[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
26 เมษายน 2567 11:41:58 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 2 [3] 4 5 ... 101
41  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ว่าด้วยเรื่องของรากเหง้า เมื่อ: 10 มิถุนายน 2562 10:31:47
ว่าด้วยเรื่องของรากเหง้า




ในขณะที่พระโคตมพุทธเจ้ากำลังตรัสรู้ที่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ได้ปรากฎดอกบัวผุดขึ้นมาเหนือน้ำทีละดอก รวมทั้งหมด3ดอกด้วยกัน

พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า ดอกบัวที่เติบโตเบิกบานอย่างสวยงามบนผิวน้ำได้ เพราะว่ามีลำต้นคอยประคอง ลำต้นทรงตัวอยู่ในน้ำได้ เพราะว่ามีรากที่หยั่งอยู่ใต้โคลนตม

พระพุทธเจ้าทรงไตร่ตรองและเข้าใจได้ว่า ต้นบัว และดอกบัวเกิดขึ้นมาได้ เพราะว่ามีรากคอยดูดซับอาหารจากในโคลนตมมาหล่อเลี้ยง

ถ้าไม่มีราก จะไม่มีลำต้นบัว ถ้าไม่มีลำต้นบัวจะไม่มีดอกบัวที่เบิกบาน

โคลนตมก็คือธาตุดินที่ให้อาหารหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นเอง

เปรียบเหมือนกับร่างกายของพระองค์เองที่เปล่งปลั่งขึ้นมาเนื่องจากได้ทรงเสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายให้ หลังจากที่พระองค์ทรงล้มเลิกการทำทุกรกิริยาที่ไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์

จะเปรียบดอกบัวทั้ง3เป็นพระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมพุทธเจ้า และพระกัสสปพุทธที่ปรากฎตัวในเชิงสัญลักษณ์เพื่อแซ่ซ้องการบรรลุโพธิญาณ สำเร็จมรรคผลของพระโคตมพุทธเจ้าก็ได้

พระโคตมพุทธเจ้าจึงได้บัญญัติหลักธรรมที่เป็นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์คือให้ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์เบิกบาน

จิตใจที่เบิกบานเหมือนดอกบัวพ้นน้ำมาจากการรู้แจ้งแทงตลอดที่มีรากเหง้ามาจากศีล สมาธิ ปัญญา

เหมือนดอกบัวที่งอกงามได้เนื่องจากมีลำต้นที่แข็งแรง และรากที่หยั่งลึกลงไปในโคลนตม

รากจึงมีความสำคัญฉะนี้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นราก หรือไม่อยากจับราก เพราะมีโคลนตมแปดเปื้อนสกปรก ทุกคนต้องการเชยชมแต่ดอกบัวส่วนยอดที่สวยงาม




ที่มา: Thanong Fanclub
42  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / "มัลติวิตามิน" ดีจริงหรือสิ้นเปลือง เมื่อ: 16 กันยายน 2558 13:50:21
"มัลติวิตามิน" ดีจริงหรือสิ้นเปลือง



งานวิจัยสองชิ้นล่าสุดที่เผยแพร่ในวารสาร Annals of Internal Medicine เห็นพ้องกันว่า บางทีมัลติวิตามินที่คุณหาซื้อมาแสนแพงอาจจะไม่จำเป็นเท่าที่คิด ผลการวิจัยคอนเฟิร์มว่า สิ่งเดียวที่คนกินวิตามินเป็นสิบปีดูจะเฮลตี้กว่าคนที่ไม่เคยแตะวิตามินเสริม มีเพียงความเสี่ยงโรคมะเร็งที่น้อยกว่าแค่ 8% เท่านั้น ส่วนผลอื่นๆ ทั้งอัตราการเสื่อมของสมองและความเสี่ยงโรคหัวใจ แทบไม่แตกต่างกันเลย

เวลากิน...ก็ต้องกิน!

อย่ากินไปดูทีวีไป เพราะคุณจะกินมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว หุ่นก็เสีย สุขภาพก็แย่ ทั้งโรคอ้วน เบาหวานโรคหัวใจ จะเดินตามกันมาเป็นพรวน ดร. ไบรอัน แวนซิงก์จากมหาวิทยาลัยคอร์แนลขอเตือน

43  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / รถไฟหายเข้าไปในอุโมงค์ 42 ปี โผล่ออกมาทุกคนอายุเท่าเดิม เมื่อ: 16 กันยายน 2558 13:45:45
รถไฟหายเข้าไปในอุโมงค์ 42 ปี โผล่ออกมาทุกคนอายุเท่าเดิม



เรื่องประหลาดนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี บรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลพากันปิดปากเงียบ ที่ขบวนรถด่วนขบวนหนึ่งพร้อมกับผู้โดยสารหายลึกลับอย่างไร้ร่องรอย ขณะเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์แห่งหนึ่งเมื่อปี พ.ศ.2492 แล้วจู่ๆ โผล่ออกมาอีกในสภาพเดิมทุกอย่าง เมื่อต้นปี พ.ศ.2535...

ที่ประหลาดยิ่งขึ้น ผู้โดยสารจำนวน 120 คน และพนักงานประจำรถ 3 คน มีอายุเท่ากับวันที่หายเข้าไปในอุโมงค์ไม่มีใครแก่อายุมากขึ้นสักวันเดียว รูปร่างเหมือนเดิมทุกอย่าง และพวกเขายังเชื่อว่า ทุกวันนี้ยังเป็น พ.ศ. 2492 อยู่

รัฐบาลอิตาลีเก็บเรื่องนี้เงียบที่จะพูดถึงขบวนรถด่วนหมายเลข เอฟ 626 และยังไม่ยอมพูดถึงว่าเอาขบวนรถนั้นไปไว้ที่ไหนด้วย  ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังคอยจับตาผู้โดยสารทุกคนเว้นแต่มี 2 คนที่เป็นชาวต่างประเทศหลบหนีการสอบสวนไป  ส่วนพนักงานประจำรถ 3 คน รัฐบาลได้เก็บตัวไว้ในสถานที่หนึ่ง ไม่ยอมเปิดเผยต่อสาธารณชน

ข่าวการหายไปของขบวนรถด่วน เอฟ 626 หายลึกลับไป 42 ปี และโผล่กลับมาอีกนั้น แม้ว่าทางการพยายามปิดข่าว แต่หนังสือพิมพ์อิตาลีเกือบทุกฉบับสามารถที่จะติดตามมาเสนอได้ พยานที่ได้รับทราบเหตุการณ์ครั้งนี้เผยตั้งแต่เริ่มต้นที่ขบวนรถด่วนนี้มีด้วยกัน 13 โบกี้ หายเข้าไปในอุโมงค์รถไฟที่มีความยาว 1 ใน 4 ไมล์อย่างลึกลับไม่ยอมโผล่ออกไปอีกทางหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงปิดอุโมงค์ทำ
การค้นหา ซึ่งมีทั้งตำรวจและ นักวิทยาศาสตร์ โดยได้ค้นทุกตารางนิ้ว แต่ไม่พบร่องรอยแม้แต่น้อยว่ามันหายไปได้อย่างไร รางถึงกับรื้อออกแล้วนำมาวางใหม่ เมื่อค้นหากันไม่พบทำให้หลายคนเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวได้ทำการโจรกรรมโขมยรถด่วนนี้ไป ตามรายงานของ นสพ. อุโมงค์ได้เปิดอีกครั้งหนึ่งเมื่อปี 2493 ตั้งแต่นั้นมา แม้ว่าจะมีขบวนรถไฟผ่านไปมาเป็นพันขบวนก็ไม่มีอุบัติเหตุอันแปลกประหลาดลี้ลับนั้นเกิดขึ้นอีกเลย...

แต่อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ก็มีคนพยายามค้นหาขบวนรถด่วน เอฟ 626 แต่ก็พบว่ามีแต่ความว่างเปล่า บางคนถึงกับสรุปว่า รถขบวนนี้ถูกหุ้มห่อด้วยกาลเวลาและเดินทางไปสู่อนาคตอันไกลพ้น

เรื่องราวแบบนี้เคยเกิดขึ้นในสหรัฐ เรืออินเซอร่า ซึ่งเป็นเรือคุ้มครองเรือระจัญบานของกองทัพเรือสหรัฐ จู่ๆ ก็หายอย่างลึกลับจากอู่เรือที่ฟิลาเดลเฟียในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่แล้วจู่ๆก็ไปปรากฏตัวที่ฐานทัพเรือนอร์ฟอร์ด ซึ่งทุกวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้

เมื่อรัฐบาลปิดข่าว หนังสืออิตาลีก็พยายามที่จะขุดค้นออกมา ในที่สุดหนังสือพิมพ์โรมเดลี่ที่ขายดีมาก สามารถไปคว้าเอาเทปมาริโอ ฟรานซินี ช่างเครื่องรถไฟขบวนนี้มาตีแผ่ได้ ซึ่งมีดังนี้

"ขณะที่ขบวนรถเคลื่อนเข้าไปในอุโมงค์นั้น ไม่นานนักก็มีหมอกสีขาวหนาลอยฟ่อง สมองรู้สึกปั่นป่วนไปหมด จากนั้นก็หมดสติไม่รู้สึกตัว มาได้สติอีกครั้งหนึ่งเมื่อขบวนรถได้ออกจากอุโมงค์แล้ว เราคิดว่าเวลาคงจะห่างกันไม่ถึงนาทีดี แต่ที่ไหนได้ เมื่อขบวนรถเรากลับมาถึงสถานีโบล้อคน่าถึงได้ทราบว่า ได้ห่างกัน
ถึง 42 ปี นี่คือสิ่งเดียวที่เรารู้ "

ผู้โดยสารอื่นๆ ก็ให้การคล้ายคลึงกันว่า มีหมอกลงจัดเมื่อเวลาเข้าอุโมงค์แล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ผู้โดยสารขบวนรถด่วน เอฟ 626 ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ 2 คน ที่หลบการให้การคือ อดอล์ฟ โรเนอร์ เป็นชาวเยอรมันกับมาร์ติน บาร์ตเลตต์ ชาวแอฟริกาใต้ สำหรับโรเนอร์มีนักข่าวอิตาลีได้โทรศัพท์ไปหลอกถาม โดยอ้างว่าเป็นผู้โดยสารรถด่วนนั้นด้วยกัน

โรเนอร์ได้เล่าว่า ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปมาก ตอนที่เขาหายไปพร้อมกับขบวนรถไฟนั้นเขาอายุ 30 ปี มีลูกชายอายุ 10 ขวบ "เดี๋ยวนี้ลูกชายผมอายุ 52 ปีแล้ว อ้วนและเป็นโรคหัวใจ ส่วนภรรยาผมก็ย่างเข้า 70 ปีแล้ว กำลังเป็นโรคเบาหวาน ส่วนผมกลับอายุเพียง 30 ปี เท่านั้น เท่ากับเมื่อปี 2492

เรื่องราวเหล่านี้เป็นความลึกลับของโลกที่อธิบายได้ยาก ซับซ้อน น่าอัศจรรย์ใจ ต่อผู้ที่ได้รับฟังเป็นอย่างยิ่ง และเรื่องนี้นับว่าเป็นปริศนาอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ ชวนติดตาม สืบเสาะ ค้นหาที่มาความเป็นมาเป็นไป...สวัสดีครับ...


อ่านเอาบันเทิงครับ เพราะอาจเป็นแค่เรื่องแต่งก็ได้
44  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / คำถามที่ ไอสไตน์ เคยถามนักเรียนในห้อง ว่ากันด้วยเรื่องของ "ตรรก" เมื่อ: 16 กันยายน 2558 13:25:41
คำถามที่ ไอสไตน์ เคยถามนักเรียนในห้อง



ในห้องเรียนวันหนึ่ง ไอสไตน์ถามนักเรียนว่า
"มีคนซ่อมปล่องไฟสองคน กําลังซ่อมปล่องไฟเก่า
พอพวกเขาออกมาจากปล่องไฟ
ปรากฏว่า คนหนึ่งตัวสะอาด
อีกคนตัวเลอะเทอะ เต็มไปด้วยเขม่า
ขอถามหน่อยว่า คนไหนจะไปอาบน้ำก่อน"

นักเรียนคนหนึ่งตอบว่า
"ก็ต้องคนที่ตัวสกปรกเลอะเขม่าควันสิครับ"

ไอสไตน์ พูดว่า
"งั้นเหรอ คุณลองคิดดูให้ดีนะ
คนที่ตัวสะอาด เห็นอีกคนที่ตัวสกปรกเต็มไปด้วยเขม่าควัน
เขาก็ต้องคิดว่าตัวเองออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน
ตัวเขาเองก็ต้องสกปรกเหมือนกันแน่ๆ เลย
ส่วนอีกคน เห็นฝ่ายตรงข้ามตัวสะอาด ก็ต้องคิดว่า
ตัวเองก็สะอาดเหมือนกัน
ตอนนี้ ผมขอถามพวกคุณอีกครั้งว่า
ใครที่จะไปอาบน้ำก่อนกันแน่"

นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นว่า
" อ้อ ! ผมรู้แล้ว พอคนตัวสะอาดเห็นอีกคนสกปรก
ก็นึกว่าตัวเองต้องสกปรกแน่ แต่คนที่ตัวสกปรก
เห็นอีกคนสะอาด ก็นึกว่าตัวเองไม่สกปรกเลย
ดังนั้นคนที่ตัวสะอาดต้องวิ่งไปอาบน้ำก่อนแน่เลย
..... ถูกไหมครับ...."

ไอสไตน์มองไปที่นักเรียนทุกคน นักเรียนทุกคนต่างเห็นด้วยกับคําตอบนี้
ไอสไตน์ ค่อยๆ พูดขึ้นอย่างมีหลักการและเหตุผล
" คําตอบนี้ก็ผิด ทั้งสองคนออกมาจากปล่องไฟเก่าเหมือนกัน จะเป็นไปได้ไงที่คนหนึ่งสะอาด
อีกคนหนึ่งจะสกปรกนี่แหละที่เขาเรียกว่า " ตรรก "

เมื่อความคิดของคนเราถูกชักนําจนสะดุด
ก็จะไม่สามารถแยกแยะและหาเหตุผล
แห่งเรื่องราวที่แท้จริงออกมาได้ นั่นคือ "ตรรก"

จะหาตรรกได้ก็ต้อง กระโดดออกมาจาก
"พันธนาการของความเคยชิน"
หลบเลี่ยงจาก
"กับดักทางความคิด"
หลีกหนีจาก
"สิ่งที่ทําให้หลงทางจากความรู้จริง"
ขจัด
"ทิฐิแห่งกมลสันดาน"

จะหา ตรรก ได้ก็ต่อเมื่อ คุณสลัดหมากทั้งหมด
ที่คนเขาจัดฉาก วางล่อคุณไว้



45  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / "อย่าทำลืม ผลของกรรม" โดย สมเด็จพระญาณสังวรฯ เมื่อ: 21 เมษายน 2558 10:37:23
"อย่าทำลืม ผลของกรรม" (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)



"อย่าทำลืม ผลของกรรม"

" .. ความมีหรือความได้มาโดยมิชอบให้ความร้อนใจจริง โดยเฉพาะผู้ที่ยังรู้จักบาปบุญุคุณโทษแล้ว
แม้พยายามปกปิดหลอกคนอื่นอย่างไร ก็ปกปิดหลอกตนเองไม่ได้ ก็ต้องเดือดร้อนเพราะความรู้จักผิดชอบ
ของตนเองแน่นอน

ความรู้จักผิดชอบเกิดขึ้นเมื่อใด จะทำให้ผู้ที่ได้อะไร ๆ ไปโดยมิชอบ โดยผิดศีลผิดธรรมต้องเร่าร้อนและ
ความรู้สึกผิดชอบจะต้องเกิดขึ้นแก่ทุกคน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง อาจจะเมื่อใกล้ตายหรืออาจจะก่อนหน้านั้น
จะทำความทรมานใจให้เป็นอันมาก

เพราะทุกคนแม้จะทำลืมไม่สนใจเรื่องผลของกรรม แต่จะมีวันหนึ่งที่จะทำลืมไม่สำเร็จ น่าจะเป็นวันที่นึกถึง
ความตายได้อย่างมีสติและปัญญาว่า จะต้องมาถึงตนในวันหนึ่งแน่นอนหนีไม่พ้น

วันนั้นแหละอำนาจความโลภหรือความปรารถนาต้องการ ที่ทำให้แสวงหาสมบัติ โดยมิชอบในอดีต จะ
ปรากฏเป็นโทษแก่จิตใจอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเวลาอื่น .. "

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
46  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / NASA เชื่อว่าอีก 10 ปี เราจะได้พบสิ่งมีชีวิตนอกโลก เมื่อ: 21 เมษายน 2558 10:29:41
บรรดานักวิทยาศาสตร์ระดับสูงขององค์การบริหารการบินอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐอเมริกา รวมทั้ง เอลเลน สโตฟาน หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ของนาซา คาดหมายว่าภายในระยะเวลาอีกเพียง 10 ปีข้างหน้า มนุษย์จะสามารถได้หลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นดาวเคราะห์ หรือดาวบริวารของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ นอกเหนือจากโลกของเรา



เอลเลน สโตฟาน กล่าวไว้ในการอภิปรายเกี่ยวกับโครงการของนาซาเพื่อค้นหาดาวเคราะห์อื่นที่อยู่อาศัยได้ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตนอกโลกว่า เหตุผลที่ทำให้คาดหมายว่ามนุษย์จะได้พบเห็นหลักฐานแน่นหนาที่บ่งชี้ถึงสิ่งมีชีวิตนอกโลกดังกล่าว เพราะตอนนี้มนุษย์ไม่เพียงมีองค์ความรู้แล้วว่าควรจะมองหาสิ่งเหล่านั้นที่ไหน มองหาอย่างไรแล้วเท่านั้น มนุษย์ยังมีเทคโนโลยีที่มีขีดความสามารถมากเพียงพอต่อการค้นหาดังกล่าวเกือบทั้งหมดแล้วอีกด้วย

จอห์นกรันสฟีลด์อดีตนักบินอวกาศที่ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารภารกิจทางวิทยาศาสตร์ของนาซาเห็นพ้องกับการคาดการณ์ดังกล่าวของนางสโตฟาน พร้อมกันนั้นก็ทำนายเอาไว้ด้วยว่า สัญญาณที่บ่งชี้ถึงสิ่งมีชีวิตนอกโลกน่าจะพบเห็นกันในอีกไม่ช้าไม่นาน ทั้งในระบบสุริยะของเราเองและนอกระบบสุริยะ

กรันสเฟลด์ชี้ว่า การค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้ล้วนส่อให้เห็นว่าระบบสุริยะของเรา รวมไปถึงทั่วทั้งกาแล็กซีทางช้างเผือกเต็มไปด้วยสภาวะแวดล้อมที่สามารถเอื้อต่อการมีสิ่งมีชีวิตอย่างที่เรารู้จักด้วยกันทั้งนั้นตัวอย่างเช่นน้ำในรูปของเหลวขนาด"มหาสมุทร" ที่อยู่ใต้เปลือกน้ำแข็งของ ยูโรปา และกานิมีด 2 ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี เช่นเดียวกับมหาสมุทรบน เอนเซลาดัส ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ นอกจากนั้นเรายังมีหลักฐานบ่งชี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ว่าครั้งหนึ่งดาวอังคารเองก็ปกคลุมด้วยน้ำเสียเป็นส่วนใหญ่ ริ้วสีดำบนดาวอังคารที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวตามฤดูกาลก็อาจเกิดจากการไหลของน้ำที่เค็มจัดบนดาวเคราะห์ดวงนี้

ยิ่งไปกว่านั้นยานสำรวจพื้นผิวดาวอังคารคิวริออสซิตี้ก็พบโมเลกุลชีวภาพที่มีคาร์บอนอยู่ด้วยรวมทั้งไนโตรเจนถาวรที่ล้วนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นของสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับที่มีบนโลกในพื้นผิวดาวอังคารอีกด้วย

ผลการสำรวจที่ไกลออกไปอย่างเช่นจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์ของนาซาก็บ่งชี้ว่า ดาวฤกษ์แทบจะทุกดวงบนจักรวาลอันไพศาลมีดาวเคราะห์เป็นบริวาร และดาวเคราะห์เหล่านั้นมีจำนวนไม่น้อยที่ "อาจ" เป็นโลกที่สามารถใช้อยู่อาศัยได้ ข้อมูลที่ได้จากเคปเลอร์ แสดงให้เห็นด้วยซ้ำไปว่าดาวเคราะห์ที่มีสภาพเป็นก้อนหินและดินเหมือนโลกกับดาวอังคารนั้น มีจำนวนมากกว่า ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่มีก๊าซปกคลุมอย่างเช่นดาวเสาร์หรือดาวพฤหัสบดี

พอล เฮิร์ซ ผู้อำนวยการแผนกฟิสิกส์ดาราศาสตร์ของนาซา ระบุด้วยว่า ข้อมูลที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่าไม่เพียงแค่ในระบบสุริยะเท่านั้นที่มี "น้ำ" อยู่เต็มไปหมด ในกาแล็กซีทางช้างเผือกก็เป็นเช่นเดียวกัน

สโตฟานเปิดเผยว่า ในปี 2020 ยานสำรวจพื้นผิวดาวอังคารที่จะถูกส่งลงไปสำรวจต่อจากคิวริออสซิตี จะทำหน้าที่มองหาสัญญาณบ่งชี้ของสิ่งมีชีวิตในอดีตเป็นการเฉพาะ จากนั้นจะเก็บรวบรวมตัวอย่างเพื่อว่าอาจส่งกลับมายังโลกเพื่อวิเคราะห์กันอย่างถ้วนถี่ และนาซายังเตรียมส่ง "มนุษย์อวกาศ" ไปลงยังดาวอังคารให้ได้ภายในทศวรรษ 2030

ซึ่งเอลเลน สโตฟาน เชื่อว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการค้นพบ "สิ่งมีชีวิต" นอกโลก


ที่มา : "นาซา"เชื่ออีก10ปี ได้พบ"สิ่งมีชีวิตนอกโลก"! : มติชนออนไลน์
47  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / วิทยาศาสตร์ยังอึ้งกับอัศจรรย์แห่งพระเกจิ สังขารไม่เน่า เมื่อ: 18 ธันวาคม 2557 12:18:41
วิทยาศาสตร์ยังอึ้งกับอัศจรรย์แห่งพระเกจิ สังขารไม่เน่า



ปรากฏ เป็นข่าวฮือฮา “น่าอัศจรรย์ใจ” มาอย่างต่อเนื่องยาวนานในเมืองสยามเรา กับกรณีคนเสียชีวิตแล้วแต่ร่างกายไม่ย่อยสลายไปตามธรรมชาติ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ศพไม่เน่า”

กรณีของ “หลวงพ่อผล-พระราชนันทาจารย์” มรณะภาพมา ๘ ปีแล้ว...แต่สังขารยังคงสภาพเดิม ?!?

กรณีศพไม่เน่า นี้...ในเมืองสยามมีเกิดขึ้นทั้งกับเด็ก-ผู้ใหญ่ ชาย-หญิง
มีทั้งที่เกิดกับคนทั่วไป แต่ที่เป็นข่าวมากที่สุดก็คือเกิดกับ “พระสงฆ์” ที่เป็น“พระเถระ-พระเกจิอาจารย์” ที่ได้รับการเคารพยกย่องอย่างสูง ซึ่งหากจะลองย้อนรอย-ทบทวนข่าวดังในเรื่องนี้ในอดีต พระเกจิอาจารย์ที่สังขารไม่เน่าเปื่อยนั้นมีจำนวนไม่ใช่น้อย ๆ

นอกจากกรณี หลวงพ่อผล อดีตเจ้าอาวาสวัดเวตวันธรรมาวาส หรือวัดเซิงหวาย กรุงเทพฯ ในอดีตที่ผ่านมาก็ยังมีอีกหลายรูป อาทิ...

หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัย ธานี./.

หลวงปู่วงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน./.

หลวงพ่อบุญเหลือ วัดเขาตะกร้าทอง จ.ลพบุรี./.

ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง จ.เชียงใหม่./.

ครูบาขาวปี วัดพระ พุทธบาทผาหนาม จ.ลำพูน./.

หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค จ.นครสวรรค์./.

หลวงปู่พรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์./.

หลวงปู่จ้อย วัดวังเดื่อ จ.นครสวรรค์./.

หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ กรุงเทพฯ./.

หลวงปู่สงฆ์ วัดเจ้าฟ้าศาลาลอย จ.ชุมพร./.

หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี./.

หลวงพ่อเภา วัดเขาวงกต จ.ลพบุรี./.

หลวงปู่เขียว วัดหลงบน จ.นครศรีธรรมราช./

.หลวงปู่หิน วัดหนองนา จ.ลพบุรี./.

หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญ จ.สิงห์บุรี./.

หลวงปู่นพ ภูวริ วัดมหาพฤฒาราม กรุงเทพฯ./.

พระอาจารย์โพธิ์แจ้ง วัดโพธิ์แมนคุณาราม สาทร กรุงเทพฯ./.

หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ จ.สุพรรณบุรี./.

หลวงปู่ปัญญา คันธิโย วัดนาคตหลวง จ.ลำปาง./.

หลวงพ่อแดง วัดคุณาราม เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี./.

กรณีของหลวงพ่อแดงที่เกาะสมุยนั้น...เคยฮือฮาดังข้ามโลก เมื่อหลายปีก่อนถึงกับมีนักวิทยาศาสตร์อเมริกันมาพิสูจน์ !?!

รอน เบ็คเก็ต กับ เจอรี่ คอนเล็ก ๒ นักวิทยาศาสตร์ อาจารย์มหาวิทยาลัยควินนิเปก ประเทศสหรัฐอเมริกา บินข้ามน้ำข้ามทะเลมาขอศึกษาสังขารหลวงพ่อแดงเพื่อค้นหาคำอธิบาย

ท้ายที่สุดก็ลงความเห็นแบบ “งงๆ” ว่าอวัยวะภายในต่าง ๆ นั้น “ไม่พบว่ามีร่องรอยการย่อยสลายใดๆ” เพียงแค่แห้งและหดตัวเล็กลงบ้างเท่านั้น ?!?

ทั้งนี้ กรณีปุถุชนคนทั่วไปตายลงแล้วศพไม่เน่านั้น ในทางวิทยาศาสตร์เคยให้คำอธิบาย อย่างเช่นที่แหล่งข่าวในสถาบันด้านพยาธิวิทยา เคยบอกว่า...

กรณีแบบนี้ส่วนใหญ่จะเกิดกับคนรูปร่างเล็กผอมบาง เนื่องจากไม่มีไขมันเป็นตัวเผาผลาญมากหรือไม่ทำให้การสะสมอาหารในร่างกาย ซึ่งเป็นน้ำเลี้ยงทำให้เชื้อจุลินทรีย์ที่เร่งกระบวนการเน่าเปื่อย (Decay Process) เติบโตขึ้นมาก หากร่างกายมีการสะสมอาหารไว้น้อยขณะเสียชีวิตเชื้อจะเติบโตได้น้อยหรืออาจจะไม่มีเลย โดยต้องขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่เหมาะสมด้วย

“ส่วน ใหญ่การไม่เน่าเปื่อยจะพบกับศพที่เป็นเด็กหรือคนแก่อายุ
มากๆ ที่มีการสะสมของไขมันในร่างกายและอาหารน้อย
และในสภาพอากาศ เย็นจัด หรือแห้งจัด”...แหล่งข่าวระบุ และว่า...กรณีแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะพบในประเทศแถบยุโรป หรือในประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นสม่ำเสมอตลอดทั้งปี

แต่กรณีนี้ก็พบในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเขตร้อนชื้น ?!?

โดยเฉพาะกับพระเกจิที่เจริญ “สมาธิ-วิปัสสนา” มายาวนาน
กับกรณีเฉพาะ เจาะจงในส่วนของพระเกจินี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยาพยายามอธิบาย โดยบอกว่า...การนั่งสมาธิทำให้จิตกับร่างกายเกิดความนิ่ง เกิดการเคลื่อนไหวและเผาผลาญในร่างกายน้อยหรือไม่มีเลย การนั่งสมาธิเป็น เวลานาน ๆ และทำอยู่เป็นประจำๆ จะทำให้กระบวนการเผาผลาญหรือเมตาบอลิสซึ่มในร่างกายเกิดน้อยลง

“การ นั่งสมาธิทำให้ร่างกายสบาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดฟินออกมา ก็ทำให้จิตสบาย ช่วยให้ร่างกายสมดุล ซึ่งอาจจะเป็นส่วนสำคัญ
ประการหนึ่งที่ทำให้สังขารไม่เน่าเปื่อย”...

ผู้เชี่ยวชาญระบุ ด้านคุณหมอนักชันสูตรศพชื่อดัง
แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ก็เคยให้ข้อมูลเรื่อง “ศพไม่เน่า”
ไว้ เช่นกัน โดยระบุว่า...

ในทาง วิทยาศาสตร์เป็นการเน่าเปื่อยแบบไม่ปกติ ซึ่งมี ๒ ลักษณะ
คือ

๑. เกิดการแห้งของศพ ในสภาพแวดล้อมที่แห้งจัด ไม่มีความชื้น
๒. เกิดการเปลี่ยนแปลง ของไขมันใต้ผิวหนังจนกลายเป็นลักษณะแข็งจับตัวแบบเทียนไข ซึ่งจะเกิด ในอุณหภูมิเย็นจัด และเกิดเฉพาะกับคนที่รูปร่างเล็กผอมบางและมีสุขภาพดีเท่านั้น


ส่วนการนั่งสมาธิและทำสมาธิจะมีส่วนทำให้ศพไม่เน่าได้หรือไม่นั้น
คุณหมอพรทิพย์เคยบอกไว้ว่า...“ยัง ไม่สามารถพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ที่อยากจะบอกก็คือหากได้พบเห็นหรือเจอกรณีอย่างนี้ อยากให้มองเข้าไปให้ถึงแก่นของธรรม
มากกว่าที่จะเชื่อในเชิงไสยศาสตร์หรือเรื่องของโชคลาง”

“ศพไม่เน่า-สังขารไม่ย่อยสลาย” ถึงวันนี้ก็ยังดูลึกลับ

ในเมืองไทยเมืองร้อนนั้นน่าฉงนว่าทำไมเกิดขึ้นมาก

“วิทยาศาสตร์ยังอึ้ง” กับ “อัศจรรย์แห่งพระเกจิ”
48  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / "อย่าคิดว่าเราดีกว่าหมา" / หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เมื่อ: 18 ธันวาคม 2557 11:58:13
"อย่าคิดว่าเราดีกว่าหมา"



...แต่ความจริงพวกสัตว์ประเภทนี้นะ เวลาตายจริงๆ มันก็ได้เปรียบเราเหมือนกัน โยม! ถ้าเป็นสุนัขที่คนเลี้ยงแล้ว คนสงเคราะห์นี่ บาปเก่ามันเริ่มหมด พวกนี้ตายปุ๊บลงไปมี ๒ ทาง ถ้าไม่ไปเป็นเทวดาหรือพรหม ก็เป็นมนุษย์ มันไม่ลงล่าง ได้เปรียบมากกว่าเรา เรามาถึงขั้นเป็นมนุษย์แล้ว ถ้าไม่ดีตีตั๋วลงนรกใช่ไหม ใช่ไหม พวกนี้ชำระหนี้มาเพื่อหมด นี่เราเสียท่ามันอีกนะ ถ้าไม่ปฏิบัติดียิ่งเสียท่าหนัก หมาดันไปสวรรค์เป็นเทวดา เรากลับไปเป็นสัตว์นรกอีก แหม ..(หัวเราะ)

อ้าวนี่พูดตามความเป็นจริงนะ คือว่า คนเหยียดหยามสุนัข บางทีก็รู้สึกสลดใจนะโยม คนนี่มันไม่แน่ ตายแล้วอาจจะลงนรกได้ พวกหมานี่ไม่ลงแน่ ถ้าเขาใช้หนี้กรรมของเขายังไม่หมด เกิดเป็นหมาชาตินี้ ชาติหน้าเป็นหมาใหม่ก็ได้ ใช่ไหม แต่ว่าหมาตัวไหนที่ชาวบ้านเลี้ยง เลี้ยงก็แบบเราเลี้ยงธรรมดานี่แหละ มีการให้กินข้าวใช่ไหมล่ะ ถ้าคนสงเคราะห์แสดงว่ากรรมเก่าเริ่มหมด ถ้าไอ้ตัวไหนยังต้องเดินอดเดินอยากอยู่ อันนี้ก็ต้องเกิดอีกต่อไปอีก

เขาอยู่กับคนจนหรือคนรวยไม่สำคัญ คือว่าเจ้าของมีโอกาสให้ข้าวกิน นั่นแสดงว่า ทานบารมี เดิมกับ เมตตาบารมี เดิมของเขาเริ่มให้ผลใช่ไหม
ฉันสังเกตุดูหลายตัว ถ้าหมาในวัดตายทีไร ไม่เป็นเทวดาก็พรหม เพราะมันชอบใจในพระ พระสงเคราะห์ พระให้อาหารหมา อาหารแค่ไหนไม่สำคัญ ให้มันผูกจิตใจกับพระ อย่าง โฆษกเทพบุตร ท่านไม่ได้ทำอะไรมาก ท่านรักพระปัจเจกพุทธเจ้า ตายแล้วก็เป็นเทวดา เป็น โฆษกเทพบุตร ตอนนั้นเป็นหมาใช่ไหม

นี่หมาอยู่กับวัดได้เปรียบ แต่ว่าตัวไหนถ้าอยู่ที่บ้าน ชาวบ้านเขาสงเคราะห์ ก็สงเคราะห์อย่างเราให้กินน้ำข้าวบ้าง กินข้าวบ้าง อาหารเหลือบ้าง อันนี้น่ะ เมตตาบารมี กับ ทานบารมี เดิมของเขาเริ่มสนองแล้ว ทีนี้ถ้าตายแล้วไปสวรรค์หมด ถ้าไม่ไปสวรรค์ก็ไปเป็นคน ถามว่าไปสรรค์ชั้นไหน อันนี้ก็ต้องบอกแล้วแต่บุญเดิม บุญเดิมที่ทำไว้ของเขาทำอะไรไว้ใช่ไหม นั่นก็หมายความว่า ก่อนที่เขาตายจากความเป็นคน บาปทำให้เขาไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าที่ที่สุดแล้วชำระหนี้บาปหมด ก็เหลือแต่บุญ

ซึ่งตรงข้ามกับคนคนสร้างบาปอกุศลไว้ในตอนต้น แล้วมาตอนหลังสร้างบุญบารมีดี ตายจากความเป็นคน เป็นเทวดาหรือพรหม ถ้าหมดบุญวาสนาบารมี พุ่งหลาวเลย ลงนรกไปเลย มันก็ต้องสนองกันแบบนี ไม่ใช่ว่าเราเกิดเป็นคนแล้วต้องเกิดเป็นคนตลอดไป มันหวังยากเหมือนกัน...



คำสอนโดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
49  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: อาถรรพ์ คุณไสย "บาตรแตก" เมื่อ: 18 ธันวาคม 2557 11:52:46



50  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / อาถรรพ์ คุณไสย "บาตรแตก" เมื่อ: 18 ธันวาคม 2557 11:51:13
อาถรรพ์ คุณไสย "บาตรแตก"

"บาตร" หรือ "บาตรพระ" เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกันดีพอสมควร เนื่องจากบาตรคือหนึ่งในอัฐบริขารที่เป็นของที่พระภิกษุและสามเณรใช้ในการบิณฑบาต โดยพระพุทธองค์ทรงบัญญัติ ไว้ว่าบาตรมี 2 ชนิดเท่านั้น คือ บาตรดินเผา และ บาตรเหล็กรมดำ โดยมีขนาดตั้งแต่ 7-11 นิ้ว และพระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุใช้บาตรที่ทำจากวัสดุที่มีค่าเช่น เงิน ทอง ทองเหลือง ทองแดง

ทว่าในปัจจุบันวัดส่วนใหญ่อนุโลมให้ใช้บาตรที่ทำจากสแตนเลส เนื่องจากทำความสะอาดง่ายและสะดวกต่อการดูแล ส่วนฝาบาตรในสมัยก่อนนั้นทำจากไม้ ก็เปลี่ยนมาใช้เป็นฝาสแตนเลสแทน แต่ ในบางที่ในภาคอีสานยังใช้ฝาบาตรที่ทำจากไม้อยู่

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับ "บาตรแตก" หรือ "บาตรพระแตก" ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีอยู่กับชาวพุทธมานานหลายร้อยปีว่า "บาตร" เป็นของที่ใช้กับพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่เหมาะที่จะมาปรากฏอยู่ใน เคหสถานโดยทั่วไปเนื่องจากเป็นของสูง ส่วนความเชื่อในเรื่องบาตรแตกนั้นจะปรากฏมากในภาคกลางยิ่งกว่าภาคอื่น เนื่องจากพระสงฆ์จะได้รับการอบรม ถ่ายทอดจากพระอุปัชฌาย์ว่าให้ดูแลรักษา "บาตร" ของตนให้ดีที่สุด เพราะมีความเชื่อว่าพระสงฆ์หนึ่งรูปจะมี "บาตร" ได้เพียงหนึ่งใบเท่านั้น

ในสมัยโบราณ "บาตร" ทำจากดินเผาหรือไม้ หากเกิดรูรั่วพระสงฆ์จะต้องชันยาเพื่ออุดรูรั่วนั้นและใช้บาตรนั้นต่อไป จนกว่าจะมีผู้นำ "บาตร" ใบใหม่มาถวาย ในกรณีที่มีการแตกหรือชำรุดพระสงฆ์เท่า นั้นที่จะเป็นผู้เก็บรักษา และเก็บไว้ภายในวัด อย่าให้ไปตกอยู่ในมือของคนไม่มีศีลธรรม หรือจิตใจไม่ดี และอาจคิดร้ายต่อผู้อื่น เป็นเรื่องที่พระสงฆ์ต้องระวังอย่างมาก

ส่วนสาเหตุที่ต้องมีการเก็บรักษาให้พ้นจากมือของคนจิตใจไม่ดี ไม่มีศีลธรรม เพราะคนจิตใจไม่ดีบางคน อาจนำ "บาตร" นั้น ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เพื่อให้เกิดผลในทางอาถรรพ์กับผู้ที่ตนมุ่งร้าย เพราะเพียงแค่นำ "บาตร" นั้น ไปทิ้งไว้ตามเรือกสวน ไร่นา หรือนำไปโยนใส่ไว้ใต้ถุนบ้านของคนที่ตนมุ่งร้าย ก็สามารถทำให้บ้านนั้นเกิดความเดือดร้อน เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง เกิดความแตกแยก และหากผู้ไม่มีศีลธรรมผู้นั้นลงคาถาอาคมกำกับชิ้นส่วน "บาตรแตก" ได้ อาถรรพ์ที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าของบ้านหลังนั้นและจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

สำหรับการทำบาตรแตกนั้นถือว่าเป็นวิชามนต์ดำที่น่ากลัวมากสำหรับการทำของใส่กัน เหตุเพราะบาตรนั้นเป็นโควจรของพระภิกษุและเป็นจุดรวมแห่งทาน หากบาตรแตกนั้นจะส่งผลถึงความอดยาก การระงับทาน ดังนั้นวิชาบาตรแตกนั้นการทำใส่กันจึงสื่อถึงความขัดสนการอยู่กินอันจะนำมาซึ่งปากเสียงกัน



การแก้ทางวิชาบาตรแตกนั้นทำได้ 4 วิธีดังนี้

1. ใช้เมล็ดข้าวและดินที่ประกอบพิธีแรกนาขวัญ ปลูกและโปรยรอบบ้าน พร้อมบริกรรมคาถาว่า "พุทโธทำให้หลุด ธัมโมทำให้ดับ สังโฆทำให้สูญ เสนียดจัญไร จงหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ"

2. ใช้ตะปูสังฆวานรหรือตะปูธรรมดานำไปฝากไว้ในโบสถ์ 1 พรรษา แน้นวัดกลางที่มีการบวชและลงปาฏิโมข์ประจำ แล้วนำตะปูมาตอกที่เสาบ้าน หน้าต่าง ประตู พร้อมบริกรรมคาถาว่า "พุทโธทำให้ หลุด ธัมโมทำให้ดับ สังโฆทำให้สูญ เสนียดจัญไร จงหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ"

3. หาบาตรแตกที่ทำใส่เราแล้วห่อด้วยจีวรขาดนำไปทิ้งแม่น้ำกล่าวคำต่อพระแม่ธรณี พระแม่คงคา พร้อมบริกรรมคาถาว่า "พุทโธทำให้หลุด ธัมโมทำให้ดับ สังโฆทำให้สูญ เสนียดจัญไร จงหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ"

4. วิธีที่หนักที่สุดแต่ไม่แนะนำให้ใช้คือการใช้ประจำเดือนแรกของสาวพรหมจรรย์ ล้างอาถรรพ์บาตรแตกที่ลงอาคมไว้ (วิธีนี้ข้าพเจ้าจะไม่ขอบอกลำดับการทำพิธี เพียงแต่จะลงข้อมูลให้ครบเท่านั้น)



เรื่องนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลมาแต่โบราณ
โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูล

51  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เครื่องราง ของขลัง พุทธคุณ / หลวงพ่อศุขทำตะกรุดตะกั่วดำ ถวายกรมหลวงชุมพรฯ เมื่อ: 18 ธันวาคม 2557 11:47:03
หลวงพ่อศุขทำตะกรุดตะกั่วดำ ถวายกรมหลวงชุมพรฯ



เรื่องอภินิหารของหลวงพ่อศุขนี้ มีเรื่องเล่าต่อกันมา ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเหลือเชื่อซึ่งไม่มีทางพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้เลย เดิมทีเดียวข้าพเจ้าคิดว่าจะไม่เขียนถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ถูกขอร้องจากหลายท่านที่สนใจในชีวประวัติของหลวงพ่อศุข ให้บันทึกไว้ ส่วนเรื่องใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ขอให้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไป

เรื่องนี้หลวงพ่อเจริญ ธมฺมถิโร เป็นผู้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ ดังนี้

ตะกรุดนี้ทำจากตะกั่วดำ ดอกค่อนข้างใหญ่ กรมหลวงชุมพรฯ เป็นผู้ขอให้ท่านทำ ท่านก็รับปากและสั่งว่าให้ไปรับวันรุ่งขึ้น

วันรุ่งขึ้นกรมหลวงชุมพรฯ ได้ไปขอตะกรุด ท่านบอกว่าโยนตะกรุดลงไปในแม่น้ำหน้าวัด แล้วจึงนำกรมหลวงชุมพรฯ ไปที่หน้าวัด ตรงที่ท่านได้โยนตะกรุดลงไป กรมหลวงชุมพรฯ ทรงเรียกทหารที่มาด้วย ถามหาผู้อาสาสมัครลงไปงม มีทหารรับอาสาสมัครหลายคน แต่หลวงพ่อศุขบอกคนเดียวก็พอ พอทหารผู้นั้นดำลงไปในน้ำ ตะกรุดนั้นก็มาสวมคอทหารผู้นั้นทันที เมื่อทหารขึ้นมาจากน้ำแล้ว กรมหลวงชุมพรฯ ได้ถามหลวงพ่อศุขว่าจะลองได้หรือไม่ ท่านตอบว่าลองได้ กรมหลวงชุมพรฯ จึงทดลองยิงดู ปรากฏว่ายิงไม่ออก



ผู้บันทึก นายแพทย์สำนวน ปาลวัฒน์วิไชย

จากหนังสือประวัติท่านพระครูวิมลคุณากร ( ศุข ) วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท

สโมสรไลอ้อนส์ ร่วมกับ ชมรมพระเครื่องชัยนาท จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ พิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๒๘ จำนวน ๕,๐๐๐ เล่ม ( สงวนลิขสิทธิ์ )

ขอบคุณข้อมูลจากพี่ Ba Daeng / เพจเรื่องเล่าชาวสยาม
52  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / Re: รู้ทันพลังลวงโลก เหรียญทรงพลังหลวงพ่อใหญ่ วัดเขาแดง จ.นครนายก เมื่อ: 21 ตุลาคม 2557 13:50:33

ทริคที่ว่า
ปาหี่เหรียญควอนตั้มเอามาเล่นกันตั้งนานแล้ว

การทดสอบ เหรียญควอนตั้มซายน์ 1




53  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / รู้ทันพลังลวงโลก เหรียญทรงพลังหลวงพ่อใหญ่ วัดเขาแดง จ.นครนายก เมื่อ: 21 ตุลาคม 2557 13:46:41
รู้ทันพลังลวงโลก เหรียญทรงพลังหลวงพ่อใหญ่ วัดเขาแดง จ.นครนายก

ก่อนอื่นขอให้ทุกท่านสละเวลาดูคลิปนี้จนจบก่อน

หลวงพ่อใหญ่ วัดเขาแดง 1


หลังจากดูจบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ?
หลายคนคงมองเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่เพียงกำเหรียญ หรือระลึกถึงหลวงพ่อก็สามารถทำให้มีพลังต้าน
ทำให้ตัวไม่ล้ม ชีวิตไม่ล้มได้ แต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นทริคหากินที่เอาไว้หลอกคนไม่มีความรู้เรื่องนี้ต่างหาก
ทริคนี้มีการเล่นกันมาตั้งแต่สมัยก่อนไล่มาจนถึงเหรียญควอนตั้ม วงการขายตรง และล่าสุดลามเข้าสู่วงการศาสนา
สำหรับคนไม่รู้อาจดูมหัศจรรย์ แต่สำหรับคนรู้มันคือปาหี่หลอกเด็กที่กำลังทำให้วงการศาสนาเสื่อมเสีย

และนี่คือคลิปเฉลย...

วิทยาตาสว่าง ตอนที่ 5 เหรียญควอนตัม



54  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ล ก็ทำเราป่วยตายด้วยโรครวมมิตร เมื่อ: 02 กันยายน 2557 11:40:03



ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ล ก็ทำเราป่วยตายด้วยโรครวมมิตร



"แอปเปิ้ลวันละลูก ช่วยให้คุณห่างไข้ไกลหมอ" อาจารย์สุวรรณา ผู้กราบไหว้เจ้าแม่กวนอิมเป็นประจำ กำลังป่วยด้วยโรคอ้วน พาเอาร่างกายที่หนัก 90 ก.ก. มาหาด้วยความเหน็ดเหนื่อย

"ดิฉันเพิ่งกลับจากไต้หวัน เพราะลูกศิษย์ลูกหาที่นั่นเยอะ งานก็เยอะมาก ดังนั้น ทุกเช้าลูกศิษย์จะทำอาหารให้กิน ดิฉันก็บอกว่า กินง่ายๆ ขอแอปเปิ้ลสักลูกละกัน เพราะสุภาษิตที่ไต้หวันก็บอกว่า แอปเปิ้ลวันละลูกทำให้เราห่างไข้ไกลหมอนะ"

"ใช่แล้วครับ แต่แอปเปิ้ล 30 ลูกใน 1 เดือนก็อาจพาอาจารย์ให้ป่วยหนักเพราะโรคอ้วนและจะกลายเป็นเบาหวานในที่สุด" ผมแย้ง แล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ เพราะเป็นอันรู้กันทั้งเธอและผมว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่เคยดิ้นทุรนด้วยปัญหาโรคอ้วน ซึ่งแก้ปัญหาตัวเองไม่หลุดซะที

"ตื่นเช้าอาจารย์ก็กินไก่ย่างสักตัวกับผักสักจาน" ผมเริ่มทบทวนอาหารให้

"ไม่ได้หรอกค่ะ ดิฉันกินเจตอนเช้า" นั่นทำให้ผมชะงัก นึกสงสารว่าคนกินเจอย่างเธอมักจะหาของกินอร่อยๆ ได้ยาก

แล้วสุดท้ายก็มัวแต่เชื่อว่าผลไม้ดีต่อสุขภาพ แล้วกินเข้าไปทุกวันๆ จนอ้วนเละเทะ

เอาละ ท่านผู้อ่าน ผมกำลังจะเปิดศักราชต่อต้านการกินผลไม้และน้ำผลไม้กันจริงจังเสียที หลังจากที่ปล่อยผู้รักสุขภาพพากันชื่นชมกับการกิน "ผักผลไม้" ว่าเป็นหนทางออกของสุขภาพ แต่เอาเข้าจริงๆ ผักมักจะไม่ยอมกินเพราะขื่นและเตรียมให้พร้อมกินได้ยาก คนก็เลยเอาความสะดวกเข้าว่า กินผลไม้กันอย่างมักง่ายๆ แล้วปากก็พาป่วยด้วยประการฉะนี้

ผมกำลังจะบอกคุณว่าปัญหาสุขภาพที่รุมเร้าเราอยู่ทุกวันนี้ มีเหตุมาจากการกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป ซึ่งหลายๆ คนมัวแต่หลีกเลี่ยงของหวาน แต่ลืมคิดไปว่าคาร์โบไฮเดรตที่อันตรายมาในรูปรสจืด อันได้แก่ แป้งข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว วุ้นเส้น และมากับหวานอมเปรี้ยวได้แก่ผลไม้ชนิดต่างๆ คือตัวร้าย

ทรรศนะของผมในเรื่องนี้มันช่างตรงกับแพทย์และนักวิชาการในต่างประเทศคนอื่นๆ ด้วย เริ่มต้นตั้งแต่ นพ.ริชาร์ด จอห์นสัน แพทย์อายุรศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ มหาวิทยาลัยโคโลราโด เดนเวอร์ ที่กล่าวว่า "ทุกครั้งที่ผมศึกษาสาเหตุเบื้องลึกของโรคภัยไข้เจ็บแต่ละโรคในสมัยนี้ ก็มักจะไปจบลงที่สาเหตุจากความหวานนั่นเอง"

"คิดดูก็แล้วกัน ทำไมผู้คนทั่วโลกเวลานี้กว่า 1 ใน 3 จึงมีโรคความดันเลือดสูง เทียบกับเมื่อปี ค.ศ.1900 จะมีคนเป็นโรคความดันเลือดสูงเพียง 5% เท่านั้น? แล้วทำไมจึงมีคนทั่วโลกที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน 153 ล้านคนในปี ค.ศ.1980 เมื่อเทียบกับเวลานี้ที่เรามีผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 347 ล้านคน? ทำไมคนอเมริกันจึงป่วยด้วยโรคอ้วนมากขึ้นทุกที? ก็น้ำตาลหรือความหวานนั่นแหละที่เป็นสาเหตุใหญ่"

มองย้อนหลังไปเมื่อปี ค.ศ.1675 ตอนนั้นยุโรปกำลังระเบิดระเบิงด้วยความหวาน นพ.โทมัส วิลลิส ซึ่งเป็นสมาชิกก่อตั้งราชสมาคมบริทิช เป็นคนแรกที่บันทึกไว้ว่า "ปัสสาวะของคนเบาหวานช่างหวานเจี๊ยบราวกับใส่น้ำผึ้งหรือน้ำตาลเอาไว้" ต่อจากนั้นอีก 250 ปี ฮาเวน อีเมอร์สัน มหาวิทยาลัยโคลัมเบียก็ตั้งข้อสังเกตว่ามีผู้ตายมากขึ้นทุกทีนับจากปี ค.ศ.1900 ถึง ค.ศ.1920 ที่พบว่ามีสาเหตุสัมพันธ์กับการกินหวาน

ครั้นถึงปี ค.ศ.1960 นักโภชนาการชาวอังกฤษชื่อ จอห์น ยุดกิน ก็ได้ทำการทดลองทั้งในสัตว์และในคนซึ่งแสดงให้เห็นว่าสัตว์หรือคนที่กินอาหารที่มีน้ำตาลมากจะนำไปสู่การมีไขมันและอินซูลินในเลือดสูง

อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตของยุดกินก็ถูกกลบด้วยเสียงโพนทะนาของนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ที่ต่างก็กล่าวโทษสารคอเลสเตอรอลที่ได้มาจากไขมันอิ่มตัวในอาหารว่าเป็นสาหตุของโรคอ้วนและโรคหัวใจที่มีอัตราสูงขึ้น

ผลก็คือไขมันถูกลดทอนลงให้เหลือนิดเดียวในอาหารของคนอเมริกันเมื่อเทียบกับ 20 ปีก่อน

แต่กระนั้นก็ตามสถิติของผู้ป่วยเป็นโรคอ้วนแทนที่จะลดลงก็กลับถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง "สาเหตุสำคัญก็มาจากน้ำตาลนั่นเอง" นพ.จอห์นสันกล่าว

"โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตส (หรือน้ำตาลผลไม้)"

นํ้าตาลซูโครส คือน้ำตาลที่วางอยู่บนในพวงเครื่องปรุงอาหารของเรา มันประกอบด้วยโมเลกุลของน้ำตาล 2 โมเลกุล หนึ่งคือกลูโคส อีกหนึ่งคือ ฟรุกโตสซึ่งก็คือน้ำตาลธรรมชาติที่เจอในผลไม้

ความรู้ประการหนึ่งที่ผู้คนทั่วไปมักจะไม่ได้ใส่ใจก็คือ เมื่อกินน้ำตาลซูโครสจากกระปุกน้ำตาลบนโต๊ะอาหาร จากเครื่องดื่มหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหวานผสมโซดา น้ำอัดลม หรือลูกอม กระทั่งความหวานจากผลไม้ น้ำตาลซูโครสที่กินเข้าไปจะแตกตัวเป็นกลูโคส+ฟรุกโตส น้ำตาลกลูโคสจะถูกใช้ไปอย่างง่ายดายโดยเซลล์ทั่วร่างกาย แต่น้ำตาลฟรุกโตสที่ตกค้างอยู่จะมีอวัยวะเดียวที่จะหมุนใช้มันได้คือ ตับ

ด้วยเหตุนี้เมื่อใดที่เรากินหวานๆ เข้าไปมาก ฟรุกโตสเมื่อถูกลำเลียงมาตามกระแสเลือดจนถึงตับ ตับก็จะสลายฟรุกโตสแล้วสร้างขึ้นมาเป็นไตรกลีเซอไรด์ ไตรกลีเซอไรด์ที่มีมากขึ้นส่วนหนึ่งจะถูกส่งเข้ากระแสเลือดโดยตับจะสร้างรถบรรทุกขึ้นมา คือไลโปโปรตีนนั่นเอง โครงสร้างของไลโปโปรตีนนั้นประกอบด้วยโปรตีนกับคอเลสเตอรอล เป็นเหตุให้คอเลสเตอรอลสูง

ไลโปโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นจะลำเลียงไตรกลีเซอไรด์ไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เซลล์ตามอวัยวะต่างๆ เอาไปใช้

แต่ถ้ามีเหลืออีกก็จะลำเลียงไปเก็บซุกไว้ใต้ผิวหนัง เป็นสาเหตุของความอ้วน

ส่วนไตรกลีเซอไรด์อีกส่วนหนึ่งจะตกค้างอยู่ในตับ สะสมอยู่ในเซลล์ กลายเป็นภาวะไขมันพอกตับในที่สุด

ไขมันที่ล่องเลยอยู่ในกระแสเลือดจะเกิดการสะสมอยู่ในหลอดเลือด เป็นเหตุให้หลอดเลือดแข็งตัว เกิดโรคความดันเลือดสูง และโรคหัวใจ อัมพาตตามมา

ในอีกด้านหนึ่ง น้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือดจะไปกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลิน อินซูลินออกมาบ่อยๆ นานๆ เข้าเซลล์ก็จะเกิดอาการดื้อด้านต่ออินซูลิน กลายเป็นเบาหวานนั่นเอง

ถึงตอนนี้แหละคนคนนั้นก็จะตกเข้าสู่ภาวะของกลุ่มโรคเผาผลาญผิดปกติ (metabolic syndrome)

อันเป็น "ชามรวมมิตร" ของความผิดปกติทั้งหลายแหล่ ได้แก่ อ้วน น้ำตาลเลือดสูง อินซูลินในเลือดสูง แต่เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน มีเบาหวาน ความดันเลือดสูง แถมด้วยไตรกลีเซอไรด์สูง HDL ต่ำ และ LDL ชนิดเม็ดเล็ก (ซึ่งเป็นไขมันที่ดี) ต่ำอีกด้วย ซึ่งบางทีเราเรียกว่าซินโดรมเอ็กซ์ (Syndrome X)

ผมขอเรียกว่า "โรครวมมิตร" น่าจะเหมาะ

สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกาประกาศว่า ทุกวันนี้คนอเมริกันผู้ใหญ่กว่า 1 ใน 3 กำลังป่วยด้วยโรครวมมิตรกลุ่มนี้

เมื่อไม่นานมานี้สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาได้ประกาศคำเตือนแล้วว่า ให้ลดปริมาณน้ำตาลที่ใส่ลงในอาหาร แต่เหตุผลเพียงระบุว่า "เพราะน้ำตาลไปเพิ่มแคลอรี โดยไม่ได้ให้ประโยชน์ใดๆ อย่างอื่น"

แต่เหตุผลของสถาบันสุขภาพฯ นี้สำหรับ นพ.จอห์นสัน แล้ว ถือว่าเป็นการประกาศที่พลาดเป้าหมาย "เพราะน้ำตาลไม่แต่เพียงเป็นแคลอรีเปล่าเปลือง แต่สำคัญกว่านั้นก็คือ...มันเป็นพิษ"

เช่นเดียวกับ โรเบิร์ต ลัสติง ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาการต่อมไร้ท่อ เขากล่าวว่า "มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องแคลอรีเกินสักกะหน่อย เหตุผลที่สำคัญก็คือ น้ำตาลคือสารพิษ ถ้ากินมากเกินไป"

นพ.จอห์นสันให้ข้อสรุปการเจ็บป่วยของคนอเมริกันว่า คนอเมริกันกันกินมากและออกกำลังกายน้อย เหตุผลที่กินมากและออกกำลังกายน้อยก็เพราะว่าพวกเขาเสพติดความหวาน มันไม่แต่เพียงทำให้พวกเขาอ้วนขึ้น แต่ทันทีที่พวกเขากินโด๊สแรกของความหวาน มันก็จะดูดกลืนเรี่ยวแรงออกไปจากตัวเขาทันที ทำให้พวกเขาอ่อนปวกเปียกลงไปนอนกองที่เก้าอี้ การที่คนอ้วนชอบดูโทรทัศน์นั้น ไม่ใช่เพราะโทรทัศน์ดูแล้วสนุกหรอก แต่เป็นเพราะพวกเขาหมดเรี่ยวหมดแรงเกินกว่าที่จะลุกขึ้นมาออกกำลังกายได้

"หมดเรี่ยวแรงเพราะการกินหวานนั่นเอง"

ทางออกก็คือ ตัดการกินหวานซะทันที

เมื่อหยุดกินหวาน โรคต่างๆ ที่ป่วยอยู่ก็จะดีขึ้น เพราะน้ำตาลในเลือดลดลง ไตรกลีเซอไรด์ถูกใช้ไป ทำให้หายอ้วน คอเลสเตอรอลลดลง หลอดเลือดสะอาดขึ้น ความดันลดลง หัวใจปลอดโปร่ง สมองแจ่มใส เรี่ยวแรงจะคืนกลับมา

แต่ปัญหามีว่าทุกวันนี้เราช่างหลีกเลี่ยงความหวานได้ยากเสียเหลือเกิน เพราะเราเคยตกอยู่ในโลกของความกลัวไขมัน อุตสาหกรรมอาหารจึงเอาความหวานมาเสนอขายแทนความมัน ไม่เชื่อหันไปมองดูสิ บรรดาอาหารที่ว่าไขมันต่ำก็ล้วนออกรสหวานๆ ทั้งนั้น

นั่นเป็นเรื่องของชาวอเมริกัน แต่ถ้าเป็นคนไทยแล้ว ความหวานที่เรานิยมกินกันและหลงเชื่อว่าดี ก็คือผลไม้ เรากินผลไม้และน้ำผลไม้อย่างไม่บันยะบันยัง

แถมหลงว่าเป็นอาหารสุขภาพเสียด้วย ทั้งที่มันทำให้เราป่วยด้วยโรครวมมิตรพอๆ กับที่ฝรั่งหลงกินของหวานกัน

เรื่องจริงจึงมีว่า ผลไม้-แม้แต่แอปเปิ้ลก็มีผลให้เราอ้วนตายได้!!!

เรื่องเศร้าจึงมีว่า ทุกวันนี้เรากำลังมุ่งหน้าสู่การป่วยตาย ทั้งๆ ที่เรายอมอดอาหารที่แสนอร่อยอย่าง หมูหัน ไก่ตอนและลดทอนไข่แดง โดยต้องทนกินของไม่อร่อยที่หวานแสบไส้

สุดท้ายอาหารที่ต้องทนกินนี้กลับทำให้เราตายเร็วลงซะฉิบ!!

...........


(ที่มา:มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22-28 สิงหาคม 2557)

55  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / สวดมนต์ให้เย็น โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เมื่อ: 02 กันยายน 2557 11:02:37



สวดมนต์ให้เย็น โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

บทสวดมนต์ที่เราจะยึดเป็นหลัก วิธีปฏิบัติ ถ้าเรามีดอกไม้ ธูป เทียนบูชาพระพุทธรูป ก็ให้กล่าวคำว่า

อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง ปูเชมิ
อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง ปูเชมิ

อันนี้เป็นคำบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เพื่อโน้มน้าวจิตของเราให้มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันดับต่อไปก็

อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบทีหนึ่ง)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบทีหนึ่ง)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบทีหนึ่ง)

ทีนี้ก็มาสำรวมจิตให้แน่วแน่ต่อคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กล่าวนะโม ๓ จบ

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

ต่อไปสำรวมจิต สวดบทอิติปิโส

อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ (กราบทีหนึ่ง)

แล้วสวดบทสวากขาโตต่อไป

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ (กราบทีหนึ่ง)

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (กราบทีหนึ่ง)

ทีนี้อันดับต่อไปก็ตั้งใจเจริญพรหมวิหาร

อะหัง สุขิโต โหมิ
นิททุกโข โหมิ
อะเวโร โหมิ
อัพยาปัชโฌ โหมิ
อะนีโฆ โหมิ
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ

อันนี้บทเมตตาตน ต่อไปก็แผ่เมตตาสัตว์

สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ
สัพเพ สัตตา อัพยาปัชฌา โหนตุ
สัพเพ สัตตา อะนีฆา โหนตุ
สัพเพ สัตตา สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ

นี่บทแผ่เมตตา ทีนี้ก็สวดบทกรุณาต่อไป

สัพเพ สัตตา สัพพะทุกขา ปะมุจจันตุ
สัพเพ สัตตา ลัทธะสัมปัตติโต มา วิคัจฉันตุ

อันนี้ เป็นบทมุทิตา ทีนี้สวดบทอุเบกขาต่อไป

สัพเพ สัตตา กัมมัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนี กัมมะพันธู กัมมะปะฏิสสะระณา ยัง กัมมัง กะริสสันติ กัลยาณัง วา ปาปะกังวา ตัสสะ ทายาทา ภะวิสสันติ.

อันนี้เป็นยอดแห่งบทสวดมนต์ ให้ทุกคนพยายามท่องจำให้ได้ แล้วพยายามสวดทุกวันๆ ทั้งเวลาเช้าเวลาเย็น ถ้ามายึดบทสวดตามที่กล่าวนี้อย่างมั่นคงแล้วก็ตั้งใจสวดอย่างต่อเนื่องกันทุกวันๆ ไม่ต้องไปสวดคาถาบทอื่นก็ได้ ให้สวดเฉพาะเท่าที่กล่าวมานี้ ทำจิตให้มั่นคงต่อบทสวดนี้อย่างแน่วแน่ ยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก คาถาชินบัญชร หรือคาถาอื่นๆ นี้ ไม่จำเป็นต้องสวดก็ได้

มีนายคนหนึ่งมาหาหลวงพ่อเมื่อ ๒-๓ วันมานี่ เขามาปรึกษาว่า "ทำไมผมยิ่งสวดมนต์ ขยันสวดมนต์ สวดคาถาชินบัญชรวันละ ๙ จบ ๑๐ จบ บทอื่นก็หลายจบ หนังสือยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกนี่ผมจำได้และสวดได้หมดทุกตัว ผมนั่งสวดมนต์อยู่เป็นชั่วโมงสองชั่วโมง ยิ่งสวดมนต์ไปเท่าไรแทนที่ว่าจิตมันจะเย็นลง มันกลับทำให้ร้อน นอกจากมันจะทำให้ร้อนแล้ว ผมกับภรรยาของผมต่างคนต่างสวดเก่งเหมือนกัน แต่พอออกจากห้องพระมาแล้วหาเรื่องทะเลาะกันทุกที ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้นหลวงพ่อ"

หลวงพ่อก็บอกว่า "บทสวดมนต์ตามที่คุณสวด มันมีแนวโน้มไปในทางไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นี่ ถ้าเกิดสวดมากๆ เข้า มันเกิดมีอาถรรพณ์ มันเป็นพลังมนต์ครอบคลุมจิต มนต์ไสยศาสตร์ทำให้เกิดพลังร้อน เมื่อเกิดพลังร้อนแล้วมันก็อยากจะลองของ ในเมื่อหาใครที่จะมาเป็นคู่ปะทะหรือทะเลาะไม่ได้ก็ทะเลาะกันเอง คนบางคนสวดมนต์ทางไสยศาสตร์ ยิ่งสวดมากเท่าไรจิตใจก็ยิ่งโหดเหี้ยม นั่งสมาธิภาวนาสวดมนต์เวลาค่ำคืน ๕ ทุ่ม ๖ ทุ่ม พอออกจากที่สวดมนต์ ที่นั่งสมาธิมาแล้วมาทุบตีเมียของตัวเอง

อันนี้มันเป็นเพราะพลังมนต์ไสยศาสตร์บันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น มนต์อันใดที่มีแนวโน้มไปในทางไสยศาสตร์ มนต์อันนั้นทำให้จิตร้อน เพราะมันมีพลังร้อน แต่พลังของพระพุทธคุณธรรมคุณ สังฆคุณ พลังพรหมวิหาร มันทำให้เกิดพลังเย็น เป็นไปเพื่อผูกมิตรไมตรีกับสิ่งทั้งปวง ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่พาลหาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน" เพราะฉะนั้น ให้นักเรียนทุกคนจำเอาไว้ บทสวดมนต์ที่วิเศษที่สุดก็คือ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แล้วก็แผ่เมตตา ทีนี้เมื่อแผ่เมตตาเสร็จแล้ว จะนั่งสมาธิภาวนาก็นั่งต่อไป

เมื่อเลิกจากนั่งสมาธิแล้ว ก่อนจะลุกจากที่นั่งสมาธิ ให้น้อมจิตน้อมใจอธิษฐานถึงบุญบารมีที่เราได้ปฏิบัติมา แล้วก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ตลอดทั้งสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ตลอดทั้งเจ้ากรรมนายเวร ขอให้มารับส่วนบุญที่เกิดจากการปฏิบัติของข้าพเจ้านี้


56  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: เสาะหา “น้ำค้างกลางเที่ยง“ ที่ภูสอยดาว เมื่อ: 02 กันยายน 2557 10:10:30


>>>ภูสอยดาวสูงเป็นอันดับ 3 ของไทย อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวมีพื้นที่ประมาณ 212,798 ไร่ หรือ 340.47 ตร.กม. อยู่ในเขตอำเภอน้ำปาด อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์ และ อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก ภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนต่อเนื่องกับเทือกเขาในประเทศลาว

>>>มีภูสอยดาวเป็นยอดสูงสุด สูงถึง 2,102 ม. จากระดับน้ำทะเล และสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ (อันดับ 1 คือดอยอินทนนท์ อันดับ 2 คือดอยหลวงเชียงดาว ใน จ. เชียงใหม่)ข้อมูลควรรู้ระหว่างเดือน ม.ค.-ก.ค. มีการปิดฟื้นฟูสภาพป่าบนลานสนภูสอยดาว

>>>เส้นทางเดินขึ้นลานสนภูสอยดาวค่อนข้างลำบาก ส่วนใหญ่เป็นทางสูงชัน ระยะทางราว6.5 กม. ใช้เวลาเดิน 4-6 ชม. ดังนั้นควรตรวจสอบความพร้อมของสภาพร่างกายก่อนมีเต็นท์และเครื่องนอนให้เช่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะขึ้นไปค้างแรม แต่ต้องเตรียมอาหารและน้ำดื่มไปเองมีลูกหาบบริการ ค่าบริการ 30 บาท/กก.

>>>ติดต่อสอบถามที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ต. ห้วยมุ่น อ. น้ำปาด จ. อุตรดิตถ์ 53110 โทร. 0-5543-6001-2



57  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / Re: เสาะหา “น้ำค้างกลางเที่ยง“ ที่ภูสอยดาว เมื่อ: 02 กันยายน 2557 10:08:51

>>>ตามหา "น้ำค้างกลางเที่ยง"



บนลานสนภูสอยดาวที่เรากางเต็นท์มีสำนักงานของอุทยานแห่งชาติฯโดยมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ 2 คน ตั้งอยู่บริเวณลานสนตั้งอยู่บนความสูง 1,633 ม. จากระดับน้ำทะเล สูงพอที่จะทำให้อากาศบนลานนี้หนาวเย็น ต้นไม้อย่างสนสามใบพากันยืนต้นสูงเป็นทิวแถวละเลียดสาย หมอกขาว บนพื้นล่างมีดอกหงอนนาคสีม่วงอ่อนเบ่งบานชูช่อล้อลมอยู่เต็มท้องทุ่งหงอนนาคจะผลิดอกบานเมื่อฤดูฝนมาเยือน ท่ามกลางความชุ่มชื้น หยาดน้ำค้างซึ่งแต่งแต้มที่ปลายกลีบดอกสีม่วงระเรื่อ ยามแสงแดดสาดส่อง เกิดเป็นประกายน้ำวิบวับไหวตามแรงลม ดูอ่อนหวานงดงามจับใจ

แม้ในยามสายคล้อยเคลื่อนถึงเที่ยง หยาดน้ำค้างนั้นก็ยังคงอยู่ ผู้คนจึงเรียกขานเจ้าไม้ดอกนี้ในอีกชื่อว่า "น้ำค้างกลางเที่ยง"ลานสนบนภูสูงแห่งนี้ยังมีดอกไม้ที่ชวนกันผลิบานรับสายหมอกละอองฝนอีกหลายชนิด เช่นดอกกระดุมเงิน ดอกกุง ดอกลิลลี่ป่า ดอกดินแดง ดอกเอื้องหมายนาต่อให้ยากลำบากอย่างไร เมื่อได้มาพบสิ่งสวยงามบนลานนี้ ความเหนื่อยยากนั้นก็หายไปเป็นปลิดทิ้งโบกมือลาพระอาทิตย์ ก่อนนอนนับดาวยามค่ำคืน

พวกเราอ้อยอิ่งกันบนลานสนได้ไม่นานนักพระอาทิตย์ก็ใกล้จะลาขอบฟ้า เราพากันไปยังจุดชมพระอาทิตย์ตก ซึ่งอยู่ห่างจากลานกางเต็นท์เพียง 300 ม. ทว่าสายหมอกแผ่คลุมทั่วผืนป่า เราจึงเห็นแสงสุดท้ายของวันแค่รำไร ถึงอย่างนั้นเราก็มิได้ผิดหวังเพราะเมื่อค่ำคืนมาเยือน เราได้รับสิ่งชดเชยแสนประทับใจ




ท้องฟ้าเหนือลานสนยามดึกมืดมิดกว่าท้องฟ้าในเมืองใหญ่ แสงระยิบระยับของดาวล้านดวงเต็มฟ้ากว้างจึงทอประกายกระจ่างชัด ราวอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือถึงหมู่ดาวบนลานสนดูใกล้ถึงเพียงนี้ แล้วหากเป็นภูสอยดาว ภูสูงสุดของเทือกเขานี้ ดวงดาวจะอยู่ชิดใกล้ เราเพียงใด หรือเสมือนจะสอยดาวนั้นมาเป็นของตนได้...

บนลานสนตอนเช้าตรู่อากาศแจ่มใส เราวางแผนออกสำรวจธรรมชาติบริเวณรอบๆมีเจ้าหน้าที่นำทางพาเราเดินไปยังน้ำตกขุมพบที่เพิ่งสำรวจพบแต่ยังไม่เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ด้วยสภาพป่าที่รกทึบและเส้นทางปีนป่ายไปตามไหล่ ผาสูงนั้นชื้นแฉะค่อนข้างอันตราย พวกเราเดินอย่างระมัดระวัง ถ้ามีกิ่งไม้ก็ยึดเหนี่ยว พยุงตัวขึ้นไป แล้วก็ถึงน้ำตกที่ว่า น้ำตกกลางป่าทึบแห่งนี้ดารดาษด้วยไม้หลากพันธุ์ ทั้งเมเปิลสีแดงสด เห็ด เฟิน กล้วยไม้ป่าหลายสีจากนั้นเราเดินลัดเลาะไปตามลำธารสู่น้ำตกสายทิพย์ ยิ่งสูงขึ้นไปแต่ละชั้น ความสวยงามของน้ำตกก็ยิ่งเผยให้เห็น ความชุ่มชื้นของผืนป่ารอบๆ น้ำตกเอื้อให้มอส เจริญงอกงามจนดูคล้ายพรมกำมะหยี่สีเขียวสด ไลเคนวงสีขาวๆ เทาๆก็มีขึ้นในบริเวณนี้ด้วย




ไลเคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่บ่งชี้ถึงสภาพอากาศอันบริสุทธิ์ เพราะมันไม่สามารถเติบโตได้หากสภาพแวดล้อมบริเวณนั้นมีมลพิษการเดินสำรวจธรรมชาติวันนั้นปิดท้ายด้วยการตระเวนเข้าไปใกล้เขตแดนลาว พร้อมถ่ายภาพคู่หลักเขตชายแดนไทย-ลาวเป็นที่ระลึก โดยมีภูสอยดาวเป็นฉากหลังแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องลาจากภูสอยดาว

เราเที่ยวชมทุ่งดอกหงอนนาคอีกครั้งก่อนอำลาทริปสุดทรหดแต่แสนประทับใจ





58  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปเที่ยว / เสาะหา “น้ำค้างกลางเที่ยง“ ที่ภูสอยดาว เมื่อ: 02 กันยายน 2557 10:06:38
เสาะหา “น้ำค้างกลางเที่ยง“ ที่ภูสอยดาว

ฤดูฝนผืนป่าชุ่มฉ่ำเขียวขจี นักเดินทางหลายคนนึกถึงการเที่ยวป่า...เดือนที่ผ่านมา โชคชะตาพาให้เราได้ไปนอนค้างแรมบนดอยสูงท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนเขาของอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ร่ำลือกันว่าบนยอดภูในช่วงสายฝนโปรยปรายมีดอกไม้นานาพันธุ์แข่งกันเบ่งบานอวดโฉม โดยเฉพาะดอกหงอนนาค ที่บางคนเรียกว่า "น้ำค้างกลางเที่ยง"



>>>เตรียมพร้อม ! ขึ้นภูสอยดาว

เราเริ่มต้นที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ก่อนหน้านี้เราได้ติดต่อขอเจ้าหน้าที่นำทางและลูกหาบมาล่วงหน้าแล้ว (ลูกหาบคิดค่าบริการตามน้ำหนัก ถ้าอยากประหยัดก็ต้องจัดสัมภาระมาแต่พอดี) ใกล้ๆ ศูนย์บริการฯ เป็นที่ตั้งของน้ำตกภูสอยดาวซึ่งระยะทางเกือบ 7 กิโลเมตรที่ต้องเดินนั้นส่วนใหญ่เป็นทางขึ้นเขา พวกเราจึงเลือกสวมใส่เสื้อผ้าเบาสบาย รองเท้าหุ้มส้นที่พื้นรองเท้ายึดเกาะ พื้นดินเปียกแฉะ และยังเตรียมเสื้อกันฝนและถุงพลาสติกกันน้ำสำหรับใส่ของ ทั้งไม่ลืมน้ำดื่มและของจำเป็นเช่นหยูกยาเผื่อไว้ยามเจ็บไข้เราเดินเลาะไปตามลำธารด้านล่างของน้ำตก จากนั้นก็เดินสูงขึ้นผ่าน น้ำตกชั้นต่างๆ รวม 5 ชั้นอันมีชื่อไพเราะคล้องจอง--ภูสอยดาว สกาวเดือน เหมือนฝัน กรรณิการ์ สุภาภรณ์ รอบบริเวณร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่สมเป็นป่าดิบชื้น

เรามาถึง "เนินส่งญาติ" เป็นจุดแรก ขุนเขาเบื้องหน้าดูสูงชัน เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ผู้นำทางจะบอกเราว่าเนินนี้ยังเด็กๆ ถ้าเทียบกับอีกหลายเนินข้างหน้าชื่อ "เนินส่งญาติ" มีที่มาจากครั้งที่พื้นที่นี้ยังเป็นพื้นที่สีแดง--พื้นที่สู้รบระหว่างฝ่ายรัฐกับพรรคคอมมิสต์แห่งประเทศไทยญาติพี่น้องของทหารไทยที่จะขึ้นไปประจำการบนภูสอยดาวจะพากันมาส่งและร่ำลาที่เนินแห่งนี้




จากนี้ไปเส้นทางจะสูงชันและยากลำบากยิ่งขึ้นจาก "เนินส่งญาติ" สู่ "เนินมรณะ" จากเนินส่งญาติต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทางยาวไกล แค่เห็นเส้นทางข้างหน้า ใจหนึ่งก็หวิวๆ แต่อีกใจก็ฮึด กัดฟันเดิน ต้านแรงโน้มถ่วงของโลกไปตามทางซิกแซ็กขึ้นสู่เนินสูงลูกแล้ว ลูกเล่า จากเนินปราบเซียนไปสู่เนินป่าก่อและเนินเสือโคร่ง ระยะทางที่ผ่านแม้ไม่ใกล้แต่ก็เดินสบาย ทั้งไม่สูงมากอย่างที่คิด จากนั้นเราก็ไปต่อยังเนินมรณะ เนินท้ายสุด

เนินมรณะเป็นที่สุดของความยากลำบาก ถึงขั้นเกือบถอดใจเส้นทางทั้งสูงทั้งชันและปลายทางซึ่งอยู่บนยอดเนินที่เห็นลิบๆก็พาให้แทบเข่าอ่อน ร่างกายที่เริ่มเหนื่อยล้าแข้งขาที่เริ่มระบม ทำให้แต่ละก้าวเป็นไปค่อนข้างลำบาก เหมือนเราต้องแบกน้ำหนัก ของตัวเราเองอย่างนั้นทว่าในที่สุดพวกเราก็ขึ้นมายืนอยู่บนยอดเนินมรณะได้สำเร็จ ธรรมชาติมอบรางวัลให้เราด้วยทิวทัศน์ของเทือกเขาภูสอยดาวอันงดงามเกินบรรยายเราพักชื่นชมกับของรางวัลสักครู่ แล้วออกเดินต่อ...อีกเพียง 800 ม. ก็จะถึงลานสนที่เราจะกางเต็นท์ค้างแรมกันคืนนี้





59  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / Re: อีกหนึ่งผีดังในอดีต ผีห้องขัง ผูกคอตาย กองปราบฯ (ไทย) เมื่อ: 22 สิงหาคม 2557 13:07:45



คุกกองปราบเฮี้ยนไม่เลิก

"เลขาฯ มูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรัก" เผย เจอวิญญาณคนตายในห้องขัง เสียชีวิตมาหลายปีแล้ว เหตุที่ไม่ยอมไปเกิดเพราะต้องหารให้ทุกคนรู้ว่า ตร.จับเขามาขังโดยไม่มีความผิด เครียดจนต้องฆ่าตัวตาย

วันที่ (19 ส.ค.) ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ความคืบหน้ากรณีที่ พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ พล.ม.2 รอ. พร้อมด้วยสารวัตรทหารเชิญตัว นายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ประธานสภากรุงเทพมหานครและสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เขตบางรัก และนายประเสริฐ พรมมิ เลขานุการมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรัก ส่งมอบให้ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. หลังจากถูกกล่าวหาว่าเรียกรับเงินค่าคุ้มครองจากผู้ค้าแผงลอยบริเวณหน้าวัดหัวลำโพง แขวงสี่พระยา เขตบางรัก โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึกควบคุมตัวทั้ง 2 ไว้ที่ห้องขัง บก.ป.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของนายประเสริฐได้ครบกำหนดกักตัว 7 วันแล้ว ขณะที่นายพิพัฒน์จะครบในวันที่ 20 ส.ค. แต่ทางพนักงานสอบสวนได้รับการประสานจากทางทหารว่าจะพิจารณาทำหนังสือร้องทุกข์เพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับนายประเสริฐก่อน จากนั้นในวันที่ 19 ส.ค. จึงแจ้งข้อหาต่อนายพิพัฒน์ก่อนจะคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ฝากขังในวันเดียวกัน ส่วนการประกันตัวก็จะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลต่อไป



ต่อมาช่วงเย็น พ.ท.บุรินทร์ ได้ทำหนังสือร้องทุกข์มายังพนักงานสอบสวน บก.ป. ก่อนจะเบิกตัวนายประเสริฐ มาแจ้ง 4 ข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209, 143, 309 และ 337 ตามลำดับ จากการสอบสวนเบื้องต้นนายประเสริฐรับสารภาพว่า มีการเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าจริง แต่รายละเอียดที่มีการจดใส่กระดาษไว้ลูกน้องตนเป็นคนเขียน โดยเก็บค่าแผงค้า แผงค้าละ 200 บาท และมีการเรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 100 บาท ในช่วงเทศกาล สำหรับเงินที่ได้มาก็จะแบ่งไว้ส่วนหนึ่งก่อนจะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิประชาอุปถัมภ์บางรัก



ทั้งนี้ทางทหารจะพิจารณากันตัวนายประเสริฐ ไว้เป็นพยานในคดี ก่อนจะคุมตัวไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ฝากขังในวันที่ 19 ส.ค.



ด้าน นายประเสริฐ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกว่า ตั้งแต่ถูกนำตัวมากักไว้เมื่อวันที่ 13 ส.ค. ก็ได้พบกับวิญญาณของผู้ต้องขังที่เสียชีวิตในคุกกองปราบฯนั่งอยู่ จึงทำความเคารพในฐานะเป็นเด็กใหม่โดยไม่รู้สึกกลัวเพราะผ่านการบวชเรียนมาหลายปี และไม่ใช่แค่ตนคนเดียวที่เห็น นายแอ๊ดมือระเบิดที่ถูกตำรวจบช.ภ.1 จับในข้อหาเกี่ยวกับอาวุธสงครามก็เห็นแต่ไม่มีใครพูดอะไร กระทั่งวันต่อ ๆ มามีโอกาสได้คุยกับวิญญาณนั้นถึงทำให้รู้ว่าเขาตายในห้องขังกองปราบฯหลายปีแล้ว ที่ไม่ยอมไปเกิดเพราะต้องการจะให้คนทั่วไปรับรู้ว่าเขาไม่ได้กระทำความผิด แต่ต้องมาถูกขังจนต้องฆ่าตัวตาย



"วิญญาณของชายคนดังกล่าวได้ขอร้องให้ผมช่วยบอกกับผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ว่าขอให้นอนเรียงหัวชนกัน อย่านอนขวางเป็นแถวยาวปิดช่องทางเดิน เพราะถ้าเขาเดินข้ามคนนอนจะทำให้เขามีบาปเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทุก ๆ คนในห้องขังก็ให้ความร่วมมือ นอกจากวิญญาณของผู้ชายคนนี้แล้วยังมีวิญญาณของผู้หญิงอีก 1 คน ที่วนเวียนเดินไปมาตอนเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ทุกคืน สวมใส่เสื้อผ้าชุดขาว-ดำไม่พูดจาอะไร ไม่เชื่อให้ลองมาสังเกตดูได้ว่าสุนัขในกองปราบฯจะพากันหอนรับเป็นทอด ๆ ทุกคืนตอน 4 ทุ่ม" นายประเสริฐกล่าว

อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ เกิดเหตุสยองขวัญสั่นประสาทขึ้นภายห้องขังกองปราบปรามอีกครั้ง หลังจากเคยมีข่าวความเฮี้ยนของวิญญาณผู้ต้องหาคดีข่มขืนหลานสาวของตนเอง ซึ่งผูกคอตายในห้องขังของกองปราบปราม ได้หลอกหลอนผู้ต้องหาหลายต่อหลายคดีที่ถูกขังในห้องขังแห่งนี้ โดยล่าสุดความเฮี้ยนของวิญญาณนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 03.00 น.ที่ผ่านมา ขณะที่ตำรวจสิบเวร รักษาการหน้าห้องขัง ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากนายสมบูรณ์ ทองคำ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาคดีกรรโชกทรัพย์ ซึ่งถูกจับกุมตัวมาตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา จึงรีบไปดูที่บริเวณห้องขังเพื่อสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

โดยนายสมบูรณ์ ซึ่งอาการหวาดกลัว เล่ารายละเอียดให้ตำรวจฟังว่า ขณะที่นอนหลับไปได้สักพัก ก็รู้สึกเหมือนมีคนมาสะกิดที่ขา ด้วยอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นจึงหรี่ตาดู ปรากฏว่ามีชายคนหนึ่ง มานั่งที่ปลายเท้าและพยายามพูดชักชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งสั่งให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำแปรงฟัน เสร็จแล้วจึงกลับมานอนต่อ ระหว่างนั้นฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ในห้องขังมีตนอยู่คนเดียว จึงรู้สึกเอะใจมองกวาดไปรอบๆแต่ก็ไม่พบชายคนดังกล่าวแล้ว จึงคิดว่าฝันไปมากกว่า แต่เมื่อล้มตัวลงนอนอีกครั้งก็ได้ยินเสียงกระซิบดังข้างหูว่า ให้ไปนับซี่ลูกกรง เลือกเอาว่าจะเอาซี่ไหน ก่อนจะสอนวิธีการผูกคอตายเพื่อให้พ้นผิด โดยเสียงนั้นบอกว่าให้ฉีกเสื้อออก แล้วนำไปผูกเข้ากับลูกกรง

ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวเป็นที่ประเด็นวิพากวิจารณ์ในหมู่ตำรวจและสื่อมวลชน เนื่องจากก่อนหน้านี้เคยมีข่าวความเฮี้ยนของห้องขังแห่งนี้มาแล้วหลายครั้ง โดยหลังจากมีการผูกคอตายในห้องขัง ก็มีผู้ต้องหาพยายามผูกคอตายอีกสามครั้ง แต่มีเจ้าหน้าที่เข้าให้การช่วยเหลือได้ทัน 2 ราย ส่วนอีกรายหนึ่งช่วยเหลือได้แล้วแต่กลับไปผูกคอตายที่บ้านได้ ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆนั้นก็มีอยู่ 2-3 รายที่ถูกหลอกหรือไม่ก็มีอาการผิดปกติเกิดขึ้น.



60  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / ความสุขในชีวิต ธรรมะจากหลวงพ่อชา เมื่อ: 22 สิงหาคม 2557 12:52:03
ความสุขในชีวิต ธรรมะจากหลวงพ่อชา




มีคนเลี้ยงไก่ 2 คน
คนที่ 1 ทุกเช้าจะเอาตะกร้า เข้าไปใน โรงเรือนเลี้ยงไก่
แล้วก็ เก็บ “ขี้ไก่” ใส่ตะกร้ากลับบ้าน...แล้วทิ้งไข่ไก่ ให้เน่าไว้ในโรงเรือน
เมื่อเขาเอาขี้ไก่กลับถึงบ้าน ทั้งบ้านก็เหม็นหึ่งไปด้วยกลิ่นขึ้ไก่..
คนทั้งบ้านต้องทนกับกลิ่นเหม็นของขี้ไก่ทุกวันๆ
คนเลี้ยงไก่คนที่ 2 เอาตะกร้าเข้าไปในโรงเรือนเลี้ยงไก่
เก็บไข่ไก่ใส่ตะกร้าเอากลับบ้าน เขาเอาไข่ไก่ลงเจียว กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบ้าน
คนทั้งบ้านได้กินไข่เจียวแสนอร่อย ไข่ไก่ที่เหลือ เขาก็เอาไปขาย แล้วได้เงินมาใช้จ่ายในบ้าน ทุกคนในบ้านมีความสุขมาก…..

ในชีวิตของเรา พวกเรา เป็นคนเก็บ “ไข่ไก่ ” หรือ เก็บ”ขี้ไก่”
เราเป็นคนเก็บ “ขี้ไก่” โดยเฝ้าแต่เก็บ เรื่องร้ายๆแย่ๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราไว้ในหัวของเรา
และมีความทุกข์ตลอดเวลาที่คิดถึงมัน...
หรือเราเป็นคนที่เก็บ”ไข่ไก่” เราจดจำสิ่งที่ดีๆที่เกิดในชีวิตของเรา
และมีความสุขทุกครั้งที่คิดถึงมัน..

คนเราส่วนใหญ่ชอบเป็นคนเก็บ “ขี้ไก่”
เราถึงต้องเป็นทุกข์ตลอดเวลา เรื่องความเสียใจ ความผิดพลาด ความเจ็บใจฯลฯ
มักจะติดอยู่ในใจของเรานานเท่านาน
ถ้าเราอยากมีความสุขในชีวิต เลือกเก็บ”ไข่ไก่” กับชีวิต
ทิ้ง “ขี้ไก่” ไปเถอะ
ชีวิตของเราจะได้มีความสุขซักที…



หน้า:  1 2 [3] 4 5 ... 101
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.247 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 07 กุมภาพันธ์ 2567 16:19:12