[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 21:29:52 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 14 15 [16]
301  สุขใจในธรรม / พุทธวัจนะ ในธรรมบท / อายตนะนิพพาน กับ นิพพาน ไม่เหมือนกัน เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553 23:36:21
นิพพานมี 2 อย่าง

1. อายตนะนิพพาน 
2. นิพพาน

1. อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย  สิ่งนี้เป็นอัตตา


พระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕

"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด "

(อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา)

อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย) มีทั้งอายตนะภายในของแต่ละบุคคล(ธรรมกายแต่ละคน)  และมีทั้งอายตนะนิพพานกายนอก(ธรรมกายภายนอก) = เมืองพระนิพพาน

ในทางมหายานเรียกตัวอายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)แต่ละบุคคลว่า "สัมโภคกาย"   และเรียกอายตนะนิพพานกายนอก(ธรรมกายภายนอก) หรือ เมืองพระนิพพาน ว่า "พุทธเกษตร"

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถึง อายตนะนิพพาน ว่า:

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญ
จายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็น
การไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิ
ได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ"

พระอวโลกิเตศวรยืนยันกับพระสารีบุตรว่า ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน  บันทึกอยู่ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรตรัสสอนพระสารีบุตรว่า

" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คือ อายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "

 สรุป

 สภาวธรรมแห่งการตรัสรู้ของพระตถาคต (องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)ซึ่งเป็นแก่น คือ ธรรมกาย=อายตนะนิพพาน  ในขณะที่มหายานเรียกธรรมกายตัวนี้ว่า "สัมโภคกาย"  เป็นกายทิพย์ที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร   คัมภีร์เถรวาทเรียกกายทิพย์ที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดรว่า "กายธรรมหรือธรรมกาย"
   
 2. นิพพาน คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่มหายานเรียกว่า "อาทิพุทธ" หรือธรรมกาย

เถรวาทเรียก "นิพพาน"  ส่วนมหายานเรียกนิพพานว่า "ธรรมกาย"
อายตนะนิพพาน เถรวาทเรียก "ธรรมกาย"  ส่วนมหายานเรียกนิพพานอายตนะนิพพานว่า "สัมโภคกาย"

ธรรมกายตามความหมายของมหายาน
=  พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล
=  แสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่า(สุญญตา)
=  ท้องฟ้าอันเวิ้งว่างสุกใสแห่งบรรยายกาศ
=  ธรรมธาตุทั้งหมด
=  อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
=  ธรรมชาติอันเปลือยเปล่าแห่งสรรพสิ่ง มีแสงสว่างในตัวเองเพราะเป็นธาตุรู้ (ธรรมธาตุ)

หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:

"นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย"

หลวงปู่ดุลย์อธิบายว่า :

" โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"

ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)
รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน     = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน

ในศาสนาพราหมณ์   นิพพานหรือโมกษะ คือ การที่อาตมันย่อยหรือชีวาตมัน  เข้ารวมเป็น  เอกภาพกับพรหมัน
ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"

อาตมันย่อย            = อายตนะนิพพาน
เอกภาพกับพรหมัน = นิพพาน หรือ อาทิพุทธ หรือ ธรรมกายตามความหมายของมหายาน

สรุป

ถรวาท เรียก อายตนะนิพพานว่า "ธรรมกาย"     เรียก พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล ที่เป็นแสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่าว่า "นิพพาน"

มหายาน เรียก อายตนะนิพพานว่า "สัมโภคกาย" เรียก พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล ที่เป็นแสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่าว่า "ธรรมกาย" หรือ "อาทิพุทธ"

แท้จริงแล้ว อาทิพุทธ ก็คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์   ปรมาตมัน ก็คือ สัมโภคกายแต่ละดวง(เรียกแบบมหายาน) ที่ว่างและสว่าง ไปรวมกับ ความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
302  สุขใจในธรรม / พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม / อายตนะนิพพาน กับ นิพพาน เป็นคนละตัวกัน เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553 23:34:44
นิพพานมี 2 อย่าง

1. อายตนะนิพพาน 
2. นิพพาน

1. อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย  สิ่งนี้เป็นอัตตา


พระไตรปิฎกบาลี ที.ปา.๑๓/๔๙/๘๕

"ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเป็นผู้มีอัตตา (ตน) เป็นที่พึ่ง มีอัตตาเป็นสรณะ จงเป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นสรณะ ไม่มีสิ่งอื่นเป็นสรณะอยู่เถิด "

(อตฺตทีปา ภิกฺขเว วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา)

อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย) มีทั้งอายตนะภายในของแต่ละบุคคล(ธรรมกายแต่ละคน)  และมีทั้งอายตนะนิพพานกายนอก(ธรรมกายภายนอก) = เมืองพระนิพพาน

ในทางมหายานเรียกตัวอายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)แต่ละบุคคลว่า "สัมโภคกาย"   และเรียกอายตนะนิพพานกายนอก(ธรรมกายภายนอก) หรือ เมืองพระนิพพาน ว่า "พุทธเกษตร"

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสถึง อายตนะนิพพาน ว่า:

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญ
จายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ
โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็น
การไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิ
ได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ"

พระอวโลกิเตศวรยืนยันกับพระสารีบุตรว่า ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน  บันทึกอยู่ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรตรัสสอนพระสารีบุตรว่า

" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คือ อายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "

 สรุป

 สภาวธรรมแห่งการตรัสรู้ของพระตถาคต (องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)ซึ่งเป็นแก่น คือ ธรรมกาย=อายตนะนิพพาน  ในขณะที่มหายานเรียกธรรมกายตัวนี้ว่า "สัมโภคกาย"  เป็นกายทิพย์ที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร   คัมภีร์เถรวาทเรียกกายทิพย์ที่ดำรงอยู่ชั่วนิรันดรว่า "กายธรรมหรือธรรมกาย"
   
 2. นิพพาน คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่มหายานเรียกว่า "อาทิพุทธ" หรือธรรมกาย

เถรวาทเรียก "นิพพาน"  ส่วนมหายานเรียกนิพพานว่า "ธรรมกาย"
อายตนะนิพพาน เถรวาทเรียก "ธรรมกาย"  ส่วนมหายานเรียกนิพพานอายตนะนิพพานว่า "สัมโภคกาย"

ธรรมกายตามความหมายของมหายาน
=  พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล
=  แสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่า(สุญญตา)
=  ท้องฟ้าอันเวิ้งว่างสุกใสแห่งบรรยายกาศ
=  ธรรมธาตุทั้งหมด
=  อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
=  ธรรมชาติอันเปลือยเปล่าแห่งสรรพสิ่ง มีแสงสว่างในตัวเองเพราะเป็นธาตุรู้ (ธรรมธาตุ)

หลวงปู่ดู่ฯ อธิบายว่า:

"นิพพานจริงๆแล้ว เป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย"

หลวงปู่ดุลย์อธิบายว่า :

" โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"

ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง = ความว่างของจิตแต่ละดวง จึงบริสุทธิ์และสว่าง = อายตนะนิพพาน(ธรรมกาย)
รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน     = อาทิพุทธ หรือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์รวมกัน = ธรรมกายในความหมายของมหายาน

ในศาสนาพราหมณ์   นิพพานหรือโมกษะ คือ การที่อาตมันย่อยหรือชีวาตมัน  เข้ารวมเป็น  เอกภาพกับพรหมัน
ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"

อาตมันย่อย            = อายตนะนิพพาน
เอกภาพกับพรหมัน = นิพพาน หรือ อาทิพุทธ หรือ ธรรมกายตามความหมายของมหายาน

สรุป

ถรวาท เรียก อายตนะนิพพานว่า "ธรรมกาย"     เรียก พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล ที่เป็นแสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่าว่า "นิพพาน"

มหายาน เรียก อายตนะนิพพานว่า "สัมโภคกาย" เรียก พุทธภาวะแท้ดั้งเดิมของสรรพสิ่งในจักรวาล ที่เป็นแสงสว่างสุกสกาวในความว่างเปล่าว่า "ธรรมกาย" หรือ "อาทิพุทธ"

แท้จริงแล้ว อาทิพุทธ ก็คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์   ปรมาตมัน ก็คือ สัมโภคกายแต่ละดวง(เรียกแบบมหายาน) ที่ว่างและสว่าง ไปรวมกับ ความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
303  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ทางลัดไปนิพพานมีไหม+พุทธเกษตรของโคตมะพุทธเจ้าของเรา เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553 16:05:45
นายแคล้วไปอยู่แดนพุทธเกษตรหรือครับเนี่ย  แล้วคนที่ถูกยิงตายหน้าวัดประทุม 6 ศพ ไปอยุ่แดนอะไรครับ 

ว่านายแคล้วอยุ่แดนพุทธเกษตร OK ตามนั้น  ไม่ค้าน   แต่ถามว่าแล้วคนที่ถูกยิงตายหน้าวัดอยู่ไหน  เขาตายหน้าวัด  ไม่น่าต่างกับนายแคล้วอมพระตายนะว่าไหม  คนตายหน้าวัด  อย่างน้อยๆก็นึกถึงพระ  ถูกไหม นั่นดิแล้วเขาไปสถิตอยู่แดนไหนกัน  บอกกันบ้างสิครับพี่

ผมว่าผมตอบไปแล้วนะ  ตอบใหม่อีกทีก็ได้

1. คนจะตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ ขึ้นอยู่กับจิตก่อนตายเป็นกุศล หรืออกุศล  คนที่ถูกยิงตายหน้าวัด  จิตของเขาคิดช่วยคนอื่นอยู่ แล้วโดนยิงตาย จิตเขาจะตกนรกได้อย่างไร  ต่างกันนิดเดียว นายแคล้วคิดถึงพุทธคุณของพระสมเด็จ(พระพุทธเจ้า) จึงไปในพุทธเกษตร หรือสวรรค์ของพระพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ตรัสว่า    “บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ  บุคคลเหล่านั้นจักไม่ไปสู่อบายภูมิ   ละกายที่เป็นของมนุษย์แล้ว   จักยังเทวกายให้เต็มรอบ  ผมก็ไม่เข้าใจว่า "จักยังเทวกายให้เต็มรอบ" นี้นานแค่ไหน

ส่วนวิญญาณ 6 คนนั้น  ไปในสวรรค์ในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งจะอยู่ไนนเท่าไรขั้นอยู่กับผลบุญตัวเองที่ทำมา 

2. พวกเสื้อแดง 91 ศพ เท่าที่ผมเห็น ก็ยังไม่เห็นมีใครตกนรก เพราะ
- เขาคิดว่ากำลังช่วยชาติ กำลังรักษาประชาธิปไตย รักษาความเป็นธรรมให่สังคม และช่วยทักษิณคนที่มีบุญคุณกับพวกเขา
- เขาได้การแผเมตตาและการอุทิศกุศลมากมายไปให้ 
304  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ทางลัดไปนิพพานมีไหม+พุทธเกษตรของโคตมะพุทธเจ้าของเรา เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553 15:39:48
ผมคิดว่า ทางลัดไปนิพพานไม่น่าจะมี  แต่ไปอยู่ในภูมิสวรรค์(ที่เรียกว่า พุทธเกษตร)ต่างๆก่อน และฝึกวิชาละกิเลสที่นั่น..มีครับ  แต่ต้องไปกับพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์อรหันต์เท่านั้น  ลำพังมนุษย์ธรรมดาจะไปสวรรค์ต่างๆเหล่านี้ได้อย่างไร  ผู้ถือศีล 5 และชอบทำบุญทำทาน ก็ไปสวรรค์เหมือนกัน แต่เป็นสวรรค์ในสังสารวัฏฏ์

เรือ(พุทธเกษตร)ของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์อรหันต์ไม่จมน้ำ(กิเลส)  พอเราอยู่บนเรือลำนั้น  เราก็ค่อยๆฝึกจิตต่อไปเรื่อยๆในเรือลำนั้น  จะนาน 100 ปี หรือล้านปีก็แล้วแต่เรา....ฝึกไปเถอะ  อย่าโดดลงมาจากเรือแล้วกัน  จะไปเจอสังสารวัฏฏ์

เรือของพระพุทธเจ้า = พุทธเกษตรแดนสุขาวดีของพระอมติภพุทธเจ้า พุทธเกษตรโลกแก้วไพฑูรย์ของพระไภษัทคุรุฯพุทธเจ้า ฯลฯ

เรือของพระโพธิสัตว์อรหันต์  = สรวงสวรรค์ของพระเยซูคริสต์

เรือของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็มีนะครับ  แต่ชาวพุทธเถรวาทส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้  ในมหาสมัยสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า:

เย  เกจิ  พุทฺธํ  สรณํ  คตา  เส   น  เต  คมิสฺสนฺติ  อปายภูมึ
ปหาย  มานุสํ  เทหํ   เทวกายํ   ปริปูเรสฺสนฺติ  ฯ

   “บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง  ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ  บุคคลเหล่านั้นจักไม่ไปสู่อบายภูมิ   ละกายที่เป็นของมนุษย์แล้ว   จักยังเทวกายให้เต็มรอบ”

+++ คนที่บริกรรมพุทโธอย่างตั้งใจเสมอ  โดยเฉพาะก่อนตาย เขาจะไม่ตกไปในภูมิต่ำ(อบายภูมิ) +++

เจ้าพ่อ แคล้ว ธนิกุล ก่อนตายโชคดีมาก อมพระสมเด็จเอาไว้  แล้วจิตก็นึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าในพระสมเด็จนั้น พอโดนยิงตาย ก็ได้ไปสวรรค์(พุทธเกษตร)ของโคตมะพุทธเจ้า   พระกรรมฐานคนหนึ่งกล่าวว่า พระคุณแห่งพระพุทธเจ้า นายแคล้วจะอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นนานมากๆๆๆๆๆๆ
 
 
วิมลเกียรตินิทเทสสูตร ปริเฉทที่ 1 พุทธเกษตร แปลโดยเสถียร โพธินันทะ


.......สารีบุตรเอย ! โลกธาตุของตถาคตนั้นบริสุทธิ์ แต่เธอมองไม่เห็นเอง”.......
 
   ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า
 
   “ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็น ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ ฉะนั้น.”
305  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ผู้เริ่มหัดฝึกสมาธิ อย่าใช่บทแผ่เมตตาแบบพระ ระวังผีจะหลอกนะ เมื่อ: 27 สิงหาคม 2553 15:35:38
ทำสมาธิมือใหม่ อย่าใช่บทแผ่เมตตาที่พระสอน...เจอผีแน่


คุณtalasa แนะนำว่า:

โดยปรกติแล้ว หลายท่านเวลาที่แผ่เมตตา มักจะใช้บทแผ่เมตตาบทนี้

สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ - ขอสัตว์ทั้งปวง อย่าได้มีเวรให้แก่กันเลย
อัพพะยาปัชฌา โหนตุ - ขอสัตว์ทั้งปวง อย่าได้เบียดเบียนทำร้ายกันเลย
อะนีฆา โหนตุ - ขอสัตว์ทั้งปวง อย่าได้มีความทุกข์ทางกายและความทุกข์
ทางใจใด ๆ เลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ - ขอให้มีความสุข รักษาตัวเองให้รอดพ้นไปได้ด้วยเถิด

ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อแผ่เมตตา หลายท่านจะกล่าวบทเหล่านี้ รวมกันไป



ผมไม่แนะนำให้ใช้บทแผ่เมตตาใดๆของคุณทั้งนั้น  เพราะอะไรรู้ไหมครับ

1. บทเหล่านั้นเป็นบทของพระภิกษุทั่วๆไป ประชาชนนำไปใช้  ผมรับประกันเลยครับ  เจอผีหลอกแน่นอน   ผีที่ได้รับกุศลจากการแผ่เมตตาของคุณ  พวกมันไม่หลอกคุณแน่  ไอ้ผีที่หลอกเป็นพวกที่ไม่ได้รับกุศลจากคุณ 

สัพเพ สัตตา = ทั้งหมด หรือทุกดวง

แล้วคุณมีผลบุญขนาดไหนกัน  จึงเรียกทุกสรรพชีวิตทั้งหมดมารับส่วนแบ่งกัน  เหมือนคุณมีข้าวจานเดียว เสือกไปตะโกนว่า "พวกเราทั้งหมดมากินอาหารกัน" ...มันบ้าไหม

2. น้องผมเคยอยู่อิหร่าน  มันทะลึ่งใช้บทสัพเพ สัตตา    พอมันนอน นอนไม่ได้เลย  ผีตัวนั้นตัวนี้มาอำ ไอ้ผีที่ได้รับส่วนบุญจากการแผ่เมตตา  มันก็มาดี ขอบคุณใหญ่  บอกด้วยว่ามันอิ่มจากบทสวดนี้  ไอ้ผีที่ไม่ได้รับส่วนบุญจากการแผ่เมตตาน่ะซิ  มันจะเอาตาย  ขยี้พลังลงมาใส่

3. ผมแผ่เมตตาตอนที่อยู่ในฌานเลย  จะหวะนั้นพลังจิตจะสูงที่สุด   แผ่ระบุไปเลยว่าให้ใคร ญาติเราคนไหน  อย่าไประบุทุกคนที่เป็นญาติเรานะ  มันมีมากมายมหาศาล  เดี๋ยวเจอดีแบบเดียวกัน

4. พอสมาธิเราแข็งแกร่งขึ้น  วิญญาณที่เขาเดือดร้อนเขาจะมาให้เรารู้เองตอนอยู่ในสมาธิ  บางทีมากันเป็นแสนดวง  ก็พายุนากิสที่ฆ่าประชาชนพม่านั่นไง  วิญญาณเหล่านั้นมาหาผม(รู้ในจิต)  ผมเห็นแล้วรู้เลยว่าน่าจะเป็นแสนดวง   ผมเลยบอกพวกเขาว่า ช่วยไม่ไหวในวันเดียว  ใครรับกุศลจากการแผ่เมตตาของผมแล้วก็ไปเลย  ไม่ต้องมาขอบคุณ และไม่ต้องมาหาอีก  มาเฉพาะที่ยังไม่ได้รับกุศล  พวกเขาก็ทำตามนั้น

กว่าวิญญาณพวกพม่าจะรับผลบุญครบ  ผมต้องแผ่เมตตา 6 วัน  วันสุดท้ายผมขอให้เขาส่งตัวแทนมาคนหนึ่ง ให้ผมเห็นทางจิตเลย  และให้มาสัมผัสตัวผมได้  ผมจะได้รู้ว่า  ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง  เพราะตอนที่พวกเขามา  ผมเห็นแต่หัวในความมืด เยอะมากเหลือเกิน

วิญญาณพวกพม่าก็ส่งตัวแทนมาคนหนึ่งจริงๆ เป็นผู้ชายนุ่งสโร่งแบบพม่า อ้วนนิดๆพองาม  มาจับมือขอบคุณผมใหญ่  ผมเห็นจะจะ  วิญญาณของเขามาจับมือ สัมผัสตัวผม(กายทิพย์,วิญญาณ)ด้วย จึงรูว่าไม่ใช่ความฝัน

ครั้งนั้นผมประเมินว่า  กระแสเมตตาของผม วิญญาณที่ได้รับประมาณ 20,000 ดวง ต่อครั้ง  แล้วก็ต้องชาร์ตพลังใหม่

5. เมื่อปีก่อนผมไปอุดร  พอเข้าไปในโรงแรม  ก็รู้ทันทีว่า  โรงแรมนี้มีผี   ผมก็คิดในใจว่า  ผีพวกนี้โชคดีจริงๆที่ผมมานอนที่นี่  ตกดึกผมก็นั่งทำสมาธิ  พอทำไปสักครึ่งชั่วโมง  ก็แผ่เมตตาให้เหล่าผีทั้งหมดในโรงแรม  หลังจากนั้นมาคิดดู  เดี๋ยวผมนั่งสมาธิอีก 15 นาที และแผ่เมตตาออกไปให้บรรดาสรรพวิญญาณระบุไปว่าทั้งหมดในจังหวัดนั้นเลย  ดูว่าเขาจะได้รับจำนวนสักกี่ดวง  เพราผมบอกให้เขามาหาด้วย

ปรากฏว่าตอนผมนอน มีเทวดาคนหนึ่งมาปลุก บอกว่า "ท่านมีวิญญาณมาหาท่านเยอะแยะเลย"
ผมก็ถามว่าสักกี่ดวง  เทวดาตอบ "200,000 ดวง"
ตอนนั้นผมง่วงมาก เลยให้เทวดาช่วยไปบอกพวกเขาว่า "กลับไปได้แล้ว  ผมไม่ไหวแล้ว ต้องนอน"
เทวดากลับมาอีกทีบอกว่า "เขาไม่ยอมกลับ  ต้องมาขอบคุณท่าน"
ผมก็สวนคำไปว่า "วิธีขอบคุณผมที่ดีที่สุด คือ ให้ผมนอน พรุ่งนี้ผมจะไปธุระ"

คราวนี้วิญญาณเหล่านี้ จะขอบคุณ หรือโกรธ หรืออย่างไงไม่รู้ เล่นดับไฟ ดับแอร์ ห้องผมหมดเลย  ผมจึงต้องตื่น ไปเข้าห้องน้ำ  ผมสังเกตดู  ไฟข้างนอกห้องผมยังติดอยู่นี่หว่า

พอผมกลับมา ก็นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้วิญญาณเหล่านั้นอีกครั้ง บอกพวกเขาว่า "เปิดไฟ เปิดแอร์ได้แล้ว ให้ผมอยู่ในความมืดสนิท  ผมยังไม่บรรลุอรหันต์นะ ความกลัวยังมี  แล้วไอ้ความกลัวนี่แหละ  มันจะทำให้จิตเสียสมาธิ  แผ่เมตตาให้พวกท่านไม่ได้"

ทันทีที่ผมพูดในจิตเสร็จ  ทั้งไฟทั้งแอร์ก็ติด แล้วผมก็นั่ง-นอนทำสมาธิแผ่เมตตาให้เหล่าวิญญาณที่มาหาอีกครั้งหนึ่ง ระบุก่อนเลยว่า ...ให้วิญญาณที่ยังไม่ได้รับผลบุญ  รับไปก่อนเลย  วิญญาณที่รับไปแล้ว  รับทีหลัง

ผมก็แค่เตือนและแนะนำเท่านั้นนะครับ  เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่พวกท่าน

ถ้าทำสมาธิแล้วจิตอ่อนไสว ความกลัว ความโกรธ ความเกลียด ฯลฯ เบาบางลง  เหมือนผมในทุกวันนี้  ผมใช้บทแผ่เมตตาอย่างที่ท่านtalasaและพวกพระสอนได้ครับ
หน้า:  1 ... 14 15 [16]
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.146 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 05 กันยายน 2566 00:27:22