[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 เมษายน 2567 23:29:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6
61  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / ตำนานปราสาทผีสิงที่ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยนที่สุดในโลก เมื่อ: 05 มีนาคม 2557 13:02:07
ตำนานปราสาทผีสิงที่ขึ้นชื่อว่าเฮี้ยนที่สุดในโลก



ปราสาท ลีป ตั้งอยู่ในเขต คันทรี ออฟฟารี่ ประเทศไอร์แลนด์ และสถานที่แห่งนี้เองที่คาดว่ามีผีสิงสถิตย์อยู่ที่นี่มากกว่า 20 ตน ความเก่าแก่นั้นไม่ต้องพูดถึง น้อยกว่า วิหารวิทบี้ เพียงแค่ 200 ปี นั่นก็คือหลังจากพระคริตส์ประสูติได้ 800 ปีนั่นเอง ปราสาทนี้สร้างโดย เผ่า โอ แบรนดอน ตระกูลใหญ่เป็นอันดับสองของผู้นำเผ่าชาวเคลท์เมื่อพันปีที่แล้ว โดยมีเผ่าอันดับหนึ่งคือโอ คารอล



กระทั่งในปี 1557 ตระกูล โอ คารอล ที่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าผู้นำชั้นหนึ่ง ได้เข้าครอบครองปราสาท ลีป หลังจากการตายของ มัลรูนี่ โอ คารอล ผู้นำ พวกสายตระกูลต่างๆ ก็ได้ขัดแย้งกันว่าใครสมควรจะสืบทอดผู้นำต่อไป

บรรดาลูกชายที่เกิดจาคนละแม่กันก็ต่างทำสงครามภายในเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำต่อจากพ่อ ผลปรากฏว่า ไทต์ โอ คารอล หนุ่มผู้ขึ้นชื่อว่ามีตาเดียวอันเนื่องมาจากเสียตาข้างนึงไปในการรบก็ได้ฆ่าพี่ชายของเขาซึ่งเป็นบาทหลวงและมีโบสถ์อยู่ในละแวกเดียวกันกับปราสาท ลีป.....กล่าวกันว่าเลือดของพี่ชายบาทหลวงของเขานั้นสาดไปทั่วโบสถ์

ไทต์ โอ คารอล ได้วางแผนชวนพวกญาติพี่น้องผู้ชายของเขาที่อาศัยอยู่ตามต่างจังหวัดให้มาร่วมงานเลี้ยงอันหรูหราที่จัดขึ้นเฉลิมฉลองที่ปราสาท ลีป หลังจากนั้นก็จัดการเก็บพวกญาติๆ เหล่านั้นเสียทุกคนเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้พวกนั้นคิดล้มล้างเขา และตั้งตนเป็นผู้นำเผ่าแทน

และแล้ววันเวลาแห่งความรุ่งเรืองของตระกูล โอ คารอลก็ต้องจบสิ้นลงด้วยน้ำมือของเด็กสาววัยรุ่น ผู้เป็น เหลนของ เหลนของเหลน ของ ไทต์ โอ คารอล คุณหนูตระกูล โอ คารอล ผู้นี้เกิดในราว ศตวรรษที 17 เธอเป็นลูกสาวของลอร์ด โอ คารอล ผู้สืบเชื้้อสายมาจาก ไทต์ โอ คารอล ผู้***มโหด บิดาของเธอได้ขังนักโทษชาวต่างชาติเอาไว้มากมายในห้องขังมืดในส่วนหนึ่งของปราสาท และหนึ่งในนั้นก็คือกัปตัน ดาบี้ รูปงาม ผู้เป็นหนุ่มชาวอังกฤษ คุณหนูลูกสาวท่านเจ้าของปราสาทตกหลุมรัก และเมตตาสงสารผู้ชายคนนี้ตั้งแต่แรกเห็นที่พ่อของเธอนำเขาเข้าขังไว้

เธอแอบนำน้ำนำอาหารมาให้เขา และแม้แต่ขโมยกุญแจห้องขังมาเปิดประตูให้ชายหนุ่มหนีออกไป โดยมีเธอหนีตามไปด้วยกัน ครั้นเมื่อระหว่างจะลงบันไดหนีนั่นเอง พี่ชายของคุณหนู โอ คารอล ได้มาพบเข้า กัปตันหนุ่มคู่รักของเธอจึงแทงพี่ชายของเธอตายด้วยคมดาบเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นทั้งคู่ได้หนีไปอยู่ด้วยกัน ส่วนผู้เป็นพ่อของคุณหนู โอ คารอลก็ไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อเสียลูกชายไป แต่ก็ยังเหลือลูกสาวเพียงคนเดียว จึงไม่อยากจะเอาความลูกสาว คุณหนู โอ คารอล รักกัปตันหนุ่มชาวอังกฤษผู้นี้มาก เธอแต่งงานกับเขาและแน่นอนนามสกุลต้องเปลี่ยนมาใช้ตามฝ่ายชาย ปราสาทลีป จึงตกเป็นของทายาทตระกูลดาบี้ของกัปตันชาวอังกฤษไปตั้งแต่บัดนั้น



ในปี 1900 สองสามีภรรยาชาวอังกฤษ ชาล์ล และ มิลล์เดรส ผู้เป็นลูกหลานของกัปตันดาบี้และคุณหนู โอ คารอล ได้ย้านมาอยู่ปราสาทลีป ทั้งคู่โดนผีหลอกอยู่เสมอจนเป็นที่เรื่องลือไปทั่ว และแม้แต่พวกการโกท ฮันเตอร์ ต่างสนใจมาลองประสบการณ์วิญญาณที่ปราสาทแห่งนี้จนอยู่ไม่ได้ นาง มิลล์เดรส ผู้ภรรยาให้สัมภาษณ์ว่า เธอมักจะเห็นเงาดำที่เฉลียง บางทีก็รู้สึกเหมือนมีคนเอามือวางบนไหล่พอหันไปก็ไม่มีใคร บางทีก็ดึงชายเสื้อ พอหันไปก็เจอ ร่างสูงดำใหญ่ มีนัยตาเหมือนศพเน่า แถมในบ้านยังชอบมีกลิ่นสาบเหม็นเน่าเหมือนอะไรตายซ่อนอยู่ กระทั่งเกิดเหตุการณ์อัปมงคลขึ้นที่โบสถ์น้อยข้างๆ ปราสาท ที่ตามตำนานกล่าวว่า บาทหลวงพี่ชายของ ไทต์ โอ คารอล โดนไทต์ สังหารจดเลือดสาดโบสถ์ และแม้แต่แท่นประกอบพิธีพระเยซู คือ อยู่ๆ ก็มีไฟไหม้

จนมีการจ้างคนงานก่อสร้างไปซ่อมปราสาท เมื่อนั้นเองที่ความลับดำมืดของปราสาทนี้ได้เปิดเผยความสยองขวัญยิ่งขึ้นไปอีกมีการขุดเจอคุกลับสไตล์ยุโรปยุคกลางแบบของฝรั่งเศษสมัยเมื่อ 700-1,000 ปีที่แล้ว เรียกว่า Oubliette

คุกลักษณะนี้บางคนเรียกว่าคุกอากาศ เพราะเวลาจะส่งนักโทษหรือเชลยเข้าคุก จะมีอยู่ทางเดียว คือสะพานไม้ที่ใช้เชือกชักให้สะพานทอดไปยังฝั่งตรงกันข้าม และด้านล่างสะพานนั้นจะเป็นเหวสูง หรืออาจมีหนามแหลมคมอยู่ด้านล่างเป็นกับดัก นักโทษ หรือเชลยจะไม่มีทางหนีได้ เพราะเมื่อนักโทษถูกบังคับให้เดินไปยังเกาะฝั่งตรงข้ามแล้ว ผู้คุมจะชักสะพานกลับ นั่นก็หมายความว่าเกาะกลางที่นักโทษอยู่จะไม่มีทางหนีไปไหนได้ เพราะล้อมไปด้วยเหว พวกก่อสร้างพบซากกระดูกของคนตายมากมายตายซับตายซ้อนกันอยู่ที่คุกลึกลับนั้น ผู้คนในละแวกปราสาทต่างตื่นกลัวที่จะเข้าใกล้เขตปราสาทนี้ในตอนกลางคืน มีรายงานว่ามีคนโดนผีหลอกกันจนเป็นเรื่องธรรมดา



ในปี 1991นาย ฌอง และนาง แอน ไรอัน ได้ซื้อปราสาทนี้จากเจ้าของเก่า ลูกหลานตระกูล ดาบี้ และทำเป็นบ้านส่วนตัว ผลปรากฏว่าทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุตกจากบันไดหลายครั้งเวลาทาสีผนัง และยังเจอวิญญาณแบบจะจะกลางห้องรับแขกอีกด้วย เป็นชายชราสูบไพพ์ ก็มีกลิ่นไพพ์ทั้งๆ ที่ไม่มีคนสูบปัจจุบันพวกเขายอมรับการปรากฏตัวของผีในปราสาทนี้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา

เซียร่า ไรอัน ลูกสาวของ ฌอง และแอนน์ เล่าว่าเธอมักจะเห็นเด็กผู้หญิงที่ระเบียงและเด็กอีกคนที่บันได บางทีก็พร้อมกันสองคนเป็นเสียงเด็กวิ่งเล่น จนกระทั่งวันหนึ่ง นักแสดงชาวอเมริกันได้รับเชิญไปที่ปราสาทนี้ โดยมีเซียร่า ลูกสาวเจ้าของบ้านเดินพาชมสวน อยู่ๆเซียร่าก็เห็นนักแสดงสาวชาวอเมริกัน ร้องไห้ ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล พอถามสักพักหนึ่ง หล่อนก็ตอบว่า หล่อนช็อคเพราะเห็นร่างของเด็กผู้หญิงตกลงมาจากระเบียงปราสาทด้านบน พอถึงพื้นร่างก็หายไป

นอกจากนี้ยังมีแขกที่เห็นวิญญาณบาทหลวงมองมาด้วยดวงตาแข็งทื่อจากบันไดโบสถ์น้อยข้างๆ ปราสาท และในวันงานเลี้ยงของพวกเศรษฐีมีการจัดบอลลูมในปราสาท แขกทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเห็นผู้หญิงใส่ชุดสีแดง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร

มีการเชิญร่างทรงมาที่ปราสาทหลายครั้ง แต่ปัจจุบันการปรากฏตัวของผีก็ยังบ่อยอยู่เหมือนเดิม ที่ปราสาท ลีป ปราสาทที่เฮี้ยนอันดับ 1 ของโลก

62  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / น้ำผลไม้อาจไม่เฮลตี้อย่างที่คิด เมื่อ: 20 ตุลาคม 2556 00:04:52
น้ำผลไม้อาจไม่เฮลตี้อย่างที่คิด



น้ำผลไม้อาจไม่เฮลตี้อย่างที่คิด
อยากได้คุณประโยชน์จากผลไม้ต้องกินทั้งผลหากคั้นดื่มแต่น้ำทุกวันงานวิจัยจากวารสารการแพทย์สหราชอาณาจักรชี้ว่า
คุณกำลังเพิ่มความเสี่ยงเบาหวานให้ตนเองถึง 21% แต่หากกินทั้งผล งานวิจัย จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดชี้ว่า
จะช่วยลดความเสี่ยงโรคดังกล่าวถึง 23% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กินผลไม้เลย

ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะในน้ำที่คั้นจากผลไม้จำนวนมากมีปริมาณน้ำตาลค่อนข้างสูง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น
อย่างรวดเร็วต่างจากผลไม้ทั้งผลที่จะค่อยๆ ย่อยไปอย่างช้าๆ

63  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / 5 เรื่องเล็กๆ ที่ทำให้คุณผอมช้าลง เมื่อ: 20 ตุลาคม 2556 00:02:08
5 เรื่องเล็กๆ ที่ทำให้คุณผอมช้าลง

ออกกำลังมาเป็นสัปดาห์ แต่น้ำหนักหายไปจี๊ดเดียว บางทีอาจจะเป็นเพราะข้อผิดพลาดเล็กๆ เนี่ยแหละ!



Don't : เร่งความเร็วแบบไม่สนท่าทาง
Do : ใช้ความเร็วพอเหมาะ รักษาท่าทางให้ถูกต้อง
ผลลัพธ์ : เผาผลาญได้ดีกว่าประมาณ 50 แคลอรีต่อครึ่งชั่วโมงการออกกำลังกายด้วยความเร็วจะเบิร์นแคลอรีได้มากกว่าก็จริงอยู่ แต่ถ้าเร็วจนเกินไปก็จะทำให้ฟอร์มตกในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน ยอมลดความเร็วลงหน่อยแต่คงที่ และโฟกัสไปที่ท่าทางการออกกำลังที่ถูกต้อง คุณจะรู้สึกว่าออกกำลังกายได้สบายขึ้น เพราะร่างกายสามารถรับออกซิเจนเข้าไปได้มากขึ้น นอกจากนี้หากคุณเล่นเวตเทรนนิ่งก็ควรจะยืนเล่น เพราะร่างกายจะเผาผลาญได้ดีกว่าขณะนั่ง

Don't : ออกกำลังทั้งๆ ที่กระหาย
Do : จิบน้ำให้ได้ประมาณ 0.5 ลิตรก่อนออกกำลังสัก 2 ชั่วโมง
ผลลัพธ์ : ออกกำลังได้นานขึ้นและเฟิร์มได้เร็วขึ้น ส่วนประกอบหลักของเซลล์เกือบทั้งหมดในร่างกายก็คือ "น้ำ" หากคุณ ดื่มน้ำไม่เพียงพอก็จะทำให้เซลล์ทำงานได้ไม่เต็มที่ในขณะที่คุณออกกำลังกาย ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยเร็วขึ้น และรู้สึกล้าเกินกว่าที่ควร งานวิจัยยังพบว่าอัตราการเต้นของหัวใจขณะออกกำลังเมื่อขาดน้ำน้อยกว่าการได้ดื่มน้ำ ทำให้การเผาผลาญพลังงานน้อยกว่า ดังนั้น ก่อนออกกำลัง 1-2 ชั่วโมงควรจิบน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และจิบเรื่อยๆ ตลอดการออกกำลังกาย

Don't : อ่านนิยายบนลู่วิ่ง
Do : ฟังเพลงไปวิ่งไป
ผลลัพธ์ : เบิร์นได้มากกว่าถึง 15% แมกกาซีนยังพอเปิดผ่านๆ ได้ แต่อย่าอ่านนิยายเด็ดขาด เพราะเมื่อคุณจดจ่อกับการอ่าน คุณก็จะใส่ใจกับการออกกำลังน้อยลง จนอาจจะวิ่งได้ไม่หนักพอที่จะเบิร์นแคลอรีให้มากอย่างที่ต้องการ ส่วนการฟังเพลงนั้นไม่ดึงความสนใจเท่า และงานวิจัยหลายชิ้นก็คอนเฟิร์มว่า หากเลือกเพลงที่มีจังหวะเร็วๆ สนุกสนาน จะสามารถเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจได้อีกด้วย

Don't : ฝืนออกกำลังทั้งๆ ที่ไม่ชอบ
Do : เลือกออกกำลังแบบที่คุณรู้สึกสนุกกับมัน
ผลลัพธ์ : ลดได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2 กิโลกรัมต่อปีไม่ว่าใครจะบอกว่าการออกกำลังชนิดนั้นดีสักแค่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับว่าคุณชอบหรือเปล่า? เพราะหากคุณไม่ชอบก็จะหาเรื่องบ่ายเบี่ยงได้เสมอ ลองคิดเล่นๆ ดูว่า หากคุณหยุดออกกำลังสัปดาห์ละครั้ง และแต่ละครั้งเบิร์นได้ 300 แคลอรีต่อครั้ง ก็เท่ากับว่าคุณพลาดการเบิร์นไปถึง 1,200 แคลอรีต่อเดือน หรือเกือบ 2 กิโลกรัมต่อปี

Don't : ออกกำลังแบบคาร์ดิโออย่างเดียวทุกวัน
Do : สลับการออกกำลังแบบคาร์-ดิโอมายกน้ำหนักสัก 3 วันต่อสัปดาห์
ผลลัพธ์ : ความอยากอาหารลดลงลดน้ำหนักได้เพิ่มขึ้น 5 กิโลกรัมต่อปี แม้การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอจะช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญได้ดีแต่หากอยากผอมเร็วๆ ต้องคาร์ดิโอสลับกับยกน้ำหนัก งานวิจัยในวารสารวิทยา-ศาสตร์การกีฬาและการแพทย์ ระบุว่าผู้ที่ออกกำลังกายในแบบดังกล่าวจะกินน้อยกว่าผู้ที่คาร์ดิโออย่างเดียว 517 แคลอรีต่อวัน เนื่องจากระดับฮอร์โมนจะสมดุลขึ้น ระดับน้ำตาล ในเลือดจะคงที่ คุณจึงรู้สึกอิ่มนานขึ้น

Note! อย่าเชื่อว่าคุณจะสามารถเบิร์นแคลอรีไปได้เท่าที่เครื่องออกกำลังกายแต่ละเครื่องคำนวณให้ ผลสำรวจที่รายงานใน National Strength and Conditioning Conference พบว่าเครื่องพวกนี้จะประเมินเกินจริงไปโดยเฉลี่ย 30%

64  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: 5 เส้นทางขับรถเที่ยวที่สวยที่สุดในเมืองไทย เมื่อ: 19 ตุลาคม 2556 23:45:22
5. เส้นทางบนเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เส้นทางสายนี้จะได้ใกล้ชิดธรรมชาติแบบสุดๆ
มีจุดชมวิวสวยงาม หรือแวะเที่ยวน้ำตกก่อนก็ได้ อย่างไรก็ตามควรระมัดระวังสัตว์ป่า(ช้าง,ลิง)
ด้วยเพราะมันใกล้ชิดกับธรรมชาติมากจริงๆ




S!Travel
65  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: 5 เส้นทางขับรถเที่ยวที่สวยที่สุดในเมืองไทย เมื่อ: 19 ตุลาคม 2556 23:43:56
4.เส้นทางเลียบหาด ถนนคุ้งวิมาน จังหวัดจันทบุรี เป็นเส้นทางเลียบชายทะเลที่สวยที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้
ตลอดเส้นทางมีจุดให้ชมวิวถ่ายภาพแบบพาโนราม่าที่มีวิวเป็นทะเลน้ำใสๆ ไกลสุดตา
โดยเฉพาะโค้งรูป ตัว S ถือได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กของที่นี่เลยก็ว่าได้




66  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: 5 เส้นทางขับรถเที่ยวที่สวยที่สุดในเมืองไทย เมื่อ: 19 ตุลาคม 2556 23:43:10
3. เส้นทางดอยอ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ เส้นทางนี้หากเลือกไปได้ถูกช่วงถูกเวลา
เชื่อว่าจะสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวได้แบบฟินสุดๆ ด้วยซุ้มดอกซากุระเมืองไทย
หรือ ดอกนางพญาเสือโคร่งที่มีสีชมพูสดใสคล้ายดอกซากุระของประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งจะผลิบานในช่วงเดือนธันวาคม ให้ชมในท่ามกลางบรรยากาศเย็นๆ
ราวกับว่าได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นเลยทีเดียว




67  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: 5 เส้นทางขับรถเที่ยวที่สวยที่สุดในเมืองไทย เมื่อ: 19 ตุลาคม 2556 23:42:11
2. เส้นทางภูทับเบิก  จังหวัดเพชรบูรณ์ เส้นทางที่ลัดเลาะเลียบไปตามหุบเขาที่มีไร่กะหล่ำปลี
ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางทะเลหมอกสีขาวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ใครชอบเฝ้ามองความสวยงาม
ของพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าและยามเย็น ต้องไม่พลาดมาที่นี่




68  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / 5 เส้นทางขับรถเที่ยวที่สวยที่สุดในเมืองไทย เมื่อ: 19 ตุลาคม 2556 23:41:16
5 เส้นทางขับรถเที่ยวที่สวยที่สุดในเมืองไทย

1. เส้นทางดอยแม่อูคอ  จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นเส้นทางคดเคี้ยวที่ขนาบข้างไปด้วยทุ่งดอกบัวตอง
ที่กำลังผลิบานเหลืองอร่ามไปทั้งหุบเขาสวยๆ ตลอดเส้นทาง ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงเช้าที่มีแสงอาทิตย์
สาดแสงสีทองมากระทบกับดอกบัวตองด้วยแล้ว เป็นภาพที่งดงามเกินจะบรรยาย




69  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / เล็งย้าย “สุสานวัดพนัญเชิง“ ทำที่จอดรถ-วิจารณ์เก็บค่าหลุมศพหลายแสน เมื่อ: 16 ตุลาคม 2556 14:55:54
เล็งย้าย “สุสานวัดพนัญเชิง“ ทำที่จอดรถ-วิจารณ์เก็บค่าหลุมศพหลายแสน



มูลนิธิวัดพนัญเชิง หรือ เซึ่ยงเต็กตึ้ง จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้ดูแลหลุมศพของบรรพบุรุษนับพันราย แจ้งให้ทายาทออกจากที่ดินของวัดพนัญเชิงวรวิหาร เพื่อปรับภูมิทัศน์เป็นที่จอดรถ ส่งผลถูกวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก

ประธานมูลนิธิวัดพนัญเชิง กล่าวว่า มีโครงการจะนำที่ดินไปใช้ประโยชน์ในกิจการของวัด จึงจำเป็นต้องแจ้งให้ทายาท ขนย้ายรื้อถอนทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของวัด และส่งมอบคือให้วัดในสภาพเรียบร้อยในเดือนวันที่ 1 สิงหาคม 2557 หากไม่ดำเนินการ จะถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย

ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ อาจมีการเรียกเก็บเงินค่าหลุมศพ 300,000 บาท ทำให้อาจมีคนออกมาคัดค้านจำนวนมาก เพราะหลุมฝังศพเหล่านี้มีบรรบุรุษคนไทยเชื่อสายจีน และบรรพบุรุษของผู้มีชื่อเสียงหลายคนรวมอยู่ด้วย

สุสานฝังศพคนไทยเชื้อสายจีนที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร เริ่มฝังศพคนไทยเชื้อสายจีนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2495 จนถึงปัจจุบันมีหลุมศพทั้งสิ้น 1,677 หลุม ซึ่งขณะนี้ ทางวัดพนัญเชิงได้มอบหมายให้ ฝ่ายกฏหมายแจ้งให้มูลนิธิ วัดพนัญเชิง ทราบถึงการใช้ที่ดินของวัดที่มีอยู่จำนวน 20 ไร่เศษ


ข่าวจาก ThaiPBS
70  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556 11:03:50




ปัญหาสุขภาพกระดูกไม่ใช่เรื่องไกลตัว เราทุกคนมีโอกาสประสบกับโรคกระดูกพรุนได้
อาจไม่ใช่ในวันนี้ แต่พฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำร้ายกระดูกจะส่งผลอย่างแน่นอนในอนาคต
ยังไม่สายเกินไปที่เราจะหันมาดูแลสุขภาพกระดูกของตนเองและคนที่เรารักเช่นเดียว
กับการดูแลสุขภาพร่างกายส่วนอื่นๆ เพื่อกระดูกแข็งแรงอยู่กับเราไปอีกนานเท่านาน




71  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556 11:03:04


กระดูกเป็นอวัยวะที่มีชีวิตโดยมีเซลล์หลัก 2 ชนิด ชนิดแรกมีหน้าที่สลายกระดูกเรียกว่า Osteoclast
และอีกชนิดหนึ่งมีหน้าที่สร้างกระดูกใหม่เรียกว่า Osteoblast ซึ่งเซลล์ทั้ง 2 ชนิดนี้
ทำงานอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย โดยช่วงเวลาของการสร้างและสลายกระดูกแบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้

1.) ช่วงการสร้างมวลกระดูกเริ่มต้นเมื่อแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 30 ปี
2.) ช่วงการคงมวลกระดูกเมื่ออายุ 30 - 45 ปี
3.) ช่วงการสลายมวลกระดูกเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไป โดยการสร้างกระดูกใช้เวลานานถึง 4 เดือน
ในขณะที่แคลเซียมปริมาณเท่ากันถูกดึงออกจากกระดูกในระยะเวลาเพียง 4 สัปดาห์เท่านั้น
ดังนั้น การได้รับแคลเซียมจากอาหารในปริมาณที่เหมาะสมตั้งแต่วัยเด็กจนวัยชราจะช่วยดูแลสุขภาพ
ของกระดูกได้ดี และช่วยลดความเสี่ยงของปัญหากระดูกบางปัญหาได้ โดยช่วงอายุ
ที่กระดูกดูดซึมแคลเซียมได้ดีที่สุดคือ 18 - 30 ปี

ดร. คีธ แรนดอล์ฟ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของสถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ เผยว่า
"แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุดคือ การมีโภชนาการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพกระดูกที่ถูกต้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับประทานแคลเซียมให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการต่อวันจะช่วยให้กระดูก
และฟันแข็งแรง นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งขึ้นคือ วิตามินดี ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส แมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน
ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ แร่ธาตุอื่นๆ ได้แก่ สังกะสี ทองแดง แมงกานีส
เป็นองค์ประกอบรวมที่ช่วยส่งเสริมการดูแลสุขภาพกระดูกด้วยเช่นกัน และรวมไปถึงสารสกัดเข้มข้น
อัลฟัลฟา ที่นอกจากจะมีแร่ธาตุแล้ว ยังมีไฟโตนิวเทรียนท์หลายชนิดที่ให้ผลดีต่อเมทาบอลิซึม
ของสารอาหารที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกระดูกอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงควรหันมาเสริมแคลเซียม
และสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพกระดูกตั้งแต่วัยเด็กหรือหนุ่มสาวในปริมาณที่ร่างกายต้องการ
ในแต่ละช่วงวัยอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต นอกเหนือจากการบริโภคอาหารให้ถูกต้องตามโภชนาการแล้ว
แนวทางการป้องกันโรคกระดูกพรุนที่ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างถูกวิธีสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง
ครั้งละ 1 ชั่วโมง การออกแดดในช่วงเช้า และเย็น และลดปัจจัยเสี่ยงต่อการทำลายกระดูกต่างๆ
เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ชา หรือกาแฟ ก็จะมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพของกระดูกให้แข็งแรงได้





72  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556 11:00:32







73  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556 11:00:11


นพ.สมบูรณ์ รุ่งพรชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยยุวัฒน์ เผยว่า "องค์การอนามัยโลกรายงานว่า
สถิติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุข อันดับ 2
รองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด โดยอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
กระดูกพรุนเป็นปัญหาสุขภาพที่คนไทยมักมองข้ามเพราะคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว
หรือเป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้น ซึ่งเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง แคลเซียมถือเป็นสารอาหารที่จำเป็น
ต่อความสมบูรณ์แข็งแรงของกระดูก และการได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอในทุกช่วงวัยจะทำให้เสี่ยง
ที่จะประสบกับภาวะกระดูกแตกหรือกระดูกร้าวได้เมื่อสูงอายุขึ้นเพราะโรคกระดูกพรุนไม่มีอาการบ่งชี้
ในช่วงเริ่มต้น จนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็มักจะสายเสียแล้ว"

"เป็นที่น่ากังวลว่า คนไทยรับประทานแคลเซียมน้อยมาก เฉลี่ยเพียงวันละ 361 มิลลิกรัม
จากความต้องการต่อวันคือ 800 - 1,000 มิลลิกรัม ปัจจุบันยังพบว่าประชากรวัยหนุ่มสาว
ไปจนถึงวัยทำงานมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหาความผิดปกติอันเกี่ยวเนื่องกับกระดูกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยปัจจัยเสี่ยงที่มักพบบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นอิริยาบถและการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้อง
เช่น ท่านอน นั่ง ยืน หรือแม้แต่การยกของหนัก แฟชั่นที่อาจเป็นอันตรายต่อกระดูก
เช่น การใส่รองเท้าส้นสูง การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว หรือแม้แต่การสูบบุหรี่
และบริโภคเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ และแอลกอฮอล์ ตลอดจนความนิยมการมีผิวขาว
ของผู้หญิงเอเชียก่อให้เกิดพฤติกรรมการหลบเลี่ยงแสงแดด ซึ่งเป็นแหล่งในการสังเคราะห์วิตามินดี
ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม การบริโภคอาหารไม่ถูกสัดส่วน และขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น
เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อความแข็งแรงของกระดูก และอาจเกิดโรคกระดูกในที่สุด"

นพ.สมบูรณ์กล่าวเพิ่มเติม




74  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556 10:57:20






75  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556 10:56:52


นอกจากสถิติที่น่าเป็นห่วงจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
มูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติยังเปิดเผยว่า ภาวะกระดูกพรุนทำให้ทุก 3 วินาที
มีคนกระดูกหัก และทุก 22 วินาที มีคนกระดูกสันหลังหัก สำหรับคนไทย
มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ พบว่าในกลุ่มผู้สูงวัยอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป
ผู้หญิง 1 ใน 3 คน และผู้ชาย 1 ใน 5 คน มีปัญหากระดูกพรุน
และแต่ละคนต้องสูญเสียค่ารักษาเฉลี่ยถึงปีละ 3 แสนบาท1 ฟังดูแล้วถือว่าน่าตกใจไม่ใช่น้อย
สถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ (Nutrilite Health Institute) เล็งเห็นถึงความสำคัญของสุขภาพกระดูก
จึงสนับสนุนให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง
เพราะคนไทยส่วนใหญ่ได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่ถึงครึ่งของปริมาณขั้นต่ำที่ร่างกายต้องการต่อวัน
บวกกับพฤติกรรมทำร้ายกระดูกต่างๆ ยิ่งทำให้ปัญหาสุขภาพกระดูกเป็นปัญหาใหญ่ที่ทั่วโลก
ต้องหันมาให้ความสำคัญ

โรคกระดูกพรุน เกิดจากการที่แคลเซียมสลายออกจากกระดูกมากกว่าการสร้างมวลกระดูก
ทำให้ความหนาแน่นในกระดูกลดลง รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของกระดูก
ส่งผลให้รูพรุนที่มีอยู่เป็นปกติในเนื้อกระดูกสลายตัวออกจนรูพรุนกว้างขึ้น
กระดูกบางลงจนไม่สามารถรองรับน้ำหนักหรือแรงกระแทกได้ตามปกติ กระดูกจึงหักได้ง่าย
โรคนี้จะไม่ปรากฏอาการผิดปกติใดๆ โดยกว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อมีการแตกหักของกระดูก
หรือได้รับการกระแทกเพียงเบาๆ กระดูกก็หักแล้ว บางรายถึงขั้นทุพพลภาพหรือเสียชีวิต
เนื่องจากเกิดอาการแทรกซ้อนตามมา




76  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556 10:55:15






77  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป เมื่อ: 09 ตุลาคม 2556 10:54:42
กระดูกพรุน เรื่องใกล้ตัวที่ต้องดูแล ก่อนจะสายเกินไป



เชื่อหรือไม่! ปัจจุบันอุบัติการณ์โรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขอันดับ 2 ของโลก
และอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลง ใครที่เคยคิดว่าโรคกระดูกพรุนเป็นเรื่องไกลตัว
หรือเป็นเรื่องของผู้สูงอายุเท่านั้นคงต้องคิดใหม่


78  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / จะตั้งชื่อลูก ต้องคิดถึงหัวอกลูก เมื่อ: 03 ตุลาคม 2556 11:29:41
จะตั้งชื่อลูก ต้องคิดถึงหัวอกลูก



พ่อแม่ตั้งชื่อลูกตามคนดังหรือตัวละครดังเพราะหวังให้ลูกมีโชค ประสบความสำเร็จตามคนดัง หรือสมบูรณ์แบบเหมือนตัวละครโปรด
เมืองไทยในช่วงที่ละครเรื่องสุภาพบุรุษจุฑาเทพดังสุดขีด พ่อแม่แห่กันตั้งชื่อลูกชายตาม 5 คุณชาย ซึ่งตามข้อมูลของกรมการปกครอง รัชชานนท์ เป็นชื่อที่ได้รับความนิยมอันดับ 1
ฝรั่งก็นิยมตั้งชื่อลูกตามตัวละครดัง ใครที่เป็นแฟนละครซีรี่ส์ฝรั่งดังเรื่อง True Blood คงคุ้นกับชื่อ ซูกกี้ (Sookie) นางเอกของเรื่องที่เป็นสาวแกร่ง นิสัยดี มีสัมผัสที่ 6 ทั้งมนุษย์ธรรมดา มนุษย์หมาป่า และแวมไพร์ ตามหลงรัก
ซูกกี้เป็นชื่อที่ฟังดูประหลาดทั้งความเห็นของคนไทยและคนฝรั่งด้วยกันเอง แต่ปรากฏว่า ตอนนี้เป็นชื่อฮิตสำหรับเด็กผู้หญิงในอเมริกา
เมื่อปี 2011 สมัยที่ซีรี่ส์ True Blood ดังสุดขีด ซูกกี้ เป็นชื่อที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ของเด็กผู้หญิงในอเมริกาจากการสำรวจของเว็บไซต์ Parenting.com ซึ่งสร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากเป็นชื่อที่ไม่หวานหูแล้วยังเป็นชื่อโบราณ
ซูกกี้เป็นชื่อเล่นที่คนในรัฐทางใต้สมัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อนนิยมเรียกผู้หญิงที่มีชื่อเต็มว่า ซูซาน
การที่ ซูกกี้ เป็นชื่อที่นิยมตั้งให้เด็กผู้หญิงในตอนนี้ ทำให้หลายคนเป็นห่วงว่า เมื่อซูกกี้โตเป็นสาว ถูกเพื่อนล้อ คงโกรธพ่อแม่แน่นอน
นอกจากชื่อตัวละครแล้ว ชื่อนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จก็เป็นชื่อที่พ่อแม่นิยมตั้งให้ลูก
ที่เมืองลา ปาซ ประเทศโบลิเวีย เจ้าหน้าที่ทะเบียนเกิดของเมืองรายงานว่า เด็กผู้ชายที่เกิดใหม่ตอนนี้จำนวนถึง 20 เปอร์เซ็นต์ พ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่า เนย์มาร์ (Neymar) ตามชื่อของเนย์มาร์ นักฟุตบอลชื่อดังชาวบราซิล ทั้งๆ ที่เนย์มาร์เป็นชื่อภาษาโปรตุเกสในขณะที่ภาษาสเปนเป็นภาษาประจำชาติของโบลิเวีย
การที่ชื่อเนย์มาร์ได้รับความนิยมสุดขีดที่เมืองลา ปาซ ทำให้ทางการเกรงว่าหากชื่อเนย์มาร์ยังเป็นชื่อยอดฮิตไปเรื่อยๆ นั้น อีก 17 ปีข้างหน้าจะมีผู้ชายชื่อเนย์มาร์เต็มเมือง กลายเป็นชื่อโหล ไม่ใช่ชื่อเท่อย่างที่พ่อแม่ตอนนี้หวังไว้ และอาจสร้างความสับสนได้
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีพ่อแม่ชาวอังกฤษที่เป็นแฟนทีมเบิร์นลี่ย์ (Burnley) ซึ่งเป็นทีมดิวิชั่นรองจากพรีเมียร์ลีก ตั้งชื่อจริงลูกชายด้วยการเอานามสกุลผู้เล่นตัวจริง 11 คน และตัวสำรองอีก 3 คนมาต่อกัน รวมแล้วชื่อยาวกว่า 30 พยางค์
แต่เพื่อความง่ายต่อการเรียก หนูน้อยคนนี้มีชื่อเล่นว่า JJ (เจเจ) พ่อแม่คู่นี้ถูกวิจารณ์ว่า ตั้งชื่อลูกโดยไม่คิดถึงหัวอกลูกเมื่อโตขึ้น
การตั้งชื่อลูกพ่อแม่ไม่ควรตั้งเพราะความสนุก คึกคะนอง หรือความอยากเท่ตามกระแส
จากการศึกษาของ Northwestern University พบว่า ชื่อลูกนั้น มีผลต่อความสำเร็จในหน้าที่การงานเมื่อเติบโตขึ้น
ลูกที่พ่อแม่ตั้งชื่อแปลกไม่เหมือนใครเพื่อให้ดูโดดเด่น สะกดยาก เมื่อโตขึ้นอาจทำให้ลูกสูญเสียความมั่นใจ รู้สึกมีปมด้อย เพราะตั้งแต่เด็ก จะถูกครู ถูกเพื่อน ถามอยู่เรื่อยว่าทำไมชื่อนี้ สะกดผิดหรือเปล่า เมื่อโตขึ้นอาจทำให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความมั่นใจ
ในขณะเดียวกันการมีชื่อโบราณเกินไปก็ไม่ดีนัก เพราะเมื่อเรียนจบถึงวัยหางาน ทำให้ไม่ดึงดูดในการได้รับการเรียกให้ไปสัมภาษณ์งาน เพราะโดนคนกรอกใบสมัครงานตัดสินว่าเป็นคนเชย ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พบปะพูดคุยกัน
การตั้งชื่อลูก เป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงนิสัยใจคอของพ่อแม่ และวิธีการเลี้ยงลูก หากตั้งชื่อลูกตามกระแส ตามอารมณ์คะนองของพ่อแม่ ก็ทำให้คิดไปได้ว่าเป็นพ่อแม่ที่ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีแบบแผนในการเลี้ยงลูก
ตั้งชื่ออะไรให้ลูก ขอให้นึกถึงจิตใจลูกเมื่อโตขึ้นว่าเวลาลูกเข้าโรงเรียนเพื่อนจะล้อหรือไม่ พอถึงวัยทำงานจะเป็นชื่อที่ดูจริงจัง น่าเชื่อถือหรือเปล่า เพราะชื่อเป็นสิ่งแรกๆ ที่คนอื่นใช้ตัดสินหรือมีทัศนคติเกี่ยวกับตัวลูกของเรา
การตั้งชื่อลูกเป็นของขวัญชิ้นแรกๆ ในชีวิตที่พ่อแม่มอบให้กับลูก ดังนั้น ควรทำด้วยความตั้งใจ เมื่อคนถามลูกว่าชื่ออะไร ลูกจะได้ตอบด้วยความภูมิใจในชื่อที่พ่อแม่มอบให้



ที่มา มติชนสุดสัปดาห์
79  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: สัมผัสกลิ่นชาบนดอยแม่สลอง เมื่อ: 03 ตุลาคม 2556 11:25:43

เมื่อมาถึงยอดดอย คุณจะได้พบกับหมู่บ้านสันติคีรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวจีนยูนาน ที่มีวิถีการใช้ชีวิตด้วยการทำเกษตรกรรมอย่างไร่ชาและปลูกพืชเมืองหนาว โดยคนที่นี่มักจะแจกรอยยิ้มเป็นการต้อนรับขับสู้แขกผู้มาเยือน แต่นอกเหนือจากมิตรไมตรีแล้ว วิวทิวทัศน์สุดวิเศษ อย่างการปลูกชาไล่ระดับตามไหล่เขา ก็ทำเอาหลายคนต้องขอคาราวะให้กับความงามของสีเขียวๆ และท้องฟ้าสีครามสลับขาว




หลังจากดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติที่เหมือนหลุดจากภาพเขียนของจิตรกรเอก ก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ของการเดินทาง นั่นก็คือ การดื่มชาท่ามกลางขุนเขา ซึ่งคุณสามารถชมนกชมไม้ได้จนหนำใจ จากนั้นก็เชิญพาตัวและใจไปใจกลางไร่ชา ซึ่งทางเจ้าบ้านเขาก็จะเตรียมโต๊ะไม้ไผ่สำหรับจิบชา ที่มีการตั้งโคมเต็งลั้ง ซึ่งเป็นโคมไฟจีนสีแดงสด ที่ประดับตกแต่งเคียงคู่ด้วยยอดอ่อนของใบชาสีเขียวสด

แหม...เห็นแค่โต๊ะก็ไม่อยากลงจากดอยแล้ว

ความสุขของการเยือนดอยแม่สลองยังไม่หมดลงแค่นั้น เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณได้นั่นลงแล้วลิ้มรสของชาเขียว ที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แล้วกวาดสายตาไปให้ทั่ว จากนั่นค่อยๆ สูดอากาศบริสุทธ์ และให้ลมหนาวพัดผ่านกาย ช่างเป็นประสบการณ์ที่ยากจะควานหาได้ในเมืองหลวง อย่างนี่สิจึงจะเรียกได้ว่า เหยียบดอยแม่สลองแล้วจริงๆ




สำหรับโปรแกรมปิดท้ายการขึ้นดอยในครั้งนี้ คงต้องยกให้กับอาหารเลิศรสอย่างหมูน้ำค้าง ที่มีกรรมวิธีในการสรรสร้างอย่างละเมียดละมัย เพราะต้องเฝ้ารอฤดูหนาวเพื่อพาเนื้อหมูไปตากน้ำค้าง ซึ่งอาจฟังดูยุ่งยาก แต่ก็คุ้มค่ากับการได้รับประทานเพื่อเติมพลังก่อนกลับคืนสู่ความวุ่นวายของเมืองหลวงได้ดีเสียจริงๆ




ส่วนเรื่องของเส้นทางการไปสัมผัสความสุขอย่างเต็มรูปแบบของดอยแม่สลอง เราขอแนะนำให้มุ่งหน้าจาก อ.เมืองเชียงราย ใช้ทางหลวงหมายเลข 10 มายัง อ.แม่จัน 29 กม. จากนั้น เลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวง หมายเลข 1089 (แม่จัน-ท่าตอน) บริเวณหลัก กม. 856 ก่อนถึงทางเข้าตัว อ.แม่จันเล็กน้อย ผ่านน้ำพุร้อนป่าตึง (กม.78) ลานทองวิลเลจ (ระหว่าง กม. 73-74) และบ้านห้วยหินฝน เมื่อถึงด่านตรวจยาเสพติด สามแยกกิ่วสะไต หลัก กม. 55 ให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางขึ้นดอยอันแสนคดเคี้ยวอีก 15 กม. คุณก็จะพบกับสวรรค์บนดิน



80  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / สัมผัสกลิ่นชาบนดอยแม่สลอง เมื่อ: 03 ตุลาคม 2556 11:24:17
สัมผัสกลิ่นชาบนดอยแม่สลอง

ในวันนี้เราขอพาคุณไปสัมผัสความหนาวเย็น กลิ่นไอของใบชา และอากาศแสนบริสุทธิ์ ไกลถึงดอยแม่สลอง จังหวัดเชียงราย เพื่อให้ทั้งร่างกายและจิตใจได้ผ่อนคลายหลังเหนื่อยล้ากับการทำงาน



หากพูดถึงดอยแม่สลอง หลายคนอาจนึกถึง ที่สูงๆ อากาศหนาวเย็น แต่สำหรับคอชา แน่นอนว่ายอดดอยแห่งนี้ คงเป็นหนึ่งในสถานชวนฝัน ที่คุณหวังว่าสักครั้งต้องขึ้นไปเหยียบ เพราะความเลื่องชื่อว่า มีชาดี แถมบรรยากาศยังเป็นเลิศ



สำหรับเส้นทานอันคดเคี้ยวของการไปเยือนดอยแม่สลอง อาจเต็มไปด้วยความลำบาก ที่แม้ไม่ได้มาจากถนนหนทางอันแสนขรุขระ แต่ก็มาจากความคดเคี้ยวของการไต่ขึ้นสู่ความสูงเฉลี่ย 1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเล ซึ่งอาจทำให้นักเดินทางต้องคลื่นไส้กันยู่นาน แต่รับรองเลยว่า เมื่อได้มาถึงแล้ว บรรดาความกระอักกระอ่วนจะหายไปจากจิตเป็นปลิดทิ้ง เพราะความงามที่ยากจะบรรยาย







หน้า:  1 2 3 [4] 5 6
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.143 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 2 ชั่วโมงที่แล้ว