[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 13:57:40 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 2 [3] 4 5 ... 236
41  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / ซุปเปอร์ฮีโร่ , Comic Book และ มานุษยวิทยา Superheroes เมื่อ: 29 มกราคม 2567 05:21:46
18 กุมภาพันธ์ 2565 |  วัฒนธรรมร่วมสมัย

ดร.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ


ซุปเปอร์ฮีโร่, Comic Book และมานุษยวิทยา Superheroes, Comic Book and Anthropology

           การ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่คือสื่อบรรเทิงในวัฒนธรรมป็อปที่ได้รับความนิยมในสังคมตะวันตกและค่อยๆ แผ่ขยายไปในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ผู้คนชื่นชอบการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่มีตั้งแต่เด็ก วัยรุ่นไปจนถึงผู้ใหญ่ ครอบคลุมคนทุกชนชั้นและเชื้อชาติ ความนิยมนี้พิจารณาได้จากผลกำไรและรายได้หลายพันล้านดอลล่าร์ของบริษัทที่ผลิตการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ในสหรัฐอเมริกา (Comic Chronicles, 2010) ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อการนำไปสร้างภาพยนตร์ของฮอลลีวู้ด

 








Ironman, Spiderman และ Batman ภาพจาก https://www.sanook.com/game/1033185/, https://th.crazypng.com/754.html และ https://www.sanook.com/game/1075315/
 

คุณลักษณะของซุปเปอร์ฮีโร่

           ในการศึกษาของ Coogan (2009) อธิบายว่าคุณลักษณะสำคัญของซุปเปอร์ฮีโร่ประกอบด้วย 3 ประการ คือ (1) ต้องมีภารกิจ (2) ต้องมีพลังวิเศษ และ (3) ต้องมีอัตลักษณ์ชัดเจน ทั้งสามคุณลักษณะนี้จะต้องวางอยู่บนหลักการที่ว่าการทำงานเพื่อประโยชน์สังคมและเสียสละ การต่อสู้กับคนชั่วต้องเคารพในสังคม ไม่เห็นแก่ตัว ต้องไม่มุ่งหมายให้เกิดประโยชน์หรือวาระซ่อนเร้นของตนเอง เมื่อซุปเปอร์ฮีโร่ทำภารกิจสำเร็จ นั่นคือการทำลายล้างเหล่าคนชั่วและวายร้ายที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน ซุปเปอร์ฮีโร่ก็จะได้รับการกล่าวขาน เชิดชูและยกย่องในฐานะวีรบุรุษที่แท้จริง ในขณะที่พลังวิเศษของซุปเปอร์ฮีโร่บ่งชี้ถึงความสามารถที่มากล้นที่ทำให้กำจัดคนชั่วได้ในพริบตา รวมทั้งหมายถึงการเป็นมากกว่ามนุษย์ธรรมดาที่ไม่สามารถสร้างพลังวิเศษได้ ส่วนที่สำคัญอีกประการหนึ่งนั่นคือ การมีอัตลักษณ์เฉพาะของตัวเอง เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่จำเป็นต้องมีเครื่องแบบและเสื้อผ้า ที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์และความแตกต่าง รวมทั้งต้องมีชื่อเรียกที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ ตัวอย่างเช่น Ironman ที่สวมชุดเกราะเหล็กสีแดง มีชื่อเรียกที่บ่งบอกถึงการเป็นมนุษย์โลหะที่แข็งแกร่ง Spiderman ที่สวมชุดรัดรูปสีแดงมีลวดลายใยแมงมุมพร้อมชื่อที่บ่งบอกถึงการมีความสามารถพิเศษแบบแมงมุม นั่นคือการฉีดใยแมงมุมที่เหนียวและแข็งแรง Batman ที่สวมชุดหนังสีดำสวมหน้ากากที่มีหูคล้ายค้างคาวและผ้าคลุมที่คล้ายปีกของค้างคาว เป็นต้น เครื่องแต่งกายของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่จึงเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวที่บ่งบอกพลังวิเศษและความสามารถที่ไม่เหมือนกัน

           Coogan (2009) กล่าวว่าการ์ตูนแนวซุปเปอร์ฮีโร่ต้องทำให้เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่มีภารกิจที่ช่วยมนุษย์ มีพลังอำนาจเหนือกว่ามนุษย์และมีอัตลักษณ์ทางกายภาพที่โดดเด่นชัดเจน อย่างไรก็ตาม ซุปเปอร์ฮีโร่ยังมีความหลากหลายในบริบท สถานะ คุณลักษณะ พลังวิเศษ ความสัมพันธ์ทางสังคมและการทำภารกิจ ในแง่นี้การทำความเข้าใจความหมายของ ซุปเปอร์ฮีโร่จึงจำเป็นต้องเข้าใจความเป็นมาและเงื่อนไขของการเกิดขึ้นของซุปเปอร์ฮีโร่ ตัวอย่างเช่น ตัวละครใน Sin City ที่ไม่มีพลังวิเศษ แต่ใช้ความรุนแรงในการกำจัดคนชั่วให้หมดไป อย่างไรก็ตาม เรื่องราวของการใช้กำลังเพื่อตัดสินปัญหาและทำลายล้างคนชั่วไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเฉพาะการ์ตูนแนวซุปเปอร์ฮีโร่เท่านั้น แต่ยังพบได้ในนิยาย เรื่องแต่ง และภาพยนตร์แนวแอคชั่นอาชญากรรม ที่ตัวละครหลักเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ต้องการล้างแค้นและสังหารศัตรูที่ทำลายชีวิต ญาติพี่น้องและครอบครัวของเขา เช่น ตัวละครในภาพยนตร์ Death Wish, The Transporter, Léon: The Professional, John Wick เป็นต้น

 



ตัวละครใน Sin City ที่ไม่มีพลังวิเศษ แต่ใช้ความรุนแรงในการกำจัดคนชั่วให้หมดไป

ภาพจากhttps://th.wikipedia.org

 

ซุปเปอร์ฮีโร่กับความยุติธรรมทางสังคม

           การศึกษาของ Weston (2012) อธิบายให้เห็นว่าวีรกรรมของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ในหนังสือการ์ตูนพยายามสะท้อนการแก้ปัญหาสังคมและการลงโทษคนที่ทำผิด ไม่ว่าจะเป็นอาชญากร นักค้ายาเสพติด มาเฟีย แก๊งอันธพาล ข้าราชการคอร์รัปชั่น ผู้ก่อการร้าย นักการเมืองฉ้อฉล ตำรวจที่คดโกง นายทุนที่เอาเปรียบ และคนที่เอาเปรียบผู้อื่น เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ที่ถูกสร้างขึ้นในจินตนาการจะใช้พลังและอาวุธพิเศษปราบปรามคนชั่วเหล่านั้นซึ่งเสมือนเป็นการใช้กำลังแก้ปัญหาและเป็นระบบศาลเตี้ยแบบหนึ่ง (vigilantism) ที่ดูเหมือนสะใจและได้รับความชื่นชมจากผู้อ่านการ์ตูน แต่วิธีการของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่กลับไม่ปรากฎขึ้นจริงในชีวิตทางสังคมของมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งล้วนเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัวและการเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ Weston (2012) ตั้งคำถามว่าทำไมผู้อ่านการ์ตูนหรือดูหนังของ ซุปเปอร์ฮีโร่จึงไม่นำเอาวิธีการเหล่านั้นมาใช้บ้าง เพื่อกำจัดคนชั่วในสังคมเหมือนที่เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ทำ และสร้างสรรค์สังคมที่มีความยุติธรรมเหมือนในหนังและการ์ตูน เหตุผลที่เข้าใจง่ายที่สุดคือ เพราะว่ามนุษย์ไม่มีพลังวิเศษและไม่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเหมือนกับซุปเปอร์ฮีโร่

           Weston (2012) เปรียบเทียบให้เห็นว่าเรื่องราวการปราบคนชั่วโดยเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ในหนังสือการ์ตูน คล้ายกับเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศกัวเตมาลาในช่วงทศวรรษ 1990 ซึ่งประชาชนได้ออกมาเดินขบวนขับไล่รัฐบาลที่โกงกินและคอร์รัปชั่น ความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ปล่อยให้ประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างอดอยาก นำไปสู่เหตุการณ์จลาจล ความปั่นป่วนและความไม่สงบทางสังคมเป็นเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษ การประท้วงของประชาชนเพื่อทวงคืนสิทธิและความยุติธรรมเป็นพล็อตเรื่องที่ปรากฎอยู่ในการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ อาจกล่าวได้ว่าการใช้กำลังต่อสู้ของประชาชนในสังคมที่เป็นจริงมีลักษณะคล้ายกับการต่อสู้ของซุปเปอร์ฮีโร่ที่ต้องการสังหารและทำลายคนชั่ว ซึ่งไม่มีการใช้สถาบันศาลและกระบวนการทางกฎหมายมาเป็นเครื่องมือในการตัดสิน การประท้วงของประชาชนที่ยากไร้กับการใช้พลังวิเศษของซุปเปอร์ฮีโร่จึงเทียบได้กับการใช้กำลังตัดสินเพื่อทวงคืนความถูกต้อง

           Abrahams (1998) ตั้งข้อสังเกตว่าการใช้กำลังแก้ไขปัญหาหรือระบบศาลเตี้ย มีคุณลักษณะสำคัญสามส่วนคือ (1) การมีอยู่ของอำนาจรัฐ (2) การมีพลเมืองที่คิดดี และ (3) การมีผู้ทำผิดหรืออาชญากร ทั้งสามส่วนนี้ดำรงอยู่ในระบบศาลเตี้ยที่ถูกนำไปเป็นโครงเรื่องในการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ ประเด็นสำคัญก็คือเมื่อพลเมืองดีตระหนักว่าระบบกฎหมายและนโยบายของรัฐไม่อาจทำให้สังคมเกิดความยุติธรรมได้ พวกเขาก็จะออกมาต่อสู้และกำจัดคนที่ทำผิดเพื่อทวงคืนความยุติธรรมมาให้ประชาชน การลงโทษคนทำผิดจะแสดงออกมาด้วยการใช้ความรุนแรง เช่น ทำร้ายร่างกาย ฆ่า และสังหาร เป็นต้น การกระทำดังกล่าวดูเหมือนเป็นความโหดเหี้ยมและรุนแรง แต่เป็นการกำจัดคนชั่วให้หมดไปในพริบตาเพื่อทำให้สังคมสงบร่มเย็นและมีความยุติธรรมเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ในโลกของความเป็นจริง หากประชาชนกระทำการดังกล่าว เช่น จับนักการเมืองเลวมาสังหาร ประชาชนผู้นั้นจะทำผิดกฎหมายและกลายเป็นอาชญากร ในบางกรณี กลุ่มที่ใช้ความรุนแรงอาจได้รับการหนุนหลังจากรัฐบาลเผด็จการที่ใช้กำลังปราบปรามประชาชน จนทำให้รัฐประสบชัยชนะและสืบทอดการคอร์รัปชั่นต่อไป สิ่งนี้ต่างไปจากจินตนาการที่เกิดขึ้นกับการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ที่ได้รับความนิยม

           ในการศึกษาของ Pratten & Sen (2008) อธิบายว่าการใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหาและทวงถามความยุติธรรมจากรัฐ จะพบเห็นได้ทั่วไปในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ เช่น ในชุมชนแออัดในเขตเมืองหลายแห่ง จะมีแก๊งของวัยรุ่นใช้กำลังต่อสู้กันเพื่อแก้แค้นให้กับเพื่อนที่ถูกฆ่าหรือถูกทำร้าย รวมถึงในสังคมที่เต็มไปด้วยการอค์รัปชั่นเช่นในลาตินอเมริกา เอเชีย และแอฟริกา ชนชั้นล่างและผู้ด้อยโอกาสจะรวมตัวกันออกมาประท้วง ใช้กำลังต่อสู้กับรัฐบาลที่ฉ้อโกงและเอาเปรียบประชาชน Abrahams (1998) กล่าวว่าลัทธิศาลเตี้ย (vigilantism) ที่พบในการประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมทางสังคม ล้วนมีมูลเหตุมาจากการที่ประชาชนไม่พอใจการทำหน้าที่ของรัฐและความล้มเหลวในกระบวนการทางกฎหมาย เมื่อรัฐผูกขาดอำนาจและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ประชาชนจะหมดความอดกลั้นและกล้าที่จะออกมาต่อสู้กับรัฐที่ขาดความชอบธรรม ประชาชนผู้กล้าเหล่านี้จึงมีบทบาทที่ไม่ต่างจากซุปเปอร์ฮีโร่

           ในอีกแง่หนึ่ง เรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่อาจบ่งบอกให้เห็นถึงการทำหน้าที่แทนกฎหมายและกลไกของรัฐ หากตำรวจและผู้รักษากฎหมายไม่สามารถจับอาชญากรมาลงโทษได้หรือละเลยที่จะไม่ทำหน้าที่เพื่อความยุติธรรมทางสังคม เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่จะเข้ามาทำหน้าที่แทนโดยการใช้พลังวิเศษปราบปรามคนชั่ว ในแง่นี้ ซุปเปอร์ฮีโร่จึงกลายเป็นกลไกเสริมที่ทำให้ระบบกฎหมายและความยุติธรรมทางสังคมมีความแข็งแกร่งและทำงานได้จริง ส่วนการใช้กำลังเพื่อกำจัดคนชั่วเป็นด้านตรงข้ามกับระบบกฎหมาย กล่าวคือ เมื่อกฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถลงโทษและเอาผิดอาชญากรและผู้ทำให้ประชาชนเดือดร้อน กลุ่มคนที่ออกมาใช้กำลังต่อสู้และขัดขวางรัฐบาลจะใช้วิธีการลงโทษแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ดังเช่นการใช้พลังวิเศษของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ การกระทำเช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่าบทบาทของซุปเปอร์ฮีโร่คือการลงโทษคนทำผิดอย่างเฉียบขาด ถึงแม้ว่าการลงโทษนั้นจะเต็มไปด้วยความรุนแรงและการใช้กำลังก็ตาม จะเห็นได้ว่าเรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่จะเต็มไปด้วยการใช้กำลังต่อสู้กับคนร้าย ปีศาจ อำนาจมืด หรือศัตรูของประชาชน

           การ์ตูนและภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่ คือจินตนาการที่สะท้อนปัญหาความไม่ยุติธรรมทางสังคมที่พบเห็นในชีวิตจริง ในแง่นี้ Vollum & Adkinson (2003) วิเคราะห์ว่าการส่งเสริมให้เยาวชนได้อ่านการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ เสมือนเป็นการทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาสังคมที่ปราศจากความยุติธรรม และสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กมองซุปเปอร์ฮีโร่เป็นวีรบุรุษตัวอย่างที่สังคมต้องการให้เกิดขึ้น เพื่อวันหนึ่งสังคมจะปราศจากคนที่คิดร้ายและทุกคนพบกับความเท่าเทียมและยุติธรรม ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้อ่านที่เป็นผู้ใหญ่ได้สำรวจความซับซ้อนของประเด็นทางศีลธรรมผ่านการใช้สถานการณ์สมมติ และมองเห็นเงื่อนไขที่ทำให้มีการใช้ความรุนแรงอย่างมีเหตุผลหรือไร้เหตุผล

 

ซุปเปอร์ฮีโร่ในมุมมองทางมานุษยวิทยา

           Weston (2012) อธิบายว่าเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างคนทำดีกับคนทำผิดที่ปรากฏในการ์ตูนและหนังซุปเปอร์ฮีโร่ สะท้อนปรากฎการณ์เกี่ยวกับความคาดหวังเพื่อให้สังคมพบกับความยุติธรรม ผู้อ่านและผู้ชมจะเรียนรู้ถึงเงื่อนไขต่างๆ ที่ทำให้สังคมเต็มไปด้วยการละเมิดกฎหมาย การผูกขาดอำนาจ การหลงในอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งนำไปสู่การแสวงหาประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่ม ทิ้งให้คนส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ด้วยความทุกข์และความขาดตกบกพร่อง การตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวอาจทำให้ประชาชนเปรียบเทียบกับความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน และเริ่มสงสัยพร้อมตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลจึงละเลยและปล่อยให้คนด้อยโอกาสถูกทอดทิ้ง รวมทั้งไม่มั่นใจกับระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่ไร้ประสิทธิภาพ ผู้บังคับใช้กฎหมายตกอยู่ใต้อำนาจของนักการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตในประเด็นนี้อาจถูกตั้งคำถามต่อไปว่าคนอ่านและผู้ชมหนังซุปเปอร์ฮีโร่อาจไม่สนใจเรื่องความยุติธรรมทางสังคมที่ถูกบอกเล่าก็เป็นได้

           การเปรียบเทียบความจริงทางสังคมกับจินตนาการในการ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่ ให้เป็นคู่ตรงข้ามกันอาจเป็นวิธีการที่หยาบเกินไป ดังนั้น การทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เป็นเรื่องแต่ง กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในสังคม อาจพิจารณาได้จากปฏิบัติการของประชาชนที่แสดงออกเพื่อแสวงหาความถูกต้องทางสังคม ตัวอย่างเช่น ในวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศกัวเตมาลา ชาวบ้านมักจะเผชิญหน้ากับความรุนแรงทางร่างกาย มีการใช้กำลังต่อสู้เพื่อแสวงหาความยุติธรรมตั้งแต่อยู่ภายใต้การปกครองของชาวตะวันตกในยุคอาณานิคม ซึ่งในช่วงเวลานั้นคนท้องถิ่นที่ออกมาต่อต้านและต่อสู้กับคนผิวขาวจะถูกจับและถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม (Burrell & Weston, 2008; Godoy, 2006) เหตุการณ์เหล่านี้อาจเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดการสร้างจินตนการเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างซุปเปอร์ฮีโร่และคนทำผิด อย่างไรก็ตาม Weston (2012) ตั้งข้อสังเกตว่าในกลุ่มประเทศร่ำรวยอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่นซึ่งประชาชนนิยมอ่านและดูหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่ แต่สภาพสังคมของประเทศเหล่านี้ไม่ค่อยปรากฎการต่อสู้ของประชาชนที่เรียกร้องความยุติธรรม ผู้บริโภคซุปเปอร์ฮีโร่ในกลุ่มประเทศร่ำรวยจึงเสพสื่อประเภทนี้ในฐานะเป็นการใช้เวลาว่างแสวงหาความสุขและหลีกหนีความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน (Nama, 2009) ซึ่งแตกต่างไปจากประเทศในเอเชียและลาตินอเมริกาซึ่งประชาชนที่ถูกกดขี่ข่มเหงได้ออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม แต่รัฐบาลของพวกเขาก็ใช้ความรุนแรงในการปราบปรามประชาชน




Pancho Villa ที่ต่อสู้เพื่อทวงคืนดินแดนของชาวเม็กซิโก ซึ่งถูกยึดครองโดยชาวอเมริกัน ภาพจาก

https://www.chicagotribune.com/opinion/commentary/ct-perspec-flash-pancho-villa-mexico-border-troops-0506-20180430-story.html


           ในสังคมที่ประชาชนขาดโอกาสและถูกปิดกั้นจากรัฐ มักจะมีผู้กล้าหาญออกมาเป็นปากเป็นเสียงให้กับชาวบ้าน ซึ่งผู้กล้าหาญเหล่านั้นเปรียบเสมือนวีรบุรุษของคนยากไร้ ตามแนวคิดของ Hobsbawm (1969) ชี้ว่าผู้กล้าหาญของชาวบ้านเปรียบเสมือนผู้ร้ายที่ทำประโยชน์เพื่อสังคม (social bandits) กลุ่มคนจนและผู้ยากไร้จะยกย่องและเทิดทูนคนประเภทนี้ ซึ่งเปรียบเป็นดั่งวีรบุรุษที่เข้ามากอบกู้ความยุติธรรมให้กับพวกเขา ตัวอย่างเช่น เรื่องราวของ Pancho Villaที่ต่อสู้เพื่อทวงคืนดินแดนของชาวเม็กซิโกซึ่งถูกยึดครองโดยชาวอเมริกัน เรื่องราวประเภทนี้อาจสร้างจินตนาการและถูกต่อเติมเสริมแต่งให้กลายเป็นเรื่องในความฝัน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอุตสาหกรรมการ์ตูนและภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่มีการนำเสนอเรื่องราวที่ฉีกขนบเดิมๆ โดยการตั้งคำถามเกี่ยวกับการเป็นวีรุบุรุษ อุดมการณ์ณ์ความยุติธรรม การใช้ความรุนแรง และระบอบอำนาจครอบงำทางสังคม คำถามเหล่านี้นำไปสู่การรื้อระบบความคิด วาทกรรม และอิทธิพลของสื่อที่ชี้นำสังคมให้เสพความบันเทิงภายใต้บรรทัดฐานแบบตะวันตก ประเด็นเรื่อง “ความยุติธรรม” ที่เป็นแก่นเรื่องของซุปเปอร์ฮีโร่กำลังถูกทำให้กลายเป็นสินค้าที่ผู้สร้างการ์ตูนและภาพยนตร์ได้ประโยชน์ทางธุรกิจมหาศาล ในขณะที่โลกของความจริง ผู้อ่านและผู้ชมซุปเปอร์ฮีโร่มิได้เชื่อมั่นและคล้อยตามความยุติธรรมที่ถูกสร้างขึ้น

           ในสังคมสมัยใหม่ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 อุตสาหกรรมการผลิตการ์ตูนและหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่เกี่ยวโยงกับการแสวงหาสุนทรียะของปัจเจกบุคคล ในประเด็นนี้ Braun (2013) อธิบายว่าธุรกิจบันเทิงที่ขยายตัวในสื่อสังคมออนไลน์ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล เน้นความสุขสำราญส่วนบุคคล มีความต้องการเสพเรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีฉากตื่นตาตื่นใจด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นสุนทรียะของการปลดปล่อย ซึ่งเรียกว่า “ความเข้มข้นทางสุนทรียะแนวซุปเปอร์ฮีโร่” (superhero aesthetic intensity) กล่าวคือคอมพิวเตอร์กราฟิกที่ก้าวหน้าช่วยต่อเติมจินตนาการเกี่ยวกับความสามารถของซุปเปอร์ฮีโร่ได้กว้างไกลและดูสมจริง ภาพที่ปรากฏในหนังซุปเปอร์ฮีโร่จึงเป็นประสบการณ์ทางอารมณ์และความรู้สึกที่สื่อยุคเก่าไม่สามารถนำเสนอได้

           ซุปเปอร์ฮีโร่อาจมิใช่ตัวแทนของวีรบุรุษและอาจมีเงาของการเป็นผู้ร้าย คุณงามความดีในซุปเปอร์ฮีโร่จึงมีลักษณะคลุมเครือ การ์ตูนและภาพยนตร์แนวต่อต้านซุปเปอร์ฮีโร่ในระยะหลังทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับระบบศีลธรรมและการยกย่องคนดี Belk (1989) ตั้งข้อสังเกตว่าวีรบุรุษและผู้ร้ายคือหมวดหมู่ของคนที่ตัวเราเป็นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งอาศัยความเชื่อทางวัฒนธรรมมาสร้างภาพตัวแทนของคนดีและคนเลว ทั้งนี้เพื่อหวังผลว่าคนดีคือคนที่สังคมต้องยกย่องสรรเสริญและคนเลวคือผู้ที่สังคมต้องลงโทษและประณาม ข้อสังเกตนี้ทำให้เห็นว่าเรื่องราวของซุปเปอร์ฮีโร่มิใช่สิ่งที่มนุษย์ต้องเลียนแบบ แต่ควรเป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์ฉุกคิดและตั้งคำถามว่าคนดีและคนเลวคืออะไร และสังคมที่เป็นอยู่สร้างคนดีและคนเลวได้อย่างไร อาจกล่าวได้ว่า ในมุมมองทางมานุษยวิทยา การ์ตูนและหนังแนวซุปเปอร์ฮีโร่คือภาพของสังคมที่ผลิตซ้ำวาทกรรมเกี่ยวกับความดีและความเลวซึ่งส่งต่อมายาคติเกี่ยวกับคู่ตรงข้าม สิ่งที่เราควรพิจารณาเมื่ออ่านและดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่ อาจจะเป็นการไตร่ตรองและทบทวนว่ามายาคติที่ปรากฏเหล่านั้นทำให้มนุษย์รังเกียจพฤติกรรมของมนุษย์แบบไหน และเชิดชูมนุษย์แบบไหน Weston (2012) กล่าวว่าซุปเปอร์ฮีโร่คือบทเรียนที่ทำให้เรารู้จักเฝ้าระวังว่าการตอบโต้เพื่อแสวงหาความยุติธรรมทางสังคมมีรูปแบบและวิธีการที่หลากหลายและซับซ้อนอย่างไร เพื่อเตือนสติว่าเราจะไม่ด่วนตัดสินว่าคนกลุ่มไหนหรือการกระทำประเภทไหนที่ไร้ศีลธรรม

 
จาก
https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/311
42  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / “โกอานก็คือการหลอกให้เราจนมุมครับ " ( อ.ประมวล เพ็งจันทร์) เมื่อ: 29 มกราคม 2567 05:19:33
ประมวล เพ็งจันทร์ : “โกอานก็คือการหลอกให้เราจนมุมครับ 

ผู้ให้ธรรม อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์


วันเสาร์, 14 สิงหาคม 2564


ฮู้ซื่อๆปรากฏการณ์แห่งการเรียนรู้ภายใน

แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]




ผู้ถาม : “อยากจะขออนุญาต อาจารย์ ช่วยอธิบายเรื่องของเซนเหมือนกันเนี่ยแหละครับ แต่อยากจะให้อธิบายในส่วนของโกอาน ครับอาจารย์ครับ เพราะยังไม่เข้าใจครับ”

ประมวล เพ็งจันทร์ : “โกอานก็คือการหลอกให้เราจนมุมครับ เพราะเราเนี่ยเชื่อมั่นในความคิดไงครับ เพราะถ้าเราคิดไปแล้วเราจะได้คำตอบ โกอานก็คือปริศนาธรรมที่คิดยังไงก็ นึกถึงภาพโกอาน เช่น ให้นึกถึงประตูที่ไม่มีช่อง เป็นเรา เรามีประตู มันคือทางออกทางเข้าใช่ไหมครับ มันก็ต้องเป็นช่องใช่ไหม มันไปออกไปเข้าได้ไงใช่ไหม

พอเราคิดไป มันก็ มันเป็นกล เป็นกลวิธีให้เราคิดไปแล้วเนี่ย สุดท้ายเราจะตัน พอตันปุ๊บ เราจะถึง โอ้ กูมาเสียเวลาคิดทำไม ประมาณนี้นะ กูมาเสียเวลาคิดทำไม เพราะฉะนั้นเนี่ย โกอานเนี่ย ทีนี้ในญี่ปุ่นเนี่ยมันเป็นแบบแผน ปริศนาธรรมที่อาจารย์ใช้เพื่อให้ลูกศิษย์เนี่ย เข้าไปจะได้รู้ไงว่าความคิดที่ว่าเนี่ย คิดไปเนี่ย มันใช้ไม่ได้”



ผู้ถาม : “...”

ประมวล เพ็งจันทร์ : “ใช่ อย่าคิดเชียวนะครับ ฮ่าๆๆ...  

...

เช่น โกอานข้อที่หนึ่ง “มู” ให้นึกถึงคำว่ามู คิดถึงคำว่ามู “มู” เป็นความว่าง เรานึกถึง คิดถึงความว่าง มันจะคิดถึงขึ้นมาอย่างไร ในปรัชญาปารมิตาที่ผมบอกว่าฉบับยาวสุดแสนโฉลก ฉบับสั้นอักษรอักขระตัวเดียว ใครเรียนบาลีสันสกฤตมาจะรู้เวลาเฉลยนี่ อักษร “อ (อะ)” อ (อะ) ไม่มีรูป อาจารย์เรียนบาลีมาแล้วรู้ใช่ไหม อ (อะ) เนี่ย มันออกเสียง อะ แต่จะไม่มีรูป อะ บ้านเราเมืองไทยเนี่ย ไปทำให้รูปเกิดขึ้น ประวิสรรชนีย์จะไม่สิ้นสุดแค่นี้นะ แต่ถ้าในบาลีสันสกฤต คำว่าอะ ไม่มีครับ ไม่มีรูป ไร้รูป และคำว่า อ (อะ) เนี่ยครับ นึกถึงภาพสิ เวลาเราต้องการจะเจริญกุศล ในพระพุทธศาสนาจึงบอกว่าจะต้องทำยังไงให้เป็น อโลภะ อโทสะ อโมหะ เวลาเราพูดถึงสิ่งที่เจริญภาวนา เราไม่ได้พูดถึงกุศลอะไรนะ เราพูดถึงคำว่า อ (อะ) เลยนะ อโลภะ ไม่โลภ อโทสะ คือไม่โกรธ อโมหะ คือไม่หลง เนี่ย เพราะตอนที่มีผู้ ปรัชญาปารมิตามาถึงจุดๆ หนึ่ง อาจารย์เนี่ยบอกว่าฉบับที่สั้นสุดมีอักขระตัวเดียว เพราะฉะนั้นไม่มีปรากฎเป็นคัมภีร์ที่ไหน แต่รู้กันอยู่ทันทีว่า ที่สั้นที่สุดก็คืออักษร อ (อะ) ซึ่งไม่ปรากฏรูปให้เราเห็นด้วยตา ไม่มีความหมายให้เราต้องมาคิดถกเถียงกัน แต่ให้เราเข้าใจ เข้าถึง ปรัชญาปารมิตาฉบับสั้นสุดคืออักขระตัวเดียวเนี่ยครับ แต่ทีนี้ประเด็นที่พูดถึงนี้น่ะครับ ก็คือกลับไปสู่ความหมายที่เราพูดถึงเนี่ยนะครับ ก็คือการที่เราทำในสิ่งที่คิดนี่นะครับ เราจะได้รู้เท่าทันสิ่งที่เรียกว่าความคิดที่เราสร้างขึ้นมาในใจเรา เพราะสุดท้ายแล้วสิ่งที่มันเป็นความหมายที่เกิดจากความคิด มันจะทำให้เกิดทวิภาวะ นี้เป็นหลักทางปรัชญาเลยนะครับ ในพุทธศาสนานิกายเซน ต้องการให้เราเนี่ยสลายทวิภาวะ ทวิภาวะคือสภาวะที่มีตัวเรา ที่เป็นผู้กระทำการ และมีสิ่งที่เรากระทำหรือถูกกระทำ ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่มันเป็นความหมายแบบนี้เขาเรียกว่าทวิภาวะ ทวิภาวะคือมีตัวผู้กระทำ มีสิ่งที่ถูกกระทำ ทวิภาวะที่เป็นสภาวะข้างนอก เช่นเรามีคำว่าผิด คำว่าถูก เราก็ผลิตสิ่งที่มันเป็นกรอบคิดเรื่องถูกขึ้นมา แล้วก็บอกว่าสิ่งที่ตรงข้ามนี้ผิด อย่างนี้เนี่ยนะครับ แล้วมันก็มีกระบวนการเยอะเลย เป็นในเรื่องของความคิดเนี่ย ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากว่าในพระพุทธศาสนา ช่วงหลังจากพุทธปรินิพพานแล้วเนี่ย ก็มีการจดจำพระพุทธวจน พอจดจำมาก็มีการนำมาถกเถียงกันว่าพระพุทธวจนที่พระองค์ตรัสไว้เช่นนี้ หมายความว่าอย่างนั้น แล้วก็โต้เถียงกัน สุดท้ายเต็มไปด้วยการโต้เถียง ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ ในความหมายเชิงการภาวนา เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็เลยกลายมาเป็นว่า พุทธศาสนานิกายชาน หรือนิกายเซน หรือนิกายโยคาจาร ในอินเดีย ก็เกิดขึ้นเพื่อที่ทำหน้าที่แบบนี้ครับ

จาก https://pagoda.or.th/aj-pramuan/2021-08-14-15-32-04.html
43  สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / คาถาพระสีวลีฉันข้าว(108จบ) บังเกิดโชคลาภให้กับผู้ที่บูชา เมื่อ: 27 มกราคม 2567 21:15:18
คาถาพระสีวลีฉันข้าว(108จบ) บังเกิดโชคลาภให้กับผู้ที่บูชาคุณ#ให้เป็นผู้มีลาภกลายเป็นคนมั่งมีมั่งคั่ง



คาถาพระสีวลีฉันข้าว โบราณจารย์กล่าวว่า... หากท่านใดสวดพระคาถาบทนี้ได้ทุก ๆ วัน ท่านว่าจะพลิกดวงชะตา จากตกต่ำและยากจน ให้กลายเป็นคนมั่งมี มั่งคั่ง ด้วยลาภยศ เงินทอง และโภคทรัพย์ต่าง ๆ จะเพิ่มพูนเนืองนอง มีกินมีใช้ไม่รู้จักหมดจักสิ้น พระครูวิลาศกาญจนธรรม ท่านบอกว่าพระสีวลีเข้าพระนิพพานไปแล้ว ถ้าเราบูชาท่าน ผลบุญที่ท่านไม่ต้องใช้แล้ว เพราะท่านเข้าพระนิพพานไปแล้ว ผลบุญนั้นจะมีสำเร็จแก่เราด้วย ดังนั้น..เขาถึงได้บอกกันว่า คนที่บูชาพระสีวลีส่วนใหญ่จะมีลาภมาก คือท่านไม่จำเป็นต้องใช้ลาภอันนั้นแล้ว เข้าพระนิพพานไปแล้วกุศลที่ท่านทำก็เลยตกถึงผู้ที่บูชาท่านด้วย  (พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.)

ในบทสวดมนต์นี้ช่องธรรมดี ได้จัดทำบทสวดคาถาพระสีวลีฉันข้าว(พระสีวลีผู้มีลาภมาก) 108 จบ เพื่อเร่งผลสำเร็จให้เกิดเป็นโชคลาภ เกิดโภคทรัพย์ มั่งมี มั่งคั่ง ร่ำรวย หมดหนี้หมดสิน เร็วไวขึ้น ให้กับท่านผู้มีจิตศรัทธา

คาถาพระสีวลีฉันข้าว (นะโมฯ ๓ จบ) นะโมพุทธายะ สิทธัง นะชาลีติ ประสิทธิลาภา ปะสันตะ จิตตา ศรัทธา โหนตุ ปิยังมะมะ สัพเพชะนา พะหูชะนา สัพเพทิสา สะมาคะตา กาละโภชนะ วิกาละโภชนา อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ ปิยังมะมะ สีวะลีจะมหาเถโร สัพพะลาโภ นิรันตะรัง ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ.

(สวด ๓, ๕, ๗, ๙ จบ หรือถ้าสวด ๑๐๘ จบได้ยิ่งดี ยิ่งจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้เร็วไวขึ้น)


<a href="https://www.youtube.com/v/0Syj-h8gSgU" target="_blank">https://www.youtube.com/v/0Syj-h8gSgU</a>

https://youtu.be/0Syj-h8gSgU?si=VUprOe7FOp6mhgWQ
44  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / พวกพญาครุฑ..!! นาน ๆ เขาจะมาทีหนึ่ง เหล่ากายทิพย์เข้ามากราบ!!หลวงปู่เจี๊ยะ เมื่อ: 26 มกราคม 2567 05:19:24
พวกพญาครุฑ..!! นาน ๆ เขาจะมาทีหนึ่ง|เหล่ากายทิพย์เข้ามากราบ!!หลวงปู่เจี๊ยะ

<a href="https://www.youtube.com/v/6q0vWIjhonk" target="_blank">https://www.youtube.com/v/6q0vWIjhonk</a>

https://youtu.be/6q0vWIjhonk?si=IHE5b82FNf8gE0gE
45  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / กากอยล์ เวตาล ปีศาจมีปีก ผู้คอยปกปักรักษา | Myth Universe เมื่อ: 25 มกราคม 2567 10:39:27
กากอยล์ เวตาล ปีศาจมีปีก ผู้คอยปกปักรักษา | Myth Universe เปิดจักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

จากกระแส ครูกายแก้ว เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา รุปปั้นเคารพทำให้ชาวเน็ตไทยหลายคนนึกไปถึงตำนานของอมนุษย์มีปีกอย่าง กากอยล์ หรือเวตาล

 โจ้บองโก้ เลยชวนคุยเรื่องตำนานของกากอยล์ ที่มาจากสิ่งประดับตามหลังคาวิหารหรือโบสถ์ในยุโรป และเวตาล ที่โด่งดังจาก นิทานเวตาล ที่เป็นอสุรกายที่คล้องกับความเชื่อแบบฮินดู บ้างก็ว่าเป็นปีศาจ บ้างก็ว่าเป็นเทพที่เกี่ยวข้อกับเทพีทุรคา ไปฟังได้ในอีพีนี้ของ Myth Universe เลย


<a href="https://www.youtube.com/v/58EEWGo8Kpc" target="_blank">https://www.youtube.com/v/58EEWGo8Kpc</a>

https://youtu.be/58EEWGo8Kpc?si=SCGOyJ1K-5lsGn3I
46  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / Siren ปีศาจผู้ล่อลวงนักเดินเรือสู่โลโก้ แก้วกาแฟ แบรนด์ Starbucks | Myth Univers เมื่อ: 25 มกราคม 2567 10:01:19
Siren ปีศาจผู้ล่อลวงนักเดินเรือสู่โลโก้ แก้วกาแฟ แบรนด์  Starbucks | Myth Universe เปิดจักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

จากโลโก้บนแก้วกาแฟ แบรนด์ Starbucks พาเราไปสืบสาวถึงเจ้าตัว ไซเรน ที่อยู่ในตำนานเทพปกรณัมกรีกหลายเรื่อง ก่อนจะโยงมาสู่เหล่าตำนานคนครึ่งนกในไทย และวิวัฒนาการจาก ไซเรน สู่ นางเงือก Mermaid ที่เสียงของพวกเธอได้สะกดให้คนทั้งหลายตราตรึงใจมานักต่อนักแล้ว #SalmonPodcast #MythUniverse


<a href="https://www.youtube.com/v/qh0bFiZrwgU" target="_blank">https://www.youtube.com/v/qh0bFiZrwgU</a>

https://youtu.be/qh0bFiZrwgU?si=oVXx1zCKlKy5JAXl
47  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / คามิคาเซะ (Kamikaze) ลมสวรรค์จากเทพไรจิน | Myth Universe เมื่อ: 25 มกราคม 2567 09:55:44
คามิคาเซะ (Kamikaze) ลมสวรรค์จากเทพไรจิน | Myth Universe เปิดจักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

ถ้าพูดถึง คามิคาเซะ (Kamikaze) เราอาจะนึกถึงชื่อปฏิบัติการการบินพลีชีพของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือไม่ก็นึกถึงค่ายเพลงป๊อปไทยในยุคปลายทศวรรษที่ 2000

แต่จุดกำเนิดของชื่อนี้ คือสงครามระหว่างกองทัพมองโกล และญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 12 มันคือชื่อของพายุไต้ฝุ่นใหญ่ที่ช่วยกองทัพญี่ปุ่นให้ได้รับชัยชนะ ซึ่งว่ากันว่าเป็นฝีมือบันดาลของเทพสายฟ้าของตำนานญี่ปุ่นอย่าง ไรจิน


<a href="https://www.youtube.com/v/yFEVURfIljY" target="_blank">https://www.youtube.com/v/yFEVURfIljY</a>

https://youtu.be/yFEVURfIljY?si=hx3sFMMJ5EtFjp1f
48  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / Thor & Loki ผจญภัยในดินแดนยักษ์ (เทพปกรณัมนอร์ส , ไวกิ้ง )| Myth Universe  เมื่อ: 25 มกราคม 2567 09:51:38
Thor & Loki ผจญภัยในดินแดนยักษ์ (เทพปกรณัมนอร์ส , ไวกิ้ง )| Myth Universe เปิดจักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

เทพปกรณัมนอร์ส ดูจะเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ไม่ค่อยปะติดปะต่อกันนัก แต่มันมักเล่าโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวละครที่เราคุ้นเคย อย่างโอดิน ธอร์ และโลกิ ในเรื่องเล่าท่อนนี้ก็เหมือนกัน ที่มีชีวิตอยู่รอบตัวธอร์ เทพสายฟ้าผู้ทรงพลัง และโลกิ เทพเจ้าเล่ห์ ผู้ว่องไว เฉลียวฉลาด

 โจ้บองโก้ได้ซื้อหนังสือมาอ่านเล่มหนึ่ง Norse Mythology โดย Neil Gaiman (มีฉบับแปลไทยโดยสำนักพิมพ์เวิร์ด วันเดอร์) และหยิบเอาหนึ่งในเรื่องที่บันเทิงที่สุดในเล่มมาเล่าให้ฟัง คือเมื่อธอร์และโลกิเดินทางไปสู่ดินแดนแห่งยักษ์ Utgard ที่นั่นทำให้พวกเขาได้พบเรื่องตื่นตามากมายเกินคณานับ และเราในฐานะผู้เสพอาจได้คติบางอย่างติดใจไปอีกด้วย


<a href="https://www.youtube.com/v/iBQZ2yn1P-8" target="_blank">https://www.youtube.com/v/iBQZ2yn1P-8</a>

https://youtu.be/iBQZ2yn1P-8?si=pKtyF4TLeuPcUXWb
49  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / บารอง กับ รังดา สงครามตลอดกาลระหว่างความดีความชั่ว | รายการ Myth Universe เมื่อ: 25 มกราคม 2567 09:44:29
บารอง กับ รังดา สงครามตลอดกาลระหว่างความดีความชั่ว | รายการ Myth Universe จักรวาล ตำนาน ปรัมปรา

มาที่ตำนานของอาเซียน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กันบ้าง กับตำนานแห่งบาหลี อินโดนีเซีย จากโชว์ระบำประจำท้องถิ่นอย่าง Barong Dance ไปสู่ตำนานเบื้องหลังของการเต้นนี้ ที่เล่าเรื่องการต่อสู้กันของบารอง Barong - ตัวแทนความดีทั้งปวง และรังดา Rangda - ตัวแทนแห่งความชั่วร้าย

 ไปฟังประวัติของบารองและรังดา ที่เชื่อมไปสู่วัฒนธรรมการบูชาผีของชาวบาหลีและการวางตัวแทนของความชั่วร้ายเป็นผู้หญิง


<a href="https://www.youtube.com/v/sWl6DRE-8RM" target="_blank">https://www.youtube.com/v/sWl6DRE-8RM</a>

https://youtu.be/sWl6DRE-8RM?si=ho1rNDyaiEh_uKl_
50  สุขใจในธรรม / ธรรมะ มิวสิค (เพลงธรรมทั่วไป) / นิพพาน ฌาน ลุมพีนี โพธิมรรค ( Sur Sudha วงแดนหิมาลัย มาไกล จาก เนปาล ) เมื่อ: 25 มกราคม 2567 09:25:30
นิพพาน ฌาน ลุมพีนี โพธิมรรค ( Sur Sudha วง เนปาล )









<a href="https://www.youtube.com/v/rlE3AnI1DrE" target="_blank">https://www.youtube.com/v/rlE3AnI1DrE</a>

https://youtu.be/rlE3AnI1DrE?si=tWDPmnbdqB9iUPxJ


<a href="https://www.youtube.com/v/vbS53R0n60Q" target="_blank">https://www.youtube.com/v/vbS53R0n60Q</a>

https://youtu.be/vbS53R0n60Q?si=eVuL2IXopunevYbd
51  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / อกุศลมีมากถึงขีดสุด!!! ถึงสิ้นกัปเก่าและเริ่มต้นกัปใหม่ ( จักกวัตติสูตร ) เมื่อ: 25 มกราคม 2567 07:46:00
อกุศลมีมากถึงขีดสุด!!!ถึงสิ้นกัปเก่าและเริ่มต้นกัปใหม่ พระพุทธเจ้าตรัสเล่า จักกวัตติสูตร

เรื่องของพระพุทธเจ้า ทรงปรารภถึงความประพฤติที่เป็นอกุศลของมนุษย์ที่ทำให้เกิดการสิ้นกัป โดยพระพุทธเจ้าทรงตรัสพระสูตรที่ว่าเรื่องว่า จักกวัตติสูตร โดยเรื่องราวในตอนนี้จะเป็นอย่างไรเชิญรับฟังได้เลยครับ

 00:00 เกริ่นนําเรื่อง
01:24 เริ่มเรื่อง
 04:34 พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนธรรม
 07:00 พระพุทธเจ้าตรัสเล่าเรื่องในอนาคตวงศ์
23:59 ข้อคิดและสรุปจบเรื่อง


<a href="https://www.youtube.com/v/RXQCoVHs8w0" target="_blank">https://www.youtube.com/v/RXQCoVHs8w0</a>

https://youtu.be/RXQCoVHs8w0?si=nPdsfqKTeFkBT808
52  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / พญาศรีสุทโธนาคราช!!ขึ้นกราบหลวงปู่ขาว อนาลโย เมื่อ: 25 มกราคม 2567 07:35:38
เขาบอกว่า..!!เขามาจากคำชะโนด|พญาศรีสุทโธนาคราช!!ขึ้นกราบหลวงปู่ขาว อนาลโย


<a href="https://www.youtube.com/v/R3TsmOVnZP0" target="_blank">https://www.youtube.com/v/R3TsmOVnZP0</a>

https://youtu.be/R3TsmOVnZP0?si=ri1ieDtmPoPtY9bc
53  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / ด้านมืดของพีธาโกรัส ที่คุณไม่เคยรู้ | The Cult of Pythagoras เมื่อ: 24 มกราคม 2567 17:06:29
ด้านมืดของพีธาโกรัส ที่คุณไม่เคยรู้ | The Cult of Pythagoras


พีธาโกรัส เป็นชื่อนึงที่น่าจะคุ้นหูหลายๆคนอยู่ครับ ถึงบางคนอาจจะจำไม่ได้ ว่าทฤษฏีของเค้าคืออะไร หรือว่ามันมีประโยชน์ตรงไหนอะ แต่ว่าอย่างน้อยเราก็น่าจะพอจำได้ ว่าเค้าเป็นลุงหนวดๆ ที่เก่งคณิตศาสตร์มากคนนึงครับ

 แต่นอกจากชื่อเสียงทางด้านคณิตศาสตร์ของเค้าแล้วเนี่ย สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้กันก็คือ งานหลักของพีธาโกรัสเนี่ยนะครับ ก็คือเค้าเป็นผู้นำลัทธิ หรือว่า cult leader ที่มีความเชื่อสุดโต่งมากๆ และก็อาจจะเป็นฆาตกร ที่ลงมือกำจัดผู้ที่มีความเห็นต่างด้วยครับ

มันเกิดอะไรขึ้น? ลัทธิของพีธาโกรัสเค้าทำอะไรกัน แล้วทำไมแค่ความเห็นไม่ตรงกัน แล้วถึงต้องฆ่าต้องแกงกันด้วย วันนี้เราจะไปรู้จักกับ ด้านมืดของพิธาโกรัสกันครับ

<a href="https://www.youtube.com/v/b2W0hlYLn3k" target="_blank">https://www.youtube.com/v/b2W0hlYLn3k</a>

https://youtu.be/b2W0hlYLn3k?si=DhT-_COjLThuyV06
54  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / 'ยายแฟง' ผู้สร้างวัดคณิกาผล คังคุไบ เวอร์ชันไทยเดิม | THE STATES TIMES STORY เมื่อ: 24 มกราคม 2567 12:57:50

'ยายแฟง' ผู้สร้างวัดคณิกาผล คังคุไบ เวอร์ชันไทยเดิม | THE STATES TIMES STORY

‘ยายแฟง’ เจ้าสำนักโสเภณี ผู้สร้าง ‘วัดคณิกาผล’ ตำนาน 'คังคุไบ' ฉบับไทยเดิม แม่เล้าผู้โด่งดังในช่วงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ .

 แม้จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ประกอบอาชีพที่ผิดศีลธรรม (ในขณะนั้นถูกกฎหมาย) แต่ยายแฟง ก็นับเป็นอุบาสิกาผู้ใจบุญคนหนึ่ง โดยเป็นผู้บริจาคที่ดินและทุนทรัพย์สร้างวัดใหม่ยายแฟง หรือในกาลต่อมา ได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘วัดคณิกาผล’ ซึ่งหมายถึงวัดที่เกิดขึ้นด้วยผลประโยชน์อันได้จากหญิงคณิกา ปัจจุบันตั้งอยู่บนถนนพลับพลาไชย ตรงข้ามกับสน.พลับพลาไชย .

 ไม่เพียงเท่านั้น ยายแฟง ยังเป็นผู้บุกเบิกสร้าง ‘โรงพยาบาลหญิงหาเงิน’ เพื่อรักษาผู้ป่วยเฉพาะโรคให้กับหญิงโสเภณีในขณะนั้น แต่มาภายหลังเมื่อมีการรับรักษาคนทั่วไปมากขึ้น จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘โรงพยาบาลกลาง’ มาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง .

<a href="https://www.youtube.com/v/_MIet1bet_4" target="_blank">https://www.youtube.com/v/_MIet1bet_4</a>

https://youtu.be/_MIet1bet_4?si=YP7IVb-w5k5zIA9y
55  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / ดร.อัมเบดการ์ จัณฑาลผู้ร่างรัฐธรรมนูญ จุดเปลี่ยนจาก ฮินดู สู่ พุทธ เมื่อ: 23 มกราคม 2567 20:12:41
ดร.อัมเบดการ์ จัณฑาลผู้ร่างรัฐธรรมนูญ จุดเปลี่ยนจาก ฮินดู สู่ พุทธ

8 Minute History เอพิโสดนี้ พาไปทำความรู้จักกับ ดร.อัมเบดการ์ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘บิดาแห่งรัฐธรรมนูญอินเดีย’

 เบื้องหลังชีวิตของชายคนนี้มีหลายมิติที่น่าสนใจ ตั้งแต่การเกิดมาเป็น ‘จัณฑาล’ ที่อยู่นอกระบบวรรณะของชาวฮินดู, การต่อสู้ขวนขวายจนได้รับวุฒิการศึกษาระดับสูงจากตะวันตก จนถึงจุดยืนด้านศาสนาที่สวนทางโดยสิ้นเชิงกับ มหาตมะ คานธี

 Time Index
00:00 เริ่มรายการ
02:45 ขบวนการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ
06:39 ตัวแทนจัณฑาลกับการประชุมโต๊ะกลม


<a href="https://www.youtube.com/v/RMWXRcZgpOc" target="_blank">https://www.youtube.com/v/RMWXRcZgpOc</a>

https://youtu.be/RMWXRcZgpOc?si=JqTvqVXaaVEA5P0n

จากความเดิมตอนที่แล้ว เราได้เห็นภาพกว้างของการเมืองอินเดีย และระบบการแบ่งวรรณะที่มีอิทธิพลมาจากศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างความไม่เท่าเทียมและการแบ่งแยกในสังคมอินเดียมาอย่างยาวนาน

8 Minute History เอพิโสดนี้ พาไปเจาะลึกประวัติและปูมหลังชีวิตของ ดร.อัมเบดการ์ ผู้ซึ่งเป็นทั้งนักกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์ และนักการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อสิทธิและความเท่าเทียมของ ‘ฑลิต’ ชนชั้นต่ำสุดในสังคมอินเดีย รวมถึงการเบนเข็มศรัทธาของตัวท่าน ซึ่งตัดสินใจเปลี่ยนศาสนาเป็นพุทธศาสนิกชนในช่วงบั้นปลายชีวิต

Time Index
00:00 Intro
00:00 เริ่มรายการ
 01:55 ก้าวสู่เส้นทางการเมือง ต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม
02:47 การประชุมโต๊ะกลม (Round Table Conferences)
10:21 ดร.อัมเบดการ์ ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกชน

<a href="https://www.youtube.com/v/VdkH_nB2BVI" target="_blank">https://www.youtube.com/v/VdkH_nB2BVI</a>

https://youtu.be/VdkH_nB2BVI?si=VZydYpz33Lpy8RmW
56  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / ญิน ผีและไสยศาสตร์ โลกคู่ขนานในมลายู | Spirit of Asia เมื่อ: 21 มกราคม 2567 02:54:40
ญิน ผีและไสยศาสตร์ โลกคู่ขนานในมลายู | Spirit of Asia

คนมลายูที่อยู่ในคาบสมุทรมลายู แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นใคร มาจากไหน เราไม่สามารถสร้างภาพจำให้เป็นแบบเฉพาะตายตัวได้ เพราะการเคลื่อนย้ายของผู้คนล้วนทำให้วัฒนธรรมที่แตกต่างผสมกลมกลืนจนเป็นการสร้างวัฒนธรรมร่วมขึ้นมาใหม่ จากผู้คนหลากเชื้อชาติที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่แห่งนี้

ความหลากหลายมลายูที่เราเคยรู้จักได้หายไป ซึ่งมาจากอำนาจที่กดทับ ใช้ความแตกต่างเป็นเครื่องมือในการต่อรองทางการเมืองและความขัดแย้งทางศาสนา แก่นแท้ของความเป็นมลายูไม่มีอยู่จริง เพราะความเป็นมลายูคือความหลากหลายที่รวมกันเป็นคนบนคาบสมุทรนี้ต่างหาก

<a href="https://www.youtube.com/v/nPYc4rbkkuk" target="_blank">https://www.youtube.com/v/nPYc4rbkkuk</a>

https://youtu.be/nPYc4rbkkuk?si=nc4S8S1EO_kHVos5
57  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / Moving ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ก็ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:13:30





ด้วยเลือด หยาดเหงื่อ คราบน้ำตา : Moving ซีรีส์เกาหลีที่ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ก็ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา

เวลานี้ คงไม่มีคอซีรีส์เกาหลีคนไหนที่ไม่รู้จัก Moving ซีรีส์แนวดราม่า/แอ็กชัน/แฟนตาซีที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ต้องคอยหลบซ่อนจากสังคม ทั้งยังต้องคอยปกป้องครอบครัวของตน ซึ่งด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจจากโปรดักชันที่ทุ่มทุนแบบอลังการงานสร้าง พลังทางการแสดงของดาราหลากรุ่น และเรื่องเล่าอันเข้มข้นซ้อนปม ก็ทำให้ตัวซีรีส์มีผู้คอยติดตามรับชมไปทั่วโลก กลายเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีคนดูมากที่สุดใน 7 วันแรกของช่อง Disney+ จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น ‘Squid Game ของปีนี้’ กันเลยทีเดียว

• สิ่งแรกที่โดดเด้งออกมาจนต้องกล่าวถึงเป็นลำดับแรก ก็คืองานออกแบบโปรดักชันที่ทุ่มทุนสร้างอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของ Moving ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังนั้น เล่าถึงกลุ่ม ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ในเกาหลีที่ต้องหลบซ่อน ‘ตัวตนที่แท้จริงอันแตกต่าง’ ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ และยังต้องคอยปกป้องสมาชิกในครอบครัวของตน ซึ่งว่ากันว่ามีการลงทุนในซีซั่นนี้อยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านวอนเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการใช้ซีจีมากกว่า 7,000 ชอต โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์จากบริษัทซีจีชั้นนำหลายแห่งใน 9 ประเทศทั่วโลก

• อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้งานโปรดักชัน ก็คือพลังของทีมนักแสดงที่ประสานมือแท็กทีมกันมาร่วมถ่ายทอดตัวละครต่างๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มีใครยอมใคร’ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่ที่ถ่ายทอด ‘ตัวละครผู้ใหญ่’ ที่หลากหลาย ออกมาได้อย่างเปี่ยมมิติจนเราอยากยกนิ้วให้ หรือรุ่นเยาว์ที่ก็คว้าหัวใจของผู้ชมเอาไว้ได้ ด้วยค่าที่พวกเขาสามารถถ่ายทอดความน่ารัก การตั้งคำถามต่อชีวิต และความน่าเห็นใจของตัวละครรุ่นลูกออกมาได้ค่อนข้างหมดจดงดงาม

• แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ Moving กลายมาเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ทุกคนต่างพูดถึงในปีนี้ ก็คือ เรื่องเล่าของมันที่ว่าด้วยการเลือกทางเดินชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ แต่ละคน ซึ่งเป็นการใช้ขนบ ‘การปิดบังตัวตน แต่ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อคนรอบข้าง’ ของเรื่องเล่าแบบ ‘ซุปเปอร์ฮีโร่’ มาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประเด็นสำคัญๆ ที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย – โดยยังสามารถรับชม Moving ได้ทาง Disney+ Hotstar ทุกวันพุธ (ความยาว 20 ตอนจบ)




<a href="https://www.youtube.com/v//Y7TV9FZpgMg" target="_blank">https://www.youtube.com/v//Y7TV9FZpgMg</a> 

https://youtu.be/Y7TV9FZpgMg?si=EG8Hzd7VGQLXNwcc


สำหรับคอซีรีส์เกาหลีในช่วงนี้ คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Moving ซีรีส์แนวดราม่า/แอ็กชัน/แฟนตาซีที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ต้องคอยหลบซ่อนจากสังคม ทั้งยังต้องคอยปกป้องครอบครัวของตน ซึ่งด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจจากโปรดักชันที่ทุ่มทุนแบบอลังการงานสร้าง พลังทางการแสดงของดาราหลากรุ่น และเรื่องเล่าอันเข้มข้นซ้อนปม ก็ทำให้ตัวซีรีส์มีผู้คอยติดตามรับชมไปทั่วโลก กลายเป็นซีรีส์เกาหลีที่มีคนดูมากที่สุดใน 7 วันแรกของช่อง Disney+ จนถึงขั้นถูกขนานนามว่าเป็น ‘Squid Game ของปีนี้’ กันเลยทีเดียว

ขณะที่เขียนบทความชิ้นนี้ ซีรีส์ได้ดำเนินมาถึงตอนที่ 13 แล้ว (จากทั้งหมด 20 ตอน) และความสนุกก็ดูจะทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกตอน เราจึงอยากชวนคุณมาสำรวจว่า เหตุใด Moving จึงสามารถครองใจผู้ชมได้มาจนถึงตอนนี้ แม้ว่าซีรีส์จะยังไม่สามารถคาดเดาไปถึงบทสรุปสุดท้ายได้ก็ตาม



งานโปรดักชันทุนหนา ที่พาเราไปสัมผัสฉากหลังย้อนยุค และงานซีจีสุดเนี้ยบแบบเกาหลีใต้

สิ่งแรกที่โดดเด้งออกมาจนต้องกล่าวถึงเป็นลำดับแรก ก็คืองานออกแบบโปรดักชันที่ทุ่มทุนสร้างอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ก็เพราะเรื่องราวของ Moving ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูนชื่อดังนั้น เล่าถึงกลุ่ม ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ในเกาหลีที่ต้องหลบซ่อน ‘ตัวตนที่แท้จริงอันแตกต่าง’ ของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ และยังต้องคอยปกป้องสมาชิกในครอบครัวของตน โดยเฉพาะลูกๆ ที่ส่วนใหญ่ก็มักรับเอา ‘พลังพิเศษ’ ของพ่อหรือแม่ไปด้วย ให้รอดพ้นจากกลุ่มคนที่เข้ามาคุกคามพวกเขาด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งก็รวมถึงสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ ที่เคยเป็นสถานที่ทำงานแบบลับๆ ของพวกเขาในอดีต

และเมื่อการบอกเล่าถึงชีวิตครอบครัวของคนเหล่านี้ ต้องถูกเท้าความย้อนไปถึงช่วงยุค 80 ก่อนจะค่อยๆ เล่าผ่านแต่ละช่วงเวลา และย้อนกลับมายังยุคปัจจุบัน จึงทำให้ Moving ต้องมีการแสดงภาพบริบททางสังคมของเกาหลีในเรื่องออกมาให้ ‘สมจริง’ มากที่สุด เช่น การถ่ายทอดภาพผู้คนและบรรยากาศของออฟฟิศ ผับบาร์ หรือชุมชนในยุคต่างๆ ขึ้นมา โดยมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เราจะได้เห็นเฉพาะในช่วงเวลานั้นปรากฏอยู่ และการสร้างฉากแอ็กชันที่มีทั้งการใช้ซีจีหรือเทคนิคพิเศษทางภาพ และการออกแบบการถ่ายทำที่ ‘บ้าพลัง’ จนผู้ชมต้องอ้าปากค้าง

ด้วยความที่ต้องสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา Moving จึงถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่มีการใช้ทุนสร้างมหาศาลเกินมาตรฐานทั่วไปของซีรีส์เกาหลี ซึ่งว่ากันว่ามีการลงทุนในซีซั่นนี้อยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ล้านวอนเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการใช้ซีจีมากกว่า 7,000 ชอต โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์จากบริษัทซีจีชั้นนำหลายแห่งใน 9 ประเทศทั่วโลก



ทีมนักแสดงต่างช่วงวัย ที่ช่วยเสริมพลังให้กับ ‘ตัวละครเหนือมนุษย์’ ผู้มีความซับซ้อน

อีกหนึ่งสิ่งที่โดดเด่นไม่แพ้งานโปรดักชัน ก็คือพลังของทีมนักแสดงที่ประสานมือแท็กทีมกันมาร่วมถ่ายทอดตัวละครต่างๆ ชนิดที่เรียกได้ว่า ‘ไม่มีใครยอมใคร’ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่ หรือรุ่นเยาว์

โดยกลุ่มนักแสดงผู้ถ่ายทอด ‘ตัวละครผู้ใหญ่’ ที่หลากหลาย ออกมาได้อย่างเปี่ยมมิติจนเราอยากยกนิ้วให้ ก็เช่น ฮันฮโยจู ที่รับบทเป็น อีมีฮยอน คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ทำร้านขายทงคัตสึไปพร้อมกับดูแลลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ซึ่งแท้จริงแล้ว เธอมีประสาทสัมผัสที่เป็นเลิศในทุกด้าน

รยูซึงรยง ที่รับบทเป็น จางจูวอน คุณพ่อผู้เพิ่งเปิดกิจการร้านขายไก่ทอดเพื่อหาเลี้ยงลูกสาว ที่เบื้องหลังนั้นมีร่างกายที่สามารถรักษาตัวเองได้ในแทบจะทันที

และ โจอินซอง นักแสดงขวัญใจสาวๆ ผู้ร้างลาจอซีรีส์ไปเกือบสิบปี ที่รับบทเป็น คิมดูชิก สามีของอีมีฮยอนผู้หายสาบสูญไปจากครอบครัวด้วยสาเหตุบางประการ ซึ่งเขาเป็นผู้ที่พุ่งทะยานไปบนฟ้าได้ด้วยความเร็วสูง




ขณะที่กลุ่มนักแสดงวัยเยาว์ ก็คว้าหัวใจของผู้ชมเอาไว้ได้ ด้วยค่าที่พวกเขาสามารถถ่ายทอดความน่ารัก การตั้งคำถามต่อชีวิต และความน่าเห็นใจของตัวละครรุ่นลูกออกมาได้ค่อนข้างหมดจดงดงาม

ทั้ง อีจองฮา ที่ต้องตั้งใจเพิ่มน้ำหนักถึง 30 กิโลกรัมเพื่อรับบท คิมบงซอก ลูกชายผู้ว่านอนสอนง่ายของอีมีฮยอนที่มีความสามารถพิเศษในการลอยตัวได้แบบพ่อ แต่ต้องคอยเก็บกดมันเอาไว้ด้วยการเพิ่มน้ำหนักตัวและถ่วงด้วยอุปกรณ์เสริมตามคำสอนของแม่ผู้คอยเป็นห่วงเป็นใย จนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังใช้ชีวิตอย่างไร้อิสระมากขึ้นไปทุกขณะ

โกยุนจอง ในบท จางฮีซู ลูกสาวผู้มุ่งมั่นของจางจูวอนที่มีร่างกายที่สามารถรักษาตัวเองได้เหมือนพ่อ ซึ่งช่วยให้เธอรอดพ้นจากอันตรายต่างๆ เรื่อยมา นับจากอุบัติเหตุรถคว่ำในตอนเด็กที่ทำให้เธอต้องเสียแม่ไป มาจนถึงเหตุการณ์ที่เธอต้องถูกรุมทำร้ายจากนักเรียนสิบกว่าคนที่มาบูลลี่เธอในโรงเรียนเก่า แต่กลับ ‘ไม่เป็นอะไรเลย’ จนเพื่อนๆ ร่วมชั้นพากันหวาดกลัว

หรือจะเป็น คิมโดฮุน ในบท อีคังฮุน หัวหน้าชั้นของคิมบงซอกและจางฮีซู ที่แม้เราจะยังไม่ได้รู้ถึงภูมิหลังครอบครัวของเขามากนัก แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีพลังพิเศษในแง่ของความเร็วและพละกำลัง ซึ่งหากซีรีส์ไม่ได้มีเส้นเรื่องเสริมอื่นใด พ่อที่ดูเหมือนจะมีภาวะออทิสติกของเขา น่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติแบบพ่อแม่ของเด็กคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน – รวมถึงตัวเขาเองที่ก็น่าจะมีปมทางใจบางอย่างที่ผู้ชมยังไม่รู้แน่ชัด ซึ่งเราคงต้องติดตามกันต่อไป




เรื่องเล่าสุดสะเทือนอารมณ์ของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ ที่ยังเป็นเพียงแค่ ‘คนธรรมดา’ เหมือนกับเรา

แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ทำให้ Moving กลายมาเป็นหนึ่งในซีรีส์ที่ทุกคนต่างพูดถึงในปีนี้ ก็คือ เรื่องเล่าของมันที่ว่าด้วยการเลือกทางเดินชีวิตของ ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ แต่ละคน ซึ่งเป็นการใช้ขนบ ‘การปิดบังตัวตน แต่ก็ยังต้องต่อสู้เพื่อคนรอบข้าง’ ของเรื่องเล่าแบบ ‘ซุปเปอร์ฮีโร่’ มาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดประเด็นสำคัญๆ ที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการก้าวข้ามผ่านวัยอันยากลำบากของวัยรุ่น อย่างการค้นหาตัวเอง หรือการรับมือกับมิตรภาพ ความรัก และการกลั่นแกล้งรังแกกันภายในสังคมโรงเรียน, การสู้ทนเพื่อเติบโตผ่านความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักหรือคนในครอบครัวเดียวกัน ที่ถึงอย่างไรก็ต้องมีทั้งด้านดีงามและเลวร้ายผ่านเข้ามาให้ได้เผชิญหน้าและแก้ปัญหา หรือแม้กระทั่งเรื่องใหญ่ๆ อย่างการที่ประชาชนต้องถูกคุกคามจากระบบสังคมและกลไกของรัฐอำนาจนิยม ซึ่งไม่ควรถูกปล่อยให้เป็นเรื่องปกติธรรมดาอีกต่อไป

โดยสิ่งเหล่านี้ถูกขับเน้นให้เราเห็นอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ทั้งในระหว่างที่บางตัวละครกำลังออกปฏิบัติการ ‘เพื่อชาติ’ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไหม, บางตัวละครกำลังปรับตัวให้เข้ากับการมีลูก มีครอบครัว และบางตัวละครกำลังค้นพบสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจิตใจของตน และผู้คนรอบข้าง ซึ่งทำให้พวกเขาต้องแลกมาด้วยการสูญเสียเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และทิ้งเอาไว้แค่เพียงคราบน้ำตา





อย่างไรก็ดี สิ่งที่ช่วยให้เรื่องราวหลากมิติของซีรีส์ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก ก็คือการแบ่งโครงสร้างอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน

โดยใน 7 ตอนแรก ที่ปล่อยฉายพร้อมกันทีเดียวในวันที่ 9 สิงหาคม เป็นการเล่าถึงเรื่องราวในยุคปัจจุบันของเหล่าลูกๆ ของกลุ่มผู้มีพลังพิเศษอย่างคิมบงซอก จางฮีซู และอีคังฮุน ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังดูซีรีส์ว่าด้วยมิตรภาพและชีวิตรักวัยเรียน ที่ต้องดีลกับ ‘พลัง’ ของตน และความสัมพันธ์รอบข้างไปพร้อมๆ กัน

และก็ยังมีเส้นเรื่องอื่นๆ มาคอยเล่าสลับกันไปมาเพื่อตัดเลี่ยนอยู่เป็นระยะ ทั้งเส้นเรื่องแนวแอ็กชันไล่ล่าที่ว่าด้วย แฟรงก์ (รับบทโดย รยูซึงบอม) หนุ่มเกาหลีที่เคยไปเติบโตและถูกฝึกให้กลายเป็น ‘นักล่า’ ในอเมริกา ซึ่งเป็นผู้มีพลังพิเศษแบบเดียวกับจางจูวอนที่ถูกหน่วยงานสาขาต่างชาติส่งมากำจัดเหล่า ‘อดีตสมาชิกที่เกษียณแล้ว’ ของสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ และเส้นเรื่องแนวดราม่าที่พูดถึงชีวิตที่ค่อยๆ ดิ่งลงเหว ทั้งการงาน และความสัมพันธ์กับพ่อ ของคนขับรถประจำทางอย่าง จอนกเยดู (ชาแทฮยอน) ซึ่งแท้จริงแล้วเป็น ‘มนุษย์ไฟฟ้า’ และต้องการล้างแค้นแฟรงก์ที่เป็นคน ‘เก็บ’ พ่อของเขา



ขณะที่ในตอนที่ 8-13 ก็เป็นการย้อนกลับไปเล่าถึงชีวิตของฝั่งพ่อแม่ของเด็กๆ เหล่านี้ นับจากยุค 80 เป็นต้นมา ซึ่งแต่ละตอนก็มีส่วนผสมของความหวานแบบซีรีส์รักโรแมนติกชวนให้อมยิ้ม ความขมแบบซีรีส์ดราม่าพาน้ำตาไหล และความเผ็ดแบบซีรีส์แอ็กชันเลือดสาด ที่แตกต่างรสชาติกันออกไป

โดยตอนที่ 8-9 เป็นเรื่องสัมพันธ์รักที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างอีมีฮยอนกับคิมดูชิก พ่อแม่ของคิมบงซอก ในวันที่พวกเขายังเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติภารกิจลับให้กับสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งบรรยากาศในตอนนี้แทบจะไม่ต่างอะไรกับหนังรักโรแมนติกดีๆ สักเรื่อง

ตอนที่ 10-11 เป็นเรื่องเส้นทางชีวิตของจางจูวอน พ่อจางฮีซู ที่ชีวิตต้องพลิกผันจากการเป็นสมาชิกของแก๊งอันธพาล การพบเจอว่าที่แม่ของลูกที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียง ‘สาวขายกาแฟ’ ที่คนดูถูก มาสู่การเป็นคู่หูของคิมดูชิกในสำนักงานฯ โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ฉากลองเทคสุดมันในระหว่างที่เขาต้องต่อสู้กับกองทัพอันธพาลยกแก๊ง และสามารถจัดการพวกมันได้ทั้งหมดเพียงลำพัง ซึ่งให้อารมณ์สุดเดือดแบบหนัง Oldboy เลยทีเดียว

และตอนที่ 12-13 เป็นเรื่องชีวิตครอบครัวถัดจากนั้นของพ่อแม่คิมบงซอก และพ่อจางฮีซู ที่ต่างฝ่ายต่างต้องรับมือกับอุปสรรคยากๆ ทั้งเรื่องครอบครัว และหน้าที่การงาน ซึ่งเราจะได้เห็นอีมีฮยอนและคิมดูชิกค่อยๆ กลายเป็นพ่อคนแม่คนที่อยู่กันอย่างสุขสงบ แต่ก็ยังหวาดระแวงเรื่องความปลอดภัยของลูก และเห็นชายผู้มีร่างกายที่ทนทานได้ทุกสิ่งอย่างจางจูวอน ต้องร่ำไห้หลังจากที่ต้องสูญเสียผู้หญิงที่ตนรักไปจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ จนต้องเหลือกันแค่สองคนพ่อลูก

– ซึ่งเราก็เชื่อว่าอีก 7 ตอนที่เหลือจะต้องทั้งเข้มข้นและสะเทือนใจไม่แพ้กัน ก่อนที่ซีรีส์จะพาเราไปสู่บทสรุปในซีซั่นแรก



Moving ช่วยตอกย้ำสารที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเป็น ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ หรือเป็น ‘คนที่แตกต่าง’ นั้น ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็น ‘ตัวประหลาด’ อย่างที่ใครคนอื่นชอบแปะป้าย หากแต่เราจะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นคนที่ไร้ซึ่ง ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

ฉะนั้นแล้ว Moving จึงไม่ได้เป็นเพียงซีรีส์ที่จะทำให้เราได้ระทึกใจไปกับฉากแอ็กชันและพลังพิเศษ น้ำตาไหลไปกับสารพันดราม่า หรือหัวเราะร่าไปกับความสัมพันธ์น่ารักๆ เท่านั้น เพราะมันยังช่วยตอกย้ำสารที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ การเป็น ‘ผู้มีพลังพิเศษ’ หรือเป็น ‘คนที่แตกต่าง’ นั้น ไม่ได้ทำให้เรากลายเป็น ‘ตัวประหลาด’ อย่างที่ใครคนอื่นชอบแปะป้าย หากแต่เราจะเป็นเช่นนั้นได้ ก็ต่อเมื่อเรากลายเป็นคนที่ไร้ซึ่ง ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ ในตัวเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

เพราะเราทุกคนล้วนต้องการใครสักคนที่จะมาคอยอยู่เคียงข้าง เพื่อฝ่าฟันอุปสรรคและปัญหาน้อยใหญ่ไปด้วยกัน – ไม่ว่าเราจะมีสถานะเป็นผู้มีพลังพิเศษ หรือคนธรรมดาในสายตาของใครก็ตาม


จาก https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/103669



จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16262.0.html
58  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / ป่าของโทโทโร่ ท้องทะเลของโปเนียว ธรรมชาติที่เคลื่อนไหวและมีตัวตนในผลงาน จิบลิ เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:11:19


ป่าของโทโทโร่ ท้องทะเลของโปเนียว ธรรมชาติที่เคลื่อนไหวและมีตัวตนในผลงานสตูดิโอจิบลิ



งานของสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) มักจะมีธรรมชาติเป็นหนึ่งในแกนสำคัญของเรื่อง เราอาจจะเห็นการกลับไปสู่พื้นที่ชนบทและการก้าวไปสู่ดินแดนเหนือธรรมชาติในโทโทโร่ เห็นความขัดแย้งของเมืองและมนุษย์กับโลกรอบๆ ในเจ้าหญิงโมโนโนเกะ เห็นท้องทะเลที่ทรงอำนาจและไม่ใยดีในโปเนียว และธรรมชาติอันแปลกประหลาดเหล่านี้แหละที่ดึงเรากลับเข้าไปสู่ความฝัน และจินตนาการที่มีต่อธรรมชาติ

เราทั้งรัก ทั้งยำเกรง ทั้งแข่งขัน และยอมแพ้ให้กับธรรมชาติ


ธรรมชาติในงานของ มิยาซากิ ฮายาโอะ เป็นธรรมชาติที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน งานที่ดูจะแสนน่ารักและสีสันสดใส จริงๆ แล้ว กลับไม่ได้ไร้เดียงสาแต่อย่างใด ส่วนหนึ่งที่ดูจะทำให้งานของมิยาซากิมีความเป็นผู้ใหญ่และสัมผัสหัวใจผู้ใหญ่อย่างเราๆ คือการที่นอกจากจะเล่าเรื่องที่ดูเป็นนิทานปรัมปราแล้ว มิยาซากิยังตั้งใจสร้างตัวตนของธรรมชาติให้มีความซับซ้อน ทำให้เราได้กลับไปเห็น ไปรู้สึกถึงปฏิสัมพันธ์อันซับซ้อนกับธรรมชาติอีกครั้ง

งานของมิยาซากิ—คือนอกจากว่าแกจะอยากเล่าถึงธรรมชาติ อยากจะสร้างสไตล์งานที่ฉีกออกจากภาพธรรมชาติที่สะอาดสะอ้านและแบนราบแบบดิสนีย์แล้ว ทัศนคติที่บรรจุอยู่ในเรื่อง ความคิด ความเชื่อ และมุมมองที่มีจิตวิญญาณก็ดูจะเวรี่ญี่ปุ่น สะท้อนถึงมุมมองแบบญี่ปุ่นต่อธรรมชาติ ทั้งโหยหา ทั้งเคารพ ทั้งยำเกรง ทั้งหมดนี้เองจึงอาจเป็นจุดที่สัมผัสกับความรู้สึกบางอย่างของเรา ที่เราเองก็อาจจะเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ไปเห็น และเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศ ได้กลับไปเป็นจุดหนึ่งของระบบที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา



ธรรมชาติที่ไม่ไร้เดียงสา

นั่นสิ อะไรคือความพิเศษของภาพแทนหรือตัวตนของธรรมชาติในงานของจิบลิ ย้อนไปตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของสตูดิโอเอง หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของมิยาซากิคือการทำอนิเมชั่นที่แตกต่างไปจากดิสนีย์และอนิเมะ อันเป็นสไตล์อินเมชั่นกระแสหลักของญี่ปุ่น—หรือกระทั่งของโลกนี้ ซึ่งจริงๆ ก็เป็นแบบนั้นมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 ที่เกิดจิบลิขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้

นอกจากสไตล์และเรื่องแล้ว มิยาซากิยังมีความเห็นว่า ภาพธรรมชาติในการ์ตูนดิสนีย์นั้นมีความไร้เดียงสาเกินไปหน่อย ธรรมชาติในดิสนีย์ออกจะ ‘สะอาด’ ใสซื่อ ตกเป็นรองมนุษย์ ธรรมชาติไม่ได้ฟังก์ชั่น ธรรมชาติเป็นเพียงแค่ฉาก มิยาซากิอธิบายว่า เขาเห็นว่าธรรมชาติมีความงดงามและเปี่ยมความหมายกับเรามากกว่านั้น ธรรมชาติสำหรับเขาไม่ว่าจะเป็นสภาวะอากาศ กาลเวลา แสงแดด ต้นไม้ใบหญ้า ทุกๆ อย่างล้วนเปี่ยมไปด้วยความหมาย ดังนั้นแกเลยบอกว่า ทางสตูดิโอจึงพยายามเล่าถึงทุกแง่มุมของธรรมชาติในผลงานสตูดิโอ

ถ้าสรุปอย่างคร่าวๆ งานของมิยาซากิดูจะเริ่มจากจุดยืนที่มีความเป็นปรัชญา เริ่มจากมุมมองและจุดยืนของมนุษย์ที่แสนจะเข้าใจและเคารพต่อธรรมชาติ



ศักดิ์สิทธิ์และทรงพลัง—ความบริสุทธิ์แต่ไม่ไร้เดียงสาของธรรมชาติ

จริงๆ ไม่เชิงแค่มุมมองของญี่ปุ่น ในโลกตะวันออก กระทั่งโลกทั้งใบนี้ในยุคโบราณเอง เราก็ดูจะยำเกรงและมองธรรมชาติในฐานะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ แต่ด้วยการเข้ามาของโลกสมัยใหม่ ของเมือง และของอารยธรรมมนุษย์ที่ทำให้เราถูกตัดขาด และบางครั้งก็รู้สึกว่าเรานี่ใหญ่โตและสามารถเอาชนะธรรมชาติได้

เรื่องราวมหัศจรรย์ในงานของมิยาซากิมักจะพูดถึงการกลับไปสู่ธรรมชาติ พื้นที่ธรรมชาติในงานของจิบลิมักเป็นภาพของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นพื้นที่โดดเดี่ยว และพ้นจากการเอื้อมถึงของเงื้อมมือมนุษย์ ภาพของพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นมักมีนัยของการเป็นพื้นที่ทางจิตวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นพื้นที่ของภูตพรายและทวยเทพที่เต็มไปด้วยพลังและจังหวะของตัวเอง เราอาจจะยังพอจำความรู้สึกเมื่อตัวละครสำรวจไปจนถึงดินแดนลึกลับที่เราเข้าไม่ถึง เรารู้สึกขนลุก และหลงใหลไปกับภาพของธรรมชาติที่แสนตระการตาเหล่านั้น

ความเท่ของธรรมชาติในงานของจิบลิ คือ ภาพธรรมชาติที่บริสุทธิ์—แม้พ้นจากเงื้อมมือของมนุษย์ แต่ไม่ไร้เดียงสา ไม่มีลักษณะที่ ‘เชื่อง’ หรือ ‘สะอาด’ ลองนึกถึงภาพของเจ้าโทโทโร่ที่แม้ว่ามันจะหน้าตาน่ารัก แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่แน่ใจว่าดินแดนของธรรมชาตินั้นจะเป็นมิตรกับเราไหม บางครั้งโทโทโร่ก็ดูทรงพลังเกินกว่าที่เราจะรับมือได้ บางครั้งในความน่ารักนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความดุร้าย เข้าใจไม่ได้บางอย่าง ในทำนองเดียวกับความไม่ปราณีของท้องทะเลจากเรื่องโปเนียว หรือธรรมชาติเรื่องอื่นๆ ที่ประกอบปนเปขึ้นทั้งด้วยความงดงามอารี แต่ก็มีความป่าเถื่อน รุนแรง และเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงแฝงอยู่ในที




หลายครั้งที่เราพอสังเกตได้จากความสัมพันธ์และความปรารถนาของเราที่มีต่อธรรมชาติ คือการได้เข้าไปเห็นความยิ่งใหญ่ เห็นระบบบางอย่างที่หายไปจากโลกสมัยใหม่ของมนุษย์ เป็นระบบนิเวศของธรรมชาติที่แน่ล่ะว่าเต็มไปด้วย ‘ความเป็นธรรมชาติ’ ไม่ว่าจะเป็นความไร้ระเบียบ อันตราย เหนือการควบคุม เหนือกาลเวลา ในขณะเดียวกันมีความกลมเกลียวและมีสันติสุข ภาพของธรรมชาติในงานของจิบลินอกจากจะทำให้เราได้กลับไปสู่ธรรมชาติอีกครั้ง แต่เราได้รับรู้ถึงความเล็กกระจ้อยร่อยของเรา และเราก็ได้กลับไปเป็นจุดเล็กๆ ภายใต้ระเบียบจักรวาลที่ใหญ่กว่าตัวเราอีกครั้ง


ทั้งหมดนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งสะท้อนถึงมิติทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นร่วมสมัย จากผลกระทบและการตั้งคำถามจากสงครามโลกครั้งที่ 2 การก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ต้องรับกับธรรมชาติอันรุนแรงเช่นสึนามิ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราอาจจะพอจับสังเกตได้ไม่ว่าจะจากดินแดนภูตภูเขา อาณาจักรลอยฟ้า เรื่องราวของเครื่องบินรบ หรือเด็กหญิงจากท้องทะเล

 จาก https://thematter.co/social/only_human_in_nature_world_of_studio_ghibli/99548

จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16254.0.html
59  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / สัปเหร่อ ไทบ้านเดอะซีรี่ย์ และคติธรรมในพิธีศพ เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:09:04

สัปเหร่อ ไทบ้านเดอะซีรี่ย์ และคติธรรมในพิธีศพ / โชโฮ ธรรมราชบุตร ธรรมะตำนาน

<a href="https://www.youtube.com/v//ylf1nt9A5nY" target="_blank">https://www.youtube.com/v//ylf1nt9A5nY</a>

https://www.youtube.com/live/ylf1nt9A5nY?si=-RlgM8Di5Oe8Xh1y


เพิ่มเติม จาก https://www.springnews.co.th/lifestyle/movie-series/844424

รู้จักอาชีพสัปเหร่อ งานเก่าแก่ อาชีพบริการ ดูแลศพ ที่สังคมไทยขาดไม่ได้



ทำความรู้จัก อาชีพ สัปเหร่อ หรือในอดีต มีคำเรียกว่า ขุนกะเฬวราก-นายป่าช้า โดยรัฐบาลแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ผู้ดูแลจัดการศพ ท่ามกลางกระแสความร้องแรงของหนัง #สัปเหร่อ

เมื่อ ภาพยนตร์สัปเหร่อ กลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ จากการกวาดรายได้มหาศาล 300 ล้านบาท ทำให้ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่คนพูดถึงในวงกว้าง , สำหรับ คำว่า สัปเหร่อ เป็นอาชีพ ที่อยู่กับสังคมไทยมาอย่างช้านาน  โดยอาชีพนี้ จริงๆแล้ว เป็นหนึ่งในอาชีพที่ เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมในสังคม โดยเฉพาะ ธรรมเนียมประเพณี งานปลงศพ จัดการความเรียบร้อยของศพ ของชาวพุทธ ที่มีมากกว่าครึ่งประเทศ

โดย คำว่า "สัปเหร่อ" ยังมีคนอีกหลายกลุ่มที่อาจยังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ ความเป็นสัปเหร่อ ที่เกี่ยวพันกับปลายทางของชีวิตอย่าง “ความตาย”

แต่ถึงกระนั้น อาชีพสัปเหร่อนี้กลับเป็นอาชีพสำคัญที่ขาดไม่ได้ในสังคมไทยที่มีคนพุทธเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งประเทศ เพราะมีประวัติศาสตร์เรื่องราวอันยาวนาน ทั้งยังเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คน

โดย ความหมายของสัปเหร่อ นั้น ตามไม้บรรทัดความหมายของ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ให้ความหมายคำว่า สัปเหร่อ (เป็นคำนาม) กล่าวคือ ผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการศพตั้งแต่ทำพิธีมัดตราสัง จนกระทั่งนำศพไปฝังหรือเผา


รู้จักอาชีพสัปเหร่อ งานเก่าแก่ อาชีพบริการศพ ที่สังคมไทยขาดไม่ได้

ขณะที่ที่ พจนานุกรมมติชน ก็ได้ให้ความหมายไปในทางเดียวกัน

ในความเป็นจริงแล้ว, “สัปเหร่อ” เป็นอาชีพที่ไม่ใช่งานในฝันของคนทั่วไปหรอก ความจริงข้อนี้ปฏิเสธไม่ได้ หลายๆครั้งที่คนกลุ่มนี้ โดนดูถูกเหยียดหยามเพราะต้องทำงานเกี่ยวกับศพ และความตาย  ไม่มีใครเหลียวแล  สัปเหร่อ ไม่มีสวัสดิการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีสวัสดิการประกันสังคม เหมือนหลายๆอาชีพ ,รายได้ไม่แน่นอน บางเดือนอาจจะหลักหมื่น และบางเดือน อาจมีรายได้เป็นศูนย์ ในความเป็นอาชีพอิสระ

แต่ในทางกลับกัน , ในวาระสุดท้ายของชีวิตเราทุกคนที่เป็นชาวพุทธ  พวกเขาคือบุคคลสำคัญที่จะช่วยส่งทุกดวงวิญญาณให้ไปสู่สุขติ และในช่วงที่โควิดระบาดหนัก สัปเหร่อบางที่ต้องทำหน้าที่ออกไปเก็บศพเอง

ภาพยนตร์ สัปเหร่อ ทำให้คนสนใจ ที่มา และความหมายที่แท้จริง ของคำว่า "สัปเหร่อ"

หาก ย้อนเข็มนาฬิกากลับไปในอดีต , ในสมัยรัชกาลที่ 5 เคยปรากฏตำแหน่ง "ขุนกะเฬวราก" หรือบางคนเรียกว่า "นายป่าช้า" ในสมัยนั้น หรือ "สัปเหร่อ" ทำหน้าที่ ปลงศพและจัดการความสยดสยองของบุคคลสิ้นลมหายใจให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น 

การทำงานของขุนกะเฬวราก หรือ ที่ปัจจุบัน เรียกกันว่า สัปเหร่อ ในเข็มนาฬิกาเดินในปัจจุบันนั้น อาจจะยังมีลักษณะที่ไม่เป็นทางการ แต่จากกระบวนการกำจัดความสยดสยองที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 2430 กลายเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้รัฐสยามตระหนักถึงความสำคัญของการกำจัดซากศพ จนนำมาสู่การประกาศใช้ “กฎเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยป่าช้าแลนายป่าช้า” ใน พ.ศ. 2460 อันเป็นกฎหมายที่รัฐสยามแต่งตั้งให้ “นายป่าช้า” ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการความศิวิไลซ์อย่างเป็นทางการ โดยต้องทำงานอยู่ภายใต้อำนาจของกระทรวงนครบาล

โดย ห้วงเวลานั้น พ.ศ. 2460  หรือเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว  สยามได้ประกาศใช้ "กฎหมายเสนาบดีกระทรวงนครบาลว่าด้วยป่าช้าแลนายป่าช้า" ซึ่งทำให้ "นายป่าช้า" มีหน้าที่ในการจัดการศพอย่างเป็นทางการ ในช่วงเวลาแห่งการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อเข้าสู่ความเจริญขึ้น เพราะยังมีการทิ้งศพตามพื้นที่สาธารณะอยู่

ในประเด็นจรรยาวิชาชีพ สัปเหร่อ ก็ถือเป็นประเด็นที่สำคัญ กล่าวคือ อาชีพนี้ต้องไม่เลือกปฏิบัติ ต้องเผาศพให้เจ้าภาพทุกรายโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง กล่าวคือไม่มีความลำเอียง ใจต้องเป็น "กลาง" ไม่แคร์ ฐานะความยากดีมีจน ต้องทำหน้าที่ด้วยความเป็นมืออาชีพ คือ รับผิดชอบงานในหน้าที่ให้สำเร็จเรียบร้อยทุกขั้นตอน ตั้งแต่ทำความสะอาดเตาเผา จนถึงเก็บกระดูก

ทั้งนี้ ปัจจุบัน คำราชการกำหนดหน้าที่สัปเหร่อเป็นงานประเภทที่ 5 คือพนักงานบริการ และพนักงานขายในร้านค้าและตลาด ในหมวด 51 คือเป็นพนักงานให้บริการในเรื่องส่วนบุคคลและบริการด้านการป้องกันภัย กำหนดเป็น "สัปเหร่อและเจ้าหน้าที่ฉีดยาศพ" ทำหน้าที่จัดการเผาศพและฝังศพ รักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการฉีดสารเคมีในร่างศพ รวมถึงการทำพิธีต่างๆ เกี่ยวกับการจัดการศพ

จนกลายมาเป็นอาชีพที่เรารู้จักกันจนถึงตอนนี้ แม้อาจไม่ได้สร้างความจดจำให้กับเหล่าผู้คนที่เกี่ยวข้องกับผู้ล่วงลับ แต่อาชีพสัปเหร่อ ก็ช่วยเชื่อมโยง ระหว่างคนเป็น กับคนตาย ได้


จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16252.0.html
60  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / ‘โผบินจากกองเถ้าถ่าน ข้ามผ่านดินแดนทั้ง 3’ ตำนานของ ‘นกกระสา’ ในอารยธรรมต่างๆ เมื่อ: 12 มกราคม 2567 09:05:38






‘โผบินจากกองเถ้าถ่าน ข้ามผ่านดินแดนทั้ง 3’ ตำนานของ ‘นกกระสา’ ในอารยธรรมต่างๆ



วันนี้ยังคงเป็นอีกวันที่แฟนๆ จิบลิ (Ghibli) และแฟนของฮายาโอะ มิยาซากิ (Miyazaki Hayao) ตั้งตารอคอย กับการกลับมาของอนิเมชั่นเรื่องยาว ซึ่งคราวนี้มาพร้อมกับสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์หนึ่งประเภทคือ นกกระสานวล หรือ Grey Heron ตามชื่อเรื่องเด็กชายกับนกกระสา (The Boy and the Heron)

ความน่าสนใจของเรื่องราวในคราวนี้คือ ตัวละครเอกเป็นเด็กผู้ชาย ตัวเรื่องมีมิติที่น่าสนใจจากการพูดถึงสงคราม การสูญเสีย และการเติบโตขึ้นของเด็กที่ได้รับผลจากสงครามนั้น โดยเด็กชายกับนกกระสาอ้างอิงมาจากนวนิยายญี่ปุ่นในชื่อเดียวกันของเก็นซาบุโร่ โยชิโนะ (Genzaburo Yoshino) เล่าเรื่องราวของเด็กๆ ที่ต้องก้าวผ่านความสูญเสียหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ตัวเรื่องฉบับจิบลิถูกเขียนเรื่องขึ้นใหม่ โดยไม่ได้เชื่อมโยงกับนวนิยายโดยตรง

ตัวเรื่องเด็กชายกับนกกระสาจึงมีธีมแบบญี่ปุ่นที่น่าสนใจคือ ผลกระทบของเด็กๆ ที่สูญเสียคนที่รัก โดยเฉพาะพ่อแม่จากสงคราม การก้าวเข้าสู่โลกมหัศจรรย์ของเด็กชายกับการได้พบหอคอยและนกกระสาสีเทาพูดได้ หอคอยและนกกระสาในฐานะเพื่อนร่วมทางใหม่นี้ ได้พาเด็กชายไปยังดินแดนเหนือจินตนาการ พร้อมกับความหวังว่าเขาเองจะได้พบกับแม่ที่อาจยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งอีกครั้งหนึ่ง

อ่านเรื่องย่อมาแค่นี้คงพอจะสัมผัสกลิ่นอายความเป็นจิบลิได้ เรื่องราวแฟนตาซีที่ซ่อนปมบางอย่างของเด็กๆ การเดินทางเพื่อค้นพบและเติบโตขึ้น โดยสำหรับผู้ที่รักเรื่องเล่าและตำนาน การที่อนิเมชั่นของสตูดิโอจิบลิเลือกเล่าโดยมีนกกระสาเป็นหนึ่งในตัวละครเอก พร้อมทั้งทำหน้าที่ส่งข่าว และนำพาตัวละครเอกของเราไปยังดินแดนเพื่อตามหาความหมายที่หายไป การกลับมาของนกกระสา จึงดูจะเป็นการกลับมาของตำนานเก่าแก่ที่เราคุ้นเคย จากนกที่เต็มไปด้วยความสง่างามและสงบนิ่ง กับตำนานที่เกี่ยวข้องกับการนำพาเด็กเกิดใหม่มาสู่โลก และตำนานว่าด้วยการเป็นสัตว์ส่งสาส์นผู้โบยบินผ่านดินแดนต่างๆ



นกกระยาง นกกระสา กับตำนานเด็กเกิดใหม่

เบื้องต้นเราอาจรู้สึกสับสนกับนกน้ำ 2 ประเภทที่มีลักษณะคล้ายกัน และอาจเรียกสลับกันไปมา โดยเฉพาะในเรื่องเล่าตำนานต่างๆ เพราะนกกระยางและนกกระสาเป็นนกน้ำทั้ง 2 ชนิด อาศัยและหากินอยู่ตามแหล่งน้ำ ทั้งยังบินได้ทั้งคู่ การแยกนกกระยางและนกกระสาจึงมีความน่าปวดหัวพอสมควร แต่ข้อมูลจากคอลัมน์นกป่าสัปดาห์ละตัวก็อธิบายคำเรียกที่อาจดูสลับกันให้เข้าใจง่ายขึ้น

โดยทั่วไปนกกระสาจะแปลมาจากคำว่า Stork มีลักษณะเด่นคือ โคนปากหนา และมีจะงอยปากใหญ่ ในขณะที่นกกระยางแปลมาจากคำว่า Heron มีจะงอยปากเรียวเล็ก ซึ่งนกยางจะมีความหลากหลายทางสายพันธุ์มากกว่า ทีนี้ Heron จะใช้เรียกนกยางที่มีขนาดใหญ่และไม่มีลำตัวสีขาวว่านกกระสาด้วย เช่น นกกระสานวล (Grey Heron) หรือนกกระสาแดง (Purple Heron

หน้าตาของนกน้ำ รวมถึงการปะปนของการเรียกชื่อ นกน้ำจึงมักถูกเรียกสลับกันโดยเฉพาะในตำนานเรื่องเล่าต่างๆ เช่น ตำนานสำคัญที่เรามักนึกถึงคือ ตำนานนกกระสาคาบเด็กทารก สุดยอดตำนานที่พ่อแม่ใช้ตอบคำถามเราว่า เด็กๆ เกิดจากไหน แทนการอธิบายด้วยลักษณะทางชีววิทยาที่ยุ่งยากและเด็กอาจยังไม่เข้าใจ

นกจากตำนานการคาบทารกมาส่ง มาจากนิทานสำคัญของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) ชื่อเรื่องว่า The Storks แต่ตัวนิทานของฮันส์เรื่องนี้ไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไร เพราะมันสุดแสนจะดาร์กด้วยการเล่าเรื่องนางนกกระสาที่ถูกเด็กๆ รังแก ตอนจบของเรื่องจะพูดถึงบทบาทของนกกระสาที่ทำหน้าที่คาบทารกไปให้ครอบครัวต่างๆ ซึ่งตัวเรื่องในตอนแรก แม่นกจะให้ลูกนกจิกลูกตาของเด็กเกเร สรุปแล้วเรื่องก็อาจไม่โหดขนาดนั้น แต่แม่นกกระสากลับล้างแค้นด้วยการคาบศพทารกไปให้บ้านที่เด็กๆ ทำตัวไม่ดี และคาบทารกน่ารักๆ ไปให้บ้านที่เด็กทำตัวน่ารัก

จากตำนานของฮันส์ ถัดมาในบ้านเราเรียกกันว่านกกระสาคาบเด็ก และถ้าสืบย้อนกลับขึ้นไปก็ยังมีตำนานนกกระยางคาบทารก ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมาจากตำนานกรีก เป็นเรื่องของราชินีที่ชื่อว่า การีน่า (Gerana) ถูกสาปให้กลายเป็นนกยาง โดยหลังจากถูกสาป ราชินีได้พยายามขโมยลูกของเธอคืนด้วยการคาบผ้าสีขาวมาหอบหิ้วทารก และบินขึ้นไปบนท้องฟ้า

นักวิชาการ เช่น ผู้เขียนหนังสือ Birds: Myth, Lore and Legend ชี้ให้เห็นว่าตำนานที่เกี่ยวกับนกและการเกิดใหม่ มีความปนเปกันระหว่างนก 3 ชนิดคือ นกกระสา นกกระยาง และนกกระเรียน เช่น ตำนานเทวีเฮราสืบย้อนไปพบว่าเป็นนกกระเรียน และตำนานนกที่เกี่ยวกับการเกิดใหม่ เช่น ตำนานอียิปต์ก็พบว่าเป็นนกกระสา (Heron)




นกกระสากับการบินข้ามภพ

ประเด็นเรื่องนกกระสาในฐานะนกที่สัมพันธ์กับความเชื่อปรัมปรา มีที่มาเก่าแก่มาก สำหรับการเชื่อมโยงกับความเป็นแม่และการดูแลเด็กทารก ก็อาจสัมพันธ์กับลักษณะของนกกระสาที่ทำรังไม่ไกลจากบ้านเรือนของมนุษย์ และเพราะร่างกายของมันมีสีขาวบริสุทธิ์เหมือนกับความรักของแม่

ในตำนานที่เก่าแก่กว่านั้นซึ่งสัมพันธ์กับชื่อวิทยาศาสตร์คือ การอยู่ในนกวงศ์ Ardeidae ชื่อวิทยาศาสตร์มาจากชื่อเมือง Ardea มีที่มาจากกวีโรมันอย่างโอวิด (Ovid)เขาเล่าถึงที่มาของนกกระสาไว้ในงานเขียน Metamorphoses ตำนานว่าด้วยการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ โดยโอวิดเล่าว่า นกกระสาเป็นนกที่โผบินขึ้นจากซากปรักหักพังของเมืองดังกล่าวจากสงคราม เป็นนกที่โผขึ้นจากกองเถ้าถ่าน

ตรงนี้เองที่นกกระสาเชื่อมโยงเข้ากับการเกิดใหม่คล้ายกับนกฟีนิกซ์ ลักษณะของนกกระสานี้จึงพ้องกับตำนานเทพเจ้า Bennu เทพที่มีร่างเป็นนกกระสา เป็นตัวแทนของการสร้างโลกและการให้กำเนิด ทั้งนี้นกกระสายังมีความเชื่อมโยงกับเทพเจ้าสำคัญหลายองค์ และเป็นตัวแทนของวัฏจักรการสร้างและกำเนิดใหม่ ซึ่งตำนานดังกล่าวเชื่อว่ามันส่งอิทธิพลสู่ตำนานนกฟีนิกซ์ในอารยธรรมกรีกโรมันด้วย

ตำนานนกกระสาที่ไปสัมพันธ์กับการสร้างโลกและการกำเนิดใหม่ ยังมีภาพที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น ในตำนานอียิปต์กล่าวถึงเรื่องการโผบินเหนือผืนน้ำที่ว่างเปล่าก่อนการสร้างโลก ซึ่งการโผบินนี้ก็ไปคล้ายกับความเชื่อของนกกระสาในอารยธรรมตะวันออกอย่างความเชื่อแบบญี่ปุ่น และอาจจะเชื่อมโยงกับบทบาทนกกระสาในอนิเมชั่นด้วย




ในทำนองเดียวกัน ความเชื่อญี่ปุ่นเชื่อว่านกกระสาเป็นนกที่สามารถเคลื่อนผ่านธาตุทั้ง 3 อย่างดิน น้ำ และลม ทำให้นกกระสาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้นกกระสายังเกี่ยวข้องกับความงามของธรรมชาติ ความสง่างาม และการหยุดนิ่งที่ถูกเชื่อมโยงเข้ากับความงดงามของฤดูหนาว ในขณะเดียวกันการเชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงทั้ง 3 ของธาตุทั้ง 3 และฤดูกาลที่เปลี่ยนผัน ยังทำให้นกกระสามีความเกี่ยวข้องกับมิติซับซ้อนสำคัญ คือห้วงความรู้สึกของความสูญเสีย ความเศร้าและความอาลัย ความรักที่สูญหายและการพบกันอีกครั้ง

ภาพของนกกระสาในศิลปะญี่ปุ่น ยังมักปรากฏในภาพวาดที่สัมพันธ์ทั้งกับความงามของธรรมชาติ และความรู้สึกอันละเอียดอ่อนของการพานพบ จากลา และการค้นพบสัจธรรมของชีวิตและโลกใบนี้ ตำนานของนกกระสาเองก็สัมพันธ์กับพื้นที่ธรรมชาติ การเฝ้ามองการปรากฏตัวของพวกมันที่เราเชื่อมโยงลักษณะและพฤติกรรมเข้ากับวงจรของชีวิต ความรักอันบริสุทธิ์ของผู้เป็นแม่ ไปจนถึงการเรียนรู้เติบโตที่จะทะยานขึ้นใหม่จากความตายและการสูญเสีย


ทั้งหมดนี้ดูจะสอดคล้องกับเหตุผลบางอย่างของจิบลิ กับการเลือกนำนกกระสามาเป็นผู้นำทางสำคัญสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ของเด็กชาย ที่เริ่มต้นจากกองเถ้าถ่านและความตายของผู้เป็นแม่


จาก https://thematter.co/entertainment/animation/the-heron-and-the-stork/218229




<a href="https://www.youtube.com/v//WQNWXrlgTvk" target="_blank">https://www.youtube.com/v//WQNWXrlgTvk</a>

https://youtu.be/WQNWXrlgTvk?si=dseEGif85qT9J5la





จาก http://www.tairomdham.net/index.php/topic,16248.0.html
หน้า:  1 2 [3] 4 5 ... 236
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.911 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 04 เมษายน 2567 22:58:00