[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 เมษายน 2567 01:32:49 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 2 [3] 4 5 ... 16
41  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ตัวกู - ของกูมีมั๊ย ? เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2554 23:21:04
ตัวกู ของกู   ไม่เคยตาย

ที่ตายไปนั้นเป็นสิ่งที่กูเคยเข้าไปสิงร่างเท่านั้น  กูจึงหาได้อาลัยอาวรณ์มันไม่
ถ้าตัวกู ของกู ยังไม่เบื่อเล่นเกมส์เป็นมนุษย์ สัตว์ เปรต พรหม ยักษ์ นาค เทวา  กูก็จะให้เสื้อผ้า(วิญญาณ)กับมันได้ใส่ต่อ  เพื่อให้มันได้ค้นหาตัวเองให้เจอต่อไป  จนกระทั่งมันเจอตัวกู ที่เป็นของกู...คือ พุทธะ
42  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย = อัตตา มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ และมีเมืองพระนิพพานด้วย เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2554 16:41:56
เมื่อพุทธเกษตร ของสมณโคดมพุทธเจ้า เป็นโลกนี้ เป็นชมพูทวีป เป็นเมืองแก้ว เป็นที่สอนที่แสดงพระธรรมแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
เป็นเมืองแก้ว เป็นพระนิพพานอย่างที่คุณพลศักดิ์ว่า

แล้วจะไปแสวงหานิพพานที่ไหน หาโตมร หาหอก อะไรอีกล่ะครับ

แค่คำว่าพุทธเกษตร ยังแปลไม่ออก



]อธิบายให้ชัดๆเลย[/b]

พวกเราทุกคนต่างกำลังอยู่ในพุทธเกษตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า(โคตมะพุทธเจ้า)  แต่เป็นภูมิกึ่งกลางในพุทธเกษตรนั้น  เราจะเห็นความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ ก็ต่อเมื่อใจของเราหมดจดบริสุทธิ์  ถ้าใจเราไม่หมดจดบริสุทธิ์  เราก็ย่อมเห็นมันเป็นที่ไม่น่าอยู่ไป  (ตามแต่กรรมเวรที่เราเคยก่อไว้ และกำลังรับผล)  

ลองอ่าน ปริเฉทที่ ๑ พระพุทธเกษตรวรรค  พระสูตรวิมลเกียรตินิรเทศสูตร แล้วจะเข้าใจมากขึ้น
  

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับแสดงธรรมโปรดสัตว์อยู่ ณ สวนอัมพปาลีวัน ณ กรุงเวสาลี พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ๘,๐๐๐ รูป พระโพธิสัตว์อีก ๓๒,๐๐๐ องค์ ..........
  
   ตรัสสรุปว่า
  
  “เพราะฉะนั้นแล รัตนกูฏ ! พระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาจักบรรลุถึงวิสุทธิเกษตรดังกล่าว ! พึงชำระจิตแห่งตนให้บริสุทธิ์สะอาด เมื่อจิตบริสุทธิ์สะอาดดีแล้ว พุทธเกษตรก็ย่อมบริสุทธิ์สะอาดตามไปด้วย.”
  
   ครั้งนั้นแล พระสารีบุตรเถรเจ้าโดยการบันดาลดลแห่งพุทธานุภาพได้บังเกิดปริวิตกอย่างนี้ขึ้นว่า
  
  “ถ้าจิตของพระโพธิสัตว์บริสุทธ์พุทธเกษตรก็พลอยบริสุทธิ์ด้วยไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้พระผู้มีพระภาคของเรา เมื่อยังสมัยยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ จักมีจิตไม่บริสุทธิ์กระมังหนอ พุทธเกษตรของพระองค์จึงไม่สะอาดหมดจดดั่งประกฎอยู่ ณ บัดนี้ ?”
  
   พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกนั้นแล้ว จึงมีพระดำรัสว่า
  
  “สารีบุตร ! เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน ? บุคคลผู้มีจักษุบอดมองไม่เห็นความสุกสว่างหมดจดแห่งดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ นั้นเป็นความผิดของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ฤๅหนอ ?”
  
   พระสารีบุตรทูลว่า “หามิได้ข้าแต่พระสุคต เป็นความบกพร่องของบุคคลผู้มีจักษุบอดเอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักมีโทษด้วยก็หาไม่”
  
   ตรัสว่า “ฉันใดก็ฉันนั้นนะสารีบุตร ! เป็นความผิดของสรรพสัตว์เอง ! ที่มองไม่เห็นความบริสุทธิ์สะอาดในโลกธาตุเกษตรแห่งเราตถาคต จักเป็นความผิดของตถาคตด้วยก็หาไม่ สารีบุตรเอย ! โลกธาตุของตถาคตนั้นบริสุทธิ์ แต่เธอมองไม่เห็นเอง”.......
  
   ท้าวสนังพรหมกุมาร ได้กล่าวกับพระสารีบุตรว่า
  
   “ขอท่านผู้เจริญอย่าได้ปริวิตก แลกล่าวว่าวพุทธเกษตรนี้ไม่บริสุทธิ์เลย ข้อนั้นเพราะเหตุเป็นไฉน ? เพราะเรานั้นได้เห็น ความบริสุทธิ์หมดจดแห่งพุทธเกษตรของพระศากยมุนีเจ้า เปรียบดุจทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ ฉะนั้น.”
  
   พระบรมศาสดาตรัสว่า
  
  “โลกธาตุของตถาคต ย่อมบริสุทธิ์เป็นปกติอยู่เป็นนิตย์ แต่เพื่อโปรดบรรดาชนผู้มีอินทรีย์ต่ำ ตถาคตจึงสำแดงให้ปรากฏเห็นเป็นไม่บริสุทธิ์ขึ้น เหมือนดังปวงเทพยาดาต่างร่วมเสวยสุทธาโภชน์ในทิพยภาชน์อันเดียว ด้วยอำนาจแห่งบุญสมภารของแต่ละองค์ไม่เสมอกัน ทิพย์โภชน์จึงปรากฏหาคล้ายกันไม่ ฉันใดก็ฉันนั้นนะ สารีบุตร! ถ้าบุคคลมีจิตบริสุทธิ์ไซร้ เขาย่อมเห็นคุณาลังการแห่งพุทธเกษตรนี้ได้.”
  
   สรุป
  
ถ้าเราอยากจะไปอยู่ในพุทธเกษตรอื่นๆที่ไม่ใช่พุทธเกษตรของโคตมพระพุทธเจ้า ที่มีโลกมนุษย์ สวรรค์ นรก และภูมิ 31-33 ภูมิในสังสารวัฏฏ์ (และมีนิพพาน)  เช่น อยากไปอยู่ในพุทธเกษตรของพระอมิตา  หรืออยากไปอยู่พุทธเกษตรของพระคริสต์ ฯลฯ  หรือแม้แต่เปลี่ยนไปอยู่ในพุทธเกษตรที่มีสวรรค์นรกของศาสนาอื่น เช่น อิสลาม  เราก็ย่อมทำได้ เมื่อเขามีความเชื่อและศรัทธาอย่างแรงกล้า

ในสมัยโบราณ ชาวกรีก ชาวโรมัน อินเดียนแดง ฯลฯ เมื่อพวกเขาตายลง  พวกเขาก็ได้ไปอยู่ในที่ๆพวกเขามีความเชื่อและศรัทธา   ตัวอย่าง คนฮินดูเขาต้องการอยู่ในพุทธเกษตร(โลก)ที่มีทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ เป็นที่สูงสุด  เมื่อเขาทำจิตของเขาให้บริสุทธิ์สูงสุดแล้วไซร้  เขาย่อมไปถึงซึ่งทิพยมณเฑียรแห่งพระอิศวรเทพ   คนโบราณและคนจีนปัจจุบันต่างเชื่อและศรัทธาในลัทธิเต๋าและพุทธศาสนา  พุทธเกษตรในส่วนที่เป็นสวรรค์ของเขา จึงต้องมี  เง็กเซียนฮ่องเต้ เป็นเทพเจ้าสูงสุด
43  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย = อัตตา มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ และมีเมืองพระนิพพานด้วย เมื่อ: 26 กุมภาพันธ์ 2554 16:20:37
เมื่อพุทธเกษตร ของสมณโคดมพุทธเจ้า เป็นโลกนี้ เป็นชมพูทวีป เป็นเมืองแก้ว เป็นที่สอนที่แสดงพระธรรมแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
เป็นเมืองแก้ว เป็นพระนิพพานอย่างที่คุณพลศักดิ์ว่า

แล้วจะไปแสวงหานิพพานที่ไหน หาโตมร หาหอก อะไรอีกล่ะครับ

แค่คำว่าพุทธเกษตร ยังแปลไม่ออก


อ่านก่อน  ถ้าสงสัยอะไรอีกค่อยมาถาม http://www.dhammakid.com/board/ado1oa-io/aoauenoaeaiadoaeon1oax1an1ceo-eacecaaiiadaoeiaoao/

มารู้จักพุทธเกษตรของพระพุทธเจ้ากัน+คำยืนยันว่า สรวงสวรรค์ของพระคริสต์มีจริง
44  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย = อัตตา มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ และมีเมืองพระนิพพานด้วย เมื่อ: 20 กุมภาพันธ์ 2554 00:57:08
คุณarmageddon ครับ


ความจริงผมก็ไม่อยากจะตอบคุณในเรื่องที่คุณสงสัย  เพราะเรื่องนี้มันสูงกว่าปัญญาของคุณจะเข้าใจได้ 

นิพพาน มี 2 สภาวะ

1.  นิพพานที่มีบ้านมีเมือง = แดนพุทธเกษตรต่างๆ ที่พระโพธิสัตว์ที่เป็นอรหันต์จะไปสอนธรรมให้กับผู้ยังไม่ถึงอรหันต์ แต่ขึ้นมาอยู่ได้ เพราะอาศัยอำนาจความศรัทธาในพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์อรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง พุทธเกษรเหล่านี้ยังเป็นที่สนธนา  และธรรมกิจกรรมกัน ดีกว่าไม่มีอะไรจะทำ

ชั้นสูงสุดที่พระอรหันต์อยู่ รู้จักกันในชื่อว่า "เมืองแก้ว"

2.  นิพพานที่ไม่มีการไป การมา ไม่มีเวลาอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เรียกว่าเวลาหยุด  ถ้าเป็นขั่วคราว เรียกว่า นิโรธ  ถ้าถาวรตลอด  ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็คือ "หลุมดำ" หรือพุทธภาวะเริ่มต้น
45  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย = อัตตา มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ และมีเมืองพระนิพพานด้วย เมื่อ: 17 กุมภาพันธ์ 2554 22:27:11
อายตนะนิพพาน = ธรรมกาย = อัตตา มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ และมีเมืองพระนิพพานด้วย


พระพุทธเจ้าครัสไว้ใน  ๑. นิพพานสูตรที่ ๑ ว่า:

[๑๕๘] ......ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

ที่มา : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=3977&Z=3992
***************************************************
สังเกตคำว่า
"อายตนะนั้นมีอยู่" แสดงว่าอายตนะนิพพานนั้นมีอยู่จริง

"หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ" เป็นอายตนะที่ไม่มีอารมณ์หาทุกข์มิได้

พุทธวจนะบทนี้เป็นข้อสรุปว่าพระนิพพานนั้น สามารถเข้าถึงได้โดยอายตนะนั้นมีอยู่
แต่เป็นอายตนะที่ปราศจากทุกข์ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการจุติ

แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี เพราะทรงกล่าวยืนยันชัดหนักแน่นว่า "อายตนะ
อายตนะนั้นมีอยู


อ้างอิง:จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


อายตนะ (อ่านว่า อายะตะนะ) แปลว่า ที่เชื่อมต่อ, เครื่องติดต่อ หมายถึงสิ่งที่เป็นสื่อสำหรับติดต่อกัน ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้น แบ่งเป็น 2 อย่างคือ

อายตนะภายใน หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่ในตัวคน บ้างเรียกว่า อินทรีย์ 6 มี 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งหมดนี้เป็นที่เชื่อมต่อกับอายตนะภายนอก

อายตนะภายนอก หมายถึงสื่อเชื่อมต่อที่อยู่นอกตัวคน บ้างเรียกว่า อารมณ์ 6 มี 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็นคู่กับอายตนภายใน เช่น รูปคู่กับตา หูคู่กับเสียง เป็นต้น

อายตนะภายนอกนี้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อารมณ์ เมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า สัมผัส รู้ว่ามีการเห็น เรียกว่าวิญญาณ เกิดความรู้สึกขึ้นเมื่อตาเห็นรูป เรียกว่า เวทนา

สรุป

เมื่อพระพุทธเจ้ายืนยันว่า อายตนะนิพพานมีอยู่  และไม่ใช่เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และไม่ใข่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ  แต่อายตนะภายในแปลว่า มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  และก็มีอายตนะภายในแปลนอกด้วย อายตนะภายนอกนั้นก็คือ เมืองพระนิพพาน มหายานเรียกว่า พุทธเกษตร

อายตนะนิพพานภายใน นั้นคือ ธรรมกาย ซึ่งธรรมกายนี้เป็น"อัตตา" ยืนยันได้จากพุทธพจน์ที่ผมยกมา

อ้างอิง 1. [ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า


" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "


อ้างอิง 2.[ ขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571

"...หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."

...
46  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: พระพุทธเจ้าของเรานั่นเองแหละ เป็นพระเจ้า ผู้สร้างผู้สร้างโลกและจักรวาล เมื่อ: 15 กุมภาพันธ์ 2554 21:20:20
ตอบกลับคุณช่อมาลีที่เขียนว่า"

1.ในทางพระพุทธศาสนาปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า และ 2. เชื่อว่า โลกนี้เกิดขึ้นจากกฎแห่งธรรมชาติอันมี กฎแห่งสภาวะ หรือมีธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม และ ไฟ



ตอบ


1. ผมไม่พบหลักฐานที่พระพุทธเจ้าปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าในพระไตรปิฎกและในปิฎกมหายานเลย ผมพบแต่หลักฐานที่พระพุทธเจ้ายอมรับการอยู่ของพระเจ้าในพระไตรปิฎกและในปิฎกมหายาน

พระพุทธเจ้าเพียงแต่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าที่เป็นผู้สร้างขันธ์ต่างๆที่เป็น"อัตตา" เนื่องจากคนในสมัยนั้นเชื่อว่า จักรวาล โลก และสรรพชีวิต ล้วนเป็นอัตตา = ไม่มีการสร้างอะไรแบบนั้น

พระพุทธองค์ทรงเรียกพระเจ้าในชื่อใหม่ว่า "พระพุทธเจ้า" เรียกไปทางมหายานว่า พระไวโรจนพุทธเจ้าบ้าง อาทิพุทธบ้าง อมิตาภพุทธเจ้าบ้าง และในอวตังสกสูตร หลังพระพุทธองค์ตรัสรู้ทรงเสวยสมมุติสุขพิจารณาธรรมอยู่ 49 วัน ทรงแสดงตัวตนให้เห็นว่า พระพุทธองค์ท่านเป็นพระไวโรจนพุทธเจ้า = พระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล


2. กฎแห่งธรรมชาติอันมี กฎแห่งสภาวะ หรือมีธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม และ ไฟสิ่งเหล่านี้เป็นอนิจจัง มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นปกติ เรียกว่า "สังขตธาตุ" แต่มีสิ่งหนึ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีตั้งอยู่ และไม่มีวันดับไป เรียกว่า "อสังขตธาตุ" หรือพระนิพพาน

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนา คือ ให้ออกจากสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป(ขันธ์ 5 และขันธ์ของธาตุ 4) ไปสู่ขันธ์ที่ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีตั้งอยู่ และไม่มีวันดับไป คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย หรืออายตนะนิพพาน)
47  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / พระพุทธเจ้าของเรานั่นเองแหละ เป็นพระเจ้า ผู้สร้างผู้สร้างโลกและจักรวาล เมื่อ: 14 กุมภาพันธ์ 2554 13:05:22
พระพุทธเจ้าของเรานั่นเองแหละ เป็นพระเจ้า ผู้สร้างผู้สร้างโลกและจักรวาล


ตอบกลับ 31# ช่อมาลี

..... ไม่มีเลยค่ะที่บอกว่าเป็นศาสดาของทุกศาสนา เป็นผู้สร้างโลก สร้างจักวาล และแสงทิพย์ ไม่มีเลย ... แต่ท่านคือพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลกค่ะ


ศาสดาของศาสนาทั่วไป ไม่มีใครกล้าบอกความเท็จหลอกว่าตนเองเป็นผู้สร้างโลก สร้างจักวาล เพราะผู้สร้างโลกและจักรวาลคือ พระพุทธเจ้าองค์แรก (อาทิพุทธ พระไวโรจนพุทธเจ้า พระติกขคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจะใช้ชื่ออืนๆก็ได้) ยกเว้นผู้นั้นเป็นตถาคตหรือพระพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะพูดเช่นนั้นได้

โคตมพระพุทธเจ้าตรัสไว้ในคัมภีร์มหายาน (จารึกอยู่ใน อวตังสกสูตร) หลังพระพุทธองค์ตรัสรู้ทรงเสวยสมมุติสุขพิจารณาธรรมอยู่ 49 วัน แล้วแสดงตัวตนให้เห็นว่า พระพุทธองค์ท่านเป็นพระไวโรจนพุทธเจ้า = พระพุทธเจ้าของเรานั่นเอง เป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล

พระพุทธเจ้ายืนยันใน 3 พระสูตรว่า ท่านเป็นตรีมูรติ(พรหม/ศิวะ/นารายณ์) = ผู้สร้างโลกและจักรวาล ลองอ่านดูซิครับ http://www.buddhayan.com/board.php?subject_id=876
48  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: กระทู้ศาสนาสูงสุดกระทู้นี้ ผู้ที่มีกลิ่นไอมารรุนแรงไม่ควรอ่านอย่างยิ่ง เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2554 21:44:54
1. "ทุกศาสนา ล้วนมี รากฐานมาจาก ศาสนาพุทธ" ผมขอไม่อ้างชื่อเขา  เพราะ ผมจำไม่ได้ -*-

เขาเข้าใจถูกต้องแล้วครับ  ลองดูซิครับ  พระเจ้าของทุกศาสนา ล้วนมีคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น คือ
- สัพพัญญู
- ไม่เกิด  ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
- เป็นผู้สร้าง  แต่ไม่มีศาสนาใดบอกว่าสร้างแบบใด  ก็สร้างแบบคิดปรุงแต่งในความว่างยังไงล่ะ....พวกเรานั่นเองล้วนเป็นอณูของพระพุทธเจ้า(พระเจ้า)  พวกเราออกมาจากนิพพาน  เพราะการคิดปรุงแต่งของเราในความว่างนั่นเอง


2. ตอนนั้น บร๊ะเจ้าอย่างเราก็  อยู่ในกลุ่ม พวก ไม่ศรัทธาในศาสนา ไม่เป็นสาวกศาสนาใด  ทางกลุ่มของพวกเราก็พูดอะไรไป เยอะแยะ  แต่เอาง่าย ๆ นะ  ถ้าทุกศาสนา มีรากฐานจากพุทธ  ป่านนี้  -*-  โกนหัวหมดแล้วมั้ง

เป็นพระอรหันต์(จิตบริสุทธิ์)ไม่ได้อยู่ที่การโกนหัวครับ   เป็นพระอยู่ที่การปฎิบัติจิตให้บริสุทธิ์นะครับ


3. จะพระบรมศาสดา ไหนก็ช่างเหอะ อย่าไปสนใจ  สนใจตนก่อนดีกว่า  บร๊ะเจ้าเคยได้สนทนา กับ พระ หรือ บาทหลวง มาเยอะและความรู้ที่ได้ก็ต่างกัน

เคยสนทนากับบาทหลวงคนหนึ่ง  เขาก็ดังพอควรนะ  มีชื่ออยู่นำ คัมภีร์ไบเบิล พันธสัญญาใหม่ อะ  หากตายไป  หากมีศรัทธาใน พระยาเวห์  ก็จะได้ไป  God Kingdom  เขาก็บอกว่า  พระเจ้าอยู่ทุกที่  เพียงเปิดใจ  หาได้อยู่ตามโบสถ์    --ใครที่บอกว่าคริสต์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ตามไป ไปอยู่กับพระเจ้าเป็นพอผมได้ถามกับ บาทหลวงท่านนั้น---ท่านบอก ความจริง คริสต์สมัยก่อน ศึกษาการเวียนว่ายตายเกิด  แต่ พอถึงช่วงสงคราม จึงต้องทำการเผาคัมภีร์เหล่านั้น เพื่อเป็น กำลังใจให้กับคนว่า  รับใช้พระเจ้า  ตายเพื่อพระเจ้า ได้อยู่กับพระเจ้า



เขาพูดถูกต้องแล้วครับ  แต่เขาไม่เข้าใจ  ตัวคุณเองยิ่งไม่เข้าใจใหญ่   ลองอ่านกระทู้นี้ดู ถ้าสิ่งสิงสุดไม่ใช่องค์เดียวกัน เงื่อนไขให้พึ่งสิ่งสูงสุดจะเป็นไปได้อย่างไรกัน  http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=1651.0

สรุปก็คือ ถ้าพระยะโฮวา ไม่ใช่อัลเลาะห์ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่มีใครไปสวรรค์นิรันดรของพระเจ้าได้หรอกครับ  สวรรค์นิรันดรของพระเจ้า คือ พุทธเกษตร  พุทธเกษตรของผู้ที่ยังปฏิบัติจิตให้เป็นอรหันต์ไม่ได้  ก็คือ แดนนิพพานของจิตที่ยังไม่บริสุทธิ์ถึงขั้น  เมื่อจิตนั้นฝึกจิตให้บริสุทธิ์ได้แล้ว  ก็สามารถเข้านิพพานที่เป็นที่อยู่ของพระอรหันต์
49  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / กระทู้ศาสนาสูงสุดกระทู้นี้ ผู้ที่มีกลิ่นไอมารรุนแรงไม่ควรอ่านอย่างยิ่ง เมื่อ: 13 กุมภาพันธ์ 2554 15:55:25
กระทู้ศาสนาสูงสุดกระทู้นี้ ผู้ที่มีกลิ่นไอมารรุนแรงไม่ควรอ่านอย่างยิ่ง


ชี้แนะคุณช่อมาลี  และคุณรักไร้ไพ่เจ้าของแวปyantip รวมทั้งท่านผู้สนใจจะแสวงหาความจริงอื่นๆ


จะเชื่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับบุญบารมีของพวกคุณว่า  ฟ้าพร้อมจะให้เปิดให้คุณรู้ความจริงแล้วหรือยัง  หรือให้รู้แค่ระดับไหน  ถ้าคุณเป็นผู้ที่เข้าถึงพระธรรมขั้นสูงสุด  ฟ้าจะเปิดให้คุณได้รู้ดังนี้

1.  โอยแม่เจ้า มีพระบรมศาสดาของทุกศาสนามาอีกหนึ่งราย กระทู้นี้ค่ะ
http://www.yantip.com/board/view ... page%3D1&page=1

มนุษย์ธรรมดาอย่างลูกจะเชื่อใครดีละเนี่ย อิ อิ ... เถรวาทมีแล้วกลุ่มแสงทิพย์ มหายานเอาบ้าง ...


ชี้แนะ:  (สอนคงไม่กล้า  แต่ชี้แนะพอไหว)

พระบรมศาสดาของทุกศาสนามีองค์เดียว คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  แต่เรียกชื่อแตกต่างกันไป  ตามระดับความรู้ทางธรรมของคนผู้นั้นในแต่ละซีกโลก แต่ละเชื้อชาติ แต่ละวัฒนธรรม แต่ละลัทธิความเชื่อ พวกเขาก็จะเรียกชื่อสิ่งสูงสุด และผู้สอนเรื่องนี้แตกต่างกัน

- คริสต์ เรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนิพพานว่า  "ยะโฮวาบ้าง พระบิดาบ้าง และเรียกนิพพานว่า สวรรค์นิรันดร
- อิสลาม เรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนิพพานว่า  "อัลเลาะห์ และเรียกนิพพานว่า สวรรค์นิรันดร"
- กลุ่มแสงทิพย์ เรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนิพพานว่า "สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังษีพระบรมธรรมบิดา"
ฮินดู เรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนิพพานว่า ศิวะบ้าง พรหมบ้าง วิษณุบ้าง ตรีมูรติบ้าง
-  ศาสนากรีกโบราณ  เรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนิพพานว่า "ซูส"  นักพรตในจีน เรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนิพพานว่า "เง็กเซียน" และเรียกนิพพานว่า "เต๋า"
-  ศาสนาพุทธ โคตมพุทธเจ้าเรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนิพพานว่า พระธรรมบ้าง เรียกไปทางมหายานว่า พระไวโรจนพุทธเจ้า หรืออาทิพุทธ
-  โคตมพุทธเจ้าเรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนิพพานว่า "พระพุทธ"  โคตมพุทธเจ้าเรียกพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่ลงมาสอนธรรมว่า "พระธรรม" เรียกสาวกอรหันต์ของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ในพระนิพพานว่า "พระสงฆ์"  โคตมพุทธเจ้าเรียกทั้ง 3 ส่วนนี้(พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์)ว่า "พระรัตนตรัย" หรือ อลังขตธาตุ หรือธรรมธาตุ
-  หลวงพ่อสด เรียกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระนิพพานว่า  พระธรรมกายพุทธเจ้าองค์ปฐม หรือ ต้นธาตุต้นธรรม และเรียกพระอรหันต์แต่ละองค์ว่า "ธรรมกาย" หรือกายธรรม

2. รหัสพระโพธิสัตว์พันมือ(พระบรมศาสดาทุกศาสนา)

พระโพธิสัตว์ยังไปนิพพานไม่ได้นะคะ เพราะต้องบำเพ็ญบารมีที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ... แล้วจะเป็นพระบรมศาสดาของทุกศาสนาได้ยังไง ?


ชี้แนะ: (สอนคงไม่กล้า  แต่ชี้แนะพอไหว)

พระโพธิสัตว์มี 3 อย่าง
1. พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่บรรลุอรหันต์ และประสงค์จะบรรลุธรรมเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า เช่น พระเวสสันดร พระชนก  แม้แต่คุณก็เป็นได้ถ้ามีคามเมตตากรุณาในใจเป็นที่ตั้ง
2. พระโพธิสัตว์ที่บรรลุอรหันต์แล้ว แต่ท่านไม่ยอมเข้านิพพาน  ต้องการวนเวียนอยู่เพื่อสะสมบารมี เพื่อจะบรรลุเป้าหมายการเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้  จะได้นำพาสรรพชีวิตเข้านิพพานมากๆ  เช่น หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อโต หลวงปู่ทวด  ท่านทั้ง 3 ล้วนเป็นจิตวิญญาณหนึ่งๆของพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ที่ชื่อพระอชิตะในสมัยพุทธกาล ที่อวตารลงมา เพราะท่านสามารถทำได้ เนื่องจากเป็นหน่อพุทธภูมิ(อนาคามีชั้นพิเศษ ที่เป็นอรหันต์แล้ว แต่ไม่ยอมเข้านิพพาน)
3.  พระโพธิสัตว์ที่เข้านิพพานไปแล้ว  แต่ไม่ยอมคงอยู่ในพระนิพพาน(พุทธภูมิ) จึงทิ้งพระนิพพาน(พุทธภูมิ)ออกมาอยู่ในโพธิสัตว์ภูมิ  เพื่อช่วยสรรพสัตว์หรือสรรพจิตสังขารลดกรรมหรือบรรเทากรรมลงไปบ้าง จะได้เข้านิพพานไปก่อนที่พวกท่านจะเข้านิพพานตามไปเป้นพวกหลังสุด เช่น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระกษิติครรถ์โพธิสัตว์ เป็นต้น

อนึ่ง..พระโพธิสัตว์ที่เข้านิพพานไปแล้ว  แต่ไม่ยอมคงอยู่ในพระนิพพาน(พุทธภูมิ) จึงทิ้งพระนิพพาน(พุทธภูมิ)ออกมาอยู่ในโพธิสัตว์ภูมิ  เช่น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระกษิติครรถ์โพธิสัตว์  พระโพธิสัตว์จำพวกนี้แหละคือ พระเมตตา หรือพระกรุณา ของพระพุทธเจ้าในนิพพาน  ซึ่งมีองค์เดียว  แต่แยกองค์ออกไปเป้นพระพุทธเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วน

ถามว่า แล้วพระเยซูล่ะ เป็นพระโพธิสัตว์แบบนี้หรือเปล่า
ตอบว่า ใช่
ศาสนาของเขา(คริสต์)เรียกว่า พระบุตรเพียงคนเดียวของพระเจ้า

พระบุตรเพียงคนเดียว = ความเมตตากรุณา  พระเจ้า = พระพุทธเจ้า

สรุป

- พระพุทธเจ้าองค์ปฐม คือ พระธรรมกายพุทธเจ้า หรือ พระพุทธ หรือพระเจ้าที่เป็นพระบิดา
- ผู้ที่เป็นสัพพัญญูสามารถสอนธรรมะสูงสุดได้ระเอียดสุดก็คือ พระธรรมกายพุทธเจ้า หรือ พระพุทธ หรือพระเจ้าที่เป็นพระบิดา
- พระบุตรเพียงคนเดียวของพระธรรมกายพุทธเจ้า หรือ พระพุทธ หรือพระเจ้าที่เป็นพระบิดา คือ ความเมตตากรุณาของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)


พระโพธิสัตว์ที่เข้านิพพานไปแล้ว  แต่ไม่ยอมคงอยู่ในพระนิพพาน(พุทธภูมิ) จึงทิ้งพระนิพพาน(พุทธภูมิ)ออกมาอยู่ในโพธิสัตว์ภูมิ  เช่น พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พระกษิติครรถ์โพธิสัตว์  แม้แต่พระเยซูคริสต์  พวกท่านเป็นพระบุตรเพียงคนเดียวของพระเจ้า(พระพุทธเจ้า)

................................................................................................


คำเตือน!!!

คำตอบของผมไม่อนุญาตให้คุณnaratipและคุณocto เว็บyantip และคุณ amagedgdon เว็บสุขใจ อ่านโดยเด็ดขาด  เพราะทั้ง 3 ท่านยังเต็มไปด้วยกิเลสอวิชชา  มีพลังของมารเข้มข้นมาก  ถือว่ายังเป็นบัวใต้น้ำ ที่ติดอยู่ในโคลนตม  จึงไม่พร้อมจะรับฟังธรรมะระดับสูงสุดเรื่องนี้  แต่เพราะพวกท่านเป็นพวกที่มีความอยากรู้อยากเห็นสูงมาก  ผมห้ามก็คงไม่ฟัง ด้วยเหตุนี้ อยากจะอ่าน ก็ตามใจ  แต่อย่าไปคิดมากนะ  ถ้าเกิดบ้าไป  ผมคงรับผิดชอบไม่ไหว

ผมทำได้แต่เพียงให้อภัยและอโหสิกรรมไว้ล่วงหน้า  ถ้าคุณnaratip คุณocto และคุณ amagedgdon อ่านไปแล้ว  มารมันสิงใจให้เริ่มการด่าว่า ตำหนิติเตียน ดูถูกดูหมิ่น ใส่ร้ายป้ายสี ฯลฯ ใส่ผม  ก็ไม่เป็นไรนะครับ  เพราะผมเลิกคิดปรุงแต่งเป็นตัวกูของกูแล้ว

เราหยุดแล้ว  แต่naratipและoctoยังไม่หยุด!  จึงไม่ทางเข้าใจพระธรรมสูงสุดนี้ได้แน่นอน  พวกท่านต้องปฏิบัติสมถะและวิปัสสนาให้มากกว่านี้  ตอนหลังเมื่อบรรลุได้อีกขั้นหนึ่ง  ค่อยมาอ่านก็ยังไม่สาย
50  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ธรรมะสูงสุดเรื่อง "อ่อนสยบแข็ง นิ่งสยบเหลื่อนไหว" เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2554 14:16:27
ความรู้ทางธรรมระดับสูงสุด เกี่ยวกับ "นิ่งสยบเคลื่อนไหว  อ่อนสยบแข็ง"

ในระดับสูงสุด  "นิ่งสยบเคลื่อนไหว" = จิตนิ่ง คือ จิตขึ้นพรหม  ถ้านิ่งแล้วไม่เคลือนไหว คือ จิตขึ้นพรหมสูงสุด ที่เป็นโลกุตตรพรหม หรือ ที่เรียกว่า "นิพพานจิต" - ซึ่งรู้ก็สักแต่ว่ารู้  เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน 

จิต(พุทธะ)ไม่มีการนำเข้าเรื่องราวภายนอกเข้ามาคิดปรุงแต่ง และส่งความทุกข์ไดๆออกไปทั้งสิ้น

จิตพุทธะถ้าจิตเคลื่อนไหว(รู้ไม่สักแต่ว่ารู้  เห็นก็ไม่สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็ไม่สักแต่ว่าได้ยิน) = มีการคิดปรุงแต่ง การคิดปรุงแต่งนี้เองจะทำให้จิตพุทธะแยกตัว  ออกมาสร้างจิตอีกดวงหนึ่ง เรียกว่า "จิตสังขาร"  จิตสังขารนี้...ในที่สุดจะนำไปสู่ขบวนการปฏิจจสมุปบาท  เมื่อขบวนการปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้น  ก็นำไปสู่การเกิดในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งใน 3 ภพ

ในระดับสูงสุด   "อ่อนสยบแข็ง" = จิตที่อ่อนโยนจะมีพลังจิตสูงกว่าจิตที่แข็งแกร่ง   ธรรมะจึงชนะมารเสมอ  จิตของพุทธะ และจิตของพระพุทธเจ้า จึงปราบจิตมารได้เสมอ

สรุป

เมื่อจิตพุทธะที่อ่อนโยนที่สุดแยกตัว  ออกมาสร้างจิตอีกดวงหนึ่ง เรียกว่า "จิตสังขาร"  ดังนั้น..เมื่อจิตสังขารต้องการจะกลับไปเป็นจิตพุทธะ(จิตอรหันต์)ใหม่  จิตสังขารจึงต้องสร้างบุญกุศล ช่วยเหลือ เสียสละแก่ผู้อื่น  แม้กระทั่งเสียสละความสุขทางโลกของตัวเอง ก่อน เรียกว่า "สร้างสมหรือสะสมบารมี" ซึ่งเป็นการทำให้จิตค่อยๆอ่อนนุ่ม จนชนะจิตมารของตัวเองที่แข็งแกร่งได้

นี่แหละคือ อ่อนสยบแข็ง เมื่อสยบแข็งได้แล้ว  อ่อนจะไม่สนใจต่อโลกีย์กิเลสทั้งปวง จิตจึงนิ่งเมื่อสิ่งยั่วยวนเข้ามา ด้วยเหตุนี้ นิ่งจึงสยบเคลื่อนไหว ในที่สุด
51  สุขใจในธรรม / ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 / ความรู้ในระดับสูงจากการทำสมถะและวิปัสสนา เมื่อ: 08 กุมภาพันธ์ 2554 13:30:18
ความรู้ในระดับสูงจากการทำสมถะและวิปัสสนา


สมาธิ = จิตนิ่ง (ไม่ใช่กาย) นิ่งจนสามารถดับกิเลสทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้  สมาธิในระดับสูงสุดเรียกว่า "เจโตวิมุติติ"

วิปัสสนา =  การดูจิต ดูกายตน จนกระทั่งเกิดปัญญารู้ความจริงว่า มีจิตอันหนึ่งที่เป็นตัวรู้ ซ่อนอยู่ในจิตของเรา ซึ่งเป็นผู้เคลื่อนไหวไปตามแรงของกุศล/อกุศล และความคิดปรุงแต่ง  วิปัสสนาในระดับสูงสุดเรียกว่า "ปัญญาวิมุติติ"

จิตตัวรู้ =  จิตพุทธะ หรือจิตนิพพาน หรือจิตมีสติสัมปะชัญญะเต็มที่  ไม่หลงไปตามการลวงของกิเลสตัณหาใด

จิตที่เคลื่อนไหว = จิตสังขาร หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท  จิตสังขาร หรือ จิตในปฏิจจสมุปบาท นี้เอง ที่พาคุณไปเกิดเป็นคน สัตว์ เทพ พรหม เปรต สัตว์นรก ฯลฯ

ทำสมาธิอย่างเดียวโดยไม่ทำวิปัสสนา เข้าถึงนิพพานได้ยาก   พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ทำสมาธิควบคู๋ไปกับวิปัสสนา  ผลลัพท์ก็คือ รู้ก็สักแต่ว่ารู้  เห็นก็สักแต่ว่าเห็น  อะไรอะไรก็สักแต่ว่าทั้งนั้น  จิตไม่คิดปรุงแต่งออกไปเป็นอย่างอื่น 

เมื่อนั้นเราจะรู้ว่า  ที่แท้เหล่ามนุษย์ สัตว์ เทพ พรหม เปรต สัตว์นรก ฯลฯ ล้วนกำลังอยู่ในความฝันของตัวเองที่บุญและบาปนำมาให้พบ  และให้เล่นอยู่ในภพภูมิต่างๆตามกำลังบุญบาปของตน
52  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: มาเข้าใจเรื่อง นาม รูป วิญญาณ ให้ถูกต้องสักที จะได้ไม่โดนมารมันหลอกอีก เมื่อ: 31 มกราคม 2554 00:15:54




พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านว่า อวิชาทำให้เกิดนาม-รูปน่ะคะ

ไม่ใช่ครับ  อวิชชาทำให้เกิดนามรูปโดยตรงไม่ได้  มันต้องไปทีละขึ้น

[๒๕๕] สังขารเกิดเพราะอวิชาเป็นปัจจัย. วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย. นามรูปเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย....
53  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / มาเข้าใจเรื่อง นาม รูป วิญญาณ ให้ถูกต้องสักที จะได้ไม่โดนมารมันหลอกอีก เมื่อ: 30 มกราคม 2554 14:37:12
มาเข้าใจเรื่อง นาม รูป  วิญญาณ ให้ถูกต้องสักที  จะได้ไม่โดนมารมันหลอกอีก


อ้างถึง
อธิบาย นาม รูป  วิญญาณ อย่างละข้อได้มะครับ ...
ปัญญาอ่อน โพสต์เมื่อ 30-1-2011 11:02

นาม รูป  =  ร่างกายของคุณ  หรือที่เรียกว่า ขันธ์ 5
วิญญานดวงเดิม =  จิต หรือกายทิพย์ หรืออาทิสมานกาย หรือผีซึ่งเป็นคุณในอดีตชาติ และมาสิงอยู่ในตัวของคุณในชาตินี้  สิงเมื่อตอนที่คุณยังเป็นทารกอยู่

วิญญานดวงเดิม ทำหน้าที่ให้พลังกับชีวิต และให้ระบบภายในร่างกายทำงาน  วิญญานดวงเดิม เป็นเหมือนถ่านหรือแบตเตอรี่  ส่วนร่างกายเป็นเหมือนตัวหุ่นยนต์  แต่หุ่นยนต์ก็ทำงานไม่ได้ถ้าไม่มีแบตเตอรี่



วิญญานดวงใหม่ =  จิต หรือกายทิพย์ หรืออาทิสมานกาย หรือผีตัวใหม่ ที่ออกจากร่างกาย(ขันธ์ 5)ของคุณ


เมื่อคุณตาย ขันธ์ 5 (ร่างกายของคุณ) รวมทั้งวิญญานดวงเดิมของคุณตายแตกดับไป  แต่วิญญานดวงใหม่ (จิต หรือกายทิพย์ หรืออาทิสมานกาย หรือผีตัวใหม่ ที่สะสมความจำในชาตินี้และชาติอื่นๆเอาไว้) จะออกมารับผลกรรมดีกรรมชั่วในปรโลกสักพักหนึ่ง และก็กลับไปเกิดเป็นคนเป็นสัตว์เดรัจฉานใหม่

........................................................................................

แต่ถ้าคุณอ่าน  แล้วยังไม่เข้าใจ  ต้องไปยืมละครเรื่อง รอยรักรอยบาป มาดู   เรื่องนั้น จวน โดนเฆี่ยนจนตาย  แล้ววิญญาณของจวน  มาเกิดเป็นหนูยิ้ม  หนูยิ้มจำเรื่องราวเก่าๆที่จวนถูกทำร้ายโดยพ่อและแม่ได้   วิญญาณของจวนดวงเดิมต้องการล้างแค้นพ่อและแม่  แต่วิญญาณของจวนดวงใหม่ที่เป็นหนูยิ้ม  ไม่ต้องการล้างแค้นพ่อและแม่ 

+++วิญญานของจวนที่ทำให้เกิดนามรูป คือ หนูยิ้ม สุดท้ายก็ต้องดับไป  แต่วิญญาณตัวใหม่ของจวนที่เป็นหนูยิ้ม ที่หมดความแค้นพ่อและแม่  จะยังคงอยู่ต่อไป  พวกเราเหล่ามนุษย์มาเกิดก็เพื่อค่อยๆปรับปรุงตัววิญญาณธาตุของเราให้ดีขึ้นเรื่อยๆ  ตัวเก่าก็ดับไป  ตัวใหม่ที่มีประสพการณ์ใหม่ในชาตินี้ และมีประสพการณ์เก่าๆในชาติก่อนๆ   ก็ยังสืบต่อไปเรื่อยๆ+++

.................................................................................

ในตัวของเรา มีจิตในอดีตชาติ เข้ามาสิงสู่ตอนเกิด  สมัยใหม่เขาเรียกว่า "จิตใต้สำนึก"   มันอยู่ร่วมกับวิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่  ซึ่งเป็นวิญญาณหรือจิตของเราในชาตินี้

วิญญาณธาตุตัวเก่า หรือกายทิพย์ตัวเก่า จะดับสลายไปเมื่อเราตาย เพราะมันได้กลับกลายเป็นตัวนามรูปหรือขันธ์ 5 ไปแล้ว (ตาย=ขันธ์ 5 รวมทั้งถ่านหรือแบตเตอรี่ของขันธ์ 5 ตาย)   แต่จิต(สังขาร) ไม่ได้ตาย  มันจึงมีวิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่ ออกมา 

วิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่ จะเกิดขึ้นสมบูรณ์เมื่อกายทิพย์ตัวเก่า(ที่กลายเป็นนามรูปหรือขันธ์ 5 หรือกายของเรา)ตายแล้ว

มันสืบเนื่องอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะนิพพาน


ขบวนการสร้างวิญญาณและนามรูป(ร่างกาย หรือขันธ์ 5)ของกันและกันเป็นดังพุทธพจน์นี้:


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ในมหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ว่า:

"ดูกรอานนท์เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป..."


สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐.    ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตวัน.


ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้


...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป  จึงได้มี  :  เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม
รูป" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี  : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา    เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า   "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี  :   เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น;  ด้วยเหตุเพียงเท่านี้    สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

สรุป

1. วิญญาณะปัจจะยา นามรูปัง (วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามและรูป) = วิญญาณตัวเก่าเมื่อชาติก่อน เป็นปัจจัยให้เกิดร่างกายหรือขันธ์ 5 หรือนามรูปในชาตินี้

2. นามรูปปัจจะยา วิญญาณนัง (นามและรูปเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ) = ร่างกายหรือขันธ์ 5 หรือนามรูปในชาตินี้ เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณในชาตินี้ = วิญญาณในชาติเก่าสะสมประสพการณ์ใหม่ๆ บุญบาปใหม่ๆ ในชาตินี้
54  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / เคล็ดลับความไม่ทุกข์ในทุกเรื่องของชีวิต เมื่อ: 23 มกราคม 2554 01:36:31
เคล็ดลับความไม่ทุกข์ในทุกเรื่องของชีวิต


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙
สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค

เมื่อเรามีกายกระสับกระส่ายอยู่ จิตของเราจักไม่กระสับกระส่าย ดูกรคฤหบดี  ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล.

นี่แหละครับ เคล็บลับของความไม่ทุกข์   เมื่อสามารถรับรู้และแยกจิตออกจากกายได้แล้ว  กายมันจะเป็นทุกข์อย่างไร  ถ้าจิตมันไม่ทุกข์ซะอย่าง  ไม่ยอมรับ คือ ไม่นำเข้าข้อมูลจากโลกที่เข้ามาสู่จิตตน  ไม่คิดว่าสิ่งนั้นเป็นตัวกู ของกู  แล้วความทุกข์มันจะมีได้อย่างไร

ลองดูซิว่า  คุณเห็นคนป่วย และข่าวความทุกข์ทรมานของคนมากมาย  แต่ทำไมคุณไม่ทุกข์ล่ะ  

ตอบ

กูไม่ทุกข์  ก็เพราะไม่ใช่เรื่องของกู  ไม่มีตัวกู ของกู อยู่ตรงนั้น   แต่ว่าเมื่อไรที่กูไปคิดว่า  มีตัวกู ของกู อยู่ด้วย  กูย่อมเป็นทุกข์มันทุกเรื่อง
55  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ความจริงอย่างหนึ่งเรื่องจิตวิญญาณ และกฎแห่งกรรม เมื่อ: 23 มกราคม 2554 00:55:03
ความจริงอย่างหนึ่งเรื่องจิตวิญญาณ และกฎแห่งกรรม


คุณ mankho2001 เขียน:

เมื่อปีที่แล้วมีเรื่องเกิดขึ้นกับแม่ผม  มีอยู่ช่วงหนึ่งแม่ผมฝันทุกวันพระ ว่า 1. จะมีคน(ผีแม่ลูกเอาไปอยู่แทนพวกเขาที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่รู้มาก่อนว่ามีอยู่แต่มาสืบภายหลังว่ามีอยู่จริง)  มาหลอกในฝันให้เห็นสมบัติมากมาย   ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อแม่   พอดีวันหนึ่งผมกลับไปนอนบ้านเป็นวันเสาร์ตรงกับวันพระผมดูทีวีอยู่   ได้ยินเสียงแม่ร้องเอะอะโวยวายบอกว่าไม่ไปๆจะอยู่ที่บ้านผมตกใจเลยครับ  ซึ่งเป็นวันพระที่สามที่แม่ฝันพอดี ผมสงสารแม่จับใจแต่ไม่รู้จะช่วยยังไงเครียด

นึกขึ้นได้ว่ามีอาจารย์ดีเลยไปหาท่านบอกว่า แม่ลูกคู่นั้นต้องการไปเกิดจึงต้องหาคนไปอยู่แทน พอดีแม่ผมดวงตก แม่ลูกคู่นั้งเขาสแกนเจอทั้งที่บ้านกับวัดนั้นห่างกัน 40-50 กม.ได้ 2. ท่านบอกว่าไม่เป็นไรท่านช่วยได้ พอดีตอนที่เกิดเหตุเป็นช่วงตรุษจีน แถวบ้านมีรถบัสนำเที่ยวปิดทอง 7 วัด ท่านบอกว่าให้พาแม่ไปปิดทองซะ 3. ตอนแรกที่บอกแม่ แม่บอกว่าไม่ไป ไปทำไมทำงานดีกว่าผมกล่อมเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล แต่พอเย็นวันสุดท้ายที่จะถึงวันงานอยู่ๆแม่มาบอกว่า 4. คนเล็กพรุ่งนี้ไปปิดทองกันดีกว่า

ผมต้องโทรขอร้องซื้อตั๋วได้มาพอดี 2 ใบ แล้วก็ไปปิดทองกัน ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี วัดที่ 1 เรียบร้อย วัดที่ 2 โอเค แต่พอรถบัสจอดลานวัดที่ 3 เท่านั้นแหละครับ 5. แม่ผมสั่นไปทั้งตัว เหงื่อแตกเหมือนอาบน้ำมาเลยครับ ลุกขึ้นยืนยังไม่ไหวเลยผมบอกแม่ยังไงแม่ต้องลงไปปิดทองให้ได้ ผมต้องพยุง ไปทั้งยังงั้นจนคนเขามอง ปิดทองวัดนี้เสร็จ ก็พยุงขึ้มานั่งบนรถบัส สักพัก ทุกย่างเข้าสู่สภาวะปกติ เดินได้เอง ไม่ต้องพยุงแล้วก็ไปปิดทองจนครบ 7 วัดเลยครับ ท่านเป็นผู้ที่มีพระคุณกับผมมาก ผมโชคดีที่เจอของจริง หลายองค์ครับ มีองค์พ่อศิวะ พ่อปู่ฤาษีนารายณ์ เจ้าแม่กวนอิม พระนางจามเทวี ท่านท่าวมหาพรม แต่6. องค์ที่ช่วยแม่ผมไว้ คือพระพิฆเณศครับ โอมศรีคะเณศยะนะมะฮา ผมสวดบูชาท่านเพื่อตอบแทนบุญคุณคงไม่ผิดอะไร โชคดีที่เจอของจริง ถ้าไปเจอท่าน phonsak คงแย่แน่ครับ

ตอบ

ผมขอตอบเป็นข้อๆนะครับ

1.  โลกของวิญญาณคือโลกของจิตใต้สำนึก  จิตใต้สำนึกของเราสามารถสร้างโลกได้  ที่เรียกว่าสวรรค์ นรก ฯลฯ แม้แต่จักรวาลที่อยู่นอกโลกของเรา ก็ล้วนอยู่ในจิตใต้สำนึกทั้งนั้น  พระพุทธเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์  แต่ท่านสามารถรับรู้ทุกภพภูมิ  เพราะท่านเข้าไปดูในจิตใต้สำนึกตัวเอง

2.  ผมก็ช่วยได้ครับ  วันนี้ผมจะแผ่เมตตา ปลดปล่อยดวงวิญญาณ 2 แม่ลูกนั้น  ให้พ้นจากความทุกข์ทรมานในภพภูมิของเขา

3.  ตอนแรกที่บอกแม่ แม่บอกว่าไม่ไป = วิญญาณดวงอื่น  เขาบังคับให้แม่คุณพูดอย่างนั้น   

4.  คนเล็กพรุ่งนี้ไปปิดทองกันดีกว่า = แม่ของคุณต่อสู้จนเอาชนะการบังคับของดวงวิญญาณดวงนั้น  จึงบอกออกมา

5.    แม่ผมสั่นไปทั้งตัว เหงื่อแตกเหมือนอาบน้ำมาเลยครับ ลุกขึ้นยืนยังไม่ไหวเลยผมบอกแม่ยังไงแม่ต้องลงไปปิดทองให้ได้ ผมต้องพยุง  =  เขาสิงแม่ของคุณแล้ว  วิญญาณแม่ของคุณ ต่อสู้เพื่อบังคับขันธ์ 5 หรือกายของตนเอง  แต่วิญญาณดวงอื่น เขาไม่ยอม  เขาสู้ตายเหมือนกัน  จึงเป็นเช่นนี้

6.   องค์ที่ช่วยแม่ผมไว้ คือพระพิฆเณศครับ   =  พระพิฆเณศ คือ กายแห่งความพระเมตตาของพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง  เช่นเดียวกับกวนอิม ก็เป็นกายแห่งความพระเมตตาของพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง  (พระสัทธรรมวิทยาตถาคต)

ในโลกนี้  ไม่มีเรื่องบังเอิญ  เช่นเดียวกับเรื่องนี้  ถึงเวลาที่ดวงวิญญาณ 2 แม่ลูกนั้น  จะพ้นจากความทุกข์ทรมานในภพภูมิของเขาแล้ว   พระพิฆเณศจึงดลใจของคุณให้เขียนเรื่องนี้  แล้วดลใจให้ผมมาอ่าน  พออ่านเสร็จ ผมก็จะทำการแผ่เมตตาปลดปล่อยดวงวิญญาณ 2 แม่ลูกนั้น  ให้พ้นจากความทุกข์ทรมานในภพภูมิของเขา

สรุป

พวกเราทุกคน ล้วนมีวิญญาณดวงหนึ่งที่เป็นตัวของเราในอดีตชาติ  เข้ามาสิง และมาใช้ชีวิตอยู่เป็นเราในปัจจุบัน  แล้วยังมีวิญญาณอื่นๆนับไม่ถ้วน  ที่เราไปก่อกรรมกับเขาไว้ในอดีตชาติ  ไม่ว่าจะกรรมดี กรรมชั่ว  ส่งพลังมาบังคับให้เราได้รับผลกรรมทั้งดีและชั่ว  เรียกว่า  เจ้ากรรมนายเวร

ถ้าเจ้ากรรมนายเวรไปอยู่ในภพภูมิอื่นที่ไม่ยุ่งกับโลกแล้ว  เช่น  ไปอยู่ในพรหมโลก  หรือลงมาเกิดในโลกมนุษย์แล้ว   จะมีดวงวิญญาณอื่น เช่น พระยายมจะเป็นผู้ป้อนข้อมูลให้เรารับผลของกรรมนั้น  ในกรณีนี้ ดวงวิญญาณ 2 แม่ลูกนั้น  เป็นตัวนำกรรมมาให้แม่คุณรับ  แล้วส่งต่อเรื่องราวความซับซ้อนของกรรมให้พระพิฆเณศ(พระเมตตาของพระพุทธเจ้า)จัดการช่วยแม่ของคุณ  เสร็จแล้วพระพิฆเณศ(พระเมตตาของพระพุทธเจ้า)ก็ส่งต่อให้ผลจัดการช่วยเหลือวิญญาณ 2 แม่ลูกคนนั้นอีกที
56  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: พระอวโลกิเตศวร แตกต่างจาก เจ้าแม่กวนอิม อย่างไร? เมื่อ: 19 มกราคม 2554 01:14:11
Mckaforce หลงกลจอมมารไปอีกคนหนึ่งแล้ว

ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเราตถาคต  ผู้ใดเห็นเราตถาคต  ผู้นั้นย่อมเห็นเราพลศักดิ์

ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราพญามาร  ผู้ใดเห็นเราพญามาร  ผู้นั้นย่อมเห็นเราarmageddon

คบคนพาลarmageddon ย่อมพาลพาไปหาผิด  คบบัณฑิตพลศักดิ์ ย่อมพาลพาไปหามรรคผล 

แต่ทางเลือกเป็นของเธอMckaforce  เมื่อเธอเห็นขี้ ขี้  รักและมอบใจ(:LOVE:)ไว้ให้ขี้ ขี้  เธอจึงหมดโอกาสเห็นเรา ผู้อยู่เหนือขี้ ขี้

 ขำ ขำ ขำ
57  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: พระอวโลกิเตศวร แตกต่างจาก เจ้าแม่กวนอิม อย่างไร? เมื่อ: 18 มกราคม 2554 02:11:12
หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

พระสูตร... เหล่านี้... ท่านได้แต่ใดมา
ตกแต่งหลังปรินิพพานมา... สิบอกไห่


 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น



ในโลกนี้ แม้แต่ในเทวโลก รวมทั้งโลกของมาร  ใครจะบังอาจกระทำการตกแต่งพระสูตรหลังปรินิพพานได้  ขนาดพญามารยังไม่กล้าเลย  แค่ปิดบังจิตของมนุษย์ไม่ให้เห็นหรือตีความพุทธพจน์เหล่านั้นได้เท่านั้น

พระสูตรเหล่านี้ ได้รับการยอมรับโดยพระอรหันต์ผู้มีอภิญญา 6 ครบถ้วน 500 รูป รวมทั้งพระอานนท์และพระมหากัสสปะ  แต่ต่อมาในการสังคายนาครั้งที่ 2 เถรวาทเขี่ยมหายานหรือมหาสังฆิกะทิ้งออกไป  และยังออกกฎบ้าๆบอๆให้พระห่าเหวอะไรก็ได้ เข้าร่วมในการสังคายนาพระไตรปิฎก  พระไตรปิฎก จึงเหลือส่วนที่เป็นของเถรวาทเท่านั้น

ต่อมาในการสังคายนาครั้งที่ 3 ฯลฯ  มารมันก็สิงใจพระที่มีอำนาจในคณะสงฆ์  ตัดเรื่องราวที่มีความพัวพันจะเข้าถึงพระธรรมระดับโลกุตตระ เช่น เรื่องพระอมิตา แดนสุขาวดี พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร  พระไวโรจนพุทธเจ้า  พวกมารเหล่านี้เอาเรื่องเหล่านี้ทิ้งออกจากพระไตรปิฎกแทบไม่เหลือหลอ  เพื่อทำลายพุทธศาสนา

ในยุคปัจจุบัน  พวกมารมันยิ่งบังอาจ  เข้าควบคุมเว็บธรรมะพุทธศาสนาได้เป็นส่วนมาก  หัวหน้าใหญ่ของมาร มีชื่อเป็นมนุษย์ว่า เสี่ยวอีสาน เอกวีร์ amageddon และอีกเป็นร้อยๆชื่อ  คนๆนี้คิดถึงขั้นล้มล้างไม่ให้ชาวพุทธรู้ว่า  แก่นแท้ของพวกเรา แท้จริงเป็นพุทธะ เป็นธรรมกาย เป็นจิตปภัสสร

ฟ้าจึงส่งผมลงมา  แค่คนเดียว  ถล่มแหลกทุกเว็บศาสนา  ขยี้ลัทธิพุทธศาสนาของเก๊ของจอมมารที่สิงอยู่ในร่างนายเสี่ยวอีสาน หรือนายเอกวีร์ หรือนายamageddon และอีกเป็นร้อยๆชื่อ

จำไว้จอมมาร  ข้าชื่อ พลศักดิ์ วังวิวัฒน์  ข้าลงมาเพื่อชนพวกมารอย่างเอ็ง ที่พยายามทำให้พุทธศาสนาเป็นของปลอม

รักนะเด็กโง่ รัก รัก รัก







58  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: พระอวโลกิเตศวร แตกต่างจาก เจ้าแม่กวนอิม อย่างไร? เมื่อ: 17 มกราคม 2554 00:17:55
1. เจ้าแม่กวนอิม หรือพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่เป็นมนุษย์ โคตมพระพุทธเจ้าของเรายืนยันว่า ท่านรู้แบบมีสติถึงขั้นอนุสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพุทธะแล้ว  อ่านดู....

ในมหากรุณาธรณีสูตร องค์สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงมีพระดำรัสสรุปความแก่บรรดา พุทธโพธิสัตว์ และทวยเทพในที่ประชุมว่า
   
   "แท้ที่จริงแล้ว พระโพธิสัตว์กวนอิมองค์นี้ ได้สำเร็จธรรมในขั้น "พุทธะ" เมื่อครั้งหลายแสนกัปป์มาแล้ว ทรงพระนามว่า "เจิ่น ฝ่า หมิง ยู ไล้" แต่ด้วยเหตุที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยจะโปรดเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ให้มาร่วมกันฉุดช่วยเวไนยสัตว์มากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ในทะเลทุกข์ พระองค์จึงทรงหวนกลับจากพุทธภูมิลงสู่แดนโพธิสัตว์อีก"

2. ส่วนพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์กวนอิมที่เป็นสัมโภคกาย กำเนิดของท่านเป็นพระเมตตามหากรุณาของพระพุทธเจ้า ลองอ่านดู...
   
ในคัมภีร์สหัสภุชสหัสเนตร อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไวปุลยสมบูรณอกิญจนมหากรุณาจิตรธารณีสูตร ได้กล่าวไว้ว่า
   
   “เมื่อพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ทรงแสดงอภิญญาฤทธิ์พร้อมกับการกล่าวแสดงมหากรุณาธารณีมนตร์อันทรงอานุภาพแล้ว พระอานนท์เถระเจ้า ได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์พระองค์นี้มีนามอักษราเช่นใดฤๅ ถึงอาจกล่าวแสดงธารณีได้ปานฉะนี้ พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้มีนามว่า อวโลกิเตศวร, อโมฆบาศโลเกศวร,สหัสประภาเนตร
   
   ดูก่อนกุลบุตร พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์พระองค์นี้ มีฤทธานุภาพไพศาลเหนือการคาด     คะเนตรึกคิด ในอดีตกาลล่วงมานับประมาณกัลป์มิได้ มีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ตรัสรู้พระสรรเพชุดาญาณ พระนามว่า สัทธรรมวิทยาตถาคต ด้วยพระมหาปณิธานที่เปี่ยมด้วยมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ จึงมีพุทธประสงค์จะนิรมิตพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาลให้บังเกิดขึ้น เพื่อยังความสุขศานติให้สําเร็จแก่สรรพสัตว์ แต่แล้วจึงบังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(องค์เดียว )

  ย้ำ! สัทธรรมวิทยาตถาคต ด้วยพระมหาปณิธานที่เปี่ยมด้วยมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ มีพุทธประสงค์จะนิรมิตพระโพธิสัตว์จํานวนมหาศาล แต่แล้วจึงบังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(องค์เดียว )  
   
   มีบทสรรเสริญสดุดีพระสัทธรรมวิทยาตถาคตใน บทมหากรุณาขมากรรม ว่า “นโมพระสัทธรรมวิทยาตถาคตเจ้าในอดีต ซึ่งคือพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ในปัจจุบัน”  

 
59  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / พระอวโลกิเตศวร แตกต่างจาก เจ้าแม่กวนอิม อย่างไร? เมื่อ: 15 มกราคม 2554 22:13:00
ชื่อที่ถูกต้อง เจ้าแม่กวนอิม หรือพระโพธิสัตว์กวนอิมครับ /พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์กวนอิม ชี้แนะด้วยครับ


ตอบ


คุณจะเรียก เจ้าแม่กวนอิม หรือพระโพธิสัตว์กวนอิมครับ หรือพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์กวนอิม ก็ได้ทั้งนั้น

เพียงแต่คุณต้องรู้ว่า:

พระอวโลกิเตศวร  เป็นสัมโภคกาย  ไม่ได้เป็นมนุษย์ เป็นสัมโภคกาย เรียกว่า ธยานิโพธิสัตว์ อยู่ที่พุทธเกษตรสุขาวดี

มหาโพธิสัตว์กวนอิม เป็นนิรมาณกาย หรือเคยเป็นมนุษย์มาก่อนก็มี


เหมือนกับพระพุทธเจ้า ร่างที่เป็นมนุษย์ คือโคตมพุทธเจ้า  ส่วนที่เป็นสัมโภคกาย คือ พระอมิตาภพุทธเจ้า

เหมือนกับพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ที่เป็นสัมโภคกาย ที่เรียกว่าเป็นธยานิโพธิสัตว์ก็มี   ส่วนที่เป็นมนุษย์ เรียกว่า พระอชิตะ ก็มี  อยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต  ส่วนพระศรีอริยะเมตตรัยโพธิสัตว์ ที่เป็นสัมโภคกาย อยู่ที่พุทธเกษตรดุสิต
60  สุขใจในธรรม / พุทธวัจนะ - ภาษิตธรรม / นิกายเถรวาทสืบต่อมาจากการสังคายนาครั้งที่ 2 ไม่ใช่จากปฐมสังคายนา เมื่อ: 10 มกราคม 2554 14:22:47
นิกายเถรวาทสืบต่อมาจากการสังคายนาครั้งที่ 2 ไม่ใช่จากปฐมสังคายนา


ผมว่า อาจารย์ ผศ.รท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ไม่รู้จริงนะครับ จึงเขียนว่า:

เหตุที่เรียกว่า นิกายเถรวาท เพราะพระในนิกายนี้ถือปฏิบัติตามหลักคำสอนที่สืบต่อกันมาโดยพระเถระตั้งแต่ครั้งที่ทำปฐมสังคายนา (สังคายนาครั้งที่ ๑)
http://anamnikay.is.in.th/?md=webboard&ma=showtopic&id=126&cpage=1

เพราะในปฐมสังคายนา (สังคายนาครั้งที่ ๑) เถรวาทยังรวมกับมหายาน(ที่สมัยนั้นเรียกว่า มหาสังฆิกะ) แต่ในการสังคายนาครั้งที่ 2 ต่างหาก ที่นิกายเถรวาทกีดกันไม่ให้มหาสังฆิกะ(มหายาน)เข้าร่วม ให้เฉพาะพวกตน คือเถรวาทเขาร่วมเท่านั้น  และยังเปลี่ยนกฎ ให้พระอะไรก็ได้เข้าร่วมด้วย  ไม่ใช่เฉพาะพระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6 ครบเท่านั้น  

ด้วยเหตุนี้  จึงต้องนับว่า พระในนิกายเถรวาท ล้วนถือปฏิบัติตามหลักคำสอนที่สืบต่อกันมาโดยพระเถระตั้งแต่ครั้งที่การทำสังคายนาครั้งที่ 2 เรื่อยมา ไม่ใช่จากการทำปฐมสังคายนา

ทำไมจึงต้องนับจากการทำสังคายนาครั้งที่ 2 เรื่อยมา ไม่ใช่นับจากการทำปฐมสังคายนา?

เพราะในปฐมสังคายนา พระอานนท์ พระมหากัสสปะ และพระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6 ครบถ้วน 500 รูป ต่างรับรองเรื่องสภาวะธรรมสูงสุดนั้นคือ พระธรรมกาย(พุทธเจ้า), อาทิพุทธ, พระไวโรจนะพุทธเจ้า, ต้นธาตุ-ต้นธรรม, พระอมิตาภพุทธเจ้า, ฯลฯ  

ส่วนพระเมตตาของพระธรรมกาย(พุทธเจ้า) คือ พระอวโลกิเตศวร(กวนอิม) และธยานิโพธิสัตว์ 5 องค์บ้าง 8 องค์บ้าง ที่เรียกว่า "สัมโภคกาย" ซึ่งเรื่องสัมโภคกายนี้  เถรวาทไม่ยอมรับในสังคายนาครั้งที่ 2 และเรื่อยมา  แต่ยอมรับเรื่องสัมโภคกายในปฐมสังคายนา

แล้วคุณจะเลือกเชื่อ พระอานนท์ พระมหากัสสปะ และพระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6 ครบถ้วน 500 รูปในปฐมสังคายนา หรือจะเลือกเชื่อพระอะไรก็ได้ที่เข้าร่วมในการสังคายนาครั้งที่ 2
หน้า:  1 2 [3] 4 5 ... 16
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.571 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 22 กรกฎาคม 2566 17:50:27