ชีวิตผู้ลี้ภัยซูดานในกรุงเทพฯ ขณะ ‘รอวัน’ ย้ายไปประเทศที่ 3 คุยกับ ‘คมน์ธัช ณ พัทลุง’
<span class="submitted-by">Submitted on Thu, 2024-02-22 22:14</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>ทีมข่าวศิลปวัฒนธรรม สัมภาษณ์/เรียบเรียง </p>
<p>ถ่ายภาพ: อันนา หล่อวัฒนตระกูล</p>
<p>บทสัมภาษณ์นี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์</p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><div class="summary-box">
<ul>
<li>คุยกับ ‘คมน์ธัช ณ พัทลุง’ ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี Hours of Ours (รอวัน) ที่เล่าเรื่องชีวิตประจำวันของครอบครัวผู้ลี้ภัยชาวซูดานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ขณะ ‘รอวัน’ ย้ายไปประเทศที่สามอย่างไร้จุดหมาย เมื่อไทยเป็นที่พักพิงชั่วคราวได้แต่ยังไม่ใช่บ้าน</li>
<li>Hours of Ours (รอวัน) เข้าโรงแล้ววันนี้ 22 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป ที่ Doc Club & Pub. และ House Samyan </li>
</ul>
</div>
<p>“ตอนที่เขา (ครอบครัวอิบราฮิม) เจอเรา เราถือกล้อง เราถ่ายคนม้งเวียดนามอยู่แล้ว เขามารู้จักเราพร้อมกับกล้องเรา เพราะฉะนั้นเขาก็รู้ว่าไอ้เด็กคนนี้มันมีกล้อง มันถ่ายอะไรซักอย่างอยู่”</p>
<p>คมน์ธัช ณ พัทลุง ผู้กำกับภาพยนตร์ Hours of Ours (รอวัน) เล่าให้เราฟังถึงที่มาที่ไปของการได้ไปรู้จัก ‘ครอบครัวอิบราฮิม’ ซึ่งเป็นครอบครัวผู้ลี้ภัยชาวซูดานที่หนีออกจากประเทศมายังกรุงเทพฯ เพื่อขอลี้ภัยไปประเทศที่สาม </p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53527304632_fb9a8904fb_b.jpg" /></p>
<p>เขาเกิดที่ไทย แต่เติบโตแบบย้ายไปย้ายมาระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกาด้วยหน้าที่การงานของคุณพ่อ หลังจากเรียนจบสาขาวิทยุ โทรทัศน์ และภาพยนตร์จากมหาวิทยาลัยเท็กซัส เขาทำงานในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่ลอสแอนเจลิสราวๆ 1 ปี และมีโอกาสได้ไปร่วมเวิร์คชอปที่คิวบากับ “อับบาส เคียรอสตามี” ผู้กำกับชั้นครูจากอิหร่าน จากนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับเมืองไทย</p>
<p>แรกเริ่มเดิมทีเขาตั้งใจจะทำหนังเกี่ยวกับคนม้งเวียดนามในกรุงเทพฯ และได้แวะเวียนไปทำกิจกรรมในชุมชนร่วมกับเอ็นจีโออยู่เรื่อยๆ พร้อมกับกล้องในมือ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ได้พบครอบครัวอิบราฮิมที่เข้ามาร่วมกิจกรรมที่เอ็นจีโอจัด</p>
<p>มิตรภาพก็เริ่มต้นขึ้นจากการที่เขาช่วยพาคุณแม่ไปหาหมอ หลังจากนั้นครอบครัวอิบราฮิมชวนเขาไปทานข้าวและดื่มกาแฟที่บ้าน จนก่อเกิดเป็นไอเดียในการทำหนังเพื่อบันทึกชีวิตขณะ ‘รอวัน’ ย้ายไปประเทศที่สาม ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53545560399_349fc891ed_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">ภาพจากภาพยนตร์สารคดี Hours of Ours (รอวัน)</span></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ย้ายไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่</span></h2>
<p>มีช่วงหนึ่งในชีวิตที่เราต้องย้ายไปย้ายมาระหว่างไทยกับอเมริกา เราเกิดที่ไทย ตอนที่เราอายุ 3 ขวบ คุณพ่อได้ไปทำงานที่ลุยเซียนา เราก็ย้ายไปอยู่ที่นั่น 2-3 ปี จนเรา 5 ขวบก็กลับมาไทย เข้าโรงเรียนที่ไทยและอยู่ที่นี่ 10 ปี</p>
<p>พออายุ 15 ปี เราก็ย้ายไปที่เมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส เรียนมัธยมปลาย 2 ปี แล้วก็เรียนต่อมหาวิทยาลัยอีก 4 ปี แล้วก็พอเรียนจบ เราก็ไปอยู่ลอสแอนเจลิส (แอลเอ) หนึ่งปี แล้วหลังจากแอลเอก็รู้สึกว่าไม่เอาแล้วกลับมาไทยดีกว่า</p>
<p>เรื่องที่เป็นปมในใจอย่างหนึ่ง เรารู้สึกว่าเราปรับตัวเองยากประมาณหนึ่งเพราะสังคมที่มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา มันเป็นอีกขั้วหนึ่งเลย</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ทำไมถึงอยากกลับไทย</span></h2>
<p>คิดหนักเหมือนกัน เพราะว่าการอยู่ที่นี่ (แอลเอ) เรื่องหน้าที่การงานค่อนข้างดีแต่เรารู้สึกว่าไปต่อไม่ถูก เป็นการทำงานเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าที่อยู่อาศัย ค่าอาหาร แต่เราไม่สามารถมีเวลาให้งานที่เรารู้สึกว่าเป็นงานครีเอทีฟส่วนตัว</p>
<p>เรื่องราวที่เราอยากจะพูดถึงอยู่ที่ไทยหมดเลย ตอนที่เราอยู่แอลเอ เราไม่ได้มีเรื่องราวที่อเมริกาที่เราอยากจะพูดถึง เราไม่ได้รู้สึกว่าเราคอนเนกต์กับที่อเมริกา</p>
<p>มันอยู่สบาย มันน่าอยู่แหละ แต่ว่ามันแพงมากๆ ที่แอลเอ ซึ่งทำให้เราหมดพลังไปกับการทำงาน</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">อยู่แอลเอทำงานอะไรบ้าง</span></h2>
<p>เราไปทำงงจังเป็นผู้ช่วยในออฟฟิศของ ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) อยู่ช่วงหนึ่ง แล้วเราก็ออกกอง เป็นผู้ช่วยช่างภาพ, DIT (Digital Imaging Technician หรือ คนจัดการข้อมูลภาพ ณ กองถ่าย) ให้กองหนังสั้น คอมเมอเชียล กองเว็บซีรีส์บ้าง</p>
<p>เราคิดอยู่นานว่าจะกลับมาดีไหม เพราะในช่วงนั้นวีซ่าก็จะใกล้หมดแล้ว ต้องรีบคิดว่าถ้าจะอยู่ต่อจะเอายังไงต่อไป เผชิญว่าช่วงนั้นได้ไปงานเวิร์คชอปที่คิวบา เป็นเวิร์คชอปกับ “อับบาส เคียรอสตามี” (Abbas Kiarostami) ผู้กำกับดังของอิหร่าน </p>
<p>เขามีโจทย์ให้เราพยายามทำหนังสั้นให้เสร็จใน 10 วัน ซึ่งเราก็ไปโดยที่ยังไม่มีไอเดียอะไรมาก ซึ่งมันเป็นพลังงานที่ขาดหายไปตอนที่เราอยู่แอลเอ เป็นพลังงานที่เราคิดถึง ก็เลยตัดสินใจว่ากลับไทยดีกว่า อยากจะกลับไปทำหนังของตัวเอง</p>
<p>หลังจากที่อยู่แอลเอมานาน พอเราไปถึงที่คิวบาแล้วรู้สึกเหมือนประเทศไทยมากๆ ทั้งสภาพอากาศ ภูมิทัศน์ติดทะเล ต้นไม้ ผู้คนน่ารัก มีบิลบอร์ดของฟิเดล คาสโตร ติดเต็มไปหมด มันก็เหมือนกับรูปที่มีทุกบ้าน ทำให้เรารู้สึกคิดถึงประเทศไทยมากๆ</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">พอกลับมาไทยแล้วไปคอนเนกต์กับครอบครัวนี้อย่างไร</span></h2>
<p>ช่วงที่เราอยู่อเมริกา ก็จะมีบางช่วงที่เรากลับมาไทยเพื่อเยี่ยมครอบครัว เยี่ยมเพื่อนช่วงซัมเมอร์ ช่วงนั้นเพื่อนเราก็เข้าเรียนกันหมด เราก็ว่างๆ เลยได้ติดต่อกับอาจารย์คนหนึ่ง เป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่เรารู้จักสมัยที่เรียนอยู่ที่ไทย เขาก็บอกว่าเขากำลังเปิดเอ็นจีโอ เข้าไปในพื้นที่ของ คนที่ถูกมองข้ามในกรุงเทพฯ ซึ่งในตอนแรกโฟกัสของเขาคือชุมชนตามรางรถไฟแถวๆ พญาไท เราก็เข้าไปทำงานกับเขา</p>
<p>ไปๆ มาๆ เขาเปลี่ยนโฟกัสไปทำงานกับกลุ่มผู้ลี้ภัย แล้วก็ชวนเราเข้าไปในชุมชนม้งเวียดนามแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตอนแรกเราไม่ได้รู้จักกับครอบครัวอิบราฮิม แต่อยู่มาวันหนึ่งเราก็เห็นครอบครัวนี้เข้ามาร่วมกิจกรรมที่เอ็นจีโอจัด </p>
<p>ปกติเอ็นจีโอจะจัดกิจกรรมสอนภาษาอังกฤษ สอนทำอาหาร รวมถึงซัพพอร์ตครอบครัวในพื้นที่นั้น ซึ่งเวลาจัดกิจกรรมก็เจอครอบครัวนี้มาร่วมด้วย ตอนแรกเราไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ไปๆ มาๆ ก็ได้รู้จักกับเขา </p>
<p>ความที่มีกิจกรรมสอนภาษาอังกฤษ แต่ว่าเราเป็นคนที่สอนอะไรไม่เป็น เราก็เลยเสนอตัวว่าจะช่วยเหลือเขาในรูปแบบอื่น เช่น ติดต่อคนนั้นคนนี้ คุณแม่อยากจะไปหาหมอ เขาก็ถามว่าเราช่วยเขาคุยกับหมอได้ไหม เขากลัวเขาสื่อสารไม่ครบ ซึ่งเราช่วยเขาในลักษณะนี้ได้ ทำให้เราได้เริ่มรู้จักกับครอบครัวนี้ หลังจากที่ไปเจอหมอ เขาก็ชวนเราไปกินข้าวกินกาแฟที่บ้านเขา ไปหาเขาอยู่เรื่อยๆ</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53545560024_7b54d20dd8_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">ภาพจากภาพยนตร์สารคดี Hours of Ours (รอวัน)</span></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">มีบางซีนที่ฟุตเทจเอียงๆ</span> </h2>
<p>ตั้งใจ (ตอบทันที)</p>
<p>โปรเจคสารคดีม้งเวียดนาม เราตั้งใจ setting (ออกแบบ) ตั้งใจ constructed (สร้าง) ทั้งหมด แล้วช่วงแรกๆ ที่เราถ่ายครอบครัวนี้ เราก็พยายามที่จะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกว่า…มันไม่ใช่วิธีที่เราอยากจะทำ </p>
<p>หลังจากนั้นเราก็เปลี่ยนวิธีการทำงานของเราด้วย เราก็เลยตัดสินใจว่าเราจะไม่สร้างระยะห่างระหว่างเรากับครอบครัวนี้</p>
<p>จะมีโมเมนต์ที่ว่าเราถ่ายๆ อยู่แล้วความเป็นตากล้อง ก็จะคอยดูเฟรมตลอด แต่เวลาเราดูเฟรม เราก็ไม่สามารถคอนเนกต์กับคนที่เรากำลังคุยอยู่ด้วย</p>
<p>โมเมนต์ที่เราพูดคุยกับเขา เราก็ต้องไม่สนใจกล้อง เพื่อให้ได้โมเมนต์นี้ไปเรื่อยๆ กล้องนี้มันก็ถ่ายของมันไป ได้อะไรมาก็ค่อยว่ากัน แล้วมันก็…ได้อย่างที่เห็น (หัวเราะ)</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">สารคดีที่ไม่ได้ดรามาสุดทางแบบนี้ ขอทุนยากไหม</span></h2>
<p>ยากเหมือนกัน เพราะว่าเราก็ต้องไปขอทุนจากศูนย์มานุษฯ (ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร) อย่างศูนย์มานุษฯ ยังดีเพราะว่าเขาเก็ตวิธีการทำงานของเรา ไม่เหมือนกับช่องข่าวทีวีต่างประเทศ เพราะว่าช่องพวกนี้เขาต้องการดรามา ต้องการบริบท เขาอยากที่จะรู้ว่าตอนนี้โลกมันโหดร้ายแค่ไหน แต่ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจะนำเสนอในรูปแบบนั้น </p>
<p>เราต้องการที่จะนำเสนอครอบครัวนี้ในรูปแบบ Graceful Resilience (ความอดทนและความมีศักดิ์ศรี) ของเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นและเราแค่อยากนำเสนอสิ่งที่เราเห็น อย่างน้อยศูนย์มานุษฯ เขาก็เก็ต เขามองประเด็นต่างๆ ด้วยสายตาของความเป็นมนุษย์ </p>
<p>แล้วก็สำหรับที่อื่นๆ อย่าง Purin Pictures หรือสิงคโปร์ เขาก็ซัพพอร์ตอะไรที่เกี่ยวกับภาพยนตร์อยู่แล้ว </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">เคสครอบครัวซูดานแบบนี้ มีอีกเยอะมั้ยในไทย</span></h2>
<p>ในไทยไม่ค่อยมี เหมือนจากซูดานนี่มันต้องแยกด้วยว่าซูดาน หรือซูดานใต้ เพราะมันไม่เหมือนกัน แต่ที่เรารู้จักมีอยู่ไม่กี่คน มีน้อย ส่วนใหญ่จะมาจากปากีสถาน โซมาเลีย คองโก </p>
<p>อย่างปากีสถานในไทยนี่เยอะ ในกรุงเทพฯ </p>
<p>ปากีสถานที่หนีมาเพราะปัญหาเรื่องศาสนา ที่เรารู้จักส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์กัน ส่วนซูดานเป็นปัญหาความขัดแย้งภายใน</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53545567549_c4274c2113_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">ภาพจากภาพยนตร์สารคดี Hours of Ours (รอวัน)</span></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">โมเมนต์ที่ประทับใจที่สุด</span></h2>
<p>มีโมเมนต์หนึ่งที่อยากใส่ในหนังแต่ใส่ไม่ได้เพราะว่ามันไม่เวิร์ค เป็นโมเมนต์ที่คุณแม่ให้เราช่วยดูการบ้านของน้อง เพราะพ่อแม่เขาอ่านการบ้านภาษาไทยไม่ออก คุณแม่เล่าให้เราฟังว่าอยากจะช่วยสอนการบ้านลูกแต่ว่าช่วยไม่ได้เพราะทุกอย่างเป็นภาษาไทยหมด </p>
<p> จริงๆ เรื่องภาษา เป็นเรื่องที่เราพยายามจะสื่อในหนังเรื่องนี้ด้วย เพราะเรารู้สึกว่ามันสำคัญสำหรับเรา ครอบครัวนี้เขาคุยกันด้วยภาษาอาหรับ แต่ว่าแม่เขาก็บ่นให้เราฟังว่าลูกๆ คุยกันเองเป็นภาษาไทย อะไรที่ไม่อยากให้แม่กับพ่อรู้ก็จะคุยกันเองเป็นภาษาไทย มีเราอยู่ด้วยเราจะได้ช่วยเล่าให้แม่เขาฟังว่าลูกคุยอะไรกัน</p>
<p>ตอนแรกเราไม่รู้ว่าลูกๆ เขาพูดภาษาไทยกัน โมเมนต์นี้เป็นจุดเริ่มต้นหลายๆ อย่างตอนที่เรารู้ว่าลูกเขาพูดภาษาไทยกันเอง มันทำให้เรานึกถึงสมัยที่เราอยู่อเมริกาตอนเด็กๆ เรากับน้องอยู่ๆ ก็ได้ภาษาอังกฤษขึ้นมาโดยที่พ่อกับแม่เราตั้งตัวไม่ทัน</p>
<p>ในครึ่งหลังของเรื่อง ถ้าเกิดสังเกตจดหมายจากพ่อกับแม่ (ที่ส่งมาหาลูกตอนที่พ่อแม่โดนกักตัวอยู่ที่ ตม.) จดหมายก็เป็นภาษาอังกฤษ เราก็ถามว่าทำไมถึงเป็นภาษาอังกฤษ แม่เขาก็เล่าให้ฟังว่าเพราะลูกๆ เขาอ่านภาษาอารบิกไม่ออก เวลาเขาจะเขียนอะไรให้ลูกๆ เขาจึงต้องเป็นภาษาอังกฤษ น้องๆ พูดอารบิกได้ แต่จะอ่านเขียนไม่ได้ เพราะจะได้ภาษาไทยมากกว่า </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ตอนที่ไปเจอ ครอบครัวนี้อยู่ไทยมากี่ปีแล้ว</span></h2>
<p>เขาอยู่มาหลายปีแล้ว แต่เราย้ายกลับมาไทยปี 2016 (พ.ศ. 2559) แล้วเราเจอเขา…น่าจะเริ่มถ่ายกับเขาประมาณปี 2017 (พ.ศ. 2560) ซึ่งเป็นตอนที่น้องๆ พูดไทยกันได้แล้ว</p>
<p>ตอนแรกเราคุยกับเขาเป็นภาษาอังกฤษเพราะเราไม่รู้ จนกระทั่งเราได้ยินพวกเขาคุยกันเองเป็นภาษาไทย แล้วเขาก็คุยกับเราเป็นภาษาอังกฤษแบบเกร็งๆ เขินๆ พอเราพูดไทยก็กลายเป็นว่าพวกเขาก็พูดกับเราเยอะเลย จากที่ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยพูด</p>
<p>ครอบครัวนี้พาสปอร์ตหมดอายุ เข้ามาด้วยวีซ่าท่องเที่ยว ง่ายๆ ก็คือครอบครัวนี้อยู่เกินกำหนดวีซ่า</p>
<p>จริงๆ แล้วโรงเรียนอาจจะรับเข้าเรียนเพราะว่าพวกเขายังเด็ก ในแง่กฎหมาย เป็นสิทธิที่น้องๆ เขามีอยู่แล้ว เพราะว่าไทยเซ็นสัญญาปกป้องสิทธิเด็กของสหประชาชาติ</p>
<p>แต่ว่าประเทศไทยไม่ได้เซ็นสัญญาเรื่องผู้ลี้ภัย เพราะฉะนั้นพ่อกับแม่ หรือถ้าเด็กโตไปเป็นผู้ใหญ่ สิทธิเสรีภาพต่างๆ ก็จะหดน้อยลงไปเรื่อยๆ ยิ่งเราโตขึ้นมันก็จะยิ่งหดลง</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53545232806_d8cdd136b6_b.jpg" /></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#d35400;">ภาพจากภาพยนตร์สารคดี Hours of Ours (รอวัน)</span></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">เหมือนพ่อแม่จะอยู่แต่ในบ้าน</span></h2>
<p>พ่อแม่ส่วนมากอยู่แต่ในบ้าน มีไปทำธุระที่นั่นที่นี่บ้าง</p>
<p>ก่อนหน้านั้นเขาทำอาชีพอะไร เป็นเหตุผลที่ได้ไปแคนาดาด้วยไหม</p>
<p>อาจจะมีส่วน ครอบครัวนี้เขาน่าจะอยู่ในฐานะชนชั้นกลางประมาณหนึ่ง เพราะว่าพ่อกับแม่เป็นคนมีการศึกษา พ่อเป็นนักออกแบบตกแต่งภายใน ส่วนแม่ เรียนจบมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับด้านปศุสัตว์การแพทย์</p>
<p>เราก็ยังคิดอยู่ในใจว่า 6 ปีที่เขาอยู่ในไทยเขาน่าจะได้ทำอะไรอย่างอื่นได้ ทำไมต้องมาอยู่แต่ในห้อง แต่พอย้ายไปแคนาดาได้สัก 1-2 ปี เขาก็มีอาชีพแล้ว</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ในฐานะคนทำหนัง เรามีความคาดหวังอย่างไร</span></h2>
<p>เราคาดหวังกับการฉายในประเทศไทยมากที่สุด หลักๆ เลยเราทำหนังเรื่องนี้เพราะว่าเราอยากจะจินตนาการถึงอนาคต ความเป็นไปได้ใหม่ๆ สำหรับประเทศไทย</p>
<p>ในแง่ที่ว่าถ้าเด็กพวกนี้โตขึ้นมาแล้วต้องอยู่เมืองไทยตลอดไปจริงๆ ถ้าเกิดโดนปฏิเสธขึ้นมา ถ้า UNHCR (สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ) ปฎิเสธเคส 2-3 รอบ ก็คือโดนปฎิเสธไปเลย ก็คือไม่ได้มีทางเลือกอะไรอย่างอื่นแล้วนอกจากจะต้องอยู่ที่นี่หรือกลับประเทศตัวเอง </p>
<p>การอยู่ที่นี่ก็เป็นสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ต้องอยู่แบบนี้ ทั้งๆ ที่เขาก็จะซึมซับความเป็นไทย ภาษา วัฒนธรรม สภาพสังคม สภาพแวดล้อม ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ เด็กคนอื่นๆ ที่เป็นคนม้งเวียดนามที่เรารู้จัก หรือว่าเด็กที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านที่ตามพ่อแม่มาอยู่ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม เราก็พยายามคิดถึงอนาคตว่าพวกเขาจะอยู่ยังไง เราจะสามารถเปิดให้พวกเขา หลอมรวมกับสังคมเราได้มากน้อยแค่ไหน</p>
<p>แล้วเราก็คิดไปถึงว่า ถ้าเกิดเราไปถึงจุดนั้นได้ หน้าตาของคนไทยสามารถเปลี่ยนไปด้วยได้ไหม เด็กแอฟริกันพวกนี้ก็คงไม่ต่างจากเด็กไทยทั่วไป ในหนังจะเห็นว่าพวกเขาก็เป็นเด็กไทยใช่ไหม </p>
<p>เราก็อยากจะตั้งคำถามว่าอะไรคือความเป็นไทย ขอบเขตของสิ่งนี้อยู่ตรงไหน และสามารถยืดหยุ่นได้หรือเปล่า หรือว่าทำลายขอบเขตของมันไปได้เลย เพื่อที่จะนับรวมคนอื่นๆ ได้</p>
<div class="summary-box">
<ul>
<li>Hours of Ours (รอวัน) เข้าโรงแล้ววันนี้ 22 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป ที่ Doc Club & Pub. และ House Samyan</li>
<li>เมื่อปี 2566 ภาพยนตร์สารคดี รอวัน | Hours of Ours ออกฉายสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรกในเทศกาลนานาชาติ Visions du Réel ที่จัดขึ้นที่เมืองนีออน (Nyon) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ต่อมาได้ฉายในเทศกาลสารคดีนานาชาติ Beyond Borders Kastellorizo International Documentary Festival ครั้งที่ 8 ที่ประเทศกรีซ </li>
<li>รอวัน | Hours of Ours ฉายที่สมาคมฝรั่งเศส (Alliance Française) ที่เมืองไนโรบี ประเทศเคนยา ในโปรแกรมพิเศษที่ชื่อว่า Focus Sudan</li>
<li>ภาพยนตร์สารคดี รอวัน | Hours of Ours ฉายครั้งแรกในเอเชียที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติสิงคโปร์ SGIFF ครั้งที่ 34 ต่อมาได้ฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์สารคดี Festival Film Dokumenter ที่เมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย จากนั้นจึงเข้ามาฉายที่ไทย</li>
</ul>
</div>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2024/02/108177