[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 12:35:30 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  [1] 2 3 ... 23
1  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / "พระมหานายก" "พระจุลนายก" เมื่อ: 23 มกราคม 2567 09:17:02
"พระมหานายก" "พระจุลนายก" : ที่มา พระราชาคณะประดับพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราช สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
.
ในพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชแต่ละครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมักทรงพระกรุณาโปรดให้ สมเด็จพระสังฆราชที่ได้รับการสถาปนาขึ้นใหม่ ทรงมีพระราชาคณะ พระฐานานุกรม ประดับพระอิสริยยศ ๑๕ รูป หากแต่มักมีการออกนามแตกต่างกันออกไปในแต่ละวัด
.
ในส่วนของวัดบวรนิเวศวิหารนั้น นับแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาพระปัญญาอัคคภิกขุ (พระภิกษุพระองค์เจ้าฤกษ์) ขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรม ทรงกรมที่ "กรมหมื่นบวรรังษีสุริยพันธุ์" ทรงสมณศักดิ์เสมอด้วยเจ้าคณะใหญ่ ในการนั้นโปรดให้มีพระครูฐานานุกรม ๑๑ รูป แต่มีตำแหน่งพิเศษประดับพระเกียรติยศ ได้แก่
๑) พระครูปลัดมหานุนายก ปลัดขวา
๒) พระครูปลัดจุลานายก ปลัดซ้าย มีตำแหน่งเป็นปลัดใหญ่
๓) พระครูปริตรโกศล
๔) พระครูพุทธมนต์ปรีชา ปลัดรอง
๕) พระครูวินัยธร
๖) พระครูวินัยธรรม
๗) พระครูอโนมสาวัน
๘) พระครูอนันตประกาศ
๙) พระครูสังฆบริบาล
๑๐) พระครูสมุห์
๑๑) พระครูใบฎีกา
.
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ก็เจริญด้วยสมณศักดิ์ จนเมื่อทรงตั้งการพระราชพิธีมหาสมุตมาภิเษก (คือพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นพระราชวงศ์) แด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์ โดยในครั้งนั้นโปรดให้มีพระครูฐานานุกรมประดับพระอิสริยยศ ๑๕ รูป ได้แก่
๑) พระครูปลัดมหานุนายก ปลัดขวา
๒) พระครูปลัดจุลานายก ปลัดซ้าย
๓) พระครูสังฆกรรมานุโยค
๔) พระครูวราโภคสังฆกิจ พระครูผู้ช่วยชั้นที่ ๑
๕) พระครูปริตรโกศล
๖) พระครูพุทธมนต์ปรีชา (ตำแหน่งเดิมคือ ตำแหน่งพระครูปริตร ประจำวัด)
๗) พระครูคหาปณานุกิจ
๘) พระครูพิพิธภัณฑวิภัชน์ พระครูผู้ช่วยชั้นที่ ๒
๙) พระครูวินัยธร
๑๐) พระครูวินัยธรรม
๑๑) พระครูอเนกสาวัน
๑๒) พระครูอนันตนินนาท
๑๓) พระครูสังฆบริบาล
๑๔) พระครูสมุห์
๑๕) พระครูใบฎีกา
ภายหลังเมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระปวเรศวริยาลงกรณ์สิ้นพระชนม์ และถวายพระเพลิงเรียบร้อยแล้วนั้น ในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินในปีถัดมา  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระโกศพระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณะพระองค์นั้นลงยังพระอุโบสถ ทรงสดับปกรณ์ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนพระครูปลัด ทั้ง ๒ รูปเป็นพระราชาคณะ แล้วให้ยกเลิกตำแหน่งพระครูปลัดทั้ง ๒ นั้นเสีย
ธรรมเนียมนี้สืบมาถึงในคราวพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษกสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส นั้นยังมีคงมีพระมหานายก และพระจุลนายกเป็นพระราชาคณะปลัดขวาและซ้ายเช่นเดิม
จนในคราวประกาศสถาปนาสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๘ นั้นมิได้ระบุถึงพระฐานานุกรมประดับพระอิสริยยศแต่ประการใด  แต่ในภายหลังจึงแจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องส่งสัญญาบัตรสมณศักดิ์ไปพระราชทาน ลงวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๘ ความว่า
“ด้วยทรงพระกรุณาโปรดให้ส่งสัญญาบัตรสมณศักดิ์ไปพระราชทานสมเด็จพระสังฆราชตั้งพระครูปลัด คือ
พระครูมหานายก พุทธปาพจนดิลก โลกยปสาทาภิบาล สกลสังฆประธาน มหาเถรกิจการี คณาธิบดีศรีรัตนคมกาจารย์ พระครูปลัดขวา
พระจุลนายก ธรรมนิติสาธก มหาเถราธิการ คณกิจบรรหารธุรการี สมุหบดี ศรีธรรมภาณกาจารย์ พระครูปลัดซ้าย”
ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓   จึงทรงพระกรุณาโปรดให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระนามสมเด็จพระสังฆราช และจารึกพระนามในพระสุพรรณบัฏ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓   โดยทรงมีพระราชาคณะ ฐานานุกรมประดับพระอิสริยยศ ๑๕ รูป คือ
๑) พระมหานายก พุทธปาพจนดิลก โลกยปสาทาภิบาล สกลสังฆประธานมหาเถรกิจการี คณาธิบดีศรีรัตนคมกาจารย์ พระราชาคณะปลัดขวา
๒) พระจุลนายก ธรรมนีติสาธกมหาเถราธิการ คณะกิจบรรหารธุรการี สมุหบดีศรีธรรมภาณกาจารย์ พระราชาคณะปลัดซ้าย
๓) พระครูวิสุทธิธรรมภาณ
๔) พระครูพิศาลวินยวาท
๕) พระครูประสาทพุทธปริตร  พระครูปริตร
๖) พระครูประสิทธิพุทธมนต์ พระครูปริตร
๗) พระครูวินัยธร
๘) พระครูวินัยธรรม
๙) พระครูสรภัญญประกาศ พระครูคู่สวด
๑๐) พระครูสรสาทวิเศษ พระครูคู่สวด
๑๑) พระครูนิเทศธรรมจักร
๑๒) พระครูพิทักษ์ธุรกิจ
๑๓) พระครูสังฆสิทธิกร
๑๔) พระครูสมุห์
๑๕) พระครูใบฎีกา
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อมีการประกาศสมเด็จพระญาณสังวร ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชก็ทรงพระกรุณาโปรดให้มีพระราชาคณะ ฐานานุกรมประดับพระอิสริยยศ ๑๕ รูปเช่นเดิม 
นับแต่นั้น พระมหานายก และพระจุลนายก จึงเป็นสมณศักดิ์พระราชาคณะปลัดขวา และพระราชาคณะปลัดขวาของสมเด็จพระสังฆราชที่สถิต ณ วัดบวรนิเวศวิหาร มาจนถึงทุกวันนี้
(เรื่อง ศรัณย์ มะกรูดอินทร์)


 ขอขอบคุณ เพจ เล่าเรื่อง..วัดบวรฯ
 ค้นคว้า 23.01.2567
2  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: ชวนรู้จัก “โรคไซโคพาธ” อาการขาดความสำนึกผิด โกหก ไร้ความเห็นใจผู้อื่น เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2566 14:56:18















3  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ชวนรู้จัก “โรคไซโคพาธ” อาการขาดความสำนึกผิด โกหก ไร้ความเห็นใจผู้อื่น เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2566 14:36:54

   ชวนรู้จัก “โรคไซโคพาธ” อาการขาดความสำนึกผิด โกหก ไร้ความเห็นใจผู้อื่น

        กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ระบุ คำว่า “ไซโคพาธ (Psychopaths)” เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) และได้กลายเป็นคำที่วินิจฉัยถึงอาการทางจิตของผู้ที่เป็นโรคนี้ (Psychopaths) โดยมีลักษณะขาดความเห็นใจผู้อื่น, ขาดความสำนึกผิด, ความรู้สึกด้านชาไม่เกรงกลัว, ขาดความยับยั้งชั่งใจ และเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง

        อารอน คิปนิส, PhD, ผู้เขียน The Midas Complex กล่าวว่า “บุคคลที่มีบุคลิกไซโคพาธ มักจะมองว่าผู้อื่นเป็นวัตถุที่เขาสามารถใช้เพื่อประโยชน์ของตนเองได้ พวกเขาอาจแสร้งทำเป็นสนใจคุณ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาอาจไม่สนใจ พวกเขาเป็นนักแสดงที่มีทักษะ ซึ่งมีภารกิจเพียงอย่างเดียวคือจัดการกับผู้คนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

        ตามรายงานของ Very well mind ผู้ที่มีภาะวะไซโคพาธไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมทางจิตอย่างผู้ป่วยจิตเวช แต่อาจเป็นบุคคลทั่ว ๆ ไปที่มีลักษณะทางจิตบางอย่างซ่อนลึกในจิตใจ ซึ่งสาเหตุเกิดภาวะไซโคพาธทางด้านทางกาย คือมีความผิดปกติของสมอง โดยเฉพาะสมองส่วนหน้า-ส่วนอะมิกดะลา ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง อุบัติเหตุทางสมอง และพันธุกรรม

        สาเหตุเกิดภาวะไซโคพาธทางด้านจิตใจและสังคมอาจเกิดขึ้นในวัยเด็กและแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป เช่น ขาดความรัก, ขาดความสนใจ, ไร้คำแนะนำจากผู้ปกครอง, ถูกกระทำทารุณในวัยเด็ก, ถูกเลี้ยงดูแบบละเลยเพิกเฉย, การเลี้ยงดูที่ไม่พึงประสงค์, อาชญากรรมในครอบครัว, ความแตกแยกในครอบครัว รวมถึงสภาพสังคมรอบตัวที่โหดร้าย

        อาการภาวะไซโคพาธจะมีลักษณะจิตใจที่แข็งกระด้าง

       1. มีพฤติกรรมตอบสนองต่อความต้องการของตนเอง โดยไม่สนใจผู้อื่นในสังคม

       2. มีความผิดปกติทางอารมณ์ และความคิดโดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าสังคม

       3. มักกระทำความรุนแรงซ้ำ ๆ และก่อให้เกิดอาชญากรรม

       4. โรคโกหกตัวเอง หรือในวงการจิตวิทยาเรียกว่า Pathological Lying โดยจุดประสงค์ของการโกหก เพื่อให้ตนเองดูดี เรียกร้องความสนใจ และหลุดพ้นจากปัญหา

       5. ขาดความสำนึกผิด ไม่สนใจว่าพฤติกรรมส่วนตัวจะส่งผลต่อคนอื่นอย่างไร อาจลืมบางสิ่งทำร้ายคนอื่น แต่ยังไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ ที่ทำให้ผู้คนเจ็บปวด พร้อมทั้งหาเหตุผลเข้าข้างตนเองและตำหนิผู้อื่น

       6. ขาดความเห็นอกเห็นใจ บุคคลที่มีภาวะไซโคพาธพยายามทำความเข้าใจว่า คนอื่นอาจรู้สึกกลัว เศร้า หรือวิตกกังวลอย่างไร แต่ตนเองไม่แยแสกับคนที่กำลังทุกข์ทรมานเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าจะบุคคลนั้นจะเป็นเพื่อนสนิทหรือสมาชิกในครอบครัวก็ตาม

       7. บุคคลที่มีภาวะไซโคพาธไม่รับผิดชอบต่อปัญหาในชีวิต มองว่าปัญหาเป็นความผิดของคนอื่นเสมอ

       วิธีการรักษา จิตเวชบำบัดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการปรับปรุงอาการดังกล่าว เพียงอาจช่วยปรับการทำงานของระบบประสาท พฤติกรรม และลักษณะบุคลิกภาพที่เกี่ยวข้องให้เป็นปกติ แต่ยังต้องใช้ยาบำบัดตามคำแนะนำของจิตแพทย์




        ที่มา  :  https://dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=31623


4  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / Musketeers Ft. MAIYARAP - พิจารณา เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2565 18:39:42

Musketeers Ft. MAIYARAP - พิจารณา

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=21E3MNWz5m4" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=21E3MNWz5m4</a>








5  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / รู้ไหม จุดกำเนิดของเนคไท มาจากผ้าพันคอของทหารชาวโครแอต เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2565 18:37:55

รู้ไหม จุดกำเนิดของเนคไท มาจากผ้าพันคอของทหารชาวโครแอต


              การสวมเนคไท คือหนึ่งในแฟชั่นสำหรับการแต่งตัวของท่านสุภาพบุรุษ แต่เคยสงสัยไหมว่า ต้นกำเนิดของเนคไทมาจากไหน  จุดเริ่มต้นของเนคไทต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในช่วงเวลานั้น ยุโรปเกิดสงครามที่เรียกว่า สงครามสามสิบปี (Thirty Years’ War) ที่เป็นความขัดแย้งระหว่างสองนิกายในศาสนาคริสต์ คือคาทอลิกกับโปรเตสแตนต์  ซึ่งในสงครามนี้ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นชาติผู้นำของฝ่ายคาทอลิก ก็ได้ว่าจ้างทหารรับจ้างชาวโครแอตให้เข้าร่วมในสงครามด้วย โดยทหารโครแอตเหล่านี้ ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะก็คือ การสวมใส่ผ้าพันคอ

            ประเด็นคือ เมื่อทหารรับจ้างโครแอตเดินทางมาทำการรบที่ฝรั่งเศส ปรากฏว่าชาวฝรั่งเศสก็ชื่นชอบในแฟชั่นการแต่งตัวของทหารโครแอต โดยเฉพาะกับผ้าพันคอ ไม่เพียงแค่ประชาชนเท่านั้น เพราะแม้แต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ของฝรั่งเศส ก็ชอบในแฟชั่นนี้เช่นกัน ทำให้ในปี 1646 พระเจ้าหลุยส์ก็ได้ทรงแต่งตัวโดยใส่ผ้าพันคอนี้เป็นคร้้งแรก ภายหลังมีการเรียกผ้าพันคอนี้ว่า 'คราแวต' (Crovat) ที่เป็นคำภาษาฝรั่งเศสที่ใช้เรียกชาวโครแอต และด้วยอิทธิพลของพระเจ้าหลุยส์ เลยทำให้คราแวตกลายเป็นที่นิยมของคนฝรั่งเศสและคนยุโรป ภายหลังคราแวตก็จะพัฒนากลายเป็นเนคไทที่เรารู้จักกัน
โดยในศตวรรษที่ 19 แอสคอต ไท (Ascot Tie) ที่ถือเป็นต้นแบบของเนคไทได้ถูกคิดค้นขึ้น เช่นเดียวกับโบว์ ไท (Bow Tie) หรือโบว์หูกระต่าย ที่ถูกคิดค้นในช่วงเวลาไล่เรี่ยกัน


           
             ที่มา : https://www.blockdit.com/histofun


6  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / รู้ไหม สมัยก่อนเมื่อราชวงศ์ยุโรปคลอดลูก จะต้องมีสักขีพยานอยู่ในห้องคลอดด้วย!? เมื่อ: 22 พฤศจิกายน 2565 18:18:58

รู้ไหม สมัยก่อนเมื่อราชวงศ์ยุโรปคลอดลูก  จะต้องมีสักขีพยานอยู่ในห้องคลอดด้วย!?


           
           ในช่วงเวลาที่ยุโรปถูกปกครองโดยราชวงศ์ การที่ราชวงศ์ให้กำเนิดทายาทขึ้นมา แน่นอนว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เพราะมันหมายถึงโชคชะตาของคนทั้งอาณาจักร และเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ของราชบัลลังก์ ด้วยเหตุนี้ ราชวงศ์ต่าง ๆ ในยุโรป จึงมีประเพณีที่ว่า เมื่อราชวงศ์กำเนิดทายาทขึ้นมา จะต้องมี 'เหล่าสักขีพยาน' อยู่ภายในห้องคลอดด้วย ซึ่งสักขีพยานที่ว่านี้ ประกอบไปด้วยสมาชิกในราชวงศ์ ขุนนางชั้นสูง และอื่น ๆ  เหตุผลที่ทำให้ต้องมีพยานอยู่ในห้องคลอด ก็เพื่อให้แน่ใจว่า พระโอรสหรือพระธิดาที่กำเนิดมานั้น ไม่ได้ถูกสลับตัวกับเด็กคนอื่น เป็นการยืนยันว่า เป็นทายาทตัวจริงของราชวงศ์   มีบันทึกว่า เมื่อพระนางมารี อังตัวเน็ตต์ ให้กำเนิดพระโอรสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ในปี 1778 พระนางเกิดเป็นลมหลังจากคลอด เนื่องจากอากาศในห้องร้อนอบอ้าว เพราะมีสักขีพยานอยู่ในห้องถึง 200 คน

           การมีสักขีพยานในห้องคลอดยังเกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองด้วย อย่างเช่นในปี 1688 พระนางแมรี่ เบียทริซ มเหสีของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ ให้กำเนิดพระโอรส พระเจ้าเจมส์ก็สั่งให้มีพยานอยู่ในห้องคลอดถึง 40 คน  ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ บรรดาขุนนางและสมาชิกรัฐสภาอังกฤษที่เป็นโปรเตสแตนต์ ไม่ต้องการให้พระเจ้าเจมส์มีพระโอรส เนื่องจากพระเจ้าเจมส์และพระนางแมรี่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก ดังนั้นถ้าหากพระเจ้าเจมส์มีพระโอรสขึ้นมา อังกฤษอาจจะกลายเป็นรัฐคาทอลิกได้  ทำให้ช่วงนั้น เกิดข่าวลือมากมายเกี่ยวกับพระนางแมรี่ ไม่ว่าจะเป็นพระนางตั้งครรถ์ปลอม รวมไปถึงข่าวลือที่ว่า พระนางแท้งลูก และพระโอรสที่เกิดมาก็เป็นลูกคนอื่น นี่เองที่ทำให้พระเจ้าเจมส์สั่งให้มีพยานอยู่ในห้องคลอดจำนวนมาก เพื่อยืนยันว่า พระโอรสที่เกิดมาเป็นทายาทของพระองค์จริง

           แต่สุดท้ายข่าวลือนี้ ก็มีส่วนทำให้พระเจ้าเจมส์ถูกโค่นจากราชบังลังก์ในเหตุการณ์ปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution)ประเพณีดังกล่าวดำรงอยู่เป็นเวลาหลายร้อยปี โดยครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นในปี 1936 กับการเกิดของเจ้าหญิงอเล็กซานดรา ลูกพี่ลูกน้องของควีนเอลิซาเบธที่ 2
ปัจจุบันประเพณีนี้ ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เนื่องจากมีเทคโนโลยีอย่างการตรวจดีเอ็นเอ ที่นำมาใช้ตรวจสอบได้



           ที่มา :
            • History. Why Royal Women Gave Birth in Front of Huge Crowds for Centuries. http://bitly.ws/wYhZ
            • Daily Star. Bizarre reason Royal women used to give birth in front of crowds of people. http://bitly.ws/wYhN
            #HistofunDeluxe

7  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / Re: มารู้จักแสงเหนือกัน (Aurora) แสงเหนือคือ? เมื่อ: 25 กันยายน 2565 09:23:07
อยากไปเห็นกับตาซักครั้งในชีวิต แต่คงไม่มีโอกาสนั้น  อายจัง

ต้องมีโอกาสได้ไปแน่ๆค่ะ ยิ้ม ยิ้ม
8  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / Dhivara -Baahubali (Telugu) เมื่อ: 16 กันยายน 2565 19:54:47



Dhivara -Baahubali (Telugu) || Prabhas, Tamannaah, Rana, Anushka || Bahubali

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=F67EVY_sg4E" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=F67EVY_sg4E</a>








9  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / วิ้ง วิ้ง มีเสียงในหูเสียงที่ได้ยินอาจแสดงความผิดปกติทางสมอง! เมื่อ: 12 กันยายน 2565 14:56:34

วิ้ง วิ้ง มีเสียงในหูเสียงที่ได้ยินอาจแสดงความผิดปกติทางสมอง!

https://www.mrithailand.com/wp-content/uploads/2019/09/winkk-1024x683.png


       เสียงที่ได้ยินในหูเป็นความผิดปกติทางหูชนิดหนึ่งโดยเสียงที่ได้ยินในหูนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือเสียงในหูชนิดที่ผู้อื่นได้ยินด้วยเสียงในหูชนิดนี้มักจะมีแหล่งกำเนิดเสียงมาจากความผิดปกติภายในร่างกาย ส่วนเสียงในหูชนิดที่ได้ยินเพียงคนเดียวซึ่งเป็นเสียงในหูชนิดที่พบได้บ่อยมากที่สุด ลักษณะของเสียงที่ได้ยินส่วนมากมักจะเป็นเสียงคล้ายเสียงของจักจั่น เสียงจิ้งหรีดร้องอยู่ภายในหู หรืออาจเป็นเสียงหึ่งๆ วิ้งๆ ซ่าๆ ได้ยินอยู่ภายในหูทั้ง 2 ข้าง และอาจจะมีอาการอื่น ๆ ตามมาด้วย เช่น เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ บ้านหมุน เป็นต้น

 

       เสียงในหูชนิดที่ได้ยินเพียงคนเดียวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 สาเหตุหลัก ๆ

         1. เสียงที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติทางหู เช่น ขี้หูอุดตัน เยื่อแก้วหูทะลุ หูชั้นนอกอักเสบ เนื้องอกหูชั้นนอก หูชั้นกลางอักเสบ หินปูนในหูชั้นกลาง มีน้ำขังในหูชั้นกลาง เส้นประสาทหูเสื่อม การบาดเจ็บของกะโหลกศีรษะที่มีผลต่อหูชั้นใน การติดเชื้อของหูชั้นใน มีรูรั่วระหว่างหูชั้นกลางและชั้นใน และโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
         2. เสียงที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของโรคทางสมองและเส้นเลือด เช่น เส้นเลือดในสมองตีบ เลือดออกในสมอง เนื้องอกในสมอง เนื้องอกของเส้นประสาทหู และเนื้องอกของประสาทการทรงตัวเสียงในหูชนิดที่ได้ยินเพียงคนเดียวที่เกิดจากโรคทางสมอง และเส้นเลือดมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับอาการอื่น ๆ อย่างเช่น อาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ บ้านหมุน เป็นต้น
 

         หากท่านได้ยินเสียงในหูควบคู่กับอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หรือมีอาการบ้านหมุนอย่างรุนแรง ขอแนะนะตรวจ MRI MRA Brain (ตรวจสมองและเส้นเลือดแดงในสมอง) เพราะสามารถตรวจดูเนื้อสมอง เส้นเลือดสมอง เนื้อเยื่อ และก้อนเนื้อต่าง ๆ รวมไปถึงร่องรอยของเลือดที่ออกในสมองได้เป็นอย่างดีเพื่อให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

         
         ที่มา :   ประชาชื่น MRI
10  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / รู้จักสิทธิรักษาพยาบาล 3 ระบบของคนไทย เมื่อ: 09 กันยายน 2565 15:12:24

 
รู้จักสิทธิรักษาพยาบาล 3 ระบบของคนไทย

       “สิทธิหลักประกันสุขภาพ” หรือที่รู้จักกันในนาม “สิทธิ30 บาท หรือสิทธิบัตรทอง” จึงเป็นสิทธิตามกฎหมายที่คนไทย มีสิทธิเข้าถึงบริการด้านการแพทย์และ สาธารณสุข เพื่อการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การตรวจวินิจฉัยโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิต รวมถึงบริการการแพทย์แผนไทยและการแพทย์  คนไทยได้รับการคุ้มครองสิทธิการรักษาพยาบาลจากรัฐบาล โดยสิทธิการรักษาพยาบาล มี 3 ระบบใหญ่ คือ 1) สิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการ 2) สิทธิประกันสังคม  และ3) สิทธิหลักประกันสุขภาพ 30 บาท

       รัฐบาลให้การดูแลค่าใช้จ่ายแตกต่างกันดังนี้

       1. สิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการ คุ้มครองบริการรักษาพยาบาลให้กับข้าราชการและบุคคลในครอบครัว (บิดา มารดา คู่สมรสและบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมาย) เมื่อเจ็บป่วยสามารถเข้ารับบริการรักษาพยาบาลได้ที่โรงพยาบาลของรัฐ โดยมีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ทำหน้าที่ดูแลระบบออกกฎระเบียบ

      2. สิทธิประกันสังคม คุ้มครองบริการรักษาพยาบาลให้กับผู้ประกันตนตามสิทธิสามารถเข้ารับบริการรักษาพยาบาลได้ที่โรงพยาบาลที่เลือกลงทะเบียน โดยสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ทำหน้าที่ดูแลระบบการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล

      3. สิทธิหลักประกันสุขภาพ 30 บาท คุ้มครองบุคคลที่เป็นคนไทยมีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ที่ไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการข้าราชการ หรือสิทธิประกันสังคม หรือสิทธิสวัสดิการรัฐวิสาหกิจหรือสิทธิอื่นๆจากรัฐให้ได้รับบริการสาธารณสุข ทั้งการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การตรวจวินิจฉัย การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพและการดำรงชีวิตตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 โดยมีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำหน้าที่บริหารจัดการระบบเพื่อการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึง ตามที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกำหนด (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน) ปัจจุบันมีผู้ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพจำนวนกว่า 48 ล้านคน

https://cms.dmpcdn.com/news/2020/09/08/4faa8770-f1b2-11ea-9107-eb6b0b5eaf3b_original.jpg

       คนไทยที่ยังไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิการรักษาพยาบาลจากรัฐ  ยกตัวอย่าง เช่น


      •เด็กแรกเกิด ที่ไม่มีสิทธิสวัสดิการการรักษาพยาบาลข้าราชการจากพ่อแม่
      •บุตรข้าราชการที่บรรลุนิติภาวะ (อายุ20 ปีขึ้นไป หรือ สมรส)
      •บุตรข้าราชการคนที่ 4 ขึ้นไป (สิทธิข้าราชการคุ้มครองบุตรเพียง 3 คน)
      •ผู้ประกันตนที่ขาดการส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม (หมดสิทธิประกัน
      สังคม)
      •ข้าราชการที่เกษียณอายุหรือออกจากราชการโดยมิได้รับบำนาญ
      •ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และไม่ได้เป็นผู้ประกันตน
      กลุ่มคนเหล่านี้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพตามกฎหมาย และสามารถลงทะเบียนเพื่อเลือกหน่วยบริการประจำ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

     ช่องทางการตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาล

     1. ติดต่อด้วยตนเองได้ที่สถานีอนามัย/โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้านหรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำหรับผู้พักอาศัยในกรุงเทพมหานคร สามารถติดต่อสำนักงานเขตของ กทม. หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)เขต 13 กทม

     2. บริการตรวจสอบสิทธิรักษาพยาบาลด้วยระบบอัตโนมัติ
          • โทร.1330 กด 2 ตามด้วยเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก (ค่าบริการ 3 บาท/ครั้ง)
          • ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ทาง www.nhso.go.th


หมายเหตุ : ข้อมูลสิทธิการรักษาพยาบาลจะปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันทุกวันที่ 15 และวันที่ 28 ของทุกเดือน

11  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP) เจ็บป่วย "ฉุกเฉินวิกฤต" มีสิทธิ เมื่อ: 09 กันยายน 2565 14:55:15


นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP)  เจ็บป่วย "ฉุกเฉินวิกฤต" มีสิทธิทุกที่ "โดยไม่ต้องสำรองจ่าย"

      รู้จักสิทธิ UCEP สิทธิ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) คือ สิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ให้สามารถ เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจน พ้นวิกฤตและสามารถคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง

      6 อาการที่เข้าข่าย ภาวะฉุกเฉินวิกฤต...
       1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
       2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรงหายใจติดขัดมีเสียงดัง
       3. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น
       4. เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง
       5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกพูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วนหรือชักต่อเนื่องไม่หยุด
       6. อาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หากพบอาการที่เข้าข่าย

       "  เจ็บป่วยฉุกเฉิน" โทร.1669 เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ โดยไม่ต้องสำรองจ่าย  "

      ขั้นตอนการใช้สิทธิ UCEP

       1. ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตเข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
       2. โรงพยาบาลประเมินอาการและคัดแยกระดับความฉุกเฉิน
       3. ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล
       4. กรณีเข้าเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤต จะได้รับความคุ้มครองตามสิทธิ UCEP ทันทีแต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง
       5. กรณีไม่เข้าเกณฑ์ฉุกเฉินวิกฤตให้รีบประสานโรงพยาบาลตามสิทธิหากประสงค์รักษาต่อต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
       
       หมายเหตุ : ในกรณีที่ผู้ป่วยมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหรือตามกฎหมายว่าด้วยประกันชีวิตให้ใช้สิทธิดังกล่าวก่อน

       หากพบปัญหา

         (:LOVE:)ประชาชนที่มีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศคส.สพฉ.) โทร. 02-872-1669 หรือ E-mail ucepcenter@niems.go.th ติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่โดยไม่ต้องสำรองจ่าย

         (:LOVE:)ประชาชนต้องการอุทธรณ์ผลการพิจารณาระดับความฉุกเฉิน เเนะนำติดต่อ ศูนย์ประสานงานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศคส.สพฉ.) เบอร์ 02-8721669 ตลอด 24 ชม. หรือส่ง e-mail 1669@niems.go.th 

         (:LOVE:)หากมีข้อสงสัยในการใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) สอบถามเพิ่มเติม สายด่วน สปสช. 1330 (ตลอด 24 ชม.)


         ที่มา : สปสช. อัปเดต วันที่ 4 สิงหาคม 2565           
12  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / สิ่งเหล่านี้ : Greasy Cafe เมื่อ: 09 กันยายน 2565 14:42:03

สิ่งเหล่านี้ : Greasy Cafe


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=BGJ0OrAkeDw" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=BGJ0OrAkeDw</a>


เสน่ห์ของกาลเวลาคือ ตลอดไปไม่มีอยู่จริง และสิ่งที่เดียวที่เป็นนิรันดร์คือ การเปลี่ยนแปลง
13  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / โรคคาวาซากิ (KAWASAKI DISEASE) เมื่อ: 07 กันยายน 2565 10:38:11


โรคคาวาซากิ (KAWASAKI DISEASE)



      โรคคาวาซากิ (Kawasaki disease) เป็นโรคที่เกิดการอักเสบของเยื่อบุผิวหนัง หลอดเลือดและต่อมน้ำเหลือง ส่วนใหญ่จะพบในเด็ก โดยพบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงเล็กน้อย

สาเหตุ

      ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าตามหลังการติดเชื้อ และเชื้อโรคกระตุ้นให้ร่างกายตอบสนองทางภูมิคุ้มกันผิดปกติ

 อาการที่พบ


      ไข้สูงเฉียบพลัน ปากแดง ตาแดง มือเท้าบวม ปลายนิ้วมือนิ้วเท้าลอกหรือลอกที่บริเวณก้น ผื่นตามร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต


เกณฑ์การวินิจฉัย คือ

       1. ไข้สูงเฉียบพลันอย่างน้อย 5 วัน

       2.  มีอาการ 4 ข้อจาก 5 ข้อ ดังต่อไปนี้

            2.1   ตาแดง 2 ข้างไม่มีขี้ตา

            2.2   ริมฝีปากแดง แห้ง แตก ลิ้นแดงผิวเหมือนสตรอเบอร์รี่

            2.3   มือเท้าบวม ผิวหนังลอกโดยเริ่มจากปลายนิ้ว

            2.4   ผื่นแดงพบได้หลายรูปแบบ ยกเว้น ตุ่มน้ำใส

            2.5   ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต ไม่เจ็บ

       3.      หาสาเหตุอื่นไม่ได้

ภาวะแทรกซ้อนที่พบ

       หลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบโป่งพอง (coronary aneurysm) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ลิ้นหัวใจอักเสบ หัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตได้ โดยการตรวจพบภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวต้องอาศัยการตรวจโดยใช้เครื่องตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (echocardiography)

การรักษา

       การดูแลรักษาต้องอาศัยการดูแลร่วมกันระหว่างกุมารแพทย์ทั่วไปและกุมารแพทย์โรคหัวใจ โดยผู้ป่วยที่ให้การวินิจฉัยว่าเป็นโรคคาวาซากิควรได้รับ intravenous gammaglobulin (IVIG) ในขนาดสูงเพื่อลดโอกาสการเกิดหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจโป่งพอง ร่วมกับการให้ aspirin

สรุป

      โรคคาวาซากิเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด อาการสำคัญคือไข้สูง ปากแดง ตาแดง มือเท้าบวมลอก ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต และผื่นตามร่างกาย สามารถหายได้เองแต่ถ้าวินิจฉัยช้าหรือให้การรักษาไม่ถูกต้องจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตได้ โดยภาวะแทรกซ้อนสำคัญ คือ การอักเสบของหลอดเลือดแดงเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจโป่งพอง หรืออุดตัน ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดตามมา ดังนั้นเมื่อบุตรหลานของท่านมีอาการไข้สูงเป็นเวลาหลายวันร่วมกับมีอาการดังกล่าว ควรรีบพามาพบกุมารแพทย์โรคหัวใจเพื่อให้ได้รับตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม

 

        ผู้ช่วยศาสตราจารย์ แพทย์หญิง อิงคนิจ  ชลไกรสุวัฒน์

14  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / Re: ยอดฟักทองผัดกะปิ - สูตร/วิธีทำ เมื่อ: 07 กันยายน 2565 10:00:01


หิวเลยค่ะแม่  หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
15  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / การละเล่นลูกช่วง เมื่อ: 03 กันยายน 2565 17:22:51

การละเล่นลูกช่วง



          ในวาระขึ้นปีใหม่ม้งจะมีการละเล่นเพื่อฉลองวันปีใหม่โดยเฉพาะ การเล่นลูกช่วง   (ntsum          pob) หรือที่เรียกกันว่า “จุเป๊าะ” ลูกช่วง (pob) มีลักษณะกลมเหมือนลูกบอลทำด้วยเศษผ้า มีขนาดเล็กพอที่จะถือด้วยมือข้างเดียวได้ การละเล่นลูกช่วง จะแบ่งกลุ่มผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายหญิงกับฝ่ายชายโดยที่ก่อนจะมีการละเล่น ฝ่ายหญิงจะเป็นผู้ที่เอาลูกช่วงไปให้ฝ่ายชาย หรือญาติ ๆ ของฝ่ายหญิงเป็นผู้ที่นำลูกช่วงไปให้ฝ่ายชาย เมื่อตกลงกันได้ก็จะทำการโยนลูกช่วงโดยฝ่ายหญิง และฝ่ายชายแต่ละฝ่ายจะยืนเป็นแถวหน้า กระดานเรียงหนึ่ง หันหน้าเข้าหากันมีระยะห่างกันพอสมควร แล้วโยนลูกช่วงให้กันไปมาและสามารถทำการสนทนา กับคู่ที่โยนได้

          จุดประสงค์ของการเล่น

         เพื่อความสนุกสนานเป็นการฉลองปีใหม่ และเป็นการหาคู่่ให้กับหนุ่มสาว เพื่อมิตรภาพที่ดีต่อกัน ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้วจะไม่มีสิทธิ์ในการเล่นลูกช่วงอีก เพราะถือว่าผิดตามธรรมเนียมของม้ง ส่วนฝ่ายชาย สามารถเล่นได้แต่อยู่ที่ว่าฝ่ายหญิงจะทำการยินยอมเล่นกับตนหรือไม่ แล้วแต่ฝ่ายหญิงสาวคนนั้น การเล่นลูกช่วง ยังเป็นการช่วยฝึกทักษะความชำนาญในการคว้าจับสิ่งของที่พุ่งเข้ามาปะทะใบหน้า อันเป็นการฝึกป้องกันตัวจากสิ่งของที่ลอยมาหาใบหน้าอย่างกระทันหันได้ด้วย ในช่วงระหว่าง การเล่นลูกช่วงหนุ่มสาวที่เล่นลูกช่วงจะร้องเพลงโต้ตอบกัน เพิ่มความสนุกสนานในการเล่น

          กติกาการเล่น

         มีการปรับผู้แพ้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้เล่นเอง ไม่มีกติกากำหนดตายตัวแต่ประการใด ชาวม้งมีการเล่นลูกช่วงเป็นวัฒนธรรมประจำเผ่ามาช้านานแล้ว ชนเผ่าอื่นในไทยไม่มีการละเล่นในทำนองนี้ ม้งได้สืบทอดวัฒนธรรมการเล่นลูกช่วงมาตั้งแต่สมัยที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศจีน ซึ่งในสมัยที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศจีนนั้น ในทุกๆปีของช่วงเดือนแรกในฤดูใบไม้ผลิจะมีการเล่น “ระบำดวงจันทร์ (Moon dance)” โดยจะประดิษฐ์จากเศษผ้าสีต่าง ๆ เป็นลูกบอลเล็ก ๆ เรียกว่า ลูกบอลลี เป้าหมายอยู่ที่คนรักของแต่ละคน (ม้งที่อยู่ในประเทศจีนจะมีงานฉลองลูกช่วงในเดือนแรกของฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งตรงกับเดือนมีนาคม -เมษายนของทุกปี ส่วนม้ผที่อยู่ในประเทศไทยจะมีการฉลองงานลูกช่วงในเดือนธันวาคม – มกราคมของทุก ๆ ปี ) ลูกช่วง หรือลูกบอลที่ใช้เล่นกันในหมู่บ้าน ม้งในประเทศไทยนั้นบางหมู่บ้านทำด้วยผ้าสีดำ ซึ่งตรงกันข้ามกับม้งในประเทศจีนที่นิยมเล่นลูกบอลที่มีสีสันสดใส




          ที่มา https://sites.google.com/site/praphenipihimmng/4-kar-la-len-khxng-chn-phea-mng



16  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / เปิดภาพ “รถยนต์” คันแรกในเชียงใหม่ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน เมื่อ: 03 กันยายน 2565 09:02:02

เปิดภาพ “รถยนต์” คันแรกในเชียงใหม่ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน

ภาพพระยาเจริญราชไมตรี (จำนง อมาตยกุล) นั่งรถยนต์นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศสของบริษัท de Dion Bouton Mode1 type V.1904 (พ.ศ. 2447) ถ่ายภาพโดยหลวงอนุสารสุนทรกิจ (ภาพจากหนังสือ ภาพถ่ายฟิล์มกระจก เมืองเชียงใหม่ โดย หลวงอนุสารสุนทรกิจ)


           รถยนต์คันแรกที่มาถึงเชียงใหม่ เป็นของพระยาเจริญราชไมตรี (จำนง อมาตยกุล)     พระยาเจริญราชไมตรีเคยดำรงตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาและข้าหลวงพิเศษ มณฑลพายัพ ในช่วง พ.ศ. 2442 – สิงหาคม พ.ศ. 2445    ขณะที่รับราชการที่เชียงใหม่ พระยาเจริญราชไมตรีมีภรรยาคนที่ 3 ชื่อนวลทอง มีลูกด้วยกัน 2 คนคือ นายจำลอง และนายศักดิ์ อมาตยกุล ท่านจึงมีครอบครัวและบ้านพักอยู่ที่เชียงใหม่    แต่ในช่วงเวลาที่พระยาเจริญราชไมตรีนำรถยนต์เข้ามาในเชียงใหม่นั้น ท่านได้ย้ายกลับไปเป็นผู้พิพากษาที่กรุงเทพฯ แล้ว โดยย้ายไปรับราชการที่กรุงเทพฯ หลังเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2445

          สันนิษฐานว่า รถยนต์คัดนี้ถูกนำเข้ามาในเชียงใหม่อย่างเร็วที่สุดคือระหว่าง พ.ศ. 2448-2450 (รถยนต์รุ่นนี้ผลิต พ.ศ. 2447)    ด้วยเหตุที่พระยาเจริญราชไมตรีมีบ้านพักอยู่ที่นี่ จึงต้องมีรถยนต์ใช้ให้สมแก่ฐานะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เมื่อท่านมีโอกาสเดินทางกลับไปเชียงใหม่เพื่อเยี่ยมครอบครัว หลวงอนุสารสุนทรกิจ (สุ่นฮี้) จึงมีโอกาสถ่ายภาพนี้

         สำหรับภาพนี้ พระยาเจริญราชไมตรีกำลังนั่งรถยนต์นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส ของบริษัท de Dion Bouton Mode1 type V.1904 ผลิต ค.ศ. 1904 หรือ พ.ศ. 2447


           นำรถยนต์เข้ามาเชียงใหม่ได้อย่างไร?

          พระยาเจริญราชไมตรีสั่งซื้อรถยนต์แบบแยกชิ้นส่วน นำบรรทุกลงเรือหางแมงป่อง พร้อมน้ำมันเบนซินที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง ล่องทวนน้ำปิงจนถึงเชียงใหม่ จากนั้นจึงประกอบรถยนต์เอง และเก็บรักษาไว้ที่บ้านพักของพระยาเจริญราชไมตรี ซึ่งมีนวลทองภริยาคนที่ 3 เป็นผู้ดูแล  ขณะที่การขนส่งด้วยรถไฟมาถึงเชียงใหม่ พ.ศ. 2464 เป็นเวลาสิบกว่าปีให้หลัง




อ้างอิง :

สมโชติ อ๋องสกุล. (กันยายน, 2565). “หลวงอนุสารสุนทรกิจ (สุ่นฮี้) (พ.ศ. 2410-2477) กับฟิล์มกระจก และพระยาเจริญราชไมตรี (จำนง อมาตยกุล) (พ.ศ. 2412-2487),” ศิลปวัฒนธรรม. ปีที่ 43 : ฉบับที่ 11.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 2 กันยายน 2565
17  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / “กินหมาก” ไม่ใช่ประเพณีเฉพาะของไทย ใคร ๆ ในภูมิภาคเขาก็กิน เมื่อ: 03 กันยายน 2565 08:45:06


“กินหมาก” ไม่ใช่ประเพณีเฉพาะของไทย ใคร ๆ ในภูมิภาคเขาก็กิน

https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2019/04/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%A5-696x453.jpg
เชี่ยนหมากถมทองลาย 12 นักษัตร ตลับรูปฟักทองเป็นเงินกะไหล่ทองลงยาสีเขียว หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ประทานให้พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช

           การกินหมากเป็นวัฒนธรรมที่แนบแน่นอยู่อยู่กับวิถีชีวิตคนไทยมาแต่โบราณ แม้ปัจจุบัน ชาวบ้านสูงอายุในชนบทก็ยังกินหมาก แต่การ “กินหมาก” ไม่ใช่ประเพณีเฉพาะของคนไทย ในเอเชียมีหลายประเทศด้วยกันที่กินหมาก เช่น อินเดีย, จีน, พม่า, เขมร, เนปาล ฯลฯ  หลักฐานการกินหมากของไทยนั้นปรากฏอยู่ทั่วไปในวรรณคดี จิตรกรรม ในประวัติศาสตร์ แม้แต่กฎหมาย กินกันไม่เว้นทั้งชายหญิง ไม่ว่าเจ้าหรือไพร่ โดยเริ่มกินหมากกันตั้งแต่เริ่มวัยหนุ่มสาวไปจนลมหายใจสุดท้าย แต่ไม่รู้แน่ว่ากินมาแต่เมื่อใด ในเอกสารจีนโบราณกล่าวถึงกลุ่มชน “ฟันดำ” เมื่อราว 2,000 ปีมาแล้วอยู่ทางใต้ ที่อาจหมายถึงพวกไท-ลาวก็ได้ และที่แน่ ๆ ปลูกพลูมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยหรือก่อนหน้านั้นแล้ว

            (:LOVE:)ในอินเดียมีหลักฐานว่า กินหมากมากว่า 2,000 ปีแล้ว ซึ่งอาจกินกันมานานแล้วก่อนหน้าที่จะหาหลักฐานพบก็ได้ ส่วนในเขมรเข้าใจกันว่ามีพราหมณ์ผู้หนึ่งนำเข้าไปเผยแพร่ให้กษัตริย์เขมรตั้งแต่ พ.ศ. 600 ประเทศต่าง ๆ ทั้ง มอญ, พม่า, ลาว, ชวา, อัสสัม ล้วนแต่มีเรื่องราวการกินหมากต่าง ๆ นานา บางแห่งก็ฟังดูออกตลอกพิลึกด้วยซ้ำ

          การกินหมากนำมาซึ่งประเพณีต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้ เช่น การกินหมากร่วมเชี่ยนกัน ก็เป็นการผูกมิตรไมตรีต่อกันประหนึ่งเป็นคน “กันเอง” แล้ว
           (:LOVE:)ที่เนปาล มีเคล็ดสำหรับผู้หญิงที่จะแต่งงานว่า ต้องทำพิธีแต่งกับต้นหมากที่มีลูกเสียก่อนแล้วค่อยแต่งกับคนทีหลัง ถ้าคนที่เป็นสามีจริงตาย สามีต้นหมากยังอยู่ก็ไม่ถือว่าเป็นม่าย หรือถ้าแต่งแล้วต้องการหย่ากัน สามีก็เพียงเอาหมาก 2 ลูกวางไว้ใต้หมอนของภรรยา ภรรยาตื่นขึ้นมาก็รู้แล้ว ง่ายดี

           (:LOVE:)ที่ยะไข่ กษัตริย์มินตีสร้างปราสาทหลังหนึ่ง ออกกฎว่า ใครเอานิ้วเปื้อนน้ำหมากป้ายตามเสาเลอะเทอะจะถูกตัดนิ้วขวาทิ้ง แล้ววันหนึ่งก็ได้ตัดนิ้วขวาของพระองค์เองทิ้งจริง ๆ ด้วยความเผอเรอและซื่อตรงต่อกฎ

           (:LOVE:)พงศาวดารรามัญ (มอญ) ก็มีเรื่องฆ่ากันตายมาแล้วเพราะหมาก เมื่อพระมเหสีของเจ้าฝรั่งมังฆ้องจัดหมากให้พระสวามี แล้วถูกรรไกรหนีบมือแต่ไปอุทานให้ฉางกายช่วย ฉางกาย (ชื่อนายทหารคนหนึ่ง) เลยตายฟรีเพราะความหึงหวงของพระเจ้าฝรั่งมังฆ้อง

           (:LOVE:)ที่อัสสัม ใช้ใบพลูจุ่มน้ำนมแตะตามตัวบ่าวสาวในพิธีสมรส

           (:LOVE:)และที่เมืองไทย จามเทวีแห่งแคว้นหริภุญไชย (ลำพูน) เคยเสกหมากเสกพลูให้ขุนวิลังคะ (ลัวะ) ยอมจำนนมาแล้ว ท้าวศรีสุดาจันทร์ก็เคยห่อหมากส่งให้พันบุตรศรีเทพ ก่อนจะเกิดรื่องอื้อฉาวเล่าลือกันมาจนทุกวันนี้ ส่วนขุนแผนกับนางพิมก็เคยเคี้ยวชานหมากของกันและกันมาก่อนแล้ว ยังมีแม่พลอยในสี่แผ่นดินก็แต่งหมากใส่ซองกระจิริดส่งให้พี่เนื่อง     ในทางไสยศาสตร์ ถึงกับแย่งชานหมากของหลวงพ่อและอาจารย์บางคนกันมาแล้วก็มี เพราะถือว่าเป็นของดีไว้คุ้มกันตัวอย่างหนึ่ง

          สำหรับบ่าวสาว เวลาจะแต่งงานฝ่ายชายก็ต้องแต่งขันหมากใส่หมากพลูที่จัดสวยงามครอบชุดควบคู่ไปกับขันหมั้นที่ใส่สินสอดทองหมั้น    คนจีนทางตอนใต้ เช่น คนแต้จิ๋วก็กินหมาก แต่หมากพลูของเขาใช้ปูนขาวแลใส่น้ำตาลกรวด เขาว่าทำให้ฟันไม่ดำ

          แต่ทำไมหมากพลูจึงเป็นสัญลักษณ์ของไมตรี ความรัก และการแต่งงาน ไม่มีใครตอบได้



ข้อมูลจาก

แน่งน้อย ปัญจพรรค์. กินหมากและเชี่ยนหมาก, ศิลปวัฒนธรรม กันยายน 2534

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 23 เมษายน 2562


18  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / จาก “สยาม” มาเป็น “ไทย” แล้วทำไม “ไทย” จึงต้องมี “ย” เมื่อ: 02 กันยายน 2565 15:23:01

จาก “สยาม” มาเป็น “ไทย” แล้วทำไม “ไทย” จึงต้องมี “ย”

https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2016/09/%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97-696x447.jpg

กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง (ลายเส้นฝีมือชาวยุโรป พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1873)

          “ไท” เป็นชื่อของกลุ่มชนที่ใช้ภาษาตระกูลไท รวมถึงกลุ่มชนบางส่วนในภาคอีสานของอินเดีย (อาหม) ที่ปัจจุบันมิได้พูดภาษาตระกูลไทแล้ว และชาวไทยในประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ใช้ภาษาตระกูลไทเช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประเทศ “สยาม” กลายมาเป็นประเทศ ไทย ด้วยจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นต้องการเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับ “เชื้อชาติ” ของคนในประเทศ   คำแถลงต่อสภาในปี พ.ศ. 2482 ของจอมพล ป. หรือ พลตรี หลวงพิบูลสงคราม ตามยศถาบรรดาศักดิ์ในขณะนั้น ถึงเหตุที่ต้องเปลี่ยนชื่อประเทศมีอยู่ว่า


            “…นามประเทศของเราที่ใช้เรียกกันอยู่ทุกวันนี้ ก็ได้ด้วยความเคยชิน หรือได้จดจำเรียกกันต่อๆ มา และได้พยายามให้เจ้าหน้าที่ค้นในทางประวัติศาสตร์ก็ไม่ปรากฏว่า ใครเป็นคนที่ได้ตั้งขึ้นคราวแรก และตั้งแต่ครั้งใดก็ไม่ทราบ เป็นแต่ว่าเราได้เรียกมาเรื่อยๆ เรียกว่าประเทศสยาม และคำว่า ประเทศสยามนั้น ก็มักจะใช้แต่ในวงราชการ และนอกจากนั้นก็ในวงของชาวต่างประเทศเป็นส่วนมาก ส่วนประชาชนคนไทยของเราโดยทั่วไป เฉพาะอย่างยิ่งตามชนบทด้วยแล้ว เราจะไม่ค่อยใช้คำว่า ประเทศสยาม เราใช้คำว่าไทย…”

            “…การที่เราได้เปลี่ยนให้ขนานนามว่า ประเทศไทยนั้น ก็เพราะเหตุว่าได้พิจารณาดูเป็นส่วนมากแล้วนามประเทศนั้น เขามักเรียกกันตามเชื้อชาติของชาติที่อยู่ในประเทศนั้น เพราะฉะนั้นของเราก็เห็นว่าเป็นการขัดกันอยู่ เรามีเชื้อชาติเป็นชาติไทย แต่ชื่อประเทศของเราเป็นประเทศสยาม จึงมีนามเป็นสองอย่าง ดังนี้ ส่วนมากในนานาประเทศเขาไม่ใช้กัน…” 

             อีกเหตุผลสำคัญของจอมพล ป. ที่ “สยาม” จำต้องเปลี่ยนเป็น “ไทย” ก็เพราะเกรงว่า หากยังคงชื่อสยามไว้ ภายหลังอาจมีชนชาติอื่นอพยพเข้ามามากขึ้นแล้ว “ประเทศสยาม” อาจถูกชนชาตินั้นๆ อ้างเอาได้ว่า ประเทศนี้เป็นของตน
อย่างไรก็ดี คำแถลงของจอมพล ป. ไม่ได้บอกถึงเหตุผลว่าทำไมคำว่า “ไทย” ใน ชนชาติไทยที่ตนอ้างถึงจึงต้องมี “ย” ด้วย

https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A11.jpg

โปสเตอร์วัฒนธรรมไทย สมัยจอมพล ป.พิบูลสงคราม (ภาพจากหนังสือ อนุสรณ์ ครบรอบ ๑๐๐ ปี ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐)

              แต่เบาะแสอันเป็นสาเหตุนั้น ปรากฏอยู่ในบทความ “เนื่องด้วยประวัติศาสตร์ชาติไทย” โดย สมภพ ภิรมย์ อดีตอธิบดีกรมศิลปากรที่กล่าวว่า ก่อนจะมีตกลงใช้คำว่า “ไทย” เป็นชื่อประเทศแทนคำว่า “สยาม” นั้น ได้มีการถกเถียงกันในสภามาก่อน โดยผู้ที่สนับให้ใช้คำว่า “ไทย” มี “ย” เป็นผู้ชนะในการลงมติไปด้วยคะแนนเสียง 64 ต่อ 57 ด้วยเหตุผลว่า  “‘ไทย มี ย เปรียบเหมือนผู้หญิงที่ดัดคลื่นแต้มลิปสติค เขียนคิ้ว ส่วนไทย ไม่มี ย เปรียบเหมือนผู้หญิงที่งามโดยธรรมชาติ แต่ไม่ได้ตกแต่ง’ จาก น.ส.พ. สุภาพบุรุษ 30 กันยายน 2482 (จากหนังสือชุดประวัติศาสตร์ไทย “เมืองไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2” โดย แถมสุข นุ่มนนท์ หน้า 33)”

              ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ สมภพกล่าวว่าตน “รู้สึกงงและจะขับขันก็ทำไม่ได้ถนัดได้เพียงปลงอนิจจัง” ก่อนกล่าวว่า การจะใช้คำว่า “ไท หรือ ไทย” นั้น “ควรต้องอาศัยหลักภาษาศาสตร์ หลักอักษรศาสตร์ และหลักนิรุกติศาสตร์ เป็นข้อพิจารณาเป็นข้อตัดสินตกลงใจทางวิชาการ มิใช่การออกเสียงเอาชนะกันในสภาผู้แทนราษฎร”

              ภายหลังการเปลี่ยนชื่อประเทศ ราชบัณฑิตยสถานจึงได้บัญญัติความหมายของคำว่า “ไท” และ “ไทย” ไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 โดยให้คำว่า   “ไท” แปลว่า “ไทย” ได้หนึ่งความหมาย และ “ผู้เป็นใหญ่” ในอีกหนึ่งความหมาย ส่วนคำว่า “ไทย” แปลว่า “ชื่อประเทศและชนชาติที่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้…; ความมีอิสระในตัว, ความไม่เป็นทาส;…”   ซึ่งการให้ความหมายของราชบัณฑิต ดูจะขัดกับความรู้สึกคนทั่วไปที่มักใช้คำว่า “ไท” แทนความหมายถึงการมีอิสรภาพ และการไม่เป็นทาสมากกว่า คำว่า “ไทย”



               ที่มา https://www.silpa-mag.com/featured/article_2224



19  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / รู้หรือไม่? ถั่วเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการประกอบวัตถุระเบิด!! เมื่อ: 01 กันยายน 2565 11:41:43


รู้หรือไม่? ถั่วเป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการประกอบวัตถุระเบิด!!

https://t1.blockdit.com/photos/2021/07/60f3f5c85ef4fa0c8970e5bd_800x0xcover_7A_ZimcI.jpg


           อัลเฟรด โนเบล (Alfred Nobel) ที่เป็นผู้ก่อตั้งรางวัลโนเบลอันทรงเกียรติขึ้นมา เขาเป็นทั้งนักเคมี วิศวกร นวัตกร นักอุตสาหกร รวมถึงผลงานที่ทำให้รู้จักไปทั่วโลกนั่นก็คือการประดิษฐ์ “ระเบิดไดนาไมต์”  ส่วนประกอบสำคัญของ“ไดนาไมต์”นั้นคือ ไนโตรกรีเซอรีน (Nitroglycerine) ซึ่งมาจาก ไนโตรเจน + กลีเซอรีน  ซึ่งเมื่อ ‘กลีเซอรีน’ ผสมกับ ‘ไนโตรเจน’ ก็จะเกิดเป็นสารประกอบเคมีชื่อว่า ‘ไนโตรกลีเซอรีน’ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของระเบิดนั่นเอง กลีเซอรีนถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย และเราคุ้นเคยกันดี คือเป็นส่วนผสมของสบู่ และด้วยความหวานของกรีเซอรีนทำให้ถูกนำไปผสมในครีม และอาหารอีกหลายชนิด กลีเซอรีนนั้น ทำมาจาก “น้ำมันถั่วลิสง” ถั่วจึงกลายเป็นต้นกำเนิดไดนาไมต์และอาจเป็นต้นกำเนิดแห่งรางวัลโนเบลอีกด้วย

          ไนโตรกรีเซอรีนนี้ เป็นสารประกอบเคมี ในภาวะปกติจะเป็นของเหลว ระเบิดได้และไม่มีสี ซึ่งโนเบลได้นำไนโตรกรีเซอรีนผสมเข้ากับผงดินปืนจนกลายมาเป็นไดนาไมต์    ไดนาไมต์เป็นระเบิดชนิดรุนแรง แต่มีความปลอดภัยในการขนย้าย จึงถูกนำไปใช้ในวงกว้างทั่วโลกมักใช้ในอุตสาหกรรมชนิดต่าง ๆ เช่น การทำเหมืองแร่ การสร้างอุโมงค์ การขุดคลอง และในทางร้ายแรงคือในสงคราม ซึ่งนั่นเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้อัลเฟรด โนเบล มักถูกมองว่าเป็นบุคคลอันตราย โดยมอบฉายานามให้เขาว่า พ่อค้าแห่งความตาย (Merchant of Death) อัลเฟรด โนเบล ประสบความสำเร็จในการดำเนินกิจการทางด้านระเบิดเป็นอย่างมาก แต่ก็มีเหตุให้เขาต้องกลายเป็นเหมือนฆาตกรระดับโลก เพราะไดนาไมต์ถูกนำไปใช้เป็นอาวุธสงคราม และเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้อัลเฟรด โนเบลรู้สึกเศร้าเสียใจมาก ๆ คืออุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นในโรงงานผลิตวัตถุระเบิดของเขานั่นเอง และเหตุการณ์นั้นก็ทำให้น้องชายและคนงานของเขาเสียชีวิตไปจำนวนมาก

20  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / Re: taloy swift- cruel summer เมื่อ: 01 กันยายน 2565 11:11:29


Fever dream high in the quiet of the night
You know that I caught it
bad bad boy
Shiny toy, with a price
You know that I bought it
killing me slow
Out the window
I’m always waiting for you to be waiting below Devils roll the dice
Angels roll their eyes
What doesn’t kill me
Makes me want you more And it’s new
The shape of your body
It’s blue
The feeling I got and it’s
Ooh
It’s a cruel summer
It’s cool
That’s what I tell ‘em
No rules in breakable heaven but
Ooh
It’s a cruel summer
With you Hang your head low
In the glow of the vending machine
I’m not dying
We say that we’ll just screw
it up in these trying times
We’re not trying
So cut the headlights
Summer’s a knife
I’m always waiting for you just to cut to the bone
Devils roll the dice
Angels roll their eyes
And if I bleed you’ll be the last to know Chorus I’m drunk in the back of the car
And I cried like a baby coming home from the bar
Said ‘I’m fine’ but it wasn’t true
I don’t want to keep secrets
Just to keep you
And I snuck in through the garden gate every night that summer
Just to seal my fate
And I scream ‘For whatever it’s worth,
I love you, ain’t that the worst thing you ever heard?’ He looks up grinning like a devil Chorus I’m drunk in the back of the car
And I cried like a baby coming home from the bar
Said ‘I’m fine’ but it wasn’t true
I don’t want to keep secrets
Just to keep you
And I snuck in through the garden gate every night that summer
Just to seal my fate
And I scream ‘For whatever it’s worth,
I love you, ain’t that the worst thing you ever heard?’


หน้า:  [1] 2 3 ... 23
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.319 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 09 กันยายน 2566 12:54:02