[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 เมษายน 2567 20:04:04 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: ทีวีเบลอ ๆ แฟนพันธุ์ทองแท้ : เรื่องครอบครัว เมื่อ: 23 มกราคม 2553 12:20:03
 หัวเราะลั่น ขำ
2  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: ทีวีเบลอ ๆ จับเข่าคุ้ย : น้องพลับ เมื่อ: 23 มกราคม 2553 12:13:55
ขำขำ  หัวเราะลั่น
ช่างสรรหามาให้ชม ดีเนาะ
3  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: ทีวีเบลอ ๆ แฟนพันธุ์ทองแท้ : เรื่องแฟนพันธุ์แท้กีฬา เมื่อ: 23 มกราคม 2553 12:13:08
คลายเครียดได้ดีเนาะ
น้าแมค ทำดีเนาะ
4  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ประสบการณ์เกี่ยวกับ UFO / น่าคิด-น่าเชื่อว่า ‘ผี’‘มนุษย์ต่างดาว’ เขาว่ามี 6 จำพวก เมื่อ: 16 มกราคม 2553 09:11:09
น่าคิด-น่าเชื่อว่า ‘ผี’‘มนุษย์ต่างดาว’ เขาว่ามี 6 จำพวก


--------------------------------------------------------------------------------
เขียนโดย suroo.com
   
 
 
 

 
น่าคิด-น่าเชื่อว่า ‘ผี’‘มนุษย์ต่างดาว’ เขาว่ามี 6 จำพวก

ปกติมักจะเป็นที่ร่ำลือกันบ่อย ๆ ในต่างประเทศ แต่ก็ใช่ว่าในเมืองไทยเราจะไม่มีการกล่าวอ้างว่าได้ “เห็น” สิ่งมีชีวิตที่เชื่อว่ามาจากนอกโลก หรือที่เรียกกันว่า “มนุษย์ต่างดาว”

“...รูปร่างคล้ายคนแคระ ไม่สวมเสื้อผ้า ระบุเพศไม่ได้ สูงประมาณ 70 ซม. ผิวสีน้ำตาลเทา ศีรษะมนกลมโต ตาโตสีน้ำตาลเป็นมันวาว ไม่มีจมูก ปากบางเล็ก หน้าอกแบนราบ ลักษณะร่างกายไม่กลมมนเหมือนมนุษย์ ถ้ามองจากด้านข้างจะแบนราบ...”

...นี่คือลักษณะคร่าว ๆ ของสิ่งที่เชื่อว่าเป็นมนุษย์ต่างดาว ที่มีคนอ้างว่าพบเห็นในเมืองไทยล่าสุด ที่ทุ่งนาพื้นที่บ้านห้วยน้ำราก หมู่ 5 ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย เมื่อเช้าวันที่ 3 ก.ย. 2548 หลังจากที่คืนวันที่ 2 ก.ย. มีการกล่าวอ้างว่าพบเห็นลูกไฟลึกลับตกพุ่งลงมาจากฟ้าในบริเวณดังกล่าว !?!

ไม่ใช่แค่คนเดียวที่อ้างว่าเห็น...แต่เป็นสิบคน ไม่ใช่การอ้างว่าเห็นในระยะไกล...แต่ใกล้แค่ประมาณ 10 เมตร และไม่ใช่อ้างว่าเห็นแค่บนพื้นดินแวบเดียวแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย...แต่เห็นวนเวียนในท้องนาเหมือนหาอะไรอยู่เป็นชั่วโมง ก่อนจะค่อย ๆ ลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นดินไปอยู่เหนือยอดไม้สูงประมาณ 10 เมตร จากนั้นก็หยุดแล้วหันหน้ามองลงมายังกลุ่มคนที่อ้างว่าเห็น ก่อนจะพุ่งลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าหายลับตาไป ?!?

อีกครั้ง...ที่มีการร่ำลือว่า “มนุษย์ต่างดาว” โผล่ในไทย
คราวนี้เรื่องราวชวนให้ฮือฮา...ทั้งยังโผล่ในนาข้าว !?!

เรื่องราวเกี่ยวกับ “มนุษย์ต่างดาว” นั้น เป็นเรื่องชวนให้สนใจของผู้คนทั่วโลก...รวมถึงคนไทยจำนวนไม่น้อย ซึ่งในเมืองไทยเราก็มีบุคคลระดับ “นักวิชาการ” ให้ความสนใจ และบางคนก็ระบุว่า “เคยเห็น” หรือเคยติด ต่อกับมนุษย์ต่างดาวทาง “จิต” หรือจากการฝึกทำ “สมาธิ”

เมื่อเดือน มิ.ย. ปี 2540 เคยมีการจัดสัมมนาเรื่อง “มนุษย์ต่างดาว” ซึ่งเป็นครั้งแรกในเมืองไทย และในการสัมมนาถึงกับมีการระบุว่า...มนุษย์ต่างดาวจะ “บุกโลก” ในอีก 25 ปี หรือในปี 2565 โดยมีการวางแผนแบ่งกำลังกันบุกเป็นโซน ๆ ของโลก ทั้งแถบทวีปอเมริกา ทวีปยุโรป และรวมถึงทวีปเอเชีย

“...14 ครั้งที่ผมเคยเห็น จานบิน มีลักษณะแตกต่างกันไปบ้าง มีอยู่ครั้งเดียวที่เห็นเป็นจานกลม ๆ ที่สวิตเซอร์แลนด์ นอกนั้นจะอยู่ไกลซึ่งมองเห็นไม่ชัดด้วยตาเปล่า

ยกเว้นที่ จ.ขอนแก่น ผมเห็นลักษณะเหมือนไข่สีส้ม ๆ มีแสงสว่างของมันเอง วิ่งไปช้า ๆ แต่ที่แปลกก็คือ มันมีแสงสว่างเล็กๆ 5 ดวงวิ่งไปวิ่งมารอบ ๆ รูปไข่ที่กำลังวิ่งไป แสงนั้นเป็นแสงสีขาว ๆ เหลือง ๆ ไม่เหมือนยานแม่รูปไข่

นอกนั้นผมจะเห็นแสงสว่างเหมือนดาวมากกว่า คือเล็กมาก วิ่งในลักษณะไม่เหมือนกับดาว เพราะวิ่งมาด้วยความเร็วสูงแล้วก็เปลี่ยนทิศทางเป็นมุมฉาก 90 องศา โดยไม่มีการโค้งหรือช้าลงเลย...”

...นี่เป็นข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีการระบุว่าเป็นคำกล่าวตอนหนึ่งในงานสัมมนาครั้งแรกเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้ทรงคุณวุฒิในวงการวิทยาศาสตร์ของไทย ซึ่งเคยร่วมโครงการสำคัญ ๆ กับทางนาซา หรือองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐ

มีจานบินหรือ “ยูเอฟโอ (UFO)” ก็ต้องมีมนุษย์ต่างดาว ?!?

นักวิชาการอีกคนหนึ่งซึ่งให้ความสนใจเรื่อง “มนุษย์ต่างดาว” มาก คือ ศ.ดร.น.พ.เทพนม เมืองแมน ประธานอำนวยการฝ่ายสถาบันวิทยา ศาสตร์ทางจิต ซึ่ง ศ.ดร.เทพนมได้เคยระบุไว้ว่า...เคยติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวทาง “โทรจิต” หรือการทำสมาธิหลายครั้ง และว่าในต่างประเทศก็มีการทำกันอยู่

ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ทางจิตนานาชาติ ครั้งที่ 9 เมื่อปลายปี 2547 ศ.ดร.เทพนมระบุไว้ว่า... เคยได้รับการติดต่อจากมนุษย์ต่างดาวว่าเคยมาที่เมืองไทยตั้งแต่เมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว และพบหลักฐานปรากฏอยู่ในถ้ำบนยอดเขาที่ จ.กาญจนบุรี เป็นภาพที่วาดโดยมนุษย์ถ้ำ ประมาณ 100 กว่าภาพ เป็นภาพ “มนุษย์ต่างดาวตากลมโต” ซึ่งทางกรมศิลปากรเอาหินในถ้ำไปตรวจก็พบว่ามีอายุประมาณ 5,000 ปี

ที่ จ.เชียงใหม่ ก็มีการระบุว่าจานบินของมนุษย์ต่างดาวเคยมาตกเมื่อต้นปี 2541 ถึงขั้นสหรัฐส่งทีมมาสำรวจ...แต่ไม่พบ อย่างไรก็ตาม ศ.ดร. เทพนมบอกไว้ว่าได้ไปลองหาจนเจออยู่ในเขตป่าสงวนฯ !?!

ไม่เท่านั้น...ยังมีการระบุว่าตอนที่ทางนาซามาประชุมในไทยที่มหาวิทยาลัยฯสุรนารี จ.นครราชสีมา ครั้งนั้นก็มีจานบินมาปรากฏ ซึ่งถ้าเป็นเช่นที่ว่ามาจริง ๆ ก็หมายถึง “มนุษย์ต่างดาว” มาเมืองไทยบ่อย ?!?

นอกเหนือจากเรื่องราว “มนุษย์ต่างดาว” ที่เคยถ่ายทอดไว้ ซึ่งมีทั้งที่ระบุว่าเป็นประสบการณ์และรับทราบจากผู้อื่น ศ.ดร.เทพนมยังเคยบอกไว้ด้วยว่า...ในต่างประเทศแบ่งมนุษย์ต่างดาวเป็น 6 กลุ่มตามรูปร่างลักษณะคือ... 1.เหมือนมนุษย์, 2.คล้ายมนุษย์...แต่ผิวหนังเป็นสีเทา, 3.คล้ายสัตว์, 4.คล้ายหุ่นยนต์, 5.รูปร่างประหลาด, 6.คล้ายผี ซึ่งที่ว่ามาป้วนเปี้ยนในนาข้าวที่เชียงรายเหมือนหาของที่ทำตก...ไม่รู้กลุ่มไหน ??

ทั้งนี้ หากเทียบกับ “ผี” ในเรื่องความเป็นไปได้-ความน่าจะมีแล้ว... “มนุษย์ต่างดาว” ดูจะมีภาษีมากกว่า ซึ่งหลายคนก็ว่าดาวโลกยังมีมนุษย์ได้ แล้วดาวอื่นอีกมากมายในห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ล่ะ ??

คนที่ไม่เชื่อเรื่องผี....หลายคนเชื่อว่า “มนุษย์ต่างดาวมีจริง”
ชาวโลกจำนวนไม่น้อยเชื่อว่ามีมนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลก
แต่ล่าสุดที่เชียงรายใช่หรือไม่...แล้วแต่วิจารณญาณ !?!?!.
5  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ธรรมจากวัด "อยู่กับตัวเอง" เมื่อ: 16 มกราคม 2553 08:41:27
ธรรมะจากวัด

ดร.พระมหาจรรยา สุทธิญาโณ วัดพุทธปัญญา แคลิฟอร์เนีย

อยู่กับตัวเอง

เมื่อมีเวลาว่าง นั่งมองเส้นทางชีวิตที่เดินผ่านมา มนุษย์ต่างใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อผู้อื่น ในนามของการทำงาน การทำธุรกิจ ยิ่งชีวิตสัมพันธ์กับสังคมเมืองที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากเท่าไร ชีวิตเกือบทั้งหมดต้องอุทิศเพื่อผู้อื่นแทบทั้งหมด

อาชีพหลายๆ อย่าง คนทำงานต้องอยู่ในสำนักงาน โรงงานหรือที่ทำงานถึงวันละ 8 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย และมีคนจำนวนไม่น้อยในสังคมเมืองที่ทำงานถึงวันละ 16 ชั่วโมง นักธุรกิจที่มีเครือข่ายธุรกิจโยงใยไปทั่วประเทศหรือทั่วโลกล้วนต้องทำงานอย่างหนัก แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน เพื่อให้งานต่างๆ สำเร็จลุล่วงผ่านพ้นไปด้วยดี

มองให้ดีๆ สิ่งที่เรียกว่า งานที่ทำไปในแต่ละแห่ง เป็นการทำงานเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บุคคลอื่นแทบทั้งสิ้น เช่นร้านอาหารที่เปิดบริการ 24 ชั่วโมง จุดประสงค์ที่ชัดเจนและเป็นจริงที่สุดก็คือ ให้บริการแก่ผู้ที่หิวโหยในยามค่ำคืนได้มีอาหารกินอย่างอิ่มหนำสำราญ ซึ่งมีจุดประสงค์ที่ซ้ำซ้อนอยู่คือ เจ้าของร้านได้เงินมากขึ้น

เมื่อเจ้าของร้านได้เงินจากการบริการคืนละหลายหมื่นหลายแสนบาทแล้ว เจ้าของร้านนั้นจะอิ่มหนำสำราญด้วยเงินจำนวนนั้นไหม เปล่าเลย เจ้าของร้านจะต้องนำเงินจำนวนนั้นไปซื้อของใช้ต่างๆ เข้าร้านเพื่อทำอาหารวันต่อไป หรือหากว่าเธอหรือเขากู้เงินธนาคารมา เงินจำนวนนั้นจะต้องนำไปส่งธนาคารทั้งต้นทั้งดอกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ หากสถานที่นั้นเป็นสถานที่เช่าต้องเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งเพื่อจ่ายค่าเช่าแก่เจ้าของสถานที่

ทั้งธนาคาร ทั้งแม่ค้า พ่อค้าขายของ ทั้งเจ้าของอาคารให้เช่า ล้วนได้รับประโยชน์จากการทำงานของเจ้าของร้านอาหารบริการโต้รุ่งนี้ทั้งสิ้น ส่วนตัวเขาเองที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ คงจะได้กินอาหารเพียงน้อยนิด เพราะอาจจะยุ่งอยู่กับการบริหารธุรกิจที่แสนจะฟูเฟื่อง หรือเมื่ออยากรับประทานอาหารดีๆ และรับประทานให้ได้มากๆ ตามใจปรารถนา แต่อนิจจาตอนนี้เขาแทบแตะอาหารอะไรไม่ได้เลย นั่งดูขนมหม้อแกงที่ตกแต่งอย่างสวยงามหอมกรุ่น แต่ไม่กล้าแตะเพราะเขาเป็นเบาหวานเรื้อรังมานาน หากกินขนมหม้อแกงเข้าไปน้ำตาลที่สูงอยู่แล้ว ต้องพุ่งสูงขึ้นไปอาจทำร้ายชีวิตเขาได้ ด้วยสภาพที่ไม่พร้อม อาหารอันโอชะอาจจะกลายเป็นยาพิษไปในพริบตา

ร้านอาหารของเขาหรือของหล่อน อาจจะมีเมนูเด็ดเป็นขาหมูรมควัน ข้าวมันไก่ หรือต้มเครื่องใน ที่ลูกค้าคนไหนก็มุ่งหน้ามาลิ้มรส แต่เขาหรือเธอที่เป็นเจ้าของร้านต้องนั่งมองคนอื่นกินด้วยความขมขื่น เพราะเขาแตะขาหมู หรือแม้แต่ไข่ต้มเข้าไปมากตามที่ปรารถนาไม่ได้ เพราะไขมันของเขาสูงเกินกว่าที่จะประนีประนอมกับอาหารประเภทมันๆ ได้อีกแล้ว

เจ้าของร้านอาจจะต้องนั่งทอดถอนใจแล้วหันไปหาของง่ายๆ กิน เช่น ปลาร้าสับ หรือปลาเค็มดีๆ แต่พอจะกินเข้าไปต้องชะงัก เพราะนึกได้ว่าความดันโลหิตสูงมากเกินกว่าระดับที่คนปกติจะเป็น

ทำไม ร้านของเขาหรือเธอมีคนอุดหนุนมากมาย มีรายได้เป็นเงินแสนแทบจะทุกคืน เขาต้องอยู่ดูแลธุรกิจถึงตีหนึ่งและต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าทุกวัน เพื่อเข้ามาดูแลธุรกิจที่กำลังรุ่งเรืองอย่างสุดขีด ต้องชุลมุนกับการนับเงินทำบัญชีแทบจะไม่ได้ลุกจากเก้าอี้ เวลาใครชวนไปเที่ยวที่ไหน ก็พูดได้คำเดียวว่า ยุ่งมาก

เจ้าของภัตตาคารอาหารดังคนนี้คือตัวอย่างของคนในสังคมเมือง ที่ทุ่มเททำงานเพื่อคนอื่นอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยด้วยเหยื่อล่อหลอกๆ ที่เรียกว่า เงิน แต่ผลที่ได้รับอันเห็นทันตาคือ ตัวเองไม่มีโอกาสได้รับความสุขหรือสงบจากความร่ำรวยที่ถาโถมเข้ามาดั่งน้ำป่านั้นเลย

รางวัลที่ได้รับแล้วก็คือ เบาหวาน ความดัน และไขมันสูง หากเขาต้องนั่งนับเงินและบริหารธุรกิจอยู่อย่างนี้ภายในห้องแอร์จนไม่มีเวลาไปชมท้องฟ้าสีคราม รับแสงแดดอุ่นๆ ยามเช้า วันหนึ่งเขาอาจจะต้องย้ายที่อยู่ จากเก้าอี้ทำงานที่ตั้งอยู่ในห้องหรู ไปนอนในห้องผู้ป่วยอย่างดี มีสายระโยงระยางเสียบต่อตามจุดต่างๆ ของร่างกาย โดยไม่ต้องทำอะไรเลยก็เป็นได้ เวลารับประทานก็ไม่ต้องเคี้ยว ไม่ต้องกลืน อาหารไหลตรงเข้ากระเพาะ เวลาถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระอันเป็นกฎธรรมชาติที่จะต้องเป็นไป ก็ไม่ต้องทำเอง เพราะต่อท่อยางลงโถส้วมโดยตรง

หรือเส้นทางของนักธุรกิจผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่มีธุรกิจมากมาย มีเงินเหลือล้น สามารถซื้อประกันชีวิตอย่างดีไว้ยามป่วยไข้ วาระสุดท้ายต้องล้มป่วยจนช่วยตัวเองไม่ได้ เพื่อจะได้ใช้จ่ายเงินอย่างคุ้มค่า หรือชีวิตที่เดินเหินได้มีไว้เพื่อผู้อื่น แต่วาระสุดท้ายต้องอยู่กับตัวเองบนเตียงผู้ป่วยทันสมัยในห้องหรูที่เก็บค่าบริการแพงลิ่ว

เอ๊ะ! จะเป็นรางวัลแห่งความมั่งคั่งที่ทำงานยุ่ง เพื่อผู้อื่นมาตลอดชีวิต หรือว่า เป็นโทษที่ได้รับจากการมองข้ามความสำคัญของตัวเองไป เขาหรือเธอกำลังรับรางวัลหรือรับโทษกันแน่

การอยู่กับตัวเองบ้าง สนใจตัวเองบ้าง ดูแลตัวเองบ้าง ในเวลาที่ร่างกายยังเคลื่อนไหวได้ จึงเป็นเวลาที่มีค่ามากกว่าการอยู่กับตัวเองในวันที่ช่วยตัวเองไม่ได้แล้ว แม้จะนอนสบายไม่ต้องขยับอะไรแล้ว ตามคติที่ว่า นั่งกินนอนกินนั่นแหละ แต่จิตใจก็กระวนกระวาย เพราะอวัยวะต่างๆ สูญเสียความสำคัญไป กว่าจะเห็นค่าก็ต้องมานอนแอ้งแม้งอยู่อย่างนี้

ธรรมชาติให้เท้ามาแล้ว เพื่อทำหน้าที่เดิน ก็ควรจะเดินให้คุ้มค่า ในเวลาที่ขายังเดินได้เต็มที่ เวลาติดขัดหรือต้องซ่อมแซมแล้วเดินไม่สะดวกจะเสียใจภายหลัง มีมือไว้หยิบฉวยทำสิ่งต่างๆ ก็เร่งทำให้เต็มที่ เคลื่อนไวไว้จะได้มีคุณค่า เพราะการได้เคลื่อนไหวร่างกายเป็นการออกกำลัง ทำให้เลือดลมและอวัยวะต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดี

เมื่อหมั่นดูแลร่างกายให้เคลื่อนไหวอย่างเหมาะสมแล้ว ควรมีเวลาดูแลใจด้วย เพราะใจมีส่วนสำคัญมากสำหรับชีวิต จะสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่ใจ ใจนี่แหละเป็นผู้รับรู้สุขหรือทุกข์ แม้ทรัพย์สินเงินทองจะมีความสำคัญให้ความสะดวกแก่ชีวิต แต่ใจจะเป็นผู้อ่านผลการดำเนินชีวิตว่าใช้สอยทรัพย์สินเหล่านั้นได้ถูกต้องสอดคล้องกับสิ่งที่ร่างกายต้องการหรือไม่

การออกกำลังกายเคลื่อนไหวกายมาก ทำให้ร่างกายแข็งแรงนอนหลับดี แต่ถ้าปล่อยให้ใจท่องเที่ยวไปมากไม่มีสถานีหยุด ไม่ยอมพัก ก็จะทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่ได้ เช่น ล้มตัวลงนอนยามดึกแล้วยังครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ สารพัด ก็จะนอนไม่หลับเพราะปล่อยใจให้เที่ยวไปไม่ยอมหยุดแม้ร่างกายจะหยุดแล้วก็ตาม

แต่ถ้ากายและใจหยุดท่องเที่ยวไป อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งอย่างพร้อมหน้า ขณะนั้นจะเป็นเวลาที่ชีวิตสมบูรณ์ สงบ ปกติ เพราะมีกายกับจิตเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

ชีวิตหนึ่งๆ จึงต้องมีเวลาทำธุรกิจการงาน ที่เรียกว่า ทำเพื่อส่วนรวม

และควรจะมีเวลาอยู่กับตัวเองอย่างพร้อมหน้า ทั้งกายและจิต ซึ่งจะเป็นการให้เวลาแก่ตัวเองอย่างแท้จริง เพราะตัวเองจะได้รับความสุขสงบเย็นด้วยตัวเอง ชนิดที่ไม่มีใครมาช่วงชิงได้ อวัยวะทั้งหลายของร่างกายก็จะได้ใช้อย่างคุ้มค่าและพัฒนารักษาไว้อย่างมั่นคงแข็งแรงอีกด้วย

ผู้ที่สนใจการเจริญสติ หรือเคยภาวนาเป็นพื้นฐานมาบ้างแล้ว การอยู่กับตัวเองด้วยการเจริญภาวนาหรือเจริญสติ จะเป็นการอยู่กับตัวเองที่ครบถ้วนที่สุด การเจริญสติมีหลายวิธี ปัจจุบันนี้มีหนังสือหรือตำราด้านการเจริญสติมากมาย สามารถเลือกหาข้อมูลแล้วทำ ลองปฏิบัติด้วยตนเอง หรือเวลาที่สถานปฏิบัติธรรมหรือวัดวาอารามใดๆ สอนการภาวนาก็ไปร่วมปฏิบัติดู ถ้าถูกอัธยาศัยก็นำมาปฏิบัติด้วยตนเองต่อไป สะสมไปเรื่อยๆ เพื่อเตรียมชีวิตให้พร้อมที่จะอยู่กับตัวเองอย่างไม่เร่าร้อนกระวนกระวายหรือหงอยเหงาเศร้าซึม

หรือหากต้องการปฏิบัติการอยู่กับตัวเองแบบง่ายๆ ก็ทดลองหาที่สงบภายในห้องของตนเอง ป่า สวนสาธารณะ หรือที่ใดๆ ที่หนึ่งที่เห็นว่าสงบพอสมควร แล้วนั่งสบายๆ อย่างผ่อนคลาย มองไปรอบตัวอย่างผ่อนคลาย จนรู้สึกสัมผัสความสงบได้อย่างเต็มที่แล้วค่อยหลับตาลง ปล่อยลมหายใจให้ดำเนินไปตามธรรมชาติไม่กดดัน บังคับ หรือปรุงแต่งใดๆ เฝ้าสังเกตการหายใจเข้าออกแบบสบายๆ ไม่ต้องเพ่งจนเครียด เพียงแต่รู้ว่า เรากำลังหายใจอยู่

นั่งไปเรื่อยๆ ก็จะรับรู้ได้ถึงความแผ่วเบาของลมหายใจที่ค่อยๆ ละเอียดลงตามลำดับ จับเบาๆ พอดีๆ พอดีเหมือนจับลูกไก่น้อยๆ ไว้ในกำมือ ไม่ค่อย ไม่เบา เมื่อลมหายใจเบาลง ร่างกายจะเย็นลงทั่วร่างจะผ่อนคลายเยือกเย็น เลือดลมในร่างกายรู้สึกว่าจะเคลื่อนไวอย่างไม่ติดขัด ความเมื่อยขบเล็กๆ น้อยๆ ก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายลงจนหายสนิท

เมื่อจิตใจจับลมหายใจพอดีๆ ไม่มีเวลาปรุงแต่ง ใจยุติการปรุงแต่งเมื่อใด เท่ากับใจได้หยุดพักจากการทำงาน หรือทำงานน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ใจก็มีโอกาสได้พัก หากทั้งกายและใจได้พักผ่อนพร้อมๆ กันอย่างนี้บ่อยๆ หรือหากได้พักทุกวันในเวลาที่เห็นว่าว่างจากการงาน ก็จะพบกับชีวิตที่พร้อมหน้าทั้งกายและใจได้ทุกวัน ชีวิตได้พักผ่อนทุกวัน ได้พลังงานทุกวัน และได้ความสุขทุกวัน เป็นความสุขที่ไม่ต้องซื้อหาด้วยราคาแพงจากอัครสถานใดๆ เพียงแต่เฝ้าดูลมหายใจที่ปลายจมูกดีๆ ก็จะพบสุขแท้ๆ แบบง่ายๆ
6  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / หลังรถเข็น "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" เด็ก ป.4 สู่ เถ้าแก่ร้อยล้าน เมื่อ: 16 มกราคม 2553 08:34:12

หลังรถเข็น "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" เด็ก ป.4 สู่ เถ้าแก่ร้อยล้าน

"เงินเดือนทหารสมัยก่อนเดือนละ 300 บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ 8 บาท ทั้งเดือนผมเหลือเต็ม 540 บาท พอมีคนรู้ว่าผมมีเงินเก็บก็มาขอยืม ผมให้ยืมนะแต่ให้เงินไป 80 บาท ต้องคืน 100 บาท ทุก 10 วันต้องนำเงินมาคืนครบ เท่ากับ 1 เดือนผมมีเงินหมุน 3 ครั้ง ทำให้ช่วงที่เป็นทหารเกณฑ์มีเงินเก็บ 40,000-50,000 บาท เงินจำนวนนี้ในปี 2527 ถือว่าเยอะ และวิญญาณความเป็นนักธุรกิจของผมเริ่มจากตรงนั้น"



วิถีสู้ชีวิตจากเด็กบ้านนอกคอกนา ฐานะยากจน แต่เติบใหญ่เป็นนายคนด้วยวัยเพียง 47 ปี และใช้เวลาในการต่อสู้บนเส้นทางสายเส้น จนผงาดขึ้นมาอยู่แถวหน้าของแฟรนไชส์ระดับประเทศ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ภายใต้แบรนด์ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" ชื่อที่เชื่อได้ว่าเมื่อเอ่ยปากร้อยทั้งร้อยเป็นต้องได้รู้จัก

วันนี้ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" มีสาขาทั่วประเทศและต่างประเทศมากกว่า 2,000 สาขา



สร้างเอกลักษณ์บนความแตกต่าง

ใฝ่เรียนสร้างโอกาสให้ตนเอง

ชายร่างเล็ก อัธยาศัยดี มีรอยยิ้มและน้ำเสียงที่พูดคุยเป็นกันเอง เป็นเอกลักษณ์แสดงถึงตัวตนที่แท้จริง ว่า เขาไม่ได้เป็นคนหยิบหย่ง แต่มีความตั้งใจจริงในการทำงานและค้นหาความแตกต่างบนทางที่หลายคนเลือกเดิน เพื่อให้ความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสำหรับเขา

"พันธ์รบ กำลา" เป็นชื่อของเจ้าของแบรนด์ที่เอ่ยถึง ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว จำกัด ต่อเมื่อสบโอกาสคลายข้อสงสัยถึงที่มาของแฟรนไชส์ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" อันคุ้นชื่อ จึงไม่ยอมปล่อยโอกาสทิ้งไป

คุณพันธ์รบ เป็นชาวอำเภอปทุมรัตน์ จังหวัดร้อยเอ็ด แดนดินถิ่นอีสาน มีโอกาสร่ำเรียนเพียงชั้นประถม 4 ตามประสาครอบครัวที่มีลูกมาก ยิ่งคุณพันธ์รบเองเป็นพี่ชายคนโต มีน้องชาย 3 คนและน้องสาวอีก 1 คน ทำให้ความก้าวหน้าทางการศึกษาเป็นสิ่งที่ต้องใฝ่รู้ด้วยตนเอง ฐานะทางครอบครัวไม่สามารถยัดเยียดให้ได้ ประกอบกับความคิดในวัยเด็กที่เห็นหนุ่มสาวกลับบ้านยามว่างจากงานในกรุงเทพฯ แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสวยงาม ใบหน้าผุดผ่อง ยิ่งทำให้คุณพันธ์รบฮึกเหิมตั้งใจมุ่งหน้าหางานทำในกรุงเทพฯ ให้ได้

"ออกจากเรียนอายุ 12 ปี เข้ากรุงเทพฯ ไปทำงาน เพราะเห็นคนไปกรุงเทพฯ กลับมาแล้วสวยหล่อ ผมไปครั้งแรกไปทำงานโรงงานผลิตน็อต เกลียว สกรู กินข้าวด้วยตะเกียบไม่เป็น ทำได้ไม่นานก็กลับบ้าน แต่ไม่นานก็กลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ อีก และครั้งนี้ก็เป็นบันไดขั้นหนึ่งที่ทำให้ผมเป็นชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว"

คุณพันธ์รบเรียกแทนตัวเองว่า "ผม" ทุกคำ และแสดงความเป็นกันเองกับผู้ฟัง ทั้งยังเล่าประสบการณ์ชีวิตก่อนเป็น ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว ด้วยมุมมองของนักคิดที่เขาเองพยายามสร้างเอกลักษณ์ให้ออกมาในรูปของการปฏิบัติที่ทำได้จริงและเกิดประโยชน์

เพราะความใฝ่รู้ที่คุณพันธ์รบมีอยู่ในตัว ระหว่างที่กลับมาทำงานในกรุงเทพฯ ครั้งที่ 2 คุณพันธ์รบถูกน้าพาไปทำงานบ้านกับเถ้าแก่รายหนึ่ง เพราะเห็นแววความมีระเบียบเรียบร้อยของคุณพันธ์รบ ประจวบเหมาะที่ได้เถ้าแก่ใจดี เปิดโอกาสให้ใช้เวลาในช่วงค่ำเรียนต่อการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการทดลองเปิดให้การศึกษารูปแบบนี้ในปีแรก กระทั่งจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในเวลาไม่นาน



เอาสมองไปขาย

จุดประกายนักธุรกิจ

ชีวิตคุณพันธ์รบผันผวนจากคนทำงานบ้าน ไปเป็นคนงานผลิตของใช้ในครัวเรือน แต่ได้เพียงระยะหนึ่ง ต้องกลับไปรับใช้ชาติตามหมายเกณฑ์ทหารของวัยหนุ่ม "ใบแดง" เป็นสีที่คุณพันธ์รบจับได้และต้องเข้ารับการฝึกทหารเกณฑ์เป็นเวลา 2 ปี ระหว่างนั้นเองถือว่าเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่ทำให้คุณพันธ์รบมีเงินเก็บเป็นเงินก้อน จนคุณพันธ์รบบอกว่า "วิญญาณความเป็นนักธุรกิจของผมเริ่มจากตรงนั้น"

"ผมเป็นทหารเกณฑ์ 2 ปี ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน เป็นคนเรียบร้อย มัธยัสถ์ วางแผน ชอบคิด เมื่อเราไม่ทำสิ่งเหล่านี้ก็มีเงิน เงินเดือนทหารสมัยก่อนเดือนละ 300 บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ 8 บาท ทั้งเดือนผมเหลือเต็ม 540 บาท เพราะกินฟรี เสื้อผ้าฟรี พอมีคนรู้ว่าผมมีเงินเก็บก็มาขอยืม ผมให้ยืมนะแต่ให้เงินไป 80 บาท ต้องคืน 100 บาท ทุก 10 วันต้องนำเงินมาคืนครบ เท่ากับ 1 เดือนผมมีเงินหมุน 3 ครั้ง ทำให้ช่วงที่เป็นทหารเกณฑ์มีเงินเก็บ 40,000-50,000 บาท เงินจำนวนนี้ในปี 2527 ถือว่าเยอะ และวิญญาณความเป็นนักธุรกิจของผมเริ่มจากตรงนั้น"

ชีวิตหลังมีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ คุณพันธ์รบยังไม่มีแววต่อยอดเป็นนักธุรกิจอย่างคนมีวิญญาณ คงรับจ้างไถนาได้ค่าแรงเป็นเงิน 80 บาท ต่อไร่ ชีวิตวนเวียนอยู่ไม่นานนัก คุณพันธ์รบตัดสินใจพาครอบครัวเข้ากรุงเทพฯ และสมัครเป็นลูกจ้างขายไอติม ประสบการณ์ส่วนนี้คุณพันธ์รบถ่ายทอดได้อย่างถึงกึ๋น

ขายไอติม คุณพันธ์รบบอกว่า เขาทำยอดขายสูงสุดจากคนขายไอติมทั้งหมด 30 คน จัดว่าเป็นมือทองและมือโปรของบริษัท มีคนสงสัย เขาเฉลยเทคนิคให้ฟังตามนี้

"เราต้องเอาสมองไปขาย" คุณพันธ์รบบอก "ผมวางแผน เข้าซอยนี้ต้องขายแบบนี้ เช่น คนสวยมาซื้อลดราคาลงหน่อย ซอยนี้ตันแต่เด็กเยอะ เราต้องวกกลับมาที่เดิม ขาเข้าต้องไปเร็ว ขากลับต้องช้า ที่ต้องทำอย่างนั้นเป็นการเตือนขาเข้าว่า ให้ไปขอเงินพ่อแม่ ขากลับช้า รอให้เขาไปเอาเงินมาซื้อ ถ้าพ่อแม่ทำยึกยักไม่ควักเงินจะให้เราไปก่อน ต้องแกล้งทำเป็นรถเสียรอ ส่วนซอยไหนเป็นเวทีศูนย์รวมความบันเทิงของหนุ่มสาว วิธีที่ได้ผลดีที่สุด คือ รถเสีย เสียใกล้ๆ หนุ่มสาว เมื่อรำคาญที่เราขัดจังหวะก็ต้องควักเงินออกมาซื้อเพื่อให้เราไปที่อื่น"

ชีวิตเปลี่ยน เมื่อน้องชายชวนขายก๋วยเตี๋ยว

คุณพันธ์รบ เล่าให้ฟังว่า น้องชายของคุณพันธ์รบมีอาชีพขับรถส่งลูกชิ้นโกฮับ ได้เงินเป็นเปอร์เซ็นต์จากการส่งลูกชิ้น ขายมากก็ได้เงินเปอร์เซ็นต์มาก น้องชายคนนี้มาบอกกับเขาว่า อาชีพทำนาและขายไอติมไม่เหมาะกับพี่ ก่อนชักชวนให้ไปขายลูกชิ้นด้วยกัน เพราะเชื่อน้อง คุณพันธ์รบจึงผันตัวเองจากพ่อค้าไอติมเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยว รับลูกชิ้นจากน้องชายมาใส่ก๋วยเตี๋ยว ราคาชามละ 10-15 บาท ตั้งรถเข็นแถวแยกลำลูกกา และขายดีจนยอดขายต่อคืน 7,000 บาท บวกรวมเป็นยอดขายต่อเดือนอยู่ที่ 200,000 บาท ตั้งร้านตั้งแต่เที่ยงวัน เก็บร้านเมื่อก้าวสู่วันใหม่ในเวลา 03.00 น. ของทุกวัน พ่อค้าแม่ขายร้านใกล้เคียงให้ฉายาคุณพันธ์รบ ว่า "มนุษย์เหล็ก" เพราะไม่มีวันไหนที่คุณพันธ์รบหยุดขาย

และบอกวิธีเรียกลูกค้าด้วยใจ ว่า ทำเลมีส่วน แต่ที่สำคัญต้องสะอาด รู้จักการเทกแคร์ การพูดจา รสชาติ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ลูกค้าทุกคนต้องการ เมื่อเรามีลูกค้าก็เข้าหา



ซื้อเครื่อง - ศึกษาทำบะหมี่

ลูกค้าคือผู้ตอบโจทย์

เมื่อรายได้ดีไม่เป็นรองใคร คุณพันธ์รบหมั่นเก็บหอมรอมริบ มีเงินจำนวนหนึ่งที่มากพอ ต่อเมื่อได้พูดคุยกับน้องชายคนที่ 4 ซึ่งขายบะหมี่เกี๊ยวยี่ห้อดัง บริเวณมหาวิทยาลัยรังสิต ใกล้ตลาดสี่มุมเมือง น้องชายบอกกับคุณพันธ์รบว่า กำไรต่อคืนที่น้องชายเก็บเข้ากระเป๋าอยู่ที่ 1,000 บาท ส่วนคุณพันธ์รบเมื่อทบทวนดูยอดขาย หักลบต้นทุนทั้งหมดแล้วเหลือกำไรเข้ากระเป๋าเพียง 500 บาท จึงรู้สึกถึงความเป็นพี่ชายที่ไม่ควรมีรายได้น้อยไปกว่าน้อง แว่บแรกของความคิดขณะนั้น คุณพันธ์รบบอกว่า พี่อยากขายบะหมี่เกี๊ยว จะต้องทำอย่างไร น้องชายจึงแนะนำให้ไปพบเจ้าของโรงงานผลิตเส้นบะหมี่ ตั้งอยู่ในซอยลาดพร้าว 35

"ผมเข้าไปคุยกับเถ้าแก่ อยากได้บะหมี่ไปขายครับ แต่เถ้าแก่บอกว่า ไม่ได้ เหตุผลเพราะรถส่งบะหมี่ของโรงงานไม่ผ่านร้านที่ผมตั้งขาย"

คุณพันธ์รบเปลี่ยนน้ำเสียงเมื่อเล่าถึงตรงนี้ โดยย้ำว่า "ต้องขอขอบคุณ เถ้าแก่ เพราะคำพูดประโยคนี้เป็นบันไดขั้นหนึ่งที่ทำให้ผมเป็น ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว ทุกวันนี้ มันทำให้ผมคิดว่า ถ้าผมมีโอกาสทำขึ้นเองเมื่อไหร่ ผมจะทำส่งให้ทั่วประเทศไทย"

เพราะความมีไหวพริบปฏิภาณของคุณพันธ์รบ เขาไม่ย่อท้อ แต่เลือกให้น้องชายซึ่งขายบะหมี่เกี๊ยวอยู่ก่อน สั่งบะหมี่เกี๊ยวเพิ่มจำนวนขายมากเป็น 2 เท่า และยอมขับรถไปรับบะหมี่เกี๊ยวจำนวนที่เพิ่มขึ้นมาขายเอง บริเวณแยกลำลูกกา ทำให้เมนูของร้านเพิ่มขึ้นจากก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส เป็นเมนูบะหมี่เกี๊ยว และข้าวมันไก่ อีก 2 รายการ เมนูเพียง 3 อย่าง สร้างกำไรให้กับคุณพันธ์รบ คืนละ 3,000 บาท ต่อวัน ไม่นานนักคุณพันธ์รบมีเงินเก็บสูงถึง 700,000 บาท

เลือดนักธุรกิจที่แฝงอยู่ในตัวคุณพันธ์รบแสดงออกมาเมื่อคุณพันธ์รบรู้สึกมั่นใจในความตั้งใจและมันสมองของตนเอง ความคิด "ถ้ามีโอกาสทำเส้นบะหมี่จะทำให้ดีที่สุด" เพราะทุกวันที่รับเส้นบะหมี่มาขาย ยังมีอีกหลายวันที่เส้นบะหมี่ไม่เหลือง ขาดลุ่ย ไม่เหนียว ไม่นุ่ม ซึ่งเป็นปัญหาของพ่อค้าแม่ขายที่ไม่ใช่ผู้ผลิต และตรงนี้เป็นตัวกระตุ้นให้คุณพันธ์รบตัดสินใจศึกษาเรื่องการทำเส้นบะหมี่อย่างจริงจัง สอบถามคนส่งเส้นบะหมี่ถึงแหล่งซื้อเครื่องทำเส้นบะหมี่ เมื่อทราบจึงตัดสินใจควักเงินลงทุนซื้อเครื่องตัวแรกในราคา 20,000 บาท แต่เพราะยังไม่มีความรู้ด้านการผลิตอย่างจริงจัง จึงตัดสินใจอีกครั้งในการจ้างคนทำบะหมี่เป็นมาสอนให้ แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่ได้รับกลับมาคือการถูกหลอก ไม่มีใครสอนให้รู้อย่างจริงจัง

"ผมเริ่มเก็บข้อมูลเอง ศึกษาหาความรู้เอง ทำไปเอามาขายไป ให้ลูกค้าทดลองกิน คอยถามลูกค้าเส้นเหนียวดีหรือเปล่า นุ่มหรือไม่ อย่างไร พยายามปรับสูตรให้ลงตัวจนได้เส้นบะหมี่สูตรชายสี่บะหมี่เกี๊ยว หลังจากนั้นประมาณ 1 ปี"



เคล็ดลับตัวตนคนพันธ์รบ

แบรนด์ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว"

1 ปีแรกของการทำบะหมี่เองและขายก๋วยเตี๋ยว บะหมี่เกี๊ยว ข้าวมันไก่ คุณพันธ์รบมีเงินเก็บ 200,000 บาท เขาตัดสินใจซื้อรถและขับกลับบ้านเกิดเมืองนอนที่จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นที่ฮือฮาว่าร่ำรวย ทุกครั้งที่มีคนถามว่าไปทำอะไรมาถึงรวย คุณพันธ์รบจะตอบว่า "ขายบะหมี่" จนเป็นที่มาของการบอกต่อ และเชื่อว่า ขายบะหมี่แล้วจะรวย ทำให้คนใกล้ชิดในละแวกหมู่บ้านและคนที่บอกต่อกันไปเข้ามาหาและสั่งบะหมี่จากคุณพันธ์รบไปขาย

นักธุรกิจไม่ได้จบแค่ผลิตและขาย แต่นักธุรกิจต้นตำรับแบรนด์ ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว อย่างคุณพันธ์รบ บริการหาทำเล บ้านเช่า สอนวิธีอบหมูแดง วิธีลวกบะหมี่ วิธีการจ่ายตลาด ซึ่งคนที่สั่งบะหมี่จากคุณพันธ์รบไปขาย มีลูกค้าเข้าร้านมียอดขายไม่ต่างจากคุณพันธ์รบ การบอกต่อเริ่มต้นขึ้น ทำให้บะหมี่ของคุณพันธ์รบถูกส่งไปขายในหลายที่หลายแห่งของหลายจังหวัด

ความคิดมีแบรนด์เป็นของตนเองจึงเริ่มขึ้น เป็นที่มาของปริศนาคำว่า "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว"

คุณพันธ์รบเล่าติดตลกว่า "ตั้งขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจสื่อความหมายอะไร เพราะตอนคิดต้องการให้คนเห็นแล้วสะดุดตา จดจำชื่อได้ดี เมื่อคำนวณจากป้ายรถเข็นแล้วเห็นว่าชื่อไม่ควรเกิน 4 พยางค์ ด้วยความที่เป็นคนชอบอ่านนิยายจีน จึงคิดชื่อไว้หลายชื่อ ตั้งแต่ ปักกิ่ง ป๊ะป๋า ราชินี และสุดท้ายมาจบที่ "ชายสี่" เพราะสอดคล้องกับคำว่า "บะหมี่เกี๊ยว" มากที่สุด ไม่ได้คิดให้สอดคล้องกับพี่น้องผู้ชาย 4 คนที่มีอยู่แม้แต่น้อย

แต่ที่หลายคนเข้าใจเช่นนั้น คุณพันธ์รบให้คำตอบว่า เพราะมีคนถามคนขายแถวบ้าน คนแถวบ้านตอบไปว่า เพราะบ้านผมมีลูกชาย 4 คน ซึ่งประจวบเหมาะกันพอดี

คุณพันธ์รบเผยสิ่งที่ติดตัวมาโดยตลอดแบบไม่ต้องท่องจำ คือ ความใฝ่รู้ที่เขาเองรู้ตัวตลอดมาว่า ชอบอ่านหนังสือ เมื่ออ่านจบและจดบันทึกและโน้ตย่อไว้ สำหรับการอ่านใหม่อีกครั้ง หรือแม้กระทั่งเดี๋ยวนี้เขาเพิ่มจากการอ่านใหม่อีกครั้ง เป็นการอ่านลงแผ่นซีดี เพื่อนำมาเปิดฟังได้จำนวนครั้งเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น หนังสือประวัติชีวิตของ "ตัน โออิชิ" คุณพันธ์รบอ่านจบสามารถโน้ตย่อได้เหลือเพียง 4 หน้า ซึ่งทุกครั้งของการเดินทางทำธุรกิจ หากอ่านหนังสือได้ครบเล่มต่อครั้งของการเดินทาง จัดว่าเป็น "กำไร" สำหรับเขาแล้ว

อ่านถึงตรงนี้อาจอยากทราบว่า คุณพันธ์รบภูมิใจในแบรนด์ ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว แค่ไหน คุณพันธ์รบตอบอย่างมั่นใจว่า ภูมิใจแต่น้อยกว่าบางเรื่อง สิ่งนั่นคือ การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ เนื่องจากเด็กผู้ชายเรียนน้อยเพียงประถม 4 ไม่มีโอกาสจับเครื่องคอมพิวเตอร์ในระหว่างการเรียนแม้แต่ชั้นเดียว

แต่เมื่อเป็น ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว คุณพันธ์รบ ย่อมต้องถ่ายทอดและอบรมคุณสมบัติหลายอย่างให้กับพนักงานผ่านเครื่องฉายแผ่นใส ซึ่งคุณพันธ์รบหงุดหงิดกับการเขียนและลบของวิธีนี้ จึงพยายามหัดโปรแกรม "พาวเวอร์พอยต์" และหัดพิมพ์ที่แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์

และเขาแสดงตัวตนให้เห็นชัด เมื่อคุณพันธ์รบเผยวิธีการจำตัวอักษรบนแป้นพิมพ์คีย์บอร์ด โดยยกตัวอย่างหนึ่งให้เห็นชัด ในแป้นพิมพ์แถวที่ 4 จากล่าง เมื่อวางมือขวาลงบนแป้นพิมพ์คีย์บอร์ด จะมีตัวอักษร "ร-น-ย-บ-ล" เรียงกัน คุณพันธ์รบมีวิธีจำตามแบบฉบับของเขา โดยนึกถึงความรักที่ผู้ชายมีต่อผู้หญิง ซึ่งเปรียบเสมือนหมามองเครื่องบิน แล้วอยากให้เครื่องบินลดต่ำลงมาถึงพื้น "ร-น-ย-บ-ล" จึงจำว่า "รักน้องอยากบินลง" เพียงเท่านี้การจำและการพิมพ์ก็ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องกางตำรา

นี่แหละตัวตนและที่มาของ "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว"





ปี 2535 เริ่มขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส และมีแนวคิดขายบะหมี่ เพราะมีกำไรมากกว่า

ปี 2537 ตัดสินใจซื้อเครื่องทำบะหมี่ ศึกษาวิธีการทำบะหมี่ ทดลองจนได้สูตร ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว

ปี 2538 มีการบอกต่อถึงรายได้การขายบะหมี่ ทำให้ยอดการขายบะหมี่กระจายออกไปเป็นร้านเกือบทั่วประเทศ

ปี 2542 ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว ได้รับเชิญออกรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง ทำให้คนรู้จักเพิ่มขึ้น จนสาขาชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว ที่มีอยู่ขณะนั้น 150 สาขา เพิ่มเป็น 800 สาขา ในเวลาอันสั้น

ปี 2543 จดทะเบียนในรูปแบบบริษัท "บริษัท ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว จำกัด" พร้อมกับก่อตั้งโรงงานเพื่อรองรับการผลิต ตั้งอยู่ เลขที่ 7/7 หมู่ 8 ตำบลคลองหก อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และดำเนินการมาถึงปัจจุบัน

ปัจจุบัน "ชายสี่ บะหมี่เกี๊ยว" มีแฟรนไชส์เป็นสาขาทั่วประเทศมากกว่า 2,000 สาขา แบ่งเป็นสาขาในกรุงเทพฯ 70 เปอร์เซ็นต์ และ ต่างจังหวัด 30 เปอร์เซ็นต์ มีพนักงานประจำ 120 คน มีโรงงานผลิตและส่งสินค้า 5 แห่งในกรุงเทพฯ และกระจายตามภาคต่างๆ

โรงงานมีศักยภาพการผลิตสูงสุดวันละ 20 ตัน มียอดส่งเส้นบะหมี่และแผ่นเกี๊ยวประมาณ 5-6 ตัน ต่อวัน คิดอัตราขายรวมค่าขนส่ง 37 บาท ต่อกิโลกรัม และมีแฟรนไชส์ขายพร้อมอุปกรณ์ 47 รายการ ในราคา 33,000 บาท
7  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / ตะลึง"โบสถ์"โผล่ทะเล-แหลมตะลุมพุก เมื่อ: 16 มกราคม 2553 08:28:17



ตะลึง"โบสถ์"โผล่ทะเล-แหลมตะลุมพุก

พายุใหญ่ ซัดจมน้ำ ไป47ปี! ต่างดีใจ ได้เห็นอีก




โบสถ์โผล่ - ส่วนบนของโบสถ์วัดแหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ที่ถูกคลื่นยักษ์ซัดจมทะเลเมื่อครั้งเกิดวาตภัยใหญ่ในปี 2505 โผล่ขึ้นในทะเลห่างฝั่งประมาณ 80 เมตร สร้างความฮือฮาและยินดีแก่ชาวบ้าน

 
ฮือฮาโบสถ์วัดแหลมตะลุมพุก โผล่ฐานพ้นน้ำทะเลขึ้นมาให้เห็น นับจากเกิดพายุใหญ่ถล่มพังพินาศตั้งแต่ปี 2505 หรือ 47 ปีก่อน ชาวบ้านแห่รอชมอย่างตื่นเต้น ช่วงน้ำทะเลลงต่ำ ฐานโบสถ์จะปริ่มพ้นน้ำขึ้นมา ห่างจากฝั่งประมาณ 80 เมตร เจ้าอาวาสเผยนับจากโบสถ์พังไปเพราะพายุ จนปัจจุบัน วัดแหลมตะลุมพุกที่เป็นวัดเก่าแก่ก็ยังไม่มีโบสถ์หลังใหม่มาทดแทนแต่อย่างใด แต่กำลังหาทุนก่อสร้างอยู่

เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช หลังจากทราบข่าวว่า พระอุโบสถของวัดแหลมตะลุมพุก ที่จมหายไปเมื่อไป 2505 หลังเกิดวาตภัยครั้งใหญ่ โผล่เหนือน้ำขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วงที่น้ำลง

เมื่อไปถึงพบพระอธิการจตุพร จตุวโร เจ้าอาวาสวัดแหลมตะลุมพุก รวมทั้งประชาชนและนักเรียนจำนวนมาก จับกลุ่มกันอยู่ริมทะเล เพื่อรอดูโบสถ์ดังกล่าวโผล่ขึ้นมาจากทะเล สอบ ถามทราบว่า โบสถ์จะปรากฏให้เห็นชัดเจนในช่วงน้ำลงเต็มที่ตอนเช้าและเย็น เป็นรูป 4 เหลี่ยมปริ่มน้ำ กว้างประมาณ 8 เมตร ยาวประมาณ 16 เมตร ช่วงเดือนที่จะเห็นชัดเจนคือเดือนพ.ย.-มิ.ย. ซึ่งเวลาน้ำลงก็จะลงเต็มที่ ทำให้เห็นฐานโบสถ์ ระยะห่างจากฝั่งประมาณ 80 เมตร

พระอธิการจตุพร กล่าวว่ วัดแหลมตะลุมพุกสร้างขึ้นเมื่อปี 2400 ในสมัยก่อนมีความเจริญ เป็นเมืองท่าที่จะเข้าไปยังเมืองปากพนัง มีหลักฐานที่ปรากฏว่าวัดแหลมตะลุมพุกมีที่ดินประมาณ 84 ไร่ แต่เมื่อปี 2505 เกิดวาตภัยครั้งใหญ่ มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,300 ราย จากพายุคลื่นถล่มดังกล่าว ทำให้เนื้อที่ของวัดเหลืออยู่ประมาณ 36-37 ไร่เท่านั้น เพราะด้านซึ่งเป็นที่ตั้งโบสถ์ที่ติดกับทะเล คลื่นซัดหายไป สำหรับโบสถ์ ชาวบ้านระบุว่ามีอายุประมาณ 94 ปี ภายในมีสถาปัตยกรรมสวยงามมาก เป็นที่เก็บกระดูกของชาวบ้าน ต้องมาจมอยู่ใต้ท้องทะเลเพราะพายุครั้งนั้น

พระอธิการจตุพร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2550 ตนร่วมกับชาวบ้านได้ออกสำรวจโบสถ์ดังกล่าว ปรากฏว่าพบลูกนิมิต 4 ลูก ส่วนตัวโบสถ์หลังเกิดวาตภัยครั้งใหญ่ก็พังเสียหายทั้งหมด เหลือแต่ฐานเท่านั้น เมื่อน้ำลดเต็มที่ก็จะโผล่มาให้เห็น จากวันนั้นจนถึงวันนี้รวม 47 ปีเต็ม วัดแหลมตะลุมพุกยังไม่มีอุโบสถหลังใหม่มาทดแทนแต่อย่างใด ทางวัดได้ร่วมกับญาติโยมหาทุนก่อสร้างอยู่ คาดว่าจะแล้วเสร็จอีกไม่นานนี้ อ.ปากพนังมีวัดทั้งหมด 52 วัด แต่วัดแหลมตะลุมพุก เป็นวัดเก่าแก่วัดเดียวที่ยังไม่มีอุโบสถ เนื่องจากจมทะเลไปดังกล่าว

นายอนันต์ บุญโชติ อายุ 76 ปี อยู่บ้านเลขที่ 105 ม.3 ต.บางพระ อ.ปากพนัง คนแก่ในพื้นที่ กล่าวว่า สมัยก่อนตนไปวัดเป็นประจำ และจำโบสถ์หลังนี้ได้อย่างแม่นยำ แต่หลังจากเกิดวาตภัยก็พังเสียหายจมทะลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่คิดว่าจะได้เห็นอีกแล้ว เมื่อเห็นว่ายังมีฐานของโบสถ์เหลืออยู่ ชาวบ้านก็รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง

 
8  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / ข้อคิดจากต้นมะยม เมื่อ: 10 มกราคม 2553 08:30:42
ได้พบข้อความของพระอาจารย์ศิริพงศ์ ครุพันธ์กิจ จากเว็บมนต์นัทธ์

��ͤԴ�ҡ�������

อ่านแล้วซาบซึ้งในหัวอกของความเป็นแม่ เลยอดใจไม่ได้ ต้องนำมาให้รับรู้กันครับ



 ข้อคิดจากต้นมะยม

 



--------------------------------------------------------------------------------
เมื่อวันศุกร์หลังเทศน์อุโบสถจบ หัวหน้าอุบาสิกาเข้ามาเล่าให้ฟังว่า ที่บ้านดิฉันปลูกมะยมไว้หน้าบ้าน ๑๐ ปีแล้ว ต้นโตมาก งามดี ใบดกครึ้ม บังแสงต้นไม้อื่นไปทั่ว ลูกชายมาบอกว่า แม่ มะยมไม่เห็นออกลูกเลย ขออนุญาตตัดทิ้งนะเพราะไม่ได้ประโยชน์ มิหน้ำซ้ำยังพรางแสงต้นไม้อื่นไม่มีโอกาสโต ดิฉันก็บอกว่าตามใจ

แต่ก็นึกเสียใจเหมือนกันกับของที่แม่ตั้งใจปลูกเพื่อคนจะได้นิยมชมชอบลูกแต่ลูกไม่เห็นคุณค่า แล้วดิฉันก็เดินไปจับที่ต้นมะยมพร้อมพูดกับมะยมว่า ลูกฉันเขาไม่เห็นประโยชน์ของเธอแล้วเพราะเธอไม่มีลูก เขาจะตัดเธอแล้วนะ ฉันเสียใจด้วย ฉันมันแก่มากแล้วหมดความหมาย คัดค้านเขาไม่ได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ดินและบ้าน ฉันก็เป็นเจ้าของ ตัวเธอ ฉันก็เป็นคนปลูก วันหนึ่งฉันก็คงหมดความหมายเหมือนเธอ เมื่อฉันหมดแรงเดิน หมดแรงพูด เขาก็คงเร่งภาวนาให้ฉันตายจะได้ไม่รกบ้าน

ท่านอาจารย์คะไม่น่าเชื่อเลยเพียงแค่ ๗ วันจากวันนั้น มะยมออกดอกตั้งแต่โคนต้นเหนือพื้นดินเต็มถึงยอดไม่มีที่ว่างเลย เขาคงฟังเสียงที่ฉันพูดกับเขารู้เรื่องนะคะ ดูสิมะยมเป็นเพียงต้นไม้เขายังรักตัวกลัวตาย รีบสืบทายาทเพื่อจะได้ไม่สูญสิ้นเผ่าพันธุ์ ฉันดีใจมากค่ะท่าน ดีใจจนน้ำตาไหล ฉันเลยไปซื้อผ้าเยื่อไม้สีแดงมาผูกรับขวัญเขา เรียกขวัญเขา อธิษฐานให้เขาเป็นต้นไม้อาถรรพ์เรียกเสน่ห์เมตตามหานิยมมาให้ลูกๆ เพื่อหน้าที่การงานเขาจะได้ประสบผลดั่งเขาคิดเขาหวัง

อุบาสิกาท่านนี้เรารู้จักมานานมากตั้งแต่ก่อนเราบวช ลูกทุกคนของท่านเราก็รู้จักมักคุ้นกันดี ไม่ว่าลูกคนใดจะริเริ่มทำกิจการหรือคิดสินค้าตัวใหม่ขึ้นมา อุบาสิกาผู้เป็นแม่จะพาลูกมาพบเรามาขอพรเราให้สำเร็จ ให้เราประพรมน้ำพุทธมนต์ น้ำเทพมนต์ให้ เราก็ทำให้เพื่อเป็นเครื่องบำรุงขวัญและกำลังใจเพราะขัดไม่ได้ ด้วยความเห็นใจในหัวอกแม่ที่เป็นทุกข์เป็นร้อนกลัวลูกจะขาดทุนกลัวลูกจะไม่สำเร็จ และแล้วลูกทุกคนก็สำเร็จสมปรารถนาเพราะลูกตั้งใจลงมือกระทำจริง และด้วยแรงอธิษฐานปรารถนาให้ลูกได้สำเร็จด้วยพรของแม่ผู้อธิษฐานทุกวัน หลังไหว้พระสวดมนต์หรือประกอบกองการกุศลใดใด แม่ผู้นี้ก็จะอธิษฐานยกให้ลูกจนหมด โดยไม่คำนึงถึงตัวเองเลย

ท่านสมาชิกมนต์นัทธ์อ่านกระทู้นี้แล้ว คิดอะไรได้บ้าง มะยมเพียงต้นเดียวทำให้เราเกิดอารมณ์สะเทือนใจได้มากมายระหว่างความรักความปรารถนาดีที่แม่มีให้ลูก ในห้วงแห่งความรักความรู้สึกของแม่ทุกลมหายใจเข้าและหายใจออกมีแต่ "ลูก" อย่างเดียวเท่านั้น


ขอกราบแทบเท้าแม่ผู้ก่อร่าง ผู้สรรค์สร้างคุณธรรมและความหมาย
ผู้ถนอมปกป้องรักษากาย ให้ลูกได้เติบใหญ่อย่างไม่ไร้คุณธรรม



สวัสดี ขอบคุณแม่และต้นมะยมที่แสดงธรรม


ศิริพงศ์ ครุพันธ์กิจ
๙ มกราคม ๒๕๕๓
9  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / Re: รูปภาพ ของสวย ๆ งาม ๆ เมื่อ: 03 มกราคม 2553 12:53:47
ภาพสวยงามแปลกตา ตื่นใจดีครับ
หน้า: [1]
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.155 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 26 กุมภาพันธ์ 2567 09:00:19