[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 03:10:47 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 23
361  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / "แกระ" คำนี้มาที่มา เมื่อ: 22 มิถุนายน 2563 00:55:46






พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน เขียน "แกระ"

เป็นคำนาม มีความหมายว่า เครื่องมือชนิดหนึ่งสำหรับตัดรวงข้าว ใช้ทางปักษ์ใต้

ถ้าเป็น "กริยา" จะมีความหมายว่า "ตัด , แทง

อีกความหมายของ "แกระ" เป็นคำนาม เป็นภาษาถิ่น-ปักษ์ใต้) หมายถึง กรับ

(คำว่า "ฉับแกระ" น่าจะมาจากความหมายนี้ ; โกสินทร์ ปิ่นสุพรรณ เขียน)

362  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: สารคดี ชีวิตสัตว์โลก เมื่อ: 19 มิถุนายน 2563 08:57:00


กระเรียน สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ

        เชื่อกันว่านกกระเรียนมีอายุถึงพันปี ชาวจีนจึงมีความเชื่อว่าถ้าตั้งนกกระเรียนเอาไว้ในบ้านจะช่วยส่งผลให้คนสูงอายุในบ้านมีสุขภาพที่แข็งแรง หากมีคนเจ็บป่วยไข้ก็จะหาย และคนหนุ่มสาวจะมีหน้าที่การงานที่ดีและราบรื่น ส่วนเด็กๆ ก็จะเรียนหนังสือเก่ง

ในหนังจีนหลายต่อหลายเรื่องยังมีการนำนกกระเรียนเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นวิทยายุทธ์ “หมัดกระเรียน” ที่พลิ้วไหวสวยงาม ทว่ามีอันตรายและน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย   นอกจากนี้ นกกระเรียนยังเป็นสัญลักษณ์ของการมีคู่ ที่ตลอดชีวิตจะมีคู่เพียงตัวเดียว และหากตัวใดตัวหนึ่งเสียชีวิตไปอีกตัว

จะตายตาม ซึ่งทางจีนและญี่ปุ่นจะนิยมเลี้ยงนกกระเรียนเอาไว้ในพระราชวังและตามบ้าน โดยถือว่าเป็นสัตว์มงคล

       ในญี่ปุ่นเองก็มีความเชื่อว่านกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของมวลมนุษย์ และเรื่องของการทำให้คนป่วยมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ดั่งตำนานของซาดาโกะกับกระเรียนพันตัว อันเป็นที่มาของการพับนกกระเรียนที่โลกร่ำไห้     เรื่องราวของซาดาโกะ ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่ง

ความหวังของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ชาวญี่ปุ่น ที่ต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วยอันเกิดจากพิษร้ายของสงครามนิวเคลียร์ เด็กหญิงซาดาโกะพยายามใช้มือน้อยๆ ทั้งสองของเธอพับนกกระเรียนกระดาษตัวแล้วตัวเล่าด้วยความหวังว่ามันจะสร้างปาฏิหาริย์ให้เธอรอดพ้นจากโรคร้ายนี้    แต่แล้วซาดาโกะก็ไม่อาจหลีก

พ้นสัจธรรมแห่งชีวิต เธอหมดลมหายใจในขณะที่พับนกกระเรียนได้เพียง 644 ตัว ในวันฝังศพของเธอ เพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนจึงได้ช่วยกันพับนกกระเรียนใส่ในโลงศพของเธอจนครบ 1 พันตัว    จากเหตุการณ์อันเศร้าสะเทือนใจของเด็กหญิงซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว ได้ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นจัดสร้าง

อนุสาวรีย์ของเธอ ในลักษณะยืนชูแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้า โดยมีรูปนกกระเรียนกระดาษอยู่ในอุ้งมือทั้งสอง เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ชาวญี่ปุ่นและชาวโลก ตระหนักถึงพิษภัยของสงคราม และทุกวันที่ 6 ส.ค. ของทุกปี ซึ่งเป็นวันสันติภาพจะมีผู้คนพับนกกระเรียนมาวางไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ของซาดาโกะ ที่ตั้งอยู่

ภายในสวนสันติภาพ หรือพีช เมมโมเรียล พาร์ก ณ เมืองฮิโรชิมา เป็นพันเป็นหมื่นตัวเพื่อระลึกถึงเธอ และยังเป็นเครื่องหมายบอกความหวังให้โลกมีสันติภาพ

http://www.okls.net/image/japan/jap3/1.gif



ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก



363  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: เปิดที่มา!! "เพลงส้มตำ" บทเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพฯ ที่คนไทยคุ้นหู มานานกว เมื่อ: 19 มิถุนายน 2563 08:48:36


<a href="http://www.youtube.com/watch?v=NFuNLc9u99k" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=NFuNLc9u99k</a>





 ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก

364  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / เปิดที่มา!! "เพลงส้มตำ" บทเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพฯ ที่คนไทยคุ้นหู มานานกว เมื่อ: 18 มิถุนายน 2563 18:24:32

เปิดที่มา!! "เพลงส้มตำ" บทเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพฯ ที่คนไทยคุ้นหู มานานกว่า 46 ปี!!

"ส้มตำ" นอกจากจะเป็น อาหารประจำชาติ รสแซบแล้ว ยังเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่คนไทยคุ้นหูกันเป็นอย่างดี ซึ่งแสดงถึงพระปรีชาสามารถทางด้านดนตรีไทยของพระองค์ท่าน โดยทรงแต่งทั้งเนื้อร้องและทำนอง ในขณะทรงมีพระชนมายุเพียง 15 พรรษา เท่านั้น หรือ เมื่อ พ.ศ. 2513 โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการทำอาหาร งานอดิเรกที่ทรงโปรด ทำให้เพลง "ส้มตำ" เป็นเพลงลูกทุ่งเพลงแรกที่พระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์ ถูกบรรเลงครั้งแรกโดย วง อ.ส. วันศุกร์ และขับร้องด้วยพระองค์เอง เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงดนตรีที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

ทั้งนี้ หลายคนอาจจะเคยได้ยินเพลง "ส้มตำ" ที่ขับร้องโดย ราชินีลูกทุ่ง "พุ่มพวง ดวงจันทร์" แต่รู้หรือไม่ว่า คนที่อันเชิญบทเพลงพระราชนิพนธ์ "ส้มตำ" ขับร้องเป็นคนแรกคือ "บุปผา สายชล" เมื่อมีผู้ขอพระราชทานนำเพลงนี้ไปประกอบภาพยนตร์เรื่อง "ส้มตำ" ในปี 2516

โดย "ส้มตำ" เป็นภาพยนตร์แนวบู๊ ที่มี สมบัติ เมทะนี เป็นพระเอก และเพลงนี้ถูกนำมาใส่ทำนองเพลงมาร์ช พร้อมมีการขับร้องหมู่ ซึ่งหนึ่งในผู้ที่ร่วมขับร้องก็มี สมบัติ เมทะนี ด้วย

ส่วนเหตุผลที่เพลงนี้เป็นที่รู้จักกว้างขวาง เนื่องจากเพลงนี้ ได้ถูกอัญเชิญมาขับร้องโดยราชินีเพลงลูกทุ่งไทย "พุ่มพวง ดวงจันทร์" ในงานกึ่งศตวรรษเพลงลูกทุ่งไทย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2534 ก่อนที่จะถูกนำมาขับร้องบันทึกเสียงโดย "สุนารี ราชสีมา" ที่เป็นอีกหนึ่งเวอร์ชั่นของบทเพลงพระราชนิพนธ์ส้มตำที่คนไทยค้นเคย

http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/262/29262/images/18JULY2011.jpg

ขอบคุณ ที่มา : oknation

365  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / สิ่งที่เหนือกว่า "ความสุข" คือ "ความหมาย" เมื่อ: 18 มิถุนายน 2563 18:15:42

สิ่งที่เหนือกว่า "ความสุข" คือ "ความหมาย"

        ผลจากการศึกษาพบว่า...คนที่ใช้ชีวิตแบบ “มีความหมาย”  จะหาความสุขได้ง่าย เมื่อล้มแล้วจะลุกได้ง่ายกว่า  ไม่ยึดติดแถมยังมีอายุยืนยาวกว่าด้วย
.
- สำหรับบางคน ความสุข คือเป้าหมายสูงสุดในชีวิต
.
- ผู้คนต่างบอกว่า ความสำเร็จนำมาซึ่งความสุข และความสำเร็จพื้นฐานของชีวิต คงหนีไม่พ้น หน้าที่การงานที่ดี การมีรถหรูขับ การมีชีวิตคู่ที่น่าอิจฉา แต่น่าประหลาดใจ เมื่อบางคนมีสิ่งเหล่านี้แล้วแต่กลับรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เคว้งคว้าง และเชื่อว่าหลายคนคงเคยรู้สึกแบบนี้
เช่นกัน
.
- แล้วถ้าอย่างนั้น อะไรที่ทำให้คนเรามีความสุขอย่างแท้จริง?
.
- มีข้อมูลชี้ว่า การวิ่งไล่ตามความสุข ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขเสมอไป แต่การหาความหมายของชีวิตเป็นหนทางที่น่าพึงพอใจมากกว่า แล้วเราจะมีชีวิตที่มีความหมายมากขึ้นได้อย่างไรกัน
- เอมิลี่ เอสฟาฮานี สมิธ ได้รวบรวม 4 เสาหลักของชีวิตที่มีความหมาย และเราทุกคนก็สามารถสร้างชีวิตที่มีความหมายได้โดยการสร้างเสาพวกนี้ขึ้นมาในชีวิต (จะแค่บางเสา หรือทุกเสาก็ได้)
.
- “เสาต้นแรกคือ การเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่าง”
.
- การเป็นส่วนหนึ่งมาจากการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ในแบบที่ทำให้เรารู้สึกมีค่า เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความรู้สึกผูกพัน ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เข้าใจกัน และทำให้ต่างฝ่ายนั้นเห็นคุณค่าของกันและกัน และทำให้เรารู้สึกใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
.
- เพราะคนเราเมื่อไม่ถูกยอมรับจากคนรอบข้าง จะมีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความหมาย และความสัมพันธ์คือ
สิ่งที่สำคัญของมนุษย์
.
- “เสาต้นที่สองคือ จุดมุ่งหมาย”
.
- การค้นหาจุดมุ่งหมายนี้ไม่เหมือนกับการหางานที่จะทำให้คุณมีความสุข จุดมุ่งหมายอยู่ที่คุณเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ และหัวใจของจุดมุ่งหมายคือ ใช้จุดแข็ง พรสวรรค์หรือความสามารถของคุณเพื่อสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น
.
- “เสาต้นที่สาม การสลายตัวตน”
.
- การสลายตัวตน เป็นภาวะที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย บางคนรู้สึกสลายตัวตนเมื่อมองงานศิลปะ บางคนสลายตัวตนเมื่ออยู่กับงานเขียน ประสบการณ์สลายตัวตนเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงคุณได้
.
- การสลายตัวตนทำให้เรามองข้ามตัวเองว่าในอดีตที่ผ่านมาเราเป็นอย่างไร และทำให้เรานึกถึงผู้อื่นหรือสิ่งอื่นๆ รอบตัวเรามากขึ้น และยังสามารถทำให้เราค้นพบตัวตนในชีวิตว่าเรากำลังใช้ชีวิตในแบบใด ควรแก้ไขตรงไหน และสามารถใช้ชีวิตอย่างไรให้มีประโยชน์และมีความหมาย
.
- การศึกษาหนึ่งมอบหมายให้นักศึกษามองขึ้นไปบนยอดต้นยูคาลิปตัสที่สูงถึง 200 ฟุต นาน 1 นาที  หลังจากนั้นพวกเขารู้สึกพวกเขาถือตัวน้อยลงและมีน้ำใจกับผู้อื่นมากขึ้น
.
- “เสาต้นที่สี่คือ การเล่าเรื่อง”
.
- การเล่าเรื่องในที่นี้คือ การเล่าเรื่องตัวเราเองให้ตัวเองฟัง การร้อยเรียงเรื่องราวจากเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตทำให้เกิดความชัดเจน
มันทำให้คุณเข้าใจว่าคุณเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
.
- แต่เรากลับไม่ได้ตระหนักว่าเราเป็นผู้เขียนเรื่องของตัวเอง และสามารถเปลี่ยนวิธีการเล่าเรื่องได้เสมอ
.
- นักจิตวิทยา แดน อดัมส์ เรียกสิ่งนี้ว่า “เรื่องเล่าฟื้นฟูจิตใจ”  คือ การเปลี่ยนมุมมองในเรื่องแย่ๆ ให้เป็นเรื่องดีแต่ไม่หลอกตัวเอง
.
- การเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อตนเองอาจจะไม่สามารถทำได้ภายใน
ชั่วข้ามคืน อาจต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือน หรือเป็นปี แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราก้าวข้ามมันไปได้คือ “การยอมรับความจริง”
.
- การเป็นส่วนหนึ่ง การมีจุดมุ่งหมาย การสลายตัวตน และการเล่าเรื่อง เป็น 4 เสาหลักที่สร้างความหมายของชีวิต จุดประสงค์ของ 4 เสาหลักนี้ก็คือเพื่อให้เราเป็นผู้ครองใจตน
.
- ความสุขนั้นไม่ได้ยั่งยืนจีรัง แต่ไม่ว่าชีวิตของคุณจะสุดแสนดีหรือแสนจะเลวร้าย แต่สิ่งที่จะทำให้ชีวิตนี้ยืนหยัดอยู่ได้ คือ การมีความหมายในชีวิตนั่นเอง
.



 ที่มา : Emily Esfahani Smith TED2017
 Emily Esfahani Smith
 แปลโดย Wajasit Losereewanich



366  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: โสเภณี ไทยสมัยอดีต เมื่อ: 16 มิถุนายน 2563 19:21:12


ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๐๓ สมัย จอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้ออก “พระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.๒๕๐๓” ถือว่าโสเภณีเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และมีความทันยุคทันสมัยห้ามการค้าประเวณีในเพศเดียวกันด้วย โดยกำหนดความหมายของคำว่า “การค้าประเวณี” ไว้ว่า

“การค้าประเวณี หมายความว่า การยอมรับการกระทำชำเรา หรือการยอมรับการกระทำอื่นใด หรือการกระทำอื่นใดเพื่อสำเร็จความใคร่ในทางกามารมณ์ของผู้อื่น อันเป็นการสำส่อนเพื่อสินจ้าง ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ยอมรับการกระทำและผู้กระทำจะเป็นบุคคลเพศเดียวกันหรือคนละเพศ”

แต่กฎหมายที่แค่ “ปราม” ในปี ๒๕๐๓ หรือปรับปรุงมาเป็น “ป้องกันและปราบปราม” ในปี พ.ศ.๒๕๓๙ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการค้าประเภทนี้ไว้ได้ กลับกระจายออกไปทั่ว เป็นอบอาบนวด คาเฟ่ บาร์ ไนต์คลับ จนถึงทางโทรศัพท์
กฎหมายที่สามารถทำให้นักเที่ยวประเภทนี้ “สยอง” ได้ ก็คือข้อที่ว่า

“ผู้ใดกระทำชำเราหรือกระทำอื่นใดเพื่อสำเร็จความใคร่ของตนเองหรือผู้อื่นแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีในสถานการค้าประเวณีโดยบุคคลนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสามปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหกหมื่นบาท

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นการกระทำแก่เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงหกปีและปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสองหมื่นบาท” ซึ่งทำให้ลูกค้า “หัวหด” ไปตามกัน แม้แต่ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนแล้วก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ ว่าแก้ตัวเลขอายุมาหลอกหรือเปล่า กลัวจะเจอแบบ “ป๋าเหลิม” จะอุดหนุนเด็กๆเสียหน่อย กลับโดนคูณเข้าไปตามครั้งที่อุดหนุน ต้องติดคุกถึง ๓๖ ปี ฆ่าคนตายยังติดน้อยกว่านี้!


ข้อมูล โรม บุญนาค
ขอขอบคุณเพจ เจาะเวลาหาอดีต

367  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: โสเภณี ไทยสมัยอดีต เมื่อ: 16 มิถุนายน 2563 19:19:17


       เจ้าพระยายมราช เสนาบดีกระทรวงนครบาล เห็นว่ากฎหมายป้องกันสัญจรโรคของไทยยังมีช่องโหว่ จึงอยากจะศึกษาจากประเทศที่มีความรู้เรื่องนี้ดี และเห็นว่า ญี่ปุ่นมีประสบการณ์มายาวนาน จึงมีหนังสือไปถึง อัครราชทูตสยามประจำกรุงโตเกียว ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๔๕๕ ให้ช่วยหาข้อมูลเรื่องนี้ให้ด้วย เดือนต่อมาท่านทูตก็ได้ส่งกฎหมายและข้อบังคับว่าด้วยเรื่องโสเภณีของญี่ปุ่นแปลเป็นภาษาอังกฤษมาเสร็จสรรพ พร้อมด้วยหนังสือเกี่ยวกับโสเภณีอีก ๑ เล่มในชื่อ “The Nightless City”

เราจึงได้ความรู้ในเรื่องจัดระเบียบโสเภณีจากญี่ปุ่นมามาก ต่อมาก็แก้ให้หญิงที่จะมีอาชีพโสเภณี จาก ๑๕ ปีมาเป็น ๑๘ ปีตามอย่างญี่ปุ่น

มีรายงานของ นายพันตำรวจโท พระอนุรักษ์นครินทร์ ผู้กำกับการตำรวจพระนครบาลกองพิเศษ ถึง นายพลตำรวจตรี พระยาอธิกรณ์ประกาศ ผู้บัญชาการตำรวจพระนครบาลกรุงเทพฯ เกี่ยวกับการจดทะเบียนหญิงนครโสเภณีตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๔๖๗ มีโรงหญิงนครโสเภณีและหญิงที่ได้รับอนุญาต คือ

เจ้าของโรงจีน ๑๘๙ โรง ตัวหญิงนครโสเภณี ๗๗๒ คน
เจ้าของโรงไทย ๑๒ โรง มีตัวหญิงนครโสเภณี ๗๒ คน
เจ้าของโรงญวน ๗ โรง มีตัวหญิงนครโสเภณี ๘ คน
เจ้าของโรงรัสเซีย ๑ โรง มีหญิงนครโสเภณี ๓ คน
รวมเจ้าของโรง ๒๐๔ โรง มีหญิงนครโสเภณี ๘๕๕ คน

นอกจากนี้ จากการสืบสวนยังได้ความว่า มีโสเภณีที่ไม่ได้จดทะเบียนลักลอบหากินอยู่ คือ

จีน ประมาณ ๒๐๐ คน
ไทย ประมาณ ๑๕๐ คน
ญวน ประมาณ ๑๕ คน
ญี่ปุ่น ประมาณ ๕ คน
รัสเซีย ประมาณ ๑๐
รวม ๓๘๐ คน

ปรากฏว่ามีหญิงจีน ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นหญิงกวางตุ้ง เข้ามาเป็นโสเภณีในเมืองไทยมากกว่าหญิงทุกชาติ และมากกว่าหญิงไทยเองด้วย ทางเข้ามาในสมัยนั้นก็มีทางเดียวคือทางเรือ ฉะนั้นเมื่อมีเรือเมล์ลำใดมาจากเมืองจีน เจ้าพนักงานตำรวจกองพิเศษจะไปรอตรวจ ถ้าพบหญิงสาวไม่ได้มากับครอบครัวจะสอบปากคำทุกคน ถ้าหญิงนั้นถูกหลอกลวงมา และสมัครใจจะกลับไปเมืองจีน ก็มอบหญิงนั้นให้อยู่ในความดูแลของนายเรือ และมีหนังสือส่งตัวไปยังตำรวจเมืองฮ่องกงให้จัดการส่งกลับบ้านต่อไป

368  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: โสเภณี ไทยสมัยอดีต เมื่อ: 16 มิถุนายน 2563 19:17:47


พระยาพิเรนทราธิบดีสีหราชงำเมือง ผู้บัญชาการพลตระเวนแขวงพระนคร ได้รายงานต่ออธิบดีกรมพลตระเวน เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๕๘ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องๆเกี่ยวกับหญิงโสเภณี ว่า

“โรงหญิงสัญจรโรคที่รับอนุญาตตั้งโรง บางแห่งเปิดโรงรับผู้มาเที่ยวไปมาอยู่จวนสว่าง แต่โรงหญิงญี่ปุ่น ๒ ยามล่วงแล้วปิด ในพระราชบัญญัติสัญจรโรคไม่ห้ามการเปิดปิด ควรมีกำหนดปิดโรงจะเป็นเวลาใดก็ตามแต่สมควร ทั้งยังมีผู้หลีกเลี่ยงกฎหมายไม่มีใบอนุญาตเวลานี้ออกจะชุกชุม กองตระเวนได้ตรวจจับกุม บางเรื่องมีหลักฐานพอก็ส่งศาลฟ้อง บางเรื่องจะฟ้องไม่ถนัดโดยหลักหลักฐานไม่เพียงพอ จำต้องถอนฟ้อง เรื่องนี้กฎหมายยังไม่มีบังคับสำหรับคนจำพวกนี้ และเป็นพวกที่น่ามีเหตุเกิดขึ้น ครั้งหนึ่งชาวเยอรมันได้ไปเที่ยว มีเหตุกับเจ้าของที่พัก กองตระเวนจับกุม ลงท้ายพลตระเวนกับชาวเยอรมันต้องเปนความกัน หญิงโสเภณีกับหญิงสัญจรโรคที่ไม่มีใบอนุญาต เวลากลางคืนเที่ยวออกชักชวนชายในที่ประชุมชนต่างๆ เที่ยวเกลื่อนกลาดตามถนน แลปะปนกระทำให้หญิงผู้ดีรับความเสื่อมทรามไปด้วย ควรมีบังคับห้ามหญิงโสเภณีที่มีใบอนุญาต ต้องประจำหาผลประโยชน์อยู่ที่พักของเขา จะเที่ยวเตร็ดเตร่ชักชวนชายตามถนนหรือที่ประชุมชนไม่ได้ ข้าพเจ้าเคยได้รับรายงานร้องขอรวมโรงหญิงโสเภณีอยู่ในหมู่หรือตำบลเดียวกัน เพื่อสดวกสำหรับจัดการรักษา ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ การที่ให้ผู้หญิงแยกย้ายตั้งอยู่ที่ต่างๆเช่นนี้ กองตระเวนไม่พอเพียงจะรักษาให้ทั่วถึง ในหญิงนครโสเภณีกวางตุ้ง เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้น สืบสวนไม่ใคร่จะได้ความ โดยปกปิดไม่บอกความจริง ถ้ามีโอกาสควรรวบรวมหญิงโสเภณีกวางตุ้งเสียคราวหนึ่งก่อน ถ้ารวบรวมไม่ได้ จำเปนต้องเพิ่มจำนวนพลตระเวนให้พอเพียงกับการรักษา”

ส่วนร้านจำหน่ายยาฝิ่นและกาแฟ ก็อยู่ในรายงานนี้เหมือนกันว่า

“ร้านจำหน่ายยาฝิ่นกับร้านขายกาแฟ เจ้าของจับหญิงสาวกวางตุ้งล่อ คอยปฏิบัติยั่วยวนผู้ไปมา บางทีชักชวนแลฉุดคร่า กองตะเวนได้จัดการฟ้อง ๑ ฐานทำอนาจาร ๒ ฐานไม่จดทะเบียน นอกจากนี้แล้วไม่มีข้อบังคับจะปราบปราม แต่บางทีหญิงสาวพวกนี้ลอบลักรับจ้างทำชำเราโดยไม่มีใบอนุญาต จะตรวจตราจับกุมฟ้องได้ตาละเรื่องเปนการยาก...”



369  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: โสเภณี ไทยสมัยอดีต เมื่อ: 16 มิถุนายน 2563 19:16:25


            สมัยรัชกาลที่ ๕ สยามได้เปิดประตูประเทศรับอารยะธรรมตะวันตกอย่างเต็มที่ คนหลายชาติหลายภาษาต่างหลั่งไหลเข้ามา โสเภณีต่างชาติเลยเข้ามาด้วยเป็นขบวน ผลก็คือชายไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เป็น “โรคบุรุษ” หรือ “กามโรค” กันครึ่งค่อนเมือง แม้ยังไม่มีตัวเลขยืนยันในตอนนั้น แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีรายงานของกรมสุขาภิบาลระบุว่า ผู้ชายในพระนครที่ป่วยเป็นกามโรคมีจำนวนถึงร้อยละเจ็ดสิบห้า

            ยุคนั้นยารักษาก็ยังไม่ค่อยมี ต้องกินยาไทยต้มกันเป็นหม้อๆ ที่อาการหนักหนาสาหัสก็ถึงขั้น “ออกดอก” ทั้งตัว เป็นตุ่มมีน้ำเหลืองไหลต้องนอนบนใบตอง เป็นที่น่าวิตกว่าชายไทยในเมืองจะสูญพันธุ์เพราะโรคนี้ คณะเสนาบดีจึงได้ตรา “พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค” ประกาศใช้ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๕๑ แต่ก็ให้ใช้เฉพาะกรุงเทพฯเท่านั้น ในสมัยรัชกาลที่ ๖ จึงประกาศใช้ทุกมณฑลทุกจังหวัดเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๔๕๖

            จุดมุ่งหมายของกฎหมายฉบับนี้ ก็เพื่อให้หญิงโสเภณีต้องจดทะเบียนเพื่อควบคุมดูแลและตรวจโรคเป็นประจำ กับจดทะเบียนสำนักหญิงนครโสเภณีไว้ด้วย กำหนดให้ดูแลความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสำนักไว้หลายข้อ แต่ข้อหนึ่งกำหนดให้ต้องมีโคมแขวนไว้หน้าโรงเป็นเครื่องหมาย โดยไม่ได้กำหนดว่าเป็นสีอะไร แต่เจ้าพนักงานเอาโคมที่มีกระจกสีเขียวเป็นรูปพัดด้ามจิ้วมาเป็นตัวอย่าง เลยมีผู้ทำออกมาจำหน่ายและใช้สีเหมือนกันหมด จนได้ฉายาว่า “สำนักโคมเขียว”

            อัตราค่าจดทะเบียนสำหรับหญิงนครโสเภณี ๑๒ บาท มีกำหนด ๓ เดือน ส่วนค่าใบอนุญาตโรงหญิงนครโสเภณี ๓๐ บาท ต่อ ๓ เดือนเช่นกัน ซึ่งตอนนั้นค่าขึ้นห้องของหญิงนครโสเภณีก็แค่ ๒ สลึงถึง ๑ บาทเท่านั้น แต่ถ้า “ของนอก” เป็นญี่ปุ่นหรือฝรั่งก็ต้องถึง ๒ บาท ถ้าเหมาทั้งคืนก็ ๔ บาท ขณะที่ข้าวสารราคาถังละ ๒ สลึงถึง ๑ บาท





370  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / โสเภณี ไทยสมัยอดีต เมื่อ: 16 มิถุนายน 2563 19:14:10


โสเภณี ไทยสมัยอดีต

ผู้ชายกรุงเทพฯเกือบสูญพันธุ์ เป็นโรคบุรุษถึงร้อยละ ๗๕ ต้องให้ญี่ปุ่นเป็นครู!!!


.....โสเภณี เป็นอาชีพดึกดำบรรพ์ของโลก มีมาตั้งแต่สมัยโรมันแล้ว   สำหรับเมืองไทยเข้าใจว่าทันสมัยกับเขามาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย    เพราะกฎหมายลักษณะผัวเมียที่ออกสมัยพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยา ก็กล่าวถึงเรื่องหญิงนครโสเภณีแล้ว

ทุกวันนี้หลายประเทศ แม้แต่ประเทศที่เจริญรุ่งเรืองในยุโรป ก็อนุญาตให้มีโสเภณีได้ แต่หลายประเทศก็ถือว่าเป็นอาชีพที่น่ารังเกียจ เป็นสิ่งผิดกฎหมายรวมทั้งประเทศไทยเราด้วย   แต่ไม่ว่าจะมีกฎหมายห้ามหรือ
ไม่ห้าม ทุกประเทศแม้แต่ประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ก็มีโสเภณีกันทั้งนั้น

ส่วนเมืองไทยยุครัตนโกสินทร์ เริ่มมีการจดทะเบียนหญิงนครโสเภณีมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะหารายได้เข้ารัฐ ที่เรียกว่า “ภาษีบำรุงถนน” เพื่อนำเงินไปตัดถนนที่เริ่มมีในรัชกาลนี้

https://teen.mthai.com/app/uploads/2012/11/%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%A7-%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%A0%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%930.jpg


371  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ในครัว / Re: สตอเบอรี่โรลเค้ก เมื่อ: 16 มิถุนายน 2563 19:03:28


น่าทานมากค่า
ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก ตกหลุมรัก
372  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Aiken Spring ในทะเลทรายโกบี(ตาปีศาจ) เมื่อ: 16 มิถุนายน 2563 18:47:14

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=ChXz_BBrZSc" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=ChXz_BBrZSc</a>

      ทิวทัศน์อันงดงามของ 'Devil's Eye' - Aiken Spring ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลชิงไห่ประเทศจีน Aiken Spring ในทะเลทรายโกบีได้รับการขนานนามว่า "ตาปีศาจ" น้ำที่พุ่งเดือดปุด ๆ มานานกว่าพันปีไม่หยุด ออกมาจากมีกำมะถันสูงทำให้ดินรอบ ๆ มันแห้งแล้งไม่มีหญ้าแม้แต่ใบเดียวที่สามารถเติบโตได้ในดินแดนโดยรอบ และนกและสัตว์ไม่กล้าเข้ามา เนื่องจากการตกตะกอนของกำมะถันเป็นเวลาหลายปีและธรรมชาติที่น่ากลัวพร้อมธรรมชาติกำลังน่าทึ่งของ Aiken Spring เนื่องจากยังไม่มีการสำรวจที่ละเอียดและน่าเชื่อถือของ จนถึงตอนนี้สิ่งมหัศจรรย์ทางธรณีวิทยานี้ทำให้เกิดม่านลึกลับ

Cr.旅行的小师妹.weibo
ข้อมูลเพิ่มเติมhttp://www.xinhuanet.com/travel/2019-11/29/c_1125290306.htm?fbclid=IwAR2D3GUqENx_p80f_OgYwOTTTBqpxAQiKj_fggLLgjXqpOpesVpAAjQfAGU
373  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: ใครคือแม่ครัวในรูปซอสหอยนางรม เมื่อ: 16 มิถุนายน 2563 18:41:23

https://t0.longtunman.com/wp-content/uploads/2019/05/34561170_1832268886830713_6673411564801884160_n.jpg


          ในปี 2525 เปิดบริษัทจำหน่ายผลิตภันฑ์ บริษัทจิ้วฮวด จำกัด และบริษัทชลบุรี ตราแม่ครัว ฉลากทองจำกัด ภายใต้ชื่อผลิตภันฑ์  “ตราแม่ครัว” “ตราฉลากทอง” และ “ตราแม่ครัวฉลากทอง” โดยผลิตสินค้าอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้แก่ซอสพริก ซอสปรุงรส แป้งทอดกรอบ และน้ำส้มสายชู รวมทั้งได้ขยายกิจการเปิดโรงงานทำน้ำปลาและซีอิ๊วขาว   เมื่อครอบครัวขยายใหญ่ขึ้นมีคนมากขึ้น จึงมีปัญหาให้บริหารจัดการอย่างไม่ขาดสาย ตั้งแต่ปัญหาเล็กน้อยกระทั่งปัญหาใหญ่แต่สิ่งที่ ทำให้ผ่านปัญหาต่างๆมาได้ด้วยการยึดแนวทางการทำงานของผู้บริหารรุ่นคุณพ่อ   “ผมไม่เคยลืมว่าตัวเองมาจากไหน บอกกับลูกหลานว่าเราเป็นบ้านนอกเข้ากรุง คุณพ่อสอนเสมอว่าลูกหลานทุกคนจะต้องมีความอดทน และต้องไม่ลืมบุญคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือทำงานทุกอย่างให้สุดความสามารถ พึ่งพาตัวเอง และพัฒนาบริษัทให้สืบทอดต่อไป”

การจัดจำหน่ายในประเทศเรามีคนส่งของในแต่ละภูมิภาค โดยจัดส่งเองส่วนต่างประเทศทั้งหมดบริษัทใหญ่ๆ เขาจะมีตัวแทนจำหน่ายเพื่อ กระจายสินค้าแต่เราเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ไม่มีตัวแทนจำหน่ายจะขายแบบตัวต่อตัว   เป็นวิถีที่ทำมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อผมทำต่อมาและยังไม่มีแนวโน้นว่าจะเปลี่ยนไป "เพราะเราไม่มีโครงการที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์" จึงบริหาร งานแบบที่เราทำแล้วสบายใจ เพราะการตั้งตัวแทนจำหน่ายเจ้าเดียวในภูมิภาคเป็นเรื่องใหญ่และกลัวเสียระบบ ต้องควบคุมเรื่องตัวเลขและจะต้อง มีคนของเราไปดูแแลโดยตรง

ที่มา ลงทุนแมน
https://www.blockdit.com/posts/5cb84b31a39c3657df922868?fbclid=IwAR0Pg5gZA-3TtbP3B-vZx24q4IFzPdeL2EMDDPaEvC4ch1chNLQwDhPujAc




374  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / ใครคือแม่ครัวในรูปซอสหอยนางรม เมื่อ: 16 มิถุนายน 2563 18:38:53

ใครคือแม่ครัวในรูปซอสหอยนางรม


       ภาพหญิงวัยกลางคนใส่เสื้อสีแดงคลุมทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีขาวยืนปรุงอาหาร เคยสงสัยไหมว่าคือใคร..?  เป็นที่คุ้นตาของคนไทย มาไม่น้อยกว่า 40 ปีแล้ว เพราะนี่คือโลโก้สินค้า ที่สร้างการจดจำของ ซอสหอยนางรมตราแม่ครัวและเครื่องปรุงรสต่างๆในกลุ่มตราแม่ครัวฉลากทอง

คุณเศรษฐี กาญจนวิสิษฐผล ประธานกรรมการบริษัท ตราแม่ครัว จำกัด เจ้าของสินค้าตราแม่ครัว และแม่ครัวฉลากทองผู้บริหารรุ่นที่สอง ที่รับหน้าที่สืบทอดงานจากรุ่นคุณพ่อคุณแม่ (คุณพ่อสถิตย์ – คุณแม่ง้วย กาญจนวิสิษฐผล)คุณเศรษฐีเล่าถึงครอบครัวว่า  ผมเติบโตที่จังหวัดชลบุรีบ้านที่มีลูก   8 คน ทุกคนต้องช่วยกันทำงาน   แม่เปิดร้านขายอาหารทะเลแห้งและมีหอยนางรมสด ซึ่งเป็นงานที่ทำมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ ผมกับพี่น้องผู้ชายมีหน้าที่ออกเรือเพื่อที่จะไปทุบหอยนางรมมาให้กลุ่ม ผู้หญิงแกะขายสดๆ หน้าร้าน ซึ่งบางครั้งเราก็ขายของที่ได้มาไม่หมดจึงต้องคิดค้นวิธีถนอมอาหารซึ่งส่วนใหญ่จะเอาไปดอง แต่เมื่อของมันเยอะ คุณพ่อก็คิดว่าจะดัดแปลงหอยนางรมให้กลายเป็นเครื่องปรุงเหมือนกับซีอิ๊ว จึงลองนำไปกวนจากนั้นก็พัฒนาสูตรและกรรมวิธีมาเรื่อยๆ จน กลายเป็นซอสหอยนางรมและใช้ชื่อตราแม่ครัวจนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแรกของประเทศไทย

จากที่เคยคิดแค่เพียงต้องการถนอมอาหาร กลับกลายเป็นเกิดสินค้าใหม่ พื้นที่แกะหอยนางรมสดในบ้านถูกแบ่งไว้สำหรับขายซอสเพิ่ม เติม มีโรงงานขนาดย่อมอยู่หลังหนึ่งชื่อ “จิ้วฮวด” ซึ่งหมายถึง เจริญทันทีทันใด  เนื่องจากซอสหอยนางรมเป็นสินค้าใหม่ ช่วงแรกๆ จึงขายดีมาก กลายเป็นของที่ต้องมีติดบ้านเช่นเดียวกับน้ำปลา   เราเริ่มต้นจากขาย ให้ร้านอาหารละแวกบ้านก่อน เพราะแถบชลบุรีมีร้านอาหารใหญ่ๆ อยู่มากจึงทำให้คนรู้จักเราอย่างรวดเร็ว ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าเดิม ของคุณแม่  และโชคดีชั้นที่สองก็คือ หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ท่านซื้อไปทดลองรับประทาน และนำไปเขียนลงในหนังสือ ฟ้าเมืองไทย ในขณะนั้น พร้อมให้เครื่องหมายเชลล์ชวนชิม ซอสของเราจึงเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงกว้าง

เมื่อถามถึงที่มาของเครื่องหมายการค้าที่แสนจะคุ้นเคย ก็ได้คำตอบว่า “เราตั้งโรงงานในปี 2519 เป็นแหล่งผลิต แล้วขายผ่านตัวแทน จำหน่าย  ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีโลโก้ยี่ห้อของตัวเอง เราพยายามหาสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อให้คนจำได้   รูปแม่ครัวคือคุณแม่ง้วย กาญจนวิสิษฐผล    สรุปว่าคุณแม่ที่ขายของอยู่หน้าร้านนี่แหละ คือสัญลักษณ์ของเรา จึงตกลงกันว่าจะใช้ภาพของคุณแม่เป็นตราสินค้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


ที่มา ลงทุนแมน


375  นั่งเล่นหลังสวน / สยาม ในอดีต / Re: ภาพถ่ายสุดท้าย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อ: 15 มิถุนายน 2563 22:52:29

             ภาพถ่ายภาพสุดท้ายของจอมพลป.พิบูลสงคราม ถ่ายเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2507 ณ บ้านพักประเทศญี่ปุ่น ก่อนที่ในวันถัดมาคือ 11 มิถุนายน พ.ศ 2507 จอมพลป.พิบูลสงคราม ก็ถึงแก่อสัญกรรมในตอนค่ำของวันนั้น โดยขณะที่ตลอดวันนั้น จอมพลป.ก็ยังร่างกายแข็งแรงปกติ สามารถรับประทานอาหารได้อย่างปกติ และสามารถทำสวนซึ่งเป็นงานอดิเรกได้ปกติ แต่ในช่วงค่ำก็ถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจวาย จอมพลป.นับว่าเป็นนายกฯที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และในสมัยจอมพลป.ก็ได้มีและสร้างมรดกทางวัฒนธรรม ต่าง ๆ มากมายที่ตกทอดมาสู่สังคมไทยอย่างมากมายจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น อาหาร เช่นก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย หรือ วัฒนธรรมการเป็นอยู่ เช่นการยกเลิกการเคี้ยวหมาก เป็นต้น
376  นั่งเล่นหลังสวน / สยาม ในอดีต / ภาพถ่ายสุดท้าย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อ: 15 มิถุนายน 2563 22:51:37


ภาพถ่ายสุดท้าย จอมพล ป. พิบูลสงคราม

https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2017/06/P11-696x430.jpg

จอมพล ป. พิบูลสงคราม ภาพถ่ายสุดท้าย วันที่ 10 มิถุนายน 2507 ก่อนถึงอสัญกรรม ณ ประเทศญี่ปุ่น


.........11 มิถุนายน 2507 ณ บ้านพักหลังเล็กๆ ชานกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยหลายสมัย ได้ถึงแก่อสัญกรรม ในเวลาประมาณ 20.30 น. ร่างของจอมพล ป. ได้มีพิธีฌาปนกิจที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะมีการนำอัฐิกลับคืนสู่ประเทศไทยในวันที่ 27 มิถุนายน 2507 มีพิธีรับอย่างสมเกียรติจากทั้ง 3 เหล่าทัพ และวันที่ 30 กรกฎาคม 2507 นำอัฐิมาบรรจุภายในพระเจดีย์ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน

ในหนังสืองานทำบุญครบรอบ 1 ปีแห่งการถึงอสัญกรรม ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ภริยาได้ประพันธ์โคลงชุด “ปัจฉิมกาลอนุสรณ์” แสดงวาระสุดท้ายของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ว่า

“วรกายพ่ออุ่นทั้ง สรรพางค์
ทางชีพจรระวาง ไป่เพี้ยน
พ่อเหลือบเนตรดูทาง พระพุทธ-รูปแฮ
ยิ้มหยาดพักตร์ห่างเหี้ยน ระหัสรู้ทางสวรรค์

พลันเนตรลดสู่หน้า ปลอบปลุก เมียฤา? เมื่อพ่อหยั่งทราบทุกข์ ท่วมข้าฯ ความตายนั่นคือสุข ฉันทราบ เธอเอย เนตรหลับแสดงดวงหน้า ถนัดสิ้นกังวล”


ที่มา.ศิลปวัฒนธรรม
ขอขอบคุณเพจ ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรสยาม

377  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: ประวัติศาสตร์ ปลากระป๋อง เมื่อ: 15 มิถุนายน 2563 22:26:27


https://f.ptcdn.info/706/053/000/owisoug5bfPym2At4iX-o.jpg


รูปนโปเลียนขี่ม้าที่เทือกเขาแอลป์


http://www.foodnetworksolution.com/uploaded/Nicolas%20appert.jpg

นิโคลัส แอปเปิร์ต (Nicolus Appert) เป็นพ่อครัว ชาวฝรั่งเศส ผู้คิดค้นวิธีการผลิตอาหารกระป๋อง (canning) ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการผลิตอาหารกระป่อง (father of canning) เขาได้รับรางวัลจากรัฐบาลฝรั่งเศส ในปีค.ศ. 1809 ซึ่งในขณะนั้นมีนโปเลียน เป็นผู้ปกครอง ได้ตั้งรางวัล 12,000 ฟรังส์ สำหรับผู้ที่คิดค้นวิธีการเก็บถนอมอาหารเพื่อใช้สำหรับกองทัพ วิธีการของ แอปเปิร์ต คือบรรจุอาหารในขวดแก้วปากกว้าง (jar) และปิดให้แน่น ด้วยจุกคอร์ก เคลือบด้วยไข (wax) แล้วนำไปต้มในน้ำเดือด


378  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: ประวัติศาสตร์ ปลากระป๋อง เมื่อ: 15 มิถุนายน 2563 22:22:15
 
ต่อค่า.......

ต่อมา ในช่วงปี 2373 -2383 หลายๆประเทศ เช่น สกอตแลนด์ แคนาดา และ สหรัฐอเมริกา ก็ได้เริ่มพัฒนาต่อยอดนำปลาสดมาบรรจุลงในกระป๋องมาวางขาย เกิดการทำเป็นเชิงพาณิชย์ขึ้นครั้งแรก โดยได้ใช้ปลาแซลมอนในการผลิต

ภายหลัง คนเริ่มนิยมบริโภคปลากระป๋องกันมากขึ้น ดังนั้น เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้ตอบสนองกับความต้องการ จึงได้มีการนำปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน หรือ ปลาแมกเคอเรล มาทำเป็นปลากระป๋องในซอสต่างๆ เช่น ซอสน้ำมันมะกอก น้ำเกลือ หรือ ซอสมะเขือเทศ ทดแทนในเวลาต่อมา

โดยเฉพาะปลาซาร์ดีนนั้น ถือว่าเป็นปลาที่ค่อนข้างเหมาะสมกับการทำปลากระป๋องมากที่สุด เนื่องมีขนาดลำตัวยาวพอเหมาะ ประมาณ 20 เซนติเมตร และมีจำนวนมากมายมหาศาล

แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2523-2533 การทำประมงจับปลาซาร์ดีนในทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก จนมีปริมาณเกือบ 14 ล้านตันต่อปี จากเดิมในปี 2493 ที่อยู่แค่ราว 1.1 ล้านตันต่อปีเท่านั้น

ในปัจจุบันปริมาณการจับปลาซาร์ดีนได้ลดลงเหลืออยู่ราว3-4 ล้านตันต่อปี เนื่องจากมีกฎหมายควบคุมการทำประมงที่มากเกินความจำเป็น (Over Fishing)

ซึ่งจุดเริ่มต้นของปลาซาร์ดีน หรือ ปลาแมกเคอเรล ในซอสมะเขือเทศ ที่เราคุ้นเคยจริงๆแล้วนั้น ไม่มีหลักฐานหรือบันทึกที่ชัดเจน แต่คาดว่ากำเนิดขึ้นในประเทศสเปนและอิตาลี

โดยความแตกต่างระหว่างปลาทั้งสองชนิดนี้ ก็คือ ปลาซาร์ดีนจะเป็นกลุ่มปลาหลังเขียว มีรูปร่างเพรียวยาว ลำตัวกลม มีเกล็ดใหญ่และหยาบ มีกลิ่นทะเล เนื้อนิ่ม และรสชาติหวาน

ส่วนปลาแมกเคอเรลนั้น จริงๆแล้ว คือ ปลาทู (Short-Bodied Mackerel) ที่มีขนาดเล็กและไม่ได้ขนาด ผิวมีลักษณะเป็นเกล็ดละเอียดสีเงินมันวาว โดยจะมีเนื้อแน่นและมีความมันมากกว่าปลาซาร์ดีน

ปัจจุบัน ตลาดปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศของประเทศไทยมีส่วนแบ่งการตลาด คือ ปลากระป๋องตราสามแม่ครัว 30-40% ปลากระป๋องโรซ่า 15% ซูเปอร์ซีเชฟ 10% และยี่ห้ออื่นๆ 35-45%

ที่มา ลงทุนแมน

379  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / ประวัติศาสตร์ ปลากระป๋อง เมื่อ: 15 มิถุนายน 2563 22:18:09

ประวัติศาสตร์ ปลากระป๋อง

ปลากระป๋องเกี่ยวอะไรกับนโปเลียน

ในบทความนี้ เราจะนำทุกท่านไปทำความรู้จักกับ ปลากระป๋องตราสามแม่ครัว บริษัทที่มีรายได้กว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี และมีส่วนแบ่งการตลาดปลากระป๋องมากที่สุดในไทย

นอกจากมาม่าแล้ว อาหารสามัญประจำบ้านช่วงสิ้นเดือนที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน นั่นก็คือ ปลากระป๋อง

แต่ก่อนอื่น เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีความสงสัยเกี่ยวกับความเป็นมาของปลากระป๋องว่า..

ใครเป็นคนคิดปลากระป๋องขึ้นมาคนแรก?    ทำไมส่วนใหญ่มีแต่ปลาซาร์ดีนกับปลาแมกเคอเรล?     แล้วปลาสองชนิดนี้แตกต่างกันอย่างไร?

ทุกข้อสงสัยทั้งหมดนี้ วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน..

ประวัติศาสตร์ของปลากระป๋องจริงๆแล้ว ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 200 ปีที่แล้ว ในปี พ.ศ. 2338 ในยุคสมัยของนโปเลียน ที่เขามักเจอปัญหาอาหารบูดเน่า เวลานำทหารออกไปรบในที่ไกลๆเป็นประจำ

นโปเลียนจึงได้ประกาศว่า “หากใครสามารคิดค้นวิธีเก็บรักษาอาหารได้เป็นเวลานาน สามารถพกพาเดินทางไกลได้ จะให้รางวัลเป็นจำนวน 12,000 ฟรังก์” หรือประมาณ 5.25 ล้านบาท เมื่อเทียบเป็นเงินไทยในปัจจุบัน

ผ่านไป 15 ปี นาย นิโคลัส อัพเพิร์ต (Nicolas Appert) คนขายลูกกวาดชาวฝรั่งเศส ก็ได้คิดค้นวิธีถนอมอาหารโดยการนำอาหารสด พวกผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ มาบรรจุลงในเหยือกแก้วแล้วไปต้มในน้ำเดือด ซึ่งทำให้สามารถเก็บรักษาอาหารไว้ได้นานเป็นปีโดยไม่บูดได้เป็นครั้งแรก เขาจึงได้รับเงินรางวัลจากนโปเลียนและได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของอาหารกระป๋องของโลก (The Father of Canning)

380  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานด้วยการ CPRและใช้เครื่อง AED เมื่อ: 15 มิถุนายน 2563 01:15:24

ขั้นตอนการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานด้วยการ CPRและใช้เครื่อง AED

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=iCD5T97Ag2M" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=iCD5T97Ag2M</a>

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน พรากคนรักจากครอบครัว ชั่วโมงละ 6 คน เพราะมันเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา และจะต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

รัก รัก รัก รัก



หน้า:  1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 23
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.216 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 11 กันยายน 2566 14:09:18