[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
30 เมษายน 2567 01:55:14 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 16
81  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา (อสังขตธาตุ)? เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553 01:54:53
หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

มาดูพระอภิธรรมกันให้ชัดๆ
จะได้หาย งง ในสภาพพระนิพพาน

ลองดูกันครับ  ว่าจะเชื่อคุณแถพลศักดิ์  หรือจะเชื่อพระอภิธรรมดี
ความน่าเชื่อถือได้ ควรจะเชื่ออันไหนมากกว่ากัน ?
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น



สภาพของนิพพาน

พระอภิธรรม
ปริจเฉทที่ ๖ รูปสังคหวิภาค    หน้าที่ : 84

เมื่อกล่าวโดยสามัญญลักษณะสภาพของนิพพานมีเพียง ๑ คือ อนัตตลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ปราศจากตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่มีการเกิดแก่ เจ็บ ตาย ใด ๆ ทั้งสิ้น

      แต่นิพพาน ไม่มีอนิจจลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่เที่ยง มั่นคง ยั่งยืน ไม่แปรผัน และนิพพาน ไม่มีทุกขลักษณะ เพราะนิพพานเป็นสิ่งที่ทนอยู่ได้ ด้วยว่า ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ และด้วยเหตุที่นิพพานเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า จึงมีสภาพที่ทน อยู่ หรือดำรงคงอยู่ในสภาพที่ว่างเปล่านั้นตลอดไป ไม่มีอะไรที่จะมาปรุงแต่งให้ กลายเป็นไม่ว่างได้

       วิเสสลักษณะ ของนิพพาน มีเพียง ๓ ประการ คือ ลักษณะ รสะ ปัจจุปัฏฐาน เท่านั้น ไม่มีปทัฏฐาน

       สนฺติ ลกฺขณา                มีความสุขสงบจากเพลิงทุกข์ เป็นลักษณะ

       อจฺจุต รสา                         มีความไม่แตกดับ เป็นกิจ (สัมปัตติรส)

       อนิมิตฺต ปจฺจุปฎฺฐานา           ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย เป็นอาการปรากฏ

     นิสฺสรณ ปจฺจุปฏฺฐานา         มีความออกไปจากภพ เป็นผล

       ปทฏฺฐานํ น ลพฺภติ          ไม่มีเหตุใกล้ให้เกิด (เพราะนิพพานเป็นธรรม  ที่พ้นจากเหตุ จากปัจจัยทั้งปวง)

       สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่ พ้นแล้วจากตัณหาเครื่อง ร้อยรัด ตรัสรู้  ธรรมส่วนหนึ่ง ธรรมที่ไม่ตาย ธรรมที่เที่ยง  ธรรมที่ปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ธรรมที่ไม่มีสิ่งใดจะประเสริฐยิ่งกว่า ธรรมนั้น คือ นิพพาน

      สภาพของนิพพาน ๕ ประการ ที่กล่าวข้างต้น มีความหมายดังนี้ คือ

๑. ปทํ แปลว่า นิพพานเป็นส่วนหนึ่ง เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่เข้าถึงได้ และมีอยู่โดยเฉพาะ ไม่คลุกเคล้าด้วยโลกียธรรม

๒. อจฺจุตํ แปลว่า นิพพาน เป็นธรรมที่ไม่ตาย ไม่มีความเกิด และไม่มี ความตาย ไม่มีแตกดับ

๓. อจฺจนฺตํ แปลว่า ธรรมที่เที่ยง คือก้าวล่วงขันธ์ ๕ ที่เป็นอดีต และ อนาคต หมายความว่า เป็นธรรมที่พ้นจากกาลทั้ง ๓ ได้แก่ นิพพาน

๔. อสงฺขตํ แปลว่า นิพพาน ไม่ได้ถูกปรุงแต่งด้วยปัจจัย หมายความว่า นิพพานนี้ไม่ใช่ จิต เจตสิก รูป เพราะ จิต เจตสิก รูป นั้นเป็น ธรรมที่เกิดขึ้นโดยมีปัจจัยปรุงแต่ง สภาวธรรมที่ปราศจากการปรุงแต่ง ชื่อว่า อสังขตะ ได้แก่ นิพพาน

          บัญญัติ ก็เป็นอสังขตธรรมเหมือนกัน แต่ในที่นี้กล่าวเฉพาะ ธรรมที่เป็นปรมัตถ บัญญัติไม่ใช่ปรมัตถธรรม ฉะนั้นอสังขตธรรม ในที่นี้จึงหมายถึง นิพพาน แต่อย่างเดียว

๕. อนุตฺตรํ แปลว่า นิพพาน เป็นธรรมที่ประเสริฐอย่างที่ไม่มีธรรมใด ๆ จะเทียมเท่า

 
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น

ขอโหวตหน่อย .....
ถ้าเชื่อพลศักด์  กด * 1
ถ้าเชื่อพระอภิธรรม  กด *2

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น


ข้อสงสัยข้อนี้ผมยินดีตอบ  ทั้งๆที่ตอบออกไป  คงจะมีคนเข้าใจน้อยมาก  แต่เมื่อเขาฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆ เขาจะเขาใจเอง

พึงระลึกว่า  ผมตอบ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคุณนะครับ  เพราะคุณมีทิฏฐิมานะ  ไม่ยอมรับแม้แต่เรื่องเดียว  ทั้งๆที่จนมุมในทุกเรื่อง  ผมตอบเพราะมันเป็นประโยชน์กับผู้อื่นนะครับ

คุณกำลังงงเรื่องจิตและขันธ์   จิตสังขารของคุณ กับขันธ์ 5 ของคุณ มันคนละเรื่องกัน  จิตสังขาร และแม้แต่นิพพานซึ่งเป็นจิตบริสุทธิ์หรือจิตปภัสสร ล้วนเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า  จิตไม่เคยตาย  ใครก็ฆ่าไม่ได้  ฆ่าได้แต่ขันธ์หรืออายตนะที่จิตไปอาศัยอยู่

อนัตตา = สิ่งที่เป็นขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)
ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับจิต(สังขาร) ซึ่งเป็นอาทิสมานกายหรือกายทิพย์
อัตตา = สิ่งที่เป็นธรรมขันธ์ ไม่ใช่นิพพานจิต

1. นิพพานเป็นจิต นิพพานจิตชี้ไม่ได้ ชี้ได้แต่ธรรมกาย ซึ่งเป็นอายตนะนิพพาน หรือขันธ์ที่จิตปภัสสรสร้างขึ้น

2. พระพุทธเจ้าตรัสกับพระมหากัสสปะว่า  “...กัสสปะ ตถาคตมีธรรมจักษุครรภ์อันถูกต้อง และนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริง ย่อมไม่มีลักษณะ"

2. พระนาคเสน มหาเถระ พระอรหันต์สมัยพุทธปรินิพพานไป ๕๐๐ ปี ผู้ตอบปัญหาพระเจ้ามิลินทราชา กล่าวว่า:

..... พระพุทธเจ้ามีจริง แต่พระพุทธเจ้าปรินิพพานดับขันธ์แล้ว ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน เหมือนเปลวไฟที่ดับแล้วก็ไม่อาจชี้ได้ว่าอยู่ที่ไหน อาจชี้ได้เพียงพระธรรมกาย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น........(ตัวที่ชี้ให้ดูไม่ได้คือ จิต  ตัวที่ชี้ให้ดูได้ คือ ธรรมกาย ซึ่งเป็นอายตนนพพาน)

..... นิพพานมีอยู่จริง แต่ว่าไม่มีใครอาจแสดงให้เห็นได้ว่า นิพพานมีสี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น อย่างไร

 เปรียบเหมือน ลม ที่มีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครสามารถ แสดงลมให้เห็นด้วย สี สัณฐาน เล็ก ใหญ่ ยาว สั้น ได้

...... นิพพานเป็นของไม่ควรกล่าวว่าเกิดขึ้นแล้ว หรือยังไม่เกิด จักต้องเกิด ไม่ควรกล่าวว่าเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน

 ไม่ควรกล่าวว่า เป็นของต้องเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู รู้ด้วยจมูก ลิ้นกาย อย่างใดเลย.........

......นิพพานเป็นของต้องรู้ด้วยใจ พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบแล้วย่อมได้เห็นนิพพาน ด้วยใจอันบริสุทธิ์ อันสงบประณีต อันเที่ยงตรง ไม่มีเครื่องกั้นกาง อันไม่มีอามิส ....

...... นิพพานไม่มีของเปรียบ ไม่อาจชี้รูป หรือสัณฐาน วัย ประมาณ แห่งนิพพานได้ด้วยอุปมา หรือด้วยเหตุ หรือด้วยปัจจัย หรือด้วยนัย .....

...... นิพพานธาตุ อันสงบ อันเป็นสุข อันประณีตนั้นมีอยู่ ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อพิจารณาสังขารตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็กระทำให้แจ้งนิพพานธาตุด้วยปัญญา.....

...... ที่ตั้งของนิพพานไม่มี นิพพานไม่ได้ตั้งอยู่ในทิศใด แต่นิพพานมี ผู้ปฏิบัติชอบ เมื่อเห็นความตั้งขึ้นและเสื่อมไปของสังขารทั้งหลายด้วยโยนิโสมนสิการแล้ว ก็กระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน 
82  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ปริศนาทางสายกลางสูงสุดของศาสนาพุทธ เมื่อ: 29 ธันวาคม 2553 01:13:19


ถามไปหลายกระทู้ เรื่องมหายาน

จนป่านนี้ คุณเดียรถีย์พลศักดิ์ ยังแถไม่ออก มาตอบไม่ได้

เมี่ยวซ่าน เกิดมาในจีน สมัยใด พศ.ใด
ยังไปเอาเมี่ยวซ่าน เจ้าแม่กวนอิม ธรรมกายมามั่วๆ


ไปเอาพระไตรปิฎก ที่ขัดกับพระวินัยเถรวาทมาเป้นข้อแก้ต่าง

เดี๋ยว รื้อฟื้นคดีธรรมกายขึ้นมาใหม่ ซะเลย

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น




ขอประทานโทษครับ   ผมจะสนธนาและถกกับผู้ที่ต้องการความรู้จริงๆ  ประเภทถามมา พอผมตอบไป  ทิฏฐิมานะของเขา ทำให้เขาไม่เคยยอมรับ  และอาจจะอ่านแค่คร่าวๆ  อ่านเพื่อจะหาเรื่องยั่วเรื่องอื่นๆ  คนประเภทนี้  ผมเสียเวลาเปล่าๆ  และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตอบ

คุณอยากพูดอะไร  อยากเขียนอะไร  ก็เชิญเขียน  ผมเห็นว่าเรื่องไหนควรตอบ  ผมก็ตอบ  ผมจำได้ว่า ผมตอบคุณมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งในเว็บต่างๆที่คุณอวตารเข้าไป  ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลย  ในเมื่อใจของคุณ มีแต่ความอวดเก่ง  ทิฏฐิมานะอย่างเดียว
83  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ปริศนาทางสายกลางสูงสุดของศาสนาพุทธ เมื่อ: 26 ธันวาคม 2553 17:45:46
ปริศนาทางสายกลางสูงสุดของศาสนาพุทธ:  นิพพานเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างรูปภพและอรูปภพ ซึ่งเป็นของสมมุติ


การไปยึดติดว่า นี่เป็นข้า นี่เป็นของข้า แม้ว่าจะน้อยสักเพียงใด จะนำไปสู่ภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งในสังสารวัฏฏ์  แม้จะเป็นรูปพรหมและอรูปพรหมต่างๆ  ถ้าไม่เข้าใจในจุดนี้  ก็จะไม่พบพระนิพพาน นอกจากนี้ ในนิพพานไม่รับกิเลสตัณหาและความสุขของภพภูมิใดทั้งนั้น ไม่รับทั้งรูปและอรูป จึงเกิดธรรมกาย ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างรูปและอรูป ระหว่างมีรูปและไม่มีรูป เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นของสมมุติ เมื่อเกิดธรรมกายแล้ว  ธรรมกายจะแปลงรูปเป็นของสมมุติใดก็ได้  ดังที่เจ้าแม่กวนอิม ท่านจะแปลงรูปเป็นใครก็ได้


หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

"พระนิพพานอุปมาขนาดเท่าเส้นผม ผู้ที่จะผ่านพ้นในขั้นสุดท้ายไปได้หรอืไม่ได้อยู่เพียงนิดเดียวในการทำจิตตัดจุดนี้ได้หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านได้ปรินิพพานไประหว่างรูปฌานและอรูปฌาน เป็นการดับขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์เหนือสมมติโดยสิ้นเชิง
/color]"

สำหรับนักวิปัสสนาคงจะไม่ชอบที่ผมพูดแบบนี้ เพราะท่านไม่เน้นฌาน ได้แค่ฌาน 1 ก็พอแล้ว  ผมจึงขอนำคำของหลวงปู่ดูลย์ อตโล มาลงดีกว่า:

หลวงปู่ดูลย์ อตโล

....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่งคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป้นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนันเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ......

สรุป

กาเข้านิพพานทำได้โดยการตายแบบมีสติ และสัมปชัญญะ แบบตื่นเต็มที่  ไม่ถูกอารมณ์ใดๆทำให้หลงไหลไปในภพภูมิแห่งภวังคจิต(จิตใต้สำนึก)  อนึ่ง  การอยู่ฌานใดฌานหนึ่งก่อนตาย จะนำไปเกิดเป็นพรหมซึ่งเป็นของสมมุติ  ถ้ามีสติ และสัมปชัญญะ ก็จะไม่หลงไหล ไปเกิดเป็นพรหมชั้นนั้น

....ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร

และเข้าปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานอีก เมื่อออกจากจตุตถฌาน ยังมิได้ทันได้เข้าสู่อากาสานัญจายตนะ พระองค์ก็ปรินิพพานในระหว่างนั้น

ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่งปัจจเวกขณญาณ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ. แม้ทั้ง ๒ นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิต เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจจะ. สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก อย่างต่ำมดดำมดแดง ต้องกระทำกาละด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤต เป็นทุกขสัจทั้งนั้นแล.

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร
84  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา (อสังขตธาตุ)? เมื่อ: 26 ธันวาคม 2553 17:26:23
อ้างถึง
ความจริงแล้วคือการยอมรับโดยนัยว่า "อัตตา" นั้นมีธรรมชาติแห่ง "ความแปรปรวน ความไม่เที่ยง"
มิฉะนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเรียกมันว่า "อมตะ" ตัวอย่างเช่น

"จิต" นั้นมีธรรมชาติแห่งการ "แปรเปลี่ยน"  
บางท่านจึงเรียกสภาวะที่มันอยู่ได้นานโดยไม่แปรเปลี่ยนว่าเป็น "จิตอันบริสุทธิ์ เป็นอมตะ เป็นนิจนิรันดร์"
จุดประสงค์ที่ใช้คำพูดเช่นนั้นก็เพื่อ "หลีกเลี่ยงภาวะสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง"
ไม่ให้ยึดอย่างสุดโต่งว่า "จิตเป็นอนัตตา"
เนื่องจากนักปฏิบัติธรรมบางท่านเมื่อฝึกมากเข้าก็อาจเผลอไปยึด "อนัตตา" เข้าเป็นตัวเป็นตน
ตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญทุกขกิริยาเพียงอย่างเดียวเพื่อละอัตตา
ถือเป็น "อัตตกิละมะถานุโยโค" เป็นภาวะสุดโต่งอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกับ "กามะสุขัลลิกานุโยโค"
สิ่งนี้แลที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนปัญจวคีย์ไว้ในธัมมะจักรกัปปะวตนสูตร
พวกเราควรเข้าใจให้ตรงว่า "จิตนั้นเป็นได้ทั้งอนัตตาและอัตตา...และไม่ควรยึดเป็นสรณะทั้งคู่"

รูปก็คือความว่าง
ความว่างก็คือรูป
แต่รูปก็คือรูป
ความว่างก็คือความว่าง

"สังสารวัฏ" นั้นมีธรรมชาติแห่งการ "แปรเปลี่ยน"
บางท่านจึงเรียกสภาวะที่มันอยู่ได้นานโดยไม่แปรเปลี่ยนว่าเป็น "นิพพาน"
จุดประสงค์ที่ใช้คำพูดเช่นนั้นก็เพื่อชี้ให้สาธุชนเห็นทางเลี่ยง "ภาวะสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง"
ไม่ให้ยึดอย่างสุดโต่งว่า "นิพพานเป็นอนัตตา"
เนื่องจากนักปฏิบัติธรรมบางท่านเมื่อฝึกมากเข้าก็อาจเผลอไปตั้ง "อนัตตา" เป็นจุดมุ่งหมายสุงสุดในการปฏิบัติธรรม
ถือเป็น "อัตตกิละมะถานุโยโค" เป็นภาวะสุดโต่งอย่างหนึ่งที่ตรงข้ามกับ "กามะสุขัลลิกานุโยโค"
สิ่งนี้แลที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเตือนปัญจวคีย์ไว้ในธัมมะจักรกัปปะวตนสูตร
พวกเราควรเข้าใจให้ตรงว่า "นิพพานนั้นไม่มีชื่อเรียก...ไม่ว่าจะเป็นอนัตตาหรืออัตตา"

รูปก็คือความว่าง
ความว่างก็คือรูป
แต่รูปก็คือรูป
ความว่างก็คือความว่าง

คำว่า "อัตตา" หรือ "อนัตตา"นั้นเป็นเพียงคำคู่ตรงข้าม
เอาไว้ใช้คู่กันให้เห็น "มัชฌิมาปฏิปทา" เท่านั้น
เป็นเพียง "นิ้ว" ที่ชี้ในทิศตรงข้ามกันให้พวกเรามองเห็นทางเบื้องหน้าเท่านั้น

หากเรายึด "อัตตา" เราก็มองเห็นแต่ดิน
ในกรณีที่เรายึดมั่นในคำพูดมากเกินไปก็เปรียบเสมือนการจ้องมองแต่เพียงนิ้วที่ชี้ลงดิน
...เราไม่มีโอกาสมองเห็นดินด้วยซ้ำไป

หากเรายึด "อนัตตา" เราก็มองเห็นแต่ฟ้า
ในกรณีที่เรายึดมั่นในคำพูดมากเกินไปก็เปรียบเสมือนการจ้องมองแต่เพียงนิ้วที่ชี้ขึ้นฟ้า
...เราไม่มีโอกาสมองเห็นท้องฟ้าด้วยซ้ำไป

เมื่อพวกเรามุ่งมั่นกับการ "ก้มหน้าลงดิน"
ครูบาอาจารย์บางท่านจึง "ชี้ฟ้า" ให้พวกเราได้เงยหน้าขึ้น
จุดมุ่งหมายคือให้เรา "มองเห็นทางเบื้องหน้า"
ไม่ได้ตั้งใจให้เรามองฟ้าหรือมองนิ้วที่ชี้ขึ้นไปบนฟ้าแต่อย่างใด

เมื่อพวกเรามุ่งมั่นกับการ "แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า"
ครูบาอาจารย์บางท่านจึง "ชี้ดิน" ให้พวกเราได้ก้มหน้าลง
จุดมุ่งหมายคือให้เรา "มองเห็นทางเบื้องหน้า"
ไม่ได้ตั้งใจให้เรามองดินหรือมองนิ้วที่ชี้ลงไปยังดินแต่อย่างใด
buddhismforliving.weebly.com[/b]

1.  พึงเข้าใจด้วยว่า...พระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้นิยามคำว่า อัตตา และอนัตตา ไว้ในอนัตตลักขณะสูตร   ผมไม่ได้เป็นคนให้นิยามแต่อย่างใด

2.  คุณกำลังตีความผิดหลายเรื่อง  ในปรัชญาปารามิตา  จุดมุ่งหมายเพื่อสอนให้เห็นและเพ่งเห็นขันธ์ 5 เป็นความว่างเปล่า จึงจะข้ามพ้นทุกข์ไปได้  ข้อความเต็มๆของพระสูตรบทนี้มีว่า

รูปคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าคือรูป รูปไม่อื่นไปจากความว่างเปล่า ความว่างเปล่าไม่อื่นไปจากรูป  เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ว่างเปล่า

3. คำว่าจิตนั้นมี 2 แบบ 1. จิตที่คิดปรุงแต่ง 2. จิตที่ไม่คิดปรุงแต่ง    

จิตที่คิดปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล  มันจะไปสร้างขันธ์ต่างๆของมนุษย์ เทพ พรหม ฯลฯ ขึ้นมา เป็นอายตนะเพื่อเข้าไปอยู่ เมื่อจิตที่ไม่คิดปรุงแต่งเข้าไปอยู่ในขันธ์ หรืออายตนะนั้น  ตัวมันจะพบว่าอายตนะภายในและภายนอกต่างๆที่ปรากฏแก่มัน ล้วนเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ความทุกข์จึงเกิดขึ้น  เราจึงเรียกภพภูมิและผู้ที่อยู่ในภพภูมินั้นเป็น"อนัตตา"

จิตที่ไม่คิดปรุงแต่ง จริงๆมันก็คิดปรุงแต่งเหมือนกัน เพียงแต่ไม่คิดปรุงแต่งเป็นกุศลเป็นอกุศลเท่านั้น และไม่คิดปรุงแต่งว่านี่เป็นตัวกูของกู  พูดง่ายๆคือ ไม่ยึดติดว่านี่เป็นข้า นี่เป็นของข้าเท่านั้น

คุณยังไม่เข้าใจว่า  พวกเราล้วนเป็นพุทธะ  ขณะนี้พวกเรากำลังฝันอยู่ สรรพสิ่งในความฝัน มันจึงเป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา ไม่ใข่ตัวตนและไม่มีตัวตน  เมื่อเรายังไม่ตื่น  เราก็ยังไม่เห็นว่า กูกำลังฝันไปนี่หว่า  ยกเว้นไอ้คนที่ฝันที่เรียกว่า พุทธะ เท่านั้น มันมีตัวตน(อัตตา)

การไปยึดติดว่า นี่เป็นข้า นี่เป็นของข้า แม้ว่าจะน้อยสักเพียงใด จะนำไปสู่ภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งในสังสารวัฏฏ์  รูปพรหมและอรูปพรหมต่างๆ ถ้าไม่เข้าใจในจุดนี้  จึงไม่พบพระนิพพาน พระนิพพานเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างรูปภพและอรูปภพ ไม่รับกิเลสตัณหาและความสุขของภพภูมิใดทั้งนั้น ไม่รับทั้งรูปและอรูปทั้งนั้น  จึงเกิดธรรมกาย ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างรูปและอรูป ระหว่างมีและไม่มี

หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ

"พระนิพพานอุปมาขนาดเท่าเส้นผม ผู้ที่จะผ่านพ้นในขั้นสุดท้ายไปได้หรอืไม่ได้อยู่เพียงนิดเดียวในการทำจิตตัดจุดนี้ได้หรือไม่เท่านั้น พระพุทธเจ้าตอนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านได้ปรินิพพานไประหว่างรูปฌานและอรูปฌาน เป็นการดับขันธ์ด้วยความบริสุทธิ์เหนือสมมติโดยสิ้นเชิง
/color]"

สำหรับนักวิปัสสนาคงจะไม่ชอบที่ผมพูดแบบนี้ เพราะท่านไม่เน้นฌาน ได้แค่ฌาน 1 ก็พอแล้ว  ผมจึงขอนำคำของหลวงปู่ดูลย์ อตโล มาลงดีกว่า:

หลวงปู่ดูลย์ อตโล

....พระพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้เข้าสู่นิพพานในฌานสมาบัติอะไรที่ไหนหรอก เมื่อพระองค์ออกจากจตุตถฌานแล้ว จิตขันธ์หรือนามขันธ์ ก็ดับพร้อม ไม่มีอะไรเหลือ นั่งคือพระองค์ดับเวทนาขันธ์ ในภาวะจิตตื่น หรือวิถีจิตอันปกติของมนุษย์ ครอบพร้อมทั้งสติ และสัมปชัญญะ ไม่ถูกภาวะอื่นใดมาครอบงำอำพรางให้หลงใหลใดๆ ทั้งสิ้น เป้นภาวะแห่งตนเองอย่างสมบูรณ์ ภาวะนันเรียกว่า มหาสุญญตา หรือจักรวาลเดิม หรือเรียกกว่า นิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ......

สรุป

กาเข้านิพพานทำได้โดยการตายแบบมีสติ และสัมปชัญญะ แบบตื่นเต็มที่  ไม่ถูกอารมณ์ใดๆทำให้หลงไหลไปในภพภูมิแห่งภวังคจิต(จิตใต้สำนึก)  อนึ่ง  การอยู่ฌานใดฌานหนึ่งก่อนตาย จะนำไปเกิดเป็นพรหมซึ่งเป็นของสมมุติ  ถ้ามีสติ และสัมปชัญญะ ก็จะไม่หลงไหล ไปเกิดเป็นพรหมชั้นนั้น

....ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร

และเข้าปฐมฌานไปจนถึงจตุตถฌานอีก เมื่อออกจากจตุตถฌาน ยังมิได้ทันได้เข้าสู่อากาสานัญจายตนะ พระองค์ก็ปรินิพพานในระหว่างนั้น

ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่งปัจจเวกขณญาณ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว พิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ. แม้ทั้ง ๒ นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิต เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจจะ. สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก อย่างต่ำมดดำมดแดง ต้องกระทำกาละด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤต เป็นทุกขสัจทั้งนั้นแล.

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร


85  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ถ้านิพพานเป็นอัตตา ศาสนาพุทธก็คงไม่ต่างอะไรกับศาสนาอื่น จริงหรือ? เมื่อ: 26 ธันวาคม 2553 16:05:25
คุณWangJai ครับ


ผมเขียนเฉพาะเป็นเรื่องๆไป  เรื่องใดน่าสนใจ  ผมก็จะนำเสนอในเว็บธรรมะต่างๆ  เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง   ผมไม่นำเสนอหรอกครับ
86  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ถ้านิพพานเป็นอัตตา ศาสนาพุทธก็คงไม่ต่างอะไรกับศาสนาอื่น จริงหรือ? เมื่อ: 25 ธันวาคม 2553 23:30:44
จริงหรือ....ถ้านิพพานเป็นอัตตา ศาสนาพุทธก็คงไม่ต่างอะไรกับศาสนาอื่น?

ถ้านิพพานเป็นอัตตา ศาสนาพุทธก็คงไม่ต่างอะไรกับศาสนาอื่น ที่ปฏิบัติให้ถึงที่สุดเพื่อไปอยู่กับพระเจ้า..
อย่างนี้การนับถือศาสนาก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลือก เพราะศาสนาไหนก็สอนธรรมอันเป็นที่สุดไม่ต่างกัน..
ท่านพลศักดิ์ว่าไหม..
ถามมาด้วยความเคารพ!



ตอบ

ศาสนาอื่นๆ เช่น คริสต์ มุสลิม ฮินดู  ฯลฯ  เขาสอนให้คนไปอยู่กับพระเจ้า  ไปพึ่งพาอาศัยพระเจ้า และรับสวรรค์รวมทั้งพรหมโลกต่างๆของพระเจ้าเท่านั้น 

ไม่มีศาสนาใดที่สอนให้คนไปเป็นพระเจ้าเองเลย  ยกเว้นศาสนาพุทธ  เมื่อคุณบรรลุอรหันต์ ก็คือได้ธรรมกาย หรือนิพพานธาตุ  นั่นแหละคือ คุณเข้าสู่ความเป็นพระเจ้า ศาสนาพุทธเรียกพระเจ้าว่า "พุทธะ"  พระอรหันต์สาวกก็คือ "อนุพุทธะ"

ผมจะบอกคุณนะ  นิพพานเป็นอัตตา เพราะนิพพานคือธรรมกายดวงใหญ่สุด  ที่เป็นต้นกำเนิดธรรมกายอื่นๆ  รวมทั้งธรรมกายของพระพุทธเจ้าต่างๆด้วย

พวกเราทุกคนระเบิดตัวเองออกมาจากธรรมกายดวงใหญ่สุด   แยกตัวเองเป็นองค์เล็กๆ  ธรรมกายองค์เล็กๆนี้ก็  เป็นส่วนหนึ่งของธรรมกายดวงใหญ่สุด  ศาสนาพราหมณ์เขาพูดถูกในส่วนนี้ เขาเรียกธรรมกายดวงใหญ่สุดว่า "ปรมาตมัน" และเรียกธรรมกายองค์เล็กๆว่า"อาตมัน"

 นิพพานก็คือ ธรรมกายองค์เล็กๆ"อาตมัน"  เข้าไปอยูกับธรรมกายดวงใหญ่สุด "ปรมาตมัน"

หลวงปู่ดุลย์ อตโล อธิบายว่า:

" โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"

ความว่างที่บริสุทธิ์และสว่างแต่ละดวง รวมเข้ากับ ความว่าง บริสุทธิ์ สว่างของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน" = อาตมัน เข้าไปรวมเข้ากับ ปรมาตมัน..... ตามที่ศาสนาพราหมณ์สอนไว้จริงๆ

ศาสนาพราหมณ์เขาพูดผิด คิดผิดตรงที่ เขาคิดว่าขันธ์ 5 เป็นอาตมัน เป็นอัตตา เพราะวิญญาณไม่มีวันตาย  เพียงแต่ออกจากร่างนี้ไปอยู่ร่างอื่น เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า   พระพุทธเจ้าได้ปฏิเสทความคิดท่อนนี้  และสอนให้ชัดเจนว่า "อาตมัน" ที่ไม่มีวันตายนั้นคือ "อรหันต์" = อัตตา   ส่วนสิ่งอื่นที่ไม่ใช่อรหันต์ เช่น มนุษย์ สัตว์ เทวดา พรหม และอรูปพรหม สิ่งเหล่านั้นตายได้ทั้งนั้น

และพระพุทธองค์ยังสอนทางเข้าไปสู่ความเป็น"อาตมัน" ที่ไม่มีวันตาย หรือ "อรหันต์" ซึ่งเป็น อัตตา  นั้นด้วย

  "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง นิพพานธาตุ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ"

นี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น ที่จะนำเรากลับเข้าไปเป็น อัตตา(สิ่งที่เที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา) ถ้าเรากำจัดราคะ โทสะ โมหะไม่หมด   เราก็ยังเป็นสิ่งที่เป็น อนัตตา อยู่ดี
87  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา (อสังขตธาตุ)? เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 23:40:40
armageddon ชอบมองคนอื่นเป็นเดียรถีย์ เป็นเดรัจฉาน  เห็นว่าความเห็นของคนอื่นผิด  แต่ของตนเองถูกต้อง   

มองไกลตัวไปหรือเปล่าน้องarmageddon   เมื่อไรมองเห็นว่าตัวเองเป็นเป็นเดียรถีย์ เป็นเดรัจฉาน  และเห็นว่าความเห็นของตนเองเป็นมิจฉาทิฏฐิ  เมื่อนั้นเธอจะพบเรา

 ขำ ขำ ขำ
88  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: เข้าใจกันหรือยังว่า อัตตา=อมตะ อนัตตา=ไม่อมตะ เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 15:46:41
ตอบ

ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา เพราะไม่อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้  มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรเลย

ธรรมขันธ์ (ธรรมกาย) เป็นอัตตา  เพราะอยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้  ไม่ให้เกิด  ไม่ให้แก่  ไม่ให่เจ็บ ไม่ให้ตาย  และจะเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรก็ได้  เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านจะเปลี่ยนเป็นใครก็ได้

ที่ว่าเจ้าแม่กวนอิมจะเปลี่ยนแปลงเป็นใครเป็นอะไรก็ได้

แล้วมันไม่แปรปรวน ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง ได้ยังไงครับ

 เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
ของเก่าที่เปลี่ยนไป ๆๆ  ยังคงอยู่ หรือดับหายไปครับ


อนัตตลักขณะสูตร  ซ่อนความลับของสิ่งที่เป็นอัตตา เอาไว้ในขันธ์ 5 ซึ่งเป็นอนัตตา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

        รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)เป็นอนัตตา ถ้ารูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)เป็นอนัตตา ฉะนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
 :45:

จากอนัตตลักขณะสูตร

รุป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จะเป็นอัตตาได้ ต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ:

1.  รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ   ไม่อาพาธ = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย = ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา

2. บุคคลพึงได้ในรูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ข้อ 1 หมายถึง ไม่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา = กาลเวลาและกรรมเป็นตัวกำหนด = ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย นั่นเอง

ข้อ 2 หมายถึง บุคคลนั้นสามารถกำหนดได้ว่า  จะให้รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด   อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย = จะให้เป็นอะไรก็ได้ จะให้สิ้นสุดเมื่อไรก็ได้  แล้วแต่ผู้นั้นจะกำหนด

กล่าวอีกนัยหนึ่ง

พระบรมศาสดาตรัสสอนปัญจวัคคีย์ว่า : ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา

ปัญจวัคคีย์ตอบว่า: ข้อนั้นไม่ควรเลยพระพุทธเจ้าข้า (= ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา)

แล้วถ้าสิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา (= ธรรมกาย หรือธรรมขันธ์ หรือธรรมธาตุ หรือ อายตนะนิพพาน เป็นอัตตา หรือตัวตนของเรา)
ปัญจวัคคีย์จะตอบว่า: ข้อนั้นควรเลยพระพุทธเจ้าข้า ใช่หรือไม่

สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา = ไม่อาพาธนั่นเอง

สรุป

ความหมายคำว่า อัตตาในอนัตตลักขณะสูตร มีคุณสมบัติ 2 ประการ

1.  คำว่า ไม่แปรปรวน ไม่เกิดความเปลี่ยนแปลง ต้องมีคำว่า "เป็นธรรมดา"[/ b]ด้วย =ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย หรือไม่อาพาธ

2.  ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น =  บุคคลนั้นสามารถกำหนดได้ว่า  จะให้รูป(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด   อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย = จะให้เป็นอะไรก็ได้ จะให้สิ้นสุดเมื่อไรก็ได้  แล้วแต่ผู้นั้นจะกำหนด
89  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: เข้าใจกันหรือยังว่า อัตตา=อมตะ อนัตตา=ไม่อมตะ เมื่อ: 24 ธันวาคม 2553 15:32:38
อ่านแล้วสงสัยทำให้อยากเรียนถาม
1 อัตตานั้นคือความเมตตาใช่มั๊ย...
2. ส่วนอนัตตาคือความว่างขณะไม่ปรุงแต่งใดๆ
3. อัตตาจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ว่างแต่เกิดการปรุงแต่งขึ้น
ขณะที่ไม่เป็นทุกข์...
ขณะที่เที่ยง...
ขณะที่ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา
แต่เกิดการเมตตาขณะนั้น :01: :07:

ตอบ

1.    “....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกำจัดราคะ โทสะ ความกำจัดโมหะ นี้เป็นชื่อแห่ง
   นิพพานธาตุ...."

   "....ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อมตภาพ...."


ด้วยเหตุนี้  ความเมตตานั้น ต้องไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เหลืออยู่  จึงจะเรียกว่า "อัตตา"

2. อนัตตาในอนัตตลักขณะสูตร หมายถึง สิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวเป็นธรรมดา = เกิด แก่ เจ็บ ตาย

ส่วนอนัตตาคือความว่างขณะไม่ปรุงแต่งใดๆ  เขาเรียกว่า "สุญญตา"

3. อัตตาจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ว่าง ไม่คิดปรุงแต่งด้วยราคะ โทสะ โมหะ ... ขันธ์ชองสิ่งนี้จึงเป็นอมตะ เรียกว่า ธรรมขันธ์ ธรรมกาย ธรรมธาตุ หรืออายตนะนิพพาน

 แต่ถ้าเกิดความคิดปรุงแต่งด้วยราคะ โทสะ โมหะ เขาเรียกว่า อัตตานุทิฏฐิหรืออุปทาน ... ขันธ์ของสิ่งนี้จึงไม่เป็นอมตะ เรียกว่า ขันธ์ 5
90  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา (อสังขตธาตุ)? เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 00:29:57
ผู้ใดไม่เห็นธรรม  ย่อมไม่เห็นเราตถาคต
ผู้ใดไม่เห็นเราตถาคต  ย่อมไม่เห็นเรา พลศักดิ์ วังวิวัฒน์
91  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: เข้าใจกันหรือยังว่า อัตตา=อมตะ อนัตตา=ไม่อมตะ เมื่อ: 23 ธันวาคม 2553 00:24:07
ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ผู้ใดเห็นเราตถาคต  ผู้นั้นเห็นเราพลศักดิ์ วังวิวัฒน์
92  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / เข้าใจกันหรือยังว่า อัตตา=อมตะ อนัตตา=ไม่อมตะ เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553 20:31:51
เข้าใจกันหรือยังว่า อัตตา=อมตะ  อนัตตา=ไม่อมตะ  


ศาสนาพุทธของเรา  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบทางแห่งการเข้าไปเป็นสิ่งที่เป็นอมตะและไม่มีทุกข์  หลุดออกจากการเป็นสิ่งไม่เป็นอมตะและยังมีทุกข์ใน 3 ภพ


อนัตตา ที่พระพุทธเจ้าตรัสในอนัตตาลักขณะสูตร = สิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา

อนัตตา = สิ่งที่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

อนัตตา = สิ่งที่ไม่เป็นอมตะ  อะไรล่ะที่ไม่เป็นอมตะ  ก็สิ่งที่จิตสังขาร หรือจิตคิดปรุงแต่งดำรงอยู่ คือ ขันธ์ 5  ขันธ์ 5 จึงเป็นอนัตตา

.............................................................................

อัตตา ที่พระพุทธเจ้าตรัสในอนัตตาลักขณะสูตร = สิ่งที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา

อัตตา = สิ่งที่ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

อัตตา = สิ่งที่เป็นอมตะ  อะไรล่ะที่เป็นอมตะ  ก็สิ่งที่จิตบริสุทธิ์พุทธะ หรือจิตที่ไม่มีคิดปรุงแต่งดำรงอยู่ คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ)  ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ)จึงเป็นอัตตา

สรุป

อนัตตา คือ สิ่งที่ไม่เป็นอมตะ  ซึ่งจิตสังขารเข้าไปอยู่ คือ ขันธ์ 5

อัตตา คือ สิ่งที่เป็นอมตะ ซึ่งจิตบริสุทธิ์ ที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง เข้าไปอยู่ คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ) ที่เรียกว่า "อายตนะนิพพาน"

ท่านเข้าใจหรือยัง  นี่คือคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าจึงยืนยันในขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571ว่า "ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."

และพระอวโลกิเตศวรจึงสอนพระสารีบุตร บึนทึกในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ว่า

" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "
93  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา (อสังขตธาตุ)? เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553 20:15:07
คุณเจ้าทึ่มครับ


อนัตตา ที่พระพุทธเจ้าตรัสในอนัตตาลักขณะสูตร = สิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แปรปรวนเป็นธรรมดา

อนัตตา = สิ่งที่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

อนัตตา = สิ่งที่ไม่เป็นอมตะ  อะไรล่ะที่ไม่เป็นอมตะ  ก็สิ่งที่จิตสังขาร หรือจิตคิดปรุงแต่งดำรงอยู่ คือ ขันธ์ 5  ขันธ์ 5 จึงเป็นอนัตตา

.............................................................................

อัตตา ที่พระพุทธเจ้าตรัสในอนัตตาลักขณะสูตร = สิ่งที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา

อัตตา = สิ่งที่ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

อัตตา = สิ่งที่เป็นอมตะ  อะไรล่ะที่เป็นอมตะ  ก็สิ่งที่จิตบริสุทธิ์พุทธะ หรือจิตที่ไม่มีคิดปรุงแต่งดำรงอยู่ คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ)  ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ)จึงเป็นอัตตา

สรุป

อนัตตา คือ สิ่งที่ไม่เป็นอมตะ  ซึ่งจิตสังขารเข้าไปอยู่ คือ ขันธ์ 5

อัตตา คือ สิ่งที่เป็นอมตะ ซึ่งจิตบริสุทธิ์ ที่ไม่มีความโลภ โกรธ หลง เข้าไปอยู่ คือ ธรรมขันธ์(ธรรมกาย.ธรรมธาตุ) ที่เรียกว่า "อายตนะนิพพาน"

ท่านเข้าใจหรือยัง  นี่คือคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าจึงยืนยันในขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571ว่า "ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."

และพระอวโลกิเตศวรจึงสอนพระสารีบุตร บึนทึกในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร ว่า

" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "


94  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา (อสังขตธาตุ)? เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553 14:09:52

หมัดเด็ดน๊อคเอาท์มารพลศักดิ์

อนัตตา  ไม่อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้

อัตตา    ก็อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้ อ่ะจิ ครับ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น




ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา เพราะไม่อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้  มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรเลย

ธรรมขันธ์ (ธรรมกาย) เป็นอัตตา  เพราะอยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้  ไม่ให้เกิด  ไม่ให้แก่  ไม่ให่เจ็บ ไม่ให้ตาย  และจะเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรก็ได้  เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านจะเปลี่ยนเป็นใครก็ได้

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
โอมเพี้ยง ธรรมกายของเรา จงโตขึ้นๆๆ
จากห้าวา เป็นสิบวา จากสิบวา เป็นยี่สิบวา
จงใสขึ้นๆๆ

โอมเพี้ยง
พลศักดิ์ เปลี่ยนเป็นเดียรถีย์

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น


1.  คิดผิด คิดใหม่ได้นะ  ผมว่าเดียรถีย์ตัวจริงคือ armageddon  เดียรถีย์ตัวนี้ อวตาร ก่อกวนเว็บธรรมะเขาไปทั่ว  ใช้ชื่อต่างๆมากมาย เช่น เสี่ยวอีสาน(เว็บmanager) เอกวีร์(เว็บพลังจิต)

มารarmageddonนี้น่าสงสารมาก  มีความอยากรู้อยากเห็นเรื่องธรรมมาก แต่โดนสาบไม่ให้มีทางเห็นธรรมได้

มารarmageddonลองไปคิดดู  ถ้าคิดออก  จะค่อยๆเริ่มเห็นธรรม

ผู้ที่พูดเรื่องธรรมกายคนแรก คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม)  ตกลงพวกท่านก็เป็นเดียรถีย์หรือเปล่า

เมื่อไรที่คุณมองเห็นว่า  องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร(กวนอิม) ไม่ได้เป็นเดียรถีย์  แต่armageddonต่างหากเป็นเดียรถีย์  เมื่อนั้นผมจะแก้คำสาบของคุณเอง  จะได้เลิกก่อกวนในเว็บธรรมะสักที

พระอวโลกิเตศวร : ธรรมกาย คือ อายตนะนิพพาน พระพุทธเจ้า : ธรรมกาย เป็น อัตตา


อ้างอิง 1. [ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรสอนพระสารีบุตรว่า[/color]


" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้
ก็คืออายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "


อ้างอิง 2.[ ขุทฺทกนิกาย จริยา อรรถกถาปกิณณกกถา เล่ม 74 หน้า 571

"...หรือบารมีย่อมตักตวงคุณมีศีลเป็นต้นอื่นไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง หรือบารมีย่อมทำลายปฏิปักษ์อื่นจาก ธรรมกายอันเป็นอัตตา...."


อ้างอิง 3. [จากหนังสือชุมนุมบทความของหลวงปู่เปรม (เปมงฺกโร ภิกขุ) วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร  


  ------- เปมงฺกโร ภิกฺขุ--------

จิตบริสุทธิ์พ้นจากอำนาจวัฏฏะ ๓ คือ กิเลส กรรม วิบาก เป็นตัวธรรม เป็นสัจจะธรรม คือ นิโรธสัจจ์ คู่กับ ทุกขสัจจ์นั้น และเป็นอัตตาตัวตน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า

อตฺตทีปา วิหรถ อตฺตสรณา อนญฺญสรณา
ธมฺมทีปา วิหรถ ธมฺมสรณา อนญฺญสรณา แปลว่า
ท่านทั้งหลาย จงมีตนเป็นที่เกาะกุม มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง ดังนี้

ตน คือ ธรรม / ธรรม ก็คือ ตน
ธรรม คือ จิตที่บริสุทธิ์ เป็นวิมุตติจิต เป็นอมตธรรม ธรรมที่ไม่ตาย หรือนิพพาน ก็ได้.


สรุป


อายตนะนิพพาน คือ ธรรมกาย คือ จิตบริสุทธิ์ คือ ธรรม คือ นิพพาน คือ วิมุตติจิต


2. อัตตาในอนัตตลักขณสูตรมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่งที่ยากต่อการพิสูจน์ นอกจากไม่อาพาธ เจ็บป่วยแก่ตายแล้ว ยังต้องเป็นไปดังใจ  หรือเมื่อบังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้ เช่น ธรรมกายของเจ้าแม่กวนอิม ท่านจะแปลงเป็นใครก็ได้

เอ้า! ลืมไป  ผมโดนหมัดเด็ดของarmageddonน๊อคเอาท์ไปแล้ว  เหตุไฉนจึงตอบคำถามนี้ของarmageddonได้ว่า  "อัตตา"  ที่อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้ = ธรรมกาย  และให้ตัวอย่างของธรรมกายของพระมหาโพธิสัตว์กวนอิมได้ด้วย.....   สงสัยจริงๆ อ่ะจิ  หัวเราะลั่น แบร่ ขำ
95  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา (อสังขตธาตุ)? เมื่อ: 21 ธันวาคม 2553 00:24:41

หมัดเด็ดน๊อคเอาท์มารพลศักดิ์

อนัตตา  ไม่อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้

อัตตา    ก็อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้ อ่ะจิ ครับ

 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น




ขันธ์ 5 เป็นอนัตตา เพราะไม่อยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้  มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรเลย

ธรรมขันธ์ (ธรรมกาย) เป็นอัตตา  เพราะอยู่ในวิสัยที่บังคับบัญชาได้  ไม่ให้เกิด  ไม่ให้แก่  ไม่ให่เจ็บ ไม่ให้ตาย  และจะเปลี่ยนแปลงเป็นอะไรก็ได้  เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิม ท่านจะเปลี่ยนเป็นใครก็ได้
96  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัต เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553 01:21:36
ยังงงกันอยู่เหรอว่า...ทำไมนิพพานเป็นอัตตา หรืออสังขตธาตุ?


คุณจิ๊กเปงเขียน:

1. อัตตา มีความหมายในทางยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตน ของเรา ตัวเรา ซึ่งเป็นความเห็นผิด

2. พระพุทธศาสนา จึงไม่สอน นิพพานเป็นอัตตา คุณพลศักดิ์เอานิพพานเป็นอัตตามาจากไหน

3. นิพพานก็นิพพาน อัตตาก็อัตตา คนละเรื่องกัน



ตอบ

1. อัตตา มีความหมายในทางยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวเป็นตน ของเรา ตัวเรา = อัตตานุทิฏฐิ หรือ อุปทาน

2. พระพุทธศาสนา จึงไม่สอน นิพพานเป็นอัตตา.... เป้าหมายของพระพุทธศาสนา คือ หนีออกจากอัตตนุทิฏฐิ โดยปฏิบัติสมถและวิปัสสนากรรมฐาน จนรู้อย่างจริงๆว่า อัตตานุทิฏฐิ ล้วนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย  จึงเรียกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  เมื่อรู้อย่างเด่นชัดแล้ว  จิตจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ถอนกิเลส ตัญหา อุปทานได้  จึงได้ธรรมกาย(อายตนนิพพาน) ที่ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย

สมเด็จพระสังฆราช อริยวงศาคตญาณ (แพ ติสูรเทโว)

"สัตว์โลกยังมีอวิชชาจะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอัตตา เว้นเมื่อเข้าถึงอสังขตธาตุได้ความบริสุทธ์เป็นนิพพาน จะเข้าใจว่าขันธ์ ๕ เป็นอนัตตาทันที แล้วจะเห็นว่าพระนิพพานเป็นอัตตา"

3.  นิพพานก็นิพพาน อัตตาก็อัตตา คนละเรื่องกัน.... นิพพานก็คืออัตตา ในความหมายว่าเที่ยง ไม่ทุกข์ ไม่แปรปรวนตามกาลเวลา  อัตตาของโลก คือ อัตตานุทิฏฐิ  เป็นคนละเรื่องกับอัตตาทีพระพุทธเจ้าพูดถึง

นิพพาน = อสังขตธาตุ = อัตตา = ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย
อัตตาของโลก = อุปทาน หรืออัตตานุทิฏฐิ = มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย 



-------------------------------------------------------------

อ้างอิง

ผมขออนุญาตนำเอาพุทธพจน์ต่างๆเรื่องอัตตานุทิฏฐิ อัตตา อนัตตา มาถก เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาต่อไป

1. อัตตานุทิฏฐิ หรือ อัตตวาทุปาทาน สิ่งนี้เป็นอุปทาน หรือ เป็นมิจฉาทิฏฐิ บางท่านเรียกว่า อัตตาของโลก

อัตตานุทิฏฐิ = ผู้ที่ยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่าเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา ทั้งๆที่มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน(อัตตา)ของเรา เขาหลงยึดมั่นถือว่าเป็นอัตตา เป็นตัวตนของเขา


ขันธสังยุตต์ - จุลปัณณาสก์ - ทิฏฐิวรรค - ๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร

๗. อัตตานุทิฏฐิสูตร
ว่าด้วยเหตุแห่งอัตตานุทิฏฐิ
[๓๕๘] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรมีอยู่
เพราะอาศัยอะไร เพราะยึดมั่นอะไร จึงเกิดอัตตานุทิฏฐิ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อรูปมีอยู่ เพราะอาศัยรูป เพราะยึดมั่นรูป จึงเกิดมีอัตตานุ
ทิฏฐิ. เมื่อเวทนามีอยู่ ... เมื่อสัญญามีอยู่ ... เมื่อสังขารมีอยู่ ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะอาศัย

วิญญาณ เพราะยึดมั่นวิญญาณ จึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ.
[๓๕๙] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือ
ไม่เที่ยง?

ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ
เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?

ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. เวทนา ... สัญญา ... สังขาร ... วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา พึงเกิดมีอัตตานุทิฏฐิ
เพราะไม่อาศัยสิ่งนั้นบ้างหรือ?

ภิ. ไม่ใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความ
เป็นอย่างนี้มิได้มี.

จบ สูตรที่ ๗.


2. ที่ท่านเรียกว่า อัตตาของโลก = อุปทาน หรือมิจฉาทิฏฐิ นั้น พระพุทธเจ้าเรียกสิ่งนี้ว่า "อนัตตา"


อนัตตลักขณสูตร

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตา

3. นิยาม "อัตตา" ในอนัตตลักขณะสูตร

จากอนัตตลักขณสูตรเช่นกัน พระพุทธองค์ให้นิยามคำว่า "อัตตา" ไว้ชัดเจน

" ดูกรภิกษุทั้งหลาย....

ถ้ารูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) นี้ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)ว่า รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) รูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย "

4. จากท่อนจบที่พระพุทธเจ้าถามปัญจวัคคีย์

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อนัตตสรุป

ถ้ามีรูป (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ใด ที่ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และบุคคลพึงได้ในสิ่งนั้นว่า ขอให้มันเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าเป็นอย่างนี้เลย สิ่งนั้นก็เป็น "อัตตา"

และพระพุทธองค์ยังตรัสถามพระปัญจวัคคีย์ เพื่อสอบความเข้าใจด้วยว่า :

ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

ตอนนี้พระพุทธเจ้าฝากผมมาถามคุณนักดาบพเนจรว่า:

ภ. ก็สิ่งใดเที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตน(อัตตา)ของเรา?

คุณจิ๊กเปง ตอบว่า

....... ข้อนั้น ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. = อัตตอัตตา จึงเท่ากับ สิ่งที่เที่ยง ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา

แล้วอะไรล่ะที่เป็นอัตตา....ก็อสังขตธาตุ ยังไงล่ะ ดูลักษณะของอสังขตธาตุนะครับ

ลักษณะของอสังตธาตุ

อสังขตธาตุ หมายถึง ธาตุที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และมีลักษณะความเกิดไม่ปรากฏ ๑ ความเสื่อมสลายไม่ปรากฏ ๑ เมื่อตั้งอยู่ความแปรปรวนไม่ปรากฏ ๑

ภิกษุ ท.! อสังขตลักษณ ะของอสังขตธรรม ๓ อย่างเหล่านี้ มีอยู่
สามอย่างอย่างไรเล่า? สามอย่างคือ :-
๑. ไม่ปรากฏมีการเกิด = ไม่เกิด
๒. ไม่ปรากฏมีการเสื่อม = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย)
๓. เมื่อตั้งอยู่ ก็ไม่มีภาวะอย่างอื่นปรากฏ = ไม่แปรปรวน(แก่ เจ็บ ตาย)

ภิกษุ ท.! สามอย่างเหล่านี้แล คืออสังขตลักษณะของอสังขตธรรม.
97  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: พระปัจเจกพุทธเจ้าที่เป็น พระพุทธเจ้าองค์ปฐม คือ อาทิพุทธ เมื่อ: 20 ธันวาคม 2553 00:03:29
อ้างจาก: โพธิสัตว�
เรื่องจริงหรือไม่จริงใครจะรู้

พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู  ท่านย่อมรู้  แล้วพระพุทธเจ้าสอนไปทางมหายานเรื่องอาทิพุทธ  นอกจากคุณคิดว่าปิฎกและพระสูตรต่างๆของมหายานไม่จริง  มีแต่ของเถรวาทเท่านั้นที่จริง   ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยเอ่ยถึงอาทิพุทธกับเถรวาท

เมื่อเป็นเช่นนี้  เรื่องจริงเป็นอย่างนี้  แต่มิจฉาทิฏฐิของคุณบอกคุณว่า.... เรื่องจริงหรือไม่จริงใครจะรู้
98  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: มีพระไตรปิฎกเถรวาทอีกมากมายช่อนอยู่ รอผู้ค้นหา และนำมาสอน เมื่อ: 19 ธันวาคม 2553 14:43:42

ก็ตอบให้อีก ว่า
พระพุทธเจ้าเข้านิพพานแล้ว
พระอรหันต์เข้านิพพานแล้ว
1. พระอรหันต์ด้วยกัน ยังตามร่องรอยไม่เจอ
มารยังตามร่องรอยพระโคธิกะไม่เจอ


2. แต่ หลวงพ่อสด หลวงพ่อคง  ตามรอยได้
แน่มาก ๆๆๆๆๆ


3. หลวงพ่อสด หลวงพ่อคง หลวงปู่ตื้อ
ถือกำเนิด  พศ.ไหน ครับ
ก่อนสังคยานาพระไตรปิฎกล่ะมั๊ง


นั่นแหละ หลังห้าพันปีพระศาสนาก็จะหายไป


1. พระอรหันต์ด้วยกัน ยังตามร่องรอยไม่เจอ = พระอรหันต์ที่ยังไม่เข้านิพพาน อาจตามหาพระอรหันต์ที่เข้านิพพานไม่เจอ  แต่พระอรหันต์ในนิพพานด้วยกัน พวกท่านเป็นธรรมธาตุ เป้นวิมุติย่อมตามรอยกันเจอ

2. หลวงพ่อคงและหลวงพ่อสดบรรลุธรรม และขอวิชาจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงต้องลงมาประทานให้  "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต"

3. เกิดพศ.ไหนไม่สำคัญ  หลวงพ่อสด หลวงพ่อคง หลวงปู่ตื้อ
เมื่อเขาถึงธรรมแล้ว ย่อมรู้เรื่องราวในพระไตรปิฎกได้

4.  ผมก็เข้าถึงธรรมแล้ว  จึงมาสอนในเว็บธรรมมะยังไงล่ะ  มารปิดบังพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกจากผู้เข้าไม่ถึงธรรมได้  แต่ปิดบังพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกจากผู้เข้าถึงธรรมไม่ได้
99  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: เจาะลึกสุดๆเรื่อง"สมเด็จองค์ปฐม"(หาอ่านที่ไหนก็ไม่ได้) เมื่อ: 17 ธันวาคม 2553 14:17:38
 

แต่สงฆ์ที่ถูกมารสิงในยุคต่อๆมา ก็พยายามตัดเรื่องธรรมกายออกไป และแยกนิพพานเป็นอะไรก็ไม่รู้  มาถึงยุคนี้สงฆ์และฆราวาสที่ถูกมารสิง กำแหงหนัก  กล้าทะลึ่งบอกว่า นิพพานเป็นอนัตตา  ทั้งๆที่ในอนัตตลักขณะสูตร นิพพานแปลว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  พอผมถามว่า  แล้วเราจะเข้านิพพานไปหาพระแสงอะไรเล่า?  ก็ไม่เห็นมีใครตอบได้สักคน  เห็นมีแต่ไล่ผมออกจากเว็บพุทธศาสนา 10 กว่าเว็บแล้ว


จะบอกให้ก็ได้

เพราะไม่มีใครเค้าเข้าไปหาพระแสงอะไรอย่างคุณนะสิ

ถ้านิพพานเที่ยง ฯลฯ ก็ต้อง บังคับบัญชาได้ อมพะนำคำนี้เอาไว้ กลัวเสียเครดิตละสิ ชิมิๆ


ถูกแล้ว ถ้านิพพานเที่ยง ฯลฯ ก็ต้อง บังคับบัญชาได้ และเป็นอมตะ  = ธรรมกาย หรือธรรมธาตุ

พระสารีบุตรก็เคยสงสัยเรื่องนี้ จึงถามพระอวโลกิเตศวร เรื่องนี้บันทึกอยู่ในปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร พระอวโลกิเตศวรจึงตรัสสอนพระสารีบุตรว่า

" ธรรมกาย ก็คือปรัชญาปารมิตาซึ่งเป็นสภาวธรรมแห่งพระตถาคตตรัสรู้ ก็คือ อายตนะนิพพานนั้นเอง ย่อมปราศจากการมาในอดีต ฤาการไปในอนาคต แลในปรัตยุบันกาลเล่าก็ปราศจากการตั้งอยู่มั่นคง "
100  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / มีพระไตรปิฎกเถรวาทอีกมากมายช่อนอยู่ รอผู้ค้นหา และนำมาสอน เมื่อ: 17 ธันวาคม 2553 14:11:48
มีพระไตรปิฎกเถรวาทอีกมากมายช่อนอยู่ รอผู้ค้นหา และนำมาสอน


พระพุทธเจ้าพระองค์แรก ที่ตรัสรู้ก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ มีอยู่ จริง ๆ
และมีคัมภีร์ปฐมมูลรับรองพระนาม คือ " พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า"
หอสมุดแห่งชาติ มีคัมภีร์เก่า ๆ มากมายที่ยังไม่ได้แปล และมีสุดยอดคัมภีร์อีกหลาย ๆ คัมภีร์ที่ คนไทย ยังไม่รู้ และเป็นของเถรวาทแท้ ๆ ด้วย ครับ
พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ปฐม ที่พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ทรงตรัสแสดงแก่ท่าน " พระอัญญาโกณฑัญญะ" และ พระปฐมสาวกทุกองค์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็จะทูลถาม พุทธประวัติ ของ " พระพุทธเจ้าองค์ปฐม" พระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตทุกพระองค์ก็จะทรงตรัสแสดงให้ฟังปฐมสาวกได้ฟัง แม้มาในศาสนาของพระพุทธเจ้าของเราก็เหมือนกัน คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่มาก ต้นฉบับ เป็น " ภาษาล้านนา " คณาจารย์ของกรมศิลปากร ได้แปลรวมไว้อยู่ใน หนังสือเล่มใหญ่ ชื่อ " โลกุปปัตติ อรุณวดีสูตร ปฐมมูล ปฐมกัป มูลตันไตรย " -และถ้ามีปัญหาถามว่า " พระพุทธเจ้าองค์แรก ใน พระพุทธศาสนา ที่ตรัสรู้ก่อนพระ พุทธเจ้าทุกพระองค์ ทรงพระนามว่าอะไร ? พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ อุบัตขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ และพระองค์ไม่เคยได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์อื่นใดมาก่อนเลย เพราะยังไม่มี พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก่อนหน้านั้นเลยแม้แต่องค์เดียว พระพุทธเจ้าพระองค์นี้ใช้ระยะเวลาในการประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์เป็นเวลา ยาวนานกว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่เกิดขึ้นมาภายหลัง คือ ทรงใช้เวลา 5,000 ปีนั่ง ประทับตรัสรู้อยู่ใต้ต้นไม้ 25 ต้น ๆ ละ 200 ปี เพราะพระองค์ไม่เคยสร้างพระบารมี และ ไม่เคยได้รับพุทธพยากรณ์ในศาสนาพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์มาก่อนเลย (ก็เป็นพระองค์แรกหนิ)
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปฐมมูล พระองค์นั้น ทรงพระนามว่า " พระติกขะคัมมะสัมมาสัมพุทธเจ้า " พระองค์มีพระชนม์มายุ 100,000 ปี แล้วจึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงพยากรณ์เป็นพระองค์แรก ว่า

http://www.mythland.org/v3/archiver/tid-2266.html

 
คัมภีร์นี้เก่าแก่มากครับ หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
เป็นภาษาล้านนาแท้ๆ
อาณาจักรล้านนา  มีอยู่ในพระไตรปิฎกหรือเปล่า
เอาพระไตรปิฎก มายืนยันก่อนสิครับ
ว่าอาณาจักรล้านนา ถือกำเนิดเมื่อไร

หรือว่า มารแต่งนิยาย ขึ้นมาเพื่อ ดิสเครดิท
 หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว





พวกที่เป็นมาร  แล้วมารแต่งนิยาย ขึ้นมาเพื่อ ดิสเครดิท   หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว  คือ ใคร????

ตอบ

ก็พวกสมมุติสงฆ์ฝ่ายปริยัติของเรานั่นแหละ  พวกนี้ไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติได้ไม่ถึงขั้น เรียกว่า ไม่เป็นสัปปะรด  อาศัยพวกมาก  ใช่กฎหมาหมู่  ทำการปฎิรูปพระพุทธศาสนา  ให้กลายเป็นศาสนาของมาร ที่เรียกว่า "สัทธรรมปฏิรูป"  หรือของปลอม

พวกสมมุติสงฆ์ฝ่ายปริยัติ ที่ถูกมารครอบงำ ได้ทำการล้างบางพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า เริ่มต้นมาตั้งแต่ในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 2  จะเห็นได้ว่า ในปฐมสังคายนา มีแต่พระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6 เข้าร่วมเท่านั้น  พวกท่านจึงรู้ว่า  สิ่งใดเป็นของจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้

พระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6 ทั้ง 500 รูป รวมทั้งพระมหากัสสปะและพระอานน์ ต่างรับรองพระไตรปิฎกของเถรวาท และปิฎกของฝ่ายอาจาริยวาท หรือ มหายาน  รวมปิฎกทั้ง 2 ฝ่าย จึงเป็นพระไตรปิฎก

แต่เมื่อสงฆ์มีจำนวนมากขึ้นในการสังคายนาครั้งที่ 2 กฎหมาหมู่(ประชาธิปไตย)จึงถูกตั้งขึ้น ให้อนุญาตทั้งพระอรหันต์ที่มีอภิญญา 6  และพระทั่วไปร่วมด้วยได้  ความเละเทะในพระไตรปิฎกจึงเริ่มต้นขึ้น  เถรวาทจะเอาเฉพาะคำสอนที่พระพุทธองค์เป็นผู้ชี้ทางให้พวกตนเท่านั้น  อีกอย่างในการสังคายนาครั้งที่ 2 ไม่มีการเชิญฝ่ายอาจาริยวาท หรือ มหายาน เข้าร่วม  ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่สงฆ์ที่ถูกมารสิง จะตัดคำสอนทุกอย่างที่ในปิฎกของฝ่ายอาจาริยวาททิ้งไป  เหลือแต่คำสอนของพวกตน ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่จิตปภัสสร หลงกลอวิชชา ปฏิจจสมุปบาทจึงเกิดขึ้น

คำสอนสำคัญในปิฎกของฝ่ายอาจาริยวาท  ที่ฝ่ายเถรวาทไม่มีอยู่ หรือมีอยู่น้อยมากคือ เรื่องก่อนหน้าจิตปภัสสรนั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ

1. เรื่องสุญญตวาท ที่มี จิตอมตวาทอยู่  เรียกว่า อาทิพุทธ พระไวโรจนพุทธเจ้า หรือธรรมกาย(ศาสนาอื่นเรียกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า)

2. เรื่องกายทั้ง 3 ของพระพุทธเจ้า - 
        ๑. สัมโภคกาย คือ พระกายที่เป็นทิพยภาวะ ประทับอยู่ ณ แดนพุทธเกษตร
          ๒. นิรมานกาย คือ พระกายที่พระองค์เนรมิตรขึ้นทำนองอวตารลงมา อาการมีทรงพระชวร ประสูติทางพระวรกายนั้นเป็นสิ่งมายาทั้งสิ้น
          ๓. ธรรมกาย คือสุญญตภาวะ หรือ พระนิพพานนั้นเอง

สงฆ์ที่ถูกมารสิงในตอนนั้น ตัดกายของพระพุทธเจ้าให้เหลือเพียง 2 กาย คือ นิรมานกาย และ ธรรมกาย 

อย่างไรก็ตาม สงฆ์ที่ถูกมารสิงในยุคต่อๆมา ก็พยายามตัดเรื่องธรรมกายออกไป และแยกนิพพานเป็นอะไรก็ไม่รู้  มาถึงยุคนี้ สงฆ์และฆราวาสที่ถูกมารสิง กำแหงหนัก  กล้าทะลึ่งบอกว่า นิพพานเป็นอนัตตา   ทั้งๆที่ในอนัตตลักขณะสูตร นิพพานแปลว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา  พอผมถามว่า  แล้วเราจะเข้านิพพานไปหาพระแสงอะไรเล่า?  ก็ไม่เห็นมีใครตอบได้สักคน  เห็นมีแต่ไล่ผมออกจากเว็บพุทธศาสนา 10 กว่าเว็บแล้ว

3. เรื่องความเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย  ที่ยังคอยช่วยเหลือมนุษย์และสรรพสัตว์ที่เดือดร้อนในโลกอยู่ เช่น เจ้าแม่กวนอิม พระพิฒเนศ ตรีมูรติ  เรืองพวกนี้ สงฆ์และฆราวาสที่ถูกมารสิง พยายามบอกว่าไม่มีอยู่จริง  แต่คนทั่วโลก  ไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้น  ต่างเคยพบเห็นและเคยประสพกับพระบารมีของพวกท่านมาแล้วมากมาย

เรืองทั้ง 3 เรื่องนี้ เป็นข้อใหญ่ที่สุด ที่สงฆ์และฆราวาสที่ถูกมารสิง ในทุกยุคทุกสมัย ไม่ยอมให้ประชาชนรู้ความจริง


มีพระไตรปิฎกเถรวาทเก็บซ่อนอยู่ในที่อื่นๆไหม? 


มีหลายที่มากเลย เช่น

1. คัมภีร์ปฐมมูลเป็นภาษาล้านนาแท้ๆ มารตัดทิ้งไปแล้วในพระไตรปิฎก แต่พระพุทธเจ้าดลจิตให้อาณาจักรล้านนาบันทึกเอาไว้
2. คัมภีร์วิชาเปิดโลก มารทิ้งไปแล้ว แต่พระพุทธเจ้า ก็มาสอนให้กับหลวงพ่อคง
3. คัมภีร์วิชาธรรมกาย  มารทิ้งไปแล้วเช่นกัน แต่พระพุทธเจ้า ก็มาสอนให้กับหลวงพ่อสด
4. พระไตรปิฏกที่ หลวงปู่ตื้อ อาจารธมฺโม เปิดเผย เรื่องพระโมคคัลานะหลงจักรวาล ไปพบเจอพระอมิตาภพุทธเจ้าในแดนสุขาวดี  เรื่องนี้ก็เห็นชัดอยู่แล้วว่า มารมันตัดทิ้งจากพระไตรปิฎกไปแล้ว ไม่ยอมให้เปิดเผย  แต่พระอรหันต์อย่างหลวงปู่ตื้อ จะเปิดเผยซะอย่าง  มารมันก็ทำอะไรไม่ได้

ปิฎกและพระสูตรของมหายานที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนแก่ปรมาจารย์ในนิกายต่างๆของมหายาน  สงฆ์และฆราวาสที่ถูกมารสิง ต่างก็หาเรื่องใส่ร้ายว่า ตำราพวกนี้แต่งขึ้นมาเอง  โง่บัดซบจริงๆ  ในโลกนี้ไม่มีใครกล้าเขียนพระสูตรหรือปิฎกขึ้นมาเอง แล้วไปบอกว่าเป็นถ้อยคำของพระผู้มีพระภาคเจ้าหรอก  เพราะบาปใกล้ๆอนันตริยกรรม แล้วคัมภีร์ของปลอมพวกนี้  ในที่สุด จะสลายไปเอง ตามกฎแห่งกรรม

ด้วยเหตุนี้ การที่จะบอกว่า พวกที่เป็นมาร  มามารแต่งนิยายคัมภีร์ปฐมมูล หรือแต่งปิฎกและพระสูตรมหายานต่างๆ ขึ้นมาเอง เพื่อ ดิสเครดิท   หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว   จึงเป็นไปไม่ได้
หน้า:  1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 16
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.99 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 31 สิงหาคม 2566 17:19:01