[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 21:41:18 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: เจ คืออะไร ทำไมต้องกินเจ และควรเตรียมตัวอย่างไรกับเทศกาลกินเจ เมื่อ: 05 ตุลาคม 2564 19:56:13


กินเจอย่างไรไม่ให้อ้วน และไม่ขาดสารอาหาร

เชื่อว่าหลายคนที่กินเจ หวังผลไม่ใช่แค่ได้ทำบุญ แต่ยังอยากมีสุขภาพดี และถือโอกาสลดน้ำหนักไปในตัวด้วย
ก็แหม...กินแต่ผัก มันก็ต้องผอมสิจริงไหม? แต่ถ้าพูดแบบนี้แล้วโดนเพื่อนๆ รอบตัวเบรกเอาว่า
“ใครว่าล่ะ กินเจแล้วจะอ้วนขึ้นต่างหาก แถมยังขาดโปรตีนจากเนื้อสัตว์อีก ไม่เชื่อก็คอยดูสิ”
คราวนี้เราอาจจะนอยด์จนเริ่มจะไม่แน่ใจว่าเราจะผอม จะสุขภาพดีขึ้นจริงหรือเปล่า ขอบอกเลยว่าถ้ากินเจอย่างถูกวิธี
รับรองว่าสุขภาพดีขึ้นจริง ซึ่งวิธิง่าย ๆ มีดังนี้

- เลือกทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่าให้ขาดหมู่ใดหมู่หนึ่งใน 1 วัน แหล่งโปรตีนที่สามารถทดแทนเนื้อสัตว์ได้
   ได้แก่ พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง และโปรตีนเกษตร

- เลือกทานข้าวกล้อง ข้าวสี มากกว่าข้าวขาว หรือข้าวขัดสี เพราะมีสารอาหารและวิตามินต่างๆ มากกว่า

- ควรทานอาหารที่เลียนแบบเนื้อสัตว์ให้น้อยที่สุด เพราะอาหารเหล่านั้นส่วนใหญ่ทำมาจากแป้ง
   ร่างกายจึงอาจขาดโปรตีน และได้รับแป้งมากเกินไป

- เลือกทานผักและผลไม้สด มากกว่าของหมักดอง เพราะของหมักดองมีปริมาณโซเดียมสูง ทำให้ตัวบวม และไม่ดีต่อสุขภาพ

- ทานอาหารประเภท ผัด-ทอด น้อยลง แล้วกันมาทานอาหารประเภท ย่าง-นึ่ง-ต้ม จะทำให้ได้รับปริมาณไขมันน้อยลง

รับรองว่าถ้าทำได้ตามนี้ ปัญหาเรื่องอ้วน น้ำหนักขึ้น หรือขาดสารอาหารจะไม่เกิดขึ้นกับร่างกายคุณอย่างแน่นอน
ทำบุญให้ชีวิตคนอื่นแล้ว ก็ต้องทำบุญกับร่างกายตัวเองด้วยการดูแลมันให้ดีที่สุดด้วย จะได้แข็งแรงแล้วอยู่ไปนานๆ




5 วิธีกินเจแบบผิดๆ เสี่ยงโรคไต-โรคหัวใจ

- ทานอาหารหมักดอง
สารพัดผักดองต่างๆ ถูกหยิบมาเปิดทานพร้อมข้าวต้มในช่วงเทศกาลเจกันอยู่บ่อยๆ เพราะหาซื้อได้ง่าย เก็บรักษาได้ง่าย
แต่อาหารหมักดองเหล่านี้ มีโซเดียมสูงมาก หากทานบ่อยๆ จะทำให้เสี่ยงเป็นโรคไต และความดันโลหิตสูงได้

- อาหารรสหวานจัด เค็มจัด
นอกจากอาหารเค็มๆ จากอาหารหมักดองแล้ว ยังมีอาหารเจอีกหลายอย่างที่ปรุงรสมาค่อนข้างจัดจ้าน จัดจ้าน
ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงรสเผ็ดนะคะ หมายถึงรสหวานจัด และเค็มจัดนั่นเอง ผู้ประกอบการอาจปรุงรสหวานเค็ม
เพื่อที่จะยืดอายุอาหารให้ขายได้ไปหลายวัน หรืออาจจะเป็นอาหารสไตล์จีนที่นิยมรับประทานกันในรสชาตินั้นๆ อยู่แล้ว
เช่น กาน่าฉ่าย หนำเลี๊ยบ ทานอาหารรสหวานจัดเค็มจัดมากๆ ก็เสี่ยงโรคไต และความดันโลหิตสูงได้เช่นกัน

- อาหารไขมันสูง
หากจะดูกันดีๆ แล้ว อาหารเจที่ขายตามท้องตลาด ไม่ว่าจะเป็นผัดผัก กาน่าฉ่าย แกงต่างๆ อาจพบว่ามีปริมาณไขมันค่อนข้างสูง
เพราะผู้ประกอบการอาจปรุงอาหารในปริมาณมากๆ และใช่น้ำมันค่อนข้างมากตามไปด้วย อาหารไขมันสูง
นอกจากจะเสี่ยงต่อน้ำหนักตัวที่อาจพุ่งขึ้นสูงจนน่าตกใจได้แล้ว ยังเสี่ยงต่อโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด หรือไขมันพอกตับได้
ดังนั้นไม่ควรทานอาหารที่มีไขมันสูงติดต่อกันนานๆ เลี่ยงได้เลี่ยงเลย

- อาหารที่ไร้ผัก และเต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต
หลายต่อหลายมื้ออาหารเจมีปริมาณผักค่อนข้างน้อย เพราะผักผลไม้ราคาสูงขึ้นเมื่ออยู่ในช่วงเทศกาลเจ
อาหารที่เราพบเห็นได้จึงมีส่วนประกอบของแป้งค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นแป้งที่มาจากลูกชิ้นจริงๆ หรือมาจากแป้ง
ที่ทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ อย่างทอดมันเจ ปลาเค็มเจ หมูเจ ไก่เจ กุ้งเจ เป็นต้น ดังนั้นคุณอาจกำลังทานคาร์โบไฮเดรต
มากกว่าผักผลไม้ และเสี่ยงต่อโรคอ้วน และระบบขับถ่ายที่อาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่ายขึ้น

- ทานอาหารเดิมๆ ซ้ำๆ
ใครที่ชอบทานอาหารเจอยู่ไม่เกิน 2 เมนูสลับกันไปเรื่อยๆ ระวังจะได้สารอาหารที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
โดยเฉพาะโปรตีนที่หากไม่ได้ทานเนื้อสัตว์ ช่วงเทศกาลเจหลายคนจึงอาจขาดสารอาหารจำพวกโปรตีนได้ ยิ่งถ้าเมนูนั้น
มีแต่แป้ง กับไขมันแล้วด้วย โอกาสเสี่ยงโรคต่างๆ ก็สูงตาม เพราะฉะนั้นพยายามเลือกหาเมนูอาหารเจที่หลากหลาย
อย่าทานเมนูเดิมๆ ซ้ำๆ ติดต่อกันจะดีกว่า


กระทรวงสาธารณสุข ชี้คนไทยป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจเฉลี่ยชม.ละ 30 คน เสียชีวิตเฉลี่ยชม.ละ 2 คน
สาเหตุใหญ่ๆ มาจากอาหารที่เราทานเข้าไป ตามมาด้วยการใช้ชีวิตที่ทำงานหนัก ไม่ออกกำลังกาย
และพักผ่อนให้เพียงพอ ดังนั้นสุขภาพที่ดี จะต้องเริ่มต้นที่อาหารก่อนอันดับแรก หากคิดจะกินเจให้ได้บุญ
ก็ต้องกินเจให้ได้สุขภาพที่ดีควบคู่กันไปด้วย




4 ผักที่ไม่ควรกินดิบ โดยเด็ดขาด

เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น หลายคนหันมาลดการทานเนื้อสัตว์ และทานผักมากขึ้น เมนูอาหารบ้านเราที่ใช้ผักมีมากมาย
ให้เลือกสรรอย่างไม่จำเจ หลายคนอาจชอบทานผักดิบ เพราะเชื่อว่าเมื่อปรุงให้สุก จะสูญเสียคุณค่าทางสารอาหาร
ไปมากกว่า แต่ในทางกลับกัน บางเมนูที่ใช้ “ผักดิบ” อาจทำลายสุขภาพของคุณได้เช่นกัน

- ถั่วงอก
ถั่วงอก นับว่าเป็นผักที่อุดมไปด้วยสารอาหารมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งโปรตีน วิตามินซี วิตามินบี 12 ธาตุเหล็ก
และเลซิติน หากทานถั่วงอกลวกสุกในก๋วยเตี๋ยว หรือทานผัดถั่วงอกก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากทานถั่วงอกดิบ
ในปริมาณมาก อาจเข้าไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมของสารอาหารบางชนิดได้

- กะหล่ำ
ผักในตระกูลกะหล่ำ มีทั้งกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บล็อกโคลี่ ผักในกลุ่มนี้จะมีสารกอยโตรเจน ที่เข้าไปขัดขวาง
การทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ไอโอดีนถูกร่างกายดึงไปใช้ได้น้อยลง หากทานมากเกินไปอาจทำให้ท้องอืด
เพราะอาหารไม่ย่อย ส่วนในระยะยาวอาจส่งผลให้เป็นสาเหตุของโรคคอพอกได้

- หน่อไม้, มันสำปะหลัง
หล่อไม้มีใยอาหารสูง ส่วนมันสำปะหลังก็เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่ดี แต่ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าในพืชทั้ง 2 ชนิดนี้
หากทานดิบในจำนวนมาก อาจส่งผลร้ายต่อร่างกายได้ เพราะมีสารไซยาไนด์ในรูปของไกลโคไซด์ ที่อาจส่งผล
ต่อระบบประสาท ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย มึนงง หมดสติ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นทำให้หัวใจหยุดเต้น

- ถั่วฝักยาว
ถั่วฝักยาวมีใยอาหารสูง และยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี โปรตีน และธาตุเหล็กอีกด้วย แต่หากทานดิบ
อาจมีโทษต่อร่างกาย เพราะถั่วผักยาวดิบมีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน และซัลเฟอร์ไดออกไซด์
ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการย่อยเมล็ด และเปลือกของถั่วฝักยาวโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ หากทานมากเกินไป
จึงอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดได้

ดังนั้น หากอยากทานผักเหล่านี้ ควรเลือกทานในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป และอาจปรุงให้สุกด้วยการต้ม ลวก
หรือทำไปผ่านความร้อนให้สุกก่อนทาน จะปลอดภัยต่อร่างกายมากกว่า





2  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: เจ คืออะไร ทำไมต้องกินเจ และควรเตรียมตัวอย่างไรกับเทศกาลกินเจ เมื่อ: 05 ตุลาคม 2564 19:45:32


“กิ้วอ๊วงฮุกโจ้ว” (ขุนพล 9 พระองค์) แห่งเทศกาลกินเจ




ตำนานความเชื่อหนึ่ง ของช่วงเทศกาลกินเจ จะเป็นช่วงที่ "กิ้วอ๊วงฮุกโจ้ว" คือ ทีมพระพุทธ 9 องค์เสด็จลงมาโปรดสัตว์
ในเมืองมนุษย์ ประกอบไปด้วยการอวตาลของพระพุทธเจ้า 7 พระองค์ และพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ ซึ่งทั้ง 9 พระองค์นี้
ได้แบ่งภาคลงมาเป็นเทพเจ้า 9 องค์ ที่จะทรงเครื่องแบบกษัตริย์ จึงทรงได้รับการขนานพระนามว่า "เก้าอ๊วง" หรือ "กิ้วอ๊วง"
มีความหมายว่า นพราชา ทรงอำนาจในการบริหารธาตุทั้งห้า คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง

ตามความเชื่อแล้วหากคนเรานั้นไม่มีธาตุลม ก็จะถึงแก่ความตาย หากไม่มีธาตุน้ำ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่มีที่อยู่อาศัย
หากไม่มีธาตุดิน ต้นไม้ก็อับเฉาตาย หากไม่มีธาตไฟ สัตว์โลกทั้งหลายก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ และหากไม่มีธาตุทอง
เศรษฐกิจและระบบการค้าก็ไม่สามารถดำเนินได้ ซึ่งเทพเจ้าทั้ง 9 องค์นั้นจะทรงแบ่งภาคต่อจากภาคของการเป็นเทพเจ้า
ลงไปเป็นดาวเคราะห์ 9 ดวง เพื่อที่จะบริหารธาตุทั้ง 5 ที่ประกอบเป็นจักรราศีแห่งดวงชะตา

ดาวเคราะทั้ง 9 ดวงจะมีดังนี้

- พระอาทิตย์ ภาษาจีนเรียกว่า ไท้เอี๊ยงแชแช แปลว่า ดวงดาว
- พระจันทร์ คือ ไท้อิมแช
- ดาวพระอังคาร หรือ ฮวยแช
- ดาวพระพุธ หรือจุ๊ยแช
- ดาวพระพฤหัสบดี หรือ บั๊กแช
- ดาวพระศุกร์ หรือ กิมแช
- ดาวพระเสาร์ หรือ โท้วแช
- ดาวพระราหู หรือ ล่อเกาแช
- ดาวพระเกตุ หรือ โกยโต้วแช

ซึ่งดาวเคราะห์ทั้ง 9 ดวง นี้คือกำเนิดของจักรราศีในทางโหราศาสตร์ การหมุนหรือการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ทั้ง 9
จะส่งผลต่อโลก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อในตำนานการกินเจ หากวันใดดาวเคราะห์ดวงใดหยุดหมุน
หรือเทพเจ้าประจำดวงดาวหยุดทำงาน โลกคงเกิดโลกาวินาศ โดยที่ทุกปีเมื่อถึงวันที่ 1–9 ของเดือน 9
จะเป็นกำหนดวันที่เทพเจ้าประจำดาวนพเคราะห์แต่ละองค์จะผลัดกันเสด็จลงมาเยือนโลกมนุษย์
เพื่อประทานพรแด่ผู้ประพฤติดี โดยท่านจะผลัดกันองค์ละวัน เมื่อถึงเทศกาลนี้จึงมีการกราบไหว้ท่าน และถือศีลกินเจ
เพื่อเป็นเครื่องสักการบูชา เพื่อของพรจากท่านและเป็นการขอบคุณที่ทรงมีคุณแก่โลกที่ทรงไว้ซึ่งธาตุทั้งห้า
และจักรราศีแห่งดวงดาว และนี้คือความเชื่อเรื่องการกินเจในอีกหนึ่งตำนานตามประเพณีที่มีการสืบทอดกันมานับร้อยปี




3  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: เจ คืออะไร ทำไมต้องกินเจ และควรเตรียมตัวอย่างไรกับเทศกาลกินเจ เมื่อ: 05 ตุลาคม 2564 19:41:56


กินเจตามราศี กินยังไงดี ?

เรื่องกินเจตามราศีเป็นเรื่องของความเชื่อ ไม่มีข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
ดังนั้นถือเป็นส่วนเสริมซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุุคล



ราศีมังกร
อาจมีอาการปวดเมื่อยตามข้อ อาจจะดื่มนมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ หรือน้ำผลไม่รสเปรี้ยวที่ไม่หวานมากอย่างน้ำบีทรูท น้ำแก้วมังกร
แคนตาลูปปั่น อาหารคาวเป็นโจ๊กเห็ดหอมก็ดูเข้าท่า

ราศีกุมภ์
อาจมีอาการอาหารไม่ย่อย หรือกรดไหลย้อน เพราะฉะนั้นเลือกทานผลไม้ที่ช่วยย่อยอาหารอย่าง มะละกอ สัปปะรด
หรืออาหารที่ใส่ขิง เพื่อไล่ลม เช่น โจ๊กใส่ขิง น้ำขิง เป็นต้น

ราศีมีน
อาจมีอาการเจ็บคอ ร้อนใน ควรเลือกดื่มเครื่องดื่มร้อนๆ ที่ดีต่อสุขภาพอย่าง ชา น้ำขิง น้ำสมุนไพรต่างๆ อาหารคาวเน้นต้มๆ
ผักๆ เช่น แกงส้มผักรวม สุกี้น้ำ

ราศีเมษ
นอกจากจะคิดมากแล้ว ยังเครียดง่ายอีกด้วย เพราะฉะนั้นต้องลดความร้อนด้วยของเย็นๆ อย่างใบบัวบก ผลไม้อย่างแตงโม
อาหารคาวก็เป็นต้มจืดมะระ แกงจืดผักกาดขาว แกงจืดใบตำลึง

ราศีพฤษภ
เป็นสาวเหนื่อยง่าย หมดแรงง่าย และเป็นหวัดได้ง่าย จึงต้องเสริมวิตามินซีเยอะๆ เช่น ฝรั่ง ส้ม มะเขือเทศ อาหารคาว
สามารถทานรสจัด เพื่อเรียกเหงื่อ ลดไข้ลดหวัดได้ เช่น น้ำพริก ลาบเห็ด ต้มยำต่างๆ

ราศีเมถุน
อาจมีปัญหากับระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกาย เป็นเหน็บชาบ่อยๆ จึงต้องทานข้าวซ้อมมือ น้ำจมูกข้าว หลีกเลี่ยงน้ำเย็นจัด
เลือกเป็นน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้อง และเลือกทานอาหารรสเผ็ดได้ เช่น ผัดพริกแกง ผัดกระเพรา และน้ำขิงร้อน

ราศีกรกฏ
มีเสมหะในลำคออยู่เรื่อยๆ เพราะเป็นภูมิแพ้ หรือเป็นหวัดง่าย จึงต้องอัดอาหารที่มีวิตามินซีเยอะๆ เช่น ฝรั่ง ส้ม มะเขือเทศ
อาหารคาวเลือกทานที่มีเครื่องเทศเยอะๆ เครื่องเคียงเยอะๆ เช่น ข้าวยำ ก๋วยเตี๋ยว สุกี้

ราศีสิงห์
นอกจากผิวจะแพ้ง่ายแล้ว ยังเป็นร้อนในบ่อยๆ จึงต้องพึ่งอาหารเย็นๆ อย่างน้ำใบบัวบก น้ำมะพร้าว น้ำว่านหางจระเข้
แอปเปิ้ลเขียว อาหารคาวเป็นต้มๆ ผักเยอะๆ อย่างต้มจับฉ่าย

ราศีกันย์
อ้วนง่ายจากการทานแป้ง น้ำตาล ควรออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารบ้างนะ อาหารจึงต้องเลือกทานแป้งน้อยๆ
และอาหารรสเปรี้ยวอย่าง มังคุด มะม่วงเปรี้ยว มะละกอสุก และธัญพืชต่างๆ เช่น ถั่ว ข้าวกล้อง

ราศีตุลย์
ท้องอืด ท้องเฟ้อ เพราะทานอาหารไม่ค่อยจะตรงเวลา หรือทานไม่ครบทุกมื้อ จึงต้องเลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย
มีรสขมเล็กน้อย และเป็นเครื่องเทศที่ช่วยลดลมในกระเพาะอาหาร อย่างอาหารที่ใส่ตะไคร้ โหระพา ใบมะกรูด กระชาย
เช่น ผัดฉ่า ต้มยำ ผัดผักบุ้ง แกงเลียง ผลไม้หรือเครื่องดื่มควรมีรสชาติหวานน้อย อย่างแครอทปั่น

ราศีพิจิก
กินเก่งอย่างสาวราศีพิจิก ระวังอ้วนง่ายนะจ๊ะ เลี่ยงอาหารที่มีแป้ง ไขมัน และน้ำตาลสูงด่วนๆ และเลือกอาหารที่มีรสเปรี้ยว
และขมเล็กน้อย อย่างน้ำพริกมะขาม น้ำกระเจี๊ยบ มะยม เชอร์รี่ และยำต่างๆ แทนนะ

ราศีธนู
บุคลิกขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวร้องไห้แบบนี้ ควรทานอาหารจืดๆ ให้ใจนิ่งๆ อย่างแกงจืดตำลึง ต้มจืดผักกาดขาว
ก๋วยเตี๋ยวน้ำใส ยำรสไม่จัด น้ำเก๊กฮวย ใบเตย รากบัว และเม็ดแมงลัก




4  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: เจ คืออะไร ทำไมต้องกินเจ และควรเตรียมตัวอย่างไรกับเทศกาลกินเจ เมื่อ: 05 ตุลาคม 2564 19:38:30


การกินเจ สิ่งที่คุณจะได้รับมีหลักๆ ด้วยกัน 3 ข้อใหญ่ คือ

- ได้สุขภาพที่ดี เพราะการกินเจ จะละเว้นจากเนื้อสัตว์บริโภคแต่ของที่มีประโยชน์ ดังนั้นเรื่องสุขภาพคือเรื่องแรก
ที่คนที่รับประทานอาหารเจจะได้ (แต่ต้องไม่ทานแป้งมากเกินไปด้วย)

- ได้ฝึกการเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา ไม่ใช่แค่เฉพาะกับเพื่อนมนุษย์ แต่รวมไปถึงสัตว์ที่อยู่ร่วมโลกกับเราด้วย

- ละเว้นการสร้างกรรมที่ไม่ดี เพราะเราไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ก็เท่ากับเราไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ทำกรรม ไม่ทำบาป
ด้วยการฆ่าสัตว์


การถือศีลกินเจ เราทุกคนสามารถทำได้ แต่ควรจะตั้งใจทำด้วยใจจริง ในเมื่อเราล้างพิษให้ล้างกายแล้ว ก็ควรล้างใจ
ให้บริสุทธิ์ด้วย ถึงจะได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ควรจะสร้างความลำบากให้แก่ผู้อื่นและตัวเอง
เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราลำบาก สอนให้เราเดินทางสายกลาง

หวังว่าในเทศกาลกินเจนี้ทุกท่านจะมีความสุข อิ่มบุญอิ่มใจกับการกินเจกันทุกคน




เคล็ดลับการกินเจ ให้ได้บุญสูงสุด

1. อยากกินเจ... จริงๆ
สำรวจตัวเองก่อนนิดนึงว่า คุณอยากกินเจเพราะอะไร เพราะอยากได้บุญ เพราะอยากละเว้นชีวิตสัตว์โลกสักช่วงหนึ่งในชีวิต
หรืออยากได้สุขภาพที่ดีจากการงดทานเนื้อสัตว์ หากเป็นเหตุผลดังกล่าว รับรองว่าได้ผลบุญเต็มๆ แน่นอน
แต่ถ้าคุณอยากกินเจเพราะแค่อยากตามกระแสคนอื่น อันนี้คุณอาจจะต้องพิจารณาตัวเองใหม่แล้วล่ะ

2. อยากกินเจ... ต้องไม่บ่น
เนื่องจากเครื่องปรุงที่หายไปค่อนข้างเยอะ ทำให้อาหารเจมักมีรสชาติไม่อร่อยเท่าอาหารไทยที่เราทานกันอยู่ทุกวัน
น้ำปลาเอย ซอสน้ำมันหอยเอย พวกนี้ไม่ได้แตะลิ้นเราแน่ๆ บางคนจึงอาจเปรยเบาๆ (หรือดังๆ) ว่าอาหารเจไม่อร่อย
แต่ถึงกระนั้น การทานอาหารเจ เราไม่ได้ทานเอาอร่อย เราทานเอาอิ่ม และทานเพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่
ดังนั้นเรื่องรสชาติต้องเป็นรอง ขอให้คิดว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ยิ่งทาน ยิ่งได้สุขภาพดี

3. อยากกินเจ... ต้องไม่งก
เราเข้าใจว่าบางทีก็ทำได้ยาก เห็นราคาผัก ราคาอาหารเจตามห้างร้านต่างๆ แล้วอาจจะทำใจไม่ได้
หรือพอลองเอาราคาอาหารปกติมาเทียบด้วยแล้ว ยิ่งปริ๊ด “ทำไมจู่ๆ ร้านนี้ขายข้าวราดแกงธรรมดา 30
พอเป็นอาหารเจขึ้นเป็น 50 เฉยเลย” หากอยากได้บุญ ต้องพยายามใจเย็น แล้วทำความเข้าใจกับราคาข้าวของในช่วงนี้
ว่ามันต้องขึ้นราคาเป็นธรรมดา หากรับราคาไม่ไหว ลองทำทานเองที่บ้าน อร่อยและคุ้มค่ามากกว่าแน่นอน

4. อยากกินเจ... ไปทุกๆ วัน
ช่วงเวลา 10 วัน ดูไม่เร็วไม่ช้า แต่เรากินๆ หยุดๆ ขอผลัดวันไปกินเพิ่มวันอื่นแทน แบบนี้ไม่ได้ เราต้องมีวินัยกับตัวเอง
ตั้งใจกินเจแล้ว ก็ต้องกินเจให้ได้ตามเวลา และครบจำนวนวันที่กำหนด ยิ่งหากมีใจอยากกินเจไปเรื่อยๆ
หลังเทศกาลกินเจไปแล้วก็ยังกินอยู่ แบบนี้ได้บุญเต็มๆ

5. อยากกินเจ...ด้วยรอยยิ้ม
แบ่งปันช่วงเวลากินเจกับคนรอบข้าง ครีเอตเมนูอาหารเจใหม่ๆ สนุกกับอาหารเจหลากหลายเมนู หากคุณกินอาหารเจ
ด้วยความรู้สึกที่ดี มากกว่าต้องทนกินอาหารเจที่ไม่ชอบไปวันๆ ล่ะก็ รับรองว่าผลบุญที่คุณได้มากขึ้นอย่างแน่นอน


6. อยากกินเจ...คู่ไปกับการถือศีล
แน่นอนว่าคำนี้มาคู่กัน “ถือศีล กินเจ” เมื่อเรากินแต่ของดีๆ ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิตแล้ว เราก็ต้องพูดดี ทำดี
ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีด้วย จะได้มีทั้งร่างกาย และจิตใตที่บริสุทธิ์ผุดผ่องยังไงล่ะ




5  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: เจ คืออะไร ทำไมต้องกินเจ และควรเตรียมตัวอย่างไรกับเทศกาลกินเจ เมื่อ: 05 ตุลาคม 2564 19:33:57


กินเจ อาหารที่ทานได้

- ชา กาแฟ ที่ไม่ใส่นม เนย หรือครีมเทียม
- วิตามินเสริมอัดเม็ด ที่ไม่มีสารสกัดจากสัตว์
- ขนมกรุบกรอบ ที่ไม่มีส่วนผสมของสัตว์
- พริกไทย เป็นสมุนไพร (แต่หากรู้สึกว่ามีกลิ่นฉุน สามารถเลี่ยงได้)
- ขนมปัง (ที่เป็นขนมปังเจ หรือไม่มีส่วนผสมของนม)
- บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (สูตรเจเท่านั้น)
- แต่งหน้า และฉีดน้ำหอม (สำหรับคนถือศีล 5 หากถือศีล 8 จะทำไม่ได้)




กินเจทานได้ แต่ไม่แนะนำ

- น้ำอัดลม
- ผงชูรส (ทำจากมันสำปะหลังและกากน้ำตาลจากอ้อย แต่ผงปรุงรสอาหารอื่นๆ มักผสมเนื้อสัตว์)
- ช็อคโกแลต (ส่วนใหญ่มีนมเป็นส่วนผสม แต่หากทานดาร์คช็อคโกแลต 100% ก็สามารถทำได้)




เตรียมตัวอย่างไรกับเทศกาลกินเจ

- ห้ามกินผักที่มีกลิ่นฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง
เพราะจะทำให้ร่างกายและพลังธาตุถูกทำลาย ร่างกายเกิดการกระตุ้นจากรสของอาหารนั้นๆ ได้แก่ หัวหอม ต้นหอม
ใบหอม หลักเกียว กุ้ยช่าย กระเทียม ใบยาสูบ (บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา) หมายถึงต้องงดสูบบุหรี่และกินเหล้า
ในช่วงที่ถือศีลกินเจนี้ด้วย

- ห้ามกินเนื้อสัตว์
หรืออาหารที่มีส่วนผสมหรือส่วนประกอบ หรือเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งจากสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นไขมันสัตว์ ไข่ เลือด
อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเนื้อสัตว์

- ห้ามกินอาหารที่มีรสจัด
ไม่ว่าจะเป็นทั้งเผ็ดจัด เค็มจัด หวานจัด หรือเปรี้ยวจัดก็ตาม เพราะอาหารที่มีรสจัดจะไปกระตุ้นต่อมต่างๆ ของร่างกาย
ให้ทำงานมากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นผลให้จิตใจไม่สงบในช่วงถือศีล กินเจนี้

- ห้ามกินอาหารที่คนปรุงไม่ได้ถือศีลกินเจ
ข้อนี้แหละที่ทำให้คนถือศีลกินเจต้องไปอยู่รวมกันในสถานที่ที่มีคนกินเจรวมตัวกันอยู่ อย่างเช่นโรงทาน ศาลเจ้าต่างๆ
ที่จัดงาน เพราะคนที่ทำหน้าที่ทำอาหารนั้นจะถือศีลด้วย

- ถ้วยชามที่ใช้ใส่อาหารจะต้องไม่ปนกัน
ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือเบียดเบียนชีวิตใคร ต้องแต่งกายด้วยชุดขาว ห้ามพูดคำหยาบ โกหก ยุยง ส่อเสียด
หรือพูดจาไม่เป็นสาระ

- ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา
ในช่วงที่ถือศีลกินเจตลอด 9 วัน

- ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง
ในสถานที่อย่างศาลเจ้า โรงเจ โรงทาน หรือสถานที่ที่จัดงานถือศีลกินเจ จะมีการจุดตะเกียง 9 ดวงเอาไว้ทั้งวันทั้งคืน
จึงต้องมีคนเฝ้าไม่ให้ตะเกียงนั้นดับ




ถึงแม้การกินเจ จะดูเป็นเรื่องยากสำหรับคนชอบทานเนื้อสัตว์ แต่เราเชื่อว่าหากคุณได้ลองกินเจแล้ว นอกจากสุขภาพ
ที่จะดีขึ้นอย่างทันตาเห็นแล้ว ยังอิ่มบุญอิ่มใจจากการถือศีล และหากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอควบคู่ไปด้วย
ยังได้ผิวพรรณที่ดี และหุ่นสวยหล่อเพอร์เฟ็คแน่นอน ใครยังไม่เคยก็ลองกินเจปีนี้เป็นปีแรกกันดู
รับรองว่าจะต้องติดใจจนไม่อยากหยุดกินเจแน่นอน



6  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / Re: เจ คืออะไร ทำไมต้องกินเจ และควรเตรียมตัวอย่างไรกับเทศกาลกินเจ เมื่อ: 05 ตุลาคม 2564 19:28:34


ทำไมเราต้องกินเจ ?

1.) กินเจ เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เพราะอาหารเจถือเป็นอาหารชีวจิตอย่างหนึ่ง ช่วยปรับสภาพร่างกายให้สมดุล ล้างพิษในร่างกาย
รวมถึงช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคนจีนเชื่อว่า เนื้อสัตว์เป็น “หยิน”
และผักผลไม้เป็น “หยาง” โดยธรรมชาติคนเรามักทานเนื้อสัตว์เยอะกว่าผักผลไม้ การงดทานเนื้อสัตว์จึงเป็นการปรับ
ให้หยินและหยางสมดุลมากยิ่งขึ้นด้วย

2.) กินเจ เพื่อทำบุญ เพื่อชำระล้างใจให้ใสสะอาด ไม่เบียดเบียนสัตว์โลก ทำให้จิตใจเราผ่องใสมากขึ้น เมื่อเราทราบว่า
สิ่งที่เราทำเป็นเรื่องที่ดี ก็จะส่งผลต่อจิตใจที่เบิกบาน เป็นสุขขึ้น

3.) กินเจ เพื่อละเว้นกรรม ที่เกิดจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือแม้กระทั่งการจ้างฆ่าเพื่อการบริโภค หากเราทราบว่า
การงดบริโภคเนื้อสัตว์ เป็นการช่วยชีวิตสัตว์นับพันนับหมื่น เราก็จะช่วยลดกรรมของเราได้มากขึ้น




ทำไมต้องล้างท้อง ?
การล้างท้องหมายถึง เริ่มกินเจก่อนถึงวันเริ่มต้นเทศกาลจริง 1-2 วันเพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพ และทำความคุ้นเคย
กับการกินเจได้ดียิ่งขึ้น




ธงเจ มีความหมายอย่างไร ?

- ตัวอักษรภาษาจีน อ่านว่า “ไจ” หรือ “เจ” หมายถึง “ของไม่มีคาว”
- ตัวอักษรสีแดง หมายถึง ความเป็นสิริมงคลในชีวิต พื้นหลังสีเหลือง หมายถึง สีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล
- ธงเจจึงเป็นสัญลักษณ์ของการกินเจ และเป็นเครื่องยืนยันย้ำเตือนพุทธศาสนิกชนให้หันมาเตรียมตัวร่วมเทศกาลกินเจด้วยกัน




นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว ห้ามกินอะไรบ้าง ?

- ผักที่มีกลิ่นฉุน 5 อย่าง ได้แก่
   -- กระเทียม (ไม่ดีต่อหัวใจ)
   -- หอมใหญ่ แดง ขาว ต้นหอม (ไม่ดีต่อไต)
   -- หลักเกียว ผักของจีน มีลักษณะคล้ายกระเทียมโทน (ไม่ดีต่อม้าม)
   -- กุยช่าย (ไม่ดีต่อตับ)
   -- ใบยาสูบ (ไม่ดีต่อปอดเมื่อใช้สูบ)

- ผักชนิดไหนที่มีกลิ่นฉุนก็ไม่ควรทานระหว่างช่วงกินเจด้วย

- นม เนย น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากสัตว์

- อาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด หวานจัด เปรี้ยวจัด หรือเผ็ดจัด

- เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

- ใครที่กินเจจริงจัง ห้ามทานอาหารบนภาชนะที่ใช้ร่วมกับผู้ที่ไม่ได้กินเจ และต้องทานอาหารที่ปรุงจากคนที่กินเจด้วยกันเท่านั้น






7  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ตลาดสด / เจ คืออะไร ทำไมต้องกินเจ และควรเตรียมตัวอย่างไรกับเทศกาลกินเจ เมื่อ: 05 ตุลาคม 2564 19:23:57


เทศกาลกินเจ




เจคืออะไร ?
คำว่า “เจ” ในภาษาจีนทางพระพุทธศาสนา หมายถึง “อุโบสถ หรือการรักษาศีล 8” ของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ที่จะมีการรักษาอุโบสถศีล
ไม่บริโภคอะไรหลังเที่ยงวันตามหลักศีล 8 ข้อ และไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต ช่วงหลังจึงเรียกคนที่ไม่กินเนื้อสัตว์
ว่า “กินเจ” ไปด้วย แต่ถึงกระนั้นการกินเจไม่ใช่เพียงแต่งดเนื้อสัตว์ อาหาร และเครื่องปรุงที่มีส่วนประกอบของเนื้อสัตว์ แต่ยังรวมถึงการรักษาศีล
ประพฤติตัวเป็นคนดีทั้งกาย วาจา ใจ อีกด้วย

ช่วงเวลาเทศกาลกินเจ
ช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย ตามปฏิทินสากล
รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 9 วัน 9 คืน




8  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / ทำไมใจถึงไม่สงบ - หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ เมื่อ: 08 กรกฎาคม 2564 09:36:44
ทำไมใจถึงไม่สงบ - หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=nBw3xgrtmRc" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=nBw3xgrtmRc</a>
9  สุขใจในธรรม / เกร็ดครูบาอาจารย์ / รำลึกหลวงพ่อชา โดยช่อง BBC ของอังกฤษ เมื่อปี ๒๕๒๐ เมื่อ: 29 มิถุนายน 2564 12:38:11
<a href="http://www.youtube.com/watch?v=MB-xRaccELM" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=MB-xRaccELM</a>



ตอนที่ ๑ เริ่มนาที ที่ ๑๑.๑๕ เป็นต้นไป
ตอนที่ ๒ เริ่มนาที ที่ ๔๕.๕๔ เป็นต้นไป

สารคดีที่ชาวพุทธ โดยเฉพาะศิษยานุศิษย์หลวงพ่อชา
วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี กล่าวถึงกันมาก
คือเรื่อง The Buddha Comes to Sussex
เป็นภาพยนตร์สารคดี ที่ BBC ได้ถ่ายทำ
ในขณะที่ หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร)
และหลวงพ่อโรเบิร์ต สุเมโธ (พระพรหมวชิรญาณ)
จาริกไปเผยแผ่พระธรรม ยังต่างแดน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๐
บรรยายเป็นภาษาอังกฤษ โดยได้รับเทป เป็นวีดีโอ
จากวัดอมราวดี และได้ลิขสิทธิ์การเผยแพร่จาก BBC 

พ.ศ. ๒๕๑๙ ท่านอาจารย์สุเมโธ เดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิด
ที่อเมริกา ขากลับได้แวะพักที่ พุทธวิหารธรรมประทีป
กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ขณะพักอยู่ที่พุทธวิหารแห่งนั้น
สมาชิกมูลนิธิกิจการสงฆ์แห่งอังกฤษ
ซึ่งเป็นกลุ่มผู้จัดตั้งพุทธวิหาร ได้เกิดศรัทธาเลื่อมใส
ในปฏิปทาของท่านอาจารย์สุเมโธ
จึงนิมนต์ให้ท่านพำนักอยู่
เพื่อเป็นผู้นำในการประพฤติปฏิบัติ ท่านอาจารย์สุเมโธ
ไม่ได้ตอบรับคำ แต่ได้ชี้แจงว่า
จะนำเรื่องนี้ไปกราบเรียนหลวงพ่อชา
ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์เสียก่อน

หลังจากนั้นไม่นาน ประธานมูลนิธิฯ คือนายยอร์ช ชาร์ป
ก็ได้เดินทางมาเมืองไทย
เพื่อนิมนต์หลวงพ่อไปเผยแผ่พุทธธรรม
และพิจารณาความเป็นไปได้
ของการจัดตั้งสำนักสาขาในอังกฤษ

หลวงพ่อไม่ได้รับนิมนต์ทันที
แต่อนุญาตให้ประธานมูลนิธิฯ
พำนักอยู่ที่วัดหนองป่าพงระยะหนึ่ง
โดยให้ปฏิบัติตนเหมือนคนวัด
คือ พักที่ศาลา กินข้าวในกะละมังวันละมื้อ
และทำกิจวัตรเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ
เพื่อให้ทำความเข้าใจในความเป็นอยู่ของพระป่า
รวมทั้งเพื่อทดสอบ ดูความอดทน
และความจริงใจกันก่อน
เมื่อพิจารณาเห็นว่ามีเจตนามุ่งมั่นจริง
หลวงพ่อจึงรับนิมนต์จากประธานมูลนิธิฯ นั้น

๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ หลวงพ่อได้เดินทาง
ไปเผยแผ่พุทธธรรมที่ประเทศอังกฤษ
โดยมี ท่านอาจารย์สุเมโธ เป็นผู้ติดตาม
หลังจากนั้น เมื่อหลวงพ่อชา
ได้เดินทางกลับถึงประเทศไทยแล้ว
ราวเดือนตุลาคม ๒๕๒๐
BBC ได้ติดตามเข้ามาถ่ายทำสารคดี
เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในเมืองไทย
และได้เข้าไปถ่ายทำเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่
และข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุ ในวัดหนองป่าพง
เรื่อง The Mindful Way

ปฐมเหตุ คือ
ในครั้งแรกของการไปเผยแผ่พุทธธรรมยังต่างประเทศ
ของหลวงปู่ชา สุภัทโท ชาวอังกฤษบางคน
เรียนถามหลวงปู่ชา สุภัทโท ว่า

“ชีวิตของพระเป็นอย่างไร?
ทำไมชาวบ้านถึงได้เลี้ยงดู โดยที่พระไม่ได้ทำอะไร?”
หลวงปู่ชา สุภัทโท ตอบแบบอุปมาว่า…ถึงบอกให้
ก็ไม่รู้หรอก เหมือนกับนกที่อยากรู้เรื่องของปลาในน้ำ
ถึงปลาบอกความจริงว่า อยู่ในน้ำเป็นอย่างไร
นกก็ไม่มีทางจะรู้ได้ ตราบใดที่นกยังไม่เป็นปลา”
พวกเขาเหล่านั้นพอใจในคำตอบของหลวงปู่ชา มาก
 
หลังจากกลับสู่เมืองไทยแล้ว ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐
หลวงปู่ชา จึงได้รับหนังสือจาก บี.บี.ซี. แห่งประเทศอังกฤษ
ติดต่อขอเข้าถ่ายทำภาพยนตร์
เกี่ยวกับพุทธศาสนาที่วัดหนองป่าพง
ตอนท้ายของหนังสือติดต่อฉบับนั้น มีข้อความอยู่ประโยคหนึ่ง
ซึ่งเขาเน้นว่า “หวังว่าท่านอาจารย์
คงจะเป็นปลาที่เห็นประโยชน์ (เกื้อกูล) แก่นก”

ในต้นเดือนตุลาคมปี พ.ศ. ๒๕๒๐
ชาวต่างประเทศได้เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์สารคดี
เกี่ยวกับชีวิต ข้อวัตรปฏิบัติ และกิจวัตรประจำวัน
ของพระกรรมฐานที่วัดหนองป่าพง หลังจากนั้นไม่นาน
หนังสารคดีเรื่องนี้ก็ได้แพร่หลายสู่สายตาของคนค่อนโลก
โดยมีชื่อว่า “The Mindful Way”

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ทางมูลนิธิกิจการสงฆ์แห่งอังกฤษ
ได้ติดต่อนิมนต์หลวงปู่ชา สุภัทโท
ให้จาริกไปเผยแพร่ธรรมะที่ประเทศอังกฤษอีกครั้ง

หลวงปู่ชา สุภัทโท กับพระอาจารย์ปภากโร
จึงได้เดินทางสู่ประเทศอังกฤษ
ในวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๒
การไปอังกฤษครั้งนี้ ได้รับความสนใจ
จากชาวต่างประเทศมากขึ้นกว่าครั้งแรกหลายเท่า
ท่านนับว่า เป็นพระสงฆ์ไทยรูปแรก
ที่มีลูกศิษย์ฝรั่งเป็นจำนวนมาก
10  สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / Re: โอมมณีปัทเมฮูม พระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์หัวใจแห่งพุทธวัชรญาณ เมื่อ: 17 สิงหาคม 2563 09:09:13

ในส่วนของราชบัณฑิตยสภาได้เขียนถึงไว้ว่า

คาถา ๖ พยางค์

หนึ่งในคำสวดที่ผู้นับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายานนิยมสวดเป็นประจำ
เพื่อให้ได้บุญมหาศาล หรือช่วยนำพาให้ชีวิตหลุดพ้น  คือ  คาถา ๖ พยางค์
ซึ่งจะได้แก่พยางค์อะไรบ้างนั้น
พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๓ (แก้ไขเพิ่มเติม) กล่าวไว้ว่า

คาถา ๖ พยางค์ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า six words incantation
เป็นคาถาพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนชาวทิเบตนำมาสวด
ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นคำสวดของพระพุทธศาสนาในนิกายต่าง ๆ ของมหายาน

คาถา ๖ พยางค์  ออกเสียงว่า  โอม  มณี  ปัทเม  หุม  (Om  mani  padme  hum)
แปลว่า  โอม มณีอยู่ในดอกบัว
หมายความว่า ถือมณีในดอกบัวเป็นสรณะ
เป็นพื้นฐานแห่งวาสนาและปัญญาทั้งปวง

พระสูตร Mani  Kambum ของทิเบตได้อธิบายไว้ว่า
คาถา ๖ พยางค์สามารถปิดทวารเวียนว่ายตายเกิดของคติ ๖ ได้
คือ คำว่า โอม ปิดสวรรคคติ  ม ปิดอสุรกายคติ  ณิ ปิดมนุษยคติ
ปัท ปิดเดียรัจฉานคติ  เม ปิดเปรตคติ  หุม ปิดนรกคติ


ชาวทิเบตนิยมเขียนคาถา ๖ พยางค์นี้ไว้บนผืนผ้ายาวเก็บไว้ในกระบอกบรรจุคัมภีร์ที่เรียกว่า
ธรรมจักร
โดยใช้สีขาวเขียนคำว่า โอม  แสดงเป็นสวรรคคติ
ใช้สีเขียวเข้มเขียนคำว่า ม  แสดงเป็นอสุรกายคติ
ใช้สีเหลืองเขียนคำว่า ณิ  แสดงเป็นมนุษยคติ
ใช้สีเขียวอ่อนเขียนคำว่า ปัท  แสดงเป็นเดียรัจฉานคติ
ใช้สีแดงเขียนคำว่า เม  แสดงเป็นเปรตคติ
และใช้สีดำเขียนคำว่า หุม  แสดงเป็นนรกคติ
ด้วยเชื่อว่า การสวดคาถาดังกล่าวจะได้บุญมหาศาล แม้พกไว้กับตัว กำไว้ในมือ
หรือเก็บรักษาคาถา ๖ พยางค์นี้ไว้ในเรือน
ก็จะได้รับบุญที่จะนำพาให้ชีวิตหลุดพ้นจากความทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด.



โดย
กนกวรรณ  ทองตะโก
เว็บไซต์สำนักงานราชบัณฑิตยสภา
11  สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / โอมมณีปัทเมฮูม พระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์หัวใจแห่งพุทธวัชรญาณ เมื่อ: 17 สิงหาคม 2563 09:04:20
โอมมณีปัทเมฮูม ทีมาและความหมายแห่งพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์หัวใจแห่งพุทธวัชรญาณ

โอมมณีปัทเมฮูม



คำว่า ‘โอม มณี ปัท เม ฮูม เป็นมหามนต์ 5 คำที่ศักดิ์สิทธิ์
สามารถชำระล้างกาย วาจา ใจของผู้ที่สวดมนต์ ท่องบ่นภาวนา
และปฏิบัติสมาธิด้วยเสียงมหามนต์ 5 คำนี้ ทั้งกาย ใจ จิตวิญญาณ
ที่มีความเป็นสัตว์นรก เปรต เดรัจฉาน อสูร หรือแม้กระทั่งความเป็นเทพในตัวเรา
ให้หมดสิ้น ให้เป็นกาย วาจา ใจ ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์ ประดุจหนึ่งเดียว
กับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์

โอม - คือคำนำหน้าของมนต์คาถาทุกอย่าง เป็นเหมือนตัวบอกว่า
กำลังเริ่มท่องคาถา

มณี - คือ เสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นอสูร คือ
ความอิจฉาริษยา อาฆาต ปองร้าย พยาบาท และ ความเป็น
สัตว์โลก รัก โกรธ เกลียด ให้หมดสิ้นไปจากใจของเราได้
บ้างว่าคำนี้หมายถึงมหาบุรุษ / พระผู้เป็นเจ้า

ปัทเม - คือเสียงอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถขจัดความเป็นเดรัจฉาน
สภาพที่เป็นสัตว์ให้หมดสิ้นไปจากใจของเราได้
สามารถขจัดความเป็นเปรต ความโลภให้หมดไปจากใจ
บ้างว่าคำนี้หมายถึงดอกบัว แทนสสารที่ประกอบเป็นสังขาร

ฮูม - เป็นคำลงท้ายของคาถา เพื่อให้คาถาเกิดความศักดิ์สิทธิ์
คล้ายกับคำว่าสวาฮูม ซึ่งพออ่านแบบบาลีสันสกฤตก็จะเป็นสวาหะ

หน้า: [1]
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.819 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 25 ธันวาคม 2566 12:28:42