[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
24 เมษายน 2567 03:38:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ตำนานครุฑและนาค ศึกสายเลือดที่ไม่มีวันจบสิ้น เมื่อ: 10 กันยายน 2558 17:18:25
ตำนานครุฑและนาค ศึกสายเลือดที่ไม่มีวันจบสิ้น



ตามตำนานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เล่าว่า ในครั้งบรรพกาลยังมีมหาเทพฤษีองค์หนึ่งนามว่า พระกัศยปมุนี
ซึ่งเป็นฤษีที่มีฤทธิ์เดชมากและเป็นผู้ให้กำเนิดเทพอีกหลายองค์จนถูกเรียกขานว่า พระกัศยปเทพบิดร
พระองค์มีชายาหลายองค์ โดยในบรรดาชายาทั้งหลายนั้นมีชายาสององค์ซึ่งเป็นพี่น้องกันนามว่า วินตาและกัทรุ

นางทั้งสองได้ขอพรให้กำเนิดบุตรจากพระกัศยป โดยนางกัทรุได้ขอพรว่าขอให้มีบุตรจำนวนมาก
ซึ่งต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล ส่วนนางวินตาขอบุตรเพียงสององค์
และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา ซึ่งเมื่อนางคลอดบุตร ก็ปรากฏว่าออกมาเป็นไข่สองฟอง
ด้วยความทนรอดูหน้าบุตรไม่ไหว นางจึงทุบไข่ฟองหนึ่งและปรากฏเป็นเทพบุตรที่มีกายเพียงครึ่งบนชื่อ อรุณ
อรุณเทพบุตรโกรธมารดาที่ทำให้ตนออกจากไข่ก่อนกำหนดจนมีร่างกายไม่ครบ จึงสาปให้มารดาของตน
ต้องเป็นทาสนางกัทรุโดยกำหนดให้บุตรคนที่สองของนางเป็นผู้ช่วยนางให้พ้นจากความเป็นทาส
จากนั้นจึงขึ้นไปเป็นสารถีให้กับพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ นางวินตาจึงไม่กล้าทุบไข่ฟองที่สองออกมาดู
และรอจนถึงกำหนด จนเมื่อไข่ฟักออกมาก็ปรากฏเป็น พญาครุฑ ซึ่งเมื่อแรกเกิดนั้นก็มีร่างกายขยายออก
ใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตายามกะพริบเหมือนฟ้าแลบ เวลาขยับปีกคราใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไป
พร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ


ในกาลต่อมา นางกัทรุและนางวินตาได้ท้าพนันกันถึงสีของม้าอุไฉศรพ (บางตำราก็ว่าม้าทรงรถของพระอาทิตย์)
ที่เกิดเมื่อคราวกวนเกษียรสมุทรและเป็นสมบัติของพระอินทร์ โดยพนันว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปี
นางวินตาทายว่าม้าสีขาว ส่วนนางกัทรุทายว่าสีดำ ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย
แต่นางกัทรุใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า
(บางตำนานว่าให้พ่นพิษใส่จนม้าเป็นสีดำ) นางวินตาไม่ทราบในอุบายนี้เลยยอมแพ้
จนต้องเป็นทาสของนางกัทรุถึงห้าร้อยปี
 
ภายหลังเมื่อครุฑได้ทราบถึงสาเหตุที่มารดาต้องตกเป็นทาส จึงไปเจรจาขอให้พวกนาคยอมปล่อยมารดาตน
พวกนาคจึงสั่งให้พญาครุฑไปเอาน้ำอมฤตมาให้เพื่อแลกกับอิสรภาพของนางวินตา พญาครุฑจึงบินไปสวรรค์
ไปเอาน้ำอมฤตซึ่งอยู่กับพระจันทร์ แล้วคว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพ
ติดตามมาและเกิดต่อสู้กันขึ้น ฝ่ายเทวดานั้นไม่อาจเอาชนะได้ ร้อนถึงพระวิษณุหรือพระนารายณ์
ต้องมาช่วยขวางครุฑไว้และต่อสู้กัน ทว่าต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอาชนะกันได้ ทั้งสองจึงทำความตกลงยุติศึก
โดยพระวิษณุทรงให้พรแก่ครุฑว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะและให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์
ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าจะเป็นพาหนะของพระวิษณุและเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักบนรถศึกของพระวิษณุ
อันเป็นที่สูงกว่า


จากนั้น พญาครุฑก็นำหม้อน้ำอมฤตลงมา ทว่าพระอินทร์ได้ตามมาขอคืน พญาครุฑก็บอกว่า
ตนจำต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้เหล่านาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็นทาสและให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเอง
จากนั้นครุฑได้เอาน้ำอมฤตไปให้นาคโดยวางไว้บนหญ้าคาและได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา 2-3 หยด
ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคลในทางศาสนาพราหมณ์
ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดี
จึงยอมปล่อยนางวินตาให้เป็นอิสระ

ขณะที่เหล่านาคพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อเตรียมมาดื่มน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็รีบมานำหม้อน้ำอมฤตกลับไป
ทำให้พวกนาคไม่ได้กิน พวกนาคจึงเลียที่ใบหญ้าคาด้วยเชื่อว่าอาจมีหยดน้ำอมฤตหลงเหลืออยู่
ทำให้ใบหญ้าคาบาดกลางลิ้นเป็นทางยาว เรื่องนี้กลายเป็นที่มาว่าทำไมงูจึงมีลิ้นเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้


แม้ว่าจะไถ่ตัวมารดากลับมาได้แล้ว แต่พญาครุฑยังแค้นใจที่พวกนาคใช้เล่ห์กลจนมารดาของตนต้องตกเป็นทาส
ทำให้พญาครุฑและเหล่าลูกหลานรุ่นต่อมา ตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกนาค โดยเหล่าครุฑจะโฉบลงมายังมหาสมุทร
และโฉบนาคไปฉีกท้องจิกกินมันเปลวและทิ้งร่างไร้ชีวิตของนาคตกลงมหานที ข้างฝ่ายพวกนาคนั้น
แม้จะพยายามต่อสู้แต่ก็ไม่อาจสู้ไหวจึงพากันเลื้อยหนีไปหลบภัยยังสะดือทะเล แต่ก็ถูกครุฑใช้ปีกโบกสะบัด
จนน้ำลดแห้งและจับนาคไปฉีกท้องกิน เหล่านาคจึงพยายามกลืนหินใหญ่ลงท้องเพื่อถ่วงตัวให้หนัก
ครุฑตนใดไม่รู้อุบายเวลาโฉบลงจับนาคก็ถูกหินที่นาคกลืนลงไปถ่วงน้ำหนักจนบินขึ้นไม่ไหวและจมน้ำตาย
ส่วนครุฑที่รู้อุบายนี้ก็จะจับนาคทางหางและเขย่าจนนาคต้องคายหินออกมา

และนี่เองคือเรื่องราวความพยาบาทของพญาครุฑและพญานาค สองเผ่าพันธุ์สัตว์เทพเจ้าในตำนาน


ที่มา: komkid
2  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / เด็กไม่ถึงสองขวบตีกลองชุด ไม่ธรรมดา ลองมาดู เมื่อ: 31 สิงหาคม 2558 10:27:19


23 month Drummer
3  สุขใจในธรรม / ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน / ประวัติ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์ เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2558 11:49:30
ประวัติ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค



ประวัติ หลวงพ่อพรหม วัดช่องแค จ.นครสวรรค์
หลวงพ่อพรหม ถาวโร ถือกำเนิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 5 ปี มะแม ตรงกับวันที่ 12 เมษายน พศ. 2426 ณ.ตำบลบ้านแพรก อำเภอมหาราช จังหวัดพระนครศรีอยุธยา บุตรนายหมี-นางล้อมโกสะลัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 4 คน คือ
1.นางลอย
2.นายปลิว
3.หลวงพ่อพรหม
4.นางฉาบ
ทุกคนถึงแก่กรรม
หลวงพ่อพรหม ในขณะเยาว์วัยได้ศึกษา อ่านเขียนกับพระในวัดใกล้บ้าน ศึกษาอักษรขอมควบคู่กับภาษาไทยตั้งแต่ก่อนอุปสมบท เมื่ออายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดเขียนลาย ต.บ้านแพรก อ.บ้านแพรก จ.อยุธยา เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ.2447 ได้รับฉายาว่า "ถาวโร" โดยมีหลวงพ่อถม วัดเขียนลาย เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาขอมจนชำนาญและเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
หลวงพ่อพรหม เริ่มศึกษาวิชาไสยศาสตร์และคาถาอาคมกับอาจารย์ที่เป็นฆราวาส ชื่ออาจารย์พ่วง ต่อมาเมื่ออุปสมบทแล้วจึงได้ศึกษาอสุภกรรมฐาน สมถะกรรมฐาน วิปัสสนา จากหลวงพ่อดำ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ไม่ทราบวัดอยู่ประมาณ 4 ปี ในพรรษาที่ 5 อาจารย์พ่วง ได้พาไปฝากอาจารย์ปู่วอน ซึ่งเป็นฆราวาส และได้ศึกษาวิชาแขนงต่างๆเป็นเวลา 5 ปีเต็ม จนกระทั่งอาจารย์ปู่วอนถึงแก่กรรม ซึ่งในภายหลังหลวงพ่อพรหมได้นำกระดูกมาเก็บไว้ที่วัดช่องแค จากนั้นหลวงพ่อพรหม ก็ไม่ได้ไปศึกษากับอาจารย์ท่านใดโดยตรงมีแต่ศึกษาแลกเปลี่ยนวิชากับอาจารย์รุ่นพี่และรุ่นเดียวกันในระหว่างธุดงค์ เช่น หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ เป็นต้น
หลวงพ่อพรหม จะเดินธุดงค์ทั้งเส้นทางใกล้และไกล โดยหลวงพ่อเคยเดินธุดงค์ไปประเทศพม่าถึงเมืองร่างกุ้ง และได้มีโอกาสที่มนัสการพระเจดีย์ชะเวดากอง และเดินธุดงค์ผ่านทางด่านเจดีย์สามองค์ ผ่านเทือกเขาน้อยใหญ่ และธุดงค์อยู่ในประเทศพม่าเป็นเวลานาน จึงเดินทางกลับประเทศไทยทางด่านแม่ละเมา จ.ตาก และเดินเรื่อยๆไปจนถึงเขาช่องแค ต.พรหมนิมิตร อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เกิดฝนตกหนัก หลวงพ่อพรหม ได้หลบเข้าไปอยู่ในถ้ำซึ่งเป็นถ้ำเล็กๆ ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงพ่อพรหม เห็นว่าเป็นที่วิเวกเหมาะแก่การบำเพ็ญธรรม จึงเริ่มปลูกต้นไม้แห่งศรัทธาลง ณ. ช่องเขาแห่งนี้
ขณะที่หลวงพ่อพรหมจำศีลปฏิบัติธรรมอยู่นั้น ที่วัดช่องแคมีพระภิกษุจำพรรษาอยู่แล้ว 2 รูป แต่ยังไม่มีเจ้าอาวาส ภายในวัดยังไม่มีเสนาสนะใดๆ บริเวณวัดรกร้าง
ต่อมาชาวบ้านในแถวนั้นซึ่งมีความนับถือเลื่อมใสหลวงพ่อได้นิมนต์ให้หลวงพ่อพรหมลงมาจำพรรษาข้างล่าง คือวัดช่องแคในปัจจุบัน หลวงพ่อพรหม จึงเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดช่องแค โดยที่ชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคที่ดินเพิ่มขึ้น หลวงพ่อพรหมได้เริ่มต้นสร้างวัดจากวัดที่รกร้างไม่มีเสนาสนะใดๆ เมื่อปี 2460 มาเป็นวัดที่มีกุฏิ ศาลาการเปรียญ โรงครัว ซึ่งส่วนหนึ่งของทรัพย์สินมาจากการขายสมบัติส่วนตัวและมรดกของหลวงพ่อเอง ต่อมาเมื่อทางวัดจะสร้างโบสถ์ ซึ่งต้องใช้ทุนทรัพย์สูง คณะกรรมการของวัดจึงขอ อนุญาติหลวงพ่อสร้างวัตถุมงคลขึ้น
หลวงพ่อพรหม ชอบระฆัง การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อจึงมีรูประฆังและกลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของหลวงพ่อพรหม
หลวงพ่อพรหม ไม่เคยย้ายไปอยู่วัดใดเลยตลอดระยะเวลา 58 ปี โดยที่หลวงพ่อได้ลาออกจากเจ้าอาวาสเมื่อปี 2514 รวมเวลาที่เป็นเจ้าอาวาสวัดช่องแค 54 ปี เพื่อให้พระปลัดแบงค์ ธมมวโร เป็นเจ้าอาวาสสืบแทน หลวงพ่อพรหม มรณภาพเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ.2518 เมื่อเวลา 15.00 น. ณ.โรงพยาบาลบ้านหมี่ จ.ลพบุรี รวมอายุได้ 91 ปี 71 พรรษา
หลังจากหลวงพ่อพรหม มรณภาพแล้ว คณะกรรมการวัดได้บรรจุศพของท่านไว้ในโลงแก้ว อยู่บนศาลาการเปรียญ ศพของหลวงพ่อพรหมไม่เน่าเปื่อย มด ไร มอด และ แมลง ไม่ได้รบกวนทำลายชิ้นส่วนใดๆในร่างกายของท่านแม้แต่น้อย คล้ายกับหลวงพ่อนอนหลับอยู่ แม้ว่าท่านจะมรณภาพมาแล้วถึง 30กว่าปี
สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นคือ หลังจากหลวงพ่อได้มรณภาพแล้วศพของหลวงพ่อไม่เน่าเปื่อย แถม
1.เส้นผมงอกยาว 5-6 มม.
2.เส้นขนคิ้วงอกยาว 5-6 มม.
3.เส้นขนตางอกยาว 1 ซม.
4.หนวดงอกยาว 5-6 มม.
5.เคราใต้คางยาว 5-6 มม.
6.เล็บมืองอกยาว 1 ซม.
7.เล็บเท้างอกยาว 4-5 มม.
หลวงพ่อพรหม มีวิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลไม่เหมือนใคร ส่วนใหญ่หลวงพ่อจะปลุกเสกในบาตร ถ้ามีเทียนชัยจะจุดเทียนชัยหยดน้ำตาเทียนลงในบาตรน้ำมนต์แล้วนำเทียนชัยวนรอบๆ 9 รอบ แล้วจึงนำดินสอพองมาเจิมที่วัตถุมงคล เอามือคนไปรอบๆโดยที่หลวงพ่อลืมตาเพ่งกระแสจิตอัดพลังแล้วจึงนำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมวัตถุมงคลทั้งหลายแล้วหลวงพ่อจับบาตรใส่วัตถุมงคล เพ่ง กระแสจิตอีกครั้งจนกระทั่งวัตถุมงคลเหล่านั้น มีรังสีพุ่งออกมา จึงนำน้ำพระพุทธมนต์ประพรมอีกครั้งเป็นเสจ็รพิธี
ดังนั้นเราจะสังเกตุได้ว่าพระเนื้อผงของหลวงพ่อจะมีรอยบิ่น เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง เพราะเกิดจากหลวงพ่อเอามือคนในบาตร ดังนั้นพระที่มีรอยบิ่นจึงสันนิษฐานได้ว่า ได้สัมผัสกับมือหลวงพ่อโดยตรง.

4  สุขใจในธรรม / ประวัติพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในยุคปัจจุบัน / ประวัติสมเด็จลุน หรือ สำเร็จลุน (องค์เดียวกัน) เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2558 11:39:57
ประวัติสมเด็จลุนหรือสำเร็จลุน



สมเด็จลุนเป็นพระผู้ทรงอภิญญาแห่งประเทศลาว
มีเรื่องเล่าว่า มีพระเฒ่าองค์หนึ่งได้เคยเข้าไปทดสอบวิชากับหลวงปู่ศุข พอพระเฒ่าเข้าไปถึง
หลวงปู่ศุขก็เอ่ยถามว่า “ท่านมาจากที่ไหนครับ”
พระเฒ่าเอ่ยตอบมาว่า “ผมมาจากนครเวียงจันทร์ครับ”
หลวงปู่ศุขถามต่อไปว่า “แล้วท่านมีภารกิจอันใดให้ผมรับใช้ครับ”
พระเฒ่าตอบมาว่า “กระผมอยากรู้ว่าสมภารเจ้าแห่งวัดมะขามเฒ่าเก่งจริงดังที่เขาเลื่องลือไหม”
พอหลวงปู่ศุขฟังจบท่านก็หันไปรูดใบมะขามเสกพร้อมตอบไปว่า “ผมขอโทษนะครับ”
หลวงปู่ศุขก็ได้ขว้างใบมะขามออกมา กลายเป็นต่อและแตน บินพุ่งเข้าใส่พระองค์นั้น พระเฒ่าองค์นั้นได้ยกมือขึ้นรับต่อและแตน แทนที่ต่อและแตนจะบินเข้าไปต่อยพระเฒ่า แต่กลับบินเข้าไปอยู่ในมือและกลายเป็นใบมะขามเหมือนเดิม
หลวงปู่ศุขเลยเอ่ยถามพระเฒ่าว่า “ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร โปรดเมตตาต่อข้ากระผมด้วยครับ”
พระเฒ่าตอบด้วยความเคารพเช่นกันว่า “กระผมคือสมเด็จลุนครับ”หลวงปู่ศุขเลยพนมมือทำความเคารพและกล่าวไปว่า “กระผมได้ยินแต่ชื่อเสียงพึ่งเห็นตัวจริงวันนี้นี่เอง เหมาะสมที่ได้ชื่อว่าสมเด็จลุนจริงๆ”
จากนี้ไปจะได้นำเสนอประวัติของสมเด็จลุน ให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้ศึกษา เพื่อทำความรู้จัก ซึ่งการ เขียน ประวัติในครั้งนี้จะเป็นการพลิกประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ เพราะหลวงพ่อภรังสีได้สอบถามจาก หลวงปู่สมเด็จ ลุนโดยตรง ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจจะแตกต่างจากข้อมูลทั่ว ๆ ไป ที่พุทธศาสนิกชนเคยได้รับทราบมาก่อน หลวงปู่สมเด็จลุน ได้ถือกำเนิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๖ ที่บ้านหนองไฮท่า ตำบลเวินไซ เมืองโพนทอง แขวง จำปาศักดิ์ ประเทศลาว โดยเป็นบุตรของ พ่อบุญเลิศ แม่กองศรี สว่างวงศ์ และท่านมีลักษณะพิเศษ จากคนทั่วไปคือท่านอยู่ในครรภ์ของมารดาสิบเดือนเศษ และเวลาคลอดก็คลอดง่ายไม่เจ็บปวดเหมือนคลอดลูก คนทั่วไป พ่อแม่จึงตั้งชื่อให้ว่า“ท้าวลุน” เมื่อเป็นเด็กนั้นท้าวลุนมีอุปนิสัยเป็นคนเจ้าระเบียบ มาตั้งแต่เด็ก เป็นคน ละเอียดรอบคอบ เมื่อเจริญวัยขึ้นมาก็ได้ศึกษาเล่าเรียนและช่วยเหลือครอบครัว
พอมาอายุได้ ๑๒ ปี บิดามารดาพิจารณาเห็นว่าท้าวลุนมีอุปนิสัยน้อมไปในบรรพชา จึงได้พาไปบรรพชา เป็นสามเณรที่วัดบ้านหนองไฮท่า เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้วสาม เณรลุนก็มีลักษณะต่างจากสามเณรทั่ว ๆ ไป กล่าว คือท่านมีความจำเป็นเลิศทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยอ่านหนังสือแต่ก็สามารถท่องจำบทสวดมนต์ต่าง ๆ ได้ สามเณรลุน ได้ไปร่วมงานศพของพ่อท่านนาโหล่ง ซึ่งเป็นพระที่มีอภิญญาโด่งดังมากในสมัยนั้น แล้วท่านก็ไปดูศพของพ่อ ท่านนาโหล่ง จึงมองเห็นคัมภีร์ก้อม (หนังสือใบลานผูกเล็ก ๆ) หนีบอยู่ที่รักแร้ สามเณรลุนมีความรู้สึกว่า พ่อท่าน นาโหล่งยิ้มให้แล้วบอกให้ท่านหยิบเอาหนังสือไป ท่านก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วรีบดึงเอาหนังสือนั้นไป จากนั้นสามเณร ลุนก็หายตัวไปโดยไม่มีใครทราบ ช่วงที่หายไปนั่นเองท่านได้ไปศึกษาวิชาจากฤาษีพระยาจักรสรวง จนสำเร็จวิชา แล้วจึงกลับมาที่วัดบ้านเวินไซ อีกครั้ง จากนั้นท่านก็อยู่ประจำที่นั้นตลอดมา จนอายุครบอุปสมบทจึงได้ อุปสมบทเมื่อ อายุ ๒๐ ปี ที่วัดนาคนิมิต หลวงพระบางโดยมี พ่อถ่านจันที อคฺคมโน เป็นพระอุปัชฌาย์ พ่อถ่าน หลวง ปุณฺณวงฺโส เป็นพระกรรมวาจา พ่อถ่านก้อม โสคมโน เป็นพระอนุสาวนาจารย์
เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ก็ประจำอยู่ที่วัดเวินไซ หลวงปู่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยมาก มีความรู้แตก ฉานในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี มุ่งเน้นไปในทางปฏิบัติเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากหลวงปู่มีความแตกฉานในทุก ๆ ศาสตร์ จึงได้แต่งตำราเกี่ยวกับวิชาอาคม ตำรายาสมุนไพร และตำราอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก ส่วนเรื่อง อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่นั้นมีการกล่าวถึงกันมากมาย มีตำนานเรื่องเล่าของท่านสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้
หลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ที่สมเด็จพระมหาญาณเถระ กตปุญฺโญ และอยู่เป็นที่พึ่งของลูกหลาน รวมสิริอายุได้ ๑๐๘ ปี จึงได้มรณภาพ ยังความเศร้าโศกเสียใจให้เกิดขึ้นแก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย คณะศิษยา นุศิษย์ได้จัดสร้างเจดีย์บรรจุอัฐิของหลวงปู่ไว้ ที่วัดบ้านเวินไซ เมืองโพนทอง แขวงจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ส่วน ที่ตั้งเมรุเผาศพของท่านนั้นได้เกิดเป็นต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้น ๕ ต้น ระยะหลังได้จัดตั้งวัดขึ้นอีกชื่อว่า วัดโพธิ์เวินไซ มาจนกระทั่งทุกวันนี้

◎รายนามบูรพาจารย์และศิษย์สายสำเร็จลุน◎
ขออภัยในลำดับที่เรียง อาจไม่ตรงกับอาวุโสพรรษาพระเถระครูบาอาจารย์ ด้วยศิษย์ในสายสำเร็จลุนมีมาก ซึ่งบางรูปท่านไม่ยอมให้ถ่ายภาพ ทำประวัติ หรือออกนาม บางรูปประวัติลางเลือนยากที่จะค้นเจอเป็นเพียงเรื่องเล่า หากขาดตกบกพร่องรายชื่อครูบาอาจารย์ท่านใด ข้าน้อยกราบขออภัยครูบาอาจารย์ด้วยเกล้า
๑. อาญาราชครูโพนสะเม็ก (ญาครูขี้หอม)
ปรมาจารย์ใหญ่ของสำเร็จลุนผู้บูรณะพระธาตุพระพนมในยุคแรก ผู้ประสิทธิประสาทวิชาพระเวทให้สำเร็จลุน ผู้ชำนาญในวสี ประกอบด้วยอิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์
๒. ญาท่านอุตตมะ อุปัชญาย์สำเร็จลุน และมีศักดิ์เป็นหลวงอา
๓. สำเร็จลุน บูรพาจารย์พระเวทแห่งนครจำปาสัก ผู้เรืองวิทยาคมแห่งสองฝั่งแม่น้ำโขงไทย-ลาว
๔. หลวงปู่ญาท่านสีดา วัดสิงหาญ อ.ตระการพืชผล จ.อุบลศิษย์ร่วมสำนักสำเร็จลุน
๕. พระอาจารย์ใหญ่ญาท่านดีโลด(พระครูวิโรตน์รัตโนบล บุญรอด นนฺตโร) วัดทุ่งศรีเมือง
จ.อุบลราชธานี ผู้บูรณพระธาตุพนมก่อนล่ม
๖. พระครูสีทัต อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ผู้สร้างพระธาตุท่าอุเทนและพระบาทบัวบก
๗. พระครูโคล่นฟ้า (อาจารย์ของหลวงพ่อเดีย วัดบ้านด่าน)
๘. เณรคำ สปป.ลาว
๙. เณรแก้ว สปป.ลาว
๑๐. ญาท่าน(สำเร็จ) ตู๋ ธัมมสาโร วัดสุขาวาส
๑๑. ญาท่านกัมมัฎฐาน (สำเร็จ) แพง วัดสิงหาญ
๑๒. ญาท่าน(สำเร็จ)ตัน วัดสิงหาญ
๑๓. ญาท่านบัณฑิต วัดสิงหาญ
๑๔. ญาท่านห่วน วัดสร้างแก้วเหนือ
๑๕. ญาท่านบุญ วัดบ้านคำหว้า
๑๖. ญาท่านธรรมบาลโสดา
๑๗. ญาท่านหนุ่ย วัดบ้านดงแถบ
๑๘. ญาท่านแสง วัดสระบัว
๑๙. ญาท่านโทน วัดบูรพา
๒๐. ญาท่านทอง วัดหัวเรือ
๒๑. ญาท่านฤทธิ์ วัดหัวเรือ
๒๒. ญาท่านภู วัดบ้านกองโพน
๒๓. ญาท่านภู วัดบ้านคำสะหมิง
๒๔. ญาท่านดี วัดบ้านเหล่าลิง
๒๕. ญาท่านศรี วัดสิงหาญ
๒๖. ญาท่านหลักคำ วัดโพธิ์ศรี
๒๗. ญาท่านบุตร วัดสำราษราฐ
๒๘. ญาท่านลี วัดเอี่ยมวนาราม
๒๙. ญาท่านบุญโฮม วัดดอนรังกา
๓๐. ญาท่านกัมมัฎฐานเก่ง วัดบ้านดงแถบ
๓๑. ญาท่านสวน ฉนฺทากโร วัดนาอุดมอ.ตาลสุม จ.อุบลราชนี
๓๒. ญาท่านโทน วัดบ้านพลับอ.เขื่องใน จ.อุบลธาชธานี
๓๓. ญาท่านสนธ์ วัดท่าดอกแก้ว
๓๔. ญาท่านอ่อง บ้านสะพือ อ. ตระการพืชผล จ.อุบล
๓๕. ญาท่านคำบุ คุตฺตจิตฺโตวัดกุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
๓๖. หลวงปู่พรหมา เขจาโร วัดเขานางคอยอ.ศรีเชียงใหม่ จ.อุบลราชธานี
๓๗. ญาท่านฮุ่ง วัดทุ่งแสวงสองคอน อ.โกสุม จ.มหาสารคาม
๓๘. ญาท่านป้อ ธมฺมสิริ วัดบ้านเอียด ต.เขวา อ.เมือง จ.มหาสารคาม
๓๙. ญาท่านซุน ติกขปัญโญ วัดบ้านเสือโก้ก ต.เสือโก้ก อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม
๔๐. หลวงปู่คำคนิง จุลมณี วัดถ้ำคูหาสวรรค์อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
๔๑. ญาท่านทวง ธัมมโชโต วัดบ้านยาง อ.บาบือ จ.มหาสารคาม
๔๒. ญาท่านปัญญา วัดผักหนาม จ.ชลบุรี
๔๓. หลวงปู่เครื่อง วัดเทพสิงหาร จ.อุดรธานี
๔๔. หลวงปู่จันทรหอม สุภาจาโร วัดบุ่งขี้เหล็ก อ.เขมราฐ จ.อุบล
๔๕. หลวงพ่อจ่อย สุจิตโต วัดศรีมงคล ต.หนองสนม จ.สกลนคร
๔๖. ญาท่านบุญมาก ภูมะโรง ประเทศลาว
๔๗. ญาท่านมุม อินทปัญโญ วัดปราสาทเยอ จ.ศรีษะเกษ
๔๘. หลวงปู่ท่านสุภาจ.ภูเก็ต
๔๙. ญาท่านหมุน วัดบานจาน จ.ศรีษะเกษ
๕๐. ญาท่านลุน วัดโพนแพง จ.ขอนแก่น
๕๑. ญาท่านด่อนอินทสาโรวัดถ้ำเกีย อ.ปากคาด จ.หนองคาย
๕๒. หลวงปู่ทับ วัดป่าแพงศรี อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์
๕๓. ญาท่านทา ( หลวงปู่ทา นาควัณโณ ) วัดศรีสว่างนาราม อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลฯ
 
5  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / คุณพระเศวตฯ กับ นางเบี้ยว เรื่องเล่าจาก ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2558 10:42:59


“เมื่อคุณพระเศวตฯ ยังเป็นลูกช้างเล็กๆ อยู่ที่บ้านกำนันในจังหวัดยะลา และยังไม่ได้ถวายตัวขึ้นระวางนั้น ปรากฏว่านางเบี้ยว (สุนัข) เป็นโรคอย่างหนักขนาดชักกระตุกไปทั้งตัว แทบจะเอาชีวิตไม่รอดอยู่แล้ว แต่ก็สู้อุตส่าห์กระเสือกกระสนคลานมาถึงที่คุณพระเศวตฯ อยู่ และเลียกินน้ำอาบของคุณพระเศวตฯ เข้าไป อาการป่วยทั้งปวงก็หายเป็นปกติ เดินเหินได้ตามเดิม รอดชีวิตมาได้

นางเบี้ยวก็กตัญญูรู้คุณ ติดตามคุณพระเศวตฯ เรื่อยมา ไม่ยอมห่าง คุณพระก็เมตตาเอ็นดูนางเบี้ยวถือว่านางเบี้ยวเป็นหมาของคุณพระ

เมื่อถึงคราวที่คุณพระเศวตฯจะต้องเข้ามาอยู่กรุงเทพฯเพราะเป็นช้างต้นขึ้นระวางแล้ว ทั้งคุณพระเศวตฯและนางเบี้ยวก็ทุรนทุรายเดือดร้อนมาก นางเบี้ยวร้องทั้งกลางวันและกลางคืนจะตามคุณพระมาด้วย

เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท จึงมีพระราชกระแส ว่า ช้างทั้งตัวยังเอาไปได้ ทำไมหมาอีกตัวเดียวจะเอาไปไม่ได้ ให้เอาหมาไปด้วยเถิด สงสารมัน อย่าไปพรากมันเลย

นางเบี้ยวติดตามเข้ามาอยู่กับคุณพระเศวตฯ เล็กในสวนจิตรลดาด้วย และเป็นที่รักชอบของคนในวัง เมื่อเข้ามาอยู่ในรั้วในวังก็เลื่อนฐานะขึ้นเป็นแม่เบี้ยว บางคนเรียกคุณเบี้ยวด้วยซ้ำไป และได้ออกลูกออกหลานไว้ที่โรงช้างนั้นเป็นจำนวนมาก

แม่เบี้ยวตายไปหลายปีแล้ว แต่คุณพระเศวตฯ ก็ยังเลี้ยงลูกหลานแม่เบี้ยวสืบมา เวลาคุณพระเศวตฯ ออกเดินในสวนจิตรลดาหมาคุณพระทั้งปวงก็วิ่งตามเป็นฝูงและเชื่อฟังคุณพระทุกอย่าง

เมื่อครั้งพระนางเจ้าอลิซาเบธแห่งกรุงอังกฤษเสด็จพระราชดำเนินที่พระตำหนักจิตรลดา คุณพระเศวตฯ ก็มายืนคอยรับเสด็จ หมาทั้งปวงของคุณพระก็มาวิ่งเล่นกันอยู่เต็มสนาม

ผมบังเอิญไปเห็นเข้าก็เข้าไปกระซิบคุณพระว่า หมา กระจัดกระจายเต็มทีแล้ว คุณพระได้ยินดังนั้น ก็ร้องเหมือนเสียงแตร หมาทั้งปวงก็วิ่งกลับมารวมกันอยู่บริเวณต้นไม้ใกล้ๆ คุณพระ ไม่ซุกซนต่อไป มีอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งคุณพระออกจะรักมาก วิ่งเข้ามาอยู่ใต้ท้องคุณพระ อาศัยคุณพระเป็นเงาบังร่ม

ควาญเล่าว่า เวลากลางคืนหมาหลายสิบตัวเหล่านี้ จะนอนแวดล้อมคุณพระ ใครเดินเข้าไปในเวลากลางคืนก็จะเห่าขึ้น
พร้อมกัน และถ้าใครขืนเดินตรงไปถึงตัวคุณพระ ก็คงโดนหมารุมกัดแน่ๆ

คุณพระเศวตฯ เล็กมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวอย่างน่าอัศจรรย์ แลเห็นพระองค์ต้องยกงวงขึ้นจบถวายบังคมทุกครั้งโดยไม่ต้องมีใครบอก และถ้าเสด็จพระราชดำเนินลงไปเยี่ยมที่โรงช้าง คุณพระก็จะเฝ้าฯ ไป และถวายบังคมไปเป็นระยะไม่มีขาด

จนพระกรุณาตรัสว่า ไม่ต้องถวายบังคมบ่อยถึงเพียงนั้น คุณพระจึงจะหยุดถวายบังคม”... เรื่องเล่าจาก “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

6  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / Re: ในมุมต่าง - เจ้าชายสิทธัตถะ มิได้ทิ้งลูกและภรรยา ออกบวชกลางคืนกับนายฉันนะ เมื่อ: 02 ตุลาคม 2556 09:26:28
 เยี่ยม
7  นั่งเล่นหลังสวน / ลานกว้าง (มุมดูคลิป) / Re: ส่งเมลล์ให้หน่อยจ้า... ฮา ๆ ทะลึ่งเล็ก ๆ เมื่อ: 13 มกราคม 2553 22:55:20
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
หน้า: [1]
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.096 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 11 สิงหาคม 2566 10:52:30