวลาที่สัญญาณเดินทางทั้งหมดเพื่อหาระยะของวัตถุที่สะท้อนคลื่นกลับมา ซึ่ง Radar ก็ได้ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆนับจากนั้นจนปัจจุบันครับ

ถ้าใครเคยดูในหนังแล้วเห็นจานกว้างๆหมุนติ้วไปรอบๆ ก็จะนึกภาพออกว่า Radar จะส่งคลื่นวิทยุกวาดไปรอบทุกทิศทาง เมื่อสัญญาณที่ไปสะท้อนเครื่องบินบนฟ้าวิ่งกลับมาหาตัวรับที่สถานี อุปกรณ์ก็จะทำการคำนวณและแปลความหมายข้อมูลนั้นออกมาเป็นภาพบนจอกลมๆ โดยมีจุดเล็กๆแสดงตำแน่งที่สัญญาณสะท้อนกลับมา ซึ่งปัจจุบันนี้ Radar สามารถตรวจจับวัตถุต่างๆได้ในรัศมีราวๆ 400 กิโลเมตรเลยทีเดียวครับ แต่ Radar ที่เหมือนตาทิพย์ของเราก็มีข้อจำกัดเช่นกัน...

Radar รู้แค่ว่ามีอะไรอยู่ที่ไหน แต่ไม่รู้ว่าอยู่สูงจากพื้นเท่าไหร่ และสิ่งนั้นคืออะไร

อย่างที่เล่าไปว่า Radar ใช้การสะท้อนของคลื่นวิทยุในการหาตำแหน่ง มันจึงรู้แค่ว่ามีวัตถุบางอย่างขวางคลื่นวิทยุไว้ และพอจะรู้ได้ว่าวัตถุนั้นเคลื่อนที่ไปทางไหน ด้วยความเร็วเท่าไหร่ การคำนวนก็ง่ายๆครับ ใช้การวัดตำแหน่งที่เปลี่ยนไปของวัตถุที่สะท้อนคลื่นกลับมาในการกวาดแต่ละครั้ง แต่วิธีการแบบนี้เราบอกไม่ได้ครับว่าวัตถุนั้นมันอยู่สูงจากพื้นแค่ไหน และที่สำคัญ ไอ้เจ้าสิ่งที่สะท้อนคลื่นกลับมานี้มันคืออะไรแน่... การระบุตัวตนของวัตถุบนฟ้า และความสูงของมันเป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะคงไม่ดีแน่ถ้าเราไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้างที่กำลังบินสวนกันไปมาบนเวิ้งฟ้าสมัยนี้ และถ้าเราไม่รู้ว่าเครื่องบินแต่ละลำบินสูงต่ำแค่ไหน คงเสียวไส้ชนกันพิลึก การระบุตัวตนให้รู้ว่าใครเป็นใครและอยู่ที่ความสูงเท่าไหร่ จึงจำเป็นต่อการจัดการการจราจรทางอากาศครับ... และก็ในเมื่อ Radar มันทำไม่ได้... แล้วทำยังไงล่ะ?

Radar ไม่รู้ งั้นถามแต่ละลำดูแล้วกัน  หัวเราะลั่น

ในปัจจุบันนี้เครื่องบินแทบทุกลำจำเป็นจะต้องมีอุปกรณ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Transponder ติดตั้งไว้ครับ ซึ่งมาจากคำเต็มๆว่า TRANSmitter - resPONDER เป็นอุปกรณ์ตัวนึงที่เมื่อได้รับคลื่นวิทยุจากสถานี Radar มากระตุ้น(ถาม) มันก็จะส่งสัญญาณวิทยุ(ตอบ)กลับไป เจ้าสัญญาณที่ Transponder ส่งออกมาก็จะเป็นข้อมูลแสดงอัตลักษณ์ของเครื่องบินลำนั้น รวมถึงข้อมูลความสูงจากเครื่องวัดด้วย ทีนี้บนจอ Radar ของผู้ควบคุมการจราจรทางอากาศก็จะมีข้อมูลครบถ้วนแล้ว ทั้งจุดตำแหน่งของเครื่องบิน ทิศทาง ความเร็ว ซึ่งได้จาก Radar และความสูง พร้อมรู้ว่าใครเป็นใคร จาก Transponder บนเครื่องบินแต่ละลำครับ

ทีนี้พอเรามีเครือข่ายสถานี Radar ครอบคลุมไปทั่ว เราก็ตามดูเครื่องบินบนฟ้าได้ทุกลำได้แล้ว ซึ่งฝันร้ายของเจ้าหน้าที่ Radar ก็คงหนีไม่พ้นว่า จะมีจุดใดซักจุด ที่หายไปจากจอดื้อๆ อย่างที่เราได้ทราบข่าวกันนั่นแหละครับ...



By ษัษฐา ศุขสวัสดิ ณ อยุธยา
36  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: ผู้วิเศษจอมปลอม เงิน สาวก ชื่อเสียง เซ็กซ์ ! อันตรายถึงชีวิต ! เมื่อ: 25 มีนาคม 2557 02:09:49


ตัวอย่างเด่นๆ ของเจ้าลัทธิ เพิ่มเติมให้คนคิดดีๆ เวลาจะไปร่วมลัทธิ บางทีไปร่วมลัทธิ ตัวเองยังไม่รู้ตัวจนสักพักเพิ่งจะรู้ตัว อ้าวนี่มันลัทธินี่หว่า

แค่เห็นคนๆ นั้นพูดจาดี มีเหตุผล พูดเก่ง น่าศรัทธา น่าเชื่อถือ ก็หลงไปเป็นสาวกลัทธิอย่างไม่รู้ตัว เมื่อคุณให้ความศรัทธากับเขาไปแล้ว คุ็ณก็เป็นสาวกเจ้าลัทธิแล้ว คุณก็จะยอมเขาต่างๆ นาๆ ระวังตัวให้ดี!!

1. เจ้าลัทธิมักจะบิดเบือน - ลัทธิมักจะเป็น spin-off คือบอกว่าลัทธิตัวเองมีหลักการมาจากศาสนาหลักๆ ของโลก เช่นเป็นคำสอนจาก พุทธ หรือ คริสต์ แต่ฟังไปฟังมาคำสอนบิดเบือน หรือแม้แต่เอาศาสนาหลายๆ ศาสนามายำๆ รวมกัน โดยเฉพาะบิดเบือนเข้าข้างตัวเอง ความคิดตัวเอง คิดเองเออเอง คำสอนที่พูดเกินคำสอนเดิมในศาสนามักจะเยอะ ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาศาสนาของแท้อย่างจริงจังมักจะไม่ทันเกม

2. เจ้าลัทธิ พูดอะไร สอนอะไร เขาว่าเป็นความจริงทั้งสิ้น - เถียงคำสอนของเจ้าลัทธิไม่ได้ เพราะเขาว่าอย่างไรก็อย่างนั้น ถึงจะไม่ตรงกับคำสอนของศาสนา แต่ลัทธิว่าเป็นอย่างนั้นต้องตามนั้น บ้างก็อ้างคำสอนเดิมนั้นผิดในจุดนี้จุดนั้น หรือตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว สวรรค์เขามีมัตติใหม่แล้วเป็นต้น

เจ้าลัทธิมักจะบอกว่าตนไม่เคยผิด ไม่ผิด ทำนายไม่ผิด พูดไม่ผิด ถ้ากำหนดวันแล้วไม่เกิด อาจเพราะตนเป็นคนทำให้ไม่เกิด (classic explanation) หรือเลื่อน หรือไปเกิดที่อื่นเป็นต้น แต่ไม่มีพูดผิดแน่นอน (เพราะเขาเป็นผู้วิเศษ สิ่งที่เข้าพูดไม่มีผิด)

3. ห้ามใครสงสัย ตั้งคำถามแนวว่า คำสอนเจ้าลัทธิอาจจะคิดผิด สอนผิด คิดไปเอง - เจ้าลัทธิไม่ชอบพวก critical thinker ให้เชื่ออย่างเดียว เจ้าลัทธิว่าอย่างไรก็อย่างนั้น เจ้าลัทธิชังพวกไม่ศรัทธา พวกนี้ให้ถือว่าปรามาส บาปกรรม ใครสงสัย ถามซอกแซก เขาจะโดนคำขู่ เช่น ทำร้ายทางทิพย์ จะไม่สบาย ไม่บรรลุ จะโดนพระเจ้าลงโทษ ตกนรก เป็นต้น ทั้งๆ ที่ความจริงทำไม่ได้แม้แต่น้อย เพราะมโนไปเอง แท้จริงอ่อน กระจอก ไร้สาระ และมีปมด้อยอย่างมาก ข่มขู่เพื่อปกป้องสถานะและความน่าเชื่อถือของตัวเอง ให้คงอยู่เป็นเจ้าลัทธิต่อไป

4. เจ้าลัทธิมักจะมีปมด้อย - ถ้าสืบประวัติเจ้าลัทธิ มักจะพบว่าเป็นผู้ไม่ประสบความสำเร็จ ในชีวิต เอาดีไม่ได้ มีปมด้อย เลยหันมาเป็นผู้วิเศษจอมปลอม เพราะวิธีนี้จะทำให้ตัวเองรู้สึกดี มั่นใจ เพราะเอาดีทางโลกไม่ได้ เลยหันมาเอาดีทางความวิเศษ

5. เจ้าลัทธิ มักจะพูดให้คิดว่าตนวิเศษ แบบเนียนๆ - การที่ออกมาพูดตรงๆ ว่าตัวเองวิเศษ อาจจะได้รับการต่อต้าน แต่การนำเรื่องมาเล่าว่าเกิดนั่นนี่แก่ตน ตนได้พบนั่นนี่ หรือ พูดว่ารู้นั่นนี่ ทางโลกวิญญาณ ทางทิพย์ ทางพระเจ้า ก็ทำให้คนคิดไปว่า คนนี้วิเศษ เทียบกับเทคนิค advertising คือ การทำ infomercial น้อยๆ พูดเหมือนให้ความรู้แต่จริงๆ เป็น ad นั่นเอง พอคนศรัทธาแล้วคราวนี้จะพูดอะไรก็ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ จะว่าตัวเองวิเศษ อย่างไรสาวกก็เชื่อกันหมด ค่อยๆ ล่อให้ศรัทธา

6. เจ้าลัทธิไม่ชอบคู่แข่ง - เจ้าลัทธิจอมปลอมมักจะเต็มไปด้วยความอิจฉา เพราะความหวนแหนซึ่งศรัทธา (ความงมงาย) และความรักของสาวกของเขา ไม่ชอบใครวิเศษกว่าตน ไม่ชอบสาวกพูดชื่นชม คนอื่นๆ เขามักจะโจมตีผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่เด่นดังเกินไป ทั้งทางตรงทางอ้อม เขาย่อมอย่ากเป็นที่หนึ่งในความวิเศษ เช่น มีคนมาถามถึงคู่แข่ง ชื่อ ... เป็นไง เขาก็จะพูดแบบ discredit ว่าไม่ดีมั่ง ว่าธรรมดามั่ง กระจอกมั่ง หรือพูดอ้อมๆ ให้คิดว่าธรรมดาๆ ไม่ใช่ทางที่ถูกต้องเป็นต้น

7. เจ้าลัทธิมักจะพูดเก่ง พูดดี วางตัวดี น่าเชื่อถือ - ผู้หัวอ่อนมักจะโดนหลอกให้คล้อยตามวาทะศิลป์ของเจ้าลัทธิได้ง่าย เพราะสิ่งสำคัญของการเป็นเจ้าลัทธิ เป็นผู้วิเศษจอมปลอม การจะทำให้คนคล้อยตามได้นั้น คือการพูดที่เก่ง พูดดูดี น่าเชื่อถือ มีจิตวิทยา ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการจะเป็นผู้นำลัทธิ เหมือนกับ salesman ขายของเก่งเพราะพูดเก่ง เมื่อเจ้าลัทธิพูดเก่ง ก็ย่อมเขียนหนังสือเก่งเป็นธรรมดา จึงเขียนหนังสือขายได้ไปด้วย หรือพิมพ์ข้อความในเน็ตสั่งสอนต่างๆ ตอบคำถามตางๆ ดูดีได้ด้วย


37  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: ผู้วิเศษจอมปลอม เงิน สาวก ชื่อเสียง เซ็กซ์ ! อันตรายถึงชีวิต ! เมื่อ: 25 มีนาคม 2557 02:07:14

ส่งท้ายด้วยลัทธิระดับตำนานของโลก The People’s Temple



เรื่องราวลัทธินี้ได้กลายเป็นตำนานที่กล่าวถึงคนธรรมดาที่อยากเป็นใหญ่แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวและกลายเป็นโศกนาฏกรรมสังหารหมู่คลั่งศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก

จิมส์ โจนส์ เกิดเมื่อ 13 พฤษภาคม 1931 ในครอบครัวยากจนที่รัฐอินเดียน่า ประเทศอเมริกา ในครอบครัวที่แม่เชื่อว่าเขาเป็นนักบุญมาตั้งแต่เกิด เขาจึงเติบโตขึ้นเป็นผู้ศรัทธาในศาสนาคริสต์อย่างแรงกล้า และเขาได้ก่อตั้งลัทธิโบสถ์มวลชน และได้เริ่มทำการเผยแพร่ศาสนาเป้าหมายคือคนผิวสี ด้วยความมีพรสวรรค์ในการเทศน์ทำให้มีผู้ศรัทธาในตัวเขาจึงเพิ่มขึ้น เขาช่วยเหลือผู้ยากจน มีส่วนร่วมในการปกครองส่วนท้องถิ่น สร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเองด้วยการอวดอ้างคุณงามความดีที่เขาทำให้ กับสังคม ในขณะเดียวกันก็ใส่ร้ายให้โทษลัทธิอื่นๆโดยกล่าวหาว่าลัทธิอื่นเป็นศาสน พาณิชย์ มุ่งแต่หาผลประโยชน์ กอบโกยเงินทองโดยไม่สนใจความทุกข์ยากของประชาชน มีแต่ลัทธิเขาเท่านั้นที่ดี ด้วยการพูดเช่นนี้ส่งผลทำให้โบสถ์มวลชนขยายตัวอย่างรวดเร็ว เขามีสาวกในมือมากราวกับเป็นกิจการขนาดใหญ่ สร้างเส้นสายในหมู่นักการเมืองซึ่งทำให้โบสถ์มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้สมัยนั้นจะเป็นยุคเหยียดสีผิวก็ตาม

เมื่อจิมส์ โจนส์ ตั้งสิทธิตนเองได้ เขาประกาศว่า "ในไม่ช้าโลกจะถูกปรมาณูฆ่าล้างผลาญ มีแต่ผู้อยู่ในเวโลโอริซอนเด้ในบราซิลและยูเกียในแคลิฟอร์เนียเท่านั้นที่จะรอดชีวิต" เขาสอนให้ดำรงชีวิตแบบสังคมนิยม ปลูกผักเลี้ยงสัตว์บริโภคกันเองสังคมให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

แต่กระนั้นเมื่อนานเข้าลัทธินี้ก็ไม่ชอบมาพากลเมื่อมีข่าวว่าจิมส์เริ่มมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับสาวก (ทั้งกับผู้หญิงและผู้ชาย) ทำเขาสร้างฮาเร็มขึ้นในหมู่สาวก แต่กลับตั้งกฎให้งดเว้นการมีเซ็กซ์ระหว่างสามีภรรยาเพื่อให้ความสัมพันธ์ของครอบครัวอ่อนลง เด็กๆถูกแยกจากพ่อแม่ เขาสั่งให้สาวกเรียกตัวเองว่า"บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์"จิมส์ชักชวนให้สาวกบริจาคสมบัติทั้งหมดแก่โบสถ์และมาใช้ชีวิตในโบสถ์ โดยบอกว่านี่เป็นการสร้างหนทางสู่สวรรค์ และเริ่มเทศน์ว่าท้ายที่สุดนั้น สาวกทุกคนต้องฆ่าตัวตายพร้อมกัน เพื่อที่วิญญาณของทุกคนจะได้เป็นหนึ่งเดียวและได้รับความสุขอันเป็นนิรันดรที่ดาวดวงอื่น

ปี 1973 จิมส์เริ่มวางแผนจะย้ายสาวกไปยังกีอาน่าในอเมริกาใต้และสร้าง"โจนส์ทาวน์"ขึ้นบนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์“วิหารเทวาลัย” เป็นจุดศูนย์กลาง โดยในปี 1978 มีผู้อยู่อาศัยในโจนส์ทาวน์ 1,000 คน ดินแดนแห่งนี้ตัดขาดจากโลกภายนอกไม่รับอนุญาตให้คนนอกเข้า ทำให้ที่นี่เป็นเหมือนเมืองในระบบเผด็จการของจิมส์ กฎมากมายถูกกำหนดขึ้น คนที่จำไม่ได้ คนที่ไม่ปฏิบัติตามและคนที่ทำท่าจะหนีออกไป ถูกลงโทษอย่างรุนแรงซึ่งยกระดับขึ้นเรื่อยๆ จากการใช้กำลังเป็นการทรมาน และจากการทรมานเป็นการใช้กำลังทางเพศหากถูกจับได้จะถูกนำมาทิ้งที่บ่อลึก ซึ่งรู้จักในชื่อ “โพรงแห่งทุกข์ทรมาน” โดยจะโยนทิ้งในเวลาเที่ยงคืน จากนั้นก็ไม่มีใครได้พบเห็นหน้าผู้เคราะห์ร้ายนั้นอีกเลย กลางป่าลึก โดยมี

ค.ศ.1978 ลีโอ รายอัน สมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ กับผู้สื่อข่าว ได้เข้าไปที่โจนส์ทาวน์เนื่องจากได้รับคำร้องเรียนจากอดีตสาวกและครอบครัวของสาวกที่ยังอยู่ที่นั่น รายอันได้แอบนำสาวกที่เปลี่ยนใจซ่อนตัวออกมาเพื่อขึ้นเครื่องบินกลับ แต่ความแตก บรรดาสาวกที่บ้าคลั่งพากันขับรถตามมาสังหารรายอันกับสาวกที่แปรพักตร์และผู้สื่อข่าวอีก 3 คนตายเกลี้ยง

วันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ.1978 หลังจากเกิดการฆาตกรรมสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ จิมส์รู้ดีว่า ทุกอย่างกำลังจะถึงจุดอวสาน ตำรวจไม่ปล่อยเอาไว้แน่ เขาเรียกประชุมสาวกทั้งหมดมาที่โจนส์ทาวน์

จิมส์ประกาศผ่านลำโพงกระจายเสียง “ถ้าหากเราไม่สามารถอยู่อย่างสันติได้ก็ขอตายอย่างสันติ” สิ้นเสียงประกาศเหล่าสมาชิกก็ปรบมือขานรับอย่างกึกก้อง

คริสติน มิลเลอร์ (Christine Miller) หนึ่งในสาวกไม่เห็นด้วย เธอบอกกับจิมว่า “หากชีวิตยังไม่สิ้นก็ยังคงมีความหวัง”

จิมสวนกลับทันทีว่า “ทุกคนต้องตายไม่วันใดก็วันหนึ่ง”

จากนั้นก็มีเสียงตะโกนออกมาจากกลุ่มสมาชิกว่า “ถูกต้อง ถูกต้อง”

คริสตินไม่ละความพยายาม “ถ้าอย่างนั้นขอให้ปล่อยเด็กๆ”

จิมปฏิเสธคำร้องขอของคริสติน “การตัดสินครั้งสำคัญที่เราจะให้ได้ก็คือการลาจากโลกที่เส็งเคร็งใบนี้” แล้วเสียงปรบมือสนับสนุนดังลั่นขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเขาก็สั่งให้ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมไซยาไนด์อย่างแรงเพื่อฆ่าตัวตาย


และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สาวกของจินอยู่อยู่ด้านนอกของโจนส์ทาวน์ต่างพากันฆ่าตัวตายถี่ขึ้น และมีหลายรายมีรายงานว่า “ถูกบังคับให้กินยาพิษ” ถ้ามีผู้ปฏิเสธก็จะถูกยิง รัดคอ หรือไม่ก็ถูกจับฉีดไซยาไนด์เข้าเส้นเลือด เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าสำรวจพบว่ามีคนตายทั้งหมด 914 กว่าคน คนที่เสียชีวิตนั้น คาดการณ์ว่ามีถึง 300 กว่าคนที่ถูกฆ่าโดยคนอื่น มีทั้งศพที่ถูกยิงจากข้างหลัง และศพที่อยู่ห่างจากแก้วยาพิษจนไม่มีความเป็นไปได้ที่เขาจะเอื้อมไปถึง เกือบ 300 ศพจากทั้งหมดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีส่วนศพของจิมส์ถูกพบบนแท่นเวที ที่ศีรษะด้านขวามีรอยกระสุน ไม่ทราบว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรมกันแน่ แต่ดูจากสถานการณ์โดยรวม คนส่วนใหญ่ต่างก็ลงความเห็นว่านี่น่าจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่า และนี้คือเหตุการณ์ฆ่าตัวตาย ที่ได้รับการบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นการฆ่าตัวตายหมู่โดยเจตนามากที่สุดในโลก!!



38  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: ผู้วิเศษจอมปลอม เงิน สาวก ชื่อเสียง เซ็กซ์ ! อันตรายถึงชีวิต ! เมื่อ: 25 มีนาคม 2557 02:03:38


Branch Davidians



Branch Davidians หรือ กิ่งก้านแห่งดาวิเดียน แต่เดิมลัทธินี้มีชื่อ Davidian Seventh Day Adventists ("ดาวิเดียน") ซึ่งตอนแรกหลักคำสอนเดิมของลัทธินี้คือ “วันพิพากษโลกจะเกิดขึ้นเมื่อปี 22 เมษายน 1959 แต่ปรากฏว่าคำทำนายนี้ไม่เป็นจริง ทำให้ในปี 1955 นิกายนี้ได้สร้างใหม่โดย เดวิด โคเรช มาเป็น “ลัทธิกิ่งก้านแห่งดาวิเดียน” พร้อมหลักคำสอนใหม่ว่า อีกไม่นานโลกจะถึงยุค “อมาเกดอน” หรือวันวิบัติโลก ซึ่งเขาผู้รับคำสั่งจากเบื้องบนมาปลดทุกข์ เขาคือตัวแทนของเหล่าพระองค์ที่มาหว่านเมล็ดพันธุ์ใหม่ของมนุษย์ ภายหลังวันพิพากษาโลก เผ่าพันธุ์ใหม่(หรือสาวกของเขา)เหล่านี้จะเป็นผู้รอดชีวิตและฟื้นฟูโลกใหม่ ก่อนที่จะปิดท้ายว่าพระเจ้ากำหนดให้เขาต้องมีภรรยา 140 คน

ด้วยหลักคำสอนนี้ทำให้เดวิดนั้นสามารถมีภรรยาหลายคน ซึ่งภรรยาส่วนใหญ่นั้นเคยเป็นภรรยาของสาวกของเขานั้นเอง นอกจากนี้เขายังชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็ก ส่งผลทำให้ลัทธินี้เริ่มเสื่อมศรัทธาจากหลายๆ ประเทศ ที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังไปถึงญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มาบัดนี้กลายเป็นลัทธิเล็กๆ เท่านั้น แต่กระนั้นก็มีสาวกหลายคนยึดมั่นในตัวเดวิดอยู่ เนื่องจากเดวิดใช้วิธีการสอนสมาชิกด้วยวิธีล้างสมอง โดนเริ่มใส่โปรแกรมภาพความรุนแรง ความโหดร้ายต่างๆ จากภาพยนตร์และสารคดีให้แก่สมาชิกได้ชมทุกๆ วัน เพื่อให้มีความเชื่อฝังหัวว่าวาระสุดท้ายของโลกใกล้มาถึงแล้ว

Branch Davidians เป็นที่จับตาของกฎหมายมาหลายปี เนื่องจากมีคดีทารุณต่อเด็กและสตรีและสะสมอาวุธสงครามมาครอบครอง ทำให้ทางราชการต้องสู้รบกับสมาชิกต่อเนื่อง จนกระทั้งในปี ค.ศ.1993 เอฟ.บี.ไอ.ไล่ต้อนสาวกของลัทธินี้จนมุมที่เมืองวาโค รัฐเท็กซัส และผู้นำลัทธิเดวิด และผู้ติดตามได้ฆ่าตัวตายโดยการจุดไฟเผาเนื่องจากไม่อยากให้เจ้าหน้าที่บุกจับ ส่งผลให้เขาและสาวกตายกว่า 83 คน(จากรายงานของทางราชการพบศพ 79 ศพ)สิ่งที่สลดอย่างที่สุดคงจะเห็นไม่เกินซากศพมากจำนวนหนึ่งในห้องที่มีผนังคอนกรีตหนาและสูง(ห้องหลบภัย) คาดว่าเป็นสมาชิกของเด็กและผู้หญิงที่ทั้งหมดเอามารวมกันไว้อยู่ในสภาพไหม้เกรียมซึ่งมีมากถึง 41 ศพและเหตุการณ์เหล่านี้ได้ถูกสื่อมวลชนมากมายถ่ายทอดให้ประชาชนชาวอเมริกันนับล้านคนได้ดูทางทีวี


39  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: ผู้วิเศษจอมปลอม เงิน สาวก ชื่อเสียง เซ็กซ์ ! อันตรายถึงชีวิต ! เมื่อ: 25 มีนาคม 2557 02:01:30


Heaven’s gate



"เฮฟเวน'สเกต" หรือ "ประตูสู่สวรรค์" เป็นลัทธิศาสนาที่เชื่อเรื่องยูเอฟโอ ฐานใหญ่อยู่ในซานดิเอโก ก่อตั้งโดยมาร์แชลล์ แอปเปิลไวท์(1931-1997) เจ้าลัทธิหัวหลอดไฟที่หน้าตาเหมือนมนุษย์ต่างดาว โดยประวัติความเป็นมาของลัทธินี้เริ่มขึ้นเมื่อตัวมาร์แชลล์ได้ฟื้นตัวจากอาการหัวใจวายซึ่งเมื่อรอดตายมาได้เขาอ้างว่าเขาได้พบมนุษย์ต่างดาว จากนั้นเขาก็ได้เขียนหนังสือถึงประสบการณ์นั้นแม้ว่าจะไม่ประสบผลสำเร็จอะไรมากมายแต่ก็สามารถทำให้คนหลายคนจากทั่วประเทศเดินทางมาหาเขาและเริ่มก่อตั้งลัทธิ “ประตูสวรรค์” ขึ้น โดยมีความเชื่อมนุษย์หาได้มาจากการสร้างของพระเจ้า หากแต่มาจากพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ต่างดาว และดาวเคราะห์โลกกำลังจะถูกรีไซเคิล(ทำความสะอาดขึ้นมาใหม่ หรือฟื้นฟูสภาพ)โอกาสเดียวที่จะรอดคือการออกไปจาโลกทันทีและต้องทำโดยเร็วด้วย โดนวิธีการฆ่าตัวตายโดยทิ้งร่างกายไว้ โดยจะมียานอวกาศมารับบรรดาวิญญาณ เพื่อเดินทางไปยังดาวต้นกำเนิดที่อยู่ด้านหลังของดาวหาง เฮล-บ็อบซึ่งความเชื่อนี้นำมาซึ่งเหตุฆ่าตัวตายหมู่เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 1997 ที่บ้านพักคฤหาสน์ เมืองซานดิเอโก สหรัฐ ในช่วงดาวหาง ฃเฮล-บ็อบมายังโลก เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าไปพบร่างผู้เสียชีวิตฆ่าตัวตายถึง 39 คน ศพชาย 18คน และหญิง 21 คน รวมไปถึงนายมาแชล แอปเปิ้ลไวท์ อายุ 66 ปีขณะนั้นรวมอยู่ ทั้งหมดตายด้วยวอดก้าผสมยาพิษชนิดร้ายแรงให้ดื่ม แล้วนอนตายอย่างสงบบนเตียงของแต่ละคน



หลังจากเหตุการณ์ฆ่าตัวตายของลัทธิประตูสวรรค์ส่งผลทำให้คำสอนของลัทธินี้เผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วในสื่อต่างๆ ทำให้มีหลายลัทธิได้นำเรื่องยูเอฟโอมาใช้โฆษณาเรียกสาวกเข้ากลุ่มมากยิ่งขึ้น และกรณีนี้ได้กลายเป็นตัวอย่าง การฆ่าตัวตายทางศาสนาที่น่าเป็นเครื่องเตือนใจเป็นอย่างดี
40  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: ผู้วิเศษจอมปลอม เงิน สาวก ชื่อเสียง เซ็กซ์ ! อันตรายถึงชีวิต ! เมื่อ: 25 มีนาคม 2557 02:00:14


Asahara and the Aum Supreme Truth



ญี่ปุ่นนี้เป็นประเทศที่มีลัทธิต่างๆ มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกก็ว่าได้ เพราะความสับสนทางศาสนาในยุคปัจจุบันที่ไม่ค่อยมีความรู้สึกว่าตัวเองนับถือศาสนาใดอย่างเฉพาะเจาะจงนัก เวลางานแต่งงานใช้ศาสนาคริสต์ งานศพใช้ศาสนาพุทธ ทำให้มีลัทธิใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย บางลัทธิดีก็ดีไป แต่บางลัทธิไม่ดีนะสิก็เป็นปัญหาเหมือนกัน อย่าง ลัทธิอาซาฮาระ โชโค (เกิดเมื่อ 2 มีนาคม 1955) ซึ่งอดีตเป็นแค่ลูกช่างทำเสื่อ ไร้การศึกษาและตาบอด แต่เขาหลงในเรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆ จึงเริ่มฝึกโยคะและวิชาเซียนที่อินเดีย อ้างว่าตัวเองไปที่เทือกเขาหิมาลัยและ"หลุดพ้น"(ตรัสรู้?)ที่นั่น และ ปี 1987 ได้ก่อตั้งเป็นฃ"โอมชินริเคียว"หมายถึง"การสร้างสรรค์" "การคงอยู่" และ"การทำลาย"ของจักรวาลซึ่งรวมทั้งหมดแล้วหมายถึง "อนิตยา" (ความไม่เที่ยงแท้) โดยมีความเชื่อหลักของกลุ่มว่า ประเทศสหรัฐจะเป็นผู้จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ ๓ และจะนำไปสู่วันสิ้นสุดของโลก โดยในวันนั้นมนุษย์จะหมดไปจากโลกและยังเชื่อว่าวันดังกล่าวจะมาถึงอย่างแน่นอน ดังนั้นเพื่อให้เป็นการเร่งให้วันดังกล่าวมาถึงเร็วขึ้น จึงสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อก่อให้เกิดวันสิ้นสุดของโลก โดยมีเขาเป็นศูนย์กลางและสาวกทั้งหมดจะรอดเมื่อถึงวันนั้น

ลัทธินี้มีฐานใหญ่อยู่ที่เมืองฟูจิมิยะ จังหวัดชิสึโอกะ และมีการขยายสาขาไปทั่วประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศกว่า 49,000 คน สาวกส่วนใหญ่ มีอายุอยู่ในช่วง 20-30 ปี บางคนเป็นถึงด็อกเตอร์ ศาสตร์จารย์มหาลัย หรือผู้มีอิทธิพลต่างๆ โดยทั้งหมดเชื่อหลักคำสอนลัทธินี้เพราะว่ามีการใช้เรื่องเหนือธรรมชาติมาเป็นตัวโฆษณา

ส่วนหลักคำสอนของลัทธินี้เด่นๆ ก็เช่นฆ่าคนชั่วไม่มีความผิด ทรัพย์สินสาวกทั้งหมดต้องให้เจ้าลัทธิ ห้ามกินเน้นกินนี้(แต่เจ้าลัทธิสามารถกินได้) ซึ่งหลายข้อสาวกทำไม่ได้เลยพยายามตีตนออกห่าง ทำให้มีการฆ่าปิดปากสาวกเหล่านั้นเพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้เปิดเผย โดยมีคดีดังที่เกี่ยวข้องกับลัทธิหลายคดี จนกฎหมายเริ่มจับตา จนเป็นเหตุทำให้เกิดคดีปล่อยแก๊สซารินที่สถานีรถไฟใต้ดิน 5 สายขึ้นเพื่อเป็นการเบนข่าวลัทธินี้ โดย20 มีนาคม 1995 เวลา 8 โมงเช้า ในรถไฟใต้ดินโตเกียวจำนวน 5 สาย (สาวกของลัทธินํากระเป๋าซึ่งบรรจุแก๊สซารินเหลวมายังสถานีรถไฟใต้ดินในชั่วโมงเร่งด่วน จากนั้นก็ทําการเจาะกระเป๋าให้ แตกออกโดยใช้ ร่มปลายแหลมและแล้วซารินจำนวนมากเกิดเป็นแก๊สพิษทำให้คน 12 คนเสียชีวิต และบาดเจ็บ 5,510 คน เป็นคดีฆาตกรรมอย่างไม่เลือกตัวครั้งใหญ่ที่สุดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสร้างความตื่นตระหนกไปจนทั่วโลก

หลังเหตุการณ์แก๊สซาริน ทำให้เจ้าหน้าทีตำรวจตัดสินใจบุกลัทธิโอมเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม และสามารถจับกุมอาซาฮาระพร้อมแกนนำได้ อาซาฮาระปฏิเสธเกือบข้อหา ในศาล เขามักจะแสร้งทำตัวพูดไม่รู้เรื่องหรือแกล้งบ้าเพื่อจะได้พ้นข้อกล่าวหาเนื่องจากไม่มีความสามารถในการรับผิดชอบ และตัวเขาก็ถูกตัดสินโทษประหารด้วยการแขวนคอ ส่วนสาวกได้รับโทษประหารชีวิตแบบเดียวกัน และยังมีสาวกอีกหลายคนอยู่ระหว่างการหลบหนีจนปัจจุบันนี้ และลัทธิโอมถูกประกาศว่าเป็นลัทธิอันตราย และถูกสั่งให้ยกเลิก แต่ก็ยังมีกลุ่มที่ยังศรัทธาลัทธิอยู่ และได้ตั้งชื่อใหม่เป็น “กลุ่มแอลป์” และปฎิบัติตามคำสอนของลัทธินี้อยู่จนถึงปัจจุบัน


หน้า:  1 [2] 3 4
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.203 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 07:58:40