[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 12:58:08 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 16
61  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / พวกเราไม่เคยตายเลย เพียงแต่ไปเปลี่ยนกายใหม่ แล้วมาเล่นละครต่อใน 3 ภพ เมื่อ: 10 มกราคม 2554 12:31:23
พวกเราเคยตายจริงหรือ?  ผมว่าเราไม่เคยตายจริงๆนะ


คุณsalavin สงสัยและถามว่า:                 วันเวลา: 07/01/2554 09:33:35

ในตัวเราทำไมมี 2 ความคิด เหมือนมี 2 คนใน 1 ร่าง
ผมเคยรู้สึกเหมือนกับว่าในตัวของผมนั้นมีอยู่ 2 ร่าง 2 ความคิด
เหมือนกับว่า 2 ร่างในตัวเรานี้มัน คิดขัดแย้งกัน
ร่างนึงคิดดี อีก ร่างคิดไม่ดี (ประมาณนั้น)
อธิบายไม่ถูกเหมือนกันคัฟ +_+

คุณเคยรู้สึกแบบนี้รึป่าว???



ตอบ


ก็ถูกต้องแล้วนิครับ  มีพลัง 2 พลังแฝงมาเพื่อดลจิตเรา  พลังหนึ่งจะชี้แนะให้เราทำดี  ฝรั่งเขาเรียกว่า "พระเจ้า" อีกพลังหนึ่งจะแนะนำให้เราทำความชั่ว  ฝรั่งเขาเรียกว่า "ซาตาน"  พระพุทธเจ้าเรียกว่า "มาร"

นอกจากนี้ ในตัวของเรา ยังมี คือ จิตในอดีตชาติ เข้ามาสิงสู่  อยู่ร่วมกับวิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่ด้วย

วิญญาณธาตุตัวเก่า หรือกายทิพย์ตัวเก่า จะดับสลายไปเมื่อเราตาย เพราะมันได้กลับกลายเป็นตัวนามรูปหรือขันธ์ 5 ไปแล้ว (ตาย=ขันธ์ 5 ตาย แต่จิต(สังขาร) ไม่ได้ตาย)

วิญญาณธาตุตัวใหม่ หรือกายทิพย์ตัวใหม่ จะเกิดขึ้นสมบูรณ์เมื่อกายทิพย์ตัวเก่า(ที่กลายเป็นนามรูปหรือขันธ์ 5 หรือกายของเรา)ตายแล้ว

มันสืบเนื่องอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะนิพพาน


ขบวนการสร้างวิญญาณและนามรูป(ร่างกาย หรือขันธ์ 5)ของกันและกันเป็นดังพุทธพจน์นี้:



พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่ในมหานิทานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ ว่า:

"ดูกรอานนท์เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ
 เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป..."



สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐.    ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชต-

วัน.


ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้


...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป  จึงได้มี  :  เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม
รูป" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี  : เพราะ
มีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา    เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่
เราว่า   "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี  :   เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมี
วิญญาณ" ดังนี้.

ภิกษุ ท.! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อม
ไม่เลยไปอื่น;  ด้วยเหตุเพียงเท่านี้    สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึง
จุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; เพราะ
มีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

สรุป

1. วิญญาณะปัจจะยา นามรูปัง (วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามและรูป) = วิญญาณตัวเก่าเมื่อชาติก่อน เป็นปัจจัยให้เกิดร่างกายหรือขันธ์ 5 หรือนามรูปในชาตินี้

2. นามรูปปัจจะยา วิญญาณนัง (นามและรูปเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ) = ร่างกายหรือขันธ์ 5 หรือนามรูปในชาตินี้ เป็นปัจจัยให้เกิด วิญญาณในชาตินี้  = วิญญาณในชาติเก่าสะสมประสพการณ์ใหม่ๆ บุญบาปใหม่ๆ ในชาตินี้
62  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ท่านอาจารย์amaged จ๋า เดียรถีย์พลศักดิ์ ขอสอนธรรมท่าน: จิตมี 2 ชนิดจ่ะ เมื่อ: 03 มกราคม 2554 15:40:35
สงสัยอยากรู้ ก็กราบบาทางามๆ  หรือจะกราบตีนก็ได้นะ เลือกเอา   แล้วเธอจะรู้คำตอบที่รอคอย  คำตอบของเรา รอคอยเธอมาหลายภพหลาชาติแล้วนะ...จะบอกให้  จะให้มันรออีกสักชาติก็ไม่มีปัญหา 

เราดับพยศของเธอไม่ได้  เราไม่บอกเธอหรอก 

หุบปากซะ หุบปากซะ หุบปากซะ ขำ ขำ ขำ
63  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ท่านอาจารย์amaged จ๋า เดียรถีย์พลศักดิ์ ขอสอนธรรมท่าน: จิตมี 2 ชนิดจ่ะ เมื่อ: 02 มกราคม 2554 20:59:52
แหม่ๆๆ ....ท่านมหาเกรียนธรรม 999 ประโยค
ท่านนี่ .....เข้าใจได้ลึกซึ้ง.... จิงๆ นิ
เข้าใจได้พันพรือ....นิ...ว่าผมแกล้งโง่ ..นิ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

แต่ท่านมหาเกรียนธรรม999 ประโยค ท่านนี่.... ไม่ได้แกล้งโง่...นิ
โง่จิงๆ ...โง่อมตะ ...แม่นเลย...นิ
สมองขี้เลี่อย..จิงๆ..นิ... ขี้ ขี้ ขี้

อายตนะนั้นมีอยู่...
แต่ดินน้ำลมไฟ... ธาตุทั้งหลาย ....ไม่มีอยู่ในอายตนะนั้น ....นิ
อายาตนะนั้น ...ก็เลยสร้างอะไรไม่ได้...นิ
เพราะไม่มี....วัสดุ....ไม่มีอุปกรณ์....อะไรจะสร้าง...นิ
หาผู้สร้าง...ก็ไม่ได้..นิ

และก็อ่ายตนะนั้น ...ก็มิได้เป็นไป...นิ

เป็นรูปอะไรก็ไม่ได้...นิ...เป็นนามอะไรก็ไม่ได้..นิ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

๑๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ภิกษุทั้งหลายเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้าจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมมีกถาอันปฏิสังยุตต์ด้วยนิพพาน ก็ภิกษุเหล่านั้นกระทำให้มั่น มนสิการแล้วน้อมนึกธรรมีกถาด้วยจิตทั้งปวงแล้ว เงี่ยโสตลงฟังธรรม ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย "อายตนะนั้นมีอยู่" ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้าพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น

ดูกรภิกษุทั้งหลายเราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ
ที่มา : http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=25&A=3977&Z=3992


ความรู้เบื้องต้นในพุทธศาสนา คุณก็ยังไม่มี  คุณอยู่ในโลกแห่งมายา ยังไม่รู้อีกหรือ  ทุกอย่างล้วนเป็นความว่าง จิตเป็นผู้กำหนด  ผมตอบแค่นี้  ถ้าสงสัยให้กราบผมงามๆ 3 ครั้งแล้วจะมาตอบ

ถ้าอายก็ให้พวกพ้องกราบผมแทนก็ได้  เห็นได้ข่าวว่า คุณกว้างขวางในแวดวงพุทธศาสนาของปลอม ให้ใครเขียนกราบเท้าผม 3 ครั้ง แทนหน่อยสิ   เอ้า! ผมจะเล่าพระไตรปิฎกบทหนึ่งให้ฟัง เพื่อเป็นน้ำย่อย  ถ้าอยากฟังว่าไม่มีธาตุดิน น้ำ ลม ไฟอยู่  ใช้อะไรสร้าง  ก็กราบบาทาผมซะ

พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ปลูกต้นมะม่วง อาศัยปุ๋ยวิเศษขนิดใดล่ะ  อาศัยใจอย่างเดียวมิใช่หรือ

"ครั้นพระพุทธเจ้าทรงเสวยอัมพปานะแล้ว จึงรับสั่งให้นายอุทยานบาลนั้นเอาเมล็ดมะม่วงนั้นปลูกที่พื้นดิน ณ ที่ตรงนั้น แล้วพระบรมศาสดาก็ทรงอธิษฐานล้างพระหัตถ์รดเมล็ดมะม่วงนั้น ซึ่งเพิ่งเพาะในขณะนั้น  ด้วยพระพุทธานุภาพ เมล็ดมะม่วงก็เริ่มงอกในทันใดนั้นเอง แล้วเริ่มเกิดเป็นลำต้น แตกใบ แตกกิ่งก้านสาขาโดยลำดับ จนต้นมะม่วงใหญ่สูงได้ ๑๒ วา ๒ ศอก พร้อมกับตกช่อ ออกดอก ออกผล อ่อน แก่ สุก ถึงงอม หล่นตกลงภาคพื้นออกเกลื่อนกล่น มหาชนเดินผ่านมาก็เก็บบริโภค มีรสหวานสนิท ไม่ช้าข่าวมะม่วงพิเศษ  ซึ่งเป็นของอัศจรรย์ก็แพร่ไปทั่วพระนคร  ประชาชนก็พากันสัญจรหลั่งไหลมาชมเป็นอันมาก สุดที่จะประมาณ"
64  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ใจอสังขตะ..อมตะนิรันด์กาล มั่นคง..ไม่แตกสลาย ย่อมสร้างอายตนะที่มั่นคงไม่แตกสลาย เมื่อ: 02 มกราคม 2554 14:12:11



 รัก รัก รัก
ต้องใจแบบผมนี้ ... มั่นคง...ไม่แตกสลาย... เป็นใจอสังขตะ....อมตะนิรันด์กาล

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ศิษย์โง่armageddon เข้าใจเรื่องใจที่เราสอนแล้วนิ จึงพูดว่า ใจอสังขตะ....อมตะนิรันด์กาล มั่นคง...ไม่แตกสลาย  แล้วมาแกล้งโง่อยู่ได้  เราจะสอนเธอต่อว่า

ใจอสังขตะที่เธอพูดถึงนั่นแหละ  สร้างอายตนะหรือขันธ์ที่ไม่แตกสลาย เรียกว่า "อัตตา" อายตนะที่ไม่แตกสลายเป็นอัตตา พระพุทธองค์เรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย  อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย  สิ่งนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย  สามารถสร้างรูปอะไรก็ได้

ใจที่แตกสลาย ย่อมสร้างอายตนะหรือขันธ์ที่แตกสลาย ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่า "อนัตตา" คือ ขันธ์ของมนุษย์ สัตว์ เปรต เทวดา ยักษ์ พรหม ฯลฯ

วันหลังอย่าแกล้งโง่อีกนะ  มีอะไรก็ถามเราตรงๆก็ได้  อย่าใช้สันดานดิบสัตว์เดรัจฉานในตัวของเธอ ที่ไปด่าประณาม ตำหนิ ติเตียนผู้อื่น แล้วยังไปถามขอความรู้จากเขาอีก  

เราได้บอกเธอแล้วว่า  เธอลองเอาสิ่งที่เธอถามเราแบบนั้น  ไปถามพ่อเธอหรือลูกเมียเธอดูว่า  พวกเขายินดีจะตอบคำถามประเภทสัตว์นรกของเธอไหม   ถ้าพวกเขายินดีตอบอย่างเต็มใจ  เธอค่อยมาถามเรา

สนธนาธรรมะ เริ่มต้นด้วยการอวดเก่ง  ด่าว่าประณามคนอื่นเพื่อชูหางของตนให้ตั้งเด่ เพื่ออวดว่า ข้าเก่งเหนือเอ็ง  ทั้งๆที่ตนเองไม่รู้ธรรมะของจริงเลย  แล้วยังไปถามขอความรู้จากเขา  ใครเขาจะไปตอบเธอ  เขาก็ต้องปล่อยให้เธอโง่ต่อไป...จริงไหม???????
65  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ท่านอาจารย์amaged จ๋า เดียรถีย์พลศักดิ์ ขอสอนธรรมท่าน: จิตมี 2 ชนิดจ่ะ เมื่อ: 02 มกราคม 2554 13:59:18



 รัก รัก รัก
ต้องใจแบบผมนี้ ... มั่นคง...ไม่แตกสลาย... เป็นใจอสังขตะ....อมตะนิรันด์กาล

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ศิษย์โง่armageddon เข้าใจเรื่องใจที่เราสอนแล้วนิ จึงพูดว่า ใจอสังขตะ....อมตะนิรันด์กาล มั่นคง...ไม่แตกสลาย  แล้วมาแกล้งโง่อยู่ได้  เราจะสอนเธอต่อว่า

ใจอสังขตะที่เธอพูดถึงนั่นแหละ  สร้างอายตนะหรือขันธ์ที่ไม่แตกสลาย เรียกว่า "อัตตา" อายตนะที่ไม่แตกสลายเป็นอัตตา พระพุทธองค์เรียกว่า อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย  อายตนะนิพพาน หรือ ธรรมกาย  สิ่งนี้ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย  สามารถสร้างรูปอะไรก็ได้

ใจที่แตกสลาย ย่อมสร้างอายตนะหรือขันธ์ที่แตกสลาย ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย เรียกว่า "อนัตตา" คือ ขันธ์ของมนุษย์ สัตว์ เปรต เทวดา ยักษ์ พรหม ฯลฯ

วันหลังอย่าแกล้งโง่อีกนะ  มีอะไรก็ถามเราตรงๆก็ได้  อย่าใช้สันดานดิบสัตว์เดรัจฉานในตัวของเธอ ที่ไปด่าประณาม ตำหนิ ติเตียนผู้อื่น แล้วยังไปถามขอความรู้จากเขาอีก  

เราได้บอกเธอแล้วว่า  เธอลองเอาสิ่งที่เธอถามเราแบบนั้น  ไปถามพ่อเธอหรือลูกเมียเธอดูว่า  พวกเขายินดีจะตอบคำถามประเภทสัตว์นรกของเธอไหม   ถ้าพวกเขายินดีตอบอย่างเต็มใจ  เธอค่อยมาถามเรา

สนธนาธรรมะ เริ่มต้นด้วยการอวดเก่ง  ด่าว่าประณามคนอื่นเพื่อชูหางของตน ว่า ข้าเก่งเหนือเอ็ง  ทั้งๆที่ตกเองไม่รู้ธรรมะของจริงเลย  แล้วยังไปถามขอความรู้จากเขา  ใครเขาจะไปตอบเธอ  เขาก็ต้องปล่อยให้เธอโง่ต่อไป
66  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ท่านอาจารย์amaged จ๋า เดียรถีย์พลศักดิ์ ขอสอนธรรมท่าน: จิตมี 2 ชนิดจ่ะ เมื่อ: 01 มกราคม 2554 20:38:35
 อกหัก อกหัก อกหัก

ความรักในใจของเรา ที่มีต่อเธอผู้เป็นมาร สลายเลย  จงทนต่อไปกับความอยากรู้อยากเห็นในใจเธอ
67  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ท่านอาจารย์amaged จ๋า เดียรถีย์พลศักดิ์ ขอสอนธรรมท่าน: จิตมี 2 ชนิดจ่ะ เมื่อ: 01 มกราคม 2554 14:58:56
ถ้าเธอละอายใจ ที่จะเขียนว่า ขอกราบเท้า ขอขมาเรา(พลศักดิ วังวิวัฒน์)  ก็เปลี่ยนเป็นขอกราบตีน ขอกราบพระบาทอาจารย์พลศักดิ วังวิวัฒน์ แทนก็ได้นะ

ถ้าเธอไม่ทำ  เธอก็ต้องทนอยู่กับความอยากรู้อยากเห็นที่อยู่ในใจของเธอต่อไป  ชั่งน้ำหนักเอาเองนะจ๊ะ  ว่าจะเอาแบบไหน 55555 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หุบปาก

รักนะเด็กโง่ รัก รัก รัก
แต่ขอบ๊ายบายก่อน บ๊าบบาย บ๊าบบาย บ๊าบบาย
68  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ท่านอาจารย์amaged จ๋า เดียรถีย์พลศักดิ์ ขอสอนธรรมท่าน: จิตมี 2 ชนิดจ่ะ เมื่อ: 01 มกราคม 2554 14:50:55
หนอย! เดรัจฉานarmagedonจะหลอกให้เดียรถีย์พลศักดิ์ สอนธรรมให้เรื่อยๆโดยวิธีการยั่ว และแสดงความเป็นผู้รู้  ทั้งๆที่ไม่รู้ 

อย่าฝันหวานไปเลย  เราตอบข้อสงสัยของเธอไปเยอะแล้ว  เราไม่ได้ตอบเพื่อเธอ  แต่เราตอบเพื่อคนอื่น  เพราะถ้าปล่อยให้เธอเผยแพร่สิ่งที่เธอเข้าใจผิด ตีความผิดๆไปเรื่อยๆ  ศาสนาพุทธจะถึงกาลวิบัติ  เพราะเธอเข้าไปอยู่ในทุกเว็บศาสนา และมีตำแหน่งสำคัญในเว็บเหล่านั้นด้วย  จึงมีอิทธิพล  กำหนดความเชื่อและการตีความพุทธพจน์

เมื่อไรเธอยอมกราบเท้า ขอขมาเรา  เราจะสอนในสิ่งที่เธอไม่รู้ให้กับเธอ  จะได้ไม่ต้องขอความรู้จากเราด้วยการด่าประณาม ผู้ที่เป็นเสมือนอาจารย์ของเธออีก

แค่เขียนว่า ขอกราบเท้า ขอขมาเรา(พลศักดิ วังวิวัฒน์)  ลดความหยิ่งจองหองว่าตนเองเก่ง เป็นผู้รู้  ทั้งๆที่ไม่รู้อะไรจริงๆสักเรื่อง  ถึงเวลานั้น  เธอจะได้ถามธรรมเรา  และเราจะได้ตอบเธอ

เมื่อเธอยังมีทิฏฐิมานะ  อย่าหวังจะได้ความรู้จากเราอีก
69  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ท่านอาจารย์amaged จ๋า เดียรถีย์พลศักดิ์ ขอสอนธรรมท่าน: จิตมี 2 ชนิดจ่ะ เมื่อ: 31 ธันวาคม 2553 22:34:51
จิต(สังขาร)ในพระอภิธรรมมีดวงเดียว ที่บอกว่ามี 89/121 ดวง เป็นอารมณ์/อาการของจิต 


"คัมภีร์อภิธรรมรุ่นอรรถกถา ประมวลเรื่องจิตที่แสดงไว้ในพระอภิธรรมปิฎกแล้ว แจงนับสภาพจิตทั้งหลายไว้ว่า มีจำนวน 89 หรือโดยพิสดารมี 121 เรียกว่า จิต 89 หรือ 121"

http://www.bloggang....roup=14&gblog=1

ด้วยเหตุนี้ จะเรียก 89/121 ว่า สภาพจิต หรือจะเรียก อาการ/อารมณ์ ของจิตก็ได้ แต่มันไม่ใช่ตัวจิต(สังขาร)ซึ่งมีอยู่ดวงเดียว 

ถ้าดับตัวจิต(สังขาร)ซึ่งเป็นความคิดปรุงแต่งได้  เมื่อนั้นแหละจะได้จิตประภัสสร หรือจิตหลุดพ้น ซึ่งเป็นนิพพาน  แล้วไอ้ตัวจิตหลุดพ้น(นิพพาน)ตัวนี้แหละ มันสร้างอายตนะนิพพาน หรือธรรมกายขึ้นมา  ตัวธรรมกายตัวนี้ก็ไปสร้างกายทิพย์ที่เรียกว่า "สัมโภคกาย" ขึ้นมาอีกทอดหนึ่ง  ที่เรียกว่า "พระโพธิสัตว์อรหันต์"
70  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ท่านอาจารย์amaged จ๋า เดียรถีย์พลศักดิ์ ขอสอนธรรมท่าน: จิตมี 2 ชนิดจ่ะ เมื่อ: 31 ธันวาคม 2553 14:51:16
จิตมี 2 ชนิด

1. จิตสังขาร จิตตัวนี้สร้างวิญญาณธาตุ หรือกายทิพย์หรืออทิสมานกาย  ผู้ที่เข้านิพพาน  ต้องดับจิตสังขารหรือกายทิพย์ก่อน เพราะมันเกิดจากความไม่บริสุทธิ์หรืออวิชชา  เมื่อดับจิตสังขารหรือกายทิพย์ตัวนี้แล้ว  จะได้

2. จิตบริสุทธิ์ที่เป็นจิตปภัสสรที่หมดกิเลสอวิชชา  จิตปภัสสรที่หมดกิเลสอวิชชา จะสร้างกายทิพย์ และกายธรรม ขึ้นมาแทน


ลองฟังที่หลวงปู่มั่นเล่าให้ฟังในเรื่องนิพพานไม่สูญ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตนะครับ

http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1257:%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95%E0%B9%92-%m-%E0%B9%91%E0%B9%95-%E0%B9%91%E0%B9%98-%M-%S&catid=39:2010-03-02-03-51-18

นิพพานเป็น แดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้วเหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึกพระ อรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น.......

ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม

ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณ ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก

มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์

71  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา เมื่อ: 31 ธันวาคม 2553 14:43:20
จิตมี 2 ชนิด

1. จิตสังขาร จิตตัวนี้สร้างวิญญาณธาตุ หรือกายทิพย์หรืออทิสมานกาย  ผู้ที่เข้านิพพาน  ต้องดับจิตสังขารหรือกายทิพย์ก่อน เพราะมันเกิดจากความไม่บริสุทธิ์หรืออวิชชา  เมื่อดับจิตสังขารหรือกายทิพย์ตัวนี้แล้ว  จะได้

2. จิตบริสุทธิ์ที่เป็นจิตปภัสสรที่หมดกิเลสอวิชชา  จิตปภัสสรที่หมดกิเลสอวิชชา จะสร้างกายทิพย์ และกายธรรม ขึ้นมาแทน


ลองฟังที่หลวงปู่มั่นเล่าให้ฟังในเรื่องนิพพานไม่สูญ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโตนะครับ

http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=1257:%E0%B9%92%E0%B9%95%E0%B9%95%E0%B9%92-%m-%E0%B9%91%E0%B9%95-%E0%B9%91%E0%B9%98-%M-%S&catid=39:2010-03-02-03-51-18

นิพพานเป็น แดนของวิสุทธิเทพคือผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ละลายกายทิพย์หมดสิ้นแล้วเหลืออยู่แต่จิตสุขใสเป็นดวงประกายพรึกพระ อรหันต์สถิตย์อยู่ในแดนพระนิพพานนั้น.......

ไม่ใช่กายทิพย์ธรรมดาเหมือนโอปปาติกะทั้งหลาย กายทิพย์ หรือ ธรรมกาย ของพระอรหันต์ในแดนนิพพานเป็นกายทิพย์ที่นฤมิตขึ้นด้วยธรรม

ไม่ได้เกิดขึ้นเองเป็นเองโดยธรรมชาติของโลกวิญาณ ร่างธรรมกายของพระอรหันต์เป็นทิพย์ละเอียดใสสะอาดใสเป็นประกายคล้ายแก้วประกายพรึก

มีรัศมีสว่างไสวมากกว่าพระพรหมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุดอย่างไม่มีอะไรเปรียบเทียบเพราะความรู้สึกอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์

72  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา เมื่อ: 31 ธันวาคม 2553 14:27:41
อืม อ่านแล้วคิดแบบนี้ท่าน
อัตตาคือความทนได้ด้วยความไม่มีกิเลสด้านร้าย
แต่ยังมีกิเลสด้านดีเป็นความเมตตาใช่มั๊ยนะ
แต่อนัตตาคือไม่เหลือกิเลสดีหรือร้ายเหลืออยู่เลย
คิดแบบนี้ผิดถูกยังไงท่าน :37:
เฮ่อ...ยังคิดอยู่ร่ำไปน๊อเรา เพราะสงสัยนี่แหละ :24:

ถ้าคุณมีเมตตา  พยายามช่วยเหลือคนอื่น แล้วช่วยไม่ได้ล่ะ  คุณจะไปคิดปรุงแต่งต่อหรือเปล่า  หรือจะปล่อยวางเป็นอุเบกขา  เพราะเราได้พยายามที่สุดแล้ว  ก็ยังช่วยไม่ได้

ถ้าคุณปล่อยวางเป็นอุเบกขาได้  นั่นแหละ คือภาวะอรหันค์  ดังเช่นเจ้าแม่กวนอิม  ท่านก็พยายามช่วยเหลือคนที่มาขอให้ท่านช่วย  บางคนท่านก็ช่วยไม่ได้  เพราะกรรมของเขาหนักมาก  ถ้าเจ้าแม่กวนอิมไปคิดปรุงแต่ง  ไม่ปล่อยวางเป็นอุเบกขา  เจ้าแม่กวนอิมคงไม่ได้เป็นพระอรหันต์มหาโพธิสัตว์  อยู่วนเวียนมานับกัปไม่ถ้วนหรอก

สรุป

เมตตากรุณา+ปล่อยวางเป็นอุเบกขาอรหันต์ = อรหันต์โพธิสัตว์

พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านตรัสรู้  ตอนนั้นท่านได้ภาวะอรหันต์แล้ว  แต่พระองค์ท่านมีเมตตากรุณาต่อโลก  ต้องการเผยแพร่สิ่งที่ท่านรู้  ให้ผู้อื่นรู้ตามด้วย  โดยท่านยังไม่ยอมดับขันธ์ไป  ช่วงที่ท่านเป็นตถาคตสอนธรรมอยู่ตั้งแต่ตรัสรู้เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา จนถึง 80 พรรษา   

ช่วง 45 ปีนั้น  พระพุทธเจ้า ดำรงอยู่ในฐานะอรหันต์โพธิสัตว์  ที่เป็นตถาคตสอนธรรมใน 3 ภพ
73  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา เมื่อ: 30 ธันวาคม 2553 02:03:42
จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา


จิตนั้นเป็นสุญญตา หรืออนัตตาธรรม ซึ่งเป็นของว่าง

ในความว่างที่เป็นสุญญตา จิตไม่บริสุทธิ์และจิตบริสุทธิ์จะสร้างอายตนะหรือขันธ์แตกต่างกัน

(1.) อายตนะหรือขันธ์ ที่จิตซึ่งว่างเข้าไปอยู่  ถ้าเกิดจากจิตที่มีกิเลสตัณหา(จิตสังขาร)  อายตนะหรือขันธ์นั้น จะไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) = อนัตตา

(2.) อายตนะหรือขันธ์ ที่จิตซึ่งว่างเข้าไปอยู่  ถ้าเกิดจากจิตที่ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา อายตนะหรือขันธ์นั้น จะเที่ยง และไม่เป็นทุกข์ ไม่มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เป็นนิจจังแทน  ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ และไม่ดับไป  (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย) = อัตตา

จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเพื่อให้ทิ้ง  จิตที่มีกิเลส ตัณหา ที่สร้างขันธ์หรืออายตนะ ที่ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) = อนัตตา

จุดมุ่งหมายที่ต้องทิ้งจิตไม่บริสุทธิ์  ก็เพื่อจะได้ จิตที่ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา ที่สร้างขันธ์หรืออายตนะ ที่เที่ยง และไม่เป็นทุกข์ ไม่มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เป็นนิจจัง ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ และดับไป (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย) = อัตตา
74  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ท่านเข้าใจเรื่อง อนัตตาธรรม หรือ สุญญตาธรรม หรือยัง? เมื่อ: 30 ธันวาคม 2553 02:01:04
จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา


จิตนั้นเป็นสุญญตา หรืออนัตตาธรรม ซึ่งเป็นของว่าง

ในความว่างที่เป็นสุญญตา จิตไม่บริสุทธิ์และจิตบริสุทธิ์จะสร้างอายตนะหรือขันธ์แตกต่างกัน

(1.) อายตนะหรือขันธ์ ที่จิตซึ่งว่างเข้าไปอยู่  ถ้าเกิดจากจิตที่มีกิเลสตัณหา(จิตสังขาร)  อายตนะหรือขันธ์นั้น จะไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) = อนัตตา

(2.) อายตนะหรือขันธ์ ที่จิตซึ่งว่างเข้าไปอยู่  ถ้าเกิดจากจิตที่ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา อายตนะหรือขันธ์นั้น จะเที่ยง และไม่เป็นทุกข์ ไม่มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เป็นนิจจังแทน  ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ และไม่ดับไป  (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย) = อัตตา

จุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดของพุทธศาสนา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนเพื่อให้ทิ้ง  จิตที่มีกิเลส ตัณหา ที่สร้างขันธ์หรืออายตนะ ที่ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป (เกิด แก่ เจ็บ ตาย) = อนัตตา

จุดมุ่งหมายที่ต้องทิ้งจิตไม่บริสุทธิ์  ก็เพื่อจะได้ จิตที่ไม่มีกิเลส ไม่มีตัณหา ที่สร้างขันธ์หรืออายตนะ ที่เที่ยง และไม่เป็นทุกข์ ไม่มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เป็นนิจจัง ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ และดับไป (ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย) = อัตตา
75  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ท่านเข้าใจเรื่อง อนัตตาธรรม หรือ สุญญตาธรรม หรือยัง? เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553 19:58:20
ท่านเข้าใจเรื่อง อนัตตาธรรม หรือ สุญญตาธรรม หรือยัง?
 
อนัตตาธรรม หรือ สุญญตาธรรม ก็เป็นธรรมอันลุ่มลึกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพบ และนำมาสอน

1. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนไม่มั่นคงและถึงทั่วแล้วซึ่งสักกายะ คือความทุกข์" ดังนี้"

พวกเราก็คือ จิต(สังขาร)ที่ทำให้เกิดขันธ์ 5 ในมนุษย์และสัตว์ และพวกเทพพรหมเปรต ฯลฯ ที่มีขันธ์ 4, 3, 2,1 แล้วแต่ภพภูมิที่เขาอยู่ และสถานะที่เขาเป็น (ยกเว้นพระนิพพาน)
 
2. ทุกสรรพสิ่งและสรรพชีวิต ต้นไม้ น้ำ .... สัตว์ ... เทวดา ... มาร ... พรหมในชั้นโลกีย์ทุกชั้น ...ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นอนัตตา ที่ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่นิพพานเป็นสภาวะที่ต่างออกไป คือ มันเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ และไม่เป็นอนิจจัง พระพุทธองค์ทรงตรัสเรียกอนัตตา ที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ และไม่เป็นอนิจจัง ว่า "อัตตา"

3. ด้วยเหตุนี้ จากข้อ 1 และ 2 ในความว่างที่เป็นสุญญตา จึงแบ่งเป็น

(1.) ความว่างที่ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป = อนัตตา

(2.) ความว่างที่เที่ยง และไม่เป็นทุกข์ ไม่มีสภาพเป็นอนิจจัง คือ ไม่เกิดขึ้น ไม่ตั้งอยู่ และไม่ดับไป = อัตตา

พระเทพสิทธิมุนี (พระอาจารย์โชฎก ญาณสิทธิ)

" พระอรหันต์มี ความว่างจากตัวตน-ของตน โดยสิ้นเชิง มีอิสระเหนือทุกอย่าง ที่เรียกว่า "ว่าง" นี้ คือไม่ใช่ว่างชนิดที่เขาพูดกันว่า เช่นว่า จิตนึกคิดอะไรไม่ได้ กายก็แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ แต่ที่ถูกนั้น เป็นความว่างจากกิเลส ว่างที่เฉลียวฉลาดที่สุด

หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต

" สูญในพระนิพพานมีขอบเขต สูญจากกิเลสเท่านั้น รสของพระนิพพานมีอยู่ พระนิพพาน ไม่เกิดไม่ดับไปไหน เป็นอนัตตาธรรม เราจะเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา เหมือนขันธ์ ๕ และกิเลสทั้งหลายมันก็ไม่ถูก เรียกว่าแยกอนัตตาธรรมไม่ถูก"

สรุป

อนัตตาธรรม หรือ สุญญตาธรรม เป็นความว่าง ความว่างมี 2 แบบ

 1. ความว่าง ที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มูลเหตุของการเกิดมาจากอวิชชาและกิเลส

2. ความว่าง ที่เป็นนิจจัง สุขขัง อัตตา(อนัตตาที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่เป็นอนิจจัง) เป็นผลมาจาก จิตว่างจากกิเลส หรือ จิตสูญจากกิเลส
76  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ปริศนาทางสายกลางสูงสุดของศาสนาพุทธ เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553 19:36:04
คำพูดหมาไม่รับประทานของคุณ   แล้วอยากได้ความรู้จากผม  ผมหรือจะไปตอบ บ๊าบบาย บ๊าบบาย บ๊าบบาย บ๊าบบาย บ๊าบบาย
77  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัต เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553 19:33:41
กราบเท้าผมเป็นอาจารย์เมื่อไร  ผมจะมาตอบคำถามและความสงสับของคุณ   ไม่งั้นสิ่งที่คุณสงสัย และอยากรู้อยากเห็น  จะไม่มีทางได้รับคำตอบเด็ดขาด

คนประเภทคุณ  ผมต้องสั่งสอนให้เข็ด  อยากพูดอะไรก็พูดไป แบร่ แบร่ แบร่ บ๊าบบาย บ๊าบบาย

สงสัยเข้าไปให้หัวระเบิด  ก็ไม่มีทางได้รับคำตอบจากผม   หลับ หลับ หลับ
78  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัต เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553 12:55:14
อ้างอิงคำพูดคุณเดียรถีย์พลศักดิ์


ผมคงไม่อ่านอะไรที่คุณต้องการถามหรอต้องการถก  คุณต้องไปถามพ่อคุณ หรือเมียของคุณดูว่า  ข้อความของคุณดูถูกด่าว่าเขาตลอด  แล้วยังไปถามเรื่องสูงสุดที่ตัวคุณเองไม่มีทางรู้ แล้วตอบเองไม่ได้กับเขาอีก

เมื่อไรที่พ่อของคุณหรือเมียของคุณยอมตอบ  เมื่อนั้นผมจะมาตอบปัญหาต่างๆที่คุณสงสัย

เมื่อผมเป็นเดียรถีย์พลศักดิ์   จะมาถามผมทำไมล่ะ  ผมให้โอกาสคุณอีกครั้ง  กราบเท้าคุณพลศักดิ์ และคารวะผมเป็นอาจารย์  ถ้าอยากจะรู้คำตอบในสิ่งที่ตัวคุณเองสงสัยมาทั้งชีวิต และไม่มีทางรู้ได้ด้วยตนเอง  คิดจะยั่วผม  แล้วจะให้ผมตอบ เมินเสียเถิดน้อง.... ขำ บ๊าบบาย  อกหัก
79  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัต เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553 12:41:16
หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

มาดูพระอภิธรรมกันให้ชัดๆ
จะได้หาย งง ในสภาพพระนิพพาน

ลองดูกันครับ  ว่าจะเชื่อคุณแถพลศักดิ์  หรือจะเชื่อพระอภิธรรมดี
ความน่าเชื่อถือได้ ควรจะเชื่ออันไหนมากกว่ากัน ?
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น



สภาพของนิพพาน

พระอภิธรรม
ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค    หน้าที่ : 84

เมื่อกล่าวโดยสามัญญลักษณะสภาพของนิพพานมีเพียง ๑ คือ อนัตตลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ปราศจากตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ใด ๆ ทั้งสิ้น

      แต่นิพพาน ไม่มีอนิจจลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่เที่ยง มั่นคง ยั่งยืน ไม่แปรผัน และนิพพาน ไม่มีทุกขลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ทนอยู่ได้ ด้วยว่า ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ และด้วยเหตุที่นิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า จึงมีสภาพที่ทน อยู่ หรือดำรงคงอยู่ในสภาพที่ว่างเปล่านั้นตลอดไป ไม่มีอะไรที่จะมาปรุงแต่งให้ กลายเป็นไม่ว่างได้

       วิเสสลักษณะ ของนิพพาน มีเพียง ๓ ประการ คือ ลักษณะ รสะ ปัจจุปัฏฐาน เท่านั้น ไม่มีปทัฏฐาน

       สนฺติ ลกฺขณา                มีความสุขสงบจากเพลิงทุกข์ เป็นลักษณะ

       อจฺจุต รสา                         มีความไม่แตกดับ เป็นกิจ (สัมปัตติรส)

       อนิมิตฺต ปจฺจุปฎฺฐานา           ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เป็นอาการปรากฏ

     นิสฺสรณ ปจฺจุปฏฺฐานา         มีความออกไปจากภพ เป็นผล

       ปทฏฺฐานํ น ลพฺภติ          ไม่มีเหตุใกล้ให้เกิด (เพราะนิพพานเป็นธรรม  ที่พ้นจากเหตุ จากปัจจัยทั้งปวง)

       สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่ พ้นแล้วจากตัณหาเครื่อง ร้อยรัด ตรัสรู้  ธรรมส่วนหนึ่ง ธรรมที่ไม่ตาย ธรรมที่เที่ยง  ธรรมที่ปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ธรรมที่ไม่มีสิ่งใดจะประเสริฐยิ่งกว่า ธรรมนั้น คือ นิพพาน

      สภาพของนิพพาน ๕ ประการ ที่กล่าวข้างต้น มีความหมายดังนี้ คือ

๑. ปทํ แปลว่า นิพพานเป็นส่วนหนึ่ง เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่เข้าถึงได้ และมีอยู่โดยเฉพาะ ไม่คลุกเคล้าด้วยโลกียธรรม

๒. อจฺจุตํ แปลว่า นิพพาน เป็นธรรมที่ไม่ตาย ไม่มีความเกิด และไม่มี ความตาย ไม่มีแตกดับ

๓. อจฺจนฺตํ แปลว่า ธรรมที่เที่ยง คือก้าวล่วงขันธ์ ๕ ที่เป็นอดีต และ อนาคต หมายความว่า เป็นธรรมที่พ้นจากกาลทั้ง ๓ ได้แก่ นิพพาน

๔. อสงฺขตํ แปลว่า นิพพาน ไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย หมายความว่า นิพพานนี้ไม่ใช่ จิต เจตสิก รูป เพราะ จิต เจตสิก รูป นั้นเป็น ธรรมที่เกิดขึ้นโดยมีปัจจัยปรุงแต่ง สภาวธรรมที่ปราศจากการปรุงแต่ง ชื่อว่า อสังขตะ ได้แก่ นิพพาน

          บัญญัติ ก็เป็นอสังขตธรรมเหมือนกัน แต่ในที่นี้กล่าวเฉพาะ ธรรมที่เป็นปรมัตถ บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม ฉะนั้นอสังขตธรรม ในที่นี้จึงหมายถึง นิพพาน แต่อย่างเดียว

๕. อนุตฺตรํ แปลว่า นิพพาน เป็นธรรมที่ประเสริฐอย่างที่ไม่มีธรรมใด ๆ จะเทียมเท่า

 
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ขอโหวตหน่อย .....
ถ้าเชื่อพลศักด์  กด * 1
ถ้าเชื่อพระอภิธรรม  กด *2

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น


ข้อสงสัยข้อนี้ผมยินดีตอบ  ทั้งๆที่ตอบออกไป  คงจะมีคนเข้าใจน้อยมาก  แต่เมื่อเขาฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆ เขาจะเขาใจเอง

พึงระลึกว่า  ผมตอบ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคุณนะครับ  เพราะคุณมีทิฏฐิมานะ  ไม่ยอมรับแม้แต่เรื่องเดียว  ทั้งๆที่จนมุมในทุกเรื่อง  ผมตอบเพราะมันเป็นประโยชน์กับผู้อื่นนะครับ

คุณกำลังงงเรื่องจิตและขันธ์   จิตสังขารของคุณ กับขันธ์ 5 ของคุณ มันคนละเรื่องกัน  จิตสังขาร และแม้แต่นิพพานซึ่งเป็นจิตบริสุทธิ์หรือจิตปภัสสร ล้วนเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า  จิตไม่เคยตาย  ใครก็ฆ่าไม่ได้  ฆ่าได้แต่ขันธ์หรืออายตนะที่จิตไปอาศัยอยู่

อนัตตา = สิ่งที่เป็นขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับจิต(สังขาร) ซึ่งเป็นอาทิสมานกายหรือกายทิพย์
อัตตา = สิ่งที่เป็นธรรมขันธ์ ไม่ใช่นิพพานจิต

1. นิพพานเป็นจิต นิพพานจิตชี้ไม่ได้ ชี้ได้แต่ธรรมกาย ซึ่งเป็นอายตนะนิพพาน หรือขันธ์ที่จิตปภัสสรสร้างขึ้น

2. พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสสปะว่า  “...กัสสปะ ตถาคตมีธรรมจักษุครรภ์อันถูกต้อง และนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง ย่อมไม่มีลักษณะ"

2. พระนาคเสน มหาเถระ พระอรหันต์สมัยพุทธปรินิพพานไป ๕๐๐ ปี ผู้ตอบปัญหาพระเจ้ามิลินทราชา กล่าวว่า:

..... พระพุทธเจ้ามีจริง แต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน เหมือนเปลวไฟที่ดับแล้วก็ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียงพระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น........(ตัวที่ชี้ให้ดูไม่ได้คือ จิต  ตัวที่ชี้ให้ดูได้ คือ ธรรมกาย ซึ่งเป็นอายตนนพพาน)

..... นิพพานมีอยู่จริง แต่ว่าไม่มีใครอาจแสดงให้เห็นได้ว่า นิพพานมีสี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไร

 เปรียบเหมือน ลม ที่มีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครสามารถ แสดงลมให้เห็นด้วย สี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น ได้

...... นิพพานเป็นของไม่ควรกล่าวว่าเกิดขึ้นแล้ว หรือยังไม่เกิด จักต้องเกิด ไม่ควรกล่าวว่าเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน

 ไม่ควรกล่าวว่า เป็นของต้องเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู รู้ด้วยจมูก ลิ้นกาย อย่างใดเลย.........

......นิพพานเป็นของต้องรู้ด้วยใจ พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้วย่อมได้เห็นนิพพาน ด้วยใจอันบริสุทธิ์ อันสงบประณีต อันเที่ยงตรง ไม่มีเครื่องกั้นกาง อันไม่มีอามิส ....

...... นิพพานไม่มีของเปรียบ ไม่อาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัย ประมาณ แห่งนิพพานได้ด้วยอุปมา หรือด้วยเหตุ หรือด้วยปัจจัย หรือด้วยนัย .....

...... นิพพานธาตุ อันสงบ อันเป็นสุข อันประณีตนั้นมีอยู่ ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อพิจารณาสังขารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็กระทำให้แจ้งนิพพานธาตุด้วยปัญญา.....

...... ที่ตั้งของนิพพานไม่มี นิพพานไม่ได้ตั้งอยู่ในทิศใด แต่นิพพานมี ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อเห็นความตั้งขึ้นและเสื่อมไปของสังขารทั้งหลายด้วยโยนิโสมนสิการแล้ว ก็กระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน 

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

จิตประภัสสร

  [๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่
เปลี่ยนแปลงได้เร็ว เหมือนจิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าใด
นั้น แม้จะอุปมาก็กระทำได้มิใช่ง่าย ฯ

       [๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง
ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ฯ

       [๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว
จากอุปกิเลสที่จรมา ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

ที่มา  http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=161&Z=209


 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

พูดมาได้ ไม่อายปากเลยนะ 
อ่านข้อสี่สิบเก้าให้ดีๆ
ว่าจิตประภัสสร เปลี่ยนแปลงได้เร็วขนาดไหน
ตราบใดไม่สิ้นกิเลส 

ความเปลี่ยนแปลงได้เร็ว เช่นนี้แหละ เรียกว่า เป็นอนัตตา

อย่ามามั่ว กับนิพพาน
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น








หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

มาดูพระอภิธรรมกันให้ชัดๆ
จะได้หาย งง ในสภาพพระนิพพาน

ลองดูกันครับ  ว่าจะเชื่อคุณแถพลศักดิ์  หรือจะเชื่อพระอภิธรรมดี
ความน่าเชื่อถือได้ ควรจะเชื่ออันไหนมากกว่ากัน ?
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น



สภาพของนิพพาน

พระอภิธรรม
ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค    หน้าที่ : 84

เมื่อกล่าวโดยสามัญญลักษณะสภาพของนิพพานมีเพียง ๑ คือ อนัตตลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ปราศจากตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ใด ๆ ทั้งสิ้น

      แต่นิพพาน ไม่มีอนิจจลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่เที่ยง มั่นคง ยั่งยืน ไม่แปรผัน และนิพพาน ไม่มีทุกขลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ทนอยู่ได้ ด้วยว่า ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ และด้วยเหตุที่นิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า จึงมีสภาพที่ทน อยู่ หรือดำรงคงอยู่ในสภาพที่ว่างเปล่านั้นตลอดไป ไม่มีอะไรที่จะมาปรุงแต่งให้ กลายเป็นไม่ว่างได้

       วิเสสลักษณะ ของนิพพาน มีเพียง ๓ ประการ คือ ลักษณะ รสะ ปัจจุปัฏฐาน เท่านั้น ไม่มีปทัฏฐาน

       สนฺติ ลกฺขณา                มีความสุขสงบจากเพลิงทุกข์ เป็นลักษณะ

       อจฺจุต รสา                         มีความไม่แตกดับ เป็นกิจ (สัมปัตติรส)

       อนิมิตฺต ปจฺจุปฎฺฐานา           ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เป็นอาการปรากฏ

     นิสฺสรณ ปจฺจุปฏฺฐานา         มีความออกไปจากภพ เป็นผล

       ปทฏฺฐานํ น ลพฺภติ          ไม่มีเหตุใกล้ให้เกิด (เพราะนิพพานเป็นธรรม  ที่พ้นจากเหตุ จากปัจจัยทั้งปวง)

       สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่ พ้นแล้วจากตัณหาเครื่อง ร้อยรัด ตรัสรู้  ธรรมส่วนหนึ่ง ธรรมที่ไม่ตาย ธรรมที่เที่ยง  ธรรมที่ปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ธรรมที่ไม่มีสิ่งใดจะประเสริฐยิ่งกว่า ธรรมนั้น คือ นิพพาน

      สภาพของนิพพาน ๕ ประการ ที่กล่าวข้างต้น มีความหมายดังนี้ คือ

๑. ปทํ แปลว่า นิพพานเป็นส่วนหนึ่ง เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่เข้าถึงได้ และมีอยู่โดยเฉพาะ ไม่คลุกเคล้าด้วยโลกียธรรม

๒. อจฺจุตํ แปลว่า นิพพาน เป็นธรรมที่ไม่ตาย ไม่มีความเกิด และไม่มี ความตาย ไม่มีแตกดับ

๓. อจฺจนฺตํ แปลว่า ธรรมที่เที่ยง คือก้าวล่วงขันธ์ ๕ ที่เป็นอดีต และ อนาคต หมายความว่า เป็นธรรมที่พ้นจากกาลทั้ง ๓ ได้แก่ นิพพาน

๔. อสงฺขตํ แปลว่า นิพพาน ไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย หมายความว่า นิพพานนี้ไม่ใช่ จิต เจตสิก รูป เพราะ จิต เจตสิก รูป นั้นเป็น ธรรมที่เกิดขึ้นโดยมีปัจจัยปรุงแต่ง สภาวธรรมที่ปราศจากการปรุงแต่ง ชื่อว่า อสังขตะ ได้แก่ นิพพาน

          บัญญัติ ก็เป็นอสังขตธรรมเหมือนกัน แต่ในที่นี้กล่าวเฉพาะ ธรรมที่เป็นปรมัตถ บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม ฉะนั้นอสังขตธรรม ในที่นี้จึงหมายถึง นิพพาน แต่อย่างเดียว

๕. อนุตฺตรํ แปลว่า นิพพาน เป็นธรรมที่ประเสริฐอย่างที่ไม่มีธรรมใด ๆ จะเทียมเท่า

 
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ขอโหวตหน่อย .....
ถ้าเชื่อพลศักด์  กด * 1
ถ้าเชื่อพระอภิธรรม  กด *2

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น


ข้อสงสัยข้อนี้ผมยินดีตอบ  ทั้งๆที่ตอบออกไป  คงจะมีคนเข้าใจน้อยมาก  แต่เมื่อเขาฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆ เขาจะเขาใจเอง

พึงระลึกว่า  ผมตอบ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคุณนะครับ  เพราะคุณมีทิฏฐิมานะ  ไม่ยอมรับแม้แต่เรื่องเดียว  ทั้งๆที่จนมุมในทุกเรื่อง  ผมตอบเพราะมันเป็นประโยชน์กับผู้อื่นนะครับ

คุณกำลังงงเรื่องจิตและขันธ์   จิตสังขารของคุณ กับขันธ์ 5 ของคุณ มันคนละเรื่องกัน  จิตสังขาร และแม้แต่นิพพานซึ่งเป็นจิตบริสุทธิ์หรือจิตปภัสสร ล้วนเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า  จิตไม่เคยตาย  ใครก็ฆ่าไม่ได้  ฆ่าได้แต่ขันธ์หรืออายตนะที่จิตไปอาศัยอยู่

อนัตตา = สิ่งที่เป็นขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับจิต(สังขาร) ซึ่งเป็นอาทิสมานกายหรือกายทิพย์
อัตตา = สิ่งที่เป็นธรรมขันธ์ ไม่ใช่นิพพานจิต

1. นิพพานเป็นจิต นิพพานจิตชี้ไม่ได้ ชี้ได้แต่ธรรมกาย ซึ่งเป็นอายตนะนิพพาน หรือขันธ์ที่จิตปภัสสรสร้างขึ้น

2. พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสสปะว่า  “...กัสสปะ ตถาคตมีธรรมจักษุครรภ์อันถูกต้อง และนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง ย่อมไม่มีลักษณะ"

2. พระนาคเสน มหาเถระ พระอรหันต์สมัยพุทธปรินิพพานไป ๕๐๐ ปี ผู้ตอบปัญหาพระเจ้ามิลินทราชา กล่าวว่า:

..... พระพุทธเจ้ามีจริง แต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน เหมือนเปลวไฟที่ดับแล้วก็ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียงพระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น........(ตัวที่ชี้ให้ดูไม่ได้คือ จิต  ตัวที่ชี้ให้ดูได้ คือ ธรรมกาย ซึ่งเป็นอายตนนพพาน)

..... นิพพานมีอยู่จริง แต่ว่าไม่มีใครอาจแสดงให้เห็นได้ว่า นิพพานมีสี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไร

 เปรียบเหมือน ลม ที่มีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครสามารถ แสดงลมให้เห็นด้วย สี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น ได้

...... นิพพานเป็นของไม่ควรกล่าวว่าเกิดขึ้นแล้ว หรือยังไม่เกิด จักต้องเกิด ไม่ควรกล่าวว่าเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน

 ไม่ควรกล่าวว่า เป็นของต้องเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู รู้ด้วยจมูก ลิ้นกาย อย่างใดเลย.........

......นิพพานเป็นของต้องรู้ด้วยใจ พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้วย่อมได้เห็นนิพพาน ด้วยใจอันบริสุทธิ์ อันสงบประณีต อันเที่ยงตรง ไม่มีเครื่องกั้นกาง อันไม่มีอามิส ....

...... นิพพานไม่มีของเปรียบ ไม่อาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัย ประมาณ แห่งนิพพานได้ด้วยอุปมา หรือด้วยเหตุ หรือด้วยปัจจัย หรือด้วยนัย .....

...... นิพพานธาตุ อันสงบ อันเป็นสุข อันประณีตนั้นมีอยู่ ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อพิจารณาสังขารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็กระทำให้แจ้งนิพพานธาตุด้วยปัญญา.....

...... ที่ตั้งของนิพพานไม่มี นิพพานไม่ได้ตั้งอยู่ในทิศใด แต่นิพพานมี ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อเห็นความตั้งขึ้นและเสื่อมไปของสังขารทั้งหลายด้วยโยนิโสมนสิการแล้ว ก็กระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน 

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

จิตประภัสสร

  [๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่
เปลี่ยนแปลงได้เร็ว เหมือนจิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าใด
นั้น แม้จะอุปมาก็กระทำได้มิใช่ง่าย ฯ

       [๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมอง
ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ฯ

       [๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้ว
จากอุปกิเลสที่จรมา ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต

ที่มา  http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=20&A=161&Z=209


 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

พูดมาได้ ไม่อายปากเลยนะ 
อ่านข้อสี่สิบเก้าให้ดีๆ
ว่าจิตประภัสสร เปลี่ยนแปลงได้เร็วขนาดไหน
ตราบใดไม่สิ้นกิเลส 

ความเปลี่ยนแปลงได้เร็ว เช่นนี้แหละ เรียกว่า เป็นอนัตตา

อย่ามามั่ว กับนิพพาน
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น









หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

"จิตวิญญาณมันไม่ใช่ของแตกของทำลาย แลไม่ใช่ของสูญหาย พระพุทธเจ้าสอนให้จิตมันเที่ยง เหมือนพระนิพพานเป็นของเที่ยง ไม่แปรผัน ยักย้าย สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์.


พระเทพสิทธิมุนี
(พระอาจารย์โชฎก ญาณสิทธิ)

" พระอรหันต์มี ความว่างจากตัวตน-ของตน โดยสิ้นเชิง มีอิสระเหนือทุกอย่าง ที่เรียกว่า "ว่าง" นี้ คือไม่ใช่ว่างชนิดที่เขาพูดกันว่า เช่นว่า จิตนึกคิดอะไรไม่ได้ กายก็แข็งทื่อเป็นท่อนไม้ แต่ที่ถูกนั้น เป็นความว่างจากกิเลส ว่างที่เฉลียวฉลาดที่สุด"
80  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ปริศนาทางสายกลางสูงสุดของศาสนาพุทธ เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553 12:25:02
อยากพูดอะไรก็พูดไป  คุณเข้ามาในเว็บธรรมะ  ไม่ต้องการหาธรรมะ  แต่ต้องการหาเรื่อง  ผมจึงทำอย่างเดียว หุบปากซะ ขำ

ยกเว้นมีเรื่องที่ผมต้องการจะตอบ  ผมจึงจะ ด่า อ้วก
หน้า:  1 2 3 [4] 5 6 ... 16
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.895 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 13 กรกฎาคม 2566 13:28:01