[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
19 เมษายน 2567 21:13:41 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 [2] 3 4
21  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: เชิญร่วมทำแบบประเมิน RQ วิเคราะห์ตนเอง เมื่อ: 01 มิถุนายน 2553 22:51:32
ด้านความมั่นคงทางอารมณ์ (ข้อ 1 - 10)  คุณได้  36  คะแนน    ผลการประเมินของคุณคือ  สูงกว่าเกณฑ์
       ด้านกำลังใจ (ข้อ 11 - 15)  คุณได้  17  คะแนน   ผลการประเมินของคุณคือ   เกณฑ์ปกติ
       ด้านการจัดการกับปัญหา (ข้อ 16 - 20)  คุณได้  17  คะแนน  ผลการประเมินของคุณคือ   เกณฑ์ปกติ
       คะแนนรวมทุกด้าน คุณได้ 70  คะแนน  ผลการประเมินของคุณคือ   สูงกว่าเกณฑ์


          โทดค๊าบ โทดค๊าบ โทดค๊าบ โทดค๊าบ โทดค๊าบ
22  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / หลักตัดสินธรรมวินัย ๘ เมื่อ: 14 เมษายน 2553 08:40:02
        



พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เมืองเวสาลี พระนางมหาปชาบดี เสด็จไปทูลขอให้ทรงแสดงธรรมโดยย่อ

เพื่อหลีกออกปฏิบัติแต่ผู้เดียว พระพุทธองค์ทรงประทาน ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ ให้ทรงปฏิบัติ คือ

๑.ความกำหนัด

๒.ประกอบสัตว์ไว้ในภพ

๓.ความสั่งสมกิเลส

๔.ความมักมาก

๕.ความไม่สันโดษ

๖.ความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ

๗.ความเกียจคร้าน

๘.ความเลี้ยงยาก

พึงทราบเถิดว่า นั่นไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา

ส่วนธรรมเหล่าใดที่มีลักษณะตรงข้ามนี้ พึงทราบเถิดว่า นั่นเป็นธรรมวินัย

เป็นคำสั้งสอนของพระศาสดา.



สังขิตตสูตร ๒๓/๒๕๕



ส่วนเสริม

ในเมืองไทยมักมีผู้อ้างตัวเป็นผู้รู้อยู่ทั่วไป มักจะอธิบายธรรมะตามความพอใจของตน ตีความธรรมะเอาตามใจชอบ

ตั้งกฏเกณฑ์ต่างต่าง เอาตามความพอใจ แล้วอ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ พระสูตรนี้จะเป็นหลักเปรียบเทียบ

ได้อย่างดี

เพื่อความสมบูรณ์ โปรดดูมหาประเทศ ฝ่ายพระวินัยและฝ่ายธรรมะด้วย ถ้าขัดแย้งกัน แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ถือว่าเป็น

ของแปลกปลอมเข้ามาใหม่อย่ารับไว้ เพราะนอกจากจะทำให้เราเกิดความไขว้เขวปฏิบัติผิดแล้ว จะเป็นเหตุให้พระสัทธรรม

เลือนหายอีกด้วย

การเผยแผ่ธรรมะที่ถูกต้อง ไม่ว่าในการพูดหรือเขียน ควรจะมีหลักฐานที่มาที่ไปชัดเจน เพราะธรรมะต่างต่าง ที่เราสอนและ

เรียนกันอยู่ทั่วไปนั้น ล้วนเกิดจากการค้นพบของพระพุทธเจ้าทั้งหมด สาวกเป็นผู้สืบทอดต่อมา

ในฐานะพทธสาวกที่ดี ควรจะรักษาธรรมะที่บริสุทธิ์ไว้และเผยแผ่แต่ธรรมะแท้ อย่าได้ปลอมปนทิฐิของปุถุชนเข้าไปเลย

จะเกิดบาปเสียเปล่าถ้ายังอยากดังอยากเด่นก็ควรที่จะตั้งต้วเป็นศาสดาองค์ใหม่เสียให้รู้แล้วรู้รอดกันไป




ขอบคุณที่มา จากหนังสือพระไตรปิฎก ฉบับดับทุกข์ : ธรรมรักษา
23  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: เก็บตกวรรณคดีไทยเรื่องขุนช้าง - ขุนแผน เมื่อ: 09 มีนาคม 2553 16:13:08
ว๊าว

คุงคูภาษาไทย


หวัดดีท่านขุนช้าง เอิ๊ก เอิ๊ก
24  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / Re: สมัยก่อนเค้าวิวาห์ เมื่อ: 03 มีนาคม 2553 17:40:28
รุ่นนี้คงมาเกิดใหม่กันแล้วละ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกก  ขำ
25  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: อสุจิ มีคุณภาพแค่ไหน อีกหน่อยก็ตรวจกันเองได้ที่บ้านแล้วนะเออ เมื่อ: 02 มีนาคม 2553 22:17:59
             ฝากของปู่ตรวจด้วยจิ  กร๊ากกกกกกก

  http://upload.zeedasia.com/viewer.php?file=wkyai8vg8ejinqzko0yj.png
26  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: สุดฮอท แวมไพร์สาว จาก "ทไวไลท์" ลงทุนเปลือย บอดี้เพ้นท์ เมื่อ: 02 มีนาคม 2553 21:30:09
เหมือนตัวนิ่มเลยอะ
27  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / กระบะประหยัดน้ำมัน??? เมื่อ: 23 กุมภาพันธ์ 2553 11:48:13
กระบะประหยัดน้ำมัน???

23 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา 11:11 น.


ว้ายยยย อกอีแป้น แทบแตก เมื่อเห็นโฆษณาค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ที่ออกภาพยนตร์โฆษณาเกี่ยวกับความประหยัดของรถกระบะยี่ห้อดังคันหนึ่ง ก็รู้สึกขนลุกพรึบ ไปทั้งตัว

โดย....เต้ย ตอบโจทย์

ว้ายยยย อกอีแป้น แทบแตก เมื่อเห็นโฆษณาค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ที่ออกภาพยนตร์โฆษณาเกี่ยวกับความประหยัดของรถกระบะยี่ห้อดังคันหนึ่ง ก็รู้สึกขนลุกพรึบ ไปทั้งตัว

ก็แหม... โฆษณาโทรทัศน์ชุดนี้อุตสาห์จ้างดาราหนุ่ม ขนเข้ม เอ้ยยยย คมเข้ม มาเป็นพระเอกของท้องเรื่อง ทำตัวเป็นเจ้าบ้านคนไทยที่ดี ช่วยรับสาวสวยชาวญี่ปุ่นหน้าตาน่ารักน่าชัง จากดินแดนนครพิงค์ เจียงใหม่ มาส่งให้แฟนหนุ่ม ที่เมืองภูเก็ต ไข่มุกอันดามันของไทย

อุ้ย.... แค่นี้ ก็สุดแสนจะซึ้งใจ กับความใจดี ของพ่อพระเอกของเราเสียแล้วว่า ทำม้ายยยย ทำไม ถึงใจดีขนาดนั้น ก็เจียงใหม่-ภูเก็ต นั่งนับนิ้วมือ รวมนิ้วเท้าแล้วสรุปว่ามีระยะทางกว่า 1,500 กิโลเมตร!!!

แล้วใคร จะใจดีขนาดนั้น แค่ส่งขึ้นรถทัวร์ ก็บุญแล้ว นี่ขับรถมาส่งเองเลย แมนสุดๆ

ไม่ใช่แค่นั้นนะ มีเพื่อนน้องพ้องพี่ กริ๊งกร๊าง มาถามเป็นทิวแถว ว่าทำงานสายรถยนต์มาเป็นสิบปี ทำไมไม่เห็นบอกกันเลยว่า มีรถกระบะประหยัด โค่ด โค่ด อย่างนี้อยู่ในบ้านนี้เมืองนี้

น้ำมัน 1 ถัง วิ่งได้ 1,500 กิโลเมตร!! แล้วยังไม่เขียนถึงอีก

อย่างนี้ ต้องเอาหัวไปจุ่มถังน้ำมันตายให้รู้แล้ว รู้รอดไป

เฮ้อ... เรื่องนี้ ก็เลยต้องมานั่ง สีซอ... เอ้ย อธิบายให้เพื่อนพ้องน้องพี่ ที่กินหญ้า เอ้ย... กินข้าวให้ได้รู้กันว่า โถ ถัง กะลังหม้อ มันเป็นแค่โฆษณา อย่าไปเอามาคิดเป็นเรื่องเป็นราวจริงจังอะไรเลย

ถ้าประหยัดขนาดนั้นจริงๆ ละก็ บริษัทน้ำมัน เอาไฟไปเผาโรงงานผลิตกระบะยี่ห้อนั่นไปแล้วครับพี่น้องงง

แล้วที่เขาบอกในโฆษณาว่า เป็นการขับขี่จริง ตามสภาพการจราจร ก็ต้องไปดูในรายละเอียดกันนะจ้ะ ว่าขับความเร็วเท่าไหร่ เป็นรถกระบะรุ่นใหน รุ่นเกียร์ธรรมดา หริอเกียร์อัตโนมัติ ความเร็วเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือขับที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ปิดแอร์ครับ เปิดแอร์ขับ ปิดกระบะท้ายรถด้วยหรือเปล่า อู้ยยย เยอะแยะ ไปหมด

ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะขับได้  

อย่าลืมว่า โฆษณาคือ การบอกความจริงครึ่งเดียว นะตัวเอง

อืมมมม...ผมเอง ก็ขับรถขึ้นเหนือลงใต้ ก็ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ส่วนใหญ่ฟาดน้ำมันเที่ยวนึงหลายถัง ไม่เห็นมีค่ายรถกระบะค่ายไหน ออกมาโวยวาย ว่าผมใช้น้ำมันเปลืองเกินความเป็นจริงเลย

ถ้าน้ำมัน 1 ถัง ขับได้ระยะทางขนาดนั้นจริงๆ ในการใช้งานจริงๆ ไม่มีรถนำขบวน ไม่ได้ขับเป็นคาราวาน ความเร็วเกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง เปิดแอร์ให้เย็นฉ่ำตลอดการเดินทาง ผมทุบกระปุกซื้อคันนึงทันที

แล้วไม่รู้ว่า ที่น้ำมัน 1 ถัง ขับจากเหนือจรดใต้ นั้นถ้าขับได้จริง ไม่รู้ว่ากี่วันกว่าจะถึง เพราะในโฆษณา ไม่มีช่วงพักนอนเลยนะ ผมว่าอย่างนี้ กระทิงแดง เอ็ม-150 คาราบาวแดง ควรรีบเป็นสปอนเซอร์ร่วมทันที เพราะพระเอกอึดมากกกก

อีกอย่างที่น่าหมั่นไส้ คือ นางเอกญี่ปุ่น หน้าตาโนะเนะ ที่ไม่รู้ว่าทำไม ถึงกล้าขึ้นรถมากับคนแปลกหน้าเพื่อให้ไปส่งไกลขนาดนั้น ไม่เกรงใจ!! คนไทยจริงๆ อย่างนี้ “รู้หน้า ไม่รู้ใจ”

นั่งมาแล้ว เวลาผ่านปั๊มน้ำมัน ยังมีหน้าหันมาบอกว่า “gas station?”

พระเอก ก็บอกว่า จิ๊บ จิ๊บ

ไม่รู้ว่าพระเอก ไม่รู้ภาษาอังกฤษ หรือเป็นลูกไก่กลับมาเกิด

จริงๆ แล้ว ที่นางเอก บอกว่า gas station? นั้นก็เพราะอยากให้แวะหน่อย

“กูปวดท้องงงงงงง อี้.....”

ไม่ได้สนใจหรอกว่า รถของเมิง จะน้ำมันหมด หรือน้ำมันเต็ม คนนั่งที่ไหนจะรู้ว่ารถคันไหนจะเติมน้ำมันตอนไหน

พระเอก ก็มัวแต่ จิ๊บ จิ๊บ อยู่นั่นแหละ

เฮ้อ....ป่านนี้ ไม่รู้ว่า ส่งนางเอก ให้แฟนของเขาไปแล้ว พระเอกของเรา ต้องไปล้างรถกันขนาดไหน ก็เลอะเทอะ ไปหมดทั้งคันแล้ว แน่ๆ

ส่วนกระบะอีกยี่ห้อ โฆษณากันจิ๊งงงง ว่าน้ำมันถังเดียว ขับไปถึงมาเลเซีย สิงค์โปร์ ทะลุบ้านทะลุเมืองกันไปโน่นนน ก็ไม่ว่ากันขับได้ก็ขับได้ แต่ไหงงง เวลาผมเดินทางไปต่างจังหวัด เจ้ากระบะยี่ห้อเดียวกันนี้ ออกจากกทม.วิ่งลงใต้ แค่ชุมพร ก็เลี้ยวเติมน้ำมันกันเป็นแถวแล้ว

ไม่เห็นมีคันไหน วิ่งทะลุไปถึงสุราษฎรธานีสักคัน

เอาเป็นอย่างนี้ ดีกว่า น้ำมัน 1 ถัง วิ่งได้แค่ไหน ไม่สำคัญ ไฟแดงเตือน ก็เติมแล้วกัน อย่าคิดมากกกก



ขอบคุณข้อมูล : นสพ.โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 23/02/2010
28  จากใจถึงใจ / สุขใจ ป่าวประกาศ (ข้อความจากทีมงาน) / Re: ท่านพึงพอใจกับเวบนี้หรือไม่ เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2553 21:42:39


          พอใจโครตโครตเลยน้า กร๊ากกกกกกกกกกก
29  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: ยอมโง่บ้างก็ดี เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553 14:07:08


อนุโมทนากับบทความดีดี ครับ

คงต้องเอาบทความนี้ไปให้ลูกชายอ่านซะหน่อยครับ  ยิ้ม
30  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: ศูนย์กลางจักรวาล เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553 13:55:00
สุโคร่ยมากครับ  หัวเราะลั่น
31  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: แบบทดสอบสมอง ลองดูกัน เมื่อ: 01 กุมภาพันธ์ 2553 07:46:37

 ผมเห็นวนขวานะ แล้วส่วนหัวคนผมเห็นภายใน 20 วินาที ไม่ถึง 25 วินาที หัวเราะลั่น



ปล.น้าแม๊คบอกว่าเห็นหมุนแบบสองด้านแสดงว่าน้าแม๊คมีสองเพศในร่างเดียว อันนี้น่ากลัวครับ เสียวหลังวาบ..........เง้ออออ
32  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / กระทบใจ โดยแม่ชีทศพร เมื่อ: 29 มกราคม 2553 09:31:54
กระทบใจ

      มีหลายท่านเพียรพยายามปฏิบัติธรรมหาอาจารย์ หาคนที่จะบอกแนวทางในการนั่งปฏิบัติ
   ไปทุกที่ ที่ไหนเขาเล่าว่าดีก็ไป ไปแล้วก็ยังหาไม่พบ เพราะไม่ถูกใจ มีคำถามในใจตลอด
    ทำไมที่นี่ ที่นั่นไม่สงบหนอ

      แม่ชีมีเรื่องเล่านะคะว่า ครูบาอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือตัวเรา ไม่ใช่สถานที่หรืออาจารย์
   ที่ไหน แม่ชีถูกฝึกให้อยู่กับอารมณ์ที่มากระทบว่าโกรธไหม โลภไหม รักไหม หลวงพ่อปรีชา
   ท่านสอนแม่ชีให้อยู่กับความเป็นจริงของใจ อยู่ๆ ท่านก็ด่าว่า แม่ชีต่อหน้าโยมเต็มศาลา เมื่อ
   บวชใหม่ๆ บอกได้เลยว่าจิตตก เสียงที่ท่านด่า ทำให้แม่ชีหาคำตอบให้ตัวเองว่า ท่านกำลังสอน
   อะไรเรา แต่ก็เกิดปัญญาที่ทำให้เข้าใจว่า อ๋อ ท่านด่าให้เรารู้จักคิด รู้จักฟัง คำด่าของท่านเมื่อ
   ใครได้ยิน ต่อให้ปฏิบัติขั้นเทพก็จิตตก อย่างเช่น “อีตอแหล”
 
      แม่ชีเริ่มเรียนรู้ในสิ่งที่ท่านสอน จะด่าจะว่าก็ไม่เห็นเป็นไร ก็ท่านจะด่า ถ้าเราคิดดีท่านคง
   ไม่ด่า เราก็บปรับอารมณ์ ปรับสภาพของใจคิดสวนทางเพื่อไม่ให้จิตตก ท่านผู้อ่านคะ แม่ชี
   เริ่มเข้าใจว่าสมาธิไม่ได้อยู่ที่เรานั่งหลับตา สมาธิอยู่ที่เราลืมตานี่แหละ ตาเห็นใจคิดปากพูด
   อันนี้ขาดสติ ต้องสอบสวนตัวเราก่อนว่า เราเห็นอะไร เราคิดอะไร เราพูดอะไร สิ่งที่มา
   กระทบตา กระทบใจ คืออภิธรรมข้อใหญ่ สำหรับผู้ฝึกสมาธิ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
   ย่อมต้องการสิ่งที่เพลิดเพลินพอใจ แต่ว่าถ้าพอใจ ติดใจ นั่นคือกิเลส

      แล้วทำอย่างไรถ้าพอใจ ก็ต้องตัดใจ เพราะความพอใจมีส่วนของความโลภ ความหลง
   หรือความโกรธส่งมาเป็นกระบวนการของใจปรุงแต่ง เหมือนหนุ่มรักสาว ถ้าสาวรักตอบก็
   พอใจ แต่พอสาวโกรธ ก็ไม่โกรธตอบ เพราะรักสาว สภาพของใจหรือจิต ส่งผลว่าทนต่อ
   อารมณ์สาวได้ หรืออาจทนไมได้เมื่อสาวโกรธบ่อย หนุ่มก็โกรธตอบ เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ ขึ้น
   ความขัดแย้งทางความคิดก็ปรุงต่อไป สาวเริ่มกระทบใจเมื่อหนุ่มโกรธตอบ อารมณ์ที่ถูก
   กระทบรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นทำร้ายร่างกายตัวเอง หรือทำร้ายหนุ่ม หรืออาจเป็นหนุ่มทำร้าย
   ตัวเอง เพราะยับยั้งความโกรธไม่ได้ และสาวก็อาจเป็นคนที่ถูกทำร้ายเช่นกัน

      สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ และสัตว์โลกทุกชีวิต ถ้าไม่ได้ถูกฝึกฝนตนเองอย่าง
   สม่ำเสมอ ย่อมตกเป็นทาสของตัณหาอุปาทานตลอดไป อาจารย์ใหญ่คือ ร่างกายหนาคืบ
   กว้างศอกของเรานี่แหละ ทำอย่างไรจะเอาชนะใจตนเองได้ เอาชนะกายได้ บางท่านนั่งสมาธิ
   จนไม่คิดทำมาหากินเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ใจสั่ง แต่เมื่อถอนสมาธิอยู่กับโลกปัจจุบัน
   กลับไม่สงบเลย โกรธง่าย ปลั๊กโมโหอยู่รอบตัว ไม่รู้โกรธอะไร แล้วทำไมเป็นเช่นนี้
   เพราะอะไร

      เพราะเข้าใจว่านั่งแล้วจะบรรลุธรรมวิเศษ เหาะเหินเดินอากาศได้ หรือมีฤทธิ์หยั่งรู้อดีต
   อนาคต สุดแล้วแต่ใจปรุงแต่ง มีเหตุปรุงแต่งก็ตัดเหา ถ้าเป็นคำสอนของพระพุทธองค์
   ท่านไม่สนับสนุนให้สงฆ์รูปใดใช้ฤทธิ์ หรือพูดในสิ่งที่หยั่งรู้อดีต หรืออนาครถ้าสงฆ์รูปนั้น
   มิได้บรรลุธรรมวิเศษจริง มีวินัยปรับขั้นหลุดจากการเป็นสงฆ์

      แล้วมีจริงไหมธรรมวิเศษ ที่ทำให้ได้ตาทิพย์ หูทิพย์ วาจาทิพย์ กายทิพย์ ใจทิพย์
   (จิตเป็นทิพย์) มีจริงค่ะ แต่ต้องไม่ใช่ด้วยตัณหา ผู้มีบุญวาสนาและจิตบริสุทธิ์ กายวาจา
   บริสุทธิ์ ก็อยู่แค่เอื้อม อันนี้ไม่สำคัญเท่าปฏิบัติแล้วรู้เท่าทันกองสังขาร เมื่อรู้เท่าทัน
   กองสังขารก็ไม่ยึดติรูปนาม ดับไม่เหลือเชื้อ ไม่ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารอีกต่อไป

      แค่นี้ก็พอจะทำให้เข้าใจว่า จิตของมนุษย์เท่านั้นที่สามารถดับโกรธ โลภ หลงได้ แต่ก็
   ต้องใช้เวลาเมื่อพอ และสงบย่อมไม่ต้องตามหาความอยากอีก มีฤทธิ์ไปทำไม รู้อดีตชาติ
   แล้วจะได้อะไร รู้อนาคตแล้วจะทำอย่างไร ถ้ามีคนบอกว่า อนาคตคุณต้องตาบอดตลอดกาล
   เตรียมตัวตายอย่างสม่ำเสมอดีกว่ามานั่งทายเงินในกระเป๋าคุณมีเท่าไหร่ (เสียเวลา) เราตอบ
   ดีก็ถูกใจ เราตอบไม่ดีก็ไม่ถูกใจ เขาเรียกว่า “กระทบใจ”

 
      
   ดร.แม่ชีทศพร
   
33  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: บทความดังตฤณ วันที่28 ม.ค.53 เมื่อ: 29 มกราคม 2553 08:18:50
มนุษย์ทั่วไปถือศีลห้ายังไม่ครบเลย

แต่ดันมาวิจารณ์พระซึ่งถือศีล 227 ข้อ

เรียกว่าตีตนเสมอพระ ซึ่งถือว่าเป็นกรรมหนักเหมือนกันนะครับ

คิดว่าตัวเองภูมิธรรมสูงแล้วไปวิจารณ์พระ ถือศีลให้เท่ากับพระซะก่อน

คือไปบวชซะครับ ศีลเสมอแล้วคงไม่บาปหนา ผมว่านอกจากเอาเวลาว่าง

ไปอ่านหนังสือธรรมะ ศึกษาธรรมะแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ การสวดมนต์

ไหว้พระ นั่งสมาธิดูจิตตัวเองซะบ้างนะครับ จิตเรามีค่าและสำคัญกว่า

จิตของผู้อื่น มีของดีอยู่ในตัวทุกคนนะครับ ควรนำมาใช้ครับ

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ

29/01/2001
34  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / บทความดังตฤณ วันที่28 ม.ค.53 เมื่อ: 29 มกราคม 2553 07:49:32
บทความดังตฤณ วันที่28 ม.ค.53


DLiteMag ฉบับวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๓

ขอคุยต่ออีกฉบับหนึ่งนะครับ
เกี่ยวกับกรณีหลวงพ่อปราโมทย์
เพราะกำลังเป็นที่สนใจในวงกว้างขณะนี้
และเช่นเคยครับ ขอเขียนในลักษณะถามตอบเป็นประเด็นๆ
เนื่องจากเนื้อหามีความยืดยาว
หากไม่แจกแจงตามข้อสงสัยในใจ
ก็อาจต้องอ่านต่อเนื่องแบบหลงประเด็นได้

ถาม – สไตล์ที่หลวงพ่อปราโมทย์สอน
จัดเป็นการสอนในแบบของพุทธหรือไม่?

ตอบ – หลายคนกล่าวว่าการทักจิต ดักจิตของหลวงพ่อปราโมทย์
เป็นการทำให้หลงงมงายในตัวท่าน
และไม่ใช่วิธีการอันพึงปฏิบัติในขอบเขตของพุทธ
เพราะไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ท่านใดทำกัน

ข้อเท็จจริงก็คือครูบาอาจารย์พระป่า
ท่านช่วยลูกศิษย์ลูกหาด้วยวิธีทำนองเดียวกันเป็นปกติ
เอาจากตัวผมเองเป็นพยานยืนยัน
เคยมีครูบาอาจารย์พระป่าหลายรูปเมตตาบอกให้ลัดๆตรงๆ
บางทีก็พูดชัดๆว่าทำงั้นใช้ได้ ทำงี้ยังไม่ใช่
หรือบางทีก็อาศัยภาษากาย
วันไหนเราทำตัวดีท่านก็ยิ้มแย้มพูดจาต้อนรับเอ็นดู
วันไหนเรามีพฤติกรรมไม่เหมาะสมก็เบือนหน้าใส่โดยไม่ต้องสอบสวน
ให้เราสังเกตจากปฏิกิริยาอาการของท่าน
แล้วไปสำรวจตนเองเอาตามปัญญา

ที่สำคัญแม้ปัจจุบันก็มีหลายสำนัก
สอนแบบเดียวกับหลวงพ่อปราโมทย์อย่างไม่เป็นทางการ
คือไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าร่วม
เว้นแต่จะมีคนวงในที่รู้จักเป็นผู้ชักชวนเข้ามา

สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำมีข้อต่างที่สำคัญ
นั่นคือการสอนวงกว้างเป็นปกติ
แบบเปิดเผยต่อสาธารณะว่าท่านช่วยสอนให้แบบนี้ก็ได้
ถ้าใครปฏิบัติจริงก็สามารถรับฟังว่าดีขึ้น แย่ลง ตรงทาง ผิดทาง
และที่ท่านมักใช้คำง่ายๆไม่ค่อยลงรายละเอียด
ก็เพราะเวลาสำหรับเจาะเป็นคนๆมีไม่มากนัก
การจาระไนรายละเอียดให้แต่ละคนนั้น
กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๕ นาที หรือให้ดีต้องเกิน ๑๐ นาทีขึ้นไป
ลองคำนวณจากกลุ่มคนที่ไปให้ท่านสอนในแต่ละวัน
ตีเสียว่าวันละ ๕๐ ถ้าจี้กันครบทุกคนก็ ๒๕๐-๕๐๐ นาที
ไม่มีทางที่ใครจะทำให้ครบได้ไหวทุกวัน

แต่รูปแบบถามตอบให้ได้ยินโดยทั่วกัน
ก็มีส่วนช่วยลดข้อจำกัดเรื่องเวลาลงไปได้
เพราะเมื่อได้ยินปัญหาและคำไขจากกรณีของคนอื่น
ก็มีสิทธิ์ตรงกับปัญหาเฉพาะตน
เมื่อได้คำตอบแล้วจึงไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตาตนอีก
เรียกว่าเป็นการอาศัยมวลชน
เป็นเครื่องกระทบช่วยให้เข้าใจมาถึงปัญหาของตน
ไม่ใช่อาศัยมวลชนเป็นเครื่องกล่อมให้คล้อยตามกัน

ย้อนมาถึงตัวข้อสงสัยที่ว่า "นี่เป็นพุทธหรือเปล่า?"
ก็ขอให้ดูจากพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑
ที่มีอยู่ครั้งหนึ่ง พระสารีบุตรเข้าที่สงัดแล้วเล็งดูด้วยญาณ
เกิดความสงสัยว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมามากมายหลายพระองค์
แต่พระพุทธศาสนาของแต่ละพระองค์ก็มีอายุไม่เท่ากัน
บ้างก็ตั้งอยู่ได้นาน บ้างก็ตั้งอยู่ได้เดี๋ยวเดียว

พอมีโอกาสพระสารีบุตรเลยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
เหตุอันใดทำให้พระพุทธศาสนาตั้งอยู่นานบ้าง ไม่นานบ้าง
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร
พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน
เพราะเหล่าท่านทรงท้อพระหฤทัย
ที่จะแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย
บทธรรมต่างๆที่สาวกจะอาศัยท่องจำสืบต่อมีอยู่น้อย
อีกทั้งกฎกติกาวินัยสงฆ์ต่างๆก็ไม่มี
เมื่อพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกดั้งเดิมอันตรธานไป
พระพุทธศาสนาของพระองค์ท่านเหล่านั้น
จึงพลอยอันตรธานตามไปด้วยในฉับพลันทันที

ถามว่าพระองค์ท่านเหล่านั้นสอนพระสาวกอย่างไร
พระพุทธเจ้าพระนามว่า "เวสสภู"
ทรงกำหนดจิตภิกษุสงฆ์ด้วยพระหฤทัยแล้วทรงสอน
ภิกษุสงฆ์ประมาณพันรูปในป่าอันน่ากลัวสำหรับมนุษย์แห่งหนึ่ง
โดยตรัสสั่งว่าพวกเธอจงตรึกอย่างนี้ อย่าได้ตรึกอย่างนั้น
จงทำในใจอย่างนี้ อย่าได้ทำในใจอย่างนั้น จงละส่วนนี้
จงเข้าถึงส่วนนั้นอยู่เถิด ทำเช่นนี้อยู่ไม่นาน
จิตของภิกษุประมาณพันรูปนั้น
ก็ได้หลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น

สรุปคือวิธีการสอนแบบทักจิต ดักจิตนี้
พระพุทธเจ้าในอดีตเคยทรงทำมาก่อน
และปัจจุบันก็ยังมีครูบาอาจารย์ทางพุทธมากมาย
ถือปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลลูกศิษย์กันอยู่
เป็นความสามารถประกอบกับ "ความเต็มใจเหนื่อย" ของแต่ละท่าน
จะไปหาว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตของพุทธศาสนาคงไม่ได้
แน่นอนว่าถ้าหลวงพ่อปราโมทย์เป็นต้นลัทธิใหม่
และสอนแบบดักจิตกันอย่างเดียว
ลัทธินี้คงอยู่ไม่ได้นาน
แต่นี่ท่านประกาศตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์
ย่อยเรื่องยากจากพระไตรปิฎกให้กลายเป็นเรื่องง่าย
ทั้งผ่านคำพูดและหนังสือมากมาย
จึงต้องว่าท่านเป็นกลจักรหนึ่งที่กำลังช่วยยืดอายุพระศาสนา
กระทำตนเป็นคนร่วมสมัยที่ยกระดับความเข้าใจของคนยุคเดียวกัน
ให้ลอยขึ้นพ้นความเชื่อแบบเดิมๆว่าศาสนามีไว้ขึ้นหิ้งก็พอ

ถาม – ถ้าแนวที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนเป็นพุทธที่ถูกต้อง
เหตุใดช่วงหลังจึงมีการประโคมข่าวว่าผิด
แล้วก็ได้ยินว่าพระมีชื่อเสียงเริ่มออกมาร่วมเคลื่อนไหวด้วย?

ตอบ – กลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวแบบจะสึกพระให้ได้นั้น
หลายคนเคยอยู่ใกล้ชิดหลวงพ่อปราโมทย์มาก่อน
นอกจากจะตั้งคำถามว่าทำไมถึงต้องจากมา
ก็ควรตั้งคำถามเพิ่มด้วยว่าทำไมเพิ่งมาเอาผิดกับท่าน
ทั้งที่เคยขอให้ท่านช่วยเหลือในแบบเดียวกัน
กับทั้งพระมีชื่อเสียงที่เพิ่งได้ยินกันว่ามามีส่วนร่วม
ก็เคยนิมนต์หลวงพ่อปราโมทย์ไปเทศน์ในสถานที่ของท่านมาก่อนด้วย

หลายกรณีนะครับ คำถามมีความสำคัญกว่าคำตอบ
เพราะจนตายเราอาจไม่รู้คำตอบที่แท้จริง
แต่ถ้าตั้งคำถามถูก เราอาจได้ข้อสังเกตที่ทำให้ตาสว่างเดี๋ยวนี้เลย

ถ้าผิดจริง ทำไมจึงเป็นคุณมากกว่าโทษ?

สิ่งที่หลวงพ่อปราโมทย์ทำไม่ใช่ขายญาณวิเศษ
ไม่ใช่การขายความถูกต้องแม่นยำแบบหมอดู
แต่เป็นการสอนเจริญสติ ตามแนววิธีที่ท่านถนัด
ถ้าหากเห็นว่าผิด ไม่ดี ไม่ถูก
แล้วเหตุใดจึงปล่อยให้ท่านสอนอยู่หลายปี?

คำตอบในใจของผม ซึ่งไม่ใช่คำตอบอันเป็นที่สุด
อาจมีความผิดพลาดได้ประสามนุษย์ธรรมดาเดินดิน
คือ ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเรื่องของมุมมองว่าถูกเซ็ตไว้อย่างไร
เมื่อเซ็ตไว้ให้เล็งเห็นประโยชน์ ทุกคนก็พร้อมใจเห็นว่าเป็นเรื่องดีงาม
แต่วันหนึ่งเมื่อถูกชี้นำจากบุคคลที่น่าเชื่อถือบางท่าน
ให้เล็งเข้าไปเห็นโทษจากการสอนของหลวงพ่อปราโมทย์
เช่น สอนแล้วลูกศิษย์อ่อนแอ สอนแล้วไม่มีทางได้มรรคผล
สอนแบบนี้ไม่ใช่เยี่ยงอย่างแบบพุทธอันควร
สอนแบบนี้เป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง
สอนแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ต้องใช้วิธีหลอกลวงให้หลงเชื่อ ฯลฯ
หลายคนก็เอียงเอนไปเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารังเกียจไป

โลกตั้งอยู่อย่างนี้
ใครเห็นอย่างไร เอาไปพูดกันอย่างไร
ขึ้นอยู่กับถูกครอบด้วยมุมมองแบบไหนจริงๆ

แล้วก็ต้องถามกลับอีกด้วยว่า
เพราะเหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่เกิดความรู้สึกร่วม
ว่าหลวงพ่อปราโมทย์สอนผิด สอนไม่ดี
เพราะถ้าเกินกว่าครึ่งหนึ่งเห็นว่าไม่ดี
ย่อมต้องเรียกว่าเป็น "โลกวัชชะ"
หรือพฤติกรรมของพระที่ชาวโลกติเตียน

ที่คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วยกับข้อกล่าวหา
ก็เพราะหลวงพ่อปราโมทย์ไม่ได้เน้นโฆษณาว่าอาตมามีดีนะ
อาตมารู้ใจคนนะ มาหาอาตมานะ อาตมาพยากรณ์มรรคผลได้นะ
จะมีก็แต่เห็นหรือได้ยินท่านพูดตรงไปตรงมา
เกี่ยวกับคนที่กำลังได้รับการสอน
ว่าเพ่ง ไม่เพ่ง เผลอ ไม่เผลอ รู้ดีแล้ว ยังรู้ไม่ค่อยดี
ซึ่งเจ้าตัวย่อมทราบแก่ใจว่าตรงหรือไม่ตรง
เวลาผู้คนบอกต่อกันถึงความสามารถของหลวงพ่อปราโมทย์
จึงบอกว่า นี่! หลวงพ่อรูปนี้สอนดีนะ
เป็นทุกข์อยู่แล้วหายทุกข์ได้ ท่านสอนให้ดูใจตัวเองง่ายๆ
ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย คนเมืองที่ทำมาหากินก็พอเอาดีทางนี้ไหว
แค่เข้าใจก็ทำได้ด้วยตนเอง พึ่งตนเองได้
ไม่จำเป็นเสมอไปว่าต้องไปให้หลวงพ่อ "ตรวจการบ้าน"

ฆราวาสซึ่งเป็นคนเมืองนั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรจากพระมากหรอกครับ
แค่อยากเจออะไรเย็นๆ
แค่อยากหายร้อนจากความทุกข์ทางใจที่เป็นอยู่
แต่นี่ได้เกินคาด
ท่านพาไปเจอสูตรสำเร็จดับทุกข์สิ้นเชิงของพระพุทธเจ้าได้ด้วย
โดยไม่ต้องเสียสตางค์แม้แต่บาทเดียว

เกินกว่า ๙๐% ของลูกศิษย์ใหม่ไม่รู้เรื่องอริยบุคคลและมรรคผลด้วยซ้ำ
การประโคมกล่าวโทษท่านเรื่องอวดอุตตริมนุสสธรรม
จึงสร้างแนวร่วมไม่สำเร็จ
และผู้กล่าวโทษเองก็อาจต้องตอบคำถามไปอีกนาน
ว่าท่านอวดอุตตริฯตรงไหน ฟังซีดีกี่แผ่นก็ไม่เห็นรู้สึกอย่างนั้นเลย

สรุปคือถ้ากลุ่มโจมตีท่านจะเอาโทษผิดปาราชิก
ข้อหาอวดอุตตริมนุสสธรรม
ก็จำเป็นต้องหาหลักฐานที่ชัดเจนมามัดตัว
จะให้ดีคือรวมเอาคนเรือนหมื่นเรือนแสนที่ท่านสอน
มาช่วยกันประจานว่าสิ่งที่ท่านชี้ให้ดู
เรื่องจิต เรื่องความอึดอัด เรื่องความปลอดโปร่ง
มันไม่เป็นความจริง เป็นเรื่องหลอกลวงล้วนๆ
นอกจากนั้น ควรจะต้องทำลายหลักฐานสำคัญ
คือดวงจิตที่สว่างไสวของชาวพุทธจำนวนนับไม่ถ้วนให้หมด
ไม่ใช่เทข้อมูลฝ่ายโจมตีหมดหน้าตักด้วยคำกล่าวซ้ำๆ
ว่าท่านอวดอุตตริมนุสสธรรม ผิดวินัยร้ายแรง
ดังที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่

ถาม – บางฝ่ายเรียกร้องให้ชาวบ้านสงบปากสงบคำ
แล้วปล่อยให้พระเคลียร์กันเองจะดีกว่าไหม?

ตอบ – ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์
ข้อวินัยจำนวนมากเกิดขึ้นโดยฆราวาส
คือชาวบ้านชาวเมืองที่เห็นภิกษุทำอะไรขัดตา
ไม่ควรแก่สมณสารูป ก็พากันเข้าไปร้องเรียนกับพระพุทธเจ้า
ซึ่งเกือบร้อยทั้งร้อยของข้อเรียกร้อง ประสบความสำเร็จ
พระพุทธเจ้าบัญญัติวินัยขึ้นมา
อาศัยการเรียกร้องของชาวบ้านนั่นเอง
ฉะนั้น คงไม่ใช่สิ่งที่เราควรกล่าวว่าปล่อยให้นี่เป็นเรื่องของพระ
เพราะเรื่องของพระคือความเป็นความตายของพุทธศาสนา
และพระพุทธเจ้าก็ฝากให้พุทธบริษัท ๔
เป็นผู้ดูแลความเป็นความตายของพุทธศาสนา
กล่าวคืออุบาสกอุบาสิกาตาดำๆนอกวัดต้องร่วมดูแลด้วย
อย่างน้อยก็คอยสอดส่องพระไม่ดี
ตลอดจนคอยให้การสนับสนุนพระดี ทั้งทางตรงและทางอ้อม

การ "ตั้งข้อสังเกต" ไม่ดีไม่งามเกี่ยวกับหลวงพ่อปราโมทย์
จึงอยู่ในวิสัยฆราวาสที่พบว่าท่านผิดจริง
จะได้พยายามตีฆ้องร้องป่าว เนื่องจากท่านเป็นพระดัง
มีอิทธิพลกระทบกับพระศาสนาอย่างใหญ่หลวง
หากไม่ช่วยกันตั้งข้อสังเกต อาจเหมือนปล่อยให้ทำอะไรก็ได้
กระทบศาสนาถึงไหนแล้วก็ไม่รู้

แต่การ "เอาผิด" หลวงพ่อปราโมทย์ให้ได้
เป็นเรื่องของสงฆ์ที่ต้องดำเนินการกันอย่างชัดเจน
หลวงพ่อปราโมทย์ประกาศอยู่ว่าถ้าเห็นท่านผิดพลาด
ก็ให้สงฆ์ตั้งอธิกรณ์ขึ้นมา
จะได้เป็นที่รู้ผลโดยกระบวนการยุติธรรมทางสงฆ์

แต่เรื่องที่มีมา เกิดจากการลงความเห็นของคนกลุ่มเดียว
แล้วพยายามใช้ขอบเขตอำนาจของตน
ในการกดดันให้ท่านถอดจีวรทิ้ง
อ้างว่าทำเพื่อความชอบธรรม
เพราะเห็นท่านเป็นอันตรายและรอขั้นตอนไม่ได้
นับว่าไม่ให้ความยุติธรรมใดๆแก่ท่านเลย

ถาม – อย่างไรก็เห็นค้าน
ไม่อาจมองว่าหลวงพ่อปราโมทย์สร้างชื่อให้ครูบาอาจารย์
เพราะท่านบอกว่าครูบาอาจารย์ให้คำรับรองท่าน

ตอบ – เรื่องที่ว่าครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์
ได้ให้คำนิยมไว้อย่างไร เป็นเรื่องรู้เฉพาะท่านกับครูบาอาจารย์
ตลอดจนคนที่อยู่พร้อมหน้ากันในขณะนั้นๆ
เรารู้เฉพาะที่ว่าคนยุคนี้สมัยนี้ รู้จักใครแล้วได้อะไรบ้าง

บท บ.ก. ฉบับก่อนผมไม่ได้อยากช่วยอวดอ้างว่าท่านสร้างชื่อให้อาจารย์
แต่เนื่องจากเป็นข้อหาใหญ่
คือการกล่าวว่าหลวงพ่อปราโมทย์วางแผนขึ้นมามีอำนาจ
ด้วยวิธีแอบอ้างชื่อเสียงของพระป่าต่างๆ
ผมจึงอาศัยมุมมองลูกศิษย์ของท่านหลายต่อหลายคนที่เห็นค้าน
เพราะเดิมทีพวกเขาไม่รู้จักหลวงปู่ดูลย์หรือหลวงปู่หลวงพ่อท่านใดมาก่อนเลย
คนส่วนใหญ่รู้จักแต่หลวงตามหาบัวผ่านข่าวบริจาคทองบ้าง ข่าวคุณทองก้อนบ้าง
(นี่พูดถึงชาวบ้านทั่วไปจริงๆนะครับ ไม่เกี่ยวกับชาววัดหรือชาวใกล้วัด)

แต่พอคำสอนของหลวงพ่อปราโมทย์เริ่มกระจายไป
ครูบาอาจารย์ต่างๆที่หลวงพ่อปราโมทย์อ้างถึง
ก็กลายเป็นที่รู้จัก มีคนไปกราบไหว้ขอรับฟังเทศนา
หรือแม้แต่หลวงตามหาบัวที่มีคนคิดปรามาสกัน
พอมาศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์แล้วท่านปราม
ชี้แจงและแยกแยะอะไรๆให้เข้าใจ
คนเหล่านั้นก็พากันไปกราบขอขมา ขออโหสิกรรมจากท่าน

เป็นที่ทราบในหมู่ศิษย์หลวงปู่ดูลย์ว่าท่านเก็บตัวมาก
ไม่ออกกว้าง เลือกสอนเฉพาะคน
การที่ท่านจะเป็นที่รู้จักและจดจำสำหรับคนรุ่นหลัง
ก็ต้องอาศัยหมู่ศิษย์ที่มีเครดิตประจำยุคสมัย
ขอให้คำนึงว่าหลวงปู่ดูลย์กลายเป็นที่เคารพศรัทธาทันที
เมื่อหลวงพ่อปราโมทย์แจกแจงพระคุณของท่านให้สานุศิษย์ทราบ

ในทางเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็จะไม่เป็นที่รู้จัก
หาก "กลุ่มสงฆ์" ในปัจจุบันไม่มีภาพดีๆออกมาเป็นพยานพุทธคุณ
ขอให้นึกถึงฝรั่งที่ไม่มีคณะสงฆ์ดีๆมาช่วยให้เลื่อมใส
เขาก็เอาพระพุทธรูปไปวางพื้น
บางทีเอาเศียรพระไปตั้งคู่กับอะไรที่ชาวพุทธสุดทน

สรุปคือเราต้องอาศัยชีวิตเป็นๆสืบกระแสศรัทธาแทนกัน
และผมก็อยากชี้ว่าการอ้างถึงครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อปราโมทย์
เป็นการส่งเสริมครูบาอาจารย์ให้โดดเด่น เป็นที่จดจำ
ไม่ใช่อาศัยครูบาอาจารย์หากิน
กรณีศิษย์เก่าของหลวงปู่ดูลย์ที่รู้จักท่านดีนั้นผมขออนุโมทนา
แต่ถ้าเราสำรวจตัวอย่างประชากรเอามาทำสถิติกัน
จะพบว่าเดิมมีชาวพุทธน้อยกว่านี้มากที่รู้จัก เคารพ จดจำ
ตลอดจนนำคำสอนของหลวงปู่ดูลย์มาใช้กัน
เดี๋ยวนี้เด็กรุ่นใหม่อายุไม่ถึง ๒๐ มากมาย
รู้จักหลวงปู่ดูลย์ แล้วก็จำรูปร่างหน้าตาท่านได้ด้วย
บอกว่าเป็นอาจารย์หลวงพ่อปราโมทย์
ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาและพ่อแม่
และมันไม่น่าเป็นไปได้ที่เด็กรุ่นใหม่
จะหันไปสนใจหลวงปู่ดูลย์และคำสอนของท่านด้วยตนเอง

ฝากไว้นิดหนึ่งด้วยครับว่า
เบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมด
ขอความกรุณาอย่าฟังจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง
อย่าด่วนปักใจเชื่อเพียงเพราะเห็นว่าเขารู้ลึกกว่าเรา
เพราะผมฟังหลายๆกระแสที่พูดกันลึกๆนั้น
เจ้าตัวก็รับการถ่ายทอดข้อมูลมาผิดๆอยู่

ถ้ามีอะไรสำคัญจริงๆก็จะอัพเดทให้ทราบนะครับ
แต่ฉบับหน้าคงเขียนเรื่องอื่นแล้ว
ที่ต้องรบกวนให้ฟังเรื่องราวมาสองฉบับ
ก็เพราะท่านๆที่อ่านธรรมะใกล้ตัวอยู่นี้
มีไม่น้อยที่เคารพรักและศรัทธาหลวงพ่อปราโมทย์ครับ
ไม่อยากให้รับข่าวลือจนสับสนว่ายังควรมีแก่ใจอ่านต่อดีไหม

ถ้าชีวิตคุณดีขึ้น
ถ้าคุณมาหาแก่นธรรมของพระพุทธเจ้าได้
จะมีอะไรดีกว่านี้เล่า?

ดังตฤณ
มกราคม ๕๓
35  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / Re: The New World Order (ยาสั่งครองโลก) เมื่อ: 27 มกราคม 2553 14:45:49



    แก้ปริศนา 69 ด้วยป้า   ขำ
36  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / Re: ระวัง ! ห้องน้ำพักรถมอเตอร์เวย์ คุณอาจเจอเข้ากับตัว เมื่อ: 21 มกราคม 2553 15:30:51
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก  หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น ขำ ขำ
37  สุขใจในธรรม / ห้องประชาสัมพันธ์ ทั้งทางโลก และทางธรรม / รูปงานปิดทองฝังลูกนิมิตร วัดธรรมมงคล กรุงเทพฯ - วันเสาร์ที่ 16 มกราคม 2553 เมื่อ: 18 มกราคม 2553 16:59:57
38  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: คำถามอะไรเอ่ย ?????????????????????????? เมื่อ: 18 มกราคม 2553 13:55:16

        แหม จะมาถล่มเขานะตัว ระวังตัวเองก่อนแล้วกันได้ข่าวว่าพวกจองกฐินเยอะนิ กร๊ากกกกกกกกกกกกก  ช๊อค ช๊อค ช๊อค ช๊อค ช๊อค ช๊อค
39  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: คำถามอะไรเอ่ย ?????????????????????????? เมื่อ: 18 มกราคม 2553 10:48:38
เมืองลับแล


ยังไม่ถูก อิอิ หัวเราะลั่น
40  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / 'เฮติ'จลาจลปล้นสะดมสินค้าตามร้านค้า เมื่อ: 17 มกราคม 2553 13:32:45
'เฮติ'จลาจลปล้นสะดมสินค้าตามร้านค้า

วันนี้ (17 ม.ค.) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วันนี้สถานการณ์ปล้นสะดมกลายเป็นเหตุรุนแรงหนักขึ้นในเฮติ หลังเผชิญแผ่นดินไหวที่กรุงปอร์โตแปรงซ์เมื่อวันอังคาร โดยฝูงชนราว 1,000 คน จับอาวุธแย่งชิงสินค้าตามร้านค้าบนท้องถนน กลุ่มชายพร้อมด้วยหิน มีด ที่เจาะน้ำแข็งและฆ้อน ต่างแย่งชิงกันเพื่อเอาเสื้อผ้า ถุง ของเล่น และสิ่งของอื่น ๆ เท่าที่จะหามาได้ไว้เป็นของตนขณะที่ทุบทำลายบ้านเรือนและร้านค้าต่าง ๆ  โดยไร้เงาตำรวจรักษาการ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นสภาวะไร้ขื่อแป ทุกอย่างเข้าสู่จลาจลและตำรวจละทิ้งหน้าที่ไปแล้ว  ชาวบ้านต่างต่อสู้ ทุบตีและขว้างปาก้อนหินใส่กันเอง

เหตุแผ่นดินไหวที่เฮติเมื่อวันอังคาร ที่มีผู้เสียชีวิตหลายหมื่นคนและอาคารบ้านเรือนพังถล่มทั่วเมืองหลวง ทำให้มีรายงานเหตุปล้นสะดมเกิดขึ้นใน 2-3 วันแรก และดูเหมือนว่าจะขยายวงกว้างมาเรื่อย ๆ จนถึงวันเสาร์ โดยมีรายงานเหตุจลาจลในทำนองเดียวกันตามเมืองต่าง ๆ  ขณะที่ไม่มีเจ้าหน้าที่คอยควบคุม และผู้ไร้ที่อยู่อาศัยต่างรอคอยความช่วยเหลืออย่างสิ้นหวัง.


ขอบคุณข้อมูล : นสพ.เดลินิวส์รายวัน17/01/10


เป็นไปอย่างที่นักวิชาการหลายท่านได้คาดการณ์เอาไว้ว่า เมื่อเกิดภัยพิบัติขั้นรุนแรงประชาชนจะมีการแย่งชิงทรัพยากร มีการปล้นสะดม บ้านเมืองจะขาดกฏหมาย การจลาจลจะมีทุกหย่อมหญ้า
ผมเองไม่อยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเลย ได้แต่สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตา ขออย่าให้มันเกิดขึ้น
หน้า:  1 [2] 3 4
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.223 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 10 กันยายน 2566 10:20:21