[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
23 เมษายน 2567 14:32:26 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 96
81  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / วิธีการออมเงินอย่างง่าย เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2555 18:03:35


1. ลงทุนซื้อกระปุกออมสินมาวางไว้ในที่ที่พบเห็นบ่อยครั้ง เช่น โต๊ะทำงาน ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ บนหัวเตียง ข้างรูปสุดที่รัก หรือแม้แต่หน้าห้องอาบน้ำ เป็นต้น เลือกเอาที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเป็นการฝึกนิสัยการออม โดยจะได้ไม่ลืมใช้เงินอย่างฟุ้มเฟือยและหยอดออมสินทุกครั้งที่มีเงินเหลือ

2. หัดรู้จักคำว่า ความจำเป็น กับ น่ารัก เพราะ ของทุกอย่างล้วนมีระดับความจำเป็นไม่เท่ากัน การซื้อโดยคำนึงแต่คำว่าน่ารักแล้วอยากได้อย่างเดียวนั้นไม่พอดังนั้นจึงควร คิดพิจารณาก่อนหยิบยื่นตรงแคชเชียร์ทุกครั้ง จะได้ไม่เสียใจเมื่อซื้อในภายหลัง เว้นแต่ว่าของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยากได้จริง ๆ เห็นสิ่งอื่น ๆ ที่สวยกว่าเราไม่สนและเหมาะสมกับสภาพเงินที่มีก็สมควรซื่อได้ เพื่อสนองความต้องการ

3. วิธีนี้สำหรับคนที่ชอบจดชอบเขียนคือทำ แบบบันทึกรายรับรายจ่าย อาจทำเป็นสมุดเล่มเล็กเพื่อพกพาไปได้ทุกที่ จ่ายอะไรไปก็จดไว้ ได้มายังไงก็จดไป พอครบกำหนดก็รวมรายรับรายจ่าย วิธีนี้สามารถตรวจต่อมความฟุ้มเฟือยของเราได้เป็นอย่างดี

4. หากรู้ตัวว่าต้องไปในที่ๆมีแต่ของฟุ้มเฟือย แพงหูฉีกจนแม้แต่เกิดใหม่ซักกี่ชาติก็ไม่สามารถหาตังค์มาซื้อได้ ให้ท่านยืนสงบนิ่งซักแป็บ แล้วเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋า จะได้ไม่ต้องพกให้เมื่อยกุงเกงแถมประหยัดอีกต่างหาก

5. ซื้อกระเป๋าที่มีช่องลับเยอะ ๆสำหรับพกไปเดินห้างสรรพสินค้าที่มีแต่ของสุรุ่ย สุร่าย เอาไว้ซ่อนเงินแล้วเวลาเกิดอยากได้อะไร พอเปิดกระเป๋าก็จะหาไม่เจอ ไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องเสียเงิน ประหยัดแบบวัยรุ่นยุคใหม่ ได้ทั้งความเท่ ประหยัดและปลอดภัยจากมิจฉาชีพ (แต่ต้องไม่ซ่อนจนลืมที่ซ่อนนะ)

6. เอาเงินไปฝากธนาคารแบบฝากประจำ อันนี้เป็นวิธีที่หลายคนนิยม ปลอดภัยสุด ๆ เมื่อเม็ดเงินของคุณถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีในตู้นิรภัยหนากว่าฟุต

7. ฝึก ทำงานพิเศษหารายได้ด้วยตนเองโดยไม่ง้อแบเงินขอพ่อแม่ให้ลำบากท่าน วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับนักศึกษาทั้งที่เรียนอยู่และจบทำงานแล้ว เพื่อฝึกให้เห็นถึงความลำบากของการหาเงินและคุณค่าของเงินที่
หลายคนหลงลืมไป

8. ซื้อของลดราคา สามารถหาได้ง่ายตามศูนย์การค้าทั่วไป (แม้แต่คนเขียนยังชอบ)

9. เอา ล่ะสิ วิธีนี้เหมาะกับแม่บ้านหัวไวหรืออนาคตนักคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ คิดเลขเร็วไงเวลาซื้ออะไรก็รวมรายจ่ายไว้ในสมอง ใช้ประกอบกับข้อสองวิธีนี้ก็จะศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นเผลอ ๆโตขึ้นได้ติดอันดับกินเนสบุคด้านคิดเลขเร็ว

10. อย่าหลงคำโฆษณาชวนเชื่อจากปากโฆษกขี้โว (ขี้โม้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกชอบชวนคุยและพวกที่ยิ่งคุยเข้าหูเราก็ยิ่งต้องระวังกันใหญ่

11.ฝากเงินไว้ที่เพื่อนนัดเวลาเอาเงินคืน ถือเป็น ATM  เคลื่อนที่ไปในตัว แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ต่อเราจริง ๆ เดี๋ยว ATMจะกลายเป็นตู้หยอดเหรียญแทน (ให้แล้วไม่ได้คืนอะดิ)

12. อยู่ว่าง ๆ ร้องเพลง คนมีตังค์ ดัง ๆ ได้ทั้งความสนุก สู้ชีวิต เผลอ ๆได้ (เศษ) ตังค์จริง ๆ ด้วย

13. เรียนรู้กับหลักดำเนินชีวิตที่ในปัจจุบันกำลังนิยมมากคือ เศรษฐกิจพอเพียงใน ข้อนี้สำคัญมากเพราะเป็นสิ่งที่ในหลวงของเราทรงย้ำเตือนคนไทยมากว่าหลายปี เป็นสิ่งที่ทุกคนควรอย่างยิ่งที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันไม่ให้ขาด ตกบกพร่อง ถวายเป็นความภักดีเพื่อพระมหากษัตริย์ของปวงชนชาวไทย


Credit By.........http://www.welfare.rtaf.mi.th

<a href="http://www.youtube.com/v/5xfZQWpXu2o?version=3&amp;feature=player_detailpage" target="_blank">http://www.youtube.com/v/5xfZQWpXu2o?version=3&amp;feature=player_detailpage</a>
82  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: วั น วิ ส า ข บู ช า :อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ เมื่อ: 26 พฤษภาคม 2555 17:48:25


รัก รัก รัก

สาธุ สาธุ สาธุ

<a href="http://audio.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=18072" target="_blank">http://audio.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=18072</a>
83  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2555 11:10:44


เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ได้เปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละว่า.......


เราเมื่อแสวงหานายช่าง{คือตัณหา}ผู้กระทำ
        
เรือนเมื่อไม่ประสบได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่
    
น้อยความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ดูก่อนนายช่างผู้
      
กระทำเรือนเราเห็นท่านแล้วท่านจักทำเรือนไม่ได้
        
อีกต่อไปซี่โครงทั้งปวงของท่านเราหักแล้วยอด
    
เรือนเรากำจัดแล้ว{จิต}ของเราถึงวิสังขาร (นิพพาน)
      
แล้วเราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว



(:LOVE:)บทสวดมนต์บารมี 30 ทัศ รัก


<a href="http://www.youtube.com/v/qKISA6YYRe0?version=3&amp;feature=player_detailpage" target="_blank">http://www.youtube.com/v/qKISA6YYRe0?version=3&amp;feature=player_detailpage</a>


Multiply............http://rompho.multiply.com/


84  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ๒๖๐๐ ปีแห่งการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อ: 24 พฤษภาคม 2555 10:55:13

<a href="http://www.4shared.com/embed/1451484778/d55783f7" target="_blank">http://www.4shared.com/embed/1451484778/d55783f7</a>

(:LOVE:)เพลงสัมพุทธชยันตี รัก

กดแล้วฟังได้เลย

สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คืออะไร............................

ในปัจฉิมยามพระองค์ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทนั่นก็คือพระองค์ทรงตรัสรู้สัจจะ

ความจริงที่เป้นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ทรงตรัสรู้ ความจริงที่เป็นเพียง จิต เจตสิก

รูป นิพพาน ไม่ใชสัตว์ บุคคล อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นเพราะมีความไม่รู้จึงมีสภาพ

ธรรมอื่น ๆ เกิดวนเวียนเป็น{สังสารวัฏฏ์}ไม่มีที่สิ้นสุดแต่เมื่อวิชชา คือปัญญาเกิดก็

สามารถดับสังสารวัฏฏ์ได้พระองค์ตรัสรู้ความจริงที่เป็นเพียงสภาพธรรมด้วยปัญญา

ของพระองค์ ตามความเป็นจริงการจะรู้ความจริงจึงรู้ขณะนี้ด้วยการฟังการศึกษาให้

เข้าใจสภาพธรรมทำหน้าที่เองให้ปัญญาเจริญขึ้นจนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่มีในขณะนี้


85  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2555 18:55:25



มา ปะมาทะมะนุยุญเชถะ

มา กามะระติสันถะวัง

อัปปะมัตโต หิ ฌายันโต

ปัปโปติ วิปุลัง สุขัง


ท่านทั้งหลายจงอย่าประกอบตามซึ่งความประมาท จงอย่าทำความชื่นบานด้วยอำนาจความยินดีในกาม เพราะคนที่ไม่ประมาทเพ่งเล็งอยู่ ย่อมได้บรรลุความสุขอันไพบูลย์ ดังนี้ อธิบายว่า ผู้ที่ชื่อว่าไม่ประมาทนั้น เพราะมีสติมั่นคง ดำรงอยู่ในการเพ่งเล็งด้วยสามารถแห่งสมถะและวิปัสสนามีพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอารมณ์ เพ่งอาการของสังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนแสงแห่งปัญญาขับไล่ความมืดมนให้ห่างไกล จิตใจสว่างได้รับความสงบระงับ นี้นับว่าได้รับความสุขอันไพบูลย์ ผู้ที่

ประพฤติดังนี้ ชื่อว่ายินดีในความไม่ประมาท ความไม่ประมาทเป็นคุณที่จำต้องปรารถนาในการงานทุกสิ่งทุกอย่างมมีอานิสงส์ผลบุญยิ่งใหญ่ไพศาลแก่ผู้ประกอบทั้งคดีโลกและคดีธรรม มีนัยดังอธิบายมานี้ ก็แลอัปปมาทธรรมความไม่ประมาทนี้ จะเกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยเหตุ คือ

มนสิการถึงความเสื่อมเป็นเบื้องต้น แท้จริงบุคคลที่คิดถึงภยันตรายอันจะเกิดมีแก่ตนและบริวารชนตลอดจนทรัพย์สมบัติแล้ว จึงไม่ประมาทคอยป้องกันระวังรักษาฝ่ายผู้ที่คิดถึงความเสื่อมของสังขาร ด้วยอำนาจชราพยาธิ มรณะ จึงไม่ประมาทมัวเมา หมั่นเฝ้ารักษาสติอารมณ์อบรมกุศลให้เกิดบริบูรณ์ในสันดาน เพราะฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์จึงตรัสเหตุแห่งความไม่ประมาทไว้เบื้องต้นว่า วะยะธัมมา สังขารา

สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ดังนี้แล้วจึงตรัสอัปปมาทธรรมไว้ในเบื้องปลายว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิดดังนี้ความปลงสังขาร พิจารณาด้วยปรีชาญาณ ให้เห็นความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมสังเวช จึงเป็นอุบายพิเศษก่อให้เกิดอัปปมาทธรรมด้วยประการฉะนี้.........................



Sometime Home....................http://poerlife.fx.gs/index.php?topic=1191.0


86  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2555 18:53:16



อัปปะมาโท อะมะตัง ปะทัง

ปะมาโท มัจจุโน ปะทัง

อัปปะมัตตา นะ มียันติ

เย ปะมัตตา ยะถา มะตา

ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย

ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย



(:LOVE:)คนผู้ไม่ประมาทชื่อว่าย่อมไม่ตาย รัก


ส่วนคนผู้ประมาทย่อมเป็นเหมือนคนตายแล้วดังนี้อธิบายความว่า ความท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏยังมีอยู่เพียงใดความเวียนเกิดเวียนตายก็ยังมีอยู่เพียงนั้น คนที่เกิดแล้วจะไม่แก่ไม่ตายไม่มีตัดต่อพืชแห่งความเกิดได้ความตายจึงไม่มี ธรรมอันพ้นจากความเกิดความตาย ได้แก่พระนิพพานอันเป็นที่สุดแห่งสังสารวัฏ และพระนิพพานนั้นจะบรรลุได้ ก็เพราะความไม่ประมาทเป็นมูล บัณฑิตตั้งอยู่ในความไม่

ประมาทแล้วบำเพ็ญข้อปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้น จนได้บรรลุมรรคผลนิพพานแล้วย่อมล่วงสังสารวัฏเสียได้ ไม่ต้องเกิดต้องตายไปอีก ส่วนคนผู้ประมาท ย่อมเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ด้วยอำนาจแห่งความเกิดความตาย ไม่ล่วงพ้นไปได้ เพราะพืชกรรมยังมีประจำอยู่ จึงเพาะให้เกิดวนเวียนไม่สิ้นสุดลงได้ ทั้งไม่สามารถตั้งตนได้แม้ในโลกนี้ถึงยังมีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายเสียแล้ว เพราะคุณความดีที่จะเกิดแก่ตนเช่นนี้ไม่มี

ส่วนคนไม่ประมาทแม้ไม่มีพื้นมาแต่เดิม ก็ยังสามารถตั้งตนได้ในโลกนี้ ด้วยอำนาจคุณความดีของตน ทั้งยังผลให้สำเร็จแม้แก่ชนเหล่าอื่น ถึงจะสิ้นชีพไปแล้วก็เป็นเหมือนยังดำรงอยู่ ด้วยอำนาจประโยชน์ที่กระทำไว้ให้ แม้แก่คนที่เกิดภายหลัง เหตุดังนั้นความไม่ประมาทจึงเป็นทางไม่ตาย ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความตาย คนผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมเป็นเหมือนคนไม่ตาย

บัณฑิตผู้สถิตอยู่ในความไม่ประมาท ทราบผลแห่งความไม่ประมาทโดยตระหนัก ทราบความต่างแห่งความประพฤติของคนประมาทและคนไม่ประมาท และผลที่บุคคลทั้งสองนั้นจะพึงประสบทั้งภพนี้และภพหน้า บันเทิงอยู่ในความไม่ประมาท รักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อันประเสริฐฉะนั้นเพราะเหตุนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสสอนว่า....................



87  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2555 18:49:31



เพราะสิ่งใดที่มีความเกิดปรากฏขึ้น สิ่งนั้นย่อมเป็นสังขารและสังขารนั้นเมื่อเกิดขึ้น ก็มีอาการทั้ง ๓ ซึ่งเป็นตัวทุกข์ประจำกำกับมาด้วยทีเดียว เหมือนดับไฟอันมีอาการร้อนประจำอยู่ฉะนั้น เมื่อสังขารเกิดขึ้นจึงได้ชื่อว่าทุกข์เกิดขึ้น เมื่อสังขารตั้งอยู่จึงได้ชื่อว่าทุกข์ตั้งอยู่ เมื่อสังขารเสื่อมไปจึงได้ชื่อว่าทุกข์เสื่อมไป เหมือนดังไฟอันมีอาการร้อนประจำอยู่ เมื่อไฟเกิดขึ้นก็ชื่อว่าความร้อนเกิดขึ้นเมื่อไฟตั้งอยู่

ก็ชื่อว่าความร้อนตั้งอยู่ เมื่อไฟดับไป ก็ชื่อว่าความร้อนดับไปฉะนั้นธรรมดาของสังขารย่อมเป็นอย่างนี้บุคคลที่ไม่รู้เท่าจึงมัวเมาอยู่ในวัยบ้าง ในความเป็นหนุ่มสาวบ้างในความเป็นผู้ไม่มีโรคบ้าง ในชีวิตบ้าง แล้วไม่อาศัยสังขารทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่นตามสมควร ชื่อว่าไม่ได้ถือเอาประโยชน์ จากกายกล่าวคืออัตภาพ หรือกลับอาศัยสังขารทำความชั่ว อันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและคนอื่น การที่เป็นเช่นนี้ก็

เพราะความประมาทคือเลินเล่อเผอเรอขาดสติ เพราะฉะนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสเตือนให้บำเพ็ญความไม่ประมาทด้วยพระพุทธภาษิตตามลำดับว่า อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิดดังนี้....................
ความไม่ประมาทนั้น ได้แก่ไม่อยู่ปราศจากสติ คือความไม่เลินเล่อ ความรอบคอบ คุณข้อนี้สมควรจะให้เป็นไปในกิจนั้น ๆ นับว่าเป็นสำคัญ
ทั้งคดีโลกและคดีธรรม ชุมนุมชนในโลกนี้ ต่างคนต่างเพียรเพื่อความเป็นอยู่ของตนเป็นเหมือนม้าที่วิ่งแข่งกันอยู่ในสนาม ม้าที่ฝีเท้าเร็วย่อมวิ่งขึ้นหน้าม้าที่ฝีเท้าช้าฉันใดอันชนผู้ไม่ประมาทแล้วย่อมรุ่งเรืองล่วงเลยผู้ประมาทเสียฉันนั้นความประมาทเป็นดุจฝ้าบังดวงจักษุเมื่อใดบัณฑิต

บรรเทาความไม่ประมาทเสียได้ด้วยความไม่ประมาทเมื่อนั้นย่อมได้ปัญญา สามารถทำตนให้พ้นทุกข์ ในปัจจุบันก็ตั้งตัวไว้ได้ในภายภาคหน้าก็มีสุคติเป็นที่หวัง ทั้งคุณความดีที่ทำไว้ในเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังเป็นเครื่องเชิดชูชื่อเสียงให้ปรากฏ และเป็นกิจยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่คนภายหลัง ทั้งไม่ทำตนให้เดือดร้อนด้วยเหตุอันหาประโยชน์มิได้ชีวิตของผู้นั้นจัดว่าไม่เป็นหมันแม้ตายไปแล้วก็เหมือนยังเป็นอยู่ เพราะคุณความดีที่ทำไว้นั้นเชิดชูให้ปรากฏ สมเด็จพระบรมสุคตจึงตรัสว่า.....................



88  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2555 18:46:46




(:LOVE:)ปัจฉิมโอวาทครั้งสุดท้าย รัก



หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ



ดำเนินความว่า เมื่อพระพุทธองค์จวนจะเสด็จปรินิพพาน ซึ่งบรรทมอยู่เหนือแท่นที่ปรินิพพาน ในโอกาสนั้นพุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อาบาสิกา ได้ประชุมกันเป็นหมู่ใหญ่ ในขณะนั้นนั่นเองพระองค์ได้ประทานพุทธานุสาสนี อันเป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย เมื่อพระพุทธองค์ตรัสพระอนุสาสนีนี้แล้ว ก็มิได้ตรัสพระดำรัสอะไรอีกเลย แล้วก็เสด็จปรินิพพาน ปัจฉิมโอวาทานุสาสนีนั้นว่า หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว วะยะธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ดังนี้..................


พระปัจฉิมวาจาพุทธภาษิตนี้มีอรรถาธิบายว่า สังขารคือสิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมีสองประการ คือสังขารที่มีใจครอง ซึ่งเรียกอุปาทินนกสังขาร เช่นสัตว์เดียรัจฉานและมนุษย์เป็นต้นอย่างหนึ่งสังขารที่ไม่มีใจครองเช่น ภูเขา ต้นไม้ เรือน รถ เป็นต้นอย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้ย่อมเกิดขึ้นและตั้งอยู่ได้ก็เพราะเหตุแต่งขึ้นจึงต้องเป็นไปตามเหตุ และต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เช่น อาหารช่วยบำรุงในเวลาเป็นอยู่ด้วย เหตุปัจจัยยัง

ทรงอยู่เพียงใด สังขารทั้งหลายก็ยังทรงอยู่เพียงนั้น ถ้าเหตุปัจจัยขาดลงโดยปรกติหรือถูกอะไรมาตัดรอนเสียในระหว่างกาลใด สังขารทั้งหลายก็ย่อมสลายไปในกาลนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลที่เกิดมาซึ่งได้ชื่อว่าอุปาทินนกสังขาร เมื่อเหตุยังส่งผลอยู่ ก็ย่อมผ่านวัยทั้งสามไปได้ เมื่อเหตุสิ้นไปหรือภัยอันตรายมาตัดรอนในระหว่าง ก็ย่อมสิ้นไปเสียก่อน ยังไม่ทันจะผ่านวัยไปให้ตลอดครบทั้งสาม แม้ในเวลาที่ยัง

เป็นอยู่ บางคราวก็เป็นไปสะดวกกล่าวคือมีสุขสบาย บางคราวก็ไม่สะดวกคือมักเจ็บไข้ได้ทุกข์ เป็นดังนี้ก็เพราะอำนาจแห่งเหตุ คือกรรมที่เป็นกุศลและอกุศลที่ได้ทำไว้ ทั้งเวลาที่เป็นอยู่เล่า ก็ย่อมมีอาการทั้งสามประจำอยู่เสมอ คืออาการที่ไม่เที่ยง เพราะแปรไปเปลี่ยนไปอยู่เสมอ ซึ่งเรียกว่าอนิจจังอย่างหนึ่ง อาการที่ทนอยู่ตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนไปแปรไปอยู่เสมอ ซึ่งเรียกว่าทุกขังอย่างหนึ่ง อาการที่ไม่เป็นไปตามอำนาจบังคับบัญชาของผู้ใดจึงต้องแปรไปเปลี่ยนไปไม่คงทนอยู่ได้ ซึ่งเรียกว่าอนัตตาอย่างหนึ่ง อาการทั้ง ๓ นี้ ย่อมย่ำยีห้ำหั่น

ล้างผลาญเบียดเบียนสังขารทั้งปวงทุกขณะ มิได้ว่างเว้นสักครู่หนึ่งเลย ครั้นย่ำยีห้ำหั่นล้างผลาญเสร็จล่วงไปแล้ว จึงได้แสดงลักษณะให้ปรากฏเป็นเครื่องหมายไว้ เหมือนไฟที่เผาเชื้อให้ไหม้แล้วแสดงเถ้าให้ปรากฏเหลืออยู่ฉะนั้น เพราะฉะนั้นสังขารทั้งปวงที่ปรากฏขึ้น จึงได้ชื่อว่าเป็นทุกข์อยู่เสมอ ถึงใครจะเห็นว่าเป็นทุกข์หรือไม่ก็ตาม สมด้วยความแห่งคาถาซึ่งเป็นภาษิตของวชิราภิกขุณีว่าทุกขะเมวะ หิ สัมโพติ ทุกขัง ติฏฏะติ เวติ จะ ทุกข์เท่านั้นย่อมเกิดขึ้น ย่อมตั้งอยู่ และย่อมเสื่อมไป นาญญัตะระ ทุกขา สัมโพติ นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นาญญัตะระ ทุกขา นิรุชฌะติ นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ



89  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / อัปปมาเทนะ{สัมปาเทถะ} เมื่อ: 23 พฤษภาคม 2555 18:36:36




ถ่ายภาพโดย Sometime สงวนลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย



สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

1.ความไม่ประมาทที่แท้ คือ อะไร ?

2.ความประมาท คือ หนทางแห่งความตาย จริงหรือไม่ อย่างไร ?

3.ชาวพุทธและมนุษย์ทุกคน จะต้องยึดถือความไม่ประมาทนี้เป็นหลักสำคัญยวดยิ่ง เพราะว่าถึงแม้เราอาจจะก้าวหน้าในการปฏิบัติ เป็นคนดี ประสบความสำเร็จ มีความสุข แต่ถ้าเราตกหลุมความประมาทเสีย ความเสื่อมความพลาด หรือแม้กระทั่งความวิบัติก็จะเข้ามา แม้แต่พระโสดาบันก็ยังเสื่อมจากธรรมที่ยังไม่บรรลุ จริงหรือไม่ ประการใด ?



<a href="http://www.youtube.com/v/6VgTP99a0xo?version=3&amp;feature=player_embedded" target="_blank">http://www.youtube.com/v/6VgTP99a0xo?version=3&amp;feature=player_embedded</a>

Credit By...............http://fx.gs/linkout.php?http://www.buddhapoem.com/

POST อย่างไว้ลาย ชาย + หญิง
ชาตินักรบ{รบกับตัวเอง}
ฮ่า ฮ่า ฮ่า สามเณรปลูกปัญหา(ปลูกปัญญาธรรม ฮ่า ฮ่า ฮ่า)

90  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ขอนั่งใกล้ ๆ น่ะหลวงพี่"ต้น" เมื่อ: 20 พฤษภาคม 2555 07:53:37






ถ่ายภาพประกอบกระทู้โดย Sometime สงวนลิขสิทธิ์



ถาม......หากพระอุปปัชชา ถามว่า พ่อ-แม่ อนุญาติ ให้บวช ได้ไหม แล้วนาคบอก ไม่อนุญาต

แต่อยากจะบวชจริง ๆ แล้วจะบวชได้มั๊ย ?




ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ตอบ........ ตามที่ได้ถามอาจารย์ประเชิญแล้วได้อธิบายว่า หาก บิดา มารดา ไม่อนุญาตให้

บวชไม่สามารถบวชได้ไม่ว่าจะมีความต้องการอยากจะบวชอย่างไรก็ตามและ

หากโกหกว่าบิดา - มารดาให้บวช ก็เป็นการไม่สมควร ที่ทำให้มีโทษกับผู้โกหกนั้น

และ หากพระภิษุบวชให้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่า ผู้ที่จะบวชโกหกพระผู้บวชให้ก็ต้องอาบัติอีก

ก็มีโทษทั้งสองท่านดังนั้น.......การบวชก็ต้องถูกต้องตามพระธรรมวินัยไม่ใช่อยาก

จะบวชแต่ไม่ถูกต้องแล้ว จะบวชนั่นไม่ควร

ซึ่งในความเป็นจริงการบรรลุธรรมไม่ว่าเป็นเพศอะไร คือ ฆราวาส หรือ บรรพชิต{ก็}

สามารถบรรลุธรรมได้เพราะความเข้าใจพระธรรมหรือ{ปัญญา}ไม่ได้เลือกเกิดเลยว่า

เป็นเพศอะไรสามารถอบรมปัญญาได้ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ

สำคัญที่สุดคือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจเรื่องของการบวชเป็น

เรื่องของอัธยาศัยของแต่ละบุคคลจริง ๆ ที่เห็นว่าการอยู่ครองเรือนเป็นที่หลั่งไหลมา

แห่งกิเลสอกุศลธรรมทั้งหลายควรที่จะได้สละอาคารบ้านเรือนทรัพย์สมบัติเพื่อมุ่ง

สู่เพศ{บรรพชิต}เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองด้วยความจริงใจทั้งหมดทั้งปวงก็ต้อง

เป็นไปตามพระธรรมวินัยไม่ใช่ว่าอยากจะทำอะไรก็ทำได้ต้องพิจารณาถึงความถูก

ต้อง ความควรและไม่ควรด้วยสิ่งที่ทำให้กุลบุตรไม่สามารถบวชได้ประการหนึ่ง  

คือมารดา - บิดาไม่อนุญาตให้บวชแม้จะมีความประสงค์ที่จะบวชก็บวชไม่ได้

ถึงแม้ว่าไม่สามารถบวชได้ก็ไม่ใช่ว่าจะปิดกั้นโอกาสแห่งการอบรมเจริญปัญญาสะสม

ความดีประการต่าง ๆ เพราะถึงแม้ว่าไม่ได้บวชก็สามารถเป็นคนดีที่เข้าใจพระธรรม

ได้ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะเห็นคุณประโยชน์ของกุศลธรรม มากน้อยแค่ไหนชีวิตในภพ

หนึ่งชาติหนึ่งสั้นมากในที่สุดแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้นสิ่งที่จะเป็น

ที่พึ่งติดตามไปในภพหน้าต้องเป็นกุศลธรรมเท่านั้น.............................................




<a href="http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5879" target="_blank">http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5879</a>



{จากบร์อดการสนทนาธรรมของมูลนิธิบ้านธรรมมะ}โดยท่าน อาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์และคณะวิทยากร



สามเณรปลูกปัญหา(ปัญญา)........http://www.trueplookpanya.com/truelittlemonk/

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุก ๆ ท่าน

<a href="http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5902" target="_blank">http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5902</a>

ปลายฟ้า...........http://rompho.multiply.com/
91  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ไฮไล้ท์สามเณร(ปลูกปัญหา)ปัญญา{อีกนิด} เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555 18:39:15





พระพุทธเจ้า ทรงอธิบาย นิวรณ์ โดยนัย 10 ประการ และ โพชฌงค์โดย 14 ประการ



.............ดังนี้..............



ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจว่า{นิวรณ์}คือ.....เป็นธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้นจิต คือ ปิดกั้น

จิตไม่ให้เป็นกุศล คือ เป็นอกุศล และเป็นธรรมที่บั่นทอนกำลังของปัญญา คือ ขณะที่

นิวรณ์ที่เป็น(อกุศลเกิด)ปัญญาเกิดไม่ได้ในขณะนั้นชื่อว่า(บั่นทอนปัญญา)ซึ่ง

นิวรณ์ เป็นไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น จิต เจตสิก ที่เป็น จิตที่ไมดี่ และมี{เจตสิก}

ที่ไม่ดีเกิดร่วมด้วย

นิวรณ์ประการแรก คือ กามฉันทะ นั่นก็คือ โลภะ(เจตสิก)ที่ติดข้องในรูป เสียง กลิ่น

รสสิ่งที่กระทบสัมผัสหากเราเข้าใจความจริง ข้อหนึ่งของโลภะ คือ เป็นสภาพธรรม

ที่ติดข้องได้ทุกอย่างดังนั้น.....กามฉันทะ ความติดข้องก็ติดข้องได้เกือบทั้งหมดพูด

ง่าย ๆ ว่าขณะนี้ ติดข้องอะไรบ้าง ติดข้องในรูปร่างกายของตนเองไหม ? ติดข้องใน

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ติดข้องแม้ขณะที่เกิดความสุข{โสมนัส}เวลาเกิดความสุขในใจ

ของตนเองก็ติดข้องอีก รวมความว่า สามารถเกิด{โลภะ}ติดข้องใน ตัวเอง และไม่ใช่

เพียงตัวเองเท่านั้นที่ติดข้อง เมื่อเห็นใคร บุคคลใด ก็ติดข้องในบุคคลอื่น เช่น สัตว์

เลี้ยงคนที่หน้าตาดีเป็นต้นก็ ติดข้องพอใจ อันอาศัย ผู้อื่นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น.........

{กามฉันทะ}จึงสามารถแบ่งได้เป็น 2 อย่างคือ เกิดความยินดีติดข้อง เพราะอาศัย ตัวเอง

เพราะถ้าไม่มี จิต{เจตสิก}รูปของตนเองก็ไม่มีการเกิดการติดข้องเกิดขึ้นดังนั้น{โลภะ}

เกิดได้ เพราะอาศัย ตัวเองทีเป็นสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป ติดข้องเกิดได้

และ กามฉันทะ ที่เป็นโลภะ เกิดได้เพราะอาศัยคนอื่น ๆ สัตว์อื่น ๆ ภายนอกและแม้

ไม่ใช่สัตว์ บุคคล แม้สิ่งไม่มีชีวิต เช่น โต๊ะ เก้าอี้ เป็นต้น ที่เป็นรูปธรรมภายนอกก็ทำ

ให้ติดข้อง เกิดกามฉันทะ ในสิ่งภายนอกได้

ดังนั้น....กามฉันทะนิวรณ์ จึงแบ่งเป็น 2 คือ โลภะที่่เกิดเพราะอาศัยตนเองที่เป็น

จิต เจตสิก รูป ที่สมมติว่าเป็นเราเป็นตนเอง และ โลภะเกิดขึ้นเพราะอาศัยคนอื่น

สิ่งอื่น ๆ ภายนอก ทีเป็น(จิตเจตสิก - รูป)ที่เป็นที่ตั้งอาศัยของโลภะได้แต่ไมได้

หมายถึง..........สภาพธรรมทีเกิดที่กายและที่เกิดทางใจ



<a href="http://www.youtube.com/v/GGql8401Rso?version=3&amp;feature=player_detailpage" target="_blank">http://www.youtube.com/v/GGql8401Rso?version=3&amp;feature=player_detailpage</a>


92  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ไฮไล้ท์สามเณร(ปลูกปัญหา)ปัญญา{อีกนิด} เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555 18:32:23





ถ้าเรามีธรรมะ เช่น เราเอาเรื่องของศีลธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เราก็จะไม่เบียดเบียนตัวเอง เราก็จะไม่เบียดเบียนผู้อื่น เบญจศีล เบญจธรรมนี่แหละเป็นสิ่งที่พวกเรานั้นเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อใดที่เราลืมไม่ได้เอาสิ่งนี้เข้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน ท่านทั้งหลายลองสังเกตดู ถ้าเรา

ผิดศีลเราก็จะทุกข์ใจ ไม่สบายใจ คนอื่นที่อยู่ใกล้ตัวเราก็เช่นเดียวกัน เขาก็จะรู้สึกทุกข์ใจ ไม่สบายใจเช่นเดียวกัน เมื่อไรที่ไม่สามารถเอาเรื่องธรรมะ ไม่สามารถเอาเรื่องศีลธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ชีวิตของเราก็จะพบแต่ความทุกข์ ห่างไกลจากความสุข เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายคงเข้าใจแล้วว่าจะนำธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร




<a href="http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=4531" target="_blank">http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=4531</a>

93  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ไฮไล้ท์สามเณร(ปลูกปัญหา)ปัญญา{อีกนิด} เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555 18:29:37



<a href="http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5437" target="_blank">http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5437</a>


94  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ไฮไล้ท์สามเณร(ปลูกปัญหา)ปัญญา{อีกนิด} เมื่อ: 10 พฤษภาคม 2555 18:14:56



<a href="http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5855" target="_blank">http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5855</a>

วันนี้ไปได้ภาพทาง(ธรรม)มาอีกเยอะว่าจะ POST ซ่ะหน่อย

เว็บของตัว Sometime ยังไม่ได้เข้าไปดูเลย

วันที่ ๑๐ - ๑๓ สามเณรปลูกปัญหา(ปัญญา)ออกธุดงค์

95  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ไฮไล้ท์สามเณรปลูปปัญ(หา)ปัญญา เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555 21:50:22


ปัญญาบารมี

๑. ขณะนี้ให้ดูอารมณ์ของจิตอย่างเดียว ตรวจสอบบารมี ๑๐ ทรงไว้ในจิตได้หรือไม่ เพราะจุดนี้เป็นฐานกำลังใจที่สำคัญมาก ถ้าหากไม่รักษากำลังใจให้เป็น ปรมัตถบารมี การปฏิบัติพระกรรมฐานก็เป็นผลได้ยาก

๒. และจงอย่าลืมใช้พรหมวิหาร ๔ คุม บารมี ๑๐ ทุกข้อ จักได้ผลทรงตัวดีต้องใช้ให้เป็นพรหมวิหาร ๔ ควบคู่กับพระกรรมฐานได้ทุกกอง

๓. สำหรับเวทนาทางกายให้กำหนดรู้มันเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไปเป็นปกติเป็นธรรมดา อย่าไปฝืน อย่าไปผูกใจเกาะติดกับเวทนานั้นให้ลงตัว สังขารุเบกขาญาน เข้าไว้ จิตจักเป็นสุข จุดนี้ต้องใช้ปัญญาพิจารณา

๔. งานทางโลกทำเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด ประการสำคัญก็คืองานทางธรรมนี่แหละ พึงจักมุ่งหมายทำให้จบเข้าไว้ ทำอะไรทุกอย่างก็เพื่อพระนิพพานจุดเดียว ต้องย้ำเจตนาของจิตไว้เสมอ จุดนี้ก็ต้องใช้ปัญญา

๕. เรื่องของการมีบารมี ๑๐ นั้น เป็นเรื่องของคนมีปัญญา ถ้าไม่ทำปัญญาให้แหลมคมเข้าไว้ บารมี ๑๐ ก็ไม่เต็ม จึงต้องหมั่นคิดหมั่นพิจารณาให้บ่อย ๆ ว่า บารมีตัวไหนไม่เต็ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาบารมี พึงจักมีไว้ในจิตเป็นปกติ

๖. คนไม่มีปัญญาพ้นทุกข์ได้ยาก เพราะจิตมันมืดบอดเสียแล้ว ความรู้ความเห็นตามความเป็นจริงก็ไม่มี ไฉนจึงจักพ้นทุกข์ได้ คนจักเดินทางไปสู่พระนิพพาน จักต้องรู้ต้องเห็นหนทางใดที่เป็นทางเข้าสู่ความพ้นทุกข์ ถ้าไม่รู้ไม่เห็นก็มีหวังไปกันไม่ถึง ไปไม่ถูก จึงต้องเจริญปัญญาบารมีให้เกิดขึ้นแก่จิต ในขณะเดียวกันก็ให้เห็นโทษขงการไม่มีปัญญาบารมีด้วย จักได้ช่วยชี้ชัดให้เห็นคุณของความมีปัญญา



<a href="http://www.youtube.com/v/TFkmjiZ2l-I?version=3&amp;feature=player_detailpage" target="_blank">http://www.youtube.com/v/TFkmjiZ2l-I?version=3&amp;feature=player_detailpage</a>

96  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ไฮไล้ท์สามเณรปลูปปัญ(หา)ปัญญา เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555 21:47:33


เนกขัมมบารมี

๑. อย่าละความเพียรในการพิจารณาบารมี ๑๐ และกรรมฐานทุกกอง พึงทำให้เจริญอยู่ในจิตทุกเมื่อ พยายามมีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้ถึงกิจที่ยังทำไม่จบอยู่เสมอ

๒. อย่าไว้ใจความไม่เที่ยงของร่างกาย ให้ทำความรู้สึกเอาไว้เสมอว่า ความตายกำลังใกล้เข้ามา หากมัวแต่รอช้าอยู่ ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปโดยไร้ประโยชน์ ถือว่าเป็นความประมาทอย่างยิ่ง สภาพจิตอย่างนี้ไม่พึงมีในจิตของเรา

๓. พิจารณาเนกขัมม บารมีไปถึงไหน (ตอบว่า ถึงจุดที่ว่าเนกขัมมบารมี คือ การมีศีล - สมาธ ิ- ปัญญา เพื่อความดับไม่มีเชื้อ)

๔. เชื้ออะไร (ตอบว่า เชื้อที่ทำให้ต้องเกิด)

๕. เชื้อเกิดคืออะไร (ตอบ คือ กิเลส - ตัณหา - อุปาทาน และอกุศลกรรม หรืออารมณ์โกรธ - โลภ - หลง)

๖. ถูกต้อง แล้วให้พิจารณาว่ามีเนกขัมมบารมี กาย - วาจา - ใจเป็นอย่างไร และไม่มี เนกขัมมบารมีเป็นอย่างไร จุดไหนเป็นคุณ จุดไหนเป็นโทษ ให้รู้ด้วย

ธัมมวิจัย ในอดีต เราพิจารณา เนกขัมมบารมี โดยใช้สัญญาความจำเป็นหลักว่า เนกขัมมบารมี คือ การถือบวชคือบวชใจของเราชั่วคราว ให้ใจเราสงบเป็นสุข บริสุทธิ์ชั่วคราว โดยการระงับนิวรณ์ ๕ หรือความชั่วของจิตทั้ง ๕ ที่ทำปัญญาให้ถอยหลัง คือ กามฉันทะ -ปฏิฆะ - ถีนมิทธะ (ความง่วง) อุทธัจจะ (ฟุ้งซ่าน) และ วิจิกิจฉา (ความสงสัย) จิตบริสุทธิ์ชั่วคราว จิตก็เป็นทิพย์ชั่วคราว จิตก็วิมุติหลุดพ้นจากสมมุติชั่วคราว (ปทังควิมุติ) การฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังอาศัยหลักนี้เป็นสำคัญ



97  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ไฮไล้ท์สามเณรปลูปปัญ(หา)ปัญญา เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555 21:44:17





บทสวดหรือพระคาถาป้องกันภัย ๑๐ ทิศ



<a href="http://www.youtube.com/v/janFZf21KU0?version=3&amp;feature=player_detailpage" target="_blank">http://www.youtube.com/v/janFZf21KU0?version=3&amp;feature=player_detailpage</a>

98  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ไฮไล้ท์สามเณรปลูปปัญ(หา)ปัญญา เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555 21:38:27



<a href="http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5847" target="_blank">http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/playerPlookpanya.swf?URLofFile=http://www.trueplookpanya.com/true/flvplayer/player_cms.xml.php?mul_source_id=5847</a>

99  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ไฮไล้ท์สามเณรปลูปปัญ(หา)ปัญญา เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555 21:34:19





<a href="http://www.youtube.com/v/u_8ppi3m2pg?version=3&amp;feature=player_detailpage" target="_blank">http://www.youtube.com/v/u_8ppi3m2pg?version=3&amp;feature=player_detailpage</a>

100  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ไฮไล้ท์สามเณรปลูปปัญ(หา)ปัญญา เมื่อ: 09 พฤษภาคม 2555 21:20:34





สามเณรปลูกปัญหา(ปัญญา)ตอนที่ ๑



<a href="http://www.youtube.com/v/oruYbOArJzM?version=3&amp;feature=player_detailpage" target="_blank">http://www.youtube.com/v/oruYbOArJzM?version=3&amp;feature=player_detailpage</a>


หน้า:  1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 96
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.562 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 10 กรกฎาคม 2562 03:42:12