[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 17:11:40 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2 3
1  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ สวนสนุก / Re: ดุเดือดมาก ไม่รู้จะเชียร์ตัวไหนดี เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2566 09:16:43
 หัวเราะลั่น
2  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: ปฐมสมโพธิกถา โดย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เมื่อ: 11 ธันวาคม 2565 10:19:31
 รัก
3  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / คำแรกของหลวงปู่มั่น ยังประทับอยู่ในจิตใจ - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เมื่อ: 19 มิถุนายน 2564 20:03:09



<a href="http://www.youtube.com/watch?v=2Cv_pTX065Q" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=2Cv_pTX065Q</a>


คำแรกของหลวงปู่มั่น ยังประทับอยู่ในจิตใจ

ฟังเทศน์กัณฑ์แรก จากหลวงปู่มั่น
เปิดทางสู่การปฏิบัติ เพื่อความหลุดพ้น

( เทศน์ ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า จ.ลำพูน 17-06-2542)


ขอกราบไหว้บูชา
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน 
4  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / ร่างพระมหากัสสปะ ยังอยู่ในเขา 3 ลูก - หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เมื่อ: 19 มิถุนายน 2564 18:50:43
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=fMm-OhmtVR0" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=fMm-OhmtVR0</a>


ร่างพระมหากัสสปะ ยังอยู่ในเขา 3 ลูก
ร่างของท่านรอเวลาเผา บนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอาริยเมตไตรย

ขอนอบน้อมแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ขอนอบน้อมแด่พระมหากัสสปะมหาเถระ
ขอนอบน้อมแด่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
5  สุขใจในธรรม / เพลงสวดมนต์ / มหาการุณีกายา - ที่เราคุ้นเคยตามโรงเจ (เพลงเจ้าแม่กวนอิม) ในแบบแปลไทย ไพเราะมาก เมื่อ: 18 มกราคม 2564 20:17:04



<a href="http://www.youtube.com/watch?v=JVV9pv_Mpkg" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=JVV9pv_Mpkg</a>
6  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: Lars Andersen สุดยอดนักธนูกับการยิงอันน่าเหลือเชื่อ เมื่อ: 15 มกราคม 2564 12:32:14
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=qc_z4a00cCQ" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=qc_z4a00cCQ</a>
7  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Lars Andersen สุดยอดนักธนูกับการยิงอันน่าเหลือเชื่อ เมื่อ: 15 มกราคม 2564 12:00:15
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=y8uxXknNDTU" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=y8uxXknNDTU</a>
8  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / หลวงปู่จันทา ถาวโร - นรกตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลางของทั้ง ๓ จังหวัด เมื่อ: 13 เมษายน 2563 18:56:14
นรกตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลางของทั้ง ๓ จังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์



จากประวัติ “หลวงปู่จันทา ถาวโร” พระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ วัดป่าเขาน้อย อำเภอ วังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ท่านเล่าว่า เมื่อออกพรรษาขณะนั้น เป็นฤดูแล้ง พ.ศ. ๒๔๙๔ ท่านได้ไปพักอยู่ที่วัดเฉลียงลับ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์
วันหนึ่ง ก็เลยตั้งใจฝึกจิตตามวิธีการที่หลวงปู่ทับสอน มีประเด็นหนึ่งตั้งสัตย์ไว้ว่าจะไม่นอน วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ข้าวก็ไม่ฉัน ทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ ๓ คือ เดิน ยืน นั่ง เท่านั้น แล้วก็ตั้งใจมั่นอธิษฐานว่า
“ถ้านรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ! ก็ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงทรงบันดาลให้ได้เห็นในวันนี้หรือคืนนี้ ! จะได้สิ้นสงสัยว่า พระรัตนตรัยเป็น นายะโก ผู้นำโลก คือ หมู่สัตว์ออกจากวัฏฏทุกข์ได้จริง”
จากนั้นก็ออกเดินจงกรม ก้าวขวาว่า “พุทโธ” ก้าวซ้ายว่า “ธัมโม” ก้าวขวาว่า “สังโฆ” เมื่อครบสามรอบแล้วก็ย่นคำบริกรรมเป็น ก้าวขวาว่า “พุท” ก้าวซ้าย “โธ” ทำอยู่อย่างนั้นไม่ได้กำหนดเวลา มีแต่เดินกับยืน วันยังค่ำ จนกระทั่งถึง ๖ โมงเย็น จึงหยุดไปอาบน้ำชำระร่างกาย เสร็จแล้วก็ฉันน้ำร้อน จากนั้นเวลาเกือบ ๖ โมง ๓๐ นาที แสงอาทิตย์จวนจะหมดแล้ว ก็เอากลดไปกางบนศาลา แล้วเข้าที่อธิษฐาน ตั้งใจมั่นว่า “คืนนี้จะนั่งภาวนา เพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ และฝึกจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงในสัจจธรรมต่างๆ นรก สวรรค์ นิพพานมีไหม ? ขอให้รู้เห็นเป็นไปจะได้สิ้นสงสัย”
อธิษฐานแล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ เสร็จแล้วก็อุทิศส่วนบุญ จากนั้นเข้าที่นั่งสมาธิ ชำระจิตให้ผ่องใส ปล่อยวางอารมณ์ทั้งหลายทั้งปวงให้หมดเสียสิ้น นั่งเอาขาขวาทับขาซ้าย มือขวาวางทับมือซ้าย ทำกายให้ตรงดำรงสติให้มั่นเฉพาะหน้า บริกรรมพุทโธ เป็นอารมณ์ของสติ หายใจเข้าว่า “พุท” หายใจออกว่า “โธ”
พอจิตยึดมั่นกับพุทโธได้ไม่นาน จิตก็ปล่อยวางพุทโธ เหลือแต่ผู้รู้อยู่กับสติ พอจิตรวมลงไปนั้น จะไปถึงฐานอะไรก็ไม่ทราบ เป็นฐานใหญ่กว่าขณิกสมาธิ ที่เคยเป็นมาแล้ว จิตก็วางกาย วางลม วางขันธ์ลงถึงฐานใหญ่ แสงสว่างกระจ่างแจ้งก็เกิดขึ้น
กลางคืนเหมือนกลางวัน สว่างรุ่งโรจน์ ในขณะนั้น มีความสุขและความเยือกเย็นร่าเริงบันเทิงเกิดขึ้นอย่างกล้าแข็ง จนรู้สึกแปลกประหลาดใจ ! นั่นแหละพอลงไปถึงฐานนั้นแล้วจิตก็เสวยสุขอยู่ในที่นั้นนานพอสมควร ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นในหัวใจว่า “นัตถิ สันติปะรัง สุขัง ความสุขอื่นเสมอเหมือนด้วยจิตสงบไม่มี” นี่แหละพูดขึ้นมาอย่างนั้นอันนี้เป็นภวังคภพ ภวังคจรณะ ภวังค์ใหญ่กว่าเมื่อครั้งที่อยู่ อำเภอกมลาไสย อันนี้ใหญ่กว่านั้น จะเป็นอะไรเล่า ? ถ้าพูดตามศัพท์หลักธรรม ก็เรียกว่า “อุปจารสมาธิ” พูดขึ้นมาอย่างนั้นว่า นี่แหละ ! อุปจารสมาธิ สมาธิธรรมอันมั่นคงหนาแน่นนะ ! ซึ่งเป็นผลเกิดขึ้นจากการตั้งใจมั่น ในการเจริญสมณธรรม
ทีนี้ผู้รู้พูดขึ้นมาอีกว่า “ความสุขนี้ยังเป็นโลกียสุขอยู่ ซึ่งไม่แน่นอน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แสงสว่างนี่คือ แสงพระนิพพาน แต่ยังไม่ใช่ตัวจริง เป็นรูปเปรียบเทียบเฉยๆ ฉะนั้นอย่าเพิ่งติดสุข นักปราชญ์ พระโยคาวจรเจ้าทั้งหลายผู้ได้พระนิพพานนั้น เป็นผู้ทำความเพียรเวียนหาความพ้นทุกข์ไม่ติดสุขทั้งนั้น” เมื่อตั้งมั่นพอสมควรแล้วก็พิจารณาธาตุ ๔ ขั้นธ์ ๕ น้อมลงสู่ไตรลักษณ์ อนิจจาตา ไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง แปรปรวน เปลี่ยนแปลง อยู่เป็นนิจ
ตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้ จากวันนี้ก็จะแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปอีก “ทุกขตา” ก็เป็นทุกข์ทุกถ้วนหน้า โลกคือหมู่สัตว์ไม่ได้ตามใจหมาย ทั้งนั้น เพราะเป็นทุกข์ เพราะใจห่วง ใจยึดอนัตตา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่เราเสียสิ้น นั่นแหละพิจารณาน้อมลงสู่ไตรลักษณ์ ! เห็นแจ้งประจักษ์เสมอ มันจึงจะเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดยึดธาตุขันธ์ว่า ขันธ์เป็นตน ตนเป็นขันธ์ ขันธ์มีในตน ตนมีในขันธ์ ไม่ใช่หรอก !
“เป็นแต่เพียงสัมภาระปัจจัยเครื่องอาศัยชั่วคราว ไม่แน่นอน ไม่นานก็พลัดพรากจากกันไปเท่านั้น เพราะเกิดเจ็บตาย ทอดทิ้งไว้ อย่าเพิ่งสงสัยยึดมั่นอยู่เลย ยึดไว้พอเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยชั่วคราว เพื่อให้มันได้ตนได้ธรรมได้บุญกุศล มรรคผลเกิดขึ้นจากสมบัติอันนี้” แล้วก็พิจารณาอย่างนั้น อนุโลมปฏิโลมเดินหน้า ถอยหลัง ตัวเองก็รู้แจ้งชัด คนอื่นภายนอกก็รู้แจ้งชัด ทำให้สิ้นสงสัย
“อัฑฒา เจวะ ทะฬิททา จะ สัพเพ มัจจุปะรา ยะนา ทั้งจนและมี ดีและชั่ว นอกบ้านในบ้าน นอกเมือง ในเมือง ใต้น้ำบนบก ใต้ดินบนอากาศ ทุกถ้วนหน้า เกิดมาแล้วก็แปรปรวนเปลี่ยนแปลง แก่ เจ็บ ตาย ทอดทิ้งไว้ทุกถ้วนหน้าทั้งหมด” นั่นแหละ ! ได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็นอย่างนั้น จิตก็สังเวช สลดใจจนน้ำตาไหล เกิดความขยันหมั่นในการทำความเพียรไม่ลดละ จนกระทั่งล่วงไปถึง ตี ๒ กับ ๓๐ นาที
มีนิมิตผ่านเข้ามาเป็น นายนิรยบาล ๘ คน เดินออกมาจากบ้านเฉลียงลับ รูปร่างสูงใหญ่มหึมาขนาดมนุษย์เรา ๖ คน จึงจะเท่ากับเขา ๑ คนนะ ! ผิวเนื้อดำแดง สวมเสื้อผ้าสีแดง และมีผ้าแดงเคียนที่ศีรษะ มือถือง้าวปลายแหลมเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าห่างประมาณ ๒-๓ วาเท่านั้นท่าน คนที่เป็นหัวหน้ากล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ! พวกข้าพเจ้าทั้ง ๘ คน เป็นนายนิรยบาล มาจากเมืองนรก จะมาเอาบุคคลผู้สิ้นอายุสังขาร ซึ่งเป็นหญิงสาวอายุ ๑๖ ปี เขาหมดเกษียณภพชาติแล้ว พวกข้าพเจ้าได้ไปทำลายธาตุขันธ์เขาให้สิ้นลมแล้ว เดี๋ยวเขาจะตามมาภายหลัง”
“พวกท่านคือนายนิรยบาลมาจากนรกจริงหรือ ?”
“จริง ! ผู้ที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกเหมือนกับพวกข้าพเจ้านี้ เรียกว่า “นายนิรยบาล” นายนิรยบาลเปรียบเหมือนกับพลตำรวจ และมีจ่ายมบาลซึ่งเปรียบเสมือนท่านอธิบดีกรมตำรวจมีหน้าที่คอยควบคุมบัญชาการอีกที”
ถามเข้าไปอีกว่า “พวกท่านที่ได้ไปทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้น ได้ทำคุณงามความดีหรือความชั่วอย่างไร ?”
เขาก็บอกว่า “ความดีทั้งหลายก็ทำ ความชั่วทั้งปวงก็ทำ ทำเอาหมดทั้งนั้นไม่เลือก เมื่อสิ้นชีวิตแล้ว กรรมดีและกรรมชั่วนั้น จึงนำพาไปอุบัติบังเกิดเป็นนายนิรยบาล ผู้มีหน้าที่ต้องทำงานอยู่ในเมืองนรกอันหฤโหด”
จากนั้นก็ได้ถามเขาต่ออีกว่า “นรกอยู่ที่ไหนเล่า ?”
“เมืองนรกอันร้อนระอุนั้น อยู่ใต้ภูเขาเทวดาลงไป เป็นอีกเมืองหนึ่งต่างหาก ตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลางของทั้ง ๓ จังหวัด คือ เลย ชัยภูมิ และเพชรบูรณ์”
“นรกนั้นเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ประการใดเล่า ?”
“เป็นทุกข์ล้วนๆ หาความสุขไม่มีแม้แต่น้อยหนึ่ง”
“เป็นทุกข์อย่างไร ในดินแดนแห่งโลกนรกนั้น ?”
“ทุกข์เพราะถูกต้มด้วยน้ำร้อน และถูกสังหาร ด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคม ของนายนิรยบาล เป็นทุกข์อย่างนั้น หาสุขไม่มีแม้เศษเสี้ยววินาที”
“พวกท่านที่ทำงานอยู่ในเมืองนรกนั้นเล่า ! เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ร้อน ด้วยเหตุผลประการใดบ้าง ?”
“เป็นทุกข์ครึ่งหนึ่งของบรรดาสัตว์นรกเหล่านั้น”
“เป็นทุกข์อย่างไร ? ขณะที่ต้องลงโทษสัตว์นรก”
“เป็นทุกข์ในขณะที่ไปสังหารสัตว์นรก ตรวจตราสัตว์นรก ถูกไฟนรกปลิวขึ้นมาไหม้ ถูกน้ำร้อน กระเด็นขึ้นมาลวกเจ็บแสบแทบจะตาย นี่เป็นเพราะกรรมชั่วที่สะสมไว้เมื่อครั้งยังชาติเป็นมนุษย์โน้น จึงให้ผลเป็นทุกข์อย่างนั้น ครั้นพอเลิกจากงานในเมืองนรก ก็กลับมาอยู่ปราสาทราชมณเฑียร กินของทิพย์อยู่สุขสบาย เพราะบุญกรรมดี สะสมไว้แต่ครั้งเมื่อยังมีชาติเป็นมนุษย์นั้น”

“คนเมืองไทยนี่ ! คงจะไปนรกกันหมดใช่ไหม ?”
“เปล่า ! คนที่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และศีลธรรมอันดีงามนั้น ไม่ได้ไป ถึงไปแล้วก็ไม่ได้ลงนรก”
“แสดงว่าคนไทยนี้ ไม่ว่าอยู่ใกล้ไกล เมื่อตายแล้ว พวกท่านต้องไปนำเขามาทั้งหมด ใช่หรือไม่ ?”
“ใช่ ! คนในเมืองไทยนี้ ไม่ว่าชาติใด ? ภาษาใด ? ศาสนาใด ? ทั้งนั้น มีรายชื่ออยู่ในบัญชีทิพย์ของจ่ายมบาลทั้งหมด เป็นระบบสากล เขาไปจดไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในที่ลี้ลับซับซ้อนอย่างไรก็ตาม จะโกหกพกลมไม่ได้ทั้งนั้น”
ได้ถามเขาไปอีกว่า “นรกมีมากน้อยเท่าไหร่ ?”
เขาก็ตอบว่า “เฉพาะในเมืองไทยนี่ก็มีหลายขุมทั้งหมดรวมมี ๔ ภาคก็คงจะ ๔ ขุมใหญ่ๆ นั่นแหละ!”
อาตมาก็เคยเห็นใน “มหาวิบากสูตร และใน พระมาลัยสูตร ได้กล่าวว่านรกมีทั้งหมด ๔๕๗ ขุม”
ทีนี้ก็เลยถามเขาไปต่ออีกว่า
“เอาเฉพาะในเมืองไทยนี่แหละ ! เพราะต่างคนต่างอวดว่า ศาสนาของตัวนั้นเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้ ศาสนาพุทธก็ว่า ผู้ถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งแล้ว อบายไม่ได้ไป ไฟนรกไม่ได้ไหม้ ส่วนศาสนาอื่นๆ เขาก็ว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป และไปสวรรค์ได้ เมื่อทำบาปหยาบช้าทั้งปวงลงไป พระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์นั้น จะเป็นผู้รับแทนทั้งหมด และว่าพระผู้เป็นเจ้าบนสวรรค์เป็นผู้สร้างโลก มันจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่านั้นหรือไม่ ?”
“ไม่หรอกท่าน ! พูดอย่างนั้นก็เป็นเรื่องของคนหูหนวก ตาบอดพูด พูดหลอกลวงโลกและคนอื่นให้หลงตามกันเท่านั้น เพราะเมื่อทำความชั่วลงไปแล้วก็ต้องได้รับผลของความชั่วนั้น และเมื่อทำความดีลงไปแล้วก็ต้องได้รับผลของความดีนั้น เรื่องของกรรมดีหรือบุญนั้น จะส่งผลให้เห็นว่า ทางไปมนุษย์และสวรรค์สะอาดเตียนดี เหมือนกับเขาถางไว้ให้เรียบร้อยดีแล้ว ส่วนเรื่องของบาปหรือกรรมชั่วนั้น จะส่งผลให้เห็นไปว่าทางไปนรกนั้นสะอาดเตียนดี เปลวไฟในนรกที่ลุกรุ่งโรจน์ก็สำคัญว่าเป็นกองดอกไม้อันงดงาม สัตว์ทั้งหลายร้องไห้คร่ำครวญ เลือดอาบตัวอยู่ ก็สำคัญว่าเป็นสายสร้อยสังวาล สนุกสนานรื่นเริงบันเทิง นั่นก็เป็นเพราะบาปกรรมทำให้เห็นเป็นอย่างนั้น ส่วนทางไปมนุษย์หรือไปสวรรค์นั้น กลับมองเห็นว่าเป็นป่ารกชัฏ เป็นขวากหนามนั่นแหละ เรื่องบาปเป็นเช่นนั้น !”
ได้ซักถามเขาผู้ทำหน้าที่นายนิรยบาลต่อไปอีกว่า
“สัตว์ทั้งหลายต่างศาสนากัน เมื่อตายไป และถูกท่านนำไปสู่เมืองนรกอันหฤโหดแล้ว ทำอย่างไรต่อไป ?”
เขาตอบว่า “เมื่อถึงสถานที่นั้นแล้ว จ่ายมบาลจะถามว่า เมื่อครั้งเป็นมนุษย์ทำงานใดเลี้ยงชีพ ? บางคนก็ตอบว่าค้าขายบ้างก็ว่าทำไร่ ทำนา บ้างก็ว่ารับราชการต่างๆ กันไป”
จากนั้นจ่ายมบาลจะถามต่อไปว่า “นับถือศาสนาอะไร ?”
บางพวกก็ตอบว่า ศาสนาพุทธ บางพวกก็ตอบว่า ศาสนาคริสต์ อิสลาม ซิกส์ และ ฮินดู แตกต่างไป
ทีนี้จ่ายมบาลจะถามถึงเทวทูตทั้ง ๕ (ทูตะ แปลว่า เครื่องส่ง เครื่องรับรอง) คือ
๑. ชาติ ความเกิด
๒. ชรา ความแก่
๓. พยาธิ ความปวดไข้
๔. มรณะ ความตาย และ
๕. นักโทษในเรือนจำนั้น ท่านพิจารณาเห็นเป็นไปอย่างไร ?
โดยถามไปทีละศาสนา ตอนแรกก็จะถามศาสนาพุทธก่อน ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธทั้งหญิงชายก็ตอบว่า “เป็นทุกข์” ทั้งนี้เพราะอำนาจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นฝังอยู่ในใจของเขา จึงดลบันดาล จิตให้เป็นปราชญ์ ฉลาดรู้สิ่งทั้งปวงนั้น โดยไม่เก้อเขิน ไม่เดือดร้อนอาทรใจ องอาจกล้าหาญชาญชัยอย่างนั้น นับเป็นโชควาสนาของพุทธศาสนิกชน
ต่อจากนั้นจ่ายมบาลท่านก็จะถามอีกว่า “วัตร ๖ กก ๕ และ สีมาทั้ง ๘ นั้นเป็นอย่างไร ?”
ตลอดจนหลักของพุทธศาสนาอื่นๆ อีก เช่น วัตร ๓ วัตร ๔ วัตร ๕ วัตร ๖ โพชฌงค์ ๗ สมถะวิปัสสนากรรมฐาน และ ศีล สมาธิ ปัญญา ท่านทั้งหลายพิจารณาหลักการเป็นอย่างไร ?”
ด้วยอำนาจของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ฝังอยู่ในใจของผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ เขาก็ตอบได้ศาสนาพุทธสอนว่า “เป็น อนิจจตา ไม่เที่ยงทุกขตา ก็เป็นทุกข์ อนัตตา ก็ไม่ใช่ของเขาไม่ใช่ของเรา ทั้งหมดทั้งสิ้น”
“วัตร ๖ คือ อินทรีย์ ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ศาสนาพุทธสอนว่าให้สำรวมให้ดี
ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม กายจับต้องสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง มโนน้อมนึกในธรรมารมณ์นั้นๆ ศาสนาพุทธสอนให้สำรวมให้ดี ไม่ให้ยินดียินร้ายในของเหล่านั้น ถ้ายินดียินร้ายก็เป็นเหตุให้ใจเศร้าหมองเป็นทุกข์แน่นอนเพราะ “ล้วนเป็นของไม่จีรัง”
“วัตร ๗ คือ โพชฌงค์ ๗ เป็นองค์เครื่องตรัสรู้ ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยะสัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เพื่อความรู้ยิ่ง
“วัตร ๗ คือ อริยทรัพย์ ๗ ประการ ได้แก่ ศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ จาคะ และปัญญา
“สีมา ๘ คือ มรรค ๘ เป็นเครื่องดำเนินให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ มรรค ๘ ได้แก่
· สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
· สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ
· สัมมาวาจา กล่าววาจาชอบ
· สัมมากัมมันโต การงานชอบ
· สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ
· สัมมาวายาโม เพียรละบาป บำเพ็ญบุญชอบ
· สัมมาสติ ระลึกชอบ
· สัมมาสมาธิ ความตั้งมั่นชอบ
“มรรค ๘” เป็นคำสอนขององค์พระพุทธเจ้า ผู้ใดดำเนินตาม จะนำให้ถึงซึ่งความดับทุกข์ ไปจนถึง “ปรมัตถสุข” คือ พระนิพพาน เป็นที่หมายแล้ว สมถวิปัสสนากรรมฐานเป็นที่ตั้ง สำหรับฝึกกายและจิตให้จิตมีสติ มีปัญญา นำจิตเข้าสู่ความสงบได้ และเป็นเครื่องกลั่นกรองกิเลสทั้งหมดออกจากดวงจิตได้ นั่นและ ผู้ที่มีใจนับถือศาสนาพุทธ เขาก็ตอบได้ถูกต้องทุกอย่าง
จากนั้นจ่ายมบาลจึงว่า
“พวกท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดรู้ รู้จักศาสนาที่ดี เป็นศาสนาที่ล้างบาป เป็นศาสนาที่กลั่นกรองกิเลสได้จริง เป็นศาสนาที่บำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีให้เกิดมีขึ้น เป็นศาสนาที่ป้องกันโลกคือหมู่สัตว์ไม่ให้ไปอบาย ถึงไปก็ไม่ได้เสวยทุกข์วิบากในอบายนั้น ฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ต้องไปตกนรก แต่จะได้กลับไปเกิดในเมืองมนุษย์อีก”
นี่แหละ ! เพราะอำนาจของ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า และศีลธรรมที่ได้ประพฤติปฏิบัติหมั่นเพียรอุตสาหะ ละเว้นทุจริต กาย วาจา ใจ ด้วยความเคารพศรัทธาเลื่อมใสนั้นติดตามรักษาอยู่เป็นนิจ จึงสมกับคำกล่าวที่ว่า “ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะ จาริง” ผู้ประพฤติธรรม ธรรมย่อมรักษา ไม่ให้ตกไปในโลกที่ชั่ว”
“ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหิต ธรรมที่ประพฤติปฏิบัติมั่นคงดีแล้ว ทั้งกาย วาจา ใจ อบายไม่ได้ไปแน่นอน ไฟนรกไม่ได้ไหม้ จะมีแต่สุคติเป็นที่ไปล้วนๆ”
จากนั้นจ่ายมบาล ก็สั่งให้นายนิรยบาลนำผู้ที่เคารพนับถือศาสนาพุทธนั้น กลับไปเกิดยังเมืองมนุษย์อีก
ต่อมา จ่ายมบาลก็หันมาซักถามผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ ว่า “ศาสนาของท่านสอนอย่างไร ?” ผู้ที่นับถือศาสนาอื่นๆ นั้นก็ตอบว่า “ไม่รู้” จ่ายมบาลก็ถามเรื่อง วัตร ๖ กก ๕ สีมาทั้ง ๘ และหลักสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งหมด ก็ตอบเขาไม่ได้เลย
ดังนั้นจ่ายมบาลจึงว่า
“พวกท่านทั้งหลาย ! เหตุจะถูกหรือผิดก็เป็นเรื่องของพวกท่านเอง วันนี้จะได้ลงนรกแล้ว เพราะผลที่ทำทั้งทางกาย วาจา ใจ ทุกอย่างเป็นกรรมของพวกท่านทำเอง”
“อัตตะนา วะ กะตัง ปาปัง อัตตะนา สังกิลิสสะติ อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง อัตตะนา วะวิสุชฌะติ ทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเองนะ ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นจะยังคงคนอื่นให้หมดจดและเศร้าหมองนั้น หาได้ไม่”
ฉะนั้น บุญก็ดี บาปก็ดี ตนของตนเองนะเป็นผู้สะสมใส่ตนไว้แล้วนั้น บุญนั่นแหละ จะนำพาไปสู่สุคติ คือ สวรรค์ ส่วนบาปนั้นจะพาดวงจิตของโลกคือหมู่สัตว์ไปสู่ทุคติ มีอบายภูมิเป็นที่ไปเบื้องหน้า คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ๔ สถานนี้เป็นที่ไปของบุคคลผู้ทำบาป ไม่มีศีล ไม่มีธรรม
ฉะนั้น พวกท่านวันนี้จะได้ลงนรกแน่นอน ! ไม่ได้กลับเมืองมนุษย์แล้ว เพราะเครื่องรับรองป้องกัน คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีในหัวใจของพวกท่าน ศีลธรรมคำสอนของนักปราชญ์ผู้ดีทั้งหลาย ไม่มีในหัวใจของท่าน พวกท่านเป็นโมฆะมนุษย์ เพราะเมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ไปพบกับคนพาลสันดานหยาบ ชักนำให้ทำความชั่วช้าลามก ถือศาสนาผิด ศาสนามหาโจรใหญ่นั่นแหละ หลอกลวงตนและบุคคลอื่น ทำความชั่วอยู่เป็นนิจ เพราะครูผู้สอนนั้นก็ล้วนแต่เป็นคนมีกิเลสหนาปัญญาหยาบทั้งนั้น
“เอ้า ! นายนิรยบาลคุมตัวไปลงนรก !”
นั่นแหละไปเสวยวิบากกรรมในนรกขุมนั้นนานเท่าใด ? แล้วแต่กรรมของสัตว์นั้นว่ามีมากน้อยเพียงใด ? บางจำพวกก็หมื่นปี บางจำพวกก็แสนปี ถูกต้มด้วยน้ำร้อน และถูกสังหารด้วยหอกด้ามกล้า พร้าด้ามคมของนายนิรยบาล เป็นทุกขืไปจนกว่าจะพ้นจากสถานที่นั้น เมื่อพ้นจากนรกแล้วไปไหนอีก ?
พ้นจากนรกก็ไปเป็นเปรต พ้นจากเปรตแล้วไปเป็นอสุรกายแล้วไปเป็นเดรัจฉานต่างๆ นานา ท่องเที่ยวเกิดดับในภพน้อยภพใหญ่ ใช้กรรมใช้เวรอยู่อย่างนั้นไม่มีวันจบสิ้นได้ เป็นทุกข์ยากแสนลำบาก เข็ญใจ ไร้ทรัพย์ อับปัญญา เพราะความดีของตนไม่มี
นั่นแหละ ! นายนิรยบาลได้เล่าเรื่องต่างๆ ในเมืองนรกให้ฟังอย่างนั้น และก่อนจะจากไป เขาก็บอกว่า
“ท่านอาจารย์ บวชในพุทธศาสนาแล้ว ก็จงไปเทศน์แนะนำพร่ำสอนพี่ป้าน้าอา ให้เขาทั้งหลายเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งเด๊อ ! บำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา อย่าได้ลดละ ชีวิตร่างกายล้วนแต่เสื่อมสลาย
พิจารณาธาตุขันธ์ว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่เสมอ จึงจะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยินดีในโลกสงสารอีกต่อไป จิตใจจะเห็นว่าธาตุขันธ์ไม่พอกับความต้องการ ไม่นานก็จะพลัดพรากกันไปเท่านั้น

แล้วให้เร่งรีบ “ตุริตุ ตุริตัง สีฆะ สีฆัง” รีบด่วนเร็วพลัน อย่าผัดวันประกันพรุ่ง รีบสะสมแต่บุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา เดินจงกรม ยืนภาวนา และนั่งสมาธิ กอบโกยเอาบุญกุศลใส่ตนไว้ จะมากจะน้อยปราณีตปานใด ก็เป็นของเราหมด อันนั้นแหละเป็นของดีเลิศประเสริฐแท้
สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ด้วยน้ำใสใจจริง แม้เพียงน้อยนิด ถึงไปแล้วก็ไม่ได้ตกนรกเป็นแน่นอน
ส่วนผู้ที่นับถือมากนั้นไม่ได้ไปนรก เพราะรายชื่อในบัญชีของจ่ายมบาลก็ถูกลบออกไปหมด เมื่อตายแล้ว เขาเหล่านั้น มีสวรรค์และพรหมโลกเป็นที่ไปเบื้องหน้า สำหรับผู้บุญพาวาสนาส่งสะสมบุญกุศลไว้มาก ตั้งแต่ชาติปางก่อนโน้น ! และมาชาตินี้ได้ประสบพบปะกับนักปราชญ์ ชาติเมธี ใจดีมีศีลธรรม แล้วก็ประพฤติวัตรปฏิบัติบำเพ็ญสมถวิปัสสนากรรมฐานยังจิตใจเข้าสู่อุปจารธรรมได้ และวิปัสสนาญาณก็เกิดขึ้น พิจารณาเห็นทุกข์ในภพน้อยภพใหญ่ ก็ล้วนมีแต่ตาย เกิดเท่าไหร่ตายเท่านั้น ไม่เว้นแม้คนเดียว ตายแล้วก็เปื่อยเน่าสาบสูญ ไม่มีอะไรเป็นเขาเป็นเราเลย
นั่นแหละ ก็รื้อถอนกิเลสออกจากดวงจิต หมดเหตุหมดปัจจัยเมื่อไร ? ก็จะได้บรรลุวิมุตติวิโมกธรรมอันยิ่งใหญ่ ได้ชื่อว่าเป็น “นิยโตมนุษย์” มนุษย์อันเยี่ยมเลิศ ประเสริฐแท้ ! เมื่อพวกเขาเหล่านั้น ดับขันธ์แล้วเข้าสู่พระนิพพาน พ้นทุกข์จากโลกสงสาร ไม่กลับมาเวียนเกิดเวียนตายอีก ไม่ต้องประสบความทุกข์ตลอดกาลนานหมดเพียงแค่นั้น” จากนั้นพวกนายนิรยบาลก็ลาจากไป
ต่อมาไม่นาน มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกจากบ้านเฉลียงลับมาถึงก็กราบแล้วพูดว่า “ท่านอาจารย์ ! ดิฉันหมดเกษียณภพชาติมนุษย์ จะได้ไปสู่เมืองนรก ใจร้อนเหมือนไฟ ขออนุโมธนาส่วนบุญกับท่านบ้างเถอะ” ก็เลยอุทิศส่วนบุญให้ว่า “แม่หนูน้อยจงตั้งใจยินดีในการโมทนารับส่วนบุญกับหลวงพ่อนะ ! บุญกุศลทั้งปวงที่ได้บำเพ็ญมา ขอแบ่งครึ่งให้นะ แม่หนูน้อยจงตั้งใจโมทนารับเอาไปเถิด”
“สาธุ !” แล้วเขาก็ถามว่า
“ใจร้อนๆ เมื่อได้รับส่วนบุญจากหลวงพ่อแล้วใจก็เย็นสบายดี จะไปตกนรกไหมหนอ ?”
“ไม่ตกหรอกแม่หนูน้อย ! จงบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ เสมอ อย่าได้ลดละ อย่าได้ประมาท เมื่อไปถึงนรกแล้ว จ่ายมบาลเขาจะซักไซ้ไต่ถามเรื่องเทวทูต ๕ และอำนาจของพุทโธ ธัมโม สังโฆ ที่ฝังอยู่ที่จิตใจของแม่หนูน้อยนั้น จะตอบได้โดยเร็วพลัน สมบัติทั้งหลาย ทั้งปวงนั้นล้วนเกิดขึ้นจาก พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งนั้น”
เขาก็ว่า “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็กราบ ๓ ที แล้วขอลาออกเดินทางตามนายนิรยบาลไป ก็จดจำรูปร่างลักษณะของแม่หนูน้อยคนนั้นไว้ เป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อผ้ากลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าขาวเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลวดลายที่ปลายทั้งสอง ขณะนั้นเป็นเวลาตี ๓ กว่าแล้ว จิตก็เลยถอน จิตถอนออกแล้วได้ยินเสียงร้องไห้มาจากบ้านเฉลียงลับ วัดกับบ้านอยู่ไม่ไกลกัน
พอตื่นเช้าก็ออกบิณฑบาต พอกลับมาถึงวัด ก็มีโยมทายกนำอาหารอันประณีตมาถวาย แล้วจึงพูดว่า “ท่านอาจารย์ครับ ! เมื่อคืนลูกสาวของข้าพเจ้า เธอได้ขาดใจตายเสียแล้ว เมื่อเวลาประมาณตี ๓”
เมื่อคืนนี้ตอนที่หญิงสาวไปหาในนิมิตนั้น ก็เป็นช่วงระยะเวลาตี ๓ พอดี ตรงกันนะ ! เลยพูดกับโยมไปว่า
“อาตมาเพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่เคยพบเห็นลูกสาวของโยม แต่ก็จะแถลงไขให้ทราบ ลูกของโยมคนนั้นหมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น เพราะบุญเก่าเขาเอามาน้อย มีนายนิรยบาล ๘ คน มาเอาตัวไป พวกนายนิรยบาลก็มาสนทนากับอาตมาอยู่ที่วัดนี้แหละ เขาบอกว่า หญิงสาวอายุ ๑๖ ปี หมดเกษียณภพชาติเพียงแค่นั้น ทีนี้ลูกสาวของโยมเป็นคนผิวขาว ไว้ผมยาว ใบหน้ารูปใบโพธิ์ สวมเสื้อกลางเก่ากลางใหม่ มีผ้าเฉลียงบ่า นุ่งผ้าซิ่นมีลายคล้ายงูเหลือมใช่ไหม ?”
“ใช่แล้ว ! มันไม่ผิดหรอก ถูกต้องตรงทุกอย่าง”
“ลูกของโยม ! เป็นคนมีกิริยามารยาทดูงดงาม เรียบร้อย สุภาพ มีท่าทางเป็นนักปราชญ์ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว ! ลูกของข้าพเจ้าเมื่อเกิดมาพอรู้เดียงสา ถ้าไม่ได้ทำบุญแล้วจะไม่ยอมไปโรงเรียน ไม่ว่าจะมีงานบุญบวช บุญกฐิน หรือบุญอะไรที่ไหน ? ใกล้หรือไกล ที่บ้านน้อยเมืองใหญ่ เป็นต้องไปร่วมทั้งนั้น บางทีก็ไปนานเป็น ๑๐ วัน ๒๐ วัน แล้วกลับมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พ่อแม่ไม่ว่าอะไร ? เคยถามเขาว่า ทำไมจึงทำอย่างนี้ ?”
ลูกก็ตอบว่า “พ่อแม่นี้เป็นสมบัติเบื้องหน้า สมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติมาหาได้ไม่ ไม่ใช่สมบัติติดตามมาแต่ภพชาติปางก่อนโน้น ภพชาติปางก่อนโน้นของฉันเป็นเหตุ ถ้าฉันดีแล้ว อะไรๆ ก็ดีหมด พ่อแม่ดี ถ้าฉันชั่วแล้วอะไรก็ชั่วหมดทั้งนั้น ฉะนั้น ฉันจึงไม่หวั่นไหวเห็นว่าบุญกุศลให้ผลเป็นสุข พาให้พ้นทุกข์นั้นแหละ จะส่งผลมาให้ได้พ่อแม่ที่ดี ไม่อด ไม่อยาก ไม่ยาก ไม่จน เพราะกรรมดีของตนสะสมไว้แต่ปางก่อนโน้น มาชาตินี้จึงมาได้พ่อแม่ที่ดี ส่วนสมบัติข้าวของเงินทองก็เป็นสมบัติมาหาได้ไม่ ไม่นานก็จะจากกันไปเท่านั้น แล้วก็ทอดทิ้งไว้ เอาไปด้วยไม่ได้ทั้งสมบัติภายในและภายนอก”
นั่นแหละ ! พอฉันเช้าเสร็จแล้วเขาก็นิมนต์ไปทำพิธีเพื่อเผาศพลูกสาวของเขา ไปแต่เช้าเลยนะ ถามเขาว่า
“ทำไมจึงได้รีบเผาแต่เช้า ?” จะรีบร้อนไปไหน ?”
เขาก็ว่า “ต้องรีบปลงภาระหนัก เจ้าของร่างเขาปลงภาระหนักไปเรียบร้อยแล้ว เราผู้ยังอยู่ก็ต้องรีบปลงภาระหนัก เมื่อเสร็จแล้ว ต่างคนก็ต่างหมดภาระหนัก”
เมื่อไปถึง เปิดฝาโลงดูก็เห็นศพมีรูปร่างเหมือนอย่างที่เขาไปหาในนิมิตเมื่อคืนนั่นแหละ พอทำกิจพิธีทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็เผาทิ้งไม่มีอะไร ? หมดเพียงแค่นั่นแหละ ! ดีหรือชั่วก็หมดเพียงแค่นั้นจริงๆ ถูกไฟเผา แล้วก็หมดทุกอย่าง นี่แหละไปเห็นเป็นอย่างนั้น ก็น่าอัศจรรย์ใจนะ ! เห็นว่านรกนั้นมีแน่นอน เพราะได้เห็นทูตานุทูตคือนายนิรยบาล เป็นผู้ส่งข่าวสารให้ทราบ พร้อมทั้งมีคนตายให้เห็นเป็นพยานอีกด้วย ก็สิ้นสงสัย






ที่มา: thammadeedee.blogspot.com/2011/01/blog-post_12.html
9  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ใต้เงาไม้ / เห็นเสือหมอบอย่าเชื่อว่าเสือไหว้ - พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) เมื่อ: 03 กันยายน 2561 17:30:09



"เห็นเสือหมอบ อย่าเชื่อ ว่าเสือไหว้
เผลอเมื่อไร เสือกิน สิ้นทั้งขน
คนต้องเกรง เยงยำ น้ำใจคน
เขาถ่อมตน อย่าเหมา ว่าเขากลัว

เขาไม่สู้ อย่าเหมา ว่าเขาหนี
คชสีห์ หรือจะ สู้หมูชั่ว
วางตนสม คมประจักษ์ ในฝักตัว
ชาติคนชั่ว ลบหลู่ อย่าสู้มัน

เมื่อน้ำไหล ไหวเชี่ยว เป็นเกลียวกล้า
เอานาวา ขวางไว้ ภัยมหันต์
เรื่องของคน ปนยุ่ง นุงนังครัน
ต้องปล่อยมัน เป็นไป ใจสบาย

อวดฉลาด พูดออก บอกว่าโง่
ฟ้งเขาโอ้ อวดอ้าง อย่างขวางเขา
ขัดคอเขา เขาโกรธ พิโรธเรา
เป็นเรื่องเร่า ร้อนใจ ไม่เป็นการ

ใครมีปาก อยากพูด ก็พูดไป
เรื่องอะไร ก็ช่าง อย่าฟังขาน
เราอย่าต่อ ก่อก้าว ให้ร้าวราน
ความรำคาญ ก็จะหาย สบายใจ"

พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)
วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร​
10  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / ที่บรรจุศพพระยามโนปกรณ์ฯ นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย ณ. เมืองปีนัง เมื่อ: 24 มิถุนายน 2558 09:41:13
ที่บรรจุศพพระยามโนปกรณ์ฯ นายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย ณ. เมืองปีนัง




เมื่อไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งไปคารวะที่บรรจุศพพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ที่บริเวณสุสานภายในวัดปิ่นบังอร 379 Jalan (ถนน) Masjid Negeri เมืองปีนัง ต่อจากนั้นได้ว่าจ้างรถไปยังบริเวณถนนมโน หรือ Jalan Mano ซึ่งอยู่นอกเมืองชั้นในออกไป รถแท็กซี่คันที่ผมว่าจ้างไม่รู้จัก Jalan Mano ต้องอาศัยเทคโนโลยี Google Map บอกทางในที่สุดก็ได้ไปถ่ายรูปป้ายถนนและป้ายซอย Solok Mano เดินดูสภาพพื้นที่ซึ่งเคยเป็นบ้านพักและสวนหาเลี้ยงชีพของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกสำเร็จสมความมุ่งหมายประการหนึ่งของการเดินทางทริปนี้
       
          สารภาพว่าผมเองนั้นไม่เคยสนใจใคร่รู้ชีวประวัติหรือเรื่องราวการลี้ภัยไปตายเมืองนอกของพระยามโนฯ มาก่อน ในบรรดาอดีตนายกรัฐมนตรีที่สนใจมากหน่อยก็เช่นจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์ เนื่องเพราะมีบทบาทสูงต่อการเมืองช่วงรอยต่อจนระยะหลังที่อ่าน “สาส์นสมเด็จ” พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพและสมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์กล่าวถึงวัดปิ่นบังอรเป็นสถานที่ประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพเจ้านายองค์สำคัญคือกรมพระสวัสดิ์วัตนวิศิษฏ์ ต้นสกุล “สวัสดิวัตน์” ที่คุณหมึกแดง คุณชายถนัดศรีใช้อยู่นี่แหละและพอค้นคว้าเรื่องวัดปิ่นบังอรต่อก็ได้พบว่าเป็นที่เก็บศพของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาด้วย
       
          เมืองปีนังเป็นหนึ่งในฉากสำคัญของการเมืองไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองหยิบจับประเด็นใดประเด็นหนึ่งขึ้นมาล้วนแต่คาบเกี่ยวกับปีนังไม่มากก็น้อย หลังเกิดกบฎบวรเดช 2476 ต่อเนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ลาออกจากราชสมบัติเจ้านายเชื้อพระวงศ์ถูกเพ่งเล็งบรรยากาศทางการเมืองตึงเครียดเจ้านายจำนวนหนึ่งต้องลี้ภัยไปอยู่ในต่างประเทศซึ่งเวลานั้นล้วนแต่เป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกเช่น ปีนัง สิงคโปร์ เมดาน(อินโดนีเชีย) อย่างเช่นกรมพระยาดำรงฯ กรมพระสวัสดิ์ฯ กรมพระกำแพงเพชรฯ ในยุคต่อมาฝ่ายนิยมเจ้าที่ถูกจับอยู่ที่เกาะตะรุเตาจากคดีกบฎบวรเดชก็หนีไปอยู่ละแวกนั้นเช่น พ.อ.พระยาสุรพันธ์เสนี, น.อ.พระยาศราภัยพิพัฒ, ขุนอัคนีรถการ แต่ก็หาใช่ว่ามีแต่สายเจ้าหรือพวกนิยมเจ้าที่ต้องลี้ภัยเท่านั้นเพราะต่อมาคณะราษฏร์ด้วยกันเองก็แตกคอกัน เกิดรัฐประหาร เกิดความขัดแย้งต่อเนื่องตามมาบุคคลสำคัญในคณะราษฏร์ก็ต้องจรลีหรือไม่ก็ถูกเนรเทศไปตายเมืองนอกด้วยอีกระลอก
       
          กรณีนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่ชื่อว่าพระยามโนปกรณ์นิติธาดาต้องลี้ภัยจากพวกเดียวกันไปตายเมืองนอกเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่ที่ผมสัมผัสไม่รู้เรื่องเพราะเราไม่เคยมีการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ก็แปลกดีที่หลาย ๆ ประเทศเขายกย่องผู้นำคนแรกอย่างยิ่งใหญ่เพราะส่วนใหญ่มักจะเป็นแกนนำต่อสู้เรียกร้องเอกราชหรือมีความโดดเด่นคุณูปการด้านใดด้านหนึ่งแต่ผู้นำคนแรกของไทยกลับไปมีอนุสาวรีย์เป็นถนนเล็ก ๆ ที่เมืองปีนัง ส่วนนายกฯคนต่อมามีชื่อถนนพหลโยธินไว้เป็นอนุสรณ์ ขณะที่ท่านผู้นำพิบูลสงครามยิ่งไม่ต้องพูดถึง
       
       โดยสรุปคือพระยามโนฯ เป็นฝ่ายขัดแย้งกับท่านปรีดี พนมยงค์ ในกรณีเค้าโครงเศรษฐกิจ พวกที่หนุนพระยามโนฯก็ล้วนแต่เป็นทหารคนสำคัญของคณะราษฏร์ที่มีลำดับในคณะทหารยึดอำนาจ อาทิ พระยาฤทธิ์อัคเนย์ พระยาทรงสุรเดช แต่ต่อมาทั้งพระยาทรงฯ และพระยาฤทธิ์ฯ ก็ประสบชะตาไม่ดีไปกว่าเจ้านายเชื้อพระวงศ์หรือนายทหารฝ่ายบวรเดชเช่นกันเพราะต้องจรลีลี้ภัยจากฝ่ายพระยาพหลฯ- จอมพลป. ไปตายเมืองนอกเหมือนกัน
       
          เราเป็นคนรุ่นหลัง.., ดูประวัติศาสตร์ย้อนกลับไป 70-80 ปี ระหว่างที่แต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายปะทะกันในเชิงการเมืองแล้วต้องมาเผชิญชะตากรรมยิ่งสะทกสะท้อนใจ ผมเชื่อว่าคนที่นับถือท่านปรีดี พนมยงค์เมื่อได้ศึกษาประวัติของพระยามโนฯ ก็คงจะไม่เกลียดชังนายกฯคนแรกท่านนี้หรอกเพราะเหล่าบุคคลแกนนำคณะราษฎร์นั่นแหละที่ไปเชิญท่านมาเป็นนายกฯสมานฉันท์ฝ่ายเจ้ากับฝ่ายคณะราษฏร์ และที่ขัดแย้งกันเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจเหตุการณ์มันก็น่าจะเป็นเช่นนั้นแลเพราะในยุคนั้นข้อมูลข่าวสารการปูพื้นฐานความรู้ความเข้าใจไม่ได้กว้างขวางเช่นปัจจุบัน เป็นยุคที่ผีคอมมิวนิสต์เริ่มตะหลอนยุโรปอเมริกากันแล้ว
       
          จาก 2475-2490 (คือช่วงเวลาที่กลุ่มนิติราษฏร์มองว่าเป็นช่วงเราควรย้อนไปใช้รัฐธรรมนูญยุคนั้น) เป็นช่วงของการเปลี่ยนอำนาจจาก “เจ้า” มาสู่ “อำมาตย์” ฝ่ายอำมาตย์ในนามของประชาธิปไตยไล่บี้เจ้าจนไม่มีที่จะยืน และต่อมาอำมาตย์ก็ฟัดกับอำมาตย์ด้วยกันเอง พระยาทรงสุรเดช พระยาฤทธิ์อัคเนย์ ไม่เอาเค้าโครงเศรษฐกิจ ถูกฝ่ายพระยาพหลฯ หลวงประดิษฐ์ และหลวงพิบูลสงครามไล่ตะเพิดไปตายเมืองนอก จากนั้นก็ถึงรอบหลวงพิบูลสงครามโตเดี่ยวหลังพระยาพหลฯ ตาย แปลงร่างเป็นท่านผู้นำจอมพลป.ไล่บี้หลวงดิษฐ์ ปรีดี พนมยงค์อีกต่อ
       
       ขอเลี้ยวเข้าซอยพารากราฟเดียวว่า จอมพล ป. กลายเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่แสดงอาการเหม็นเบื่อเจ้านายศักดินาแต่ตัวเองก็มีพฤติกรรมอำมาตย์ศักดินา ทำตราอัศวิน ตราไก่แบบเดียวกับศักดินาทั้งหลายจนม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเอาไปเขียนเหน็บในหนังสือฝรั่งศักดินาและที่อื่น ๆ ถ้าเป็นยุคปัจจุบันก็คงเป็นพวกประกาศหลอกชาวบ้านว่าตัวว่าเป็นไพร่แต่หัวใจและพฤติกรรมอำมาตย์ตัวจริงเสียงจริงนั่นแหละ
       
          (กลุ่มนิติราษฎร์ทราบหรือไม่ว่า) ตัวละครสำคัญของคณะราษฏร์ในยุคนั้นแทบทุกคนล้วนแต่ถูกสถานการณ์ลากให้เกี่ยวข้องกับการถือปืนทำปฏิวัติรัฐประหาร (ในประวัติศาสตร์การเมืองประชาธิปไตยไทยยุคต้น) ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าพระยาทรงสุรเดช พระยาพหลฯ หลวงประดิษฐ์ปรีดี พนมยงค์ หรือจอมพล ป. พิบูลสงคราม
       
          มองย้อนกลับไปการเมืองยุคก่อนเล่นจริงเจ็บจริงกว่ายุคปัจจุบันเยอะเลยครับ แบบที่โวยวายอยู่มันเบบี๋ ๆ เพราะยุคนั้นถ้าไม่ฆ่าก็ต้องเนรเทศพ้นให้ไปตายเมืองนอกเขาไม่ปล่อยให้มีเงินทองให้พื้นที่เคลื่อนไหวแล้วมาประนีประนอมกันใหม่หรอก
       
       เรื่องราวของพระยามโนปกรณ์ฯ ที่มีอยู่ปัจจุบันมีไม่มากเท่ากับนายกฯหรือนักการเมืองคนอื่น ฉบับที่สมบูรณ์ที่สุดในส่วนที่ผมเคยอ่านผ่านตาคืองานชื่อ พระยามโนปกรณ์นิติธาดา'คนนอกคณะราษฎร' นายกรัฐมนตรีคนแรกของสยามประเทศ โดย ธัชชัย ยอดพิชัยตีพิมพ์ใน ศิลปวัฒนธรรม กรกฎาคม 2549 คงไม่ต้องย้อนกลับไปเล่าเรื่องราวโดยละเอียดเอาเป็นว่าวันที่จับแท็กซี่เข้าไปในวัดปิ่นบังอร เมื่อ 9 ตุลาคม 2554 ในวัดมีพระภิกษุจากเมืองไทยเพิ่งไปขอจำพรรษาอยู่ 2 เดือนนั่งอยู่รูปเดียวท่านก็ชี้ทางให้ไปดูบริเวณด้านในที่เป็นสุสาน บริเวณดังกล่าวมีที่บรรจุศพแบบต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 50 อ่านชื่อล้วนแต่เป็นคนจีนที่นั่น ผมหาอยู่พักใหญ่จนพระท่านที่สังเกตอยู่ไกล ๆ อดรนทนไม่ได้เดินมาชี้ที่ตั้งที่บรรจุพระยานโมฯ
       
       ที่บรรจุศพ ซึ่งผมเรียกเองว่ากู่ของพระยามโนฯ เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างยาวประมาณ 1.5 คูณ 3 เมตร เหมือนจะสร้างคลุมโลงศพเอาไว้ ด้านหน้ามีป้ายหินแกะสลักภาษาไทยจำนวน 4 บรรทัดว่า “พระยามโนปกรณ์นิติธาดา / (ก้อน หุตะสิงห์) /ชาตะ 15 ก.ค.2426 / มรณะ 1 ต.ค.2491”
       
       จากนั้นผมได้ขึ้นไปกราบนมัสการท่านพระครูปัญญาศาสนานุรักษ์ ท่านเจ้าอาวาสเชื้อสายคนไทยรัฐเคดาห์ (คนไทยพลัดถิ่น) ท่านเล่าว่าตอนท่านมาอยู่ที่วัดนี้เพิ่งจะเสร็จสิ้นพิธีศพของพระยามโนฯ ไปเพียงประมาณปี ยังพอเห็นเครื่องไม้เครื่องเมรุที่เหลือจากพิธีอยู่ภายในวัดเจ้าอาวาสท่านก่อนได้เล่าว่าเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และยังจำได้ว่ามีสัปเหร่อและคนทำพิธีจากเมืองไทยมาเอาอัฐิของพระยามโนฯ ไปทำพิธีที่เมืองไทย
       
       คำบอกเล่าของท่านเจ้าอาวาสประหนึ่งว่ามีการเผาที่ปีนังก่อนแล้วค่อยนำอัฐิไปทำพิธีพระราชทานเพลิงที่เมืองไทยอีกรอบ ที่ต้องบันทึกไว้เผื่อลูกหลานหรือผู้สนใจค้นคว้าตรวจสอบกันเอง ผมนั้นขอทำหน้าที่แค่นักบันทึกไปเจออะไรก็บันทึกเป็นหมายเหตุไว้ก่อน
       
       สำหรับผมจินตนาการว่าตอนที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาอสัญกรรมเมื่อ 1 ต.ค.2491 นั้นคงจะเป็นเพียงพิธีบรรจุเอาไว้ชั่วคราวเท่านั้นเพราะมีหลักฐานว่ามีพิธีพระราชทานเพลิงศพในกรุงเทพฯ ในเดือนเมษายน 2492 เพียง 6 เดือนหลังการตายซึ่งไม่ถือว่านานมากเพราะการเดินทางติดต่อสื่อสารและเตรียมการต่าง ๆ ในยุคนั้นไม่สะดวกนัก แต่ที่ต้องบันทึกก็คือได้มีการตีพิมพ์หนังสือ “สาส์นสมเด็จ” พระนิพนธ์โต้ตอบของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ กับ สมเด็จกรมพระยานริศฯ เป็นที่ระลึกในพิธีพระราชทานเพลิงศพครั้งนั้นด้วย
       
       มันมีความระหว่างบรรทัดที่น่าสนใจเพราะทั้งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ และ พระยามโนฯ ต่างก็เคยลี้ภัยการเมืองจากคณะราษฏร์อยู่ในปีนัง กรมพระยาดำรงฯเสด็จกลับตอนสงครามโลกอยู่กรุงเทพฯประมาณปี ก็สิ้นพระชนม์พ.ศ. 2486 ส่วนพระยามโนฯ ยังอยู่ต่อเพราะผู้ยิ่งใหญ่สุดในยุคนั้นคือ จอมพล ป.ยังไม่เปิดไฟเขียว พระครูปัญญาศาสนานุรักษ์เจ้าอาวาสวัดยังเล่าว่ามีคนไทยที่เป็นทหารหนีภัยจากเหตุต่าง ๆ อีกหลายคน เอ่ยชื่อคนนั้นคนนี้หนึ่งจดไม่ทันเพราะไม่มีพื้น สองท่านพระครูเองก็เจอนานมากแล้วไม่แน่ว่าคนเหล่านั้นยังอยู่หรือเปล่า
       
       สำหรับถนน Jalan Mano และซอย Solok Mano เป็นถนนเล็ก ๆ แยกจากถนนใหญ่สาย Jalan Bagan jermal ที่ตั้งใจไปดูให้เห็นกับตาและต้องการถ่ายรูปเก็บไว้เป็นย่านที่อยู่อาศัยนอกเมืองออกไป ไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวถ้าไม่มีแผนที่ดาวเทียม Google Earth ติดไว้ในมือถือก็คงหายากหน่อย ย่านดังกล่าวเป็นบ้านพักอาศัยชั้นเดียวของคนระดับชั้นกลางค่อนข้างสูง เป็นบ้านมีรั้วทั้งย่านหลับตานึกว่าเมื่อ 80 ปีก่อนมันคงเป็นที่สวนรกครึ้มแยกตัวเองโดดเดี่ยวออกจากเมืองและผู้คน
       
       อ่านจากงานของธัชชัย ยอดพิชัย ในศิลปะวัฒนธรรมที่อ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ของบุตรชายพระยามโนฯ ว่าเป็นสวนเงาะและตอนสงครามก็รื้อสนามหญ้าหน้าบ้านปลูกมันสำปะหลังกินกันแก้อาหารขาดแคลนไม่ลำบากเท่าไหร่ แล้วนึกไปถึงชะตาของกรมพระยาดำรงฯ ที่ดูจะหนักหนากว่าเพราะต้องแบกพระอิศริยยศเกียรติศักดิ์ศรีของเจ้านายแห่งสยามประเทศอยู่ เรื่องราวความยากลำบากของพระองค์ถูกถ่ายทอดผ่านงานเขียนของ ม.จ.พูนพิศมัย ดิศกุล มานานพอสมควรหลายท่านคงจะผ่านตามาแล้ว และคงหาอ่านไม่ยากจะไม่เล่าซ้ำ
       
       ผมนึกแปลกใจที่สงคมไทยไม่ได้ให้น้ำหนักการศึกษาประวัติศาสตร์ช่วงเปลี่ยนผ่านการเปลี่ยนแปลงให้มากกว่าที่เป็น มีหลายคนที่ผมพบแปลกใจที่ผมเล่าว่าไปถ่ายภาพที่บรรจุศพของพระยามโนปกรณ์ที่ปีนัง ยังโชคดีที่เรื่องราวรอยต่อเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีคนแรกยังพอมีบุคคลเกี่ยวข้องยืนยันต่อเชื่อมอยู่ แต่น่าเสียดายที่รายละเอียดบางเรื่องเกี่ยวกับการจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพกรมพระสวัสดิวัตน์ฯ เจ้านายองค์สำคัญพระบิดาของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีในรัชกาลที่ 7 ที่เมืองปีนังกลายเป็นเรื่องที่นานเกินกว่าจะหาบุคคลเชื่อมโยงมายืนยันเสียแล้ว
       
       ผมถามท่านพระครูเรื่องกรมพระสวัสดิ์ฯ ท่านตอบเพียงว่าเป็นผู้ตั้งชื่อวัดเป็นไทยว่าปิ่นบังอรแต่ท่านพระครูเองก็ไม่ทราบเรื่องการจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพมาก่อน ผมไปเจอเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยคนหนึ่งที่วัดในซึ่งอยู่ติด ๆ กับวัดปิ่นบังอรเจ้าหน้าที่ท่านนี้เล่าว่าทางกรุงเทพฯ ยังเคยถามข้อมูลเรื่องกรมพระสวัสดิ์ฯ มาแต่ทางสถานกงสุลไม่ทราบเพราะที่วัดไม่ได้บันทึกอะไรไว้
       
          เรื่องกรมพระสวัสดิ์ฯ น่าสนใจครับเพราะนอกจากเป็นเจ้านายองค์สำคัญ นอกจากเป็นพิธีพระราชทานเพลิงนอกพระราชอาณาเขตที่ค่อนข้างฉุกละหุกแล้วกรมพระสวัสดิ์ยังทรงเป็น
       ปฐมเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมอีกด้วย
       
       ไว้ตอนหน้าผมจะนำความจาก “สาส์นสมเด็จ” เล่าเรื่องพิธีพระราชทานเพลิงศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ ที่วัดปิ่นบังอรและสถานที่จริงที่ผมไปพบครับ.

ที่มา: manager.co.th/Columnist/ViewNews.aspx?NewsID=9540000132307
11  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: อิลลูมินาติ คืออะไร สมาคมลับ องค์กรลับ หรือเพียงแค่เรื่องเล่า เมื่อ: 22 มกราคม 2558 12:35:53

อิลลูมินาติกับการผูกดวง



อิลลูมินาติ(Illuminati) พ 01/05/2319 12:14:04 Gotha, Germany 10E41,50N57,1,0 โดยที่ไม่ทราบ
เวลาและสถานที่แน่นอน จึงผูกดวงที่ MC=SU โดยสุ่มใช้สถานที่เป็นที่ Gotha (ตามที่คาดว่าเป็นที่ก่อตั้ง illuminati)

จากภาพดวง พบข้อมูลน่าสนใจ มีโครงสร้าง T-Sqr ของ PO=VE/SA โดยที่ SA ทับ MO(จันทร์)

PO=VE/SA(T-Sqr) =MO =JU =NE =AP
โพไซดอน=ศุกร์/เสาร์ : ความสอดคล้องต้องกันทางศาสนาที่ถูกรบกวน
(ตีความได้ว่าเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาที่ไม่สอดคล้อง)

AP=VE/PO(T045) =MO =SA =NE
อาพอลลอน=ศุกร์/โพไซดอน : มิตรสหาย ผู้มีจิตใจตรงกันหรือผู้ร่วมศรัทธาในศาสนาและในปรัชญาชีวิต

MA=UR/ZE(T030) =AS/MO
อังคาร=มฤตยู/เซอุส : ให้กำเนิดบุตรชาย โมโห รั้นโดยฉับพลัน การกระทำต่อต้าน

HA=AR/AP(YOD) =AS
ฮาเดส=เมษ/อาพอ ลลอน : ความขาดแคลนที่ขยายตัวออกไป ค้าของเก่า ประวัติศาสตร์
 
VE+PO-AP =VE =JU =AP =PO
ศุกร์+โพไซดอน-อาพอลลอน : มิตรสหาย ผู้มีจิตใจตรงกันหรือผู้ร่วมศรัทธาในศาสนาและในปรัชญาชีวิต

KR+CU-HA =MO =VE =SA =NE =AP =PO
โครโนส+คิวปิโด-ฮาเดส : สมาคมชั้นสูงที่ยากจน ความโชคร้ายของบริษัทห้างร้านขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

CU+HA-PO =MC =SU =NO =MC/SU =VX
คิวปิโด+ฮาเดส-โพไซดอน : หมู่คณะที่ต่ำต้อยทางปัญญา ศาสนาหรือปรัชญาชีวิต หมู่คณะที่ยังอยู่ในอดีตทางด้านปัญญา

NO+CU-NE =AR/AS =MC/MO =SU/MO =MC/PO =ME =PL
ราหู+คิวปิโด-เนปจูน : ติดต่อหรือเกี่ยวข้องกับสมาคมลับแห่งหนึ่ง

NO+NE-ME =AR/AS =MC/AS =AS/SU =ZE
ราหู+เนปจูน-พุธ : สมาคมลับที่ดำเนินการโดยแนวความคิดที่ไร้ผล

นี่คือความหมายจากการผูกดวงดังกล่าว


12  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: อิลลูมินาติ คืออะไร สมาคมลับ องค์กรลับ หรือเพียงแค่เรื่องเล่า เมื่อ: 22 มกราคม 2558 12:31:22

วิเคราะห์ตราสัญลักษณ์ (ต่อ)

http://img391.imageshack.us/img391/5058/300n.jpg


ปิรามิด เป็นสัญลักษณ์ที่น่าหลงใหลดึงดูดใจของ ฟรีเมสัน มาช้านาน เพราะมันคือวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาซาตาน
ในหลายอารยธรรมโบราณ จุดเริ่มต้นของมันย้อนไปถึง Enoch นบีอิดรีส ผู้ที่อัลลอฮฺสอนให้ใช้ปากกาขีดเขียน
และเป็น สถาปนิกคนแรกของโลก

ภาษาลาติน E Pluribus Unum' ในรูป แปลความหมายได้ว่า ‘ หนึ่งเดียวเหนือความหลากหลาย ’
ซึ่งเป็นรากฐานของแผนการเพื่อผนึก รวมรัฐและระบบเงินตราของโลกให้อยู่ภายใต้ระบอบเดียว

หินก้อนบนสุดยังไม่อาจลงมาประทับ ณ ยอดปิรามิดได้ นัยของความหมายนี้คือ  แผนการนี้ยังไม่อาจ
บรรลุสู่ความสำเร็จได้ จนกว่าระเบียบโลกใหม่จะถูกสถาปนาขึ้นปกครอง ประชาคมโลกทั้งมวล

เหยี่ยวสยายปีกตัวนี้มี ขนที่ปลายปีกอยู่จำนวน 32 ขน คือตัวเลขของระดับขั้นธรรมดาในกลุ่มของ Scottish Rite
Freemasonry โดยมีขนที่แอบแฝงอยู่ที่ชั้นใน มีอยู่จำนวน 34 เส้น และ 33 เส้นตามลำดับ ดังกล่าวคือ
ตัวเลขของระดับขั้นชั้นสูงในกลุ่มของ Scottish Rite Freemasonry ส่วนหางซึ่งมีขนจำนวน 6 เส้น
คือตัวเลขของระดับ สภาผู้บัญชาการของกลุ่ม Scottish Rite Freemasonry

ดวงดาวห้าแฉกเหนือหัวของอินทรี เป็นรูปแบบดาวที่ใช้กันโดยทั่วไปในหมู่นักไสยศาสตร์ ดวงดาวจำนวน 13
ดวงล้อมอยู่ด้วยรัศมี 28 แฉกนัยความหมายทางไสยศาสตร์คือ การฉ้อฉลคอรัปชั่น, การก่อกบฏ และ
ความเป็นนิรันดร์

หน้าอกอินทรีมีโล่ห์ ความหมายโดยตรงคือการปกป้องคุ้มครอง ในรูปโล่ห์ที่ด้านบนสุด จะเห็น เส้นนอน 12 เส้น
อยู่บน เส้นตั้ง 18 เส้น (6 เส้นประกอบจากเส้น 3 เส้น) นัยความหมายทางไสยศาสตร์คือ รัฐผู้ปกครอง
และความเป็นทาส

กรงเล็บทั้งแปด กำกิ่งมะกอกที่มีผลเบอร๊่ 13 ผล และใบ 13 ใบ กับลูกศร 13 ดอก กิ่งมะกอกและผลของมัน
คือ ความสันติภาพและผลของมัน ลูกศรคือสงครามและความแข็งแกร่งของกองทัพกงเล็บทั้งแปด
คือ ความหมายของการเริ่มต้นสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ด้วยการบีบบังคับเพื่อสถาปนารัฐขึ้นปกครองเหนือ
อำนาจการปกครองรูปแบบเดิมโดยใช้พลังอำนาจ รัฐบาลใหม่ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นนี้ แน่นอนอย่างที่สุดถูก
บงการโดย กลุ่มอิลลูมิเนติ

เบื้องหลัง โล่ที่ปกคลุมหางทั้งเก้า หมายถึง การชี้นำและการควบคุม 9 คือความหมายของการสิ้นสุด ถูกใช้คู่กับ
ความหมายของหางทั้งเก้า ความหมายคือ ด้วยการชี้นำและการควบคุมบงการเท่านั้นที่จะนำไปสู่
การสถาปนารัฐบาลใหม่

สรุป คือ พลังอำนาจที่เกิดจากการครอบงำด้วยอำนาจของซาตาน ที่เข้าควบคุมบงการและกำหนดแนวทาง



13  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: อิลลูมินาติ คืออะไร สมาคมลับ องค์กรลับ หรือเพียงแค่เรื่องเล่า เมื่อ: 22 มกราคม 2558 12:24:21
มีการวิเคราะห์ตามทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับตราของทำเนียบขาว

http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/1e/Department_of_state.svg/2000px-Department_of_state.svg.png


สัญญลักษณ์ลึกลับกับคำขวัญ  "NOVUS ORDO SECLORUM" ที่เป็นอนุสรณ์ในการก่อตั้งของกลุ่มอิลลูมิเนติ
ในวันที่ 1 พฤษภาคม 1776 ยังคงแทรกอยู่ทั่วไป และมันมิใช่โดยความบังเอิญ
หนึ่งในนั้นนั่นคือ นกอินทรี ซึ่งจริง ๆ แล้วน่าจะเป็นนกฟีนิกซ์อันซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ตัวแทนสำหรับ ลูซิเฟอร์ (Lucifer)
โดยปัจจุบันได้ถูกนำไปใช้เป็นสัญญลักษณ์ของทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (ทำเนียบขาว)

ความหมายที่ซ่อนไว้ในตราดวงนี้
จากที่ข้างต้นเราได้ทำการบอกถึงความหมายของตัวเลขไว้ เราจะทำการวิเคราะห์ตราสัญลักษณ์ดังนี้
  1.  ดาว 13 ดวง คือ การก่อกบฏ หรือการปฏิวัติ (ต่อพระเจ้า)
  2.  อยู่ในวงกลมที่มี 28 ขีด หรือ Guide Line คือ ความเป็นนิรันดร์
  3.  ป้ายผ้า 13 ขยัก คือ การก่อกบฏ หรือการปฏิวัติ (ต่อพระเจ้า)
  4.  ตัวหนังสือ E PLURIBUS UNUM หรือ “One of Many” หรือ “หนึ่งจากหลายๆสิ่ง”
  5.  ปีกข้างซ้าย มี 32 ขนนก เป็นระดับชั้นปกครองของลัทธิใต้ดิน กลุ่มที่เรียกว่า เมสัน (Mason) หรือ
       ฟรีเมสัน (Free Mason)ในยุโรป มี 32 ระดับ
  6.  ปีกข้างขวา มี 33 ขนนก  เป็นระดับชั้นปกครองของลัทธิใต้ดิน กลุ่มที่เรียกว่า เมสัน (Mason) หรือ
       ฟรีเมสัน (Free Mason)ในอเมริกา มี 33 ระดับ
  7.  เส้นแนวนอน 12 เส้น บนอาร์มโล่ห์ที่หน้าอกนกอินทรีย์ หมายถึง ความเป็นรัฐบาล
  8.  เส้นแนวตั้ง 18 เส้น บนอาร์มโล่ห์ที่หน้าอกนกอินทรีย์ หมายถึง การเป็นนายทาส  
  9.  ซึ่งแบ่งได้ 6 แถบใหญ่ หมายถึง มนุษย์
10.  แถบสีแดงและขาวรวมกันได้ 13 แถบ แยกเป็น
11.  แถบขาว 7 แถบ หมายถึง พระเจ้า
12.  แถบแดง 6 แถบ หมายถึง มนุษย์ แถบแดงวางทับแถบขาว หมายถึง มนุษย์อยู่เหนือพระเจ้า
13.  กรงเล็บ 2 ข้างๆ ละ 4 รวมเป็น 8 เล็บ คือการเริ่มต้น
14.  ลูกธนู 13 ดอก หมายถึง การต่อต้านหรือปกป้องตัวเองของประชาชน
15.  ช่อมะกอกที่มี 13 ใบ หมายถึง เสรีภาพ
16.  ผลเบอรี่ 13 ผล หมายถึง ผลของเสรีภาพ
17.  ขนที่หาง 9 ขน หมายถึง ความสำเร็จ หรือบรรลุผลแล้วนั่นเอง



14  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: อิลลูมินาติ คืออะไร สมาคมลับ องค์กรลับ หรือเพียงแค่เรื่องเล่า เมื่อ: 22 มกราคม 2558 12:16:52

แทรกเรื่องศาสตร์ของตัวเลขลงตามสัญลักษณ์



“Numerology”  เป็นศาสตร์ทางตัวเลขซึ่งเป็นองค์ความรู้เก่าแก่จากคัมภีร์ของ พวกฮิบรู หรือ ยิว
เป็นการ Code ตัวหนังสือให้เป็นตัวเลข คือการเอาตัวหนังสือซ่อนไว้ในตัวเลขนั่นเอง

ชาวฮีบรูยังนำตัวเลขไปเชื่อมโยงกับ พลังจักรวาล พวกเขามิได้แยกระบบตัวอักษรกับตัวเลขออกจากกัน แต่ตัวอักษร
นั้นมีพื้นฐานมาจากตัวเลข ระบบตัวอักษรถูกวางเรียงไว้อย่างเป็นระบบ และถูกกำหนดรูปแบบที่บอกถึงระดับที่ต่อเนื่อง
กันไปตามกระบวนการการพัฒนาของ จักรวาล ชื่อภาษากรีกและฮีบรูในพระคัมภีร์มีนัยสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์
ที่ใกล้ชิดระหว่างความหมายตามตัวอักษรและตัวเลข

ในภาษากรีกดั้งเดิม คำว่า “Jesus” คือ “Iesous” (เพราะไม่มีตัวอักษร “J” ในตัวอักษรกรีก) ชื่อหากตีความออกมา
คำดังกล่าวมีค่าเท่ากับตัวเลข 888 ซึ่งหมายถึง “ จิตใจที่สูงกว่า ” หรือ “ จิตใจศักดิ์สิทธิ์ ” ตามความเชื่อลึกลับของกรีก

ส่วน “จิตใจที่เกี่ยวข้องกับความตาย”  ในภาษากรีกคือหมายเลข 666



แล้วที่พูดมาเกี่ยวกันอย่างไรหละ

http://img194.imageshack.us/img194/6092/onedolla9.jpg


เกี่ยวเพราะภาพบนธนบัตร 1 ดอลล่าร์ของอเมริกา จะเห็นว่ามีการเขียนภาษาลาติน อันเป็นสโลแกน
ของการปฏิวัติสำหรับ กลุ่มอิลลูมิเนติ ในภาษาลาติน โดยเขียนคำว่า "NOVUS ORDO SECLORIUM"
อยู่ด้านล่างของปิรามิดซึ่งแปลว่า "A NEW ORDER FOR THE AGES"
หรือการจัดระเบียบสำหรับยุคใหม่นั่นเอง

- โดยจากการถอดค่า Numerology มีรหัส 666 ซึ่งก็หมายถึง เครื่องมือหรือสัญญลักษณ์ของสัตว์ร้าย
- แล้วยังมีดวงตาของซาตานและอื่นๆมากมายไม่ต่างกับยันต์ทางไสยศาสตร์มืดเลย


15  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: อิลลูมินาติ คืออะไร สมาคมลับ องค์กรลับ หรือเพียงแค่เรื่องเล่า เมื่อ: 22 มกราคม 2558 12:02:02

สัญลักษณ์บนธนบัตรบอกอะไร ?

http://img96.imageshack.us/img96/6059/700f.jpg


ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจเรื่องตัวเลขกันก่อน

จำนวนเลข 6  หมายถึง Man คือ มนุษย์
จำนวนเลข 7  หมายถึง God  คือ พระเจ้า
จำนวนเลข 8  หมายถึง New Beginning คือ การเริ่มต้นใหม่
จำนวนเลข 9  หมายถึง Complete or Finish คือ การเสร็จสิ้น หรือ ความสำเร็จ
จำนวนเลข 12  หมายถึง Government and Perfection คือ รัฐบาลและความสมบูรณ์แบบ
จำนวนเลข 13  หมายถึง Rebellion คือ การปฏิวัติ หรือ การก่อกบฏ
จำนวนเลข 18  หมายถึง Bondage หรือ ความเป็นทาส
จำนวนเลข 28  หมายถึง Eternity คือ ความเป็นนิรันดร์



บนด้านหลังของธนบัตรฉบับหนึ่งเหรียญดอลล่าร์ ตรงตำแหน่ง ฟินิกซ์ (อินทรี) ดูที่ดาวเหนือหัวอินทรี จะมี 13 ดวง
การจัดเรียงเอาไว้ไม่ใช่ความบังเอิญ นั่นคือ ดาว 13 ในกรอบหกเหลี่ยมซึ่งสื่อได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ เวทมนตร์ปีศาจ
อเมริกันสร้างด้วยความเชื่อว่า ดาว 13 ดวงนั้น เป็นตัวแทน 13 จักรวรรดิดั้งเดิม อย่างไรก็ตามถ้าพิจารณาดูใกล้ๆ
ในวงกลมล้อมรอบภาพนกอินทรีย์ จะค้นพบว่าผู้ที่ออกแบบนี้ แสดง 13 หมายเลขอาถรรพ์  โดยเจตนาและแฝง
ความหมายเอาไว้  สังเกตุได้จาก จำนวนครั้งที่ใช้ เลข 13 คือ
- กรอบหกเหลี่ยมถูกจัดเรียงโดยห้าเหลี่ยม (ดาว) 13 ดวง
- โล่ห์ป้องกันหน้าอกของนกอินทรีมี แถบ 13 แถบ
- ผลเบอร์รี่ 13 ผล บนกิ่งมะกอก ในกรงเล็บขวาของนกอินทรี
- ลูกธนู 13 ดอก ในกรงเล็บซ้ายของนกอินทรี
- ใบมะกอก 13 ใบ บนกิ่งมะกอก

นี่ต้องไม่ใช่แค่ความบังเอิญในการออกแบบแน่นอน


16  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: อิลลูมินาติ คืออะไร สมาคมลับ องค์กรลับ หรือเพียงแค่เรื่องเล่า เมื่อ: 22 มกราคม 2558 11:51:53

จุดกำเนิดองค์กรสะท้านโลก

Illuminati แปลตรงตัวตามดิกชันนารี่ หมายถึง ผู้ที่มีสติปัญญาอันล้ำเลิศ
อิลลูมินาติ เป็นกลุ่มนักวิทยาศาตร์ตั้งขึ้นมาอย่างลับๆเนื่องจาก พวกตนได้ถูกกลุ่มคริสตจักร ไล่ฆ่า เพราะถูกกล่าวหา
ว่าเป็นลัทธิของซาตาน เนื่องจากเหล่านักวิทยาศาสตร์เกิดความขัดแย้งขึ้นกับคริสตจักร ในเรื่องการ กำเนิดโลก และ
ในอีกหลายๆเรื่อง ประเด็นหลักก็คือ คริสตจักรเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่ง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อว่าสสารไม่มีวัน
เกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า

** จึงได้เกิดทฤษฎี บิกแบง ที่เป็นทฤษฎีการกำเนิดโลกที่ได้รับการเชื่อถือมากที่สุด ในทางวิทยาศาสตร์

เนื่องจากในอดีต คริสตจักร เป็นกลุ่มที่มีอำนาจมาก ทำให้กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจต่อกรได้จึงต้องคอยหลบหนี
หรือแอบซ่อนไม่เปิดเผยตัว จึงได้ตั้งกลุ่มขึ้นมาโดยใช้ชื่อ illuminati และหาที่รวมกลุ่มเพื่อ ใช้สนทนาเรื่องวิทยาศาตร์กัน
หรือแลกเปลี่ยนแนวความคิด สมาชิกกลุ่ม อิลลูมินาติคนสำคัญก็เช่น กาลิเลโอ

นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อกันว่า กลุ่มอิลลูมินาติ ได้แทรกซึมเข้าไป ยังกลุ่มเมซันด้วย กลุ่มเมซัน คือกลุ่มคนที่มีอำนาจ
ทั้งด้านการเมืองและการเงิน เป็นพวกนายธนาคารหรือนักการเมือง

http://img96.imageshack.us/img96/6059/700f.jpg

สัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับอิลลูมินาติบนธนบัตร 1 ดอลล่า

รองประธานาธิบดี วอลเลซ (Henry Agard Wallace เป็นรองประธานาธิบดีคนที่33ของสหรัฐ) เป็นผู้เสนอสัญลักษณ์
ให้ประธานาธิบดีรูสเวลต์ (Franklin Delano Roosevelt ประธานาธิบดีคนที่32-33ของสหรัฐอเมริกา)
ใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวในธนบัตรดอลลาร์ เนื่องจากทั้งคู่อยู่ใน กลุ่มเมซัน และการที่รองประธานาธิบดีวอลเลซเสนอ
ให้ใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของ อิลลูมินาติ ด้วย


ภาพมุมสูงของกรุงวอชิงตันดีซี

สรุปได้ว่า กลุ่มอิลลูมินาติ ต้องการที่จะล้มล้างคริสตจักรนั้นเอง โดยการหาทฤษฎี ต่างๆมาหักล้างเรื่องพระเจ้า
เพื่อที่จะเปลี่ยนแกนอำนาจความเชื่อของคนในยุคนั้นจากทางด้านศาสนามาเป็น ด้านวิทยาศาตร์นั้นเอง
อย่างที่บอกกลุ่มอิลลูมินาติ มีการแทรกซึมของอิลลูมินาติไปในกลุ่ม FREEMASON ตอนสร้างเมืองวอชิงตัน ดี.ซี.
กลุ่มอิลลูมินาติได้ออกแบบเมืองวอชิงตัน ดี.ซี. ถ้ามองจากมุมสูง (มองจากนอกโลก) สังเกตดีๆจะเห็นเมืองวอชิงตัน ดี.ซี.
เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มอิลลูมินาติคือรูปดาว

ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ธาตุทั้ง 4 สิ่งเป็นธาตุสากลของหลายชนชาติ โดยธาตุนี้ถูกนำมาใช้ดูลักษณะ ของคนตามวิชา
นรลักษณ์ของหมอดูด้วย หากจะอ้างว่านี้คือวิธีของนักวิทยาศาสตร์ก็นับว่าน่าสนใจที่นำทฤษฎีนี้มาโยง กับ สมาคมลับ
อย่าง "อิลลูมินาติ" เพราะดูมันจะขัดแย้งกันระหว่างวิทยาศาสตร์กับโหราศาสตร์


17  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / อิลลูมินาติ คืออะไร สมาคมลับ องค์กรลับ หรือเพียงแค่เรื่องเล่า เมื่อ: 22 มกราคม 2558 11:41:43
อิลลูมินาติ (Illuminati)



ข้อมูลต่อจากนี้เป็นข้อมูลของหนึ่งในองค์กรที่เป็นปริศนามากที่สุดของโลก ขอให้ใช้วิจารณญาณ และอ่านเพื่อความบันเทิง

สมาคมอิลลูมินาติ มาจากภาษาลาติน แปลว่า การรู้แจ้ง เป็นอีกหนึ่งสมาคมที่อยู่เบื้องหลังความรุนแรงต่างๆ
ที่เกิดขึ้นทั่วโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถูกเชื่อมโยงกับการปฏิวัติโดยเฉพาะอเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย และไทย

สมาคมนี้ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1776 ( ปีเดียวกันกับที่อเมริกาประกาศอิสรภาพ )ในเมืองอินกอลสตาดท์ ( บาวาเรียตอนบน )
โดยอดัม ไวส์ฮอปต์ ( Adam Weishaupt ) ชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นผู้เลื่อมใสในคณะเยซูอิต และเป็นศาสตราจารย์
ด้านประมวลกฎหมายโรมันเกี่ยวกับศาสนาที่เป็นฆราวาสคนแรก ที่มหาวิทยาลัยอินกอลสตาดท์

ต่อมาสมาคมนี้ได้มีอิทธพลต่อปัญญาชนและกฎหมาย มีสมาชิกหลายคนเป็นนักการเมืองที่เจริญหน้าที่การงาน
แนวคิดและจุด ประสงค์นิกายนี้ค่อนข้างน่ากลัวนิดหนึ่ง คือ "การจัดระเบียบโลกใหม่" การกำกับดูแลปกครองประเทศต่างๆทั่วโลก
ผ่านรัฐบาลโลกอิสระ โดยยึดถือกฎเดียวกัน ยึดถือศาสนายูดาย โดยมีกลุ่มชนชาติยิวเป็นกำลังหลัก
บางทฤษฎีก็เชื่อว่า มีความต้องการที่จะให้ประเทศอิสราเอลเป็นเมืองหลวง

Illuminati เป็นกลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังอำนาจอย่างลับๆ โดยการควบคุมเหตุการณ์ในโลกทุกวันนี้ผ่านทางรัฐบาลและกลุ่มบุคคลอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์หลายเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็น

- การแทรกซึมและโค่นล้มรัฐบาลของหลายๆรัฐในยุโรป
- การปฎิวัติที่ฝรั่งเศส และรัสเซีย
- จัดฉากและก่อสงครามโลกครั้งที่ 2
- เป็นผู้สนับสนุนเงินทั้งหมดให้ฮิตเลอร์ ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวไป 6ล้านคน
- ก่อตั้ง UN หรือสหประชาชาติ IMF
- ก่อตั้ง World Bank หรือธนาคารโลก
- ก่อตั้ง องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ขึ้นเพื่อเดินหมากตัวต่อไป ... ยึดครองโลก

สำหรับ ในปัจจุบัน หลายคนเชื่อว่าสมาคมนี้ยังคงเป็นเงาที่ดำเนินการและจัดการนโยบายรัฐบาลของโลก
ครอบคลุมถึงการแทรกซึมควบคุมทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง การใช้อำนาจอย่างลับๆ โดยการควบคุมเหตุการณ์ในโลกทุกวันนี้
ผ่านทางรัฐบาลและกลุ่มบุคคลอื่นๆใน ประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วย และคำว่า อิลลูมินาติ มักจะถูกใช้อ้างถึง New World Order ( NWO )
นักทฤษฎีสมคบคิดจำนวนมากเชื่อว่าอิลลูมินาติอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การสถาปนาลัทธิดังกล่าว
และข้อเท็จจริงที่สร้างความสับสนมากขึ้นไปอีกก็คือ ปัจจุบันมีกลุ่มภราดรหลายกลุ่มที่มีคำว่า”อิลลูมินาติ” อยู่ในชื่อกลุ่มด้วย.....
นี่คือข้อมูลเบื้องต้นสำหรับหลายคนที่ยังไม่รุ้นะครับ

แค่เกริ่นนำก็มันส์แล้ว



18  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / Re: “ฮิตเลอร์”เทคโนโลยี และ พลังอันลึกลับของนาซี "NAZI" เมื่อ: 04 สิงหาคม 2557 12:37:40


‘ฮิตเลอร์’ หวังใช้แหวนพระเจ้าครองโลก…!

แหวนเงินเกลี้ยงทำขึ้นอย่างง่าย ๆ 2 วง มีน้อยคนรู้ว่าเคยเป็นแหวนที่พระเจ้าเคยสวมใส่มา ก่อนต่อมามอบแก่พระเยซูเจ้า เพื่อสร้างอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เมื่อครั้งเผยแพร่ศาสนาคริสต์บนโลก
เชื่อกันว่า แหวนเงินอันทรงมหิทธานุภาพคู่นี้ เมื่อสวมใส่ในนิ้วมือของผู้ใดก็ตาม คนผู้นั้นสามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์เรียกฟ้าฝนพายุและสายฟ้าได้ดั่งผู้วิเศษ นักประวัติศาสตร์ชี้ว่า ปัจจุบัแหวนพระเจ้าถูกชนเผ่านักรบทะเลทราย เผ่าเบดูอิน (Bedouin) เก็บรักษาไว้อย่างลับสุดยอด ในยุคโบราณ ผู้นำทรราชย์หลายชาติรู้ว่า แหวนพระเจ้า (God Ring) มีอิทธิฤทธิ์ ต่างพากันแย่งชิง เพื่อครอบครองดังเช่นจักรพรรดิเนโร (Nero) แห่งกรุงโรม หรือที่รู้จักในชื่อ “นีโรจอมโหด” ผู้ทารุณโหดร้าย รวมทั้งจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส หรือแม้กระทั่ง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) แห่งกองทัพนาซี และ ซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein) ก็เอากับเขาด้วย...เอาละสิให้ตายเถอะจอร์ชเริ่มสนุกละสิงานนี้..55+

อิสราเอล โคเฮน (Israel Cohen) นักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ตะวันออกกลางกล่าวว่า  “ผู้ใดได้สวมแหวนพระเจ้า จะมีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ พลังอำนาจนี้คือพลังอำนาจของพระเจ้าอย่างแท้จริง”  “ชาวเบดูอินต่างรับรู้พลังอำนาจของแหวน 2 วงนี้ดี จึงเก็บงำเป็นความลับมากว่า 2,000 ปี เพื่อหลบหนีการไล่ล่าของผู้นำชาติที่โลภมาก และต้องการปกครองโลก” จากหลักฐาน มีนักโบราณคดีของอิสราเอลได้ยืนยันว่า อดีตประธานาธิบดีแห่งอิรัก ซัดดัม ฮุสเซน ได้ตั้งหน่วยทหารพิเศษตามหาแหวนพระเจ้ามากว่า 10 ปี

ชนเผ่าเบดูอินเป็นเผ่าที่รบในทะเลทรายได้เก่ง (หนึ่งในนั้นเป็นอดีต รมว.กลาโหมอิสราเอล เชื้อสายเผ่าเบดูอิน) เร่ร่อนอาศัยอยู่ตามโอเอซิส (Oasis) กลางทะเลทรายในเขตแดนอิรักและซาอุดิอาระเบีย (Saudi Arabia) แต่แม้จะทุ่มเทกองกำลังค้นหาเท่าใดก็ไม่พบแหวนพระเจ้า เพราะชาวเบดูอินที่รู้เรื่องต่างพากันปิดปากเงียบ ทำให้ซัดดัมสั่งฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปเกือบ 3,000 คน เมื่อถูกทหารซัดดัมกดดันมากเข้า ชนเผ่าเบดูอินจึงไปพึ่งใบบุญอิสราเอล ซึ่งเป็นคู่กัดกับอิรักมาช้านาน “ถ้าซัดดัมได้แหวนพระเจ้ามาครอบครอง มันจะเป็นอาวุธร้ายแรงที่สุด สามารถทำลายล้างสหรัฐอเมริกา หรือยุโรปให้พินาศหมดสิ้น”

นักโบราณคดีอิสราเอลกล่าวอีกว่า ย้อนอดีตไปเมื่อ 2,000 ปีก่อน จักรพรรดิผู้เหี้ยมโหดแห่งกรุงโรม “เนโร” ได้ส่งกองทหารตามหาแหวนพระเจ้าเช่นกัน 

จักรพรรดิเนโรส่งทหารตามหาแหวนศักดิ์สิทธิ์เมื่อราว ค.ศ. 64 โดยหวังว่าจะได้แหวนมา เพื่อจะสร้างอาณาจักรโรมันให้ยิ่งใหญ่ครองทั้งโลก แต่แล้วจักรพรรดิเนโรกลับบ้าคลั่ง สั่งเผากรุงโรมเสียเอง

ในยุคจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศส นโปเลียน โบนาปาร์ต (Bonaparte) ได้กรีธาทัพแสนยานุภาพบุกยึดตีอาณาจักรต่าง ๆ ในตะวันออกกลางไปจนถึงอียิปต์ จุดมุ่งหมายเพื่อการขยายอาณาจักร และมุ่งตามหาแหวนพระเจ้าด้วย แต่ค้นหาไม่พบเช่นกัน

ยุคของฮิตเลอร์ หลังจากยึดยุโรปได้บางส่วน กองทัพนาซีของฮิตเลอร์ได้รับคำสั่งจัดทหารจำนวนหนึ่งไปตามหาแหวนพระเจ้า ฮิตเลอร์ส่งทหารไปหาแหวนพระเจ้าพร้อม ๆ กับสั่งนักวิทยาศาสตร์สร้างอาวุธร้ายแรง เช่น จรวด วี-2 (V-2) เครื่องบินรบติดเครื่องยนต์ไอพ่น เพื่อนำอาณาจักรไรช์ที่ 2 (Second Reich) หรือเยอรมันครองโลก
ฮิตเลอร์เกือบได้แหวนศักดิ์สิทธิ์ แต่ผู้ได้จับต้องสวมใส่คือขุนศึกมือขวา นามว่า “จอมพลเออร์วิน รอมเมล ผู้ได้ชื่อว่า จิ้งจอกทะเลทราย” จอมพลเออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) เป็นผู้นำกองทัพรถถัง โดยนำกองทัพบุกยึดฐานทัพข้าศึกที่ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกาจนแตกพ่ายไป รวมทั้งกองทัพของอังกฤษ และอเมริกัน ก่อนที่นายพลจอร์จ แพตตัน (George Patton) ผู้นำทัพรถถังอเมริกันจะแก้แค้นได้สำเร็จ การรบชนะทุกครั้งของจอมพลรอมเมลในครั้งนั้น นักโบราณคดีอิสราเอล เชื่อว่าเขาได้สวมใส่แหวนศักดิ์สิทธิ์ในยุคนั้น กองทัพเยอรมันว่าเป็นผู้ปลดปล่อยแอฟริกาจากการตกเป็นอาณานิคมของทหารอังกฤษ  ต่อมาชาวเบดูอินผู้รักษาแหวนพระเจ้าเริ่มดูออกว่าจอมพลรอลเมลที่แท้คือผู้ยึดครองคนใหม่ มีความเลวร้ายพอ ๆ กับอังกฤษ จึงแอบมาขโมยแหวนศักดิ์สิทธิ์กลับคืนไป ก่อนที่จอมพลรอมเมลจะส่งมอบแก่ฮิตเลอร์  และเหตุที่นักรบเบดูอินเอาแหวนศักดิ์สิทธิ์กลับไปได้ เพราะรอมเมลไม่เชื่อในฤทธิ์ จึงทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แหวน จึงเป็นโอกาสที่นักรบเบดูอินจะมาแอบนำกลับไป
นักโบราณคดีอิสราเอลกล่าวอีกว่า ตนเองเคยเห็นแหวนศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อ 20 ปีก่อน จากหัวหน้าเผ่าเบดูอินผู้หนึ่ง แลดูเหมือนแหวนเงินธรรมดา ไม่มีค่างวดอะไร
หัวหน้าเผ่าเบดูอินผู้นั้นกล่าวว่า "พวกเขาจะรักษาแหวนวงนี้จนกว่าพระเยซูจะเสด็จฯมายังโลกเป็นครั้งที่ 2 แล้วมานำแหวนกลับไป พวกเขาจะไม่ยินยอมมอบแหวนศักดิ์สิทธิ์แก่ใครอีกแล้ว"



เรียบเรียง : Bob Thai
ขอบคุณ: คุณ อังคีรส์ เจริญราษฎร์ (นิตยสาร 108 โลกแปลก พิสดาร)

19  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / Re: “ฮิตเลอร์”เทคโนโลยี และ พลังอันลึกลับของนาซี "NAZI" เมื่อ: 04 สิงหาคม 2557 12:35:07


โครงการดังกล่าวของนาซีมีชื่อว่า “ชรีเวอร์-ฮาแบร์โมล” ทำการทดลองในกรุงปราก (Prague) ระหว่างปี 1941-1943 โดยมี รูดอล์ฟ ชรีเวอร์ เป็นวิศวกรและนักบินทดลอง และ ออตโต ฮาแบร์โมล เป็นวิศวกรคนที่ 2 ชรีเวอร์ และ ฮาแบร์โมล ถือกำเนิดขึ้นเมื่อ ฮิตเลอร์ สั่งให้ แฮร์มานน์ กอริง ผู้บัญชาการกองทัพอากาศของนาซี สร้าง “สุดยอดอาวุธ” ขึ้น โดยในระยะแรกเป็นเพียงการสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดลุฟท์วาฟฟ์ แต่ต่อมาในปี 1944 โครงการดังกล่าวตกอยู่ในความดูแลของ แคมม์เลอร์ ซึ่งคิดสร้างอาวุธชนิดใหม่ที่มีรูปร่างคล้ายกับ “จานบิน” โจเซฟ แอนเดรียส์ วิศวกรคนหนึ่งของโครงการเปิดเผยว่า กองทัพนาซีสร้างจานบินต้นแบบไว้ถึง 15 ลำ โดยห้องนักบินจะอยู่ส่วนกลางของตัวเครื่อง และมีปีกที่ปรับหมุนได้แผ่ออกเป็นวงกลม ซึ่งช่วยให้เครื่องสามารถลอยขึ้นได้ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง นักวิทยาศาสตร์ของนาซีได้เข้าร่วมโครงการทดลองด้านอวกาศของสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก อิกอร์ วิตคอว์สกี อดีตนักข่าวและนักประวัติศาสตร์การทหารชาวโปแลนด์ เขียนในหนังสือ “Prawda O Wunderwaffe” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2000 ว่า กองทัพนาซีเคยสร้างเครื่องบินลักษณะคล้ายระฆังคว่ำ และ ฮิตเลอร์ สั่งให้รวบรวมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรมาช่วยงานกองทัพเป็นจำนวนมาก



วัตถุรูปร่างคล้ายจานบินยูเอฟโอ ที่อดีตนักข่าวชาวโปแลนด์และนักประวัติศาสตร์การทหาร
อ้างว่ากองทัพนาซีเป็นผู้สร้างขึ้น


ภาพวาดจำลองเหตุการณ์ขณะมีผู้พบเห็นจานบินของนาซีลอยในระดับต่ำ เหนือท้องฟ้ากรุงลอนดอนเมื่อปี 1944


ฮิตเลอร์มุ่งมั่นจะสร้างอาณาจักรไรช์ที่ 3 ให้อยู่ได้นานถึง 1,000 ปี เพื่อสนองความใฝ่ฝันที่แสนสวย เขามีโครงการสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดพิเศษหลายโครงการ เช่น จานบินขึ้นลงตามแนวดิ่งที่สามารถบินได้เร็วเหนือเสียง จรวดนำวิถียิงจากระยะไกล เครื่องบินทิ้งระเบิดสมรรถนะสูง และระเบิดปรมาณู เป็นต้น ฮิตเลอร์สามารถทำโครงการได้สำเร็จเพียงบางโครงการเท่านั้น อาณาจักรไรช์ที่ 3 ของเขาก็ล่มสลายลงภายในระยะเวลาอันสั้น เมื่อกองทัพรัสเซียบุกเข้ายึดกรุงเบอร์ลิน ก่อนที่ฮิตเลอร์จะยิงตัวตาย เขามีคำสั่งให้หน่วยเอสเอสทำลายโครงการที่เขาได้ทำสำเร็จแล้วให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้รัสเซียนำพิมพ์เขียวจากโครงการของเขาไปใช้ประโยชน์ อย่างไรก็ดี เมื่อคนของเอสเอสได้นำพิมพ์เขียวและจานบินทั้งหมดเผาทำลายที่กลางลานสนามบิน ปราก-จีเบลล์ ทหารรัสเซียสามารถยึดจานบินเครื่องต้นแบบได้หนึ่งลำ ส่วนโครงการจรวด วี2 และแบบพิมพ์เขียวก็ถูกทหารรัสเซียยึดเอาไปพัฒนาเป็นจรวดสกัด (SCUD) ขีปนาวุธนำวิถีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลัวจนขนหัวลุก เกิดวิกฤติที่เกือบก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เมื่อรัสเซียแอบนำจรวดสกัดไปติดตั้งจ่อจมูกสหรัฐอเมริกาไว้ที่คิวบาในสมัยประธานาธิบดีเคเนดี ซึ่งเป็นคนหนุ่มรูปหล่อและมีอายุน้อยที่สุดในบรรดาประธานาธิบดีทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา เขาได้ยื่นคำขาดต่อรัสเซียให้ถอนจรวดสกัดออกไปจากคิวบาภายใน 24 ชั่วโมง มิฉะนั้นสหรัฐอเมริกาจะใช้ระเบิดปรมาณูถล่มรัสเซียให้แหลกลาญทันที รัสเซียยอมถอนจรวดสกัดกลับเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม และนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ฟิเดล คัสโตร ผู้นำคิวบาก็กลายเป็นคู่แค้นของสหรัอเมริกา จนมีการทำลายล้างกันหลายครั้งหลายหน แต่คัสโตรก็รอดตายมาจนถึงวันนี้ และเขาได้ยุติบทบาททางการเมือง โดยโอนอำนาจบริหารให้กับน้องชายหลายปีแล้ว จรวดสกัดของรัสเซียเป็นขีปนาวุธระยะไกลของค่ายคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น เมื่อคอมมิวนิสต์ล่มสลายลง หลายประเทศได้นำจรวดสกัดมาพัฒนาจนมีประสิทธิภาพสูง สามารถยิงไปได้ไกลมากขึ้น เช่น เกาหลีเหนือได้พัฒนาจนสามารถยิงจรวดสกัดไปถึงสหรัฐอเมริกา




โครงการจานบินเริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1941 โดยนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญของเยอรมัน 3 คน คือ Schriever, Habermohl, Miethe และวิศวกรจากอิตาลีอีก 1 คน คือ Bellonzo เมื่อสงครามยุติลง กองทัพสหรัฐอเมริกาได้นำตัว Schriever และ Miethe ไปเป็นนักโทษในค่ายกักกันที่สหรัฐอเมริกา เพื่อทำงานเกี่ยวกับจานบินภายใต้ชื่อ"OperationPaperclip" ส่วน Habermohl หน่วยข่าวกรองทางทหารสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่า ถูกรัสเซียจับตัวไป





ข้อมูลจาก : allmysteryworld



20  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / “ฮิตเลอร์”เทคโนโลยี และ พลังอันลึกลับของนาซี "NAZI" เมื่อ: 04 สิงหาคม 2557 12:33:48
“ฮิตเลอร์”เทคโนโลยี และ พลังอันลึกลับของนาซี "NAZI"


“อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” (Adolf Hitler)

เอเจนซี – ขณะที่กองทัพนาซีเริ่มแตกพ่ายทั้งที่เมืองสตาลินกราดและแอฟริกาเหนือ ผู้นำเผด็จการ “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” (Adolf Hitler) ยังหวังพลิกสถานการณ์ โดยสั่งทีมนักวิทยาศาสตร์สร้าง “สุดยอดอาวุธ” ซึ่งจะนำชัยชนะมาให้แก่ฝ่ายอักษะ...แม้อาวุธบางชนิด เช่น จรวด วี2 และ เครื่องบินขับไล่รุ่นแรก ๆ ของโลก จะถูกนำมาใช้ต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ก็สายเกินไปที่จะยับยั้งความพ่ายแพ้แก่กองทัพนาซี นอกจากนี้ ยังมีอาวุธอื่น ๆ ที่ “เหนือจินตนาการ” เสียจนไม่ผ่านขั้นตอนการวางแผน และ “จานบิน” ที่ใช้ทิ้งระเบิดในลอนดอนและนิวยอร์ก ก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น
อย่างไรก็ตาม วันนี้มีคำยืนยันออกมาว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ของฮิตเลอร์เคยออกแบบอากาศยานที่มีรูปร่างคล้าย “จานบิน” และสามารถพัฒนาถึงขั้นสร้าง “ต้นแบบ” ที่ใช้บินได้จริงมาแล้ว
รายงานจากนิตยสารด้านวิทยาศาสตร์ พีเอ็ม ของเยอรมนี ระบุว่า โครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของ ฮานส์ แคมม์เลอร์ และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการทดลองต้านแรงโน้มถ่วงของโลก รายงานดังกล่าวอ้างคำบอกเล่าของพยานซึ่งเชื่อว่าตนเคยเห็น “จานบิน” ที่มีสัญลักษณ์กางเขนเหล็กของกางทัพนาซี บินในระดับต่ำเหนือแม่น้ำเทมส์เมื่อปี 1944 ในช่วงเวลาเดียวกัน นิวยอร์ก ไทม์ส เคยลงบทความเกี่ยวกับ “จานบินปริศนา” และลงภาพถ่ายวัตถุดังกล่าวขณะบินผ่านตึกระฟ้าในนครนิวยอร์กด้วยความเร็วสูง...พีเอ็ม ระบุว่า กองทัพนาซีทำลายบันทึกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอในแคนาดาได้ทดลองสร้างวัตถุดังกล่าวขึ้นใหม่ และพบว่ามันสามารถ “บินได้จริง”


ภาพที่อ้างว่าเป็นจานบินต้นแบบของนาซี ซึ่งถูกเผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต



หน้า:  [1] 2 3
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.313 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 10 มีนาคม 2567 04:24:30