[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 14:53:41 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2
1  สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / Re: คาถาพระสีวลีฉันข้าว(108จบ) บังเกิดโชคลาภให้กับผู้ที่บูชา เมื่อ: 29 มกราคม 2567 09:33:39
2  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / ชมรมขนหัวลุก ตอน โปรเเกรมผี เมื่อ: 01 ธันวาคม 2566 12:26:51

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=iK1eZDbRoGM" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=iK1eZDbRoGM</a>





3  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / Re: มิยาโมโตะ มุซาชิ ดาบพเนจรไร้พ่าย โรนิน ผู้เขียนวิชาคัมภีร์ห้าห่วง เมื่อ: 15 มกราคม 2566 15:20:46
มุซาชิ กับโคจิโร่ใครเก่งกว่ากัน ?

เอาจริงโคจิโร่น่าจะเก่งกว่า จึงทำให้มุซาชิออกอุบายในเรื่องการมาช้าเพื่อทำลายสมาธิ
และหายุทธศาสตร์เรื่องการยืนหันหลังให้พระอาทิตย์ ในการสู้ เพื่อให้เกิดแสงแยงตาโคจิโร่

ถ้ามุซาชิมาตรงเวลาน่าจะแพ้โคจิโร่
บางคนก็ว่ามุซาชิเก่งกว่าเพราะแทบจะเป็นเท็งงูแล้ว
แต่มูซาชิฉบับท่าพระจันทร์ มูซาชิกลัวโคจิโร่ และคนในสมัยนั้นก็ไม่มีใครคิดว่ามูซาชิจะชนะได้
4  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / ผีสมภารวัดร้างลองดีหลวงปู่ศุข เมื่อ: 10 กันยายน 2557 10:52:44


ผีสมภารวัดร้างลองดีหลวงปู่ศุข

ตลอดช่วงชีวิตแห่งการครองเพศสมณะ เชื่อได้ว่าหลวงปู่ศุขย่อมมีประสบการณ์เผชิญกับวิญญาณมาไม่น้อย เพียงแต่ท่านไม่เปิดเผยให้ผู้ใดมีโอกาสได้รับรู้ นอกจาเรื่อง "ผีสมภารวัดร้าง" ซึ่งนายยอด สุขทอง ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านรับฟังมาและนำมาเล่าต่อ ดังมีรายละเอียดดังนี้

ครั้งนั้นหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าจาริกธุดงค์ ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี เมื่อท่านได้ถวายอภิวาทต่อรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความปิติอิ่มใจแล้วจึงได้เดินธุดงค์กลับวัดปากคลองมะขามเฒ่าของท่าน ระหว่างเดินทางกลับท่านได้จากริมาพบวัดร้างแห่งหนึ่งในเวลาเย็นย่ำสนธยา ซึ่งถึงกาลอันสมควรหาสถานที่เหมาะสมเพื่อปักกลด หลวงปู่ศุข พิจารณาวัดร้างแห่งนี้เห็นว่าพอจะอาศัยเป็นสถานที่พักผ่อนในราตรีกาลที่จะมาถึงได้ ท่านจึงแบกกลดเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์แห่งนั้น

บริเวณทั่วไปของวัดร้างสงัดเงียบ มีโบสถ์ ศาลาการเปรียญและกุฎิ พระครบสมบูรณ์ เพียงแต่ปราศจากพระเณรจำพรรษาคอยดูและรักษาทำนุบำรุง เสนาสนะต่างๆ ดังนั้นศาสนสถานโดยทั่วไปจึงชำรุดทรุดโทรมผุพังเป็นที่น่าสังเวช หลวงปู่ศุขรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยทีวัดนี้ ไม่ควรจะปล่อยร้างวังเวงดังที่เห็น เพราะสังเกตดูที่ตั้งขอวัดก็อยู่ในพื้นภูมิทำเลที่เหมาะสม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านชุมชนเท่าไหรนัก เหตุใดจึงขาดผู้มีจิตกุศลศรัทธาอุปัฎฐากพระเณรถึงเพียงนี้

หลวงปู่เพียงแค่สงสัย แต่ไม่คิดใฝ่ใจใคร่รู้สาเหตุที่มาของวัดร้าง ท่านจึงมองหาที่พักสำหรับคืนนี้ เห็นบริเวณระเบียงด้านหน้ากุฎิหลังใหญ่ดูกว้างขวาง และเปิดโล่งโปร่งสบายก็ตรงไปยังที่น้น วางอัฐบริขารลง แล้วไปเก็บแขนงไม้มารวมกันปัดกวาดพื้นให้สะอาดพอปูอาสนะได้ ขณะที่หลวงปู่ศุขกำลังปัดกวาดอยู่นั้น มีชาวบ้านเป็นชาย2-3 คน เดินมาหาท่านแล้วนังยกมือไหว้นมัสการ

คนที่มีอาวุโสที่สุดถามขึ้นว่า "หลวงพ่อมาจากไหนขอรับ พวกกระผมเห็นหลวงพ่อเดินลัดตัดทุ่งตรงมาที่นี่ จึงรีบมาพบ"

"อาตมาไปนมัสการพระพุทธ่าทสระบุรีมา กำลังจะกลับวัดปากคลองมะขามเฒ่า คืนนี้คงต้องพักที่วัดนี้ชั่วคราว พวกโยมเป็นคนบ้านนี้กระมัง"

"ใช่ขอรับ กระผมเองอยูเลยหลังวัดนี้ไปไม่เท่าไหร่ เอ้อ หลวงพ่อขอรับ ท่านพักอยู่ตรงระเบียงหน้ากุฎินี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมกระมังครับ"

"ทำไมหล่ะโยม อาตมาเห็นว่าเป็นวัดร้างไม่มีใครดูแลเป็นเจ้าของจึงไม่ได้ขออนุญาตใคร"

" ไม่ใช่เรื่องขออนุญาต หรือไม่ขออนุญาตหรอกขอรับ แต่พวกกระผมเป็นห่วงหลวงพ่อ กลัวว่าหลวงพ่อจะเจอเรื่องไม่ดีไม่งามเข้าตอนกลางค่ำกลางคืน "

"เรื่องไม่ดีไม่งามที่โยมว่านั่นน่ะ มันเรื่องอะไร" ชายสูงวัยทำท่าอึกอักก่อนจะตัดสินใจไปกราบเรียน "ผีที่นี่เฮี้ยนเหลือกำลังขอรับหลวงพ่อ สาเหตุที่วัดนี้กลายเป็นวัดร้าง ก็เพราะผีดุนี่แหละครับ กระผมเองเคยเป็นมัคทายกวัดนี้รู้เรื่องดีเชียวละ"

แล้วอดีตมัคทายกก็เล่าเรื่องผีวัดร้างให้ปลวงปู่ฟังว่า เมื่อก่อนวัดนี้มีพระเณรจำพรรษาไม่เคยขาด ชาวบ้านร้านตลาดมาทำบุญทำทานกันตลอดเวลา ต่อมาสมภารเจ้าวัดมรณภาพ ยังไม่ทันจะหาสมภารรูปใหม่มาปกครองดูแลวัด ผีสมภารเปิดฉากออกอาละวาดหลอกหลอนแทบทุกคืนจนพระเณรอกสั่นขวัญหาย แม้ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญแผ่กุศลสักเท่าไหร่ ผีสมภารก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ยังคงหลอกหลอนเหมือนเดิม กระทั่งพระเณรทนไม่ไหวพากันหนีหายย้ายไปอยู่วัดอื่นหมด เคยมีพระใหม่ใจกล้ารับอาสาจะมาช่วยบูรณะวัดฟื้นฟูวัด แต่อยู่ได้ไม่กี่วันก็หอบอัฐบริขารจากไป เพราะผีสมภารเล่นงาน

หลวงปู่ศุขรับฟังอดีตมัคทายกวัดเล่าเรื่อผีสมภารโดยสงบมิได้แสดงความคิดเป็นแต่ประการใด เมื่อมัคทายกกราบเรียนแนะนำให้ท่านย้ายที่ปักกลดไปอยู่นอกเขตวัดจะดีกว่า ท่านก็เฉยเสีย บอกแต่เพียงว่าคงไม่เป็นไร เพราะท่านมาอาศัยคืนเดียวแล้วก็ไป ผีสมภารคงไม่ทำอะไร เมื่อหลวงปู่ยืนยันเช่นนี้ ชาวบ้านก็จำต้องนมัสการกราบลากลับไป ทั้งที่ห่วงใยท่านจะทานวิญญาณร้ายของสมภารเจ้าวัดที่ตายไปไม่ไหว

หลวงปู่กางกลด จัดวางบริขารและปูอาสนะเรียบร้อย เมื่อความมืดของราตรีมาเยือน วัดก็ยิ่งวังเวงหนักขึ้น หลวงปู่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นตามกิจของท่านแล้วเข้ากลด เจริญสมาธิภาวนาเช่นที่เคยปฎิบัติมา โดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ตราบกระทั่งดึกสงัด ก็ปรากฎเสียงบานหน้าต่างของกุฎิหลังใหญ่กระแทกเปิดปิดดังสนั่น ทั้งๆ ที่ประตูหน้าต่างใส่ดาลลั่นกลอนปิดสนิท จะเป็นเพราะลมก็ไม่ใช่เพราะเวลานั้นลมสงบเงียบเชียบ

หลวงปู่ศุข กำลังพักผ่อนต้องลุกขึ้นมานั่ง คอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก ท่านก็ไม่ต้องคอยนาน เมื่อตรงหน้ากลดนั้นร่างดำมึนดูทะมึนของสมภารวัดได้ผุดวูบขึ้นมาให้เห็นถนัดชัดเจน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าวดุจไม่พอใจ" มาทำไม?"

"ผมไปรุกขมูลมา จะขออาศัยนอนที่นี่สักคืน" หลวงปู่ศุข ตอบ

ผีสมภารนิ่งแล้วหายวับ คราวนี้เกิดเสียงดังโครมครามสนั่นหวั่นไหว ภายในกุฎิไม่ยอมหยุด ประหนึ่งต้องการขับไล่หลวงปู่ศุข ทว่าหลวงปู่มิได้หวั่นไหวต่อการแสดงฤทธิ์ของผีสมภาร ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังรู้สึกสงสารเวทนาต่อดวงวิญญาณมิจฉาทิฐิที่หลงวนเวียนยึดเหนี่ยวในสถานที่นี้ไม่ยอมไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ทั้งๆที่บวชเรียนในพระพุทธศาสนามานานถึงขึ้นเป็นสมภารเจ้าวัด หลวงปู่ศุขสำรวมจิตแผ่เมตตาไปให้ แต่เสียงสนั่นหวั่นไหวภายในกุฎิ ก็ไม่ยอมหยุด สวดมนต์อีกหลายบท ผีสมภารก็ยังไม่รับรู้ มิหนำซ้ำ ผีสมภารยังมาปรากฎร่างยืนตระหว่างตรงหน้ากลด แผดเสียงหัวเราะเย้ยหยันแล้วคำรามลั่นบอกว่า "ไม่กลัวหรอก มีคาถาอะไรก็ว่ามาอีกซิ"

หลวงปู่ศุขเห็นผีสมภารดื้อด้านถึงเพียงนี้ ท่านจึงกล่าวออกมาดังๆว่า"อนิจจาเอ๋ยไม่เคยเห็น ผีตายหรือจะสู้กับผีเป็น นะโมพุทธายะ"

ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ ผีสมภารก็หายวับไปไม่มีเสียงโครมครามใดๆ ตามมาอีก และหลวงปู่ศุขก็ไม่ใส่ใจสนใจอีกต่อไป เอนกายลงพักผ่อนตามปกติของท่าน เช้าวันรุ่งขึ้นอดีตมัคทายกและชาวบ้านกลุ่มใหญ่รีบมาที่วัดแต่เช้า เห็นหลวงปู่ศุขเป็นปกติดีไม่มีอะไร ต่างปีตีดีใจเข้ามากราบไหวันมัสการสอบถาม ว่าเมื่อคืนมีเหตุการณ์ร้ายๆอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หลวงปู่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ ทำนองมิให้ซักไซร้ให้มากความ ชาวบ้านจึงไม่กล้าละลาบละล้วงถามอีก

จากนั้นก็กลับไปจัดหาภัตราหารเช้ามาถวาย เมื่อท่านกระทำภารกิจเรียบร้อย ชาวบ้านนิมนต์ให้ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน เพื่อพวกเขาจะได้มีโอกาสทำบุญสร้างกุศลกันบ้าง หลวงปู่ศุขก็เมตตารับนิมนต์ หลวงปู่พำนักอยู่ที่กุฎิร้างของสมภารเก่า ๕ คืน ไม่ปรากฎมีผีสมภารออกอาละวาดอีกเลย ท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงเก็บอัฐบริขารเพื่อเดินทางต่อไปชาวบ้านอ้อนวอนให้ท่านเป็นสมภารวัดร้างแห่งนี้ แต่หลวงปู่ไม่อาจรับศรัทธาญาติโยมข้อนี้ได้

5  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / ทหารอเมริกา สร้างพระอุโบสถเพราะ แสงประหลาด เมื่อ: 10 กันยายน 2557 10:44:15
ทหารอเมริกา สร้างพระอุโบสถเพราะ แสงประหลาด



ในช่วงสงครามเวียดนาม กองทัพอเมริกา ได้เข้ามาตั้งฐานทัพในหลายจังหวัดของประเทศไทย หนึ่งในนั้นคือ จ.อุบล เพื่อลำเลียงกำลังพลโจมตีเวียดนาม
แล้วเหตุการณ์ประหลาดได้เกินขึ้น เมื่อเครื่องบินลาดตระเวนของทหารอเมริกา ตรวจพบลำแสงประหลาด บริเวณวัดป่า พิฆเนศวรหมู่บ้านปากน้ำบุ่งสระพัง ตำบลกุดลาด คาดว่าจะเป็นสัญญานจากข้าศึก จึงบินเข้าไปสำรวจ แต่แล้วเครื่องบินลาดตระเวนก็ขาดการติดต่อ คาดว่าน่าจะตกบริเวณนั้น ทหารอเมริกาที่ตั้งฐานทัพอยู่ บริเวณกองบิน21 จ.อุบล ซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่กิโลเมตร ได้ทำการออกค้นหา(แถวบ้านเรียกมาทั้งกองพันตกใกล้ฐานสะขนาดนั้น) จนได้มาพบเครื่องบินที่ตกบริเวณที่ตรวจพบลำแสงประหลาด แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของข้าศึก ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเขตเฝ้าระวังพิเศษ
และเมื่อเวลาที่เครื่องบินลาดตระเวณของทหารอเมริกาบินผ่าน ก็จะพบลำแสงประหลาด และเมื่อเข้าไปตรวจบริเวณที่พบลำแสงประหลาดก็จะไม่พบข้าศึกหรือสิ่งผิดปกติใดๆ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนเป็นที่เล่าขานของทหารอเมริกันในเวลานั้น
พระมงคลธรรมวัฒน์ ได้อธิบายให้ ทหารอเมริกาฟังว่าลำแสงประหลาดมักเกิดขึ้น ในช่วงวันพระ 15ค่ำ หรือแรม15ค่ำ (ทหารอเมริกาทำน่า งง (สำเนียงฝรั่ง) อารายคือ15ค่ำ)
ท้ายที่สุดด้วยความเลื่อมใสในปาฏิหาริย์ ทหารอเมริกาได้ช่วยชาวบ้านสร้างพระอุโบสถถวายให้กับ วัดปากน้ำ บุ่งสระพัง เป็นพุทธสถาน
ท่ามกลางไฟสงคราม ได้ชื่อว่า อุโบสถ มิตรภาพไทย-อเมริกา

6  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / เราคือนักรบ นักรบกิเกส ตัณหา - ครูบาเจ้าศรีวิชัย เมื่อ: 10 กันยายน 2557 10:40:59


เราคือนักรบ นักรบกิเกส ตัณหา จะมานั่งร้องไห้อาลัยอย่างนี้ มิได้ ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ช่วยอะไร มานี้มานั่งสมาธิ เอาภาวนาเป็นที่ไป เราเป็นพระแล้ว พระคือ ผู้เห็นภัยในความประมาท ต้องไม่มีกิเลสครอบงำ หลับตา กำหนดคำบริกรรมหายใจเข้าว่า "นะ" หายใจออก "โม" ซึ่ง นะโม แปลว่า แม่และพ่อ.

พระครูบาศีลธรรม ครูบาเจ้าศรีวิชัย
ธรรมะจากครูบาเจ้า...แด่หลวงปู่คำแสน...เมื่อคราวหลวงปู่ไปเยี่ยมครูบาศรีวิชัย ที่ วัดศรีดอนชัย ที่ถูกต้องอธิกรณ์
7  สุขใจในธรรม / เกร็ดครูบาอาจารย์ / หลวงพ่อจงเสกน้ำมนต์ลงขวดเปล่า เมื่อ: 10 กันยายน 2557 10:39:24


ภาพหลวงพ่อจงเสกน้ำมนต์ ใหลจากมือลงขวดเปล่าที่วัดสุทัศน์



เกี่ยวกับประวัติภาพถ่ายนี้ คือ ในงานพุทธาภิเษกแห่งหนึ่ง ครั้งนั้นทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ไปหลายรูปด้วยกัน ซึ่งเจ้าของภาพจำ ได้ว่า 2 องค์ที่เขาเห็นและศรัทธาอย่างยิ่งก็คือ
1.พ่อท่านคล้าย วัดสวนขันธ์
2.หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก
สาเหตุเพราะได้ประจักษ์กับตา ถึงอภินิหารของทั้งสองท่านนี้ แต่ว่าไม่สามารถถ่ายภาพของหลวงพ่อคล้ายได้ ถ่ายได้เฉพาะหลวงพ่อจงรูปเดียวเพราะเขาไม่คิด ว่าจะมีการทดลองวิชาของพระคุณเจ้าเกิดขึ้น ที่มาของภาพมีดังนี้
ในงานนั้นพ่อท่านคล้ายและหลวงพ่อจง นั่งพักอยู่ใกล้ๆกันก็บังเอิญมีโยมคนหนึ่ง มาขอให้ พ่อท่านคล้ายช่วยทำน้ำมนต์ให้ พ่อท่านจึงบอกกับโยมคนนั้นว่า ให้ไปเอาขวดมา และเอาน้ำมาแก้วหนึ่งด้วยท่านจะทำน้ำมนต์ให้ โยมคนนั้นก็ไปเอาขวดและน้ำมาให้พ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ พ่อท่านรับแก้วน้ำมาแล้วให้โยมคนนั้นเอาขวดไปตั้งไว้ข้างหน้าห่างไปพอสมควร จากนั้น พ่อท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาเหมือนดื่มแต่ไม่ได้ดื่มเพียงอมไว้แล้วก็พ่นน้ำไปที่ขวดใบนั้น พรวดเดียวน้ำเต็มขวดเลย
หลวงพ่อจงท่านหันมามองแล้วก็หัวร่อ หึ หึ แล้วก็บอกว่า "ฉันก็ทำได้จ๊ะ"


8  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / คติน่าคิด พระพุทธรูปคอหัก เมื่อ: 10 กันยายน 2557 10:32:05


พระพุทธรูปคอหัก

บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่หลวงปู่กำลังนั่งรถเข็นออกตรวจบริเวณวัด พบชาย ๒ - ๓ คนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่แถวโคนต้นไม้หลังอุโบสถ
หลวงปู่ ; ทำอะไร..โยม..?
โยม ; พวกกระผมเอาพระพุทธรูปมาปล่อย (ทิ้ง) ครับ
หลวงปู่ ; ทำไมเอาพระพุทธรูปมาปล่อยเสียล่ะ ?
โยม ; พระพุทธรูปสององค์นี้คอหักครับ พ่อว่าไม่ดี เลยให้เอามาปล่อย
หลวงปู่ ; อ้อ..พระพุทธรูปคอหักไม่ดี เลยเอามาปล่อยวัด อะไรไม่ดีก็เอามาปล่อยวัด หมากัดเป็ดกัดไก่ ไก่ ๓ ขา หมา ๔ หู ต้นไม้ประหลาด ลูกบอกไม่ได้สอนไม่เอาก็ให้มาบวช
แต่เวลาขอของดีต้องมาขอกับพระ มาหาพระมาหาของดี ที่ไม่ดีก็เอามาทิ้งวัด มาทิ้งให้เป็นภาระพระ
พระพุทธรูปคอหักคุณว่าไม่ดี เพราะคุณเข้าใจว่าไม่ดี ตอนไปบูชามาเสียเงินเสียทอง เอามากราบไว้บูชา ถือว่าดีว่าขลัง พอตกแตกคอหักคุณก็ว่าเป็นของอัปมงคล
คนเราอยู่ด้วยกันรักกันชอบกัน พออีกคนตายหมดลมหายใจก็กลัวกัน สมมุติกันว่าเป็นผีก็ พาลกลัวกันอีก
คุณเอ๋ย..ความเป็นพระไม่ได้อยู่ที่ก้อนอิฐก้อนดินดอกนะ ความเป็นคนก็ไม่ได้อยู่กับร่างกายสังขารดอกนะ
ความเป็นพระอยู่ที่คุณงามความดีของพระองค์ ความเป็นคนก็อยู่ที่คุณงามความดีของเขา
คุณสมมติว่าพระคอหักคือพระตาย ก็กลัวพระคอหัก คุณสมมติว่าคนหมดลมหายใจเป็นผี..ก็กลัวผี
ถ้าความเป็นพระอยู่ที่ใจเรา พระนั้นถึงจะแตกจะหักก็น่ากราบน่าไหว้ ถ้าความเป็นคนอยู่ที่ความรักความผูกพัน อยู่ในความดีของกันและกัน ถึงเขาหมดลมก็ยังน่าคิดถึงน่านับถือ ไม่น่ากลัว
แต่คุณคิดว่าเมื่อเสกพระพุทธรูปแล้วท่านมีชีวิต มีความขลัง พอท่านคอหักก็คือท่านตาย ท่านหมดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ให้เข้าใจเสียใหม่ พระก็คือพระ จะคอหัก จะแตก จะบิ่น ความเป็นพระก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เพราะพระก็คือพระ ความดีเป็นพระ ความดีที่พระองค์ทรงสั่งทรงสอนเป็นพระ ไม่ใช่ความเป็นอิฐเป็นดินเป็นพระ ถ้ามีความเชื่อความศรัทธาอย่างนี้ พระจะแตกจะหักเราก็ยังเก็บไว้ได้ ยังกราบได้ เข้าใจนะ
โยม ; แล้วจะให้พวกผมทำอย่างไรกับพระพุทธรูปคอหักนี้ครับ
หลวงปู่ ; ที่บ้านมีกาวไหม ? มีก็ทาติดให้เหมือนเดิม
โยม ...................................

9  นั่งเล่นหลังสวน / สยาม ในอดีต / Re: ภาพเล่าอดีต : ภาพถ่ายหายากในสมัย ร.4 - ร.5 ที่พบในต่างประเทศ เมื่อ: 10 กันยายน 2557 10:29:56


ช้างศึกสยาม สมัยรัชกาลที่ ๔

10  สุขใจในธรรม / เกร็ดครูบาอาจารย์ / หลวงปู่ศุข กับวิชาหัวใจของธาตุทั้ง ๔ เมื่อ: 10 กันยายน 2557 10:27:31
หลวงปู่ศุข กับวิชาหัวใจของธาตุทั้ง ๔



หลวงปู่ศุข นั้นถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ทางด้านไสยเวทย์วิทยาคุณที่มีความเชี่ยวชาญและทรงอภิญญาอย่างเอกอุ ความแคล่วคล่องในการกำหนดจิตของท่านที่เรียกว่า ‘วสี’ นั้นท่านทำได้อย่างชำนิชำนาญจนสามารถแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ภายในเวลาไม่กี่นาที

ด้วยคุณวิเศษอย่างนี้เองที่ทำให้พระภิกษุในสมัยนั้น รวมถึงฆราวาสที่นิยมขลังต่างเดินทางมุ่งหน้าไปถวายตัวเป็นศิษย์กันมากราย แล้วก็มีทั้งผู้ที่เรียนได้สำเร็จ ซึ่งก็แบ่งเป็นทั้งสำเร็จมากและสำเร็จน้อย รวมถึงที่เรียนไม่สำเร็จเลยก็มี

หลวงพ่อหน่าย อินทสีโล วัดบ้านแจ้ง ต.หันสังข์ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา เคยเล่าว่าเมื่อครั้งไปศึกษาวิชากับหลวงปู่ศุข ได้พบเห็นคนมาเรียนกับหลวงปู่มากมายซึ่งมีทั้งพระและโยม ในจำนวนคนที่มานั้น ๑๐ คน จะเรียนได้สัก ๑ หรือ ๒ คนก็นับว่ามากแล้ว

เพราะหลวงปู่ท่านมีวิธีทดสอบจิตผู้มาเรียนที่น่าเกรงกลัวมาก กล่าวคือ ท่านจะให้ศิษย์นำไม้ไผ่ลำต้นใหญ่พอที่คนจะปีนได้มาปักลงกับลานดิน ทำหลักให้แน่นหนามั่นคง ไผ่ลำนี้จะสูงมากและตอนบนสุดจะตัดเป็นปล้องไว้คล้ายกระบอกข้าวหลาม ศิษย์คนหนึ่งจะปีนขึ้นไปบรรจุน้ำมันในกระบอกด้านบนจนเต็มแล้วค่อยลงมา

ตอนนี้แหละ ที่หลวงปู่จะให้คนที่มาขอเรียนท่องคาถาสี่ตัว คือ นะ มะ พะ ทะ ซึ่งก็คือหัวใจของธาตุทั้ง ๔ จากนั้นก็จะให้ปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเสา เมื่อกลับลงมาได้แล้วจึงจะถ่ายทอดวิชาชั้นสูงต่อไปให้

เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะยาก
เมื่อผู้มาเรียนตั้งหน้าปีนขึ้นไป แรก ๆ ก็ไม่มีอะไร ต่อเมื่อขึ้นถึงกลางลำแล้วความมั่นคงของต้นไผ่ก็น้อยลง ไผ่ทั้งต้นก็เริ่มโอนเอนและสะเทือน แล้วน้ำมันที่บรรจุไว้ก็จะกระฉอกออกมา พอคนปีนขึ้นไปสัมผัสกับน้ำมันก็จะลื่นพรวด ๆ ลงข้างล่าง
ถึงตรงนี้แหละที่น่ากลัว เพราะหลวงปู่จะยืนถือหอกใบพายอยู่ด้านล่างรอท่า พอคนปีนไหลลงมาถึงท่าน ท่านก็จะเอาหอกแทงก้นให้กลับขึ้นไป หล่นก็จะหล่น เจ็บก้นกลัวจะทะลุก็กลัว จึงเกิดโกลาหลกันล่ะสิ พยายามปีนขึ้นไปก็ร่วงลงมา ลงมาแล้วก็ถูกแทงอีก อาการที่เรียกว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็เกิด ทีนี้จะทำอย่างไร

ผู้มาเรียนนั่นแหละต้องเอาตัวเองเป็นที่พึ่ง ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องว่าคาถาสี่คำคือ นะ มะ พะ ทะ รัวเป็นไฟ กำหนดจิตให้แนบแน่นอยู่กับคำบริกรรม กดจิตนิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้แล้ว เรื่องข้างนอกต้องปล่อยทิ้งทีเดียว แล้วคว้าจิตไว้เป็นเอก ทำจิตให้เป็นหนึ่งเดียว

ตอนนี้เองที่เมื่อจิตเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับคำบริกรรมแล้ว พระคาถาทั้งสี่ที่ถือได้ว่าเป็นแม่ธาตุใหญ่ก็สำแดงปาฏิหาริย์ เพราะเป็นต้นธาตุอยู่แล้ว ก็บันดาลให้ธาตุดินคือเนื้อหนังมังสาที่บอบบางฉีกขาดง่าย เกิดเหนียวหนับราวกับยางรถสิบล้อ คมหอกที่หลวงปู่ทิ่มแทงก็ไม่ทำให้ได้รับความเจ็บปวดสาหัส และคมหอกนั้นก็ไม่สามารถทะลุหนังบาง ๆ ที่ถูกคุ้มด้วยพระเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ผนวกกับจิตที่มั่นคง

เมื่อได้อย่างนี้แล้วหลวงปู่ท่านจึงถือว่าสอบผ่านในขั้นต้น
นี่คือการทดลองอำนาจจิตของผู้มาเรียนว่ามีพื้นฐานดีหรือไม่อย่างไร เป็นอุบายที่แยบยลยากที่จะเข้าใจท่านได้ในทีแรกว่าท่านให้ทำอย่างนี้เพื่ออะไร

ทำให้ผมนึกถึงคุณพ่อชุม ไชยคีรี ที่เมื่อครั้งนำศิษย์ไปมัดไว้กับต้นไม้ในป่าช้าแล้วให้ภาวนาสะเดาะเชือกที่พันธนาการออกเอง ด้วยจิตที่หวาดกลัวของศิษย์ซึ่งต้องการออกไปให้พ้นสภาพนั้นโดยเร็วก็ไม่สนใจกับอะไรอีกแล้ว ตั้งหน้าภาวนาแต่คาถาสะเดาะเชือกกระทั่งเชือกหลุดลุ่ยออกเองได้อย่างน่าอัศจรรย์
เรียกว่าได้สมาธิเพราะอาศัยกลัวเป็นเหตุ

จึงคิดได้ว่าทำไมพระพุทธองค์จึงสั่งหมู่พระภิกษุว่า โน่นป่าช้า โน่นภูเขา เงื้อมผา ถ้ำใหญ่น้อย เป็นที่สงัดวิเวก ภิกษุทั้งหลายเธอจงไปอยู่สถานที่อย่างนั้น

เพราะสถานที่น่ากลัวดังกล่าว ทำให้จิตไม่กล้าแส่ส่ายออกไปหาอารมณ์อะไร นอกจากเมื่อกลัวแล้วก็ต้องหันกลับมาพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พึ่งตัวเองด้วยการบริกรรมอยู่แต่ภายในกายในจิต นับเป็นกุศโลบายที่ได้ผลอยู่ทุกกาล ทุกสมัยโดยแท้

ในจำนวนผู้ที่เรียนวิชาได้สำเร็จนั้นตามคำบอกเล่าที่สืบทอดกันมาถึงหลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาณสังวโร วัดสุวรรณโคตมาราม (วัดคลองมอญ) อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท ท่านบอกว่า การศึกษาวิทยาคุณในสำนักหลวงปู่ศุขนั้นท่านแบ่งลำดับชั้นแห่งความสำเร็จใน ‘สูตร’ ออกเป็น ๔ ระดับ

ด้วยหลวงปู่ศุขท่านมีตำรับแห่งวิทยาคุณมากมายให้ศึกษาและสั่งสอน หากการจะรู้ว่าใครสำเร็จขั้นใดนอกจากองค์หลวงปู่เองแล้วก็คงมีเพียงผู้สำเร็จเองเท่านั้นที่จะบอกได้ว่าตนก้าวหน้าไปถึงไหน และหลวงปู่ศุขท่านได้แบ่งลำดับวิชาออกเป็น ๔ คัมภีร์ คือ

อิ ติ ปิ โส
หลวงพ่อมหาโพธิ์เล่าว่าองค์หลวงปู่ศุขนั้นท่านสำเร็จทั้งสี่ตัว กรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์สำเร็จสองตัว คือ อิ ติ ว่ากันว่าเพียงสำเร็จตัว อิ เพียงตัวเดียวก็สามารถแสดงฤทธิ์ได้เป็นที่น่าเลื่อมใสยิ่งนัก

หลวงปู่ศุขมีพระภิกษุคู่บารมีอยู่สองรูป รูปหนึ่งถือเป็นมือขวาเลยทีเดียวท่านชื่อว่า พระสมุห์กลับ แสงเขียว วัดดอนตาล อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท อีกรูปหนึ่งถือเป็นมือซ้ายชื่อ พระใบฎีกาบุญยัง คังคสโร วัดหนองน้อย อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
อันพระสมุห์กลับ แสงเขียว นั้นเป็นพระที่ทรงอิทธิฤทธิ์มาก สามารถแสดงอำนาจให้ปรากฏได้อย่างน่าทึ่ง เป็นที่เชื่อมั่นกันว่าท่านต้องสืบทอดทุกสิ่งแทนองค์หลวงปู่ศุขได้แน่นอน หากหลวงปู่ละสังขารไปแล้ว

แต่เรื่องกรรมวิบากเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจรู้ได้ ด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ ทำให้พระสมุห์กลับต้องลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาสทั้ง ๆ ที่อนาคตในร่มกาสาวพัสตร์ยังเรืองรองอยู่ในสายตาของทุกคนที่รู้จักท่าน
แต่ใช่ว่าเมื่อสึกแล้วจะไม่ขลัง ท่านยังท่องบ่น ทบทวนและทดสอบวิชาของท่านอยู่เสมอ ทำให้ท่านมีศิษย์ไม่ใช่น้อยแม้เป็นฆราวาสแล้วก็ตาม

ในส่วนของหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย ท่านสามารถดำรงสมณเพศได้จนสิ้นอายุ หลวงพ่อมหาโพธิ์เล่าว่าหลวงพ่อบุญยังนั้นสำเร็จวิชาจากหลวงปู่ศุขเกือบสองตัว คือ อิ กับ ติ แต่ยังไม่ทันได้จบคัมภีร์ ติ ท่านก็มรณภาพจากไปก่อนด้วยชนมายุเพียง ๕๕ ปี

ขนาดนั้นก็ยังแสดงอภินิหารให้ปรากฏจนหลวงพ่อมหาโพธิ์ให้ความยอมรับนับถือเลื่อมในอย่างถึงใจ หลวงพ่อบุญยังเป็นทั้งอาจารย์และลุงของหลวงพ่อมหาโพธิ์ ท่านจึงถ่ายทอดวิชาให้อย่างไม่ปิดบังอำพราง และแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ให้ดูเป็นกำลังใจในการเรียนเสมอ

เช่น คราวหนึ่ง ท่านให้หลวงพ่อมหาโพธิ์นำโหลแก้วอย่างที่เขาใส่ยาดองมาบรรจุน้ำให้เต็ม แล้วท่านปั้นเศษเทียนขี้ผึ้งเป็นลูกกลม ๆ อย่างลูกอม ท่านถามหลวงพ่อมหาโพธิ์ว่าลูกเทียนนี้เมื่อใส่น้ำแล้วจะลอยหรือจม หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านเห็นเทียนจนคุ้นชิน รู้คุณสมบัติของมันดี จึงตอบไปว่า ลอยครับ
หลวงพ่อบุญยังท่านก็แล้วหย่อนลูกเทียนลงไปในน้ำ ปรากฏว่าลูกอมเทียนนั้นจมดิ่งดังจ๋อมราวกับมีน้ำหนักมากเหลือประมาณ เมื่อจมถึงก้นโหลหลวงพ่อบุญยังก็นั่งบริกรรมเพียงครู่เดียวก้อนเทียนนั้นก็ลอยฟ่องขึ้นมาที่ผิวน้ำ จากนั้นท่านก็ชี้ไปที่ก้อนเทียนบังคับให้ลอยขึ้นลงไปมาตามนิ้วที่ท่านชี้
ที่สุดก็บังคับให้ลอยอยู่กลางโหล

เหตุนี้ทำให้หลวงพ่อมหาโพธิ์เลื่อมใสในวิทยาคุณและการฝึกจิต ทำให้ท่านมีศรัทธาที่จะร่ำเรียนจนได้วิชามาสงเคราะห์ศิษยานุศิษย์เป็นที่กว้างขวางกระทั่งถึงวันที่ท่านละสังขาร


11  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / เคล็ดลับการใช้สมาธิช่วยให้เรียนเก่ง หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เมื่อ: 06 มิถุนายน 2557 11:54:07




เคล็ดลับการใช้สมาธิช่วยให้เรียนเก่ง
โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย



นักศึกษาซึ่งอยู่ในวัยกำลังศึกษา ถ้าหากตั้งใจปฏิบัติสมาธิพิจารณาธรรมก็ให้ยกเอาวิชาความรู้ที่เราเรียนมา ในชั้นของเรานั่นแหละมาเป็นอารมณ์พิจารณา เราเรียนมาทางวิทยาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือศาสตร์อะไรก็ตาม อย่างวันนี้ไปโรงเรียนมา อาจารย์สอนอะไรมา พอกลับมาถึงที่พัก อาบน้ำ รับประทานอาหาร อ่านหนังสือดูตำรับตำรา

ก่อนนอนไหว้พระ นั่งสมาธิ เวลาเรานั่งสมาธิ ให้พยายามคิดทบทวนความรู้ที่เรียนมาแต่ละวันๆ เพื่อจะให้เรารู้ได้ว่าวันนี้เราจำได้กี่มากน้อย เอาหลักวิชาที่เราเรียนมานั่นแหละ เป็นอารมณ์จิตในการพิจารณา อย่าไปเข้าใจว่าเอาสิ่งนั้นมาพิจารณาแล้ว จิตออกนอกลู่นอกทาง ไม่ใช่อย่างนั้น แม้แต่ว่าเราตั้งใจปฏิบัติสมาธิเอาสิ่งอื่นเป็นอารมณ์ เช่น บริกรรมภาวนา เป็นต้น เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิ ตามธรรมชาติแล้ว จิตของเราหนักอยู่ในแง่ไหน ผูกพันอยู่กับเรื่องอะไร มันจะวิ่งไปหาสิ่งนั้น แล้วจะไปคิดปรุงแต่งวิจัยอยู่ในสิ่งนั้นๆ อันนี้หมายถึงสมาธิที่เป็นเองโดยอัตโนมัติ มันจะเป็นเช่นนั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น เราอย่าไปเข้าใจผิดว่าจิตมันฟุ้งซ่านหรือว่าออกนอกลู่นอกทาง เพราะคำว่า สภาวธรรม หมายถึง กายกับใจของเรา สิ่งที่เราสามารถรับรู้ได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ รวมทั้งธุรกิจการงานอันเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน การศึกษาวิชาความรู้ที่เราเรียนมานั้นๆ อันนี้เป็นอารมณ์จิตของผู้ปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งรู้ของจิต เป็นสิ่งระลึกของสติ

ถ้าเราดำเนินการปฏิบัติดังที่กล่าวนี้ สมาธิกับงานของเราจะมีความสัมพันธ์กัน แล้วเราจะรู้สึกว่าโอกาสที่เราปฏิบิติสมาธิมันจะไม่มีอุปสรรคขัดข้อง เพราะว่าเราเอาทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอารมณ์จิตในการภาวนาได้ เช่นอย่างเวลานักศึกษาจะปฏิบัติสมาธิในห้องเรียน พออาจารย์มายืนที่หน้าห้อง เรามองจ้องไปที่ตัวอาจารย์ ส่งจิตไปรวมไว้ที่ตัวอาจารย์มายืนที่หน้าห้อง เรามองจ้องไปที่ตัวอาจารย์ ส่งจิตไปรวมไว้ที่ตัวอาจารย์ อย่าให้สายตาและจิตไปอื่น จ้องอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะจบชั่วโมงที่มีอาจารย์มาสอน

เราจะได้สมาธิในการเรียน ถ้าปฏิบัติต่อเนื่องกันจริงๆ ในเมื่อได้สมาธิอย่างเข้มแข็ง เวลาไปสอบ อ่านคำถามจบ จิตจะว่างลงนิดหนึ่ง คำตอบจะผุดขึ้นมา เราจะเขียนเอา เขียนเอา ไม่ต้องคิดอะไรมาก บางทีเวลาก่อนสอบ จิตของเราจะบอกให้ดูหนังสือเล่มนั้น จากหน้านั้นไปถึงหน้านั้น ข้อสอบจะออกที่ตรงนี้ อันนี้เป็นวิธีการปฏิบัติสมาธิให้สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน ถ้าหากเราพยายามปฏิบัติต่อเนื่องกันทุกชั่วโมงที่มีอาจารย์มาสอน เราจะได้พลังของสมาธิ มีสติสัมปชัญญะเข้มแข็ง ทำให้เราเรียนดีขึ้นๆๆ อันนี้คือผลประโยชน์ที่เราจะพึงได้



12  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / พระพุทธคุณ ๑๐๐ ประการ เมื่อ: 06 มิถุนายน 2557 11:51:50
พระพุทธคุณ ๑๐๐ ประการ

(คำของอุบาลีคหบดี ผู้เคยเป็นสาวกของนิคันถนาฏบุตรมาก่อน กล่าวตอบแก่คณะนิครนถ์ว่าเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนใจมานับถือพระผู้มีพระภาคเจ้า. ม.ม. ๑๓/๗๗/๘๒ - พุทธประวัติจากพระโอษฐ์, พุทธทาส)

ดูก่อนท่านผู้เจริญ ! ขอท่านจงฟังซึ่งคำของข้าพเจ้าเถิด : ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :-
1. เป็นนักปราชญ์ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญา
2. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากโมหะ
3. เป็นผู้มีเสาเขื่อนเครื่องตรึงจิตอันหักแล้ว
4. เป็นผู้มีชัยชนะอันวิชิตแล้ว
5. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากสิ่งคับแค้นสะเทือนใจ
6. เป็นผู้มีจิตสม่ำเสมอด้วยดี
7. เป็นผู้มีปรกติภาวะแห่งบุคคลผู้เป็นพุทธะ
8. เป็นผู้มีปัญญาเครื่องยังประโยชน์ให้สำเร็จ
9. เป็นผู้ข้ามไปได้แล้วซึ่งวัฏฏะสงสารอันขรุขระ
10. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากมลทินทั้งปวง

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
11. เป็นผู้ไม่มีการถามใครว่าอะไรเป็นอะไร
12. เป็นผู้อิ่มแล้วด้วยความอิ่มในธรรมอยู่เสมอ
13. เป็นผู้มีเหยื่อในโลกอันทรงคายทิ้งแล้ว
14. เป็นผู้มีมุทิตาจิตในสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
15. เป็นผู้มีสมณภาวะอันทรงกระทำสำเร็จแล้ว
16. เป็นผู้ถือกำเนิดแล้วแต่กำเนิดแห่งมนูโดยแท้
17. เป็นผู้มีสรีระอันมีในครั้งสุดท้าย
18. เป็นผู้เป็นนรชนคือเป็นคนแท้
19. เป็นผู้อันใครๆ กระทำอุปมามิได้
20. เป็นผู้ปราศจากกิเลสอันพึงเปรียบได้ด้วยธุลี

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
21. เป็นผู้หมดสิ้นแล้วจากความสงสัยทั้งปวง
22. เป็นผู้นำสัตว์สู่สภาพอันวิเศษ
23. เป็นผู้มีปัญญาเครื่องตัดกิเลสดุจหญ้าคาเสียได้
24. เป็นสารถีอันประเสริฐกว่าสารถีทั้งหลาย
25. เป็นผู้ไม่มีใครยิ่งกว่าโดยคุณธรรมทั้งปวง
26. เป็นผู้มีธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความชอบใจของสัตว์ทั้งปวง
27. เป็นผู้มีกังขาเครื่องข้องใจอันทรงนำออกแล้วหมดสิ้น
28. เป็นผู้กระทำซึ่งความสว่างแก่ปวงสัตว์
29. เป็นผู้ตัดแล้วซึ่งมานะเครื่องทำความสำคัญมั่นหมาย
30. เป็นผู้มีวีรธรรมเครื่องกระทำความแกล้วกล้า

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
31. เป็นผู้เป็นยอดมนุษย์ แห่งมนุษย์ทั้งหลาย
32. เป็นผู้มีคุณอันใครๆ กำหนดประมาณมิได้
33. เป็นผู้มีธรรมสภาวะอันลึกซึ้งไม่มีใครหยั่งได้
34. เป็นผู้ถึงซึ่งปัญญาเครื่องทำความเป็นแห่งมุนี
35. เป็นผู้กระทำความเกษมแก่สรรพสัตว์
36. เป็นผู้มีเวทคือญาณเครื่องเจาะแทงซึ่งโมหะ
37. เป็นผู้ประดิษฐานอยู่ในธรรม
38. เป็นผู้มีพระองค์อันทรงจัดสรรดีแล้ว
39. เป็นผู้ล่วงกิเลสอันเป็นเครื่องข้องเสียได้
40. เป็นผู้หลุดรอดแล้วจากบ่วงทั้งปวง

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
41. เป็นผู้เป็นดังพระยาช้างตัวประเสริฐ
42. เป็นผู้มีการนอนอันสงัดจากการรบกวนแห่งกิเลส
43. เป็นผู้มีกิเลสเครื่องประกอบไว้ในภพสิ้นสุดแล้ว
44. เป็นผู้พ้นพิเศษแล้วจากทุกข์ทั้งปวง
45. เป็นผู้มีความคิดเหมาะเจาะเฉพาะเรื่อง
46. เป็นผู้มีปัญญาเครื่องทำความเป็นแห่งมุนี
47. เป็นผู้มีมานะเป็นดุจธงอันพระองค์ทรงลดลงได้แล้ว
48. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากระคะ
49. เป็นผู้มีการฝึกตนอันฝึกแล้ว
50. เป็นผู้หมดสิ้นแล้วจากกิเลสเครื่องเหนี่ยวหน่วงให้เนิ่นช้า

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
51. เป็นผู้แสวงหาพบคุณอันใหญ่หลวง องค์ที่เจ็ด
52. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากความคดโกง
53. เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งวิชชาทั้งสาม
54. เป็นผู้เป็นพรหมแห่งปวงสัตว์
55. เป็นผู้เสร็จจากการอาบการล้างแล้ว
56. เป็นผู้มีหลักมีเกณฑ์ในการกระทำทั้งปวง
57. เป็นผู้มีกมลศันดานอันระงับแล้ว
58. เป็นผู้มีญาณเวทอันวิทิตแล้ว
59. เป็นผู้ทำลายซึ่งธานีนครแห่งกิเลสทั้งหลาย
60. เป็นผู้เป็นจอมแห่งสัตว์ทั้งปวง

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
61. เป็นผู้ไปพ้นแล้วจากข้าศึกคือกิเลส
62. เป็นผู้มีตนอันอบรมถึงที่สุดแล้ว
63. เป็นผู้มีธรรมที่ควรบรรลุอันบรรลุแล้ว
64. เป็นผู้กระทำซึ่งอรรถะทั้งหลายให้แจ่มแจ้ง
65. เป็นผู้มีสติสมบูรณ์อยู่เองในทุกกรณี
66. เป็นผู้มีความรู้แจ้งเห็นแจ้งเป็นปรกติ
67. เป็นผู้มีจิตไม่แฟบลงด้วยอำนาจแห่งกิเลส
68. เป็นผู้มีจิตไม่ฟูขึ้นด้วยอำนาจแห่งกิเลส
69. เป็นผู้มีจิตไม่หวั่นไหวด้วยอำนาจแห่งกิเลส
70. เป็นผู้บรรลุถึงซึ่งความมีอำนาจเหนือกิเลส

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
71. เป็นผู้ไปแล้วโดยชอบ
72. เป็นผู้มีการเพ่งพินิจทั้งในสมาธิและปัญญา
73. เป็นผู้มีศันดานอันกิเลสตามถึงไม่ได้แล้ว
74. เป็นผู้หมดจดแล้วจากสิ่งเศร้าหมองทั้งปวง
75. เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิอาศัยไม่ได้แล้ว
76. เป็นผู้ไม่มีความหวาดกลัวในสิ่งเป็นที่ตั้งแห่งความกลัว
77. เป็นผู้สงัดแล้วจากการรบกวนแห่งกิเลสทั้งปวง
78. เป็นผู้บรรลุแล้วซึ่งธรรมอันเลิศ
79. เป็นผู้ข้ามแล้วซึ่งโอฆกันดาร
80. เป็นผู้ยังบุคคลอื่นให้ข้ามซึ่งโอฆะนั้น

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
81. เป็นผู้มีศันดานสงบรำงับแล้ว
82. เป็นผู้มีปัญญาอันหนาแน่น
83. เป็นผู้มีปัญญาอันใหญ่หลวง
84. เป็นผู้ปราศจากแล้วจากโลภะ
85. เป็นผู้มีการไป การมาอย่างพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
86. เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี
87. เป็นบุคคลผู้ไม่มีบุคคลใดเปรียบ
88. เป็นบุคคลผู้ไม่มีบุคคลใดเสมอ
89. เป็นบุคคลผู้มีญาณอันแกล้วกล้า
90. เป็นผู้มีปัญญาละเอียดอ่อน

ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์ใด; พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น :
91. เป็นผู้เจาะทะลุข่ายคือตัณหาเครื่องดักสัตว์
92. เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานเป็นปรกติ
93. เป็นผู้มีกิเลสดุจควันไฟไปปราศแล้ว
94. เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่ฉาบทาได้อีกต่อไป
95. เป็นผู้เป็นอาหุเนยยบุคคลควรแก่ของที่เขานำไปบูชา
96. เป็นผู้ที่โลกทั้งปวงต้องบูชา
97. เป็นบุคคลผู้สูงสุดแห่งบุคคลทั้งหลาย
98. เป็นผู้มีคุณอันไม่มีใครวัดได้
99. เป็นผู้เป็นมหาบุรุษ
100. เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความเลิศด้วยเกียรติคุณ ;
ข้าพเจ้า เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น; ดังนี้ แล.

13  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ตะลึง! พระพุทธรูปอายุนับพันปีโผล่กลางไร่มัน เมื่อ: 06 มิถุนายน 2557 11:49:30
ตะลึง! พระพุทธรูปอายุนับพันปีโผล่กลางไร่มัน







พบพระพุทธรูปโบราณสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 7 อายุไม่ต่ำกว่าพันปี นักโบราณคดีหวังคนซื้อก่อนหน้าคืนเก็บไว้เป็นสมบัติศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์

วันพฤหัสบดี 22 พฤษภาคม 2557 เวลา 12:31 น.
เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากนายคำดี เหล่าสิงห์ ผู้ใหญ่บ้าน บ้านหนองแวงใหญ่ หมู่ 2 ต.ตลาดไทร อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา ว่ามีชาวบ้านพบพระพุทธรูปโบราณกลางไร่มันสำปะหลังกว่า 18 ชิ้น พร้อมภาชนะที่ใส่องค์พระพุทธรูป ต่อมานายวงเทพ เขมวิรัตน์ นายอำเภอชุมพวง พร้อมเจ้าหน้าที่อำเภอ ทราบข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบ พร้อมนายสมเดช ลีลามโนธรรม หัวหน้ากลุ่มงานโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ 12 อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เบื้องต้นหลังจากเข้าตรวจสอบบริเวณโดยรอบห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ไร่มันสำปะหลังที่เก็บผลผลิตไปแล้วของนางจี ยางนอก อายุ 59 ปี บ้านเลขที่ 70/1 โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ทางอำเภอและสำนักศิลปากรที่ 12 กำลังตรวจสอบได้มีชาวบ้านที่ทราบต่างเดินทางมามุงดูบริเวณที่พบพระพุทธรูปโบราณเป็นจำนวนมาก

นางจี กล่าวว่า ช่วงบ่ายวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่รถไถได้ไถพรวนดินทำร่องไร่มันสำปะหลัง เพื่อทำนาหว่าน กระทั่งหลานสาว 2 คนลงไปเดินเล่นในบริเวณที่ไถ และได้เอาพระพุทธรูปมาโยนเล่น 3 องค์ ทีแรกเห็นนึกว่าหลานโยนหัวก๊อกน้ำประปา แต่พอเข้ามาดู และจับจึงได้รู้ว่าเป็นองค์พระพุทธรูป ก่อนจะถามหลานว่า หยิบมาจากตรงไหน จากนั้นแม่ของหลานสาว คือ นางปิยดา เฉยไธสง เดินดูบริเวณที่พบ ก็ได้สำรวจดูรอบ ๆ และได้พบพระพุทธรูปเพิ่มอีก 15 องค์ จนกระทั้งตกเย็นจึงกลับเข้าหมู่บ้านพอตื่นเช้ามาก็ได้เอามาให้เพื่อนบ้านดู และได้มีเซียนพระที่ทราบข่าวก็มาซื้อไปองค์ละ 2-3 หมื่นบาท และก็เหลืออยู่อีก 2 องค์ที่ได้นำเอามาให้ทางเจ้าหน้าที่ดู

ด้านนายสมเดช กล่าวว่า จากที่ได้ดูสถานที่โดยรอบบริเวณที่พบนั้น สันนิษฐานว่าพื้นที่บริเวณนี้อาจเป็นชุมชนหมู่บ้านเก่า ส่วนองค์พระพุทธรูปดูจากขนาดองค์พระพุทธรูป องค์แรกเป็นแบบนาคปรก และองค์ที่ 2 เป็นองค์เทวะ ฐานหน้ากว้าง 5 ซม. สูง 10 ซม. เนื้อองค์พระพุทธรูปเป็นเนื้อสำฤทธิ์ คาดว่า น่าจะป็นพระพุทธรูปในพุทธศาสนาประมาณ 900 ปี ถึง 1,000 ปี อยู่ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1761) และถ้วยที่เป็นภาชนะที่ใส่องค์พระพุทธรูปเป็นเนื้อเดียวกันกับที่เคยพบใน จ.บุรีรัมย์ สำหรับองค์พระพุทธรูปที่เจ้าของที่พบและได้จำหน่ายไปแล้วนั้น ก็คงไม่สามารถติดตามคืนได้ แต่จะเอาจำนวนที่เหลืออยู่ไปตรวจสอบตามขั้นตอนที่สำนักศิลปกรที่ 12 นครราชสีมา เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดอีกครั้ง สำหรับองค์พระพุทธรูปที่มีผู้มาซื้อไปอีก 16 องค์นั้น ก็ขึ้นอยู่ว่าผู้ที่ซื้อไปจะนำมาให้ทางหน่วยงานหรือเปล่า หากเป็นสิ่งที่ดีก็หวังว่าจะนำมาคืนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการหาความรู้จากวัตถุโบราณ และเป็นข้อมูลทางการศึกษาต่อไป




จากเดลินิวส์
14  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / บุพกรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ: 06 มิถุนายน 2557 11:47:07
บุพกรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระพุฒโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้นำมาเขียน
สรุปไว้ในผลงานของท่านว่า "ขึ้นชื่อว่าผลกรรมแล้วไม่มีใคร
สามารถห้ามได้ นั้นก็ หมายความว่า คนเราเมื่อทำอะไรลงไปแล้ว
ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ถึงคราวที่ความดีความชั่ว จะให้ผลนั้นย่อม
ไม่มีใครห้ามได้ แม้พระพุทธเจ้า ของเราเองก็ทรงห้ามไม่ได้"
ความจริงข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 32 (ขุททกนิกาย อปทาน)
ซึ่งในพระไตร ปิฏกเล่มนี้ มีกล่าวไว้ว่า ...

พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงกรรมเก่าที่มาให้ผลแก่พระองค์ กรรมเก่า
ที่ตรัสเล่านั้นเป็นกรรมเก่าที่ทำไว้ในอดีตชาติ เมื่อครั้งยังเป็นปุถุชน
แล้วมาให้ผลใน ชาติปัจจุบันถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ก็ยังไม่พ้นไปจากผลของ กรรมเก่านั้นซึ่งนำมาสรุปกล่าวได้ดังนี้

กรรมเก่าอย่างแรก คือ กล่าวตู่ผู้มีศีลด้วยเรื่องไม่จริง
พระองค์ตรัสเล่าว่า เป็นกรรมเก่าทำไว้ในหลายชาติในอดีตดังนี้
ในชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นนักเลง ชื่อ "ปุนาลิ" ได้กล่าวตู่ (ใส่ร้าย)
พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า "สุรภี" ว่าทำผู้หญิงท้อง ตายจากชาตินั้น
บาปกรรมส่งผลให้ ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนา
อย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ส่งผลให้พระองค์มาถูกนางสุนทริกา
กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนตั้งครรภ์

ต่อมาในชาติหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ได้ทรง
กล่าวตู่พระเถระชื่อ "นันทะ" พระสาวกองค์หนึ่ง ของพระพุทธเจ้า
ด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิด
อยู่ในนรกนานนับหมื่นปี เกิดมาในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูก นางจิญจมาณวิกา
กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนนางตั้งครรภ์อีกเช่นกัน

กรรมเก่าอย่างที่สอง คือ ฆ่าน้องชายต่างมารดา
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกเศรษฐี
บิดาของพระองค์มีภรรยาหลายคน ภรรยาคนหนึ่ง มีลูกชายพระองค์
เกรงว่าทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งไปให้แก่น้องชายต่างมารดานั้น
จึงลวงน้องชายไปฆ่าที่ซอกเขา แล้วเอาหินทับไว้ ตายจากชาตินั้น
บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานปี เกิดมาในชาตินี้แม้จะได้
ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้
พระองค์ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินกระทบนิ้ว พระบาทจนห้อพระโลหิต

กรรมเก่าอย่างที่สาม คือ จุดไฟดักทางพระปัจเจกพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นเด็กแสนซน
วันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับเพื่อนเด็ก เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง
กำลังเดินมา จึงชวนกันจุดไฟดักทางเพื่อมิให้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้
ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน
เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมยัง
หลงเหลืออยู่ก็ ส่งผลให้พระองค์ถูกไฟไหม้ที่พระบาท

กรรมเก่าอย่างที่สี่ คือ ไสช้างจับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต คราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า
มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก พระองค์เกิดเป็นควาญช้าง
วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งบิณฑบาตแล้วเกลียดจึงไสช้าง
ให้จับพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น ตายจาก ชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้
ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็น
พระพุทธเจ้า เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ส่งผลให้พระองค์ถูก
พระเทวทัตยุยงพระเจ้าอชาตศัตรู ให้ปล่อยช้างนาฬาคีรีมาแทงพระองค์

กรรมเก่าอย่างที่ห้า คือ นำทหารออกศึก
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นแม่ทัพนำทหาร
ออกรบฆ่าข้าศึกตายเป็นจำนวนมากด้วยหอก ตายจาก ชาตินั้น บาปกรรม
ส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่
ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตชักชวนนายขมังธนูผู้ดุร้ายมาฆ่า

กรรมเก่าอย่างที่หก คือ เห็นคนฆ่าปลาแล้วชอบใจ
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็น
ลูกชาวประมง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมง
ฆ่าปลา แล้วเกิดความสนุกยินดีสนุกสนาน มาเกิดในชาตินี้
แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว บาปกรรมก็ยังส่งผล
ให้พระองค์รู้สึกปวดพระเศียรเมื่อคราวที่พวกเจ้าศากยะ
พระประยูรญาติของพระองค์ ถูกพระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์
แห่งแคว้นโกศลยกทัพบุกสังหาร

กรรมอย่างที่เจ็ด คือ ด่าพระสาวกของพระพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคน
ปากกล้าด่าว่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าผุสสะ (พระพุทธเจ้า
พระองค์ที่ 17 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏ
พระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนา) และพูดแดกดันทำนองว่า
ให้ท่านเหล่านั้นได้ฉันแต่ข้าวชนิดเลว อย่าให้ได้ฉันข้าวดีๆ
อย่างข้าวสาลีเลย ตายจากชาตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิด
อยู่ในนรกนานแสนนาน
มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว บาปกรรม
ก็ยังส่งผลให้พระองค์ได้รับนิมนต์จากพราหมณ์เวรัญชาให้ไป
จำพรรษาในเมืองเวรัญชา ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงก็เกิด
ข้าวยากหมากแพง ทำให้พระองค์ต้องเสวยข้าวชนิดเลว(ข้าวแดง)
อยู่นานถึง 3 เดือน

กรรมอย่างที่แปด คือ มีส่วนร่วมในการจัดมวยปล้ำ
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนจัด
มวยปล้ำ มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
บาป กรรมยังส่งผลให้พระองค์มีโรคประจำตัวพระองค์คือ
ปวดพระปฤษฏางค์ (ปวดหลัง)

กรรมอย่างที่เก้า คือ เป็นหมอยารักษาคนไข้ตาย
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นหมอยา
รับรักษาลูกชายเศรษฐี โดยวิธีให้ถ่ายยา จนลูกชายเศรษฐีตาย
ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรก มาเกิด
ในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเศษกรรมที่ยัง
หลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์เกิดพระโรคปักขันทิกาพาธ
(โรคท้องร่วง) หลัีงจากเสวยสุกรมัททวะก่อนเสด็จดับขันธ
ปรินิพพาน

กรรมอย่างที่สิบ คือ เยาะเย้ยพระพุทธเจ้า
พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นชายหนุ่ม
ชื่อ "โชติปาละ" วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ (พระพุทธเจ้า
พระองค์ที่ 26 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนาม
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา) แล้วกราบทูลทำนองเย้ยหยันว่า ทำไมจึง
ได้ตรัสรู้ช้าต้องบำเพ็ญเพียรอยู่นานกว่าจะตรัสรู้ได้ มาเกิดในชาตินี้
ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ แต่ด้วยผล
กรรมนั้น จึงส่งผลให้พระองค์หลงทางในการแสวงหาโมกธรรม
จนต้องบำเพ็ญทุกขรกิริยา อันทำให้พระองค์ต้องประสบกับทุกข์
ทรมานอย่างแสนสาหัสกว่าจะตรัสรู้ได้

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือกรรมเก่าที่ไม่ดีของพระพุทธเจ้า
ที่พระองค์ตรัสเล่าไว้อย่างเปิดเผย พระไตรปิฏกบอกว่า
พระองค์ตรัสเล่า ให้พระสาวกจำนวนมากที่มาเฝ้าพระองค์
ฟังขณะที่ประทับนั่งอยู่บนพื้นหินแก้ว ในละแวกป่าใกล้
สระอโนดาตเชิงป่าหิมพานต์

ณ ที่นั้นนอกจากจะได้ตรัสถึงกรรมเก่าที่ไม่ดีแล้วพระองค์
ก็ทรง ตรัสถึงกรรมเก่าที่ดีซึ่งเป็นปัจจัยให้พระองค์ได้มาตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้าไว้ด้วย นั่นคือ ถวายผ้าเก่าแก่พระ พระองค์
ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีตนั้นพระองค์เกิดเป็นคนยากจน
เห็นพระสาวกของพระพุทธเจ้ารูปหนึ่งซึ่งถืออยู่ป่า เป็นวัตร
แล้วเลื่อมใสจึงถวายผ้าห่มเก่าผืนเดียวที่ตัวเองมีอยู่แก่ท่าน
พร้อมกันนั้นก็ได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธเจ้า จากพระสาวก
รูปนั้นแล้วเกิดเลื่อมใสยิ่งขึ้นจึงตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
เป็นครั้งแรกการเริ่มต้นปรารถนา แต่ครั้งนั้นของพระองค์ส่งผลให้
ทำความดีมาอย่างต่อเนื่องจนมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้

เรื่องราวที่กล่าวมานี้ย่อมชี้ให้เห็นว่ากรรมที่ทำแล้วไม่ว่าดีหรือชั่ว
ก็ตามย่อมคอยโอกาสให้ผลอยู่ตลอดเวลา ตราบที่ผู้ทำกรรม
ยังเวียนวายตายเกิดแม้ชาติสุดท้ายจะได้บรรลุอรหัตผลแล้ว
แต่โดยเหตุที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งชีวิต นี้เกิดมาจากกรรมเก่าฉะนั้น
ยังคงต้องได้รับผลอยู่ดี

พระพุทธเจ้าของเราเองก็เช่นกัน แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
แต่กรรมเก่าก็ยังหาโอกาสให้ผลอยู่เป็นระยะกรรมเก่าบางอย่างก็ให้ผลมาแล้ว
แต่ ยังมีเศษเหลืออยู่ แต่กรรมเก่าบางอย่างก็ยังมิได้ให้ผลมาเลยและมาให้ผล
เต็มในชาตินี้ เห็นไหมว่ากรรมยิ่งใหญ่ขนาดไหน
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราเข้าใจ ให้ถูกต้องและการแก้กรรมที่ดีนั้นก็คือ
ไม่ทำความชั่วทำแต่ความดีแล้วจิตของเราก็จะพบกับความสุขสมบูรณ์แล.

15  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / Re: วิญญาณทหารสิงร่างแม่ ขอบคุณขณะรับเงินช่วยเหลือ เมื่อ: 06 มิถุนายน 2557 11:14:50


คลิปวิญญาณทหารสิงร่างแม่ ขอบคุณขณะรับเงินช่วยเหลือ - Springnews




16  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / วิญญาณทหารสิงร่างแม่ ขอบคุณขณะรับเงินช่วยเหลือ เมื่อ: 06 มิถุนายน 2557 11:13:15



วิญญาณทหารสิงร่างแม่ ขอบคุณขณะรับเงินช่วยเหลือ


แม่อาสาสมัครทหารพรานที่เสียชีวิตจากการถูกคนร้ายยิงถล่มที่สายบุรี มีอาการเหมือนผีเข้าระหว่างรอรับศพลูกชายกลับถึงบ้านเกิดที่ จ.เชียงใหม่ ต่อหน้านายทหารและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จำนวนมาก เชื่อดวงวิญญาณต้องการมาขอบคุณและร่ำลา

ช่วงบ่ายวันนี้ (5 มิ.ย.) ที่ท่าอากาศยานกองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ศรายุธ รังษี ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 นำทหารกองเกียรติยศรับศพอาสาสมัครทหารพราน ปพน สมมณีวรรณ อายุ 40 ปี ชาว อ.พร้าว จ.ชียงใหม่ ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนที่บ้านบาโงมูลง หมู่ 6 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี แล้วถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวนขับรถกระบะ ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียนเข้าประกบรถจักรยานยนต์ที่ใช้ลาดตระเวนแล้วใช้อาวุธสงครามยิงถล่มใส่ จนได้รับบาดเจ็บสาหัสพร้อมกับเพื่อนทหารพรานอีก 1 นาย แต่สุดท้ายทนพิษบาดแผลไม่ไหวและเสียชีวิตทั้งคู่ โดยศพของอาสาสมัครทหารพราน ปพน ได้ถูกลำเลียงด้วยเครื่องบิน C-130 ของกองทัพอากาศ มายังบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของครอบครัวและญาติมิตรที่มารอรับศพ

โดยญาติของอาสาสมัครทหารพราน ปพน สังกัดกรมทหารพรานที่ 42 ที่เสียชีวิตในครั้งนี้ บอกว่า อาสาสมัครทหารพราน ทำงานมาได้ประมาณ 7 ปีแล้ว เดิมอยู่ที่ อ.สะบ้าย้อย จ.นราธิวาส ก่อนที่จะขอย้ายไปอยู่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี แม้ว่าจะมีความเสี่ยงภัยมากขึ้น ที่ผ่านมาส่งเงินมาให้แม่ที่จังหวัดเชียงใหม่ทุกเดือนๆ ละ 3,000 บาท พร้อมทั้งกำลังสร้างบ้านใหม่ให้แม่และทำสวนลำไย โดยที่ตั้งใจว่าหากสวนลำไยให้ผลผลิตแล้วจะกลับมาทำสวนที่บ้านเกิด แต่ก็มาเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่เสียก่อน ทั้งๆ ที่บ้านใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ และลำไยที่ปลูกไว้ยังไม่ออกผล ซึ่งสร้างความเสียใจให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ในช่วงก่อนที่ศพของอาสาสมัครทหารพราน ปพน จะถูกลำเลียงมาถึงจังหวัดเชียงใหม่นั้น ได้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญขึ้น โดยในระหว่างที่ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 กำลังพูดคุยอยู่กับนางต่อมคำ บุญเติม มารดาของอาสาสมัครทหารพราน ปพน พร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัวนั้น ปรากฏว่าได้เกิดไฟฟ้าดับ จากนั้นนางต่อมคำ ได้มีอาการแปลกประหลาด คล้ายการชักเกร็ง แล้วลุกขึ้นยืนทำความเคารพแบบทหาร พร้อมทั้งพูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเหมือนผู้ชายว่า "ผมขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆ ครับ" ก่อนที่จะล้มลงหมดสติไปชั่วขณะ ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์หลายคน รวมทั้งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 และรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งหลายคนเชื่อว่าน่าจะเป็นดวงวิญญาณของอาสาสมัครทหารพราน ปพน ที่ต้องการมาขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องและให้ความช่วยเหลือครอบครัว

สำหรับศพของอาสาสมัครทหารพราน ปพน นั้น ครอบครัวจะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่สำนักปฏิบัติธรรมบ้าเหล่า ต.แม่แวน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ โดยที่จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 10 มิ.ย.57 ที่สุสานสามัคคี บ้านแม่เหียะ ต.แม่แวน อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ส่วนการให้ความช่วยเหลือครอบครัวนั้น ทางกองทัพได้มอบเงินบำเหน็จและเงินช่วยเหลือต่างๆ ในเบื้องต้นแล้วจำนวนหนึ่ง พร้อมจะมีการให้ความช่วยเหลืออื่นๆ อีกในลำดับต่อไป



17  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี / Re: ตำนาน ปนาลี หรือ การ์กอยล์ เมื่อ: 24 กันยายน 2556 10:52:16

นับว่าเจ้ารูปสลัก การ์กอยล์ เป็นประติมากรรมที่สวยงามชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว
และก็ไม่ได้มีไว้ประดับประดาอาคารเพื่อความสวยงามเท่านั้นยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย
นั่นคือ เป็นที่ระบายน้ำฝน

ถ้าสังเกตให้ดี จะเห็นว่า รูปสลักหน้าตาประหลาด ๆ เหล่านี้มักมีอากัปกิริยาแตกต่างกันไป
แต่จะมีจุดหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือ มีช่องทางให้ระบายน้ำได้ ไม่ว่าจะเป็นทางปาก จมูก หู
หรือส่วนอื่น ๆ ของรูปสลักเหล่านี้ ซึ่งบางครั้งอาจจะมีรูปร่างพิลึกพิลั่นอยู่บ้าง

มากล่าวถึงชื่อที่เรียกว่า การ์กอยล์ กันบ้าง สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า
ลา การ์กุยย์ (La Gargouille) ในภาษาฝรั่งเศส อันมีรากศัพท์มาจาก เกอร์กูลิโอ (Gurgulio)
ในภาษาละติน หมายถึง คอ และ พ้องกับเสียงของน้ำที่ไหลผ่านรางน้ำฝนบนตัวอาคาร
มีตำนานมากมายกล่าวถึงที่มาของชื่อ การ์กอยล์ หรือ ลา การ์กุยย์ นี้

แต่ตำนานเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย คือ ตำนานอันเก่าแก่ของฝรั่งเศส ที่เล่าขานกันว่า
ประมาณ ศตวรรษที่ 7 ณ หมู่บ้านรูออง (Rouen) ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส
มีมังกรไฟตัวหนึ่งซึ่งมีนิสัยดุร้ายอาศัยอยู่ในถ้ำใกล้ริมแม่น้ำแซน (Seine)
เจ้ามังกรตัวนี้ยื่นคำขาดให้ผู้คนในหมู่บ้านส่งหญิงพรหมจรรย์มาสังเวยมันทุกปี
มิฉะนั้นมันจะพ่นไฟให้ทั้งหมู่บ้านจมอยู่ในกองเพลิงภายในพริบตา
ด้วยความกลัว ชาวบ้านจึงจำต้องส่งหญิงสาวไปให้มันทุกปี หากปีใดไม่สามารถหาสาวบริสุทธ์ได้
ก็จำต้องส่งนักโทษไปแทน แน่นอนว่าเจ้ามังกรตัวนี้ไม่พอใจอย่างยิ่ง
ดังนั้นมันจะมาบินวนรอบ ๆ หมู่บ้านพร้อมกับพ่นไฟและ ส่งเสียงขู่คำรามในลำคอ
อันเป็นเหตุให้ชาวบ้านเรียกเจ้ามังกรตัวนี้ว่า ลา การ์กุยย์
ชาวบ้านรูอองต้องหวาดกลัวเจ้ามังกรพ่นไปตัวนี้เป็นเวลานาน

จนกระทั่งวันหนึ่ง นักบวช เซนต์ รูมานีส์ (Saint Romanis) ได้มาเดินทางเยือนหมู่บ้านแห่งนี้
เมื่อได้รับรู้ชะตากรรมของชาวบ้าน ท่านก็เสนอตัวเข้าช่วยเหลือ โดยมีข้อแม้ว่า
หากท่านปราบมังกรตัวนี้ได้ ชาวบ้านจะต้องสร้างโบสถ์ให้ท่านหนึ่งหลัง
ซึ่งชาวบ้านก็ตกลงรับเงื่อนไขนี้โดยดี (โบสถ์หนึ่งหลังแลกกับไปฆ่ามังกร คุ้มครับคุ้ม)



ท่านนักบวชได้เดินทางไปยังถ้ำมังกรโดยไม่มีอาวุธใด ๆ นอกจากไม้กางเขนและศรัทธาต่อพระเจ้าเท่านั้น
แต่กระนั้น ท่านก็สามารถสยบเจ้ามังกรร้ายตัวนี้ได้ และนำมันกลับมายังหมู่บ้าน
ชาวบ้านรูอองรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที
หลังจากต้องหวาดกลัวมังกรร้ายมาตลอดเวลา

ดังนั้นเพื่อให้แน่ใจว่ามังกรไฟ ลา การ์กุยย์ นี้จะไม่สามารถกลับมาทำร้ายใครได้อีก
ชาวบ้านจึงจับมังกรนี้มัดและเผามันทั้งเป็น แต่เนื่องจากเจ้า ลา การ์กุยย์ เป็นมังกรพ่นไฟ
เพลิงจึงเผาผลาญทุกส่วนของมัน ยกเว้น หัวและคอ ซึ่งไม่ว่าใช้วิธีใดก็ไม่สามารถทำลายมันได้
ดังนั้น เมื่อชาวบ้านสร้างโบสถ์ให้นักบวช แซงต์ รูมานีส์ ตามสัญญา
นักบวชเลยแนะนำให้เอาหัวมังกรไปประดับไว้กับตัวโบสถ์เพราะเจ้ามังกรตัวนี้มีอำนาจศักด์สิทธิ์
ดังนั้นมันจะสามารถขับไล่มิให้ภูติผีปีศาจหรือสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เข้ามาใน ตัวโบสถ์ได้
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การนำเอารูปสลักสัตว์หน้าตาประหลาดต่าง ๆ
มาประดับโบสถ์วิหารก็กลายเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาในยุโรป
และเมื่อชาวยุโรปได้อพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา ก็ได้นำประติมากรรมประหลาดนี้ไปด้วย
ดังนั้น ตามวิหารหรืออาคารจำนวนไม่น้อยในสหรัฐอเมริกาจึงประดับด้วยรูปสลักการ์กอยล์นี้เช่นกัน



ที่มา CMXSeed
18  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี / Re: ตำนาน ปนาลี หรือ การ์กอยล์ เมื่อ: 24 กันยายน 2556 10:47:50




ปนาลี เชื่อว่า เดิมเป็นมังกร ชาวยุโรปในยุคกลางเชื่อว่า การ์กอยล์เมื่อตอนกลางวันจะเป็นรูปสลัก
ตกกลางคืนจะกลายร่างเป็นมังกรบินไปทั่วหมู่บ้านหรือเมืองที่อาศัย
เพื่อปกป้องดูแลมิให้มีสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ เข้ามารังควาน

การ์กอยล์ ปัจจุบันอาศัยอยู่ตามโบสถ์ มหาวิหาร อาคารต่างๆ ของซีกโลกตะวันตก
มหาวิหารดังๆที่โลกรู้จักกันก็มีมังกรการ์กอยล์ อาศัยอยู่ เช่น



วิหารนอเตรอดาม แห่ง กรุงปารีส (Notre Dame de Paris)


มหาวิหารนอเตรอ-ดาม แห่ง ดิฌง (Notre Dame de Dijon)


วิหารแห่งชาติ ณ กรุงวอชิงตัน (Washington National Cathedral)




19  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี / Re: ตำนาน ปนาลี หรือ การ์กอยล์ เมื่อ: 24 กันยายน 2556 10:46:01




รูปอัปลักษณ์ที่มิได้ใช้เป็นรางน้ำแต่ใช้เป็นสิ่งตกแต่งตามภาษาสามัญก็ยังเรียกว่า ปนาลี
ถึงแม้ว่าทางสถาปัตยกรรมจะแยกการใช้ระหว่างคำว่า “ปนาลี” และคำว่า “รูปอัปลักษณ์”
ปนาลีจะเป็นคำที่ใช้สำหรับรูปอัปลักษณ์ที่ใช้เป็นรางน้ำ และ คำว่า “รูปอัปลักษณ์”
จะหมายถึงรูปสลักที่มิได้ใช้เป็นรางน้ำ

ปนาลี จะเป็นรูปสลักตามมุมต่าง ๆ ของสถาปัตยกรรมในแบบกอธิคในยุโรป
โดยมากจะสลักเป็นรูปมังกร หรือ ปีศาจในท่วงท่าต่าง ๆ โดยท่าที่รู้จักมากที่สุด
คือ นั่งยอง ๆ ตามองไปทางข้างหน้า



20  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ประวัติ ต้นกำเนิด ตำนานผี / ตำนาน ปนาลี หรือ การ์กอยล์ เมื่อ: 24 กันยายน 2556 10:44:19
ตำนาน ปนาลี หรือ การ์กอยล์



ปนาลี หรือ การ์กอยล์ (ภาษาอังกฤษ: Gargoyle) ความหมายของปนาลีทางสถาปัตยกรรม
หมายถึงหินที่แกะเป็นรูปอัปลักษณ์ (grotesque)
ยื่นออกไปจากสิ่งก่อสร้างที่มีรางและช่องให้น้ำจากหลังคาไหล ห่างจากตัวสิ่งก่อสร้าง

คำว่า “gargoyle” มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า “gargouille” ซึ่งแปลว่าคอหอย
ซึ่งมาจากภาษาละติน “gurgulio, gula” หรือคำที่มีรากมาจาก “gar” ที่แปลว่า กลืน
ซึ่งคล้ายเสียงน้ำไหลในท่อ

(ตัวอย่าง: ภาษาสเปน “garganta” แปลว่าคอหอย จึงใช้คำว่า “garganta” สำหรับ “gargoyle”)


หน้า:  [1] 2
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.197 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 28 มีนาคม 2567 08:34:16