[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 17:56:53 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2 3 ... 40
1  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: บุรุษผู้หายเข้าไปในพระบรมสาทิสลักษณ์ - เรื่องลี้ลับจากวังหลวง เมื่อ: 26 ตุลาคม 2559 11:08:31




หมายเลข1 พระบรมสาทิศลักษณ์รัชกาลต่างๆ บริเวณมุกกระสันพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท
หมายเลข2 พระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี
หมายเลข3 สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์

ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก เฟสบุ๊ค คลังประวัติศาสตร์ไทย , wikipedia , Sanook.com



2  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / บุรุษผู้หายเข้าไปในพระบรมสาทิสลักษณ์ - เรื่องลี้ลับจากวังหลวง เมื่อ: 26 ตุลาคม 2559 11:07:30
บุรุษผู้หายเข้าไปในพระบรมสาทิสลักษณ์

ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อการก่อสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแล้วเสร็จ พระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศ์ก็เสด็จฯย้ายเข้ามาประทับภายในพระที่นั่งองค์นี้
พระที่นั่งองค์นี้ถูกออกแบบให้มีช่องตามฝาผนังเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลต่าง ๆ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทนี้
ยังเป็นชัยภูมิอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ข้างพระมหามณเทียรอันเป็นสถานที่ประทับและเป็นที่สวรรคตของพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกรัชกาล




ภาพ: สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์

....เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่งขณะที่ สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ (องค์ต้นราชสกุลจักรพงษ์) ยังทรงพระเยาว์นั้น พระองค์ได้ประทับเล่นภายในพระที่นั่ง
อยู่ ๆ พระองค์ก็ทรงเห็นบุรุษร่างท้วมสวมเสื้อผ้าอาภรณ์โบราณแปลกตาเดินผ่านมาทางด้านหน้าพระองค์แล้วเดินเลยหายเข้าไป
ในพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3

ด้วยความที่เจ้าฟ้าจักรพงษ์พระชนม์ยังน้อย พระองค์จึงตะโกนเรียกออกไปตามประสาเด็กว่า
"นั่นใครกัน ออกมาเดี๋ยวนี้..ออกมาสิ !"
แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครออกมา

เหล่าข้าหลวงพระพี่เลี้ยงในบริเวณนั้นเมื่อเห็นเหตุการจึงซักไซ้ทูลถามสมเด็จเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ว่าพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นอะไร
ไม่นานนักความจึงทราบถึงฝ่าละอองพระบาทของ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา (พระอัครมเหสีในขณะนั้น) ท่านจึงรับสั่ง
ถามเจ้าฟ้าจักรพงษ์อีกครั้งหนึ่งว่าบุรุษนั่นมีรูปลักษณะอย่างไรหน้าตาผิวพรรณเป็นอย่างไร

สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์จึงตอบไปตามที่พระเนตรเห็น สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯก็ทรงทราบได้ทันทีว่า บุรุษที่เดินหายเข้าไปในภาพนั้น
แท้จริงคือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมาปรากฏพระองค์ให้เจ้าฟ้าจักรพงษ์ได้ทอดพระเนตรเห็น



ภาพ: สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

ดังนั้นสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาฯจึงทรงรีบเป็นธุระจัดหาดอกไม้ธุปเทียนแพพาสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ ไปถวายและขอขมาลาโทษ
ที่ไปล่วงเกินดวงพระวิญญาณ หลังจากนั้นเจ้านายและผู้คนในวังทั้งหลายจึงได้รู้ว่าดวงพระวิญญานสมเด็จพระบูรพมหากษัตริย์
ทุกรัชกาลจะยังคอยปกปักรักษาพระบรมหาราชวังและพสกนิกรของพระองค์อยู่เสมอ



3  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / ความชั่ว ถึงจะไม่มากแต่ว่าเก็บไม่หยุดก็พอกพูนได้ พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก เมื่อ: 17 มิถุนายน 2558 11:14:48


พระอาจารย์อินทร์ถวาย สันตุสสโก
วัดป่านาคำน้อย
บ้านนาคำน้อย ต.บ้านก้อง
อ.นายูง จ.อุดรธานี
เรื่องของเสนาสนะที่เขาถวายมาน่ะอันนี้เรียกว่า "เสนาสนะสงฆ์"
เป็นพวกโต๊ะ เก้าอี้ เตียง ตั่ง เก้าอี้ และของใช้เรียกว่าเป็นครุภัณฑ์
ในครั้งพระพุทธเจ้ามีพระพวกฉัพพวัคคีย์ ฉัพวัคคีย์นะไม่ใช่ปัญญวัคคีย์
ฉัพพะ แปลว่า พวกหก พระพวกหกเป็นพระหนุ่ม
ไปที่ไหนเป็นว่าเอาของออกมาใช้แล้วทิ้งเกลื่อนกลาดแล้วไม่เก็บ
พระสงฆ์ทั้งหลายเขาก็ไม่รู้จะทำยังไง ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
ภิกษุเอาของออกมาใช้แล้วไม่เก็บเข้าที่เดิม
พระพุทธเจ้าเรียกประชุมสงฆ์นะเพียงแค่นั้นนะ เรียกประชุมสงฆ์เลย
พอประชุมสงฆ์ถามว่า ใช่ไหม? ท่านเอาของออกมาใช้แล้วไม่เก็บเข้าที่เดิม
: ใช่พระเจ้าค่ะ
: ทำไม?
: เพราะเป็นของเล็กน้อย ของไม่มีวิญญาณแล้วก็คิดว่าทิ้งไว้ก็ไม่มีอะไร
: เธออย่าว่าเป็นของเล็กน้อยเพราะว่าของที่เขาให้มานี่เป็น "น้ำใจ" ..ของใหญ่

ท่านอย่าไปคิดว่าเป็นของเล็กน้อย
ถึงจะเป็นของเล็กน้อยก็เถอะ ความชั่วเก็บเล็กผสมน้อย
เหมือนกับน้ำฝนหยดลงมาทีละหยดเท่านั้นแหละ
ลงมาตกใส่ตุ่ม ใส่โอ่ง ตกลงมาไม่หยุดไม่ถอย..
ก็เต็มตุ่มเต็มโอ่งได้เหมือนกัน
นี้ก็เหมือนกันน่ะ "ความชั่ว" ถึงจะไม่มากทีละน้อย
แต่ว่าเก็บไม่หยุด ทำอยู่เรื่อยๆก็ให้เป็นความชั่วที่พอกพูนได้
เพราะฉะนั้นท่านอย่ายินดีในการกระทำที่มันไม่ดี
ความชั่วน่ะ..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
"ภิกษุใดก็ตามเอาเตียง ตั่ง เก้าอี้ ออกมาในที่แจ้งแล้ว
ไม่เก็บเข้าไว้ในที่เดิม..ต้องปาจิตตีย์"
ผิดศีลไปข้อหนึ่งแล้วทีนี้..ตั้งกฏเกณฑ์ขึ้นมา..
พระพุทธเจ้าท่านละเอียดถี่ถ้วนขนาดนั้น
คือท่านให้เคารพสิทธิ ศรัทธาญาติโยมเขาถวายมา
พระสงฆ์ถ้าเอาออกมาใช้แล้วไม่รู้จักเก็บ
อย่างพวกเราไปก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าพระของเรา
ไปพักกุฏิหลังไหน พระท่านก็จัดเสนาสนะ
เสื่อ สาด หมอน กาน้ำ กระโถน อะไรให้เราได้ใช้
เมื่อเราใช้เสร็จแล้วเราจะหนีออกไปจากกุฏิหลังนั้น
สมมติว่าเรามานอนคืนนี้ล่ะ พระท่านจัดเรียบร้อยแล้วก็นอน
ทีนี้ก่อนเราจะออกไปเราต้องมอบเสนาสนะนะ
เออ..ผมขอคืนเสนาสนะนะ
มอบเสนาสนะอันไหนไม่เรียบร้อยก็ให้ดูนะ
มอบเสนาสนะสงฆ์ อันนี้ก็เหมือนกัน
สมัยก่อนพระสงฆ์เข้าไปพักที่กุฏิแล้ว เวลาไป..ไปเลย
แล้วก็ไม่มีใครดูแล ไม่มีใครเก็บเพราะไม่ได้มอบหมาย
พระสงฆ์ก็กราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตั้งเรียกประชุมสงฆ์อีก
"ภิกษุใดก็ตามเข้าไปพักกุฏิของสงฆ์แล้วเมื่อหลีกไป
ไม่จัดการทำเองและไม่มอบหมายให้องค์อื่นดูแล..ต้องปาจิตตีย์"
นี่แหละคณะศรัทธาญาติโยมลูกหลาน
พระพุทธเจ้าท่านละเอียดถี่ถ้วนขนาดนั้นล่ะ
ขนาด "หลวงตามหาบัว"น่ะ หลวงพ่อยังจำไม่ลืม
โอ..หลวงตาอายุแปด..จะถึงเก้าสิบอยู่แล้วนะ
ท่านไปทอดผ้าป่าที่วัดศาลาน้อย ท่านไปพักอยู่ที่นั่น
หลวงพ่อก็ไปพักอยู่ข้างล่าง พอเสร็จแล้วเราก็ขึ้นไปรับท่านที่กุฏิ
ตอนที่จะเลิกรา ก่อนที่ท่านจะกลับออกจากที่พักของท่าน
ตอนสายๆพอฉันจังหันแล้วนะท่านก็ขึ้นไปที่กุฏิของท่านเพื่อใช้ห้องน้ำ
เสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็เดินออกมา ออกมาท่านก็บอกกับพระนะ
"เอ้อ..เราพักเสนาสนะแล้ว ดูนะ ให้ดูเรียบร้อยนะ
เรามอบคืนเสนาสนะ ถ้าอันไหนไม่ดีก็เก็บให้เรียบร้อย
เก็บให้เข้าที่เข้าทางซะ เรามอบคืนเน้อเสนาสนะ"
หลวงพ่อได้ยิน หลวงพ่อยังประทับใจจนกระทั่งเดี๋ยวนี้
เอ้อ..หลวงตา..อายุถึงขนาดนี้แล้ว
ท่านไปพักท่านยังคืนเสนาสนะถูกต้องตามวินัย
หลวงตาท่านเคร่งหรือว่าท่านรอบรู้ในวินัยจริงๆ
แต่ไปดูสิพระลูกพระหลานดู..มอบเสนาสนะคืนน่ะ
หลวงตาได้มอบอย่างนั้น หลวงพ่อได้ฟังแล้วยัง...โอ้ หลวงตา
หลวงตาของเรานี่ท่านเคร่งในวินัย ท่านเคารพในวินัยจริงๆ
เมื่อท่านออกมาแล้วจึงมอบคืนเสนาสนะแก่เจ้าของวัด
แต่ตามเป็นจริงเจ้าของวัดก็ดูอยู่แล้วกุฏิของครูบาจารย์..
แต่ว่าเป็น "สามีจิกรรม" สามีจิกรรม ก็คือ คำพูด
ที่มอบหมายให้เป็นกิจลักษณะขึ้น
คือ เป็นพระวินัย หรือเป็นกฏหมายของพระ
นี่แหละพวกเราไป ณ สถานที่ใด อยู่ ณ สถานที่ใด
อย่าไปทิ้งของเกลื่อนกลาด ของที่ได้มาทั้งหมด
ทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ของเรา..เป็นของศรัทธาญาติโยม
เขาถวายมา ก่อนที่เขาจะถวายมาเขาจบแล้วจบอีก
ถึงจะเป็นจตุปัจจัยก็เถอะ พอได้ปัจจัยมาแล้วก็ไปสั่ง
เอาของที่ตองการพวกถ้วยโถโอชาม ของใช้ต่างๆ
ศรัทธาญาติโยมเขาถวายเป็นปัจจัยมา
เราก็ให้ศรัทธาญาติโยมไปเอามาไปเปลี่ยนมา
แล้วมันก็เป็นของสงฆ์ จะแจกกันไม่ได้ ของอันนี้เป็นของส่วนกลาง
แต่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น
หลวงตาหรือหลวงปู่หล้าท่านบอกว่า
หลวงปู่มั่นท่านให้เคารพ "ของกลาง,ของสงฆ์" นี่มากกว่า "ของส่วนตัว"
ของส่วนตัวจะเป็นมีดเป็นอะไรที่ของใช้ส่วนตัวน่ะ เป็นกรรมสิทธิ์ตัว
อันหนึ่งเป็นของกลางท่านให้เคารพของกลางมากกว่าของตัวเอง
ให้พิถีพิถันดูแลของส่วนกลางมากกว่าของตนเอง
ของตนเองน่ะมันเป็นของส่วนตัว แต่อันนั้นมันเป็นของสงฆ์
มันเป็นของกลางต้องใช้ร่วมกัน ถ้าตรงไหนไม่ดีก็ต้องมาจัดการให้มันดีขึ้น
...ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาช่วงเช้า
วันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘
4  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: มวยคาดเชือก แม่สอด-ลาว 8 ธค. 55 เมื่อ: 16 มกราคม 2558 14:34:50

มวยคาดเชือกแม่สอด-ลาว 8 ธ.ค.55#2




5  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / มวยคาดเชือก แม่สอด-ลาว 8 ธค. 55 เมื่อ: 16 มกราคม 2558 14:34:06
มวยคาดเชือกแม่สอด-ลาว 8 ธ ค 55

มวยคาดเชือกแม่สอด-ลาว 8 ธ ค 55#1
6  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / Re: กาแฟลดความอ้วน ความผอมจอมปลอม เมื่อ: 01 กันยายน 2557 11:38:57



ทั้งนี้ ผลข้างเคียงของยา "ไซบูทรามีน" ที่พบบ่อย ได้แก่ ความดันโลหิตสูง และหัวใจเต็นเร็ว ปากแห้ง ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ และท้องผูก และห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด ผู้ป่วยที่ควบคุมความดันโลหิต ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ที่มีโรคต้อหิน รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร

ขณะที่บทความทางการแพทย์ รายงานว่า เครื่องดื่มมีส่วนสำคัญในการทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น หรือครึ่งหนึ่งของความอ้วนเกิดจากเครื่องดื่ม และปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลากหลายรูปแบบ ทั้งชนิดที่เป็นชา สมุนไพร กาแฟ ซึ่งมีการปรุงสี กลิ่น รส และในจำนวนนั้นก็มีน้ำตาล ครีม ตลอดจนสารปรุงรสอื่นๆ ที่ช่วยให้เข้มข้นน่ากิน ซึ่งล้วนเป็นต้นเหตุของความอ้วนทั้งสิ้น

สรุปว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีเครื่องหมาย อย.ไม่ได้หมายความว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคได้ และย้ำว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่น กาแฟ ถึงแม้จะผสมสารอาหารใดๆ ก็ตาม ไม่มีคุณสมบัติในการลดความอ้วนได้ ตรงกันข้ามอาจทำให้เกิดโทษต่อสุขภาพได้ ถ้าบริโภคมากเกินไปหรือไม่เหมาะสม อาจต้องทนทุกข์กับผลข้างเคียงของยาอันตรายที่ลักลอบเติมมาในผลิตภัณฑ์เหล่านั้นด้วย ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม การลดความอ้วนด้วยยาควรอยู่ในความดูแลของแพทย์เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการใช้ยาดังกล่าว แต่สำหรับการลดความอ้วน วิธีง่ายๆ ก็คือการออกกำลังกายเป็นประจำ ครั้งละประมาณ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง นอกจากจะเผาผลาญพลังงานแล้ว ยังช่วยขับเหงื่อ เลือดไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น เป็นการพักผ่อนและผ่อนคลายทั้งกล้ามเนื้อและอารมณ์ได้อย่างดี เมื่อกลับไปพักผ่อนก็ช่วยให้นอนหลับได้สนิทยิ่งขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะสดชื่นและทำงานในวันใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


7  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / กาแฟลดความอ้วน ความผอมจอมปลอม เมื่อ: 01 กันยายน 2557 11:36:51
กาแฟลดความอ้วน ความผอมจอมปลอม



ท่ามกลางกระแสความต้องการ "ผอม" ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีข่าวคราวยาดีหรือของวิเศษที่ช่วยลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนได้อย่างทันใจ ก็จะเป็นที่นิยมของคนคลั่งผอมได้เสมอ และยอมทุ่มสุดตัวหวังจะผอมเพรียวดั่งใจ จึงมีนักธุรกิจหัวใสสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาจาก "กาแฟ" ซึ่งเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก โดยโฆษณาว่าเป็นสูตรผสมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดต่างๆ เช่น โสม ไฟเบอร์ เกลือแร่ มาเชื่อมโยงกับสุขภาพและการควบคุมน้ำหนัก

ผลิตภัณฑ์ "กาแฟลดความอ้วน" เป็นจำนวนมากอ้างว่าได้เพิ่มเติมสารอาหารบางอย่างที่ช่วยให้ลดความอ้วน เช่น ไฟเบอร์ ที่ช่วยเพิ่มกากอาหาร คอลลาเจน พบได้ในเนื้อสัตว์ และจะถูกย่อยเป็นโปรตีนขนาดเล็กก่อนถูกดูดซึมเหมือนโปรตีนทั่วไป แอล-คาร์นิทีน และโครเมียม ซึ่งไม่มีผลต่อการลดน้ำหนักแต่อย่างใด ล้วนแต่เป็นการอวดอ้างโฆษณาเกินจริงทั้งสิ้น เพราะยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าสารเหล่านี้มีคุณสมบัติลดความอ้วนได้

นอกจากนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อคือเครื่องหมาย อย. ซึ่งผู้ผลิตหลายรายอ้างว่าได้ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้ว ซึ่งการได้เครื่องหมาย อย. นั้นจะหมายความว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจัดเป็นอาหารหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ไม่ใช่ยา) และรับรองว่าได้ผ่านการผลิตตามหลักการผลิตที่ดีแล้ว (ผลิตมาอย่างมีสุขลักษณะ) เป็นการควบคุมขั้นตอนการผลิตที่ถูกสุขลักษณะเท่านั้น และไม่ได้มีสรรพคุณเหมือนหรือเทียบเท่ากับยาที่จะสามารถลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนได้ ดังที่ได้โฆษณาหรือแอบอ้าง

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรายงานข่าวว่าทาง อย. ได้เข้าจับกุมผลิตภัณฑ์กาแฟที่เติม "ยาลดความอ้วน" ลงไปในกาแฟ ซึ่งเมื่อนำไปตรวจพบว่าเป็นยา "ไซบูทรามีน" (sibutramine) ซึ่งเป็นยาลดความอ้วนที่มีอันตรายสูงถึงชีวิต ในทางกฎหมายจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่จะต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ในร้านขายยาทั่วไป



8  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / Re: เมืองบาดาล สุสานฟาโรห์ อายุ 1,200 ปี เมื่อ: 01 กันยายน 2557 11:32:44











ที่มา : board.postjung.com
9  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / เมืองบาดาล สุสานฟาโรห์ อายุ 1,200 ปี เมื่อ: 01 กันยายน 2557 11:30:30
เมืองบาดาล สุสานฟาโรห์ อายุ 1,200 ปี

อียิปต์ได้จัดแสดงศิลปวัตถุที่กู้ได้จากก้นทะเล มีทั้งจารึกอักษรภาพและเทวรูปมากมาย บ่งบอกถึงอารยธรรมเมื่อ 1,200 ปีก่อน เผยความมั่งคั่งของเมืองท่าการค้าปากแม่น้ำไนล์ วัตถุโบราณที่นำออกแสดงได้มาจากเมืองเฮราคลีออน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองท่าอเล็กซานเดรีย เรื่องราวของเฮราคลีออนปรากฏในบันทึกของเฮโรโดตัส นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกแห่งศตวรรษที่ 5 ซึ่งบอกว่า เฮเลน หญิงผู้เลอโฉมที่สุดในโลก ได้ยกกองเรือนับพันไปยังเมืองนี้พร้อมกับปารีส คู่รักชาวเมืองโทรจัน



เฮราคลีออนเป็นเพียงตำนานมาโดยตลอด จนกระทั่งนักโบราณคดีใต้สมุทรชาวฝรั่งเศส ฟรังก์ ก็อดดิโอ ได้พบศิลปวัตถุบางชิ้นระหว่างออกค้นหาเรือที่นโปเลียนใช้ในการสู้ศึกในสมรภูมิแม่น้ำไนล์ ซึ่งเขาได้พ่ายลอร์ดเนลสันของอังกฤษในน่านน้ำแถบนั้น นับแต่พบวัตถุโบราณดังกล่าว ก็อดดิโอได้ร่วมกับศูนย์โบราณคดีทางทะเลของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กับกรมศิลปากรของอียิปต์ กู้ซากต่างๆ ขึ้นจากอ่าวอะบูกีร์ ห่างจากอเล็กซานเดรียไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 32 ก.ม. สิ่งที่พบมีทั้งรูปปั้นขนาดใหญ่ของเทพีไอซิส, เทพฮาปิ และฟาโรห์ รวมทั้งรูปปั้นของเทพีและเทพเจ้าหลายองค์ อาทิ นายทวารบาลผู้เฝ้าประตูวิหารอามุนเกเร็บ ที่ซึ่งคลีโอพัตราได้ขึ้นครองบัลลังก์เป็นราชินี



แล้วยังมีโลงหินที่บรรจุมัมมี่ของสัตว์ที่ถูกบูชายัญแด่เทพอามุนเกเร็บ กับเครื่องรางของขลังรูปไอซิส, โอซิริส และฮอรัส ซึ่งพวกพ่อค้าได้รับเอาไปบูชาเป็นศาสนาของตน เพื่อคุ้มกันภัยในการเดินทางไกล ชื่อเมืองเฮราคลีออน ตั้งชื่อตามวีรบุรุษชาวกรีก เฮอร์คิวลิส ผู้สังหารงูร้ายไฮดรา เรื่องราวความกล้าหาญเป็นที่ยกย่องในโลกยุคโบราณ หลายเมืองได้นำชื่อนี้ไปตั้งชื่อนครของตน

ที่ซากเมืองซึ่งได้จมลงทะเลเมื่อราวศตวรรษที่ 6 หรือ 7 แห่งนี้ ยังพบเรือ 64 ลำ กับสมอเรืออีก 700 สมอ, เหรียญทองคำและตะกั่ว, ทองสำริด และตุ้มถ่วงหินจากนครเอเธนส์ ซึ่งใช้ในการชั่งน้ำหนักสินค้าและคำนวณภาษีที่ต้องจ่าย ไม่แต่เท่านั้น ยังพบเสาหินจารึกอักษรภาพ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาและการเมืองของอียิปต์ยุคโบราณได้ดีขึ้นอีกด้วย

10  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 06 สิงหาคม 2557 09:04:55

อันดับที่ 1 Mister X

ปริศนานักโทษลึกลับแห่งอิสราเอล มิสเตอร์เอ็กซ์…

มิสเตอร์เอ็กซ์ หรือ บางคนเรียกว่า “ชายในหน้ากากเหล็ก” เขาคือชายปริศนาที่ไม่เคยมีใครรู้จักตัวตน และเขาได้ถูกคุมขังแยกเดี่ยวอยู่ในคุกลับของอิสราเอลในปี 2010 เป็นต้นมา….



เรื่องราวเกี่ยวกับมิสเตอร์เอ็กซ์ได้ถูกเปิดเผยขึ้นในปี 2010 เมื่อปรากฏว่ามีการจับตัวชายคนหนึ่งมาขังเดี่ยวไว้ในคุกลับของอิสราเอล โดยมีข้อห้ามแม้กระทั่ง ผู้คุมยังไม่มีสิทธิ์เห็นหน้า รวมทั้งรู้จักชื่อของเขา ห้ามมีใครสื่อสารติดต่อกับเขาตลอดการถูกคุมขังในคุกลับ ก็ไม่มีใครติดต่อมาหาเขาเลย เสมือนว่าเขาคือบุคคลไร้ตัวตนที่ถูกขังลืมไปตลอดกาลจากรัฐบาลอิสราเอล….

เหล่าผู้คุมยังสงสัยในตัวมิสเตอร์เอ็กซ์ว่าเขากระทำความผิดร้ายแรงอะไรมาถึงได้ถูกกระทำเช่นนั้น เพราะมันดูลึกลับเกินไป ไม่เหมือนนักโทษคนอิ่นๆที่ถึงแม้จะทำความผิดร้ายแรงมาก็ยังได้รับการเปิดเผย แต่สำหรับมิสเตอร์เอ็กซ์ทุกอย่างดูเหมือนจะคงไว้ซึ่งความลับดำมืดไปซะหมด…



เคยมีนักข่าวถามถึงมิสเตอร์เอ็กซ์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ก็กลับได้รับการตอบรับมาว่า พวกเขาไม่มีอำนาจพอที่จะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับนายคนนี้ เพราะมันอาจจะกระทบต่อความมั่นคงของชาติ…. หลายคนจึงตั้งข้อสังเกตว่าเขาอาจจะเป็นสายลับระดับพระกาฬที่บังเอิญไปล่วงรู้อะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ ซึ่งหากมันถูกเปิดเผยไป อาจจะทำให้อิสราเอลล่มสลายลงไปเลยทีเดียว….

จนกระทั่งเมือปีที่แล้ว 2013 ก็มีคนออกมาเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับมิสเตอร์เอ็กซ์ว่าเขาคือ อดีตสายลับชาวออสเตรเลีย นามว่า Ben Zygier ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจารกรรมข้อมูลลับมากมายในตะวันออกกลาง รวมทั้งปฏิบัติการในอิหร่านและซีเรีย…และเขาก็ได้เสียชีวิตลงไปแล้วตั้งแต่ปี 2010 โดยการแขวนคอด้วยผ้าปูที่นอนของเขาเองภายในคุกลับแห่งนั้น….



และเมื่อมีการพิสูจณ์หลักฐาน กลับมีการพบว่า ภายในตัวของเขาเต็มไปด้วยสารพิษบางอย่างกระจายไปทั่วทั้งร่างกาย และ หลายคนยังคงไม่ปักใจเชื่อในถ้อยแถลงการณ์เปิดเผยตัวมิสเตอร์เอ็กซ์ของอิสราเอล ว่าไม่แน่ว่าเขาอาจจะยังไม่ตาย หรือ ถ้านี่คือตัวจริง เขาคือใคร มาจากไหน และทำไม อิสราเอลถึงต้องกระทำการซ่อนตัวเขาไว้จนแน่นหนา ลึกลับซับซ้อน และกว่า 3 ปีหลังจากเขาตายถึงได้มาเปิดเผย….

มิสเตอร์เอ็กซ์ก็ยังคงเป็นบุคคลปริศนาต่อไป พร้อมกับความลับดำมืดที่หายไปพร้อมกับการตายของเขาตลอดกาล….



เอาล่ะ จบลงแล้ว ก็ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม

 


รูป : Wikipedia , listverse, Postjung, Managers
ขอบคุณเนื้อหาและที่มาจากสมาชิก pantip  สมาชิกหมายเลข 796356  : pantip.com/topic/32399292
11  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 06 สิงหาคม 2557 09:01:48

อันดับที่ 2 Thailand Poisonings

ปริศนายาพิษลึกลับในประเทศไทย…

หากยังจำกันได้ เหมือนไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ได้เกิดคดีปริศนาเกิดขึ้นในประเทศไทย ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมืองแห่งการท่องเที่ยว เมื่อปรากฏมีการพบศพตายต่อเนื่องอย่างมีเงื่อนงำปริศนารวมทั้งสิ้น 7 รายภายในห้องพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง….



นักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 รายและมัคคุเทศก์ชาวไทย 1 คนเสียชีวิต ขณะที่คนอื่นๆ อีก 3 ราย ล้มป่วยอย่างปริศนาระหว่างพำนักอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ดินแดนท่องเที่ยวยอดนิยมระหว่างวันที่ 11 มกราคมถึง 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 รายงานข่าวระบุว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง โดยในนั้น 6 คนพักที่โรงแรมเดียวกัน ส่วนอีก 3 คนที่เหลือ ล้มป่วยระหว่างพัก ณ โรงแรมอื่นๆ 2 แห่ง ทว่ายิ่งกว่านั้นคือกรมควบคุมโรคติดต่อของกระทรวงสาธารณสุขระบุในถ้อยแถลงว่าในหมู่ผู้เสียชีวิตนั้นมีลักษณะทั่วไปเหมือนๆ กัน พร้อมเน้นว่าผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยานานาชาติก็กำลังให้ความช่วยเหลือสืบสวนคดีนี้….

แม้มีความพยายามอย่างสุดความสามารถทั้งจากเจ้าหน้าที่ของไทยและพันธมิตรต่างชาติ แต่ก็ไม่พบคำอธิบายใดๆ ต่อสาเหตุของการเสียชีวิตในทุกๆ คดี ในบรรดาผู้เสียชีวิตนั้นประกอบด้วยวัยรุ่นสาวชาวนิวซีแลนด์ คู่สามีภรรยาสูงอายุชาวอังกฤษและมัคคุเทศก์ชาวไทยรายหนึ่งที่ล้มป่วยจนเสียชีวิต ณ โรงแรม…… ในจังหวัดเชียงใหม่ ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนอีก 2 คนเป็นชาวอเมริกัน และฝรั่งเศส ขณะที่ชาวแคนาดารายหนึ่งและผู้หญิงนิวซีแลนด์อีก 2 คนก็ล้มป่วยอย่างประหลาดเช่นกัน…..



ทฤษฎีหนึ่งคือมีการกล่าวโทษคลอร์ไพริฟอส ซึ่งเป็นสารเคมีกำจัดแมลงว่าเป็นต้นเหตุเสียชีวิตของผู้ป่วยบางราย แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าสารคลอร์ไพริฟอสจะส่งกลิ่นเหม็นมาก ซึ่งผู้ป่วยยืนยันว่าไม่มีกลิ่นดังกล่าวในห้องพัก และพิษของมันไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิตหากไม่รับประทานหรือสูดดมเข้าไปในปริมาณมหาศาล…. ยิ่งกว่านั้นรายละเอียดของผลตรวจสอบทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการก็ไม่สนับสนุนว่าคลอร์ไพริฟอสของสาเหตุของการตายของนักท่องเที่ยวเหล่านั้น ถ้อยแถลงของกระทรวงสาธารณสุขระบุ พร้อมบอกว่านักพิษวิทยากำลังสืบสวนต่อไปว่าสาเคมีกำจัดแมลงอื่นๆ เกี่ยวข้องกับคดีลึกลับนี้หรือไม่….



จนเมื่อวันที่ 17 ส.ค.54  การสอบสวน หาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างปริศนาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และไกด์ชาวไทย ในโรงแรมแห่งหนึ่งกลางเมืองเชียงใหม่ได้ยุติลง โดยคณะกรรมการสอบสวนหาสาเหตุการเสียชีวิตที่ประกอบด้วย ผู้แทนจากสำนักงานควบคุมโรคติดต่อที่ 10 ผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พนักงานสอบสวน ผู้แทนจากสำนักระบาดวิทยากระทรวงสาธารณสุข และตัวแทนจากองค์กรการอนามัยโลก ได้สรุปผลการสอบสวนสาเหตุการเสียชีวิตหลังส่งตัวอย่างจากร่างกายของผู้เสียชีวิตไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการในประเทศสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ว่าสาเหตุของการเสียชีวิตมาจากสารเคมีบางอย่าง ที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ แต่ยืนยัน ไม่ใช่สารเคมีที่ใช้กำจัดแมลงตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัย….

ทั้งนี้ผลการตรวจพิสูจน์ ระบุว่า ผู้เสียชีวิตน่าจะรับสารเคมีบางชนิด เนื่องจากมีอาการที่รวดเร็ว เฉียบพลัน แต่ไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นสารเคมีชนิดใด และผู้เสียชีวิตรับสารเคมีดังกล่าว จากการรับประทาน หรือการหายใจ ขณะที่สามี ภรรยา ชาวอังกฤษ ที่เสียชีวิตพร้อมกันในห้องนอน คาดว่าจะเสียชีวิตจากทางเดิน หลอดเลือดหัวใจ สำหรับการสอบสวนหาสาเหตุของการเสียชีวิตครั้งนี้ ถือเป็นอันยุติ ซึ่งจะไม่มีการตรวจพิสูจน์ใดๆ อีกหลังจากนี้ไป…..



บทสรุปมันก็ยังค้างคาใจสำหรับญาติผู้เสียชีวิต รวมทั้งหลายๆคนที่ให้ความสนใจในคดีปริศนานี้เรื่อยมา จนเกิดกระแสการโจมตีการท่องเที่ยวในประเทศไทย และยังมีการตั้งเวปไซด์เพื่อเตือนถึงอันตรายในการท่องเที่ยวในประเทศไทยขึ้นอีกด้วย…ท้ายที่สุดบางคนได้กล่าวถึงทฤษฐีแปลกประหลาดว่ามันน่าจะมาจากเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ หรือความลี้ลับจากภูติผีปิศาจก็เป็นได้…ปัจจุบันโรงแรมแห่งนี้ก็ยังคงเปิดดำเนินการเรื่อยมา แถมยังได้ถูกยกให้เป็น 1 ในโรงแรมอาถรรพ์ระดับโลก ควรจะภูมิใจไหมนี่….และยังรอการท้าทายความเชื่อจากเหล่าบรรดาผู้เชื่อในเรื่องความลี้ลับตลอดไป….




12  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 06 สิงหาคม 2557 08:58:34
อันดับที่ 3 The Changeling

ปมปริศนาการลักพาตัวกระฉ่อนโลก!!!

นี่คือเรื่องจริงที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ระดับโลก….



รูปซ้ายคือ แองโจลีน่า โจลี่ในบทบาทของแม่ผู้ออกตามหาลูกชาย และขวาคือตัวจริงในประวัติศาสตร์

ใน ค.ศ. 1926 แซนฟอร์ด เวสลีย์ คลาร์ค เด็กหนุ่มวัยรุ่นชาวรัสเซีย ได้ย้ายบ้านจากรัฐซัสแคตเชวัน ประเทศแคนาดา มาอยู่กับลุงของเขาชื่อ กอร์ดอน สจ๊วต นอร์ทคอตต์ ที่ฟาร์มปศุสัตว์ในไวน์วิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ปรากฏว่า แซนฟอร์ด พบว่า กอร์ดอน ซึ่งในภาพยนตร์นี้มีภาพลักษณ์เป็นฆาตกรโหด สังหารเด็กต่อเนื่อง 20 คน แต่ในความเป็นจริง กอร์ดอนเบี่ยงเบนทางเพศ และมีความกระสันสูง มักจะลักพาตัวเด็กชายจากพื้นที่ห่างไกลมากระทำชำเรา กักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่จนพอใจ และจะขับรถพาเด็กกลับไปส่งคืนที่พื้นที่ในรัศมีใกล้บ้าน แล้วตระเวนหาเด็กรายต่อไป โดยอาศัยความที่เด็กจะไม่สามารถจำสถานที่และไม่สามารถชี้ตัวได้ กอร์ดอนจึงรอดมาได้ตลอด และกอร์ดอนได้ข่มขู่กักขังแซนฟอร์ดไว้ไม่ให้บอกความจริงนี้แก่ใคร….

ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1928 กอร์ดอนได้ลักพาตัว วอลเตอร์ เจมส์ คอลลินส์ จูเนียร์ ไปข่มขืนกระทำชำเราเหมือนเด็กชายรายอื่นๆ แต่หลังจากกักขังวอลเตอร์ได้ไม่กี่วัน มารดาของกอร์ดอน ชื่อ ซาราห์ หลุยส์ นอร์ทคอตต์ ได้มาเยี่ยมกอร์ดอนที่ฟาร์มปศุสัตว์ ได้พบวอลเตอร์ เธอจำวอลเตอร์ได้ เพราะเห็นวอลเตอร์และคริสตินชอบไปเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าที่กอร์ดอนเคยทำงานบ่อยๆ จนวอลเตอร์จำหน้าของกอร์ดอนได้แล้ว และได้ทราบว่ากอร์ดอนทำอะไรลงไปบ้าง ก็โกรธกอร์ดอนมาก แต่ด้วยวิสัยของแม่ จึงมีอารมณ์ชั่ววูบที่อยากช่วยให้ลูกไม่มีความผิด จึงด่ากอร์ดอนไปว่า กอร์ดอนใช้อะไรคิดถึงไปลักพาตัวเด็กทีจำหน้ากอร์ดอนได้มาข่มขืน? เมื่อคิดอยู่สักพัก กอร์ดอนจึงฆ่าวอลเตอร์ โดยใช้ขวานจามจนวอลเตอร์เสียชีวิต….



โฉมหน้าฆาตรกรโรคจิต กอร์ดอน…

ส่วนคริสติน ผู้ซึ่งเป็นแม่ของวอลเตอร์ได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจลอสแอนเจลิสว่าลูกชายเธอหายตัวไป ซึ่งในช่วงแรก กรมตำรวจได้ช่วยกันตามหาลูกชายของเธอเป็นอย่างดี ในขณะที่คริสตินเองก็โทรศัพท์ไปยังกรมตำรวจทุกมลรัฐ สำนักงานนายอำเภอ สำนักงานนักสืบ และทำทุกอย่างที่เธอสามารถทำได้ เพื่อหาวอลเตอร์ จนกระทั่งเธอเป็นที่สนใจของสังคมและสื่อมวลชน จนกระทั่งหลายเดือนต่อมา กรมตำรวจก็ได้รับรายงานว่าพบเด็กชายที่ได้บอกว่า ตนเองคือวอลเตอร์ คอลลินส์แล้ว

กรมตำรวจลอสแอนเจลิสไม่ได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ส่งเด็กชายคนนั้นกลับไปหาคริสตินทันที ปรากฏว่าเด็กชายผู้นั้นไม่ใช่วอลเตอร์ คอลลินส์ ทำให้คริสตินได้ไปแจ้งกรมตำรวจว่าเด็กคนดังกล่าวไม่ใช่ลูกของเธอ แต่แทนที่กรมตำรวจจะยอมรับความผิดพลาด แล้วตามหาลูกชายของเธอต่อ กลับพยายามยัดเยียดให้คริสตินเชื่อว่าเด็กคนนั้นคือลูกชายของเธอ โดยอ้างว่า คริสตินไม่ได้อยู่กับลูกชายเธอมานานแล้ว เด็กจึงมีพัฒนาการทางร่างกาย แต่คริสตินก็ยืนกรานไม่เชื่อ กรมตำรวจก็ปล่อยข่าวเท็จเพื่อทำลายภาพพจน์ของเธอ ให้สังคมคิดว่าเธอวิตกจริต คริสตินจึงไปหาหลักฐานและพยานมาช่วยยืนยัน แต่ก่อนที่เธอจะได้เปิดเผยหลักฐานแก่สื่อมวลชน กรมตำรวจได้จับตัวเธอเข้าโรงพยาบาลบำบัดสุขภาพจิตของตำรวจโดยอ้างว่าเธอวิกลจริตไปแล้ว….

http://f.ptcdn.info/885/021/000/1406884359-3-o.jpg


ในโรงพยาบาล เธอได้เห็น(และถูก)แพทย์และพยาบาลละเมิดสิทธิผู้ป่วยอย่างร้ายกาจ แต่ต่อมาจึงได้มีผู้เคลื่อนไหวช่วยเหลือเธอเป็นจำนวนมาก ทั้งนักบวช และมวลชนลอสแอนเจลิส ช่วยเธอ จนเธอได้รับการปล่อยตัวจากโรงพยาบาล…

หลังจากนั้น กอร์ดอนก็เปลี่ยนความกระสันของตน จากความกระสันทางเพศกับเด็กชาย เป็นความกระสันในการสังหารเด็กชาย ในระหว่างที่คริสตินได้รับลูกชายผิดคน และต่อสู้จนได้รับความทุกข์ทรมานจากการกลั่นแกล้งอย่างร้ายกาจของตำรวจหน่วย LAPD (ซึ่งภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นมาในส่วนของการกลั่นแกล้งจากตำรวจ LAPD นั้นไม่ต่างจากความจริงที่คริสตินได้รับ) กอร์ดอนก็ก่อคดีต่อไปอย่างต่อเนื่อง เพราะที่ตำรวจกำลังพุ่งความสนใจไปที่การโจมตีคริสติน ทำให้วอลเตอร์ไม่ใช่เหยื่อรายสุดท้าย



นี่คือเหยื่อของเขา เด็กน้อยผู้น่าสงสาร…วอลเตอร์

ในช่วงระหว่างการต่อสู้ของคริสติน ตำรวจ LAPD ปิดหูปิดตาประชาชนจากความจริง ด้วยความที่ปล่อยข่าวทำลายภาพพจน์ของเธอ ทำให้ประชาชนจึงเชื่อตำรวจ มากกว่าเชื่อผู้หญิงตัวคนเดียว แต่ในความมืดแปดด้าน มีผู้ยื่นมือเข้าให้ความช่วยเหลือแก่เธอ หลักๆ คือ นายแพทย์ สาธุคุณ กุสตาฟ บรีกเล็บ ได้ช่วยจัดหาทนายเก่งๆ ช่วยคริสตินยื่นฟ้องหน่วย LAPD และได้จัดรายการวิทยุที่เปิดเผยความจริงของคริสตินให้ประชาชนรับรู้….

ต่อมา แซนฟอร์ดจะสบจังหวะตอนกอร์ดอนเผลอเข้าให้ข้อมูลกับองค์กรนักสืบ และกว่าที่องค์กรนักสืบที่ดำเนินการจนนำไปสู่การจับกุมกอร์ดอน ก็มีเหยื่อเด็กชายเสียชีวิตด้วยย้ำมือกอร์ดอนไปแล้ว 17 คน ซึ่งในจำนวนนี้ 14 คน สภาพศพเกินความสามารถของทีมสืบสวนที่จะสามารถพิสูจน์ศพได้ ซึ่งจำนวนดังกล่าวนี้จะสามารถน้อยลงได้หากตำรวจ LAPD พุ่งความสนใจไปที่การยอมรับความผิดพลาด แล้วประสานงานไปยังหน่วยต้นสังกัด ไม่ใช่พุ่งความสนใจไปที่การเล่นงานคริสติน…

จากการจับกุมกอร์ดอน ความจริงดังกล่าวเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชน เป็นรอยด่างพร้อยขนาดใหญ่ในประวัต์ศาตร์วงการตำรวจจนถึงปัจจุบัน และศาลได้ตัดสินว่า LAPD มีความผิดจริง และต้องจ่ายเงินค่าปรับให้แก่คริสตินเป็นจำนวน 10,800 ดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 136,889 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4.4 ล้านบาทไทยในปัจจุบัน) แต่จนถึงปัจจุบันนี้ LAPD ก็ยังไม่ได้จ่าย



หลังจากการจับกุมกอร์ดอนและซาราห์ (มารดาของกอร์ดอน) ซาราห์ก็ได้ยอมรับผิดว่า มีส่วนร่วมในการสังหารวอลเตอร์ และได้ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ในปี ค.ศ. 1928 และในระหว่างการถูกจำคุก เธอได้บอกความจริงว่า เธอเป็นทั้ง แม่ และ ยาย ของกอร์ดอน เพราะกอร์ดอน เกิดมาจากการร่วมเพศกันระหว่างสามีของเธอ กับลูกสาวในไส้ และหลังจากเกิดมา กอร์ดอนถูกล่วงละเมิดทางเพศจากสมาชิดในครอบครัวนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้กอร์ดอนเบี่ยงเบนทางเพศไป และนำไปสู่คดีฆาตกรรมสยองขวัญในครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นที่ชัดเจนว่า วอลเตอร์เสียชีวิตไปแล้ว แต่ใน ค.ศ. 1935 มีเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งหายตัวไปตั้งแต่ปี 1928 ได้ปรากฏตัว และเข้าให้การกับตำรวจว่า เขาคือหนึ่งในเหยื่อของผู้รอดชีวิตจากกอร์ดอน เขาต้องหลบซ่อนตัวอยู่นานเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัยที่จะเปิดเผยตัว เขาบอกว่า เขาหลบหนีออกมาจากฟาร์มกอร์ดอนพร้อมกับวอลเตอร์ แต่ได้พลัดหลงกันในความมืด ดังนั้น วอลเตอร์อาจยังมีชีวิตอยู่ แต่หลบซ่อนอยู่ด้วยความกลัวเหมือนเขาก็ได้ และผลการชันสูตรศพอาจผิดพลาด หลังจากนั้น คริสติน ก็ไม่เคยสิ้นหวัง เธอยังคิดอยู่เสมอว่าลูกชายของเธออาจยังมีชีวิต และตามหาลูกอย่างไม่ลดละ แต่ก็ไม่เคยได้พบลูกชายของเธออีกเลย จนกระทั่งเธอเสียชีวิตใน ค.ศ. 1964….

ใครยังไม่เคยดูไปหามาดูได้นะครับ หนังดีมากๆๆๆ เรื่องนี้….






13  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 06 สิงหาคม 2557 08:56:02

อันดับที่ 4 The Original Spanish Kitchen

ตำนานร้างร้านอาหารสเปน….

ร้านนี้เป็นร้านอาหารที่เปิดขึ้นในปี 1932 และกลายเป็นที่ชื่นชอบของดาราฮอลลีวู้ด เช่น บ๊อบ โฮป ลินดา ดาร์เนล และจอห์น แบรี่มอร์ แต่แล้วมันก็ถูกปิดลงในคืนหนึ่งในปี 1961 โดยที่ภายในร้านยังถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบราวกับมีคนมาใช้บริการ แต่ที่หน้าร้านกลับแขวนป้ายว่า หยุดในวันหยุด…. และมันก็ไม่เคยเปิดบริการขึ้นมาอีกเลยนับตั้งแต่วินาทีนั้น…



มีเรื่องราวได้ถูกเล่าต่อๆกันมาว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร เพิร์ล คาร์เร็ตโต้ และสามีของเธอ จอห์นนี่ ได้เปิดร้านในปี 1932 และมันก็กลายเป็นที่ชื่นชอบของดารามากมายหลายหน้า จากนั้นสามีของเธอก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคพาร์กินสัน จอห์นนี่ เมื่อโรคพาร์กินสันบังคับให้เขาต้องเข้าไปในบ้านพักฟื้น ในที่สุดเพิร์ลก็ำจำใจปิดร้านโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และพวกเขาก็ยังได้อยู่อาศัยบนชั้นสองเรื่อยมา เธอมั่นใจว่าจอห์นนี่จะฟื้นตัวแน่ และเขาจะกลับไปที่ร้านอาหารที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง แต่เขาก็ไม่ได้ฟื้นคืนมาอีกเลย และเพิร์ลก็ได้เก็บสามีของเํธอไว้ในที่ที่แห่งหนึ่งในนั้น จนในที่สุดสามีของเธอก็ได้ตายลงในปี 1967 หลังจากนั้น เธอก็ไม่สามารถทำใจได้ และเธอก็ไม่อาจจะปล่อยร้านอันเป็นที่รักของสามีและเธอที่ร่วมสร้างกันขึ้นมาไปให้ใคร….

เพิร์ล ได้ตายลงในที่สุดและครอบครัวของพวกเขาก็ขายทรัพย์สินไปในปลายปี 1990 แต่ความลึกลับของร้านอาหารยังคงอยู่ ซึ่งเล่ากันว่า ทั้งคู่ ยังคงอาศัยอยู่ด้วยกันตลอดมาบนห้องพักบนชั้นสอง!!!! บางตำนานยังเล่าว่า พวกเขาได้ถูกฆ่าอำพรางศพอยู่ภายในร้านจวบจนถึงปัจจุบัน…





14  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 06 สิงหาคม 2557 08:53:41
อันดับที่ 5 The Bunny Man

มนุษย์กระต่าย!!

มนุษย์กระต่ายเป็นตำนานประจำเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในเคาน์ตี้แฟร์เวอร์จิเนียในปี 1970 แต่ได้รับการแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่กรุงวอชิงตันดีซี มีเรื่องเล่าในหลายรูปแบบ แต่ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งสวมชุดกระต่าย และเขาได้ทำการโจมตีเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายด้วยขวานอันคมกริบ!!



ซึ่งหลายเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นบริเวณสะพานลอยในโคลเชสเตอร์ หรือสะพานลอยทางรถไฟสายใต้ที่ทอดผ่านถนนโคลเชสเตอร์ใกล้กับคลิฟตัน โดยที่สุดแล้วปัจจุบันนี้สะพานลอยโคลเชสเตอร์ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเรียกว่าเป็น “สะพานมนุษย์กระต่าย” ไปแทนซะงั้น….

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกที่มีรายงานก็คือ ในตอนเย็นของวันที่ 19 ตุลาคม 1970 เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นกับนายร้อยบ๊อบ เบนเน็ตต์ ซึ่งเป็นนักเรียนของกองทัพอากาศสหรัฐและคู่หมั้นของเขา ประมาณเที่ยงคืนขณะที่พวกเขากลับมาจากเกมฟุตบอล บนถนนนิวกินีในเบิร์ค ขณะที่พวกเขานั่งอยู่ในที่นั่งด้านหน้าในรถที่กำลังวิ่งอยู่ พวกเขาสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างข้างนอกหน้าต่างด้านหลังสีขาวๆ ครู่ต่อมาหน้าต่างผู้โดยสารด้านหน้าก็ถูกทุบและปรากฏชายในชุดขาวยืนอยู่ตรงหน้าต่างที่แตกสลาย เบนเน็ตต์รีบหักพวงมาลัยหันรถหลบออกไป จนกระทั่งเหตุการณ์สงบลง พวกเขาก็พบขวานตกอยู่ที่พื้น



เมื่อตำรวจถามหาคำอธิบายของคนร้าย บ๊อบยืนยันว่าเขาได้รับการโจมตีจากคนที่สวมใส่ชุดสูทสีขาวที่มีหูกระต่ายยาว พวกเขาทั้งสองจำได้และเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยความมืดมันจึงทำให้พวกเขาจำหน้าตาคนๆนั้นไม่ได้ จากนั้นตำรวจก็พบขวานหลังจากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เบนเน็ตต์รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเขากลับไปวิทยาลัยกองทัพอากาศในทันทีหลังจากนั้น….

รายงานการพบเห็นที่สองที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นวันที่ 29 ตุลาคม 1970 เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยการก่อสร้าง พอล ฟิลลิป เดินไปยังด้านตะวันตกบนถนนนิวกินี ฟิลลิปกล่าวว่าเขาพบคนที่สวมใส่ในชุดสีเทา, สีดำ, และสีขาวเป็นชุดกระต่ายและอายุประมาณ 20 ปี สูงประมาณ 5 ฟุต 8 นิ้ว (1.73 เมตร) เขาได้ถือขวานที่มีด้ามยาว และตะโกนว่า “ทุกคนที่บุกรุกที่นี่ หากพวกเมิงยังไม่ออกไปจากที่นี่ ข้าจะเอาขวานจามหน้าอกและหัวของพวกเมิงให้เละหมดทุกคน!!” ใครจะอยู่ล่ะ โกยแน่บ….



ต่อมาตำรวจของเคาน์ตี้แฟร์ที่เข้ามาสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่สามารถหาหลักฐานเพิ่มเติมได้ ทั้งสองคดีจึงถูกปิดในที่สุดเพราะขาดหลักฐาน แต่ในหลายสัปดาห์ต่อมา ก็ได้เกิดอุบัติเหตุมากกว่า 50 ราย และทุกๆรายก็ติดต่อแจ้งความไปยังตำรวจอ้างว่าได้เห็น “มนุษย์กระต่าย” กันแทบทุกคน….

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ตำนานแห่งมนุษย์กระต่ายก็ได้ถูกเล่าในรูปแบบที่ต่างกันออกไป รวมทั้งการอ้างถึงนักโทษคดีร้ายแรงที่ได้หลบหนีออกจากคุกและได้ไปแฝงตัวอยู่ที่นั่น และในทุกๆวันฮัลโลวีนก็มักจะมีผู้คนที่ชื่นชอบเรื่องลึกลับและท้าทายไปลองของกันที่ใต้สะพานแห่งนี้กันเสมอมา…

โดยที่ในปัจจุบันนี้ ความลึกลับของเจ้ามนุษย์กระต่ายก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลายลงแต่อย่างใด…. อยากไปลองกันบ้างไหมล่ะ ฮึ….

http://f.ptcdn.info/876/021/000/1406866405-5-o.jpg



15  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 06 สิงหาคม 2557 08:51:05

อันดับที่ 6 Atuk Curse

คำสาปแห่ง Atuk!!



ATUK เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงตามนวนิยายในปี 1963 โดยผู้เขียนเป็นคนแคนาดา เป็นหนังเกี่ยวกับความภาคภูมิใจของนักล่าเอสกิโมผู้ยิ่งใหญ่ที่พยายามจะปรับตัวเข้ากับชีวิตในเมืองใหญ่ โดยในหนังมีองค์ประกอบเหน็บแนมชนชาติ วัตถุนิยมและวัฒนธรรมที่เป็นที่นิยม….

บทภาพยนตร์ได้รับการดัดแปลงตั้งแต่ต้นปี 1980 และแม้ว่าหลายสตูดิโอฮอลลีวู้ดภาพยนตร์ได้แสดงความสนใจในการผลิตภาพยนตร์ แต่มันก็กลับไม่ได้รับการสร้าง เนื่องจากเรื่องราวความเฮี้ยนของมันนั่นเอง…



เกือบ 30 ปี ที่ผู้กำกับคนแล้วคนเล่าลังเลที่จะสร้างหนังเรื่องนี้  ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้ถูกสาบ ให้คนที่แสดงเป็นตัวเอกของเรื่องต้องตายลูกเดียว เริ่มจาก จอห์น เบลุชิ ดารานำของเรื่อง ตายด้วยการกินยาเกินขนาด ในปี 1982 ซึ่งเมื่อนายจอห์นตายทำให้ดาราตลกอย่าง แซม คินิสัน มาแสดงแทน จากนั้นก็มีปัญหา มากมายตามมา จนทำให้หนังถูกแบ่งเป็น Re-written แต่พอปีผ่านมานิดหน่อย เขาก็ตายเพราะรถชนอีก ทำให้บทส่งต่อมาที่ จอห์น แคนดี้ แต่หลังจากรับบทก็หัวใจวายตายทันที ทำให้หนังเรื่องถ่ายไม่เสร็จและตัวตลกอ้วนทั้งหลายสาบานว่าจะอยู่ห่างจากบทหนัง เรื่องนี้ตลอดกาล



และแล้ว ในปี 1997 ดาราชื่อ คริว ฟาร์ลีย์ คิดจะลองดูโดยไม่เชื่อคำสาป ผลคือเขากินยาเกินขนาดตายในปีนั้น!! และล่าสุดมีการทาบให้ Jack Black มาเล่นในปี 2008 แต่ Black ปฎิเสธและยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าผมกลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับผม  ซึ่งเขาคิดถูกแล้วล่ะ ไม่งั้น เราคงไม่เห็นเขายังคงโลดแล่นในหนังตลกจนถึงยุคปัจจุบัน….


16  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 06 สิงหาคม 2557 08:49:08

อันดับที่ 7 The Smiley Face Murder Theory

ปริศนาแห่งทฤษฎีการฆาตรกรรมใบหน้ายิ้ม



ทฤษฎีการฆาตกรรมใบหน้ายิ้ม เป็นทฤษฎีขั้นสูงซึ่งตั้งขึ้นโดยสองนักสืบวัยเกษียน  เควิน แกนนอน และ แอนโทนี่ อาร์เต แห่งกรมตำรวจ  New York City (NYPD) พวกเขาได้กล่าวว่าจำนวนของคนหนุ่มสาวที่พบว่าเป็นศพใน แหล่งน้ำหลายรัฐในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาไม่ได้เกิดขึ้นจากการจมน้ำเองแต่อย่างใด แต่พวกเขาตกเป็นเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่ง หรือ ที่พวกเขาตั้งชื่อว่า “นักฆ่าใบหน้ายิ้ม” เพราะหลังจากที่เกิดเหตุการค้นพบศพ ไม่นานนักมันก็จะปรากฏรูปสัญญาลักษณ์ที่ถูกทำขึ้นมาตามจุดต่างๆใกล้กับที่เกิดเหตุ เป็นรูปหน้าการ์ตูนกำลังยิ้ม!!!



ในปี 2008 แกนนอนและอาร์เตตรวจสอบพบหลักฐาน ที่นำกลับไปยังปลายปี 1990 ที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นการเชื่อมต่อการตายของ 40 ศพหรือมากกว่าของ เด็กหนุ่มวิทยาลัย ที่พบว่าเป็นศพถูกพบในน้ำในจากทั้ง 11 รัฐ ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขามักจะตายหลังจากออกจากงานปาร์ตี้ หรือหลังจากที่พวกเขาไปฉลองจนเมามาย ตามที่นักสืบสืบสวนนั้น ส่วนใหญ่พวกเหยื่อมักจะเป็นนักเรียนที่เป็นที่นิยม, แข็งแรง, และมีอนาคตที่ดีและส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว….. แต่ที่ทำให้นักสืบต้องตกตะลึงก็คือ หลังจากที่พวกเขาค้นพบศพ มันก็จะพบว่า หลังจากนั้นก็จะมีรูปการ์ตูนคนยิ้มอยู่ในบริเวณใกล้ๆกันเกินกว่าโหล….



แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจากการสืบสวน ตำรวจสถานีอื่นๆก็มักแย้งว่ามันคือเหตุบังเอิญมากกว่าที่จะเป็นการกระทำจากฆาตรกร และสรุปผลการตายของหลายๆคดีว่า มาจากอุบัติเหตุทั้งหมด โดยพวกเขาเพียงแค่เมา และจมน้ำเสียชีวิตเอง…. ถึงขั้นมีการนำทฤษฐีนี้ไปล้อเลียน และพนันกันว่า ถ้าเกิดมีคนเมาตกน้ำตายก็ให้ปิดบริเวณค้นหารูปภาพหน้ายิ้มกันได้เลย…

ที่สุดแล้วทฤษฐีนี้กลับได้รับความสนใจจาก FBI เพราะเหตุเด็กวัยรุ่นชายหายสาบสูญ จนกระทั่งพบว่าพวกเขากลายเป็นศพนั้นก็ยังเกิดขึ้นต่อมาเรื่อยๆ…และทั้งสองนักสืบก็ได้รับการสนับสนุนให้ทำการสืบสวนกันต่อไปจนถึงปัจจุบัน….





ที่สุดแล้ว คุณจะเลือกเชื่อว่ามันคือเหตุบังเอิญ หรือ การฆาตรกรรมหรือไม่นั้น ก็ยังไม่มีการคลี่คลายปริศนานี้ลงไปได้ตราบจนถึงปัจจุบัน…

โห…เรื่องนี้เอาไปทำหนัง สนุกแหง๋….

เอาล่ะ ไปต่อกันที่ อันดับที่ 6


17  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / For The Birds - Animation ตอนสั้นขำๆจาก Pixar เมื่อ: 05 สิงหาคม 2557 13:08:19
For The Birds - Animation ตอนสั้นขำๆจาก Pixar

For The Birds Original HD 720p
18  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 05 สิงหาคม 2557 13:04:12

อันดับที่ 8 The Red Book

หนังสือปกแดง!!



หนังสือปกแดง หรือที่เรียกว่า Liber Novus ซึ่งเป็นภาษาละตินเป็นต้นฉบับที่มี 205 หน้า เขียนโดยจิตแพทย์ชาวสวิส นามว่า คาร์ล กุสตาฟ จุง ในช่วงระหว่างประมาณ ปี 1914 ถึง 1930 …. คาร์ลเป็นจิตแพทย์ที่มีอิทธิพลโดยเป็นผู้ก่อตั้งของจิตวิทยาวิเคราะห์ เขาทำงานร่วมกับ ซิกมันท์ ฟลอย ในผู้ป่วยจิตเภท ในปี 1913 ความสัมพันธ์ของเขาก็เริ่มแตกแยก คาร์ลเริ่มมีปัญหากับประสาทของเขาอย่างรุนแรง เขายังยอมรับว่าได้เห็นภาพหลอนต่างๆมากมาย…



ในช่วงเวลานี้เองที่เขาได้เขียนหนังสือที่ชื่อ Liber Novus โดยภายในประกอปไปด้วยรูปปีศาจที่วาดขึ้นด้วยมือ, การสนทนากับเทพเทวดาต่างๆ ที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะเป็นภาพของการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง และการเดินทางผ่านขุมนรก เขาเขียนไปถึงระดับที่เรียกว่า “ปัญญาไม่มีที่สิ้นสุด” และเล่าเรื่องของสภาวะโรคจิตต่างๆ ทั้งยังมีภาพน่าฉงนงงงวยมากมายที่ยังตีความไม่ออก…เขาหมกหมุ่นอยู่กับหนังสือเป็นเวลากว่า 16 ปี จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 1961….



หลังจากการตายของครอบครัว Jung ได้มีการล็อกหนังสือปกแดงไปเกือบ 50 ปี เป็นหนังสือแห่งความลึกลับในเนื้อหาที่คลุมเคลือ เพียงไม่กี่คนที่เคยเห็นมัน จนมันได้รับการตีพิมพ์ในเดือนตุลาคมของปี 2009 และได้ถูกแสดงในของพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งแมนฮัตตัน จนบัดนี้ยังไม่มีใครตีความได้ว่า สิ่งที่เขาเขียนไว้ในหนังสือ มีนัยยะอะไร หมายถึงอะไร และมันคืออะไร มันยังคงความลึกลับที่แฝงไว้ภายใต้หนังสือปกแดงที่ได้ตายหายไปพร้อมกับเขาจนถีงปัจจุบันนี้…..



http://f.ptcdn.info/870/021/000/1406853202-84-o.jpg


มาต่อกันกับอันดับที่ 7
19  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 05 สิงหาคม 2557 12:32:15
อันดับที่ 9 Villisca Axe Murders

คดีนักฆ่าขวานโหดแห่ง Villisca!!



วันที่ 9 มิถุนายน 1912 สมาชิกครอบครัวตระกูลมัวร์ 6 คนและ เพื่อนของลูกสาวตระกูลมัวร์ 2 คนได้เข้าร่วมโปรแกรมของเด็กที่คริสตจักรเพรสไบทีของพวกเขา แต่หลังจากที่พวกเขากลับไปยังบ้านที่ไอโอวาในเย็นวันนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ออกมาจากบ้านอีกเลย จนในเช้าวันรุ่งเพื่อนบ้านเข้าไปในบ้านและพบว่าทั้งหมดแปดคนนอนอยู่บนเตียงในสภาพถูกฟันจนขาดเป็นชิ้นๆด้วยขวานขนาดใหญ่!!



จากการตรวจสอบผู้ต้องสงสัยหลายๆราย ที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจรวมทั้งฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งตำรวจจับผู้ต้องสงสัยได้ แต่ก็ไม่สามารถเอาผิดกับใครๆได้ จากการสอบสวนประจักษ์พยานรอบด้านต่างก็ให้การตรงกันว่า คนที่ฆ่าไม่น่าจะเป็นมนุษย์ และเป็นอสุรกายร่างใหญ่ มันถือขวานเดินไปมารอบบ้าน พร้อมกับทิ้งรอยเท้าไว้เต็มบ้านอย่างน่าขนลุกขนพอง…..



จนถึงปัจจุบันคดีนี้ก็ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย จนกระทั่งบ้านถูกจัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวประจำรัฐไปซะงั้น โดยตั้งชื่อซะหรูว่า “Axeman of New Orleans” ซึ่งใครก็ตามที่ไปเยือน ก็ยังอ้างว่าได้ยินเสียงร้องโหยหวนของผู้ตายดังออกมาจากตัวบ้านอย่างน่าสยดสยอง….



ใครอยากไปเที่ยว เชิญ….เลยนะครับ แหม๋…..

มาฉงนงงงวยกันต่อที่อันดับต่อไป….

20  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / 10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน ! เมื่อ: 05 สิงหาคม 2557 12:26:27
10 เรื่องเล่าเขย่าขวัญลึกลับจากทั่วโลก ที่ยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงปัจจุบัน…!!

อันดับที่ 10 Vatican City Disappearances!!

คดีการหายตัวไปอย่างลึกลับที่….นครวาติกัน!!



เรามักจะคิดว่านครวาติกันกับมหาวิหารหรูหราและประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์เป็นสถานที่ที่ไม่น่าจะเกิดเรื่องชั่วร้ายขึ้นมาได้…. แต่ทว่าในปี 1983 สิ่งที่น่ากลัวก็ได้ก่อกำเนิดขึ้น เมื่อเกิดคดี Emanuela Orlandi ขึ้นที่นี่!!

Emanuela Orlandi (เกิด 14 มกราคม 1968) เป็นพลเมืองของนครวาติกันที่หายไปอย่างลึกลับในวันที่ 22 มิถุนายน 1983 ซึ่งเหตุการณ์ของ Emanuela ทำให้เกิดปรากฏการณ์มากมายที่กระทบกับนครวาติกัน เพราะคดีนี้ยังคงลึกลับและไม่มีใครหาคำตอบได้จนถึงปัจจุบัน…



Orlandi ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในปีที่สองที่ scientifico liceo (โรงเรียนมัธยมวิทยาศาสตร์) ในกรุงโรม และเธอยังเป็นส่วนหนึ่งของคณะนักร้องประสานเสียงของโบสถ์เซนต์แอนน์ Orlandi เป็นลูกสาวของพนักงานธนาคารวาติกันที่อาศัยอยู่กับครอบครัวของเธอในนครวาติกัน เธอมักจะเดินทางโดยรถบัสไปยังโรงเรียนดนตรี ในวันที่ 22 มิถุนายน 1983 เธอก็สาย เพราะเธอกำลังวุ่นอยู่กับการโทรไปน้องสาวของเธอโดยมีเหตุผลว่าเธอกำลังมีข้อเสนองานจากตัวแทนของเครื่องสำอางเอวอน ไม่นานหลังจากจบคลาสเรียน ก็มีผู้อ้างว่าเห็นเธอได้พูดคุยกับตัวแทนเอวอนบริเวณป้ายรถเมล์ จากนั้นเธอก็ขึ้นรถ BMW คันใหญ่หายตัวไป….

http://f.ptcdn.info/870/021/000/1406849851-104-o.jpg


หลังจากนั้นเธอก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย และอีกสองวันถัดมาเธอก็ถูกประกาศให้เป็นบุคคลที่หายสาบสูญบนหน้าหนังสือพิมพ์ ร่องรอยการพบเจอเธอนั้นได้รับการกล่าวอ้างจากผู้คนมากมายแต่ก็ยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะทำให้ตามหาตัวเธอได้ หลักฐานที่สำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็น กรณีที่ครอบครัว Orlandi ได้รับโทรศัพท์ที่ไม่ระบุชื่อ กล่าวอ้างว่า เธอน่าจะถูกกลุ่มก่อการร้ายจับตัวไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่เรียกร้องความเป็นอิสระของเมห์เม็ตอาลี Ağca ชายตุรกีที่ยิงสมเด็จพระสันตะปาปาในเซนต์ปีเตอร์สแควร์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1981….

6 กรกฏาคม 1983 มีคนแจ้งสำนักข่าว ANSA โดยแจ้งความต้องการสำหรับการแลกเปลี่ยนตัวเธอกับชายตุรกีภายใน 20 วันและพวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าได้จับตัวเธอไปจริงๆ โดยการวางตะกร้าในจัตุรัสสาธารณะใกล้กับรัฐสภา โดยภายในจะมีหลักฐานที่บ่งถึงตัวเธอรวมทั้งใบเสร็จที่เขียนด้วยลายมือเธอเอง แต่ผู้พิพากษาที่ดูแลคดี Orlandi กลับไม่ได้เชื่อว่า มันมีการเชื่อมต่อที่มีความน่าเชื่อถือระหว่างการลักพาตัว Orlandi และคนร้ายของสมเด็จพระสันตะปาปา…..

http://f.ptcdn.info/870/021/000/1406850072-106-o.jpg


8 กรกฏาคม 1983 คนที่มีสำเนียงตะวันออกกลางได้โทรไปยังหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นของ Orlandi ว่า Orlandi อยู่ในมือของเขาและบอกว่าพวกเขามีเวลา 20 วันที่จะทำให้การแลกเปลี่ยนตัวประกันโดยการโทรมาจากตู้โทรศัพท์ที่แตกต่างกันมากกว่า 16 ครั้ง…. และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพบเจอเธออีกเลยเป็นเวลากว่า 20 ปี!!

แต่แล้วในเช้าวันที่ 14 พฤษภาคม 2001 ก็มีการค้นพบกะโหลกศีรษะของมนุษย์ที่มีขนาดเล็กในสภาพขากรรไกรขาดบรรจุอยู่ในถุง แล้วยังมีภาพของบาทหลวง Padre Pio อยู่อีกด้วย…แต่มันก็ยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะเป็นกะโหลกศีรษะของ Orlandi และพ่อของ Emanuela เสียชีวิตในปี 2004 หนึ่งเดือนหลังจากที่ให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของเขา….



ในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2010, เมห์เม็ตอาลี Ağca ถูกสอบปากคำโดยโทรทัศน์ของรัฐในตุรกี โดยเขากล่าวอ้างว่า Orlandi ถูกเก็บไว้เป็นนักโทษโดยวาติกัน (สำหรับAğca) แล้วอาศัยอยู่ในประเทศยุโรปกลางเป็นแม่ชีในวัดคาทอลิก เขาเสริมว่าครอบครัวของ Orlandi จะได้เห็นลูกสาวของพวกเขาเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ แต่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากวัด….

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังมีผู้กล่าวอ้างว่า เธอ และยังมีหญิงสาวอีกรายที่หายตัวไปนามว่า Mirella Gregori ทั้งสองคนหายไปในปี 1983 อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีอื้อฉาวทางเพศที่เกิดขึ้นภายในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้…

จนถึงบัดนี้คดีนี้ก็ยังคงความลึกลับจนถึงปัจจุบัน….



แหม๋ะ…แค่เริ่มอันดับที่ 10 ก็น่าสนใจมากเลย…

ไปต่อกันที่อันดับที่ 9….


หน้า:  [1] 2 3 ... 40
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.195 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 03 เมษายน 2567 22:53:15