[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
29 มีนาคม 2567 09:01:35 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 229 230 [231] 232 233 ... 235
4601  สุขใจในธรรม / ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 / คอร์สปฏิบัติ "สมาธิ" บูม โรงเรียนดังในอังกฤษ-อเมริกา บรรจุเป็นหลักสูตรสอนเด็ก เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2553 14:11:58

 

 

 

 


หลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ผ่านกาลเวลาและการพิสูจน์ทราบมากว่า 2,550 ปีแล้ว ว่าได้ผลดีจริงสำหรับผู้นำไปประพฤติปฏิบัติ ทำให้ชีวิตนี้มีทุกข์น้อยลง และมีสุขเพิ่มขึ้น
       
       ปัจจุบัน คนในซีกโลกตะวันตกได้หันมาศึกษาพระพุทธศาสนากันมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติธรรมทำสมาธิ เพราะเห็นว่าเป็นหนทางที่จะช่วยให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุข ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนในการใช่ชีวิตในสังคมปัจจุบันที่ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิต และหาทางออกไม่ได้
       
       เมื่อผู้ใหญ่ทั้งหลายได้ลงมือทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง และเห็นผลจริง พวกเขาจึงคิดหยิบยื่นสิ่งดีๆนี้ไปสู่เด็กๆ
       
       • โรงเรียนเก่าแก่ในอังกฤษเปิดคอร์สสอนสมาธิ
       
       โรงเรียนเอกชนเก่าแก่ชั้นนำ “ทอนบริดจ์” (Tonbridge) อายุ 400 ปีเศษ ในเมืองเคนท์ ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปี 1553 รับเฉพาะเด็กชายทั้งประจำและไปกลับ อายุระหว่าง 13-18 ปี ตั้งเป้าหมายให้เด็กนักเรียนที่จบออกไป มีความพร้อมในการก้าวสู่โลกของผู้ใหญ่ ด้วยการติดอาวุธทางความรู้และความเชื่อมั่นในตนเอง เพื่อตอบสนองตามศักยภาพของแต่ละคน
       
       ดังนั้น ทางโรงเรียนจึงไม่เพียงให้ความสำคัญในการพัฒนาด้านวิชาการและเพิ่มประสบการณ์ให้เด็ก แต่ยังสอนทักษะต่างๆ ซึ่งจะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากสับสนและตึงเครียด และหนึ่งในทักษะที่ทางโรงเรียนสอน ก็คือการทำสมาธิ เพื่อช่วยให้จิตของเด็กอยู่กับปัจจุบันขณะ มากกว่าติดอยู่กับเรื่องในอดีตหรืออนาคต
       
       คอร์สการทำสมาธินี้ เป็นหลักสูตรเสริมที่เริ่มเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2009 จัดอยู่ในโปรแกรม PSHE (การศึกษาเรื่องเฉพาะบุคคล สังคม และสุขภาพ) ที่มีการสอนในหลายรูปแบบและในสถานที่แตกต่างกัน เช่น สอนเป็นกลุ่มเล็กๆในสนามสควอช ไปจนถึงเปิดเป็นชั้นเรียนในสนามเด็กเล่น และแม้แต่สอนเด็กทั้งโรงเรียนในหอสวดมนต์
       
       มีนักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและเคมบริดจ์ ช่วยกันกำหนดรูปแบบสำหรับเด็กนักเรียนอายุ 14-15 ปี จะใช้เวลาเรียน 8 สัปดาห์ โดยในแต่ละสัปดาห์จะสอนทักษะการทำสมาธิแต่ละขั้นตอน ทุกชั้นเรียนต้องฝึกนั่งสมาธิเป็นเวลา 40 นาที และนักเรียนจะได้รับ MP3 วิธีเจริญสติ กลับไปฟังที่บ้านก่อนทำการบ้านในตอนเย็นอีกด้วย
       
       และนี่ถือเป็นคอร์สแรกๆของประเทศ ที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาทักษะในการทำสมาธิและต่อสู้กับความวิตกกังวล โดยระบุว่า วัยรุ่นที่ผ่านการเรียนคอร์สนี้ จะได้รับประโยชน์จากการเจริญสติ ช่วยให้พวกเขารู้จักแยกแยะและหลบหลีกทัศนคติที่ไม่ดี ที่อาจนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพจิตได้ เช่น ความซึมเศร้า ความผิดปกติในการรับประทานอาหาร และการติดยาเสพติด
       
       • นักเรียนเปิดใจรับสิ่งใหม่
       
       นอกจากนั้นคอร์สนี้ยังช่วยพัฒนาวิธีปฏิบัติหลายรูปแบบ เพื่อช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น โดยการเพ่งดูลมหายใจ ดูส่วนต่างๆของร่างกายหรือการเคลื่อนไหว เพื่อฝึกจิตให้ หลุดพ้นจากสภาวะอารมณ์ต่างๆ เช่น ความเศร้าโศก ความทุกข์ในอดีตและอนาคต และสิ่งล่อใจหลายๆ อย่าง
       
       ริชาร์ด เบอร์เนต หัวหน้าผู้สอนคอร์สการนั่งสมาธิของโรงเรียนทอนบริดจ์กล่าวว่า คอร์สนี้จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความเชื่อในเรื่องการทำสมาธิของบรรดาครูและนักเรียน
       
       “มีเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน นั่นคือ ความเงียบ สงบเชื่อมโยงกับอำนาจ เพราะครูสามารถบอกให้นักเรียน อยู่ในความเงียบได้ และครูต้องสื่อให้เด็กๆเห็นว่า ความเงียบสงบเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ และทำให้สนุกสนานได้”
       
       นอกจากนี้ยังได้ยกตัวอย่างคนมีชื่อเสียง หรือตัวละคร ในภาพยนต์ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม มาอธิบายประโยชน์ของการเจริญสติ เช่น นักรักบี้ชื่อดัง “จอนนี่ วิลคินสัน” ที่ใช้เทคนิคการนั่งสมาธิ เพื่อช่วยให้เขามีสมาธิในการเตะลูกเข้าโกล หรือ “โป” หมีแพนด้าจอมเฉื่อยชาเซื่องซึมในภาพยนตร์เรื่องกังฟูแพนด้า ที่การนั่งสมาธิช่วยให้มันเปลี่ยนแปลงทัศนคติได้
       
       เบอร์เนตกล่าวว่า มีนักเรียนบางคนที่เข้าร่วมการทดลอง เกิดความสงสัยเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่เปิดใจรับความท้าทายที่เกิดขึ้นในห้องเรียน
       
       • เสียงสะท้อนของเด็กๆ จากการทำสมาธิ
       
       หัวหน้าผู้สอนคอร์สการนั่งสมาธิของโรงเรียนเก่าแก่แห่งนี้เล่าว่า เด็กๆบอกว่า พวกเขาหวังที่จะนำการทำสมาธิ ไปใช้ในอนาคต เพื่อช่วยต่อสู้กับความวิตกกังวล และช่วยให้คิดเป็นขั้นตอน และเด็กๆยังบอกว่า การนั่งสมาธิช่วยทำให้นอนหลับสบายและคลายความกังวลเมื่อต้องลงแข่งคริกเก็ต
       
       และนี่คือคำบอกเล่าส่วนหนึ่งของเด็กๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมาธิ
       
       “มันทำให้สงบและผ่อนคลาย ผมรู้สึกเหมือนได้หยุดพักชั่วขณะในระหว่างวัน”
       “มันเป็นทักษะที่ผมสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต”
       “ผมคิดว่า ในระยะยาวมันจะช่วยทำให้ผมมีสติรู้ตัว”
       “มีประโยชน์มากเลยครับ ผมใช้การทำสมาธิช่วยเมื่อเครียดและทำงานมากเกินไป”
       “ผมรู้สึกถึงความสงบมากขึ้นในจิตใจ และสุขใจมากขึ้นหลังการนั่งสมาธิ มันช่วยให้ผมสนใจเฉพาะสิ่งที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่กังวลเรื่องการสอบ ผลสอบ การบ้าน ปกติแล้วผมเป็นคนขี้กังวลและเครียดง่าย แต่เมื่อได้ฟังซีดีการทำสมาธิ มันทำให้ลืมความกังวลต่างๆ และอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น”
       “มันช่วยให้ผมผ่อนคลายและรับมือกับผู้คนได้”
       “ช่วยให้รู้วิธีปฏิบัติตนเมื่อตื่นตระหนกหรือเครียด”
       “คอร์สนี้มีแบบแผนที่ดีและง่ายที่จะเข้าใจ ทำให้ง่ายต่อการเรียนทำสมาธิ
       “มันช่วยให้ผมนอนหลับง่ายขึ้น” ฯลฯ
       
       • โรงเรียนอื่นๆ เตรียมเปิดคอร์สสอนสมาธิ หลังพบว่าได้ผลดี
       
       โครงการสอนสมาธิในโรงเรียนทอนบริดจ์ได้รับความ ร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน “ชาร์เตอร์เฮาส์’ (Charterhous) และ “แฮมตัน” (Hampton) ด้วย ซึ่งเตรียมจะเปิดคอร์สดังกล่าวในไม่ช้านี้เช่นกัน โดยมีศูนย์สมาธิแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และสถาบันเพื่อชีวิตที่ดีแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เป็นผู้นำในการทำสมาธิ
       
       โปรเฟสเซอร์ มาร์ค วิลเลียมส์ ผู้อำนวยการศูนย์สมาธิแห่งมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า โรงเรียนทอนบริดจ์เป็นโรงเรียนแห่งแรกที่นำคอร์สการนั่งสมาธิเต็มรูปแบบมาใช้ปฏิบัติจริง มิใช่เพียงการสอนในรูปแบบตำราเรียน
       
       “นี่มิใช่การเปลี่ยนคนให้หันไปนับถือศาสนาพุทธ แต่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า การนั่งสมาธิมีประโยชน์ แล้วทำไมเราต้องปฏิเสธด้วยล่ะ”
       
       ขณะที่ แอนดรูว์ แมคคัลล็อค ซีอีโอของมูลนิธิสุขภาพจิต บอกว่า การฝึกเจริญสติ ช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะควบคุมสถานการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการซึมเศร้าและความวิตกกังวลในวัยชรา
       
       “ปัญหาเหล่านี้ฝังรากลึกมาตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต ถ้าคุณเรียนรู้เทคนิคเมื่ออายุยังน้อย คุณอาจไม่ต้องเจอกับสภาพดังกล่าวเลย”
       
       • โรงเรียนไอน์สไตน์ ในอเมริกา เริ่มกิจกรรมนั่งสมาธิ
       
       อีกหนึ่งโรงเรียนดังในอเมริกา ที่นำการปฏิบัติสมาธิมาสู่เด็กในโรงเรียนคือ โรงเรียนอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย
       
       กิจกรรมการนั่งสมาธิในโรงเรียนอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เริ่มขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2010 ที่ผ่านมา โดยการนำของ “เจฟ ซล็อตนิค” ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการบริหารของ The Meditation Initiative องค์กรที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการทำสมาธิแก่คนทั่วไป โดยไม่แสวงหากำไร โดยมีฝ่ายบริหารและเจ้าหน้าที่เข้าร่วมด้วย
       
       เจฟเล่าว่าตั้งแต่มีการรวมตัวกันครั้งนั้น คนทั่วไปมีคำถามว่า เด็กนักเรียน 250 คนนั่งอยู่ในอาการสงบกันจริงหรือ คำตอบก็คือ “ไม่หรอก” เด็กๆ ต้องเฝ้าดูเสียงและเพ่งจิตไปที่ลมหายใจราว 5 นาที เนื่องจากชีวิตเต็มไป ด้วยเสียงและสิ่งรบกวน ดังนั้น จึงต้องเฝ้าดู และขณะเดียวกันก็ต้องเพ่งจิตอยู่ที่ปัจจุบันด้วย
       
       เมื่อผลที่ได้รับ เป็นที่แน่ชัดว่า การนั่งสมาธิเกิดผลดี ต่อบรรดาเด็กนักเรียน ทางโรงเรียนจึงได้จัดให้มีการนั่ง สมาธิเป็นประจำทุกวันในภาคบ่าย เพื่อให้ครูและนักเรียน ที่สนใจได้เข้าร่วมนั่งสมาธิด้วยกัน ซึ่งจะช่วยให้คุณครูได้ สังเกตปฏิกิริยาทางอารมณ์ของลูกศิษย์เมื่อต้องนั่งสงบนิ่ง นับเป็นกิจกรรมอันงดงามที่ทั้งสองฝ่ายร่วมกันทำเป็นการสร้างสัมพันธภาพระหว่างกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
       
       • เตรียมบรรจุในหลักสูตรการเรียน ในรัฐแคลิฟอร์เนีย
       
       ผู้อำนวยการ The Meditation Initiative เล่าด้วยว่า หลังจากได้นั่งสมาธิ นักเรียนชายวัย 13 ปี คนหนึ่งกล่าวว่า “ผมรู้สึกสงบและใจเย็นลง” ทำให้ครูท่านหนึ่งแสดงความประหลาดใจเมื่อได้ยิน
       “ฉะนั้น เราจึงหวังว่า การจัดกิจกรรมนั่งสมาธิที่โรงเรียน แห่งนี้และที่อื่นๆทั่วเมืองซานดิเอโก จะนำความสุขสงบสันติมายังผู้ร่วมกิจกรรมนี้ได้
       
       เพราะในสังคมที่เร่งรีบ เรามักรักษาผู้ป่วยโรคสมาธิสั้นด้วยยา การปฏิบัติสมาธิถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาเด็กสมาธิสั้นได้เป็นอย่างดี ช่วยให้จิตสงบ ไม่วอกแวก ทางองค์กรฯซึ่งทำงานร่วมกับกองการศึกษารัฐแคลิฟอร์เนีย ได้เห็นความสำคัญในการทำสมาธิของเด็กๆ จึงเตรียมบรรจุลงในหลักสูตรสำคัญของการเรียน และถึงเวลาแล้ว ที่สังคมอเมริกันต้องไม่กลัวคำว่า “การทำ สมาธิ” แต่ต้องเข้าใจและเห็นคุณค่าของการทำสมาธิ ซึ่งจะทำให้เราได้สัมผัสกับความสุขสงบ”
       
       คอร์สการทำสมาธิ 8 สัปดาห์ ของโรงเรียน Tonbridge
       
       สัปดาห์ที่ 1 - ฝึกจิตให้นิ่ง โดยให้เพ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เหมือนกับการฝึกสุนัขให้นิ่ง
       สัปดาห์ที่ 2 - เข้าสู่ความสงบ โดยสร้างความสงบให้เกิดขึ้นในใจ และให้จิตเป็นสมาธิ
       สัปดาห์ที่ 3 - กลับมาที่ความรู้สึกรู้ตัว พิจารณาอารมณ์ และการตระหนักรู้
       สัปดาห์ที่ 4 - อยู่กับปัจจุบันขณะ พัฒนาการรู้ตัวทั่วพร้อม ณ ปัจจุบัน ให้เกิดขึ้นในทุกๆวัน
       สัปดาห์ที่ 5 - ทำอย่างช้าๆ และไปเรื่อยๆ โดยดำเนินกิจกรรมต่างๆในชีวิตอย่างช้าๆ และมีความสุข รวมถึงการเดินด้วย
       สัปดาห์ที่ 6 - ถอยห่างเพื่อมองดู คือถอยออกจากความคิดที่เกิดขึ้นฉับพลัน แล้วดูความคิดที่เกิดขึ้นนั้น ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล
       สัปดาห์ที่ 7 - เต็มใจรับอุปสรรคที่เข้ามา ยอมรับและอยู่กับสภาพอารมณ์ไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข
       สัปดาห์ที่ 8 - ไตร่ตรองเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต และหาวิธีจัดการด้วยตนเอง
       
       รู้จักกับองค์กรสอนปฏิบัติธรรม
       The Meditation Initiative
       
       The Meditation Initiative เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2009 โดย เจฟ ซล็อตนิค ผู้มีประสบการณ์ด้านการสอนปฏิบัติสมาธิ เพื่อให้บริการฟรีด้านการทำสมาธิแก่ชุมชนต่างๆในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
       
       ที่ผ่านมาองค์กรแห่งนี้ได้จัดฝึกอบรมการทำสมาธิให้แก่เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ เพื่อป้องกันความเครียดและวิตกกังวล ช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น และสอนวิธีจัดการความโกรธ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงสภาพจิตและอารมณ์ให้ดียิ่งขึ้น
       
       ปัจจุบัน ทางองค์กรฯได้จัดคอร์สนั่งสมาธิโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายให้แก่โรงเรียนรัฐบาล มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล เรือนจำ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ติดเชื้อเอดส์ ศูนย์ผู้สูงอายุ ทหารผ่านศึก บ้านพักพิงเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวและขบวนการค้ามนุษย์
       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 114 พฤษภาคม 2553 โดย บุญสิตา)


http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9530000059708

4602  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : เพราะตามฝรั่ง-จึงโง่ติดแต่รูปกายวัตถุ เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2553 13:17:42



ตั้งแต่ในช่วงประมาณ 150-300 ปีที่แล้ว เป็นยุคสำรวจโลก หรือจริงแล้วคือยุคล่าอาณานิคมเราดีๆ นี่เอง ทั่วทั้งโลกยกเว้นประเทศที่เรียกว่ายุโรปเก่าหรือชาวฝรั่งตะวันตก

     เพราะเหตุว่าพวกฝรั่งมักไปเชื่ออดีตนักปรัชญาชาวกรีก โดยเฉพาะอริสโตเติลที่เชื่อเฉพาะโลกที่เห็นโลกนี้ และเชื่อแต่รูปกายวัตถุที่ตั้งอยู่ที่ภายนอกเท่านั้น กำลังเหลิงอำนาจ ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นกรรมร่วมของชาวโลกที่ไม่ถูกยกเว้นเหล่านั้นที่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของพวกฝรั่งในครั้งนั้น ที่พูดมานั้นไม่ว่าผู้เขียนไม่ชอบฝรั่งหรือชอบการแตกแยก เพราะการแตกแยกแย่งกันเป็นใหญ่นั้นผิดธรรมชาติที่มีแต่พึ่งพาอาศัยกัน นั่นเป็นการเกริ่นนำของบทความวันนี้

     ผู้เขียนเชื่อเช่นเดียวกับนักจิตวิทยาและนักการศึกษาทั้งหลาย - เชื่อรวมทั้งเคน วิลเบอร์ ที่เชื่อว่างานวิจัยของฌ็อง เปียเจต์ (Jean Piaget) ที่ใช้เวลาถึง 40 ปี เป็นผลงานวิจัยที่ดีที่สุดและทรงคุณค่าที่สุด - ว่าด้วยจิตวิทยาของการเจริญเติบโตของมนุษย์ (developmental psychology) เปียเจต์บอกว่าเด็กปกติจะใช้เวลา 0-11 ปี สำหรับการเจริญเติบโตทางจิตรู้ที่ควบคุมร่างกายจนถึงระดับ "ตัวกู" (egocentric or formal operation) ส่วน "ของกู" และจริยธรรมสังคมแสะวัฒนธรรม (sociocentric and ethnocentric) ที่ขึ้นกับการเลี้ยงดูอุ้มชูนั้นมาทีหลัง (เรียกว่า postconventional) วัยของคนที่พ้นวัยเด็กไปแล้ว หากจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transform) ได้ก็มีน้อย และซับซ้อนยิ่ง ผู้เขียนคิดว่ามันเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ฝังอยู่ในดินที่จะงอกเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์ได้ย่อมขึ้นกับดิน น้ำ อากาศ ปุ๋ย และอื่นๆ ที่จะเอื้อให้เมล็ดพันธุ์นั้นงอกงามได้ ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงของบุคคลใดเมื่อมีวัยมากขึ้น เช่นผู้เขียน คงไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงของจิตสำนึกธรรมดาๆ น่าจะเป็นจิตใต้สำนึกหรือแม้จะเป็นจิตไร้สำนึกก็เป็นได้ ทั้งยังซับซ้อนยิ่งอีกด้วย


     เมื่อไม่นานนักมานี้ ผู้เขียนได้ถามลูกสาวของเพื่อน - ซึ่งจบดอกเตอร์มาจากเมืองนอก - ลูกสาวที่มีอายุประมาณ 6-7 ขวบ ว่าอะไรคือความจริงที่แท้จริง ซึ่งเด็กตอบทันทีว่าก็อะไรที่หนูม
องเห็นต้องเป็นความจริงทั้งนั้น เร็วๆ นี้มีลูกสาวบุญธรรมคนหนึ่งพาเพื่อนที่จบแพทย์แล้ว 2 คนมาหาที่บ้าน พร้อมกับพาลูกสาวอายุ 5 ขวบพอดี หรือ 5 ขวบต้นๆ มาด้วย ตอนหนึ่งขณะเราที่เป็นผู้ใหญ่แล้วพูดกันในเรื่องของศาสนา พูดถึงความเป็น 2 (dualism) ที่มี 2 ความจริง ทั้งในทางพุทธศาสนา มายาและทวิตา กับทั้งในทางวิทยาศาสตร์หรือฟิสิกส์แห่งยุคใหม่ ทฤษฎีควอนตัม (duplex worlds of Heisenberg) - ที่ต้องเอามาคิดต่อว่าทำไมเราถึงได้มาพบทฤษฎีควอนตัมในช่วงนี้ ช่วงที่จิตมีความสำคัญและกำลังยอมรับกันว่าเป็นความรู้เป็นวิทยาศาสตร์ (science of consciousness) - หลานสาวที่ง่วนอยู่กับดินน้ำมันและไม่คิดว่าจะฟังอยู่ด้วยก็ได้พูดขึ้นว่า "คุณตาพูดอะไร? ฟังไม่รู้เรื่องเลย" ก็แปลกใจที่เด็กในวัยแค่นั้นก็อยากรู้เรื่องว่าผู้ใหญ่เขาคุยกันเรื่องอะไรด้วย แถมยังมีหมอคนหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็พูดขึ้นว่า "นั่นซี เข้าใจนั้นก็เข้าใจอยู่ แต่รู้แล้วเข้าใจแล้ว สงสัยว่ามีประโยชน์อย่างไร?" ก็ยิ่งแปลกใจใหญ่ พอดีเมื่อวานนี้กระทรวงสาธารณสุขได้จัดเจ้าหน้าที่ของกระทรวง - ซึ่งประกอบด้วย พยาบาล เภสัชกร วิศวกร นิติกร - มาตรวจสถานพยาบาล (ที่ในบ้านเรามีมาตรฐานอย่างเดียวกับโรงพยาบาล) ที่มีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นที่รู้กันดีอยู่ทุกคนแล้วว่าเป็นการให้การรักษาเรื่องทางจิตหรือจิตวิญญาณ และความสุขปราศจากทุกข์ทางร่างกาย โดยเฉพาะทางจิตใจหรือจิตวิญญาณผู้ป่วยคือเป้าหมาย ฉะนั้น การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคอง คิดถึงจิตใจของผู้ที่กำลังจะจากโลกไปในไม่ช้านี้เป็นสำคัญ แต่เจ้าหน้าที่ของกระทรวงทุกๆ คนเลย คล้ายๆ ว่ารับคำสั่งมาอย่างนั้น หรือเคยเรียนแบบตะวันตก คือเท่าที่ตาเห็นหรือใช้อุปกรณ์ช่วยเห็นช่วยการรับรู้เท่านั้น ดังนั้นจึงตรวจและถามมาเท่าที่ตนรู้ หรือเรียนมาแบบฝรั่งแบบตะวันตกเพียงอย่างเดียว จนกระทั่งผู้เขียนอดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า "เราจะพูดกันแต่ในเรื่องกายภาพหรืออย่างไร?" นั่นคือ ผู้เขียนคิดตามพุทธศาสนาว่าสรรพสิ่งต้องมีทั้งกายกับจิต


     เพราะฉะนั้น จากที่เล่ามานั้น เราชาวตะวันออกถึงได้ไม่มีความรู้อะไรเลยที่เป็นของตัวเองแม้แต่น้อย ความรู้ที่เรามีอยู่ในทุกวันนี้ล้วนเป็นความรู้ของฝรั่งตะวันตกทั้งสิ้น ที่พูดนี้ตอนนั้นผู้เขียนยังหนุ่มๆ อยู่ จะหมายถึงนักวิชาการหรือปัญญาชนคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ ก็เพราะว่าความรู้ของเราชาวตะวันออกที่มีอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์โบราณจริงๆ เรากลับโยนทิ้งไปทั้งหมด เพราะเหตุว่าเราไม่เชื่ออย่างแรง และโดยสิ้นเชิงว่า ความรู้ของชาวตะวันออกเราที่มีมาอย่างช้านานตั้งแต่ชาวตะวันตกยังไม่นุ่งผ้าแสดงแต่ขนรกรุกรังนั้น ฉะนั้น เราชาวตะวันออกได้เจริญศิวิไลซ์มานานแล้ว แต่เพราะว่าในตอนหลัง เราคิดว่าฝรั่งตะวันตกเจริญกว่าเรา ฉลาดกว่าเรา และที่สำคัญ เก่งกว่าเรา โลกของฝรั่งเป็นไปตามปรัชญาฝรั่ง อริสโตเติลเฉพาะรูปกายวัตถุที่มองเห็นเท่านั้น ส่วนเรามีแต่ความรู้ที่เราได้มาจากความเชื่อ จากภายในเป็นลักษณะของความจริงแท้ที่สอดคล้องต้องกันกับธรรมชาติ ที่เรารู้ว่ามีอยู่ 2 ระดับ คือ หนึ่ง เป็นธรรมชาติระดับหยาบ หรือระดับล่าง เช่น ป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำ ฯลฯ และเฉพาะแต่ธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัวเท่านั้น สอง ธรรมชาติอันละเอียดยิ่งที่มีพลังอำนาจลึกลับ แต่กอปรด้วยความรักเมตตา ธรรมชาติอันหลังนี้ซึ่งละเอียดจนมองเท่าไรก็ไม่เห็น ได้แก่ เจ้าพ่อเจ้าแม่เทพเทวาทั้งหลาย (spirit) นั่นเอง เจ้าพ่อเจ้าแม่หรือสปิริตที่มีนิยายจักรๆ วงศ์ๆ ตามที่เป็นลักษณะของจิตนิยม ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นส่วนที่สอดคล้องต้องกันกับศาสนาที่มาทีหลัง - ที่เป็นจิตด้วยกันและต่างก็มองไม่เห็นด้วยกัน - ศาสนาที่มาทีหลังมากนัก นั่นคือ ที่มาของความเชื่อความรู้ของเราที่เป็นชาวตะวันออกอันแตกต่างไปจากความรู้ภายนอกที่ตามองเห็นของชาวตะวันตก ทั้งยังประกอบด้วยกายวัตถุและมีรูปธรรมสัณฐานที่ประมาณได้ตรวจวัดได้ ความรู้ของชาวตะวันออกนั้นที่แม้จะเป็นความเชื่อที่ไม่มีระเบียบหรือเหตุผลและตรวจวัดไม่ได้ แต่เราก็นำมาใช้ดำเนินเป็นวิถีชีวิตของเราชาวตะวันออกที่ปัจจุบันนี้จะเรียกกันว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน เราเพิ่งมารู้ในตอนหลังเพียงกว่า 200 ปีที่แล้วว่า ที่ฝรั่งชาวตะวันตกเดินทาง
ไปสำรวจโลกนั้นก็เพื่อตัวของตัวเอง หรือเพื่อล่าอาณานิคมเป็นของตนเอง เพราะความโลภเท่านั้น เราเพิ่งมารู้ว่า ความฉลาดแกมโกงเอาตัวรอดและความโหดเหี้ยมเยี่ยงสัตว์ร้ายคือความเก่งกาจฉลาดเฉลียวก็เมื่อมีลัทธิล่าอาณานิคมได้ตามหลังยุคของการสำรวจ และได้ค้นพบโลกของชาวตะวันตกเท่านั้น           

                                                                                                                                                                           
     ฉะนั้น จึงไม่เป็นการเกินเลยไปแต่อย่างใด หากเราจะพูดว่าพฤติกรรมทั้งหมดของฝรั่งตะวันตกในอดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่อย่างดีที่สุดก็เป็นเพียงทารกที่ยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำนม 2 คนที่เล่ามาในตอนแรกนั้น เราชาวตะวันออกอุตส่าห์โยนทิ้งความรู้ความเชื่อที่อยู่กับเราเป็นพันๆ ปี เพื่อไปรับสิ่งใหม่ ไปรับวัฒนธรรมใหม่ของฝรั่งตะวันตก เราร่ำเรียนความรู้ที่มีแต่รูปธรรมกายวัตถุที่มองเห็นตั้งอยู่ข้างนอกนั่น เราแสวงหาแต่ความเท่าเทียมกันและประชาธิปไตยทางรูปกาย โดยไม่สนใจในเรื่องความประพฤติหรือพฤติกรรมที่ควบคุมด้วยจิตและจิตใจอย่างหนึ่งอย่างใดเลย ทั้งหมดนั้นคือวิถีชีวิตของฝรั่งตะวันตกและความเป็นตะวันตกของอดีตและคนฝรั่งส่วนใหญ่ในปัจจุบัน - ที่ไม่สมบูรณ์เลย แต่เราคิดว่าถูกต้องสมบูรณ์มาแทนของเราที่ใช้มานาน - ทั้งนี้ ที่เอามาเล่านี้ไม่มีอะไรที่ชาวตะวันออกที่โดยหลักการของศาสนาที่อุบัติขึ้นมาทางตะวันออกทุกศาสนาเลยก็ว่าได้ ต่างล้วนแล้วแต่มองมนุษย์ทั้งโลกในทางจิตอันเป็นเรื่องภายใน คือเป็น "สัตว์ผู้ประเสริฐ" ของจักรวาลซึ่งเขื่อมโยงติดต่อกับสรรพสิ่งทั้งหมดของจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน (All Is One, One Is All)

     จริงๆ แล้วเราชาวตะวันออกอยู่กับความเป็นตะวันออกและมีความรู้ที่เราใช้เป็นวิถีของชีวิตวิถีของสังคมมาตั้งแต่ต้น หรืออาจจะมีมาตั้งแต่การตั้งถิ่นฐานบ้านช่องเลยก็ได้ แต่ฝรั่งตะวันตกไม่ยอมรับ เพราะเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น ซึ่งดังที่บอกไปแล้วฝรั่งตะวันตกจะเชื่อเฉพาะแต่อะไรๆ ที่มองเห็นและตั้งอยู่ข้างนอกเท่านั้น เชื่อแต่รูปกายวัตถุสสารที่ตาหรืออวัยวะประสาทสัมผัสรับรู้บอกเราเท่านั้นคือความจริง แล้วก็จะไม่มีความจริงอื่นใดอีก ดังนั้น ถ้าเราตะวันออก "ต้อง" รับตะวันตก เราก็ต้องยอมรับวิถีชีวิตความเป็นตะวันตกของฝรั่งด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ที่ฝรั่งคิดว่าเป็นความจริง ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าจะให้ดี เราตะวันออกจึงเชื่ออะไรๆ ที่ฝรั่งเชื่อ ฝรั่งคิด ฝรั่งปฏิบัติ ต่อไปเถิดแล้วจะดีเอง...จบ และตั้งแต่นั้น กว่า 100 ปีแล้วที่เราในประเทศไทยหลับหูหลับตาลอกเลียนแทบจะทุกสิ่งทุกอย่างที่ฝรั่งชาวตะวันตกทำ มิหนำซ้ำบางครั้งและบางคน แม้แต่ใประเทศไทยเราเอง ก็มักจะเป็นฝรั่งมากกว่าเป็นฝรั่งเสียอีก ยิ่งรัฐบาลหรือองค์กรส่วนรวมอะไรๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ "สมัยใหม่" ซึ่งเราไม่เคยมีหรือปฏิบัติมาเลยนับพันนับหมื่นปี จะให้เราคิดว่าอะไรที่ฝรั่งคิด ฝรั่งใช้ ฝรั่งมี เป็นถูกทั้งหมด ความไม่เคยชินต่อความรู้ชาวตะวันตก ตลอดจนวิถีชีวิตที่แปลกต่างหรือไม่รู้จริงคือสิ่งที่กลายเป็นสิ่งเกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะกับประเทศไทยที่เผอิญไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร พูดกันตามความจริง ความแตกแยกของคนในชาติ หรือหลักการใหญ่ๆ ของชาติที่ไม่ใช่ของเราตะวันออก เช่น สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยตัวแทน รัฐธรรมนูญ ฯลฯ รวมระบบต่างๆ ที่ไม่นำความประพฤติหรือพฤติกรรมที่ควบคุมด้วยจิตที่มองไม่เห็นมาพิจารณา แต่ยังคงมุ่งที่จะพิจารณาแต่เฉพาะสิ่งที่ตามองเห็น สิ่งที่เป็นรูปธรรม สิ่งที่เป็นรูปกายสสารวัตถุ เราจึงไม่รู้ ไม่สนใจมาตั้งแต่นั้น

     แต่ชาวตะวันออก โดยเฉพาะชาวไทยคนไทยเรา รวมทั้งประเทศที่เพิ่งพัฒนาใหม่ๆ ต่างหารู้ไม่ว่า อุปนิสัยและบุคลิกของชาวตะวันออกนั้นแตกต่างกันมากกับฝรั่งชาวตะวันตก โดยเฉพาะในด้านของภายในหรือเรื่องของจิต รวมทั้งเรื่องศิลปศาสตร์ต่างๆ เพราะฉะนั้น ชาวตะออกจะเป็นคนอ่อนไหว เจ้าอารมณ์ และละเอียดลออกว่าคนฝรั่งตะวันตกมาก อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็เป็นที่รู้กันว่าชาวตะวันตกได้หันมาสนใจจิตและจิตวิญญาณมากขึ้นมาก โดยเฉพาะนักวิชาการปัญญาชน ทั้งนี้ เราทั่วทั้งโลกที่จริงๆ แล้วต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะว่านั่นคือความจริงที่แท้จริง แต่เราก็ยังอยู่ในโลกในจักรวาลอันเป็นโลกและจักรวาล 4 มิติ หรือสังสารวัต ความจริงจึงมี 2 ความจริงที่เราต้องรู้ แม้ว่าความจริงที่แท้จริงจะมีแต่ความจริงทางจิตหรือความจริงทางศาสนาเท่านั้น.


http://www.thaipost.net/sunday/160510/22245
4603  สุขใจในธรรม / ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 / ภาพยามอารมณ์โดนกระทบ เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2553 08:02:15
ยามจิตกระทบ อารมณ์เจ้าสั่นไหว แล้วเจ้าเหนื่อยบ้างหรือไม่ ใยไม่ทำให้มันสงบลง
 
เคยตรวจสอบจิตของคุณบ้างไหมค่ะ
 
ว่าจิตของคุณเป็นแบบไหนกันบ้างยามเมื่อจิตใจโดนกระทบค่ะ
 
 
นิ่งสงบ
 



หรือสั่นไหวเล็กน้อยยามถูกกระทบ


หรือกระเพื่อมตามแรงอารมณ์



หรือเกิดรูปร่างแห่งอารมณ์ที่แตกต่างออกไป



หรือเกิดคลื่นโหมกระหน่ำในจิตใจ พร้อมทำลาย


วันนี้อารมณ์ของคุณเป็นแบบไหนและมีวิธีการจัดการกับอารมณ์อย่างไรกันบ้างค่ะ บอกเล่ากันหน่อยนะค่ะ

^__^

ยามจิตโดนกระทบ อารมณ์เจ้าสั่นไหว

แล้วเจ้าเหนื่อยบ้างหรือไม่ ใยไม่ทำให้มันสงบลง






http://gotoknow.org/blog/unchalee-dm/277430
4604  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 15 พฤษภาคม 2553 07:56:08




การต่อสู้กับเสียงภายในใจตัว



เมื่อวานโดนไป  2 เปรี้ยง 

สติส่าย  จิตหม่น อวิชชา บ้าคลั่ง กระแสพลังปั่นป่วนภายในกาย
มันแฝงฝังใน ภวังคจิต ห้วงอาลัยข้าแล้ว นึกไปใจเริ่มขุ่น ๆ
คราใด สติโดดไป ดูมันไม่ทัน ตัดกระแส เอาแง่มมุมดี ๆ เข้ากำหราบ
ไม่ก็หายใจเข้าลึก ๆ ออก ยาว ๆ ดูฟ้ากว้าง ๆ เอาตาจับขอบฟ้า
จิตแผ่กว้างโอบกอด ปุยเมฆ มันยิ่งใหญ่เพียงใด
หมู่เมฆลอยล่อง บนท้องฟ้า แปรเปลี่ยนนานา ท้องฟ้าเฝ้ามอง
จิต ก็เช่นกัน ทำได้เป็นครั้งคราว ตัดอาการแว๊บ ๆ แปร๊บ ๆ ยามจิต คิดเตลิด
แค่คิด จิตเปลี่ยน ยามไร้อ้อมกอดแห่งสติ
ดู อาการไหล ๆ แรง ๆ จนหาย ๆ ผลุบโผล่ ตามแต่กำลังสติจะรู้ทัน
เบี่ยง สลาย ทลาย ปมเขื่องภายในใจนี้ อย่าให้มันโต ตัดรากถอนโคน แต่ต้นลม

เฮ่อ ๆ ยามเราเจอ การรุก หมัดฮุก กระตุกกิเลส อัตตามหาศาล ให้มันพลุ่นพุ่ง ยุ่งเหยิง

ไม่ถอย ไม่สู้ ไม่อยู่ ไม่หนี  ยามเราเฝ้าดู ศัตรูจะมองเราไม่เห็น

จิตค่อย ๆ พลิก พลิกจิต ปรับใจ พิชิตชัย สงครามภายใน ให้ตั้งรับ ยามโลกเข้ากระทบ

สงครามอันยาวนาน ในห้วงวัฏ ภพภูมิ น้อยใหญ่ ภายใน เวียนว่ายภายในหัว
อย่าให้มันฝัง ตัดกำลังมันก่อน พยามยามรู้เท่าทัน บ้าง ไม่ทันบ้าง ช่างมันค่อย ๆ ทำ

ธรรมโอสถ ชะโลมใจ ดุจแสงจันทร์งาม ยามอาบไล้ ทิวเขาป่าใหญ่ จนสว่างไสว ในราตรี

มันเเบี่ยง วิถีกระแทกได้ เปรี้ยง ๆ แล้วฟุ้ง จิตอย่าฟุ้งตาม ค่อย ๆ ดูมัน
ดุจแม่โคเหลียว ชำเลืองดูลูกน้อย  อาการดู ดู ดู ดู ดู แผ่ว ๆ ไม่ต้องกด ไม่ต้องเพ่ง

จิตหม่น จิตหมอง เครื่องดองสันดาน อาการกำเริบ 

ใจไม่ถึงขั้น กระจกเงาแห่งจักรวาล  ที่ต้าน ต้อน สะท้อนมันกลับ โดยฉับพลัน

ขอแค่เพียง ปรับใจให้ยืดหยุ่น ด้วยฟองน้ำแห่งสติ  เปิดแนวตั้งรับ ยามโลกเข้ากระทบ
แปรเปลี่ยน อายตนะทางโลก ให้เป็น อายตนะทางธรรม แล้วอาการกระทบ จะงดงาม
กระทบ ยิ่งแรง อาการสะท้อนกลับยิ่งเบ่งบาน งานภายใน

แปร กิเลส ให้เป็นปุ๋ย
แปร ยาพิษ ให้เป็น โอสถแห่งธรรม

ทุก ๆ อย่าง ภายในโลกล้วนใช้การได้ บนวิถีแห่งสติ

ตกกระทบ อย่างไร สุดแต่ดวงใจ ความลึก เหลี่ยมมุมภายใน จะสะท้อน


โอ้ สติน้อย ๆ  สาธุ สาธุ สาธุ


ทุกข์ กระทบ ธรรมสะเทือน  ท่านวชิรเมธี บอกข้าไว้
ข้าขอพลิก ตรรกะย้อนกลับ นะขอรับท่านอาจารย์อินเทรนด์

ยามธรรม เข้ากระทบ  ทุกข์ก็สะเทือน เช่นกัน

โลกนี้ คือ ละครเป็น ตอน ๆ
ตอนนี้ ข้าเลือกเอง ต้องน้อมรับทุก ๆ อย่าง
ทุกบท ทุกตอน บนเวทีแห่งนี้ 

อดีตโยนทิ้งไป ปัจจุบันนั้น ยิ่งใหญ่เสมอ ยามเราผันแปร ในชั่วขณะจิต
แม้เพียงน้อยนิด  ทีละนิด ทีละนิด ทีละนิด
จากหยด หยาด ไม่ขาดห้วง
 จนเป็นสายน้ำ สู่ มหาสมุทรแห่งปัญญา โอ้ ปัญญามหาสาคร


มองเห็น ผีเสื้อโบยบิน บนยอดหญ้าอาบน้ำค้าง ยามเช้า

แต่สิ่ง ที่ข้าเห็น เจ้าผีเสื้อที่โบยบิน
จริงแล้ว มันบินท่ามกลาง หมื่น แสน ล้าน พัน พันโลกธาตุจักรวาล
บินท่ามกลาง กระแสธารแห่งเวลา มหาสมุทรแห่งเอกภพ ดวงดาวน้อยใหญ่
เมื่อ ตาข้านั้น ซูมออก มานอกโลก  แล้วเฝ้ามอง

มองโลกธาตุน้อยใหญ่ นับอสงไขยโกฏิ กว้างไกล ไร้ประมาณ
กับ การเฝ้ามองสายน้ำไหล มองลมพัดไบไม้แกว่งไกว มันต่างอะไรกันหนอ

กระแสธรรม ดุจเดียวกัน 

ทีละนิด  ทีละนิด   จากลมอันแผ่ว ๆ แม้ปลายปีกสะบัด ก็พัดโลกได้
เรียวปีกแห่งผีเสื้อ สะเทือนถึงจักรวาล และ หมู่ดาวน้อยใหญ่
ที่แท้ คือ เรียวปีกแห่งธรรมนี่เอง

ทุกห้วงขณะจิต ทุกช่วงชีวิต เรามีสิจน์เลือกเสมอ
ที่จะเติมเต็ม  เหตุปัจจัย งาม ๆ แม้เพียงน้อยนิด ด้วยความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่
เล็ก ๆ แต่งดงาม ให้ดวงจิต

สติมา ปัญญามี บารมีเกิด

โอ้ สายลม จากเรียวปีก สาธุ



ชั่วขณะ  ต่อ ชั่วขณะ ต่อ ชัวขณะ  หลาย ๆ ชั่วขณะ เกิด กาลเวลา
ชั่วขณะที่ไหลต่อเนื่องกัน เหมือนมี แต่ มันไม่มี

จับหนึ่ง ชั่วขณะ ปัจจุบันขณะ อีกหลาย ๆ ชั่วขณะจางหาย


1 ชั่วขณะแห่งสติ มัน กลายเป็น มังกร กลืนกินจักรวาลน้อยใหญ่
คืออะไร ในนิทานเซน  เรื่องหนึ่ง  สาธุ สาธุ สาธุ  สุดแต่จะสะท้อน ธรรมนาวา



ยามเมื่อโลกตกกระทบ ใจ
เจอสิ่ง  ไม่ชอบ ต้องผันแปร ความไม่ชอบ 
ให้เป็นประโยชน์ เป็นองค์คุณแห่งความดีงาม แก่ตัว

ยามเจอสิ่งที่ชอบ ก็ใช้ปัญญาตรวจสอบ ทำอย่างไร  ความชอบนั้น จะไม่เป็นพิษ

ชอบ -ไม่ชอบ  ยอมรับ-ปฏิเสธ บุญ-บาป ดี-ชั่ว แด่โลกแห่งธรรมคู่ สายน้ำแห่งทวิภพ

จิตข้านั้น ถูกเหวี่ยง กระเด้ง กระดอน สะท้อน ไปมา ระหว่าง 2 ชั้ว แห่งทวิภพตลอด
เมื่อ จิตข้านั้น ยังไม่อยู่เหนือ กระแสแห่งโลกแห่งขั้ว ขั้วแห่งกิเลส


จบแล้ว ข้าบ่น ระบาย ไหล ๆ ไป จากดวงใจอันสับสน บ้าง สติบ้าง ไร้สติบ้าง ตามภาษาคนมีกิเลส

12 พ.ค. 53  เวลา  20.49

แด่ความงดงาม และ ความวิปลาส
แด่ มณฑลแห่งพลัง แด่โลก แด่ความทุกข์ และ อีก 3 อริยสัจจ์
แด่ ความปั่นป่วน ความสับสนอันมีแบบแผน

ขอให้ ธรรมมะ ชะล้างใจ ชะโลมโลก ให้ ชุ่มชื่น รื่มรมย์ 
ขอให้ท่านจงมีความสุข สงบ สว่าง สะอาด ฉลาดในธรรมทั้งหลาย
จะหลับ จะตื่น จะโมงยามใด ขอให้ใจมีความสุข สุขง่าย ๆ ถึง วิมุติสุข
แม่ชีศันสนีย์ กล่าวไว้ ขอให้โลกมีธรรมเป็นมารดา จ้า สาธุ
4605  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : กำเนิดจักรวาลใหม่ บิ๊กแบ็งกับวิวัฒนาการ เมื่อ: 12 พฤษภาคม 2553 07:48:45



เราคือใคร? เรามาจากไหน? และกำลังจะไปไหน? เป็นคำถามที่ว่าที่นักปรัชญากับว่าที่นักจิตวิทยาสมัยดึกดำบรรพ์ตั้งเป็นคำถามถามตัวเองตั้งแต่ก่อนที่เราจะมีหนังสือเขียนเพื่อจะหาคำตอบ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้สักที มันถึงได้มีข้อสันนิษฐานมากมาย เป็นต้นว่ามาจากไข่ของจักรวาล มาจากน้ำเต้า ถูกผ่าออกมาจากพุงยักษ์ ฯลฯ ส่วนที่ถามมาว่าเราจะไปไหน? ก็มีนิยายมากมายเช่นเดียวกัน เช่น ชาวอียิปต์โบราณคิดว่ากษัตริย์ (ฟาโรห์) ของเขา เมื่อตายไปแล้วจะกลับเป็นพระเจ้าโอสิริสตอนกลางคืน หรือเกิดเป็นดาว ที่แปลกคือมีวัฒนธรรมหลากหลาย รวมทั้งที่ทิเบตจะมองว่าความตายคือการเดินทางของจิตวิญญาณ (spiritual journey) ซึ่งตรงนี้จะหมายถึงการวิวัฒนาการทางจิตไปสู่จิตวิญญาณหรือจิตเหนือสำนึกหรือไม่? และอย่างไร? น่าจะเอามาคิดต่อ


     บทความวันนี้เป็นความหมายของนักจักรวาลวิทยาที่จะตอบคำถามถึงเรื่องที่ถามกันมาตลอดเวลานั่นแหละ จนกระทั่งเมื่อราวๆ ไม่ถึงร้อยปีดีมานี้ ที่เรามีจักรวาลวิทยาศาสตร์ "สมัยใหม่" ขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็เพียงภายหลังที่เรามีกล้องดูดาวขนาดใหญ่ที่ยอดเขาวิลสันขึ้นมาแล้วที่ยังคงใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ และจักรวาลวิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์ "สมัยใหม่" ที่เราในประเทศไทยก็ยังใช้อยู่ในทุกวันนี้ ทั้งๆ ที่หลายๆ แห่งทั้งโลกเขาเลิกใช้กันแทบหมดแล้ว เนื่องจากส่วนหนึ่งประเทศไทยยังไม่มีวิชาจักรวาลวิทยาทางด้านวิทยาศาสตร์ เท่าที่ผู้เขียนรู้ - ที่แท้จริงแยกออกมาจากวิชาฟิสิกส์ดาราศาสตร์ แม้ในทุกวันนี้เรายังคงมีสภาวะความเสถียรของจักรวาลไปตามกฎของฟิสิกส์ที่คงที่ (steady state universe) เรายังมีจักรวาลเปิดจักรวาลปิด ที่ผู้เขียนเอง ในหนังสือจักรวาลสัจธรรมควอนตัมจิตวิญญาณ - ยังเข้าใจผิดโดยคิดว่าจักรวาลจบแค่นั้น และแปลจักรวาลมีวิวัตตา-สังวิวัตตาผิดๆ ด้วยซ้ำไป

     มนุษย์เราเหมือนถูกสาปแช่งให้คิดถึงแต่ตัวเอง ดังนั้นจึงคิดไกลๆ ไม่เป็น หากว่าคิดอะไรที่มีตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ที่พูดว่าคิดถึงแต่ตัวเองนั้น จริงๆ แล้วก็ "ตัวกู" นั้น โดยหลักการจะจบลงที่ตัวเอง แต่เพราะมนุษย์แยกออกจากสังคมมนุษย์ไม่ได้ เราจะต้องไล่ "ของกู" ต่อไปตามลำดับไปเรื่อยๆ นั่นคือ จากใกล้ที่สุดออกไปจนไกลที่สุด เช่น ลูกๆ ผัวเมียแม่พ่อไล่ไปถึงพี่ๆ น้องๆ และวงศาคณาญาญาติ เราส่วนหนึ่งจะคิดได้ไกลเพียงแค่นั้น ถึงแค่นี้ผู้เขียนขอเรียกว่า "ตัวกูของกูชนิดปัจเจกบุคคล" ซึ่งแคบเล็กลงไปที่ครอบครัวหรือไกลถึงวงศ์ตระกูล อีกส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนขอเรียกว่า "ตัวกูของกูชนิดโดยรวม" หรือส่วนรวมของ "ตัวกูของกู" จะขยายออกไปไกลเรื่อยๆ เช่น พรรคพวกของกู โรงเรียนของกู ชุมชนและสังคมกู ไล่ไปถึงประเทศชาติของกู • ตามสามัญสำนึกหรือความเคยชินหรือฝึกฝนให้เป็นอาชีพและมีหน้าที่รับผิดชอบ โลกทัศน์จึงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ฯลฯ - อย่างไรก็ตาม มีน้อยคนนักที่จะคิดไปไกลถึงโลก และยิ่งมีน้อยที่สุดที่จะคิดไปไกลถึงจักรวาล และไกลยิ่งกว่านั้น (worldcentric and cosmocentric and beyond) ซึ่งก่อนนี้ถือเป็นอาณาบริเวณของเมตาฟิสิกส์ แต่ในปัจจุบันนี้ได้ถูกจัดให้เป็นวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ (Willis Harman and Jane Clark editors : Metaphysical Foundations of Modern Sciences, 1994) เพราะฉะนั้น เรื่องของการมองอะไรๆ ที่จำกัดเฉพาะเรื่องใกล้ๆ ตัว หรือมองอะไรๆ ที่ไกลตัวไม่เห็นหรือไม่ได้ จึงไม่แปลกใจเลยที่สาธารณชนคนไทยส่วนใหญ่มากๆๆๆ - รวมทั้งผู้เขียนด้วยในช่วงแรกๆ - พากันเดือดร้อนเรื่องของการจัดการกับกลุ่มคนที่ใส่เสื้อสีต่างๆ กัน ออกมาเรียกร้องกัน กระทั่งถึงกับเข่นฆ่ากันเพราะความแตกแยกของความคิดที่ร้าวลึก ที่เรียกกันผิดๆ ว่าอุดมการณ์อันแยกไม่ได้กับกระบวนการของความคิดที่ไปในทางเดียวกันของประชาชนส่วนใหญ่โดยรวม ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่า เพราะว่าเราไม่ได้ลงไปลึกถึงต้นตอจริงๆ เราไม่มีความรู้ที่เป็นจริงของโลกและจักรวาลจริงๆ ที่สำหรับผู้เขียน จักรวาลและโลกคือความสำคัญที่สุด และเป็นความรู้ที่แท้จริงที่ทุกคนจะต้องติดตาม - โดยเฉพาะทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์ หรือจักรวาลวิทยาที่เปลี่ยนบ่อยๆ เพราะคณิตศาสตร์และเทคโนโลยี และยอมรับกันของนักวิทยาศาสตร์แล้ว พูดง่ายๆ เพราะว่าเราไม่ได้ติดตามความรู้ที่เกี่ยวกับตัวเราเองที่มาทีแรกที่สุดของเราเอง หรือคำถามที่ผู้เขียนยกมาถามในตอนแรกของบทความนี้ รวมทั้งธรรมชาติที่อยู่รอบตัว - ทั้งใกล้และไกล - ฉะนั้น เราจึงปราศจากปัญญาหรือแม้แต่ข้อมูลที่เราจะเอามาคิดต่อไปอย่างเป็นเหตุผล บทความบทนี้จึงเป็นเสมือนบทย่อของข้อมูลความรู้ทางฟิสิกส์จักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่ที่เพิ่งมีขึ้นไม่ถึงสิบปีกับความรู้เรื่องวิวัฒนาการของธรรมชาติหรืออนิจจตาทั้งหมดนั้น หนึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์หรือยอมรับกันในชมรมนักวิทยาศาสตร์ (ส่วนใหญ่) เท่าที่ผู้เขียนรู้มา สองเป็นข้อมูลของศาสนาที่ได้มาจากลัทธิพระเวท โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพุทธศาสนา  ซึ่งผู้อ่านจะเชื่อก็ได้หรือไม่เชื่อก็ได้ เพียงแต่หลายๆ อย่างในฟิสิกส์แห่งยุคใหม่  โดยเฉพาะจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งเกิดมาเพียงสิบปี เกิดไปตรงกันกับอภิปรัชญาของพุทธศาสนาและลัทธิพระเวท - โดยหลักการ - อย่างไม่น่าเชื่อ หรืออาจพูดได้ว่า บทความบทนี้มีส่วนอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ ในการประสานข้อมูลของโลกของวิทยาศาสตร์เก่าที่อยู่กับเรามานาน ที่เป็นโลกของวัตถุ รวมทั้งโลกแห่งชีวิตที่ควบคุมด้วยกลไกเหมือนเครื่องจักรเครื่องยนต์ (objective experience) และที่สำคัญมีส่วนอย่างยิ่งต่อวิทยาศาสตร์ใหม ควอนตัมเม็คคานิกส์และจักรวาลวิทยาใหม่ พูดอีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ควอนตัมเม็คคานิกส์นั้น - แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นวิทยาศาสตร์เก่าหรือนิวโดอเนียนฟิสิกส์ว่าด้วยสิ่งที่เล็กที่สุด เช่น อะตอมและอนุภาค - แต่ก็เป็นไปด้วยกลไกแห่งทางเลือก (choices) หรือคลื่นของความน่าเป็นไปได้ (probability wave) นอกจากนั้นระบบควอนตัมหรือสนามควอนตัมที่เล็กละเอียดอย่างยิ่งนั้น ผู้เขียนเชื่อว่าคือ จิต หรือสนามจิต (mind field or field of consciousness) ที่เล็กละเอียดกว่าระบบควอนตัมหรือสนามควอนตัมมากยิ่งนัก แต่น่าจะทำงานเหมือนๆ กัน เพราะฉะนั้น ผู้เขียนจึงคิดว่า จักรวาลวิทยาใหม่ที่มีเมื่อเพียงสิบปีมานี้ (ที่มีเวลาแช่แข็งหรือ frozen time จนกว่าผู้สังเกตจะเอาจิตเข้าไปจับ) อธิบายจักรวาลวิทยาว่าด้วยสิ่งที่เล็กละเอียดกว่าอนุภาคหรือคว้ากมากนัก (ซูเปอร์สตริงธีออรี) ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์แห่งจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งหลายๆ คนไม่รับ เพราะไปติดอยู่กับสามัญสำนึกและความเคยชินที่ตนเรียนมา - ที่แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ ทุกๆ มหาวิทยาลัยในโลกที่เรียนสอนวิชาวิทยาศาสตร์แห่งชีวิต (life sciences) เช่น ชีววิทยา แพทย์ ประสาทวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ก็ยังไม่ต้องเรียนทฤษฎีควอนตัมและวิทยาศาสตร์ทางจิต - ซึ่งสำหรับผู้เขียน วิชาอันหลังนี้ - คืออภิปรัชญาของศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนาที่มีแต่ความเชื่อศรัทธาเป็นหัวหอก (subjective experience)

     นักวิทยาศาสตร์แทบจะทุกคนเชื่อจอร์จ กามอฟ นักฟิสิกส์รัสเซีย-อเมริกันรางวัลโนเบล ผู้ใช้คำว่า "บิ๊กแบ็ง" อธิบายกำเนิดของจักรวาลจากซิงกูลาริตี้ อันเป็นประหนึ่งความว่างเปล่า ตรงนี้จะมีสองทฤษฎีที่อธิบายว่าสรรพสิ่งปรากฏการณ์ที่เราเรียกว่าจักรวาลมันเกิดจากความว่างเปล่าที่สมบูรณ์อย่างไร? ทั้งสองทฤษฎีเป็นเรื่องที่ศาสนาอธิบาย เพราะวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ ซิงกูลาริตี้ก็คือความว่างเปล่า เพราะคิดได้ แต่ทำไม่ได้ สองทฤษฎีนั้นก็คือ มีผู้ที่อยู่นอกจักรวาลเป็
นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งก็คือพระเจ้าของศาสนาต่างๆ นั่นเอง ส่วนทฤษฎีที่สองคือ "มันเป็นเช่นนั้นของมันเอง" หรือตถาตา มันมีอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ต้น ตถาตาที่พระพุทธองค์ทรงอธิบายโดยอาศัยปฏิจจสมุปปบาท (self organizing system) ซึ่งก็คือกฎของธรรมชาติที่ท่านพุทธทาสเชื่อว่าสามารถจะข้ามภพข้ามชาติหรือการติดต่อเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่งและปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของจักรวาลเข้าด้วยกัน - โดยไร้รอยเย็บรอยต่อ - เป็นหนึ่งเดียวที่อวตามังสกสูตรของมหายานพุทธศาสนากล่าวไว้นั่นเอง (All Is One, One Is All) อันเป็นความจริงทางควอนตัม ที่เดวิด โบห์ม พิสูจน์เบ็ดเสร็จได้ทางคณิตศาสตร์

     ในทางจักรวาลวิทยาศาสตร์นั้น ก็มีคนที่เชื่ออเล็กซานเดอร์ ฟรีดแมน กับเอ็ดวิน ฮับเบิล ซึ่งเริ่มต้นที่การเคลื่อนที่ของจักรวาล (กาแล็กซี) โดยสังเกตแสงสีแดง (red shift) ของกาแล็กซีที่อยู่ห่างไกลออกไปจากเราจะค่อยเปลี่ยนสีไปเป็นสีน้ำเงิน การค้นพบนี้พบในทศวรรษ 1920 ซึ่งทำให้ทฤษฎีกำเนิดของจักรวาลและโลกแห่งชีวิต ล้วนเป็นไปเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในจักรวาลแห่งนี้จะต้องมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา การวิวัฒน์ในที่นี้พูดกันในแง่ความจริงทางโลกที่ตามองเห็นหรือที่อวัยวะสัมผัสรับรู้ (perception) บอกเรา พูดง่ายๆ เรากำลังไม่พูดถึงความจริงที่แท้จริงหรือความจริงทางควอนตัม (ที่ผู้เขียนคิดและเชื่อว่าเป็นกลไกเดียวกันคือจิตกับควอนตัมทำงานเหมือนกัน เพียงแต่จิต (conscious ness) เล็กละเอียดยิ่งกว่าระบบควอนตัม (quaff) มากนัก ในช่วงทศวรรษที่ 1960 นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ได้บังเอิญพบพื้นฐานของการแผ่รังสีที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ทุกๆ คนกระมัง? เชื่อในทฤษฎีบิ๊กแบ็งและการพองตัว (inflation) ของจักรวาลที่พองตัวอย่างรวดเร็วมากๆ และทำให้นักวิทยาศาสตร์ทุกคนเลยเข้าใจว่าเป็นร่องรอยของบิ๊กแบ็งที่เกิดจากซิงกูลาริตี้อย่างค่อนข้างแน่นอน

     แต่ในสิบปีมานี้เอง ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะการตรวจวัดแรงโน้มถ่วง (gravity wave detector) และเทคโนโลยีดาวเทียมต่างๆ อันเป็นผลของความคิดของไอน์สไตน์ส่วนหนึ่ง พร้อมๆ กับการค้นพบคณิตศาสตร์ของทฤษฎีซูเปอร์สตริงและเอ็มธีออรี  ทฤษฎีด้านจักรวาลวิทยาศาสตร์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปอีกครั้ง เพราะควอนตัมฟิสิกส์ที่นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาส่วนใหญ่มากๆ เอามาใช้โดยเชื่อว่าจักรวาลมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด (multiverses) และการเกิดกับการจบสิ้นของจักรวาลจึงไม่มีที่สิ้นสุดที่นักฟิสิกส์จำนวนมากคิดว่าไปตรงกับที่พุทธศาสนาบอกเปี๊ยบ นั่นคือมีบิ๊กแบ็งๆๆ กันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดดังที่องค์ทะไล ลามะ พูดถึงบ่อยๆ ควอนตัมจักรวาลวิทยา (quantum cosmology) ที่ทั้งคล้ายๆ กับในพุทธศาสนา ยังบอกต่อไปว่า ที่สำคัญคือความจริงทางควอนตัมที่ไม่มีทั้งทางผิดและละเอียดอย่างยิ่ง (แต่จิตยังละเอียดที่สุด) นั้นก็เช่นจิตที่ทำงานเหมือนกัน ฉะนั้นในที่นี้จักรวาลวิทยาใหม่ที่บอกว่าจักรวาลที่เราเห็นว่ามีวิวัฒนาการพองตัวตลอดเวลานั้น ขึ้นกับการสังเกตของเรา จักรวาลส่วนใหญ่มากๆ ที่เรายังไม่ได้สังเกตถึงได้เป็นคลื่นแห่งความเป็นไปได้เท่านั้น เหมือนจักรวาลที่ถูกแช่แข็งจนกว่าใครหรือมีจิตใครไปสังเกต (frozen in time) จักรวาลประมาณ 99.99% ที่ยังไม่ถูกใครสังเกตหรือเป็นคลื่นของความเป็นไปได้ ซึ่งก็คือความว่างเปล่า (melted vacuum) ที่ว่างของจักรวาลคือความว่างที่จะกลายเป็นสสารเมื่อถูกจิตสังเกต.


http://www.thaipost.net/sunday/090510/21931
4606  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2553 08:22:12





ใจหายยยยยยยยยยยย อ๊ากกกกก

อะจ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ที่ผม พิมไว้ หายโม๊ดดดดดดดดดดด

พิมพ์ ตั้งแต่ บ่ายโมง 2 ชั่วโมง
ที่องค์ลง ประทับร่าง

ระหว่าง เขียน ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


หายยยยยยยยยยยยยย

ว่าง เปล่า ๆๆๆๆๆ

คือ ความว่างเปล่า ๆๆๆๆๆ

เขียนไหม่ ก็ไม่เหมือนเดิม

ย้อนเวลาไม่ได้

เสียดาย เห็น ความเสียดาย

แต่ มันไม่แรง จัด ถึงขนาด ชัก กระแด่วๆๆๆๆๆๆๆๆ

ดิ้น พราด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เฮ่อ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

ขอถอนหายใจ

เริ่ม ไหม่ แม้ไม่เหมือนเดิม

อารมณ์ แต่ละห้วง เวลาประทับร่าง กลางกระดาษ
มัน มี มิติ ไม่เหมือนกันเลย

ความละเอียดอ่อน ลึกซึ้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

ปิ๊ง 1 ปิ้ง
คำ 1 คำ

รู้หรือไม่ อาจคิดได้เพียง ครั้งเดียว ภายใน ชั่วชีวิต

เขียนอะไรไว้ ในเว็บ ในคอม 

ได้ โปรดดดดดดด

ขอ ได้โปรด จง เก็บ เซฟ เพื่อเอาเสพ แทนยา


ฮ่า   ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ไปล่ะ เฮ่อๆๆๆๆๆๆ

บ่น จบ
4607  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 11 พฤษภาคม 2553 07:55:01


วันนี้  9 เดือนวัว ธาตุดิน ปีเสือ บ่ายโมง


กลับมาตอนเช้า ๆ หลังจากเลิกงาน  เดินเข้าหา คุณยายกายสิทธิ์ ข้างหอ
ลูกชายหายเมา 3 ทั้งสามใบเถา ออกไปทำงานแล้ว  

เมื่อวาน  เรากินม่าม่า หิวจัดซัดไป 3 ซอง  นั่งเหงื่อแตกพลั๊ก เพราะล่อรสจัด อุดมไปด้วยพริก
อากาศร้อน เผ็ดก็เผ็ด  เห็นคุณยายกายสิทธิ์ แกยิ้มให้ ถามไถ่ ทักทายตามภาษาคนไกล้กัน ห้องติดกันเลย
เรา นะ เรอ ไป พูดไป  มีความสุข ลืมความเผ็ดร้อน ไปเลย

ร้อนเพราะ พริก ดินฟ้าอากาศ และ สถานการณ์ บ้านเมือง ในยามนี้

หายไปในร้อมยิ้มน้อย ๆ ของยายแล้ว

บานดอกเหมย เผยฤดูไมไม้ผลิ  
วัฏฏะแห่งฤดูเปลี่ยนผ่าน ผันเปลี่ยน
เวียนสลับ กับ วัฏฏะแห่งใจ
ใจปุถุชน ขึ้น ๆ ลง ๆ เกิดดับ ฟูฟ่อง ตาม กิเลส ดีชั่ว
ดุจใบไม้ บน ระลอกคลื่น
ยามใด คลื่นลมสงบ น้ำนิ่งเป็นประกาย
เจ้าใบไม้ก็ เข้าสู่ หยุดพัก
ริมชายคาแห่งความว่างเปล่า
ใน ความสงบงัน อันประเสริฐ

บานดอกอะไร หนอในเมืองไทย เผยฤดูฝน
พระพิรุณโปรยปราย ทักทายสยาม ยามหน้าบึ้งแล้ว ล่ะ
ฝนมา ฟ้าเปลี่ยนสี  ท่ามกลาง กีฬาสีในบ้านเมือง
รุ้งมีหลายสี มันสวยสดงดงาม ยามทอดยาวผ่านทิวเขาใหญ่
สวยได้ เพราะหลายสี
หลายสีเป็นหนึ่งบนฟ้ากว้างไกล
ยามฤดูนี้ วันก่อน รุ่งเช้า นั่งรถกลับ
ทอดตาออกไปดู
พบ สายรุ้งงาม บนสะพานขาลง
ความเย็นของ ฤดูกาล เข้าหน้าฝนแล้วหนอ
บรรยากาศ บ้านเมืองค่อย ๆ ผ่อนปรนลง
ฤดูกาล มีส่วน ลด อุณภูมิแห่งแดนนี้
เป็นช่วง บ้านเมืองยามถอนหายใจ
น่าจะโล่ง ขึ้นบ้าง นะ

ตอนเช้า หลับไป หลับไปกับเสียง ธรรมะ ที่คุณยายแกเปิด แว่วมาข้างห้อง
อากาศเย็นสบายกำลังดี วางภาระ แห่งพุทธะ วางวัฏฏะการงาน สู่แดนนิทรานคร

ตืนมาแล้ว พร้อมเหงื่อ แตกพลั่ก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  
เป็นเวลาเที่ยง หิวจัด และร้อนด้วย

ก็รีบ เดินไปหา ของกิน ที่โลตัส ข้างทาง
เคยแอนตี้ โลตัส นะ เพราะเป็นห้างต่างชาติ
โกยเงินคนไทย ทุนนิยมสามาลย์

โลตัส บิ๊กซี เคยยี้ ไปช่วงหนึ่ง

แต่ตอนนี้ อุดมการณ์ไม่รู้ แต่ กูหิว ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คว้า แฮมเบอร์เกอร์ ขนมปังลูกเกด พร้อมน้ำส้ม ติดมือกลับที่พัก

กะจะชัดให้ชุ่มปอด ดับร้อน ผ่อนกระหาย คลายหิว ต้นพฤษภา ราศรีวัวถึก แห่งดิน

เดือนหน้า ถึงเดือนที่เรา เกิดแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ  คนคู่สองวิญญาณ แห่งลม นะจ๊ะ





วันนี้ ดูคุณลุงเสื้อแดง แกยิ้มสบายใจจัง
แหม อยากถาม แกไปว่า

" ลุงจ๋า มีอะไรดีเหรอ ช่วงนี้ เห็นอารมณ์ดีเป็นพิเศษเลย "

โอยยยย ก็เคยเห็น แกคาดผ้า เย้ว ๆ กู้ชาติ  ออกบ่อย อยู่กับป้าเมียแก น่ะ

" ไพร่ ๆ อำมาตย์ ๆ กู้ชาติ "

หน้าตา แกจริงจัง จริงใจ ตามความเชื่อ ศรัทธา ความรักของแก
แกรัก คุณทักษิณ มากนะ เชื่อไหม ร้านแก ยังตั้งชื่อเลยว่า ร้านทักษิณ

เห็นภาพเลย เป็นภาพเรา อารมณ์ เคยอารมณ์แบบนั้น ในฐานะม๊อบรุ่นพี่
ลุงเจ้าของหอ แกเป็นเสื้อแดง ศรัทธาในอุดมการณ์แดง ไพร่ ไล่ อำมาตย์
เป็น แดงกันทั้ง บ้านเลย ลุงแกไม่ธรรมดานะ ลุยกับพี่น้องชาวเสื้อแดง
มาแล้ว ยามเป่านกหวีด ระดมพล บางวัน แกปิดร้าน ยกกันไปทั้งบ้านเลย
ไป ฉะกับ แก๊สน้ำตา โล่ กระบองมาแล้ว  




เห็น ผม ใน ลุง  แม้แกจะเป็น อีกขั้วหนึ่งของซีกอุดมการณ์
ซึ่งต่างกับผม เลย  ลุง แกมาเป็น อะไรบางอย่าง ที่กำลังมาสอนผม นะ


สองซีกในใจตัว อยู่ซีกหนึ่งมามาก ช่วงนี้ลองหมุนกลับ สลับขั้ว มองดูอีกขั้วหนึ่งแบบแนบชิด ซิ

อย่าว่า แต่ลุงแกเลย ที่ทำงานของผม แดงทั้งนั้น เป็น ข่าวสาร ความเห็น ที่ กระแทกจิต
ผมบ่อยมาก ๆ  จิตผมจะขุ่น จะฟุ้งเลย ยามโดน ยิงตรง ยิงอ้อม ในความเห็น

อีกซีกหนึ่ง แห่ง ทวิภพ  ขั้ว ไม่ชอบ ไม่ใช่ ปฏิเสธ  แดง เหลือง เล่นงานใจผม
ผมจะเปิด จิต รับ  ข่าวสาร ความเห็น อุดมการณ์ ด้วย ธรรมภายใน ข้อไหนกันเล่า

สติ เมตตา ฟังอย่างลึกซึ้ง โอบกอดภาวนา  อะไร สารพัดที่ผมจะงัดมาใช้
ปรับ จิต เปลี่ยนใจ ให้ เบ่งบาน ยาม คมหอกแห่งสมมุติ ความเห็นอีกซีก เข้าโจมตี

ธรรมะจะหอมจรุง หรือ จะฟุ้งกระจายความเกลียด ออกมา กันแน่ หนอ


ตัดความเชื่อ ทางการเมืองไป อุดมการณ์ไป
 ลุง ก็คือ ลุงธรรมดา ค้าขาย ใช้ชีวิต


ผมถามใจตัวเอง ดู

น้ำตาผม จะพาลไหล เลย ยามเห็น ภาพลุงคนนี้ แก เก็บนกกำพร้า ตัวน้อย ๆ
แก ค่อย ๆ ประคอง ไว้ในมือแล้วป้อนนม  แกบอกว่า ลูกนกตัวนี้ มันบาดเจ็บ
บินไม่ได้ แกเห็นตกอยู่ กำลังจะตาย แก เลย รีบอุ้ม เอามา ชุบชีวิต
ป้อน หยดข้าว หยดน้ำ รักษาบาดแผล

นกเอ๋ย นกน้อย ยามปีกเจ้าหมดแรง เหนื่อยล้า บาดเจ็บ
ขอที่ซุกหุบเรียวปีกอันอ่อนล้า ลาก่อนลมนานา บนฟ้ากว้าง


หรือ ว่านก นั้น คือตัวผม

ใจผม ภายใต้มือของลุง

ภาพนั้น มันได้เยียวยา ภายในใจผม เพิ่มโลกทัศน์ มุมมองใหม่ ที่ไกลกว่าเดิม
มุมแห่ง ธรรม มันใหญ่กว่าคำว่า ดี ชั่ว เท็จ จริง ใช่ ไม่ใช่ ถูก ผิด ในแผ่นดินนี้

ยิ่งใหญ่เสียจน ผมเห็น กระแสอุทก ทะเลธรรม ไหลหลั่ง เป็นพันสาย
ท่วมหลอมละลาย เหล่าธุลี ดี ชั่ว เท็จ จริง ใช่ ไม่ใช่ ถูก ผิด
จนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
เหล่าผงธุลี แห่งสมมุติ  โดน กระแสธรรม ละลายมันไปแล้ว

วันนี้ ลุงแกยิ้ม ไปพร้อมสถานการณ์ที่ผ่อนปรน ลง ยามหน้าฝน
ยิ้มไป ตักน้ำแข็ง ไถ่ ถามทุกข์ สุข  ผม อย่างอารมณ์ดี

ผมควักตังส์ ให้แกไป  2 บาท
พร้อม ยิ้มรับไมตรี ยินดีด้วย นะ ที่ลุงมีความสุข
ลืมคำว่า ฟากฝั่งสีไปเลย  

ใช่เลย ผมไม่เห็นด้วย อยากจะ ตะลุย พูด ๆ ความคิด บอกแกไป หลายรอบ
แต่ ผมกลัวตัวผม อารมณ์ ยามวิ่งตาม ความคิด กิเลส ตัณหา ไร้สติ
เวลา ออกความเห็น ต่อกัน  นะ

ผมตั้งใจ จะขอเป็นผู้เฝ้าดู ใจ ประคอง จิต
พลิกจิต ฝึกจิต โดยใช้ ลุง และปรากฏการณ์อีกขั้วความคิด
ลุยเข้าไป เลยสิ

 อีก โลกหนึ่ง โลกที่ มึงไม่ชอบ


แท้จริงแล้ว มันมีอะไรดี ซ่อนกายใต้กลีบเมฆ ม่านหมอกทะมึน อยู่นะ

ใจผมบอก

และมันก็  จริง  ด้วย


ไอ้วัน ที่แยกคอก วัว  10 เมษา ผู้คนล้มตาม บาดเจ็บ ระนาว
ภาพวันที่ 7 ตุลา ของพันธมิตร เข้ามาหลอกหลอนผมแล้ว
 ผม กลับมาหอ เห็นลุงกับป้า แกขายของอยู่

ใจแว๊บ แรก ที่ โบยบินออก มา
คือ ลุงกูไม่เป็นอะไรวะ เฮ่อโล่ง อก
ใจเรา น่ะเป็น ห่วง

รู้ ในแว๊บ ๆ นั้น เลย คำว่า สายสัมพันธ์ สายใยแปลก ๆ ระหว่างผู้คน
มันมีอะไร ละเอียดอ่อนมากกว่า คำว่า ชอบ ไม่ชอบ ยอมรับ ปฏิเสธ



ความเกลียด ชิงชัง สะสมจนเป็นความแค้น อยู่ที่ ลุงหรือ อยู่ที่อีกฝั่งของสี หรือไร

ที่แท้ มันอยู่ในใจ ผม

ดีนะ สิ่งที่ไหลออกมันไม่ใช่ ความเกลียด มันแค่ความ ไม่เห็นด้วย ปฏิเสธ ไม่ชอบ แค่นั้นแหละ

ผมวางมันได้เป็น หย่อม ๆ เป็นครั้ง ๆ  

 ฝึกอยู่




ขอบ คุณพระพุทธะ ใน ซ่อนกายอยู่ ในคุณยายข้างหอ และ คุณลุงเจ้าของหอ
ท่านได้ สำแดงกายสอน ธรรมผม อยู่ทุกวัน แต่ผม มองผ่านไป ไม่ค่อยเห็น



บริหารความขัดแย้ง ภายใน  2 ฟากฝั่งแห่งใจ ทวิภพ ( ทวิภาวะ  )
โลกแห่งนี้ คือ โลกแห่งสมมุติ โลกแห่งทวิภาวะ โลกแห่งธรรมคู่


ตาเนื้อ ตาใน ตาธรรม ตาพุทธะ ตาโพธิสัตว์ ตามาร ตากิเลส


ประตู ที่ไร้ ประตู ซ่อนอยู่ในทุกที่  
เห็นด้วยตาเนื้อ หยาบไป ในสรรพสิ่ง

เห็นด้วยใจ ภายใน สิ  ผมบอกกับตัวเอง




โอ้วววว เขียนไป มองเห็น น้ำแข็งละลาย แล้ว ความเย็น หายไป
ความร้อนเข้ามาแทนที่ ในห้องแห่งนี้


อืมมมมมมมมมมมม

ความร้อน รึ  


"                      "


ขอ ภาวนา อย่าให้ บ้านนี้ เมืองนี้ เย็น ๆๆๆๆ ลง เย็น ทุกสิ่ง ทุกอย่าง จงคลายตัว

ช่วงนี้ เป็นช่วงที่ผม พยายามจะถอดเสื้อสี  ออกมาเป็นคนดูบ้าง
 ดูบนอัฒจัน ดูกีฬาสี  ที่มากกว่าคำว่า แดง-เหลือง

มองอะไร แค่ แดง-เหลือง  มันแคบไปแล้วกระมัง

ถึงแม้ผม จะเป็นเหลือง แต่ขอเป็นเหลือง บนอัฒจันเฝ้าดู กีฬา

กีฬานอก และ กีฬาภายในใจ ตัว

ในช่วงนี้ นะ

4608  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2553 08:53:47





พี่สาวเอ๋ย ถ้าถ้อยคำ จากแรงบันดาลใจอันลี้ลับ ของข้าพเจ้านั้น
มันทำให้พี่มีแรง พลังมากขึ้น ข้าพเจ้าก็จะทยอยเขียน ๆ แบบไร้ลักษณ์บ้าง
แบบวิจิตรบรรจงบ้าง ตามแต่ดินฟ้าอากาศ สติอันแหว่ง ๆ ของตัวเอง


 มังกรเซน ให้พี่ยืมไป เป็นธรรมบรรณาการ ยามหน้าร้อน
พี่อ่านไปเถอะ ไม่ต้องรีบร้อน ถ้อยคำ การแปล เรียบเรียง ของ พี่วิน เรียววารินทร์
กวีซีไรด์ นะ  อีกเวอชั่น ของตำนานเซน อ่านไป อาจไม่ละมุนใจ ลีลาหลาย ๆ ตอน
อาจฟันฉับ สะดุ้ง เล่นเอาสับสน อย่าได้ท้อ อย่าได้แบก

 ปล่อย ๆ วาง ๆ ทิ้ง ๆ ไปบ้าง นี่แหละเซน แหละพี่

เหมือน สมัยผม จับ พระสูตรปรัชญาปารมิตา และ เซน ครั้งแรก ๆ นั่นแหละ นะ

ครั้ง ต่อไป

ผมจะเอา เซนแบบละมุน ละไม ใจชุ่มฉ่ำ 
ไปให้ลองลิ้ม ชิมรส

ผมคัดมา ให้ แล้วนะ


1.ศานติในเรือนใจ  ของ  ท่าน ติช นัท ฮันต์  วิถีเซนแบบหมู่บ้านพลัม เซนแบบสหสัมพันธ์
2.งามอย่างเซน  ของ ภิกษุณีชุนโด อาโอยาม่า ศิษย์กึ่งพุทธกาล สาย ท่านโดเง็น คิเง็น แห่งโซโตะเซน


2 เล่มนี้ เป็นผลงานเซน ที่มีความเป็่นศิลปะ ศิลปินสูง
เรียกว่า ธรรมลีลา มิใช่เซนแบบฟันฉับ เซนแบบความว่าง
ท่านมองเซนแค่ เว่ยหลาง ฮวงโป ความว่าง ภาษายาก ๆ แปลก ๆ เท่านั้นหรือ

แคบมากครับ

http://i179.photobucket.com/albums/w292/LoneLizard2/Nature/191441243.gif




 ในความเป็นเซน รัศมีแห่ง เรือข้ามห้วงน้ำ มหานาวาเซน นั้นแล้ว มีศิลปะ สีสัน กลิ่นหอมด้วยนะ

ในแง่ ปฏิเสธ ทุก ๆ อย่าง   มิใช่เซน ในมุมมอง ของพุทธะ อริยะผล
ในแง่ ยอมรับ  ทุก ๆ อย่าง  นี่แหละเซน  ในมุมมอง ของ สรรพสัตว์ การบำเพ็ญ การเผยแพร่

กวี ดนตรี ศิลปะ ธรรมชาติ กิน ขี้ เยี่ยว นอน ร้อนอาบน้ำ ทุกอริยาบท ก็คือ เซน

การปรุงแต่ง ทั้งหลาย ที่ท่านเอา มุมอริยะผล ตัดผ่าน โกยมันทิ้งไป ว่าง ว่าง ว่าง นั้น

ในมุมของ การเผยแพร่  การบำเพ็ญ นั้น การปรุงแต่ง นี่แหละเซน ทุก ๆ ที่ ก็คือเซน

ท่าน รู้จัก เซน แบบ พวงดอกไม้  หรือไม่เล่า

เซน แบบ พระโวโรจนะ เซนแบบพระมหาโพธิสัตว์ โกยคน


มี  ทั้งหมด และ ไร้ทั้งหมด ในเวลาเดียวกัน  ฟันไป 1 ฉับ

เป็น เราใช้ทั้งหมด เป็นมรรคา สู่ ความไร้ทั้งหมด

ใน หนึ่งสิ่ง หนึ่งธรรม หรือ ธรรมทั้งหมด เป็นทั้งพ่วงแพข้ามฝั่ง และ ฝั่ง ในเวลาเดียวกัน



อีก  1 ฉับ โกอาน หฤทัยสูตร แห่งพวงดอกไม้ 


หนึ่ง คือ ทั้งหมด และ ทั้งหมด คือ หนึ่ง


สุดแต่ จิตท่านจะสะท้อน ธรรมนาวา นะ










บทหนึ่งใน งามอย่างเซน ชอบคำนี้มากเลย
 บานดอกเหมย เผยฤดูไบ้ไม้ผลิ
จากนี้ไป ผมขออวยพรให้ชีวิตพี่ และทุก ๆ สรรพชีวิต

จงเป็นเช่น

บานดอกเหมย เผยฤดูไบไม้ผลิ 

ทุกอย่าง ยามเผยตัวออก ดุจดอกเหมย ยามเห็นดอกเหมย
ท่านจะเห็น ฤดูไม้ไม้ผลิ ทิวเขาแมกไม้ วิหคนกร้อง ต้องใจ
สายน้ำเย็นยามหิมะละลาย พืชแตกใบอ่อน
สรรพสิ่งดูสดชื่น ลื่นไหล เคลื่อนไหว
ดุจดั่งฤดูกาลนี้ 

ถ้อยคำ คือ ดอกเหมย  จิต จง ผลิบาน ด้วยกระแสธรรม


จิต  ตื่น  โลกตื่น
จิต เปลี่ยน โลกเปลี่ยน
จิต งาม โลกก็งดงาม

จิต  ดุจดั่ง  ใบไม้ 
อาบไล้ด้วย แสงจันทร์งาม แห่งธรรม ยามวันวิสาขะ นะพี่

เย็นใจ เย็นจิต ด้วยแสงจันทร์ ยามหมู่เมฆทะมึน มลาย หายไป

สาธุ สาธุ สาธุ ขอจงสดชื่น ตื่น สดใส ใจประภัสสร ด้วยแสงธรรมวันวิสาขะ
4609  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2553 08:17:00




ไม่ว่า สีไหน ถูกผิดอย่างไร คนจำนวนมาก เขาเชื่อ เขาศรัทธา เขาจึงมา
แต่ มันอาจเป็น อาหารอันโชะ ของผู้กระหายอำนาจ บนบันไดแห่งซากศพ


ตัณหาความอยาก ดุจห้วงเหวลึก ทิ้งซากศพ กี่หมื่นชีวิตกันเล่าจึงจะพอ ถมหุบเหวแห่งความอยาก

ความอยาก ไม่เคยพอ ดุจท้องทะเล ที่ไร้ฝั่ง ไร้เขตสิ้นสุด  พายเรือไป แผ่นดินหามีไม่

ความพอ นี่แหละคือแผ่นดิน แม้ เป็นเพียงบึงน้อย ๆ  ส่ำสัตว์น้อยใหญ่ เป็นสุขเสมอ
ยามพึ่งพิงอิงอาศัย  หล่อเลี้ยงต้นไม้ ใบหญ้า ให้เขียวขจี  เจ้าหมู่ปลา มัจฉา พากันแหวกว่าย
บึงน้อย ๆ ยิ้มรับ  สรรพชีวิต

น้ำทะเลสุดกว้างใหญ่ ไร้ขอบเขตแห่งแผ่นดิน  น้ำทะเล ยิ่งดื่มยิ่งกระหาย น้ำทะเลแห่งอำนาจ


ท้องน้ำ คือ ตัณหา  
ความพอ คือ แผ่นดิน

พระสูตร บทหนึ่ง ท่านว่าไว้ ตัณหา ดุจทะเล ห้วงน้ำ ที่ไร้ฝั่ง


หยุดได้ที่คำว่า พอ


พี่สาว แกเปรย ถึงความฝันให้ ข้าพเจ้าฟัง  มันเป็นภาพที่ตรงกับที่ ข้าพเจ้าเจอ


ถ้า คุณมดเอ๊กซ  เป็นอะไรไป  พี่คงไม่ได้อ่าน  ที่น้องเขียนแน่ ๆ  


หวนกลับมาคิด ข้าพเจ้าหวุดหวิด กับ ระเบิด  M 79 ถึง  3 ครั้ง
รวมครั้ง ล่าสุดด้วยยยยยยยยยยยยยยย




หลัง จากคอมเสีย เจอเหตุการณ์ อยู่ดี ๆ เปลี่ยนงาน หายจากเว็บไป นานถึง  6 เดือน
เว็บที่คุ้น ๆ หายไป ถึง  4 เว็บ   ผลงานที่เขียน ๆ  ลง ๆ ไว้ หายหมดเลย

( เลยเข้า ไป บ่น ๆ ใน กูรู โกเกิล  พักใหญ่ )

http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=391938f3bcceb55e


คนเมืองบัว ท่านเสียแล้ว พอท่านเสียเสร็จ เว็บเขากะลา อกาลิโก หายไปปรับปรุง


ปรับปรุงแบบไหน ใจเราหวั่น ๆ เรานั้นจิตไปผูกนะ
ทำเว็บไป ใจไปผูกหลาย ๆ อย่าง
อาการผูกแบบนี้ มันมีทั้งดี และไม่ดี นั้นแหละ
 ลึก ๆ นั้น เราไม่รู้อะไรไปกว่านี้แล้ว
เราเจอหน้าเว็บ ภาพเว็บ ภาพแห่งความเป็นจริง  
หลังม่านบังตา อวิชชา มายา อะไรกันหนา
ข้าไม่รู้ ข้าส่งสาร ผลงานไป ให้ คนอื่นได้ ดื่มกิน
จากแรงบันดาลใจอันปิดผนึกอยู่นาน
เกิดพุ่งทะยาน สยายเรียวปีก แห่ง พญาคชสารหกงา  
เปิด ออกมา
อะไรมากมาย หลั่งไหล ดุจห้วงมนตรา ข้าพเจ้าเรียกมันว่า


แรงบันดาลใจอันลี้ลับ  


ข้าพเจ้ามา จากแรงขับภายใน แรงบันดาลใจอันลี้ลับ อันกำลังจะเปิดผนึกออก
ในกล่องแพนโดร่า  ล้วนเต็มไปด้วย ปริศนา ปรัศนีย์ใจ รอกุญแจไข


ความอจินไตยแห่งกรรมร่วม ปณิธานร่วม แรงอธิษฐาน พันธสัญญา แต่ก่อนเก่า
ภาพลาง ๆ ลวง ๆ หน่วง ๆ เบลอ ๆ   ความรู้สึก ลึก ๆ ที่เรามิอาจเข้าใจได้หมด

เราขับเคลื่อน ด้วย ใจเรา หนึ่งสมอง และสองตีน
หรือ แรงกรรม ถีบเรา

ตีนเรา หรือ ตีนแห่งกรรม  กันแน่

แรงถีบ สุดพิศวง หัวเราะร่า น้ำตาเร็ด เลยล่ะ พี่น้อง

ตีนอะไร กันหนอ



ซ่อมแซม ปรับเปลี่ยน โยกย้าย หมดพลัง ปรับสมดุล ใหม่เลย ทั้งเว็บ และ เรา




เห็น ภาพ หนังเรื่อง  Cast away  ทอมแฮ้ง เล่น ภาพตอนท้าย ๆ
ปริศนา ทางแยก พระเอก ขับรถผ่าน มีสาวคนหนึ่ง รถเก่า ๆ ภาพหยุด
บทเพลง เริ่ม บรรเลง แล้ว จบ นะ

เราเข้าใจอะไรบางอย่าง ในท้ายของหนัง
ผู้กำกับ แกทิ้งทวนให้ไปคิด นี่แหละ คือ เสน่ห์แห่งหนัง


ไม่รู้ว่ะ  เขียนทำไมวะ หนัง อืมมมม แต่อยากจะโยงถึง


น้องใหม่ ไวเบ้ กับ น้องแมคก้า  ยังอยู่ อาจเป็นช่วงที่
เขาทั้งสองปรับสมดุล ปรับใจอะไรบางอย่าง
 ปณิธานภาพฝัน ความปรารถนาดี กับ โลกแห่งกิเลส ธรรม  
ถูก ผิด จริง เท็จ ดี ชั่ว มั่ว ๆ จน เล่นเอา เรามั่ว  กล้า ๆ กลัว ๆ
จนต้องถอย กลับ ไปตั้งหลัก หัก มุม ตรงทางแยก  180 องศา เลยนะ

เป็นแบบนี้ไหม

เป็น ช่วง  ที่ต้อง ชะลอชีวิต  ลิขิตความเร็ว
 สู่ท่วงทำนองใหม่ ๆ บทดนตรี ช้า ๆ แห่งสติ เพ่งมองชีวิต
มองสายน้ำไหล  หลังจากโดด ลงไปว่ายกับเขา

เส้นทางแห่งชีวิต จิตวิญญาณ
แต่ละคน ก็เรียนรู้กันเอง
ต่างคนมีบทละครเฉพาะ

บางครั้งเป็นผู้เล่น บางครั้งเป็นผู้กำกับ บางครั้งเป็นนักเขียน

ลงไปเล่น ไปแสดง อย่างดียว ไม่ได้ ในละครแห่งชีวิต

บางช่วง ต้องวกกลับ สลับปรับเปลี่ยน หมุนเวียน
 หยุด วาง พัก มาเป็่น คนกำกับ คนเขียนบทใหม่

เอาธรรม เอาสติ มาเขียน บทใหม่ แล้วค่อยกำกับมันอีกครั้ง ยังไม่สาย

ชีวิตเราก็เช่นกัน นะ  
4610  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 08 พฤษภาคม 2553 08:05:15



คอมเครื่องเก่าพังปีที่แล้ว ตอนกลางคืน ลุกงัวเงีย ๆ  กะจะลุย ใส่ ๆ บ่น ๆ เรื่อยเปื่อย
ตามแต่ อารมณ์ ดินฟ้าอากาศ เปิดมา เสียง คุโบต้าดังลั่นเลย ฮาร์ดดิส กลายเป็นรถไถนา


แต๊ก ๆๆๆๆๆๆๆ  ครืด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แล้ว จอดับ


จบอีกภาคแล้วเรา เหมือนอะไรมาเตือน อีกวันตอนเย็น
ไอ้ที่เล่า ๆ ไว้ ในกระทู้ ยาระบาย โถส้วม อันเก่านั่นแหละ
นั่งอยู่ด้านหลัง เวที ฟัง อีตาลุงพุงกะทิ พูด ๆๆๆๆ  อยู่

ตัวเอง ชอบลมมาก เห็นลมเย็น ๆ พัดอยู่ ด้านหลังเวทีเปิดโล่ง
อัญเชิญตัวเอง ปีน ป่าย ไปนั่งอยู่ บนโครงเหล็กเส้น  หลังเวที

นั่ง ตาก ลม โชยพัดสะบัด  ห่างแนวต้นมะขาม ตรงข้ามวัดพระแก้วไม่เท่าไหร่

เชื่อหรือ ไม่  ไอ้กระทู้ ยาระบายอันเก่า  ก่อนข้าพเจ้ามา นั่งฟัง คุณลุงพุงกะทิ พูด อยู่นั่น
มีคนโพสอะไรแปลก ๆ ด้วยล่ะ  โพสก่อนเจอเหตุการณ์ ซะด้วย  เป็นเรื่อง สายสัมพันธ์อะไรบางอย่าง
ออกแนว ลี้ลับ แปลก ๆ ของจิตสัมผัส วิถีแห่งฝัน สุบินโยคะ ประมาณนั้น

ถามไถ่แล้ว ช่วงแกโพส แก จิตสั่น ร้องไห้ เพราะ ภาพในฝัน มันเป็นภาพ

ข้าพเจ้า นายมดเอ๊ก ภาค อวาตาร  แห่งโลกดิจิตอล

ในฝัน ร่างกายข้าพเจ้า แหลกเหลว แขน ขา อวัยวะ ขาด กระจุย เพราะ
แรงระเบิด  พี่แกวิ่งไปหา ร่างข้าพเจ้า แล้วนั่งร้องไห้ ฟูมฟาย  แล้วแกก็ตื่น
รีบมาโพส  บอกห้อง ยาระบาย แต่ ถ้อยคำมัน สั่น ๆ ส่าย ๆ  จิตมันสั่น ๆ
ไม่มีใคร รู้ความนัย  มันเป็น กระทู้ยาระบาย นี่หว่า อ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง ตามใจ





ในเวลาต่อมา อีกวัน


งานเข้าเลย พี่น้องเอ้ย ! สามทุ่ม นั่งรับลมโชย หลังเวที อยู่ดี ๆ เสียง ตูม ! สะหนั่น
ห่างจาก ที่ข้าพเจ้านั่ง ไม่กี่ร้อยเมตร หลังแนวต้นมะขาม ริมฟุตบาท นั่นแหละ
เล่นเอา ท้องใส้ อวัยวะ  ปั่นป่วน แด้นกระจายเลย แรงอัดอันมหาศาล  ของ
ระเบิดวิถีโค้ง  M 79 ภาษาทางกองทัพ เรียกว่า ลูกยาว

เดชะ บุญ ลมแรง ลมเย็น ๆ ที่ข้าพเจ้า อารมณ์ดี นั่งรับสัมผัสนั้น มันเบี่ยงวิถีกระสุน ได้เยอะ
พวกกะ ล่อ ตรงเวทีนั่นแหละ ช่วงเรทติ้ง สูงซะด้วย  ถ้าลมเบา นะ มันเลย ต้นมะขาม
โดน คนเจ็บระนาว รวมข้าพเจ้าด้วย หลังแนวต้นมะขาม คนทะลักเลย นั่งยาว ถึงหลังเวที

กู โดนด้วย กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

วันนั้น กำหนดการ เขากะ จะเดินขบวนแสดงพลัง ตามถนนราชดำเนิน
โชว์พราว โชว์พาว (power) เดินในช่วงมืด ๆ คนเยอะ นะ
ยาวเหยียดแน่ ๆ  ในขบวน มี ข้าพเจ้าด้วย

แต่อยู่ ดี ๆ  เขาเลิก กำหนดการ ไม่ไห้เดิน เพราะคุมลำบาก และ สถานการณ์ยังไม่นิ่ง
ตอนค่ำ นี่แหละ จุดล่อแหลมเลย สายข่าว เขาน่าจะรู้ ระแคะ ระคาย  ยิ่งคนเยอะ
ไอ้ ตรงแยก คอกวัว ลากยาว จาก ท้องสนามหลวง จนถึง สะพานผ่านฟ้า นั่นแหละ
มุมอับเลย  มีตึกสูงสองฟาก  อาจโดน  ชุดใหญ่ ลูกยาว ลูกหนัก  สารพัดเลย

เหยื่อ คือ ผู้บริสุทธิ์  ประชาชนตาดำ ๆ นั่นแหละ
4611  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / เมื่อการเดินทาง ..ปราศจากจุดมุ่งหมาย เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2553 09:11:42
ข้าพเจ้าเข้าสู่วิถีแห่งการทำสมาธิภาวนามาได้สามปีกว่า  มีหลายอย่างในชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากมาย   การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นทั้งเรื่องภายในและภายนอก  เริ่มต้นจากที่ข้าพเจ้าเปลี่ยนที่ทำงาน  กลับเข้ามาทำงานในระบบ แล้วมาใชัชีวิตในเมืองเล็กๆ   อยู่กับความสงบเงียบ และอยู่เพียงลำพัง 
 
หลายคนมองว่า ข้าพเจ้าคงมีปัญหาอะไรสักอย่างในที่ทำงานเดิม  หรือไม่ก็มีปัญหาอะไรในใจสักอย่าง จึงต้องย้ายที่ทำงาน  จึงต้องย้ายถิ่นที่อยู่  (โชคดีที่ข้าพเจ้าไม่ถึงขนาดออกบวช  ซึ่งถ้าทำดังนั้น คงจะทำให้ใครหลายคนที่รู้จักมีอาการตกอกตกใจมากกว่านี้  )   ซึ่งอันที่จริงแล้ว ก็คิดจะทำอยู่เช่นกัน   แต่ด้วยภาระหน้าที่ ต้องดูแลเลี้ยงดูพ่อแม่ที่อายุมากขึ้นทุกวัน  ต้องดูแลคนในครอบครัว  การเลิกทำงานการต่างๆ แล้วตัดช่องน้อยแต่พอตัวออกบวช  ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง   ข้าพเจ้าจำเป็นต้องทำงาน เพื่อจะมีรายได้เลี้ยงชีวิต และการงานของข้าพเจ้านั้นก็ยังสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นได้อยู่  ข้าพเจ้าจึงยังดำรงอยู่ ในชีวิตแบบโลกๆ ต่อไป   แต่การย้ายที่ทำงานก็อาจจะทำให้ใครหลายๆคนมึนงงว่า  ข้าพเจ้าจะเดินไปทิศทางไหนอีก   
 
 

 
การเข้าสู่วิถีภาวนา ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักรู้อะไรบางอย่าง  และมองเห็นหนทางว่า ควรจะใช้ชีวิตที่เหลือแบบไหน  อะไรที่สำคัญอย่างแท้จริงในชีวิต อะไรที่ไม่มีความสำคัญ และควรจะปล่อยวางลงเสียบ้าง   
 
ข้าพเจ้ามุ่งหวังที่จะอยู่ในสถานที่  ที่เื้อื้อโอกาสให้ได้ทำสมาธิภาวนา และในขณะเดียวกันก็ได้อยู่ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นบ้างตามสมควร   การจะหาสถานที่ ที่ลงตัวเช่นนั้นได้  ไม่ใช่ของง่ายนัก  แต่ข้าพเจ้าก็สามารถหาได้ในที่สุด
 

 
หลายคนเข้าใจว่าเราสามารถทำงานไป ภาวนาไปก็ได้ และอยู่แบบโลกๆ ต่อไป สู้รบปรบมือกับการกระทบอารมณ์แบบโลกๆ นี่แหละ ไม่จำเป็นต้องบวช ไม่จำเป็นต้องย้ายไปแสวงหาที่เหมาะสนแก่การภาวนาที่ไหนทั้งสิ้น อยู่กับความวุ่นวายแบบโลกๆ  ในเมืองใหญ่นี่แหละ  นั่นคงจะเหมาะกับผู้คนที่มีความสามารถและมีอินทรีย์แก่กล้าอย่างมากทีเดียว    แต่สำหรับข้าพเจ้านั้น ไม่มีอินทรีย์แก่กล้ามากพอสำหรับการภาวนาในสถานที่เช่นนั้นได้   อย่างไรเสียการเลือกที่อยู่อันเหมาะสมแก่การภาวนา  ก็ยังเป็นสิ่งที่เราสามารถแสวงหาได้   เพราะแม้แต่สมณนักบวช  บางครั้งท่านก็ยังต้องปลีกวิเวกเข้าสู่ป่าหาความสงบ 
 
ข้าพเจ้าดีใจที่ได้มาอยู่เมืองเล็กๆ และสงบเงียบ ไม่มีรถราวุ่นวาย  ไม่ต้องขับรถไปทำงาน แถมเดินไปทำงานได้  และมีภูเขามีต้นไม้   มีธรรมชาติที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจอยู่รายรอบ
 
ข้าพเจ้าไม่แสวงหาห้างร้านใหญ่ๆ  ร้านอาหารดีๆ  โรงหนังโรงภาพยนตร์  บ้านหลายสิบล้าน  รถราคาแพงๆ  สังคมชั้นสูง หรือสังคมของผู้มีอันจะกิน  สังคมของคนเป็นใหญ่เป็นโตที่มากด้วยสมมติบัญญัติ    แถมมักจะพูดกันถึง การมีนั่นมีนี่ หรือการได้นั่นได้นี่อยู่ตลอดเวลา   นี่เป็นเรื่องหาสาระอะไรไม่ได้ในชีวิตของข้าพเจ้า  แต่คงจำเป็นสำหรับคนอีกหลาย ๆ คนที่มีความสุขกับการมีและการเป็นอะไรสักอย่าง ในการใช้ชีวิตแบบโลกวัตถุนิยมทั้งหลาย
 

 
หลายคนคิดว่า  การภาวนาแบบพุทธนั้น   มักจะทำให้ผู้คนที่เข้าสู่เส้นทางสายนี้กลายเป็นพวก passive  ไม่สร้างสรร ไม่อยากมีไม่อยากเป็นอะไร  ทำให้ชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า แถมไม่ค่อยจะแก้ปัญหาใดๆ   กลายเป็นพวกเฉื่อยชาในระบบ  ชีวิตขาดรสชาด แถมกลายเป็นพวกแปลกแยกในสังคม  และอาจจะถ่วงความเจริญของสังคมและองค์กร  เพราะในยุคสมัยนี้ ชีวิตคือการแข่งขัน  คือการวิ่งหาความก้าวหน้าไปเรื่อยๆ  ต้องตามโลกให้ทัน ต้องตามข่าวสาร ให้ทัน  เราต้องแข่งขันกัน ในการที่จะวิ่ง ไปข้างหน้าเพื่อให้ทันโลก    แต่การภาวนาดูเหมือนจะหยุดความอยากมีอยากเป็น  หยุดการเข้าสู่การแข่งขัน ทำให้กลายเป็นคนเฉื่อยชาและล้าสมัยได้   ผู้คนบางส่วนจึงทั้งเกลียดและกลัวการภาวนามาก  และมีอคติในด้านลบอยู่ตลอดเวลา 
 
สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การภาวนาทำให้ข้าพเจ้าพอใจในจุดที่ยืนอยู่ เลือกที่จะใช้เวลาที่เหลือในชีวิต  กับสิ่งที่ตนเองเห็นว่าสำคัญ  แถมข้าพเจ้าก็กลายเป็นคนที่พูดจาตรงๆ   และเมื่อมีปัญหาข้าพเจ้าก็ยินดีที่จะพูดตรงๆ ซึ่งๆหน้าเช่นกัน    แม้กระทั้งในการทำงาน และมีปัญหาไม่เข้าใจกันกับผู้ร่วมงาน ข้าพเจ้าก็พูดกับคู่กรณีอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม    มีครั้งหนึ่งข้าพเจ้าบอกคุณพยาบาลท่านหนึ่งอย่างตรงไปตรงมาว่า   การกระทำอย่างหนึ่งของเธอไม่น่ารัก และข้าพเจ้ารู้สึกแย่ รู้สึกเสียใจที่เธอทำเช่นนั้น   นั่นเป็นการบอกตรงๆ จากใจ อย่างที่สุด  ข้าพเจ้าไม่ได้เก็บงำความรู้สึกใดๆ   ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับใคร และเมื่อข้าพเจ้าจะกล่าวขอบใจใครสักคน  ข้าพเจ้าก็กล่าวออกมาตรงๆเช่นกัน   ข้าพเจ้าไม่ได้แกล้งที่จะทำสงบเพื่อให้เป็นคนดูดีด้วยซ้ำ   และเมื่อข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะทำสิ่งใดข้าพเจ้าก็จะบอกออกมาตรงๆ  เช่นกัน  จากที่สังเกตดูตนเองมาสักระยะ    หลังการภาวนามาหลายปี จนเข้าปีที่สาม ข้าพเจ้าก็ไม่ได้กลายเป็นคน passive  อะไรอย่างที่เขาว่ากัน  กลับตรงไปตรงมามากขึ้น  แถมไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามอะไรง่ายๆ ดังเช่นแต่ก่อน   
 

 
และเมื่อมีปัญหาใดๆที่หนักหนาสาหัส   ข้าพเจ้าก็ยังมองหาหนทางแก้อยู่  แม้จะแก้ไม่ได้ในตอนนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ยังหาหนทางแก้ต่อไป   แถมไม่ทุกข์กับมันมากมายอย่างแต่ก่อนแล้ว  เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในองค์กรของรัฐที่เต็มไปด้วยระบบระเบียบ  บางทีระบบก็ล่าช้าไม่เป็นไปตามที่ต้องการ   ความวุ่นวายหลายอย่างก็บังเกิดแก่ชีิวิต    แต่ข้าพเจ้าก็พบว่า ตนเองนั้นก็ยังใจเย็นพอที่จะดำรงอยู่ได้โดยไม่ทุกข์ และไม่คิดท้อใจในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น  แม้หลายๆคนจะพากันท้อใจไปบ้างแล้วก็ตาม
 เท่าที่พบเจอมานั้นในองค์กรต่างๆ ที่ก่อตั้งมานาน   เมื่อเกิดปัญหาติดขัดขึ้น  หลายคนในองค์กรมักมองว่า  การแก้ปัญหาทั้งหลายนั้น  จะแก้ได้จริงและไม่มีอุปสรรค ก็ต่อเมื่อเราเป็นใหญ่เป็นโตแล้วเท่านั้น    ต้องได้เป็นผู้อำนวยการสถาบัน   ได้เป็นผู้ว่า ฯ  ได้เป็น  รมต.    หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ยิ่งใหญ่มากๆ ก่อน  จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้  นั่นไม่จริงเลย   แม้เราจะเป็นคนเล็ก  ๆ  จากก้าวเล็กๆ เพียงหนึ่งก้าวที่ตั้งใจจริง  เราเปลี่ยนแปลงโลกได้  ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น  และสิ่งที่เราควรเปลี่ยนอันดับแรกคือตัวเราเอง 
 
 
ดังนั้นเมื่อเราอยู่ในจุดที่ทำอะไรสักอย่างได้ ก็ควรจะทำ และเมื่อลงมือทำเราก็ไม่ควรคิดถึงสิ่งที่จะทำไม่ได้   อุปสรรคที่เกิดขึ้นในอดีตก็คืออดีต  นี่คือปัจจุบัน เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
 
 
ปัญหาของเราทั้งหลายก็คือการติดยึด  เมื่อเราจะพัฒนาอะไรสักอย่างในองค์กร  เรามักจะคอยคิดว่า  เดี๋ยวมันก็เป็นเหมือนเดิมแหละ  มันก็เป็นแบบนี้มาทั้งปีทั้งชาติแล้วล่ะ  ใครจะแก้ได้  เมื่อก่อนข้าพเจ้าก็คิดเห็นเป็นเช่นนั้น
 
 
 แต่ในปัจจุบันนี้  ข้าพเจ้ากลับมองว่า  ปัญหาอะไรๆ  มันก็จะไม่ยากลำบากอีกแล้ว  ถ้าเราไม่คิด ไม่ทำ ไม่มองแบบเดิมๆ อีก    เราต้องเปลี่ยนมุมมอง และมีศรัทธามากพอต่อสิ่งที่เราจะทำ   ศรัทธาต่อสิ่งที่เราจะพัฒนาแก้ไข
 
 
จนถึงเดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าก็ไม่พบว่าตนเองจะ Passive ตรงไหน  การภาวนาไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าปล่อยชีวิตแบบตามบุญตามกรรมอย่างที่ใครๆคิด  แถมข้าพเจ้ายังแปลกใจในตนเองไม่น้อย ที่มีท่าทีต่อปัญหาต่างไปจากเดิม   และรู้จักมองหาหนทางแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ  อย่างช้าๆ  แถมเกิดความเชื่อมั่นว่า ทุกสิ่งมักจะเริ่มต้นด้วยการก้าวเพียงหนึ่งก้าวนี่แหละ 
 
 

 
 
ตัวอย่างในปัจจุบัน ก็คือเรื่องมุมมองต่อการทำงาน ต่อที่ทำงาน  มีบางคนกล่าวว่าโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้ากำลังทำงานอยู่นี้  คงเป็นได้แค่นี้แหละ  คงไม่สามารถพัฒนาอะไรได้อีกแล้ว  ข้าพเจ้ากลับมองว่า  มันจะพัฒนาถ้าความคิดเราเปลี่ยน  อุปสรรคปัญหาอันแรก  ก็คือที่ความคิดและมุมมองของเรานี่แหละที่ดันไปคิดว่ามันพัฒนาไม่ได้    แถมเราไม่ยอมลงมือทำอะไรกันเลย  นอกจากพร่ำบ่นและเฝ้ามองดูมันไปวันๆ  ช่างเป็นเรื่องที่ดูสิ้นหวังอะไรแบบนั้น
 
 
หลังๆ พอข้าพเจ้าคุยกับใครหลายๆคน   ในมุมมองต่างๆ  บางคนก็บอกว่า ดีนะที่ข้าพเจ้าคิดบวก    แต่ข้าพเจ้ารู้แก่ใจว่า  ข้าพเจ้าไม่ได้พยายามคิด หรือมองหาสิ่งที่เขาบอกกันว่าเป็นเชิงบวกแต่อย่างใด  แต่ความรู้สึก  ความคิดเห็นทั้งหมดต่อเรื่องต่างๆ   มาจากการมองอะไรที่ตรงไปตรงมา และมีใจที่เป็นกลางมากขึ้น   และนั่นคือสิ่งที่ได้จากการภาวนา   การภาวนาไม่ได้ทำให้เราเป็นมนุษย์สิ้นหวัง  ปล่อยชีวิตไปตามบุญตามกรรม    แต่ทำให้เรารู้จักมองโลกอย่างตรงไปตรงมา ตามความเป็นจริง   และรู้จักลดตัวตน ปล่อยวางความคิดเห็นแบบตัวกูของกูลง  ทำให้รู้จักเข้าใจคนอื่น   นั่นคือผลจากการทำสมาธิภาวนาเช่นกัน
 
 

 
 
ถ้าจะถามว่าตกลงตอนนี้ข้าพเจ้ากลายเป็นคนดีมีคุณธรรม  และบรรลุธรรมระดับสูงแล้วหรืออย่างไร  เปล่าเลย  ข้าพเจ้าก็ยังเป็นคนดีบ้างชั่วบ้างตามปกติ  ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระโสดาบัน หรือเป็นมนุษย์ที่อยู่เหนือโลกแต่อย่างใด    ข้าพเจ้าก็เป็นแบบนี้แหละ  ไม่ได้ดีกว่าใครๆ  แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย  ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ 
 
มาถึงตรงนี้ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจที่ตนเองไม่ได้หลงใหลติดยึดในความดีหรือติดดีสักเท่าไหร่  เพียงแต่รู้ตัวรู้ตนว่าควรทำอะไรและควรเดินอย่างไร  โดยไม่สร้างทุกข์ให้คนรอบข้าง  หรือสร้างทุกข์ให้ตนเองเพิ่มมากขึ้น
 
ในการเข้าสู่การภาวนาของวัชรยานสายคากิวกับครูตั้ม –วิจักขณ์ พานิช ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสได้เรียนรู้แนวทางการภาวนาของสายนี้บ้าง  ทว่าไม่ได้ลึกซึ้งอะไรนัก   แต่ข้า้พเ้จ้าก็ได้อ่านหนังสือของท่าน เชอเกียม  ตรุงปะ  ซึ่งเป็นธรรมาจารย์ของสายนี้อยู่หลายเล่ม   ในจำนวนนั้นมีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งกัลยาณมิตรที่เคารพนับถือกัน นำมาแบ่งปันให้อ่าน  หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า "การเดินทางอย่างปราศจากจุดมุ่งหมาย "  ข้าพเจ้ารู้สึกชอบใจกับชื่อของหนังสือเล่มนี้    เส้นทางการภาวนากลายเป็นการเดินทางที่ปราศจากจุดมุ่งหมายได้อย่างไรกันช่างน่าสงสัยไม่น้อย    แถมฟังดูอาจจะแปลกๆ อยู่  สำหรับผู้คนในสายเถรวาท   เพราะสำหรับแนวทางเถรวาทแล้ว  จุดหมายปลายทางของการภาวนา คือการให้ถึงซึ่งพระนิพพาน หรือการได้เป็นพระโสดาบันเป็นอย่างน้อย 
แต่เหตุใดไม่รู้ แม้ข้าพเจ้าจะอยู่ในแนวทางของเถรวาท และภาวนาในสายของเถรวาทมาไม่น้อย   แต่ยิ่งนานวันข้าพเจ้าก็ยิ่งเห็นจริงว่า การเดินทางเส้นนี้ไม่มีจุดมุ่งหมาย ตามชื่อหนังสือเล่มนี้ด้วย    และมีอยู่หลายๆ  ครั้งที่ตัวข้าพเจ้าเองก็รู้สึกว่า ตนเองไม่มีจุดหมายอะไรที่แท้จริงสักเท่าไหร่ เมื่อเข้าสู่เส้นทางภาวนา
 

 
เมื่อถามตนเองว่าอยากหลุดพ้นจริงๆ หรือ ข้าพเจ้าก็อดถามตนเองต่อไปไม่ได้ว่าอยากหลุดพ้นจากอะไรเล่า  ?
 
  แม้ปัจจุบัน ข้าพเจ้าจะเห็นทุกข์  เข้าใจว่าชีวิตคือกองทุกข์  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่คิดว่าตนเองควรจะหนีทุกข์ไปหาสุขเอาข้างหน้า  เพราะในระยะหลังๆ ข้าพเจ้าพบว่า การอยู่ในความทุกข์ ด้วยใจที่เป็นกลางและอยู่อย่างเข้าใจ  ข้าพเจ้าก็พบว่าก็พอจะดำรงอยู่กับมันได้ตามสมควร   นี่อาจจะเป็นเพราะข้าพเจ้ายังไม่เจอความทุกข์อย่างถึงที่สุดกระมัง ข้าพเจ้าจึงไม่คิดจะหนีทุกข์สักเท่าไหร่ ? 
 
ในการภาวนากับเซนมหายาน ตามแนวทางของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์   ข้าพเจ้าพบว่า  การดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ คือสิ่งสำคัญประการเดียวของชีวิต  ไม่มีที่นั่น  ไม่ที่ไหน ไม่มีอะไรจะให้เอาจะให้เป็น  เพราะชีวิตที่แท้จริงของเราอยู่ที่นี่    ขณะนี้และเดี๋ยวนี้    ควรหรือไม่ที่เราจะคิดหวังไปยังอนาคต  คาดหมายถึงความสุขในอนาคต  คาดหมายถึงการบรรลุธรรมในอนาคต  คาดหมายถึงเส้นทางในอนาคต  คาดหมายถึงเป้าหมายต่างๆในอนาคต 
 

 
เมื่อเริ่มออกเดิน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนเองมีเป้าหมายอะไรสักอย่างอยู่ในใจ เมื่อเดินๆไป ข้าพเจ้าก็พบว่าเป้าหมายนั้นดูคลุมเคลือและไม่ชัดเจนนัก และเมื่อเดินไปเรื่อยๆข้าพเจ้าก็เริ่มสนใจสิ่งที่พานพบระหว่างการเดินทาง มากกว่าที่จะคิดถึงเป้าหมาย  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างคือการเีรียนรู้และเข้าใจ
 
 
แถมช่วงหลังๆ มานี้  ข้าพเจ้ารู้สึกเบิกบานกับสิ่งที่พบเห็นในชีวิต   และรู้สึกขอบคุณในทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เข้ามาในชีวิต   แม้สิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าพบเจอสักเท่าไหร่  แต่สิ่งนั้นก็มีบทเรียน  มีบททดสอบ  มีอะไรบางอย่างที่มาสอนให้ข้าพเจ้าตระหนักรู้และเข้าใจในชีวิตที่เป็นอยู่ 
 
 
นานเข้า  นานเข้า  ข้าพเจ้าก็เลิกสนใจในเป้าหมายและอยู่กับปัจจุบันขณะมากขึ้นเรื่อยๆ  และอย่างไรไม่รู้ข้าพเจ้าก็เริ่มรู้สึกว่า การเดินทางของข้าพเจ้าไม่มีจุดมุ่งหมายปลายทางอะไร   ข้าพเจ้าเพียงแต่ใช้ชีวิตไป ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม  แต่ละขณะ  แต่ละขณะ     ข้าพเจ้าไม่ได้เศร้าโศกกับอดีต ไม่ได้มุ่งหวังอะไรในอนาคต  ข้าพเจ้ากลับมาอยู่กับปัจจุบันมากขึ้นเรื่อยๆ 
 
 
น่าแปลกใจที่การเดินทางของข้าพเจ้าบนหนทางแห่งการภาวนานี้    เสมือนว่าจะปราศจากจุดมุ่งหมายไปทุกที  ทุกที    ข้าพเจ้าเริ่มตระหนักรู้อย่างชัดเจนว่า  บนเส้นทางนี้  ไม่มีที่ไหนที่จะไป  ไม่มีอะไรที่จะได้    มีแต่ปัจจุบัน ..


http://gotoknow.org/blog/sunmoola/328414
4612  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / สีหนาทบันลือ (2) : ทุกข์ห้วงอารมณ์ใช้การได้ เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2553 08:59:17
"ตำนานแห่งเสรีภาพ และหนทางแห่งการภาวนา" เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งของท่าน เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช เป็นหนังสือเล่มที่ผมอ่านบ่อยที่สุดของเดือนนี้ครับ (แต่ตอนนี้ก็ยังอ่านไม่จบอยู่ดี) ผมคิดว่า หนังสือเล่มนี้เหมาะกับท่านมือใหม่ทั้งหลายที่สนใจจะเริ่มต้นฝึกปฏิบัติวัชรยานอย่างยิ่ง แต่สำหรับผู้อ่านมือเก่านั้นอาจไม่สนุกนัก เพราะดูเหมือนว่า หนังสือจะสอนตั้งแต่แนวคิดขั้นพื้นฐานและค่อย ๆ ไต่ระดับสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  ผมคิดว่า เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ไม่ควรพลาด สุดยอดมากครับ โดยเฉพาะในเนื้อหาส่วนที่ว่าด้วย "สีหนาทบันลือ" ที่จะนำมาถอดบทเรียนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน ดังต่อไปนี้ครับ


สีหนาทบันลือนั้น ได้แก่ การประกาศก้องอย่างไรความหวาดกลัวว ว่าทุกสภาวจิตรวมถึงทุกห้วงอารมณ์เป็นสิ่งที่ใช้การได้ เป็นดังสิ่งที่เฝ้าเตือนเราในการฝึกฝนสมาธิภาวนา เราเริ่มตระหนักว่าสถานการณ์อันปั่นป่วนสับสน หาใช่สิ่งที่ต้องถูกปฏิเสธไม่ เราหาได้ตีตรามันว่าเป็นตัวถ่วง เป็นสิ่งฉุดรั้งเรากลับสู่วังวนอันสับสน เราจะต้องเคารพในทุกสิ่งที่อุบัติในสภาวจิตของเรา ความปั่นป่วนสับสนได้ถูกมองว่าเป็นดังข่าวสารอันประเสริฐ
       


 วันเสาร์ที่ผ่านมามีบุญได้ไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพท่านหลวงตาพวง ที่จังหวัดยโสธร เมื่อวันอาทิตย์ได้ไปสอนที่บุรีรัมย์ ตอนเดินทางกลับจึงแวะไปกราบศพท่านหลวงปู่จันทร์แรม ทำให้รู้สึกว่าจิตใจมีสติ สมาธิ และมีปัญญา วิวัฒน์ขึ้นอย่างมากครับ ทำให้อ่านหนังสือเข้าใจได้ดียิ่งขึ้นครับ
             ผมเข้าใจว่า "การวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน" เป็นวิธีการฝึกฝนสมาธิภาวนา ที่เหมาะกับยุคสมัยปัจจุบัน เพราะป่าและที่สัปปายะหรือที่สงบเริ่มหายากมากขึ้น ผู้คนในปัจจุบันต้องดิ้นรนทำงานหัวเป็นน็อตตัวเป็นเกลียวทำให้ไม่มีเวลานั่งสมาธิตามรูปแบบได้ง่ายนัก
             การวิปัสสนาในชีวิตประจำวันนั้น ถ้าดูผิดเผินอาจดูเหมือนว่า ทำให้ก้าวหน้าได้ช้ากว่าวิธีการอื่น ๆ โดยเฉพาะในช่วงของการฝึกปีแรก ๆ นั้น จะพบว่า การต่อสู้ระหว่างกิเลสตัณหากับธรรมนั้น ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอยู่บ่อยครั้ง
             เมื่อฝึกไปเรื่อย ๆ หลายท่านจะพบว่า ภูมิธรรมจะแข็งแรกขึ้นเรื่อย ๆ และจะเอาชนะทุกข์ทางโลกได้บ่อยขึ้นมากขึ้น แต่ก็ยังพบว่า ถ้าภูมิธรรมแพ้ให้กับเจ้าปัญหาทางโลกคราใด ความคิดและจิตใจก็จะกลับมาวุ่นวายเหมือนเช่นเคยดั่งปุถุชนทั่ว ๆ ไป
            เมื่อฝึกมาอีกสักพัก เราจะพบว่า เราสามารถเล่นกับอารมณ์ได้ดีมากขึ้น ท่านอาจจะสามารถเต้นรำกับอารมณ์ได้บ้างในบางครั้งคราว 
            ...หนังสือเล่มนี้จะแนะนำวิถีแห่ง "สีหนาทบันลือ" ที่จะทำให้ท่านเต้นรำได้ดีขึ้นกับทุกอารมณ์ แปรเปลี่ยนจากที่เคยคิดว่าอารมณ์เป็นตัวถ่วงที่ดึงท่านกลับมาวุ่นวายสับสนแบบเดิม ๆ เยี่ยงปุถุชนทั่วไป ศาสตร์ที่จะฝึกให้ท่านแปรเปลี่ยนทุกอารมณ์ให้กลายเป็นพลังที่ใช้การได้...
           มีขั้นตอนหลายขั้นตอนในการสัมพันธ์กับอารมณ์ อันได้แก่ ขั้นตอนแห่งการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัส และขั้นตอนแห่งการแปรเปลี่ยน

  • การเห็นและยอมรับอารมณ์
  • การได้ยิน เป็นการสัมผัสได้ถึงจังหวะแห่งพลัง
  • การได้กลิ่นว่าพลังเป็นสิ่งที่นำมาใช้การได้
  • การสัมผัสรู้สึกได้ถึงความพุยพ่วงของพลัง
  • การแปรเปลี่ยน รับรู้และยอมรับกองอารมณ์ทั้งหลายดังที่มันเป็น ไม่ต่อต้าน แต่จับคู่เริงรำ

สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับจิตอันเวียนว่าย ย่อมถือเป็นมรรควิธี เป็นสิ่งที่นำไปใช้การได้
 
http://gotoknow.org/blog/spirit2/348150
4613  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2553 08:15:48

 

น้องแม๊ค ปล่อยมาซะเพียบ มันเข้ากระทบอย่างจัง
 
อายตนะภายนอก กระทบอายตนะภาย นอกนั้นเป็นเรื่องของใจ
 
 
บวกกับ ล่าสุด เราไปอ่าน วิถีแห่งนินจานารูโตะ เข้าให้ น้ำตาซึมเลย
 
สะเทือนใจตรงคำที่ว่า ตลกผู้บ้าดีเดือด ปะทะกับ อัจฉริยะผู้คั่งแค้น
 
การขับเคลื่อน วิถีแห่งพลังด้วยความรัก พยายามเอาชนะ อสูรร้าย เจ้าจิ้งจอกเก้าหาง
อันนี้ คือวิถีแห่งนารูโตะ รักเพื่อน รักพวกพ้อง แบกรับภาระหนักแห่งวิถีนินจา
 
การขับเคลื่อน วิถีพลังด้วยความคั่งแค้น ยอดอัจฉริยะ พลังเนตรวงแหวน
ซาซึเกะ กำลังโดนความมืดครอบงำ
 
ทั้งสองมีปม มีปัญหาทั้งคู่ แต่เส้นทาง ทางแยกอันแตกต่างบนวิถี
ฝ่ายหนึ่งจะพยายามคุม สลาย ความดำในดวงจิต อีกฝ่ายมันพอจะมีความสว่าง
เพียงปลายเข็มในใจบ้างใหม เพื่อให้ความรัก ช่วยเยียวยา หรือ กู่ไม่กลับแล้ว
 
เมื่อ กระสุนวงจักร เจอ พันธ์ปักษา อะไรจะเกิดขึ้น
 
ความสัมพันธ์แห่ง คู่ดูโอ้ นารูโตะ กับ ซาซึเกะ
ความสัมพันธ์แบบ ทรีโอ้ ตองสาม นารูโตะ ซาซึเกะ ซากูระ
ความสัมพันธ์ ของ คำว่า เพื่อพ้อง อีกเพียบ ๆๆๆๆๆๆ
 
 
อ่าน ของตาใหม่ ไว้เบ้ แอ๊ดมินเว็บอกาลิโก แกเปรย ๆ แต่เราอ่านที่แกวิเคราะห์ยังไม่จบ
การ์ตูนยังไม่จบเลย ถึงตอนที่ นารูโตะ ไปฝึกวิชา คุมสัตว์หาง อสูรร้ายภายในตัว
กับ แปดหางฮิ๊ปฮ๊อป แร๊บโย่วววววว โอ้ววว เย่ ............
 
 
โปรด ติดตามตอนต่อไป อ่านการ์ตูน อ่านใจ อ่านธรรมภายใน
อะไร อะไร อะไร ก็เกิดขึ้นได้ เมื่อคืน จิตเตลิด แว๊บ ๆ อะไร แต่ยิ่งใหญ่จังเลย
เขียนบันทึกไว้ เรานั้น มีอะไร อื่น อีกมากมาย ในใจเหลือเกิน
 
เกี่ยวอะไรกับ น้องแม๊คเล่า ไม่รู้ว่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 
เอ็ง รู้ไหมเล่า เมื่อ ธรรมสูงหนึ่งวา มารมันจะหาเป็นร้อยโยชน์ มารในใจ ดุจจิ้งจอกเก้าหาง นะ
ธรรมยิ่งสูง มารยิ่งละเอียด ซับซ้อน เมื่อ อวิชชาเป็นเจ้าเรือน มารแอ๊บแบ้ว นี่แหละสุดอันตราย
ปฏิบัติธรรมยิ่งสูง บารมียิ่งเข้าไกล้ โอกาสโดน เตะตัดขาโดย มารภายใน ยิ่งสูง
กรรมร่วมแห่งชาวคณะ กลุ่มคน สับสน ปนเปะ กันไป สุดแล้วแต่อะไรจะมีอำนาจมากกว่า
 
มารสีชมพู มารแอ๊บแบ้ว มารโรยดอกมะลิ คริ คริ คริ
 
 
สนามแห่งโลก คือ การประลองกำลังระหว่างสองฟากฝั่ง แห่งพลัง เทวดา กับ ซาตาน
 
สนามแห่งเว็บยิ่งซับซ้อน ตกตะลึง พรึงเพลิด ยิ่งกว่า โลกซ้อนโลก เว็บซ้อนเว็บ ธรรมซ้อนธรรม
ดำขาว แอ๊บ ไปแอ๊บ มา ปนกันนัวเนีย ซ้อนกันเข้าไป สมมุติ สุดซับซ้อน จนเราอ่อนใจ อ่านใจ อ่านอะไรไม่ออก
พออ่อนกำลัง พอแล้วแหละ ต่อไป จะไม่ขอผูกอะไรกับใคร ให้เหนื่อยใจแล้ว ขอออกมาข้างนอกดู สายลมกลางฤดูร้อนดีกว่าเรา
เป็น ผู้เฝ้าดู อาจมีความสุข กว่าเป็่นผู้ร่วมเล่นก็ได้ ว่ะ เนอะ
 
ใครมีหน้าที่ ฉวัดเฉวียน พูดอ้อม ๆ เตือนไป แม้จะพูดตรง ๆ ไม่ได้ ก็ทำไป
อ่านไป รู้ความนัย ไม่จำเป็นต้องบอกใคร พอแล้วล่ะ พอที พอที
 
ใจมันบอกพอ อีกตัวตนเรา เสือกสวนกลับมาว่า พอแล้วแน่เหรอ เฮ่อ ๆๆๆๆๆๆๆ
 
โลกไม่มี ขาว กับ ดำชัดเจน ดอกโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย พี่น้องเอ๋ย ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 
ทุก สี สัน เลย แบบ ตันตระนั่นแหละ แต่ไอ้ทุกเฉดสี แสงเงา มันสร้าง เป็น รูปพระปฏิมาอันงดงาม
ได้พอ ๆ กับ รูปพญามาร นั่นแหละ สุดแต่ใจ กำลังแห่งท่าน และหมู่คณะ หยิบฉวย
โยกย้าย นานาแห่งเฉดสี ดีชั่ว มาเข้าสู่หนทางแห่งอริยะ ได้ขนาดไหน นั่นแหละ
 
 
เรามัน ปุถุชน ก็พลาด มีหลงทาง บ้างแหละ ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็วาง หลบมุมอยู่เงียบ ๆ ดีกว่า
มีหลาย ๆ อย่างที่รังสรรค์ ความงาม เป็นบรรณาการ แด่โลกได้ โดยไม่จำเป็นต้องผูก ติดกับ ใคร กับกลุ่มไหนเลย
 
ถึงแม้ผูกกันบ้าง ขอขอให้เป็นเงื่อน ปมที่พอจะแก้ได้ พอแล้ว
 
 
บ่น พอแล้ว จบ ๆ แหละ เหอ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
4614  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2553 07:59:29

 

เขียนจาก ปราณอารมณ์ แบบตันตระ
เขียนแบบ ฟันฉับ แบบเซน
เพียงแว๊บ แรก แล้วแตกกระจาย ไปเลย เอาให้เตลิดดดดดดดด
ความคิดแรก ใหม่สด ยิ่งใหญ่เสมอนะ
ดุจ การอิมโพรไวส์ ดนตรี ไร้คี ไร้โน๊ต
นึก รู้สึก อย่างไร ไม่ต้องค้นหา เสียเวลา ทำไม ใส่ไปเลย
 
 
จับดาบ ไม่ต้องรำ
มัวแต่รำ แล้ว จะลืมการจับดาบ
 
 
แว๊บ แรก ปิ้งแรก แห่งเรา มันสุดอัศจรรย์นะ พี่น้อง
บ้าง แว๊บ บางห้วงขณะ เกิดขึ้นครั้งเดียวในชั่วชีวิต
ลิขิต มันไว้เลย เขียนมันไว้เลย
 
แล้วร่วมกัน ดื่มกิน อ๊วก
 
อ๊วก ของท่าน อัศจรรย์เสมอ แหละ
 
 
ไม่ต้องอารมณ์ดี ก็ได้วะ
ไม่ต้องมีพิธี ท่วงท่า ลีลา ร่ายรำ
ไม่ต้องเอาคำว่าธรรม หน้ากากแห่งธรรม เข้านำหน้า
ไม่ต้องมีสติ เขียนแบบไร้สติ บ้าง เข้าท่านะ
ไม่ต้องเล็งผลเลิศ หวังผลใด ๆ แค่ปล่อยมันไป เท่านั้น
ไม่ต้องสน ข้อแม้อะไรเลย
 
ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง
ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง
ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง
ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้อง
 
 
ฉันคือฉัน เธอคือเธอ มึงก็ยังเป็นมึง อยู่วันยังค่ำ
เป็นอะไร รึจะสู้ เป็นตัวเอง เล่า
 
 
เปิดกระทู้ ให้เขียน แปะ แซว ใส่ภาพ เขียนเองบ้าง เอามาแปะบ้าง เชิญละเลงเลย
เหมือน เปิดถนนคนเดิน แล้ว แจกสี ให้พ่อแม่พี่น้อง ละเลงบนท้องถนนแห่งนี้
 
ที่ว่างเรามีมากมาย นะ
 
ผมนำ กระทู้ยาระบาย ใครอยากจะตามก็เชิญเลย จะเงียบ ๆ นั่งอ่าน ก็ไม่ว่ากัน
 
 
ทุกห้วงแห่งกลิ่น สี พลังอารมณ์ เชิญปลดปล่อยมลภาวะ แล้วท่านจะสบาย คลายใจ
ที่แห่งนี้ คือ ส้วม ชักโครก กระโถนท้องพระโรง หลุมขยะสาธารณะ คอห่านแห่งดวงดาว
 
ก็่สุดแล้วแต่ ใจ จะรีไซเคิล ทุกถ้อยคำ เฉดสี แปรขยะ ให้เป็น ทุน เป็นปุ๋ยแห่งโพธิ
 
ตลก หนุกหนาน โกรธ เกลียด เหงา เศร้า ซึม งง สับสน พร่ามัว อกหัก สมหวัง
ท้อถอย รอคอย อยาก ไม่อยาก ใช่ ไม่ใช่ อื่น ๆ อีกมากมาย
 
 
อยากใส่อะไร ใส่ อยากทำอะไร ทำ ขอจุดธูปอัญเชิญ ทุกกลิ่นสี ลีลาพลังอารมณ์
ประเสริฐ อัปลักษณ์ ทุกมุมแห่งความงาม ทุกขั้วแห่งความวิปลาส
 
อยากจะประกาศ บอกรัก จะสำแดงอะไร ภายใน ทุกท่วงทำนองแห่งดนตรีชีวิต จะบรรเลง
 
 
เรานั้นไม่ได้วิเศษ เรานั้นแค่คนธรรมดา กิน ขี้ เปรี้ยว เยี่ยว นอน เหมือนกันนะเออ
ปุถุชนคนมีกิเลส นะเออ คุณจะมีธรรมชาติ อย่างไร ก็ล้วนงดงาม ยามตกกระทบโลก
 
 
ปล่อยให้โลกกระทบ ทั้งวัน วันนี้แหละ ที่เราจะตกกระทบโลกบ้าง โลกเอ๋ย
วันนี้ แหละโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ จะโดนเรา ทะลักทะลาย ถ้อยคำคำ เข้าตกกระทบบ้าง
 
อย่ากระทำเราฝ่ายเดียวเลย ย่ามใจมากไปแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โลกเอ๋ย
 
 
แด่ทุกห้วงแห่ง ดวงจิต ออกมาเป็น สากกะเบือ ยันท้องฟ้า หมีแพนด้า ทะลุทะลวง ยันห้วงอวากาศ
สุดแต่ใจ จะปรุง ฟุ้งกระจาย กระจุย บนปุ่ยเมฆ แล้วเสกฝน กลายเป็น พระมหาเมฆาธรรม บนฟ้าสิบทิศ
 
แด่ความ เตลิดเปิดเปิง ของตัวข้า เอย ชะเอง เอิง เงย เป๊ก พ่อ
 
 
อกหัก ก็ บอกโลกไปเลย ว่า อกหักโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เจ็บ ก็บอกโลกไปเลย ว่า เจ็บ จังเยย
เหนื่อย ก็ บอกโลกไปเลยว่า เหนื่อย ฉิบหาย
ร้องไห้ ก็บอกโลกว่า แง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 
 
เมื่อ ดวงจิต ขับขี่ อาชาแห่งอารมณ์ สาธุ ( เอามาจาก ชัมบาลา นะจ๊ะ )
 
บ่นมากขึ้น ระบายมากขึ้น จะเข้าใจกันมากขึ้น คุ้นเคย กันมากขึ้น เมื่อใจฉันเปิดให้ดู เครื่องในแห่งความคิด
เป็น ความดิบ เถื่อนสะเทือนซาง ขนาดนี้ เธอจะรับฉันได้ไหมเล่า ความหม่น ความดำ ถ้อยคำอีเดียดดดด
สติวปิด โง่เง่า เต่าตะพาบ ปะงาบ ปะงาบ อาการเปลือยเปล่า เหมือนเมากาว เมาใบกระท่อม แบบนี้ น่ะ
คืนวันอันแหว่งวิ้น ไม่มีชิ้นดี ฉันก็มีนะ เธอเห็น รอยเกลื้อนในใจ ฉันใหม หากมันจะเป็นธรรมอันอำไพ
ขอให้ความวิไล จงบังเกิดในใจเธอ
 
ท่วงท่า ลีลา จังหวะ จะสอดรับกันง่ายขึ้น เชิญ อ้าปาก บ่น ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ได้เลย
ด้วยดวงใจแห่งมิตรภาพ เด้อ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
 
 
จบข่าว
4615  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 06 พฤษภาคม 2553 07:37:40



ช่วงเมษาหน้าร้อน กลางคืนเป็นควัน  กลางวันเป็นไฟ จิตเราไหลตามสิ่งเร้าภายนอก 
เหตุปัจจัยอันซับซ้อนของบ้านเมือง  ใจกังวล สลด รันทด วุ่นวาย ถามกับตัวเองว่า
เออ ! สุดท้ายมันจะเป็นแบบไหนนี่ จุดจบจะเป็นอย่างไร ทุก ๆ อย่างจะคลายตัวลงไหม

ดีนะ ช่วงหน้าร้อน ยามบ่าย ๆ เราได้ต้นไม้แห่งโพธิ ตะขบข้างหอ กางเปลนอน อ่านหนังสือ
ยามว่างจากงาน  มังกรเซน แผ่นดินหอม  จิตจักรวาล และ มหาสิทธานาโรปะ  จบไปแล้ว
2 เล่มนะ มังกรเซน กับ แผ่นดินหอม  ใจมันคลายหลังจาก เสือกไปรับ กระแสภายนอกมากไป

ยอมรับว่า จิตขุ่นพอสมควร เป็นพัก ๆ ยามยามสิ่งเร้า เข้ากระทบ  พอจะวาง จางคลายสลายตัวยาม เอาสติ
เอาธรรม ผ่อนหนัก เบี่ยงวิถี สลายกำลังบ้าง  เห็นลมโชย กระทบร่าง ใบตะขบไหวเอน โยกคลอน
เย็น วาบ ๆ ไหว ๆ แล้วหาย หมุนเวียน เปลี่ยนสลับ กลับกลายรูปลักษณ์ นานา โอ้ อนิจจา สาธุ

เราเป็นเพียงผู้เฝ้าดู สายลม กลางฤดูร้อน โยกคลอน ใบไหม้ไหว บนเปลแห่งสติ นี่เอง !

ว่าจะ ว่าจะ ว่าจะ ว่าจะ ว่าจะ ว่าจะ ว่าจะ .....เขียนอะไร ให้อ่าน แต่อารมณ์ สติแตก กระจุยกระจายสิ้นดี

ผมได้คอมมาแล้วนะ สาธุ เจริญ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ธรรม ผมอธิษฐานจิตให้แล้วนะ พลังที่หลั่งรินภายในคำ
ยามอะไรดล แล้วแว๊บว๊าบ สุดจะคาดเดายามเขียน ยามจิตไร้รูปลักษณ์ ชั่วขณะ  จากห้วงอจินไตย
ใจเชื่อมกระแสธารบางอย่าง

ใจผมนั้น ดันพลุ่นพล่าน วิถีการเขียน ดันไปผูกกับ ความเนี้ยบ ข้อแม้ อารมณ์ต้องดี ต้องมีสติ เท่านั้น
จึงเขียนได้ ไหลคล่อง  มันคือวิถีแห่งรูป วิถีแห่งกฏ ระเบียบ ข้อเสียคือ คับแคบ จำกัดจินตนาการ

ไอ้ จิตซน ๆ มันแว๊บ ๆ  ยามมึงขี้ ท้องเสีย มึงต้องมีลีลา มึงต้องเนี้ยบไหมเล่า
เปิดห้องน้ำ ปังเดียว ปู๊ดดดดด เดียว จบเลย

หนังเกาหลี สะท้อนปรัชญาเซน ยามแม่นางโสภณี สุดโสภา ปั้นแจกันดินเหนียว เธอบอกว่า
ปั่นให้บุบ ๆ บ้าง แหว่งบ้าง  ปั้นเหมือนไม่เสร็จ  แต่ให้ความรู้สึกอิ่มเอม พอใจ อย่างประหลาดล้ำ
มันแหกฏแห่งความงาม หรือ มันเป็นความงามแต่ดั้งเดิม กันเล่า  เซนจากโสเภณี สาธุ

ท่านพระอาจารย์ตรุงปะ คุรุบ้า แห่งตันตระ ท่านเตะผม แล้ว ชี้หน้าว่า  ทุกห้วงกระจิต เจตสิก
สีสัน ทุกคลื่นพลัง อารมณ์  คือ การสำแดง การร่ายรำของธรรมกาย เขียนจากกิเลส จากอารณ์
ดิบบ้าง แห่วงบ้าง บ้าบ้าง มีสติบ้าง วิปลาสบ้าง  นานารูปลักษณ์ คือ ความประภัสสร


สวนกระแส วกกลับ เออว่ะ  เป็นความบ้าที่น่าลอง น้องสุนทรียสนทนาก็ไม่ปาน แต่ห่ามกว่านั้น

กลับสู่สามัญ ระบาย บ่น เรื่อยเปื่อย ไร้กระบวน ไร้ที่มา ไร้ที่ไป มาจากไหนไม่รู้ อยู่ดี ๆ ก็โผล่
งานทดลองเขียน เขียนเพื่อเขียน เขียนเป็นยาระบาย  เขียนเป็นโอสถ เยียวยาตัวเอง และคนอื่น


สายน้ำที่ไหลตาม ลำธาร ผ่านหุบเหว เทือกเขาตะหง่าน มันไร้กระบวน ตามแต่เหตุปัจจัย ของธรรมชาติ
ดินฟ้าอากาศ และ อื่น ๆ อีกมากมาย ( เฉลียง บอกไว้  )


สาวก แฟนคลับ ชอบอ่าน ชอบเขียน แนวนี้ เพียบ 

อย่างน้อยก็มีสะกิด เอายังพี่ !
มัวแต่ง้างงงงงงง อยู่เป็นเดือน !

จาก กิเลสล้วน ๆ ไร้สติ บ้า ๆ บวม ๆ บ้าง ทุกห้วงแห่งดวงจิต ข้าขอคารวะ
เชิญเปิดอายตนะรับมันได้แล้วววว


บรรเลงเลย เอ้า ตึ้ง ๆ ตึ้ง ๆ  ตึ้ง ๆ  โป้ง ๆ ชึ่ง ตะโล้ง ตะโล้ง ตะโล้งงงงบ โป้งชึ้ง

ควายตัว เมีย ออกลูก มาเป็นตัวเมีย อยู่ไปไม่นานออกลูก ออกหลานมาเป็นตัวเมีย ฯลฯ
4616  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / Re: ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 08:53:06
http://img111.imageshack.us/img111/6799/arangerev6.jpg





3 พ.ค. 53 ปรากฏการณ์ เหี้ยจูเหนี่ย และ นกเขา


สด ๆ ร้อน ๆ ครับพี่น้องชาวไทย เมื่อวานฝนตกหนัก

ตื่นนอนมาคว้าหนังสือจิตจักรวาล เล่ม 3 ของอาจารย์ปริญญาไปอ่าน

ใต้ต้นตะขบ พร้อมเป๊บซี่ เย็นชื่นใจ

ต้นตะขบหลังฝนตก กลิ่นหอมของ ลูกตะขบกระจาย ตลบอบอวลไปทั่ว

เปิด ประตูเข้าไปในสวนข้างหอพัก

เห็นหางไว ๆ ตัวอะไร วะ

นึกว่าแย้ นะ เห็นหางยาวผิดปกติ  มันวิ่งหายไปใน พงหญ้า ข้างมอไซต์

เปลที่ผูกไว้  ชื้นนิด ๆ หลังฝนจางหาย


วางตัวนอนพากเปล ดูด เป๊บซี่เย็นชื่นใจ สุขจริงโว้ยยยยยย
ชั่วขณะแห่งความสุขของข้า มันยิ่งใหญ่ดีแท้โว้ยยยยยยยยยย
อยากดอง ชั่วขณะนี้ไว้นาน ๆ จริงนะ สุขง่าย ๆ ไกวเปล พอแล้ว
ไม่ต้องตะกายฟ้า คว้าดาว



อ่าน จิตจักวาลถึง บทสุดประทับใจ
ลมโชยเย็น ๆ นกร้องกังวาน รอบทิศ จิตกำลังคลายอยู่เชียว

เหลียวไปทางซ้ายยยยยยยยยยยย

แล๊บลิ้น แผล๊บบบบบบบ ๆ

ใช่เลย เหี้ย !

ตัวขนาดศอก รุ่นจูเหนี่ย

สบตาปิ๋ง ๆๆๆๆๆ  กันอยู่นาน

มันไม่กลัวคนเลย

แปลกดีอ่าน จิตจักรวาล แล้วเจอเหี้ย !

เหี้ย และ จิตร่วมแห่งดวงดาว มันเกี่ยวกันไหมเนี่ยยยยยยยยยย

โยงใยทำไม ฮ่าๆๆๆๆๆ

สัมผัสเหี้ยจูเหนี่ย ซักพักแล้วมันวิ่งหายไปทางพงหญ้า จบ


ตอนเย็นนะ  รอรถไปทำงาน

เห็นนกเขาตัวหนึ่ง มันยืนนิ่ง อยู่บนถนน รถมันวิ่งผ่าน
มันก็ยังไม่บิน เสียง คนข้าง ๆ บอกว่า

นกหมดแรง เร็ว ๆ ใครก็ได้ ไปจับมันมาที !

ทันทีเลย งานเข้า ภาระกิจกู้โลก เริ่มแล้ว

ข้าพเจ้านี่แหละ วิ่งไปอุ้ม

เฮ่ยยยย !  มันไม่หนีนะ หมดแรงบิน ว่ะ

ลูกนกเขาครับ พี่น้อง

เลย เอาเขาไปวางไว้บนเครือกล้วย ข้างทาง มีใบตองกันฝนได้

พักซักนิดนะ เดี๋ยวคงมีแรงบิน

นกมันคงหัดบิน หลวงทางกับแม่มัน

เกือบแบนแล้วเชียว ดีนะเจอเรา

ฮ่า ๆๆๆๆๆ  ชุ่มใจ ไปทำงานต่อ แล้วล่ะ

จบข่าวววววว
4617  สุขใจในธรรม / ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก / ส้วม ชักโครก เชิญระบายอารมณ์ บ่น เพ้อ ละเมอ ฟุ้งซ่าน ชักดิ้น ชักงอ เมื่อ: 04 พฤษภาคม 2553 08:21:37



เปิดให้แล้ว ใครอยากบ่น เพ้อ ละเมอ แมวตาย ควายป่วย
 แม่ยายด่า ภรรยาหนี อกหัก รักคด ตุ๊ดเมิน เชิญ กระหน่ำ
ละเลงคำ ระบำอักษร ปาดป่ายลีลา นานาจิตตัง

การบ่น ระบายของท่านอาจเป็นของขวัญในใจใคร
การบ่น ระบาย อาจช่วยโลกได้นะ

ใส่ไปเลย แบบไม่ต้องการคำตอบ


ศาสตร์แห่งการบ่น ระบาย ขั้นเทพคือ การเยียวยาภายใน เยียวยาคนอ่านด้วย

ขยะในตัวท่านคือ ปุ๋ยสุดวิเศษสำหรับ เรา

ยิ่งระบาย ใจมันจะคลาย เปิดโล่ง
เวลา จิตวางของหนักไม่ถึงขั้นซาโตริ หรอก

เอาแค่ กูสบายใจ ! แล้ว ท่านจะรับอะไรดีๆ ในเว็บนี้ได้มากขึ้น

จิตเปิด ระเบิดมลภาวะ วางพุทธะภาระ เกิดพุทธะภาวะน้อย ๆ

พอแล้ว แหละ

ตามธรรมเนียม บ่นมาหลายที่แล้ว โว้ยยยยยยยยย

ขอบ่น ระบาย นำทาง ใครจะตามมาเป็นโขยง เชิญ

จะแปะรูป โปะคำ ใส่อะไรคั่น ตามใจ ฟรีสไตน์ จ้า
4618  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องราว จากนอกโลก / สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก "ฮับเบิล" เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2553 08:56:35
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก "ฮับเบิล"

ออกไปจากโลกแคบๆ สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับ "ฮับเบิล" ด้วยส่วนหนึ่งของภาพถ่ายจากดวงตาอวกาศของมนุษยชาติ ซึ่งทำหน้าที่มาครบ 20 ปีแล้ว



<CENTER></CENTER>
ภาพ "หุบเขาลึกลับ" (Mystic Mountain) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีดาวเกิดใหม่ในเนบิวลากระดูกงูเรือและเป็นหนึ่งในภาพที่นาซานำมาฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีกล้องฮับเบิล (NASA/ESA)



<CENTER></CENTER>
ภาพ "หุบเขาลึกลับ" (Mystic Mountain) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีดาวเกิดใหม่ในเนบิวลากระดูกงูเรือและเป็นหนึ่งในภาพที่นาซานำมาฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีกล้องฮับเบิล โดยภาพซ้ายบันทึกในย่านแสงที่ตามองเห็น และภาพขวาเป็นภาพที่บันทึกในย่านรังสีอินฟราเรด (NASA/ESA)



<CENTER></CENTER>
ฮับเบิลบันทึกภาพกาแลกซี NGC 2207 (ซ้าย) กำลังชนกับกาแลกซี IC 2163 (นาซา)



<CENTER></CENTER>
พลวัตของแสงออโรราบนขั้วใต้ดาวเสาร์ (นาซา/อีซา)



<CENTER></CENTER>
ฝุ่นรอบๆ ดาวยักษ์ วี838 โมโนเซโรทิส (V838 Monocerotis) ในกลุ่มดาวยูนิคอร์น (นาซา)



<CENTER></CENTER>
ฮับเบิลจับภาพเงาดวงจันทร์ 3 ดวงพาดทับบนดาวพฤหัสบดี (นาซา/อีซา)



<CENTER></CENTER>
ปรากฏการณ์ "เลนส์โน้มถ่วง" (Gravitational lens) ในกลุ่มคลัสเตอร์กาแลกซีเอเบลล์ 2217 (ABell 2218) ที่ฮับเบิลบันทึกไว้ (นาซา/อีซา)



<CENTER></CENTER>
เนบิวลาฟองสบู่ เอ็นจีซี 7635 (NGC 7635)



<CENTER></CENTER>
ดาวแคระขาวในทางช้างเผือก (นาซา)



<CENTER></CENTER>
ภาพกาแลกซี "เอ็ม 100" (M100) - นาซา



<CENTER></CENTER>
เศษซากวงแหวนรอบดาวฟอมัลเฮาท์ (Fomalhaut) หรือ เอชดี 216956 (HD 216956) - นาซา



<CENTER></CENTER>
ภาพดาวยูเรนัส พร้อมวงแหวนและดวงจันทร์บริวาร (นาซา)



<CENTER></CENTER>
ดาวที่กำลังระเบิด ล้อมรอบด้วยไข่มุกแห่งจักรวาล (Cosmic's Pearls) 2 จุด (นาซา/อีซา)



<CENTER></CENTER>
ภาพฝุ่นรอบๆ นิวเคลียสกาแล็กซีแบล็กอาย เอ็ม 64 (Black Eye Galaxy M64) - นาซา



<CENTER></CENTER>
ภาพโมเสคขนาดใหญ่ของเนบิวลาปู (Crab Nebula) ที่ฮับเบิลบันทึกไว้



<CENTER></CENTER>
ดาวพฤหัสบดี เพื่อนบ้านในระบบสุริยะของเรา (นาซา)




<CENTER></CENTER>
เศษซากซูเปอร์โนวาแคสซิโอเปีย เอ (Cassiopeia A)



<CENTER></CENTER>
ภาพของ แอนดรูว์ ฟูสเทล (Andrew Feustel) สะท้อนบนหมวกนิรภัยของ จอห์น กรันฟิล์ด (John Grunsfeld) ขณะที่มนุษย์อวกาศทั้งปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมฮับเบิลครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2009



<CENTER></CENTER>
ภาพด้านของกล้องฮับเบิลซึ่งโคจรอยู่เหนือพื้นโลก บันทึกโดยลูกเรือแอตแลติส (Atlantis) หลังจากขึ้นไปซ่อมบำรุงครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2009 (นาซา)



ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000059277<!-- End main-->
4619  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23



ไหนๆ  ผู้เขียนก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนคนทั่วไปที่รับรู้  (perceive)  ที่มองและแล
เห็นโลกและสรรพสิ่งทั้งหลายว่าแยกออกจากตัวเราและ  "ตั้งอยู่ข้างนอกนั่นไง"  พูดง่ายๆ  โดยเราไม่พูดถึงฟิสิกส์แห่งยุคใหม่หรือควอนตัมเม็คคานิกส์เลย  ทั้งเราไม่พูดถึงทวิตา  (dualism)  ในทางพุทธศาสนา  -  ซึ่งเหมือนกับฟิสิกส์ใหม่เปี๊ยบ  นั่นคือ  มันมีสองโลกของความจริง  (duplex  worlds  of  Carl  Werner  Hiesenberg)  คือหนึ่ง  ที่เห็นหรือรับรู้  เช่น  ปรากฏการณ์ที่พบเห็นประจำวัน  กับสอง  ที่ไม่เห็นหรือรับรู้ไม่ได้  เพราะเราไม่มีเครื่องมือ  (เรามีแต่ตา  หู  จมูก  ลิ้นและกายสัมผัส)  เพราะฉะนั้น  เราจึงเห็นและรับรู้คลื่นของความน่าจะเป็นไปได้   (probability  wave)  ไม่ได้  ซึ่งก็คือจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล  (Carl  G. Jung)  นั่นเอง


     ผู้เขียนจึงเหมือนกับสาธารณชนคนทั่วไป  คือ  เห็นหรือรับรู้ได้แต่  "วัตถุ"  ที่แยกออกไปจากตัวเรา   และ  "ตั้งอยู่ข้างนอกนั่น"  เราและสัตว์โลกทั้งหมดจึงเห็นหรือรับรู้  (ด้วยตา  หู  จมูก  ลิ้นและกายสัมผัส)  แต่เฉพาะ  "วัตถุ"  ที่แยกออกจากตัว  เราและ  "ตั้งอยู่ข้างนอกนั่น"  ทุกสิ่งทุกอย่างทุกๆ  ปรากฏการณ์ประจำวันที่เรารับรู้หรือมองเห็นจึงมีแต่วัตถุและวัตถุและวัตถุ...เราทั้งหมดถึงได้เป็นนักวัตถุนิยม   (materialists)  ที่รวมทั้งจักรวาลที่กำลังจะเขียนนี้  จึงขอย้ำว่า  ในที่นี้ผู้เขียนจะมองเห็นและรับรู้จักรวาลเช่นคนทั่วๆ  ไปเห็นหรือรับรู้     เมื่อหลายปีมาแล้ว   สตีเฟน  ฮอว์กิง  ได้เดินทางมาที่เมืองนิวเดลลี  ประเทศอินเดีย  และได้พบกับนักวิทยาศาสตร์   ซึ่งส่วนใหญ่มากๆ  เป็นนักฟิสิกส์ของอินเดียกว่า  3,000  คน  ในที่ประชุม  สตีเฟน  ฮอว์กิง  เป็นนักฟิสิกส์ที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของโลกคนหนึ่งที่ไม่มีอยู่มากนัก  ผู้มีฉายานามว่าเป็นทายาทของไอน์สไตน์ที่ในปัจจุบันนี้เป็นประธานสภาของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  สตีเฟน   ฮอว์กิง  ได้ให้ความเห็นที่เป็นวิทยาศาสตร์ว่า  ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลของเรา  คงไม่ใช่จะมีแต่ในโลกเราเท่านั้นที่มีชีวิต  รวมทั้งมีมนุษย์เหมือนกับมนุษย์เช่นเดียวกับในโลกของเรา   แต่หากว่าจะมีแต่โลกที่เป็นบริวารของดาว  (หรือดวงอาทิตย์ในสุริยจักรวาลของเรา)  จำนวนมาก  ที่เราก็รู้ดีแล้วว่าเฉพาะกาแล็กซีเดียวก็มีดาวหรือดวงอาทิตย์จำนวนถึง  100  พันล้านดวง  และเราก็รู้ดีแล้วว่าจักรวาลของเราจักรวาลนี้อย่างเดียว  ก็มีจำนวนถึง  100  พันล้านกาแล็กซี  เราไม่รู้ว่าจำนวนดาวในแต่ละกาแล็กซี  และจำนวนของกาแล็กซีในจักรวาลนี้มีจำนวนที่เท่ากันพอดี  ทั้งยังเท่ากับจำนวนของเซลล์สมองหรือนิวโรนในสมองของมนุษย์แต่ละคนที่มีจำนวน   100  พันล้านเซลล์พอดีเช่นกันอย่างไร  นั่นเป็นความเห็นของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แทบจะทุกคน  สตีเฟน  ฮอว์กิง  ไม่เพียงตอกย้ำความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ทุกคนเท่านั้น  แต่สตีเฟน   ฮอว์กิง   ยังได้ให้ความเห็นต่อไปอีกสามความเห็น  ที่น่าสนใจคือ  หนึ่ง  การพบชีวิตในระบบดาวในแต่ละกาแล็กซีนั้นหายากยิ่งนัก  ยกตัวอย่างในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราอาจมีชีวิตในหลายๆ   ระบบดาว  แต่จะมีชีวิตที่ก้าวหน้ามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเช่นเรานั้นคงหายากยิ่งนัก  สอง  เพราะฉะนั้น  หากจะมีการรุกรานหรือการล่าหาบริวารที่มีชีวิตในโลกดาวเคราะห์ใดของระบบดาวระบบไหน  ก็น่าเชื่อได้ว่าเป็นฝีมือของมนุษย์โลกเรายิ่งกว่าจะมาจากดาวระบบไหน  เพราะเรามีนิสัยเคยชินอย่างนั้น  สาม  สตีเฟน  ฮอว์กิง  คิดว่าโลกเราคงมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้น  หากว่าไม่ใช่ด้วยความตั้งใจก็เพราะแอคซิเดนต์   น่าสังเกตใน
การทำนายทายทักทางวิทยาศาสตร์ของสตีเฟน   ฮอว์กิง  ที่เกี่ยวกับจักรวาลวิทยาที่บอกเราว่า  ในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราเอง  เขาคิดว่าจะหาดาวเคราะห์อื่นหรือโลกอื่นที่ก้าวหน้าและมีเทคโนโลยีเช่นเดียวกับเรานั้นคงจะหายากยิ่งนัก   นั่นแปลว่า  คงจะแทบไม่มีโลกใดของระบบดาวหรือระบบดวงอาทิตย์ไหนที่จะมีชีวิตที่มีความก้าวหน้าและมีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับเรา 


     สตีเฟน  ฮอว์กิง  ทำนายว่าหากมีการล่าหาบริวารที่โลกอื่นระบบดาวอื่น  นั่นก็น่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์โลกเรามากกว่าจะมาจากโลกอื่นระบบดาวอื่น  ฉะนั้นหากว่าเราเชื่อสตีเฟน  ฮอว์กิง   นักฟิสิกส์เอกของโลกก็แทบจะสรุปได้ว่า  อย่างน้อยในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราคงจะหาระบบดาวหรือระบบดวงอาทิตย์ที่มีโลกเป็นบริวาร  และมีความก้าวหน้าแม้เพียงเท่าๆ  กับเราก็หายากยิ่งนัก  ทั้งสันดานหรือนิสัยของเรา  -  เท่าที่สตีเฟน  ฮอว์กิง  บอก  -  ก็ไม่ค่อยจะดีนัก  คือชอบรุกรานคนอื่นหรือล่าหาบริวาร  รุกรานหรือหาบริวารไปทำไม?  นั่นก็เดาไม่ยากนัก  คือ  มนุษย์โลกเราโลภอย่างที่สุด  หากว่าสงครามนิวเคลียร์จะเกิดขึ้นกับโลกเรา  หากไล่ต่อไปจนถึงที่สุด  การเกลียดชังกันก็เพราะความไม่เท่าเทียมกัน  และความไม่เท่าเทียมกันก็เนื่องจากเงิน  ความมั่งคั่งไม่เท่ากันนั่นแหละหรือโลภจริตนั่นเองที่สำคัญกว่าเพื่อน   


     เราพยายามค้นหาจักรวาลก็เพื่อหาโลกที่มีชีวิตอาศัยอยู่ได้   เราคิดว่าเพื่อให้สมใจความอยากรู้   ความขี้สงสัยของเรา  แต่จริงๆ  แล้วอย่างน้อยและลึกๆ  เราต้องการหาทรัพยากรของโลกของระบบดาวนั้นมาป้อนความโลภความอยากของเรา   การค้นหาโลกอื่นระบบดาวอื่นๆ  ก็มีส่วนอย่างยิ่งที่เป็นเพราะสาเหตุนั้น   จนถึงปัจจุบันเราค้นจักรวาลด้วยเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ในวันนี้  ซึ่งอย่างดีถึงปัจจุบันนี้เราก็ค้นได้เล็กน้อยของเศษเสี้ยวเพียงน้อยนิดของกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราแต่เพียงกาแล็กซีเดียว   หรือประมาณภายในขอบเขตรัศมี  400  ปีแสงเท่านั้น  และเราได้ค้นพบดาวเคราะห์ของระบบดาวต่างๆ   จำนวนไม่ถึง  400  ดาวเคราะห์ภายในรัศมีที่กล่าวมานั้น  และเท่าที่พบหลังจากสำรวจดาวหรือดวงอาทิตย์นั้นหลายสิบล้านดวงก็พบระบบดาวหรือดวงอาทิตย์ที่มีดาวเคราะห์บริวาร   (exoplanet)  ในจำนวนที่กล่าวมานั้น  และทุกๆ   โลกหรือดาวเคราะห์ที่พบทั้งร่วมสี่ร้อยโลกนั้น  ไม่มีแม้แต่โลกเดียวที่มีบรรยากาศที่สามารถจะเอื้อให้สิ่งที่มีชีวิตใดๆ   อาศัยอยู่ได้  จนกระทั่งเนชั่นแนล  จีโอกราฟฟิก  แมกกาซีนเอามาพาดหัวข่าวว่า  "หรือว่าเราจะอยู่โดดเดี่ยวจริงๆ?"  (National  Geographic,  De.2009)  นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ประมาณการว่า  เราจะค้นพบโลกหรือดาวเคราะห์ในระบบดาวต่างๆ   ด้วยวิธีที่ไม่ใช่การมองเห็นมันโดยตรง  เพราะไกลเกินไป  ที่มีรูปถ่ายให้ดูกันก็มีเพียงดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ๆ  เพียง  11  โลกเท่านั้น  และแต่ละโลกหรือดาวเคราะห์ใหญ่ๆ  เท่ากับดาวพฤหัสฯ  หรือใหญ่กว่านั้นเสียอีก  ปัจจุบันนี้เราค้นพบดาวเคราะห์ของระบบดาวหรือดวงอาทิตย์ที่ไม่ใช่ระบบสุริยะของเราประมาณสัปดาห์ละดวง   หรือปีหนึ่งๆ  ประมาณ  50  ดวงที่มีดาวเคราะห์เป็นบริวาร  และส่วนมากจะพบกับดาวที่มีดาวเคราะห์บริวารขนาดเท่าๆ  กับดวงอาทิตย์ของเรา  แต่อย่างที่ว่ามาแล้ว  ท่ามกลางดาวหรือดวงอาทิตย์หลายสิบล้านดวง  และมีถึงร่วมสี่ร้อยดวงที่มีดาวเคราะห์บริวาร   ก็ไม่ปรากฏว่ามีแม้แต่โลกเดียวที่ทำท่าว่าจะมีชีวิตในรูปใดรูปหนึ่งอาศัยอยู่   ทั้งๆ  ที่เรามีเครื่องมือที่เรียกกันว่าวิทยุกล้องโทรทัศน์หรือ  "เซติ"  (seti)  เพื่อสื่อกับโลกต่างดาวนานกว่ายี่สิบปี   โลกเราก็ไม่เคยได้รับสัญญาณอะไรจากสิ่งมีชีวิตที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่ามนุษย์เรา  หรือเท่าๆ  กับเราแม้แต่น้อย


     นั่นแปลว่า  ในจักรวาลนี้มีแต่โลกเราและมนุษย์เราเท่านั้นหรือ?  มนุษย์เราจะอยู่โดดเดี่ยวและเดียวดายกระนั้นหรือ?   ก็ต้องไม่ใช่เช่นนั้น   แม้ว่าในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรานี้  จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้  ในอาณาบริเวณรัศมี  400  ปีแสงจากโลกเรา  เรายังไม่พบดาวเคราะห์ใดที่มีบรรยากาศที่เอื้อให้สิ่งมีชีวิตอยู่ได้   รวมทั้งอุปกรณ์  "เซติ"  ที่มีมานานแล้ว  ก็ไม่พบร่องรอยของชีวิตที่มีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับเราหรือเหนือเรานอกจากในภาพยนตร์   


     ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะไม่มีเลยซึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีความก้าวหน้าใกล้เคียงกับมนุษย์เรา  ทั้งนี้  ก็ไม่ใช่ว่าเพราะเราไม่พบโลกที่มีชีวิตใดๆ   เลยภายในรัศมี  400  ปีแสง  และ  "เซติ"  ก็ไม่พบชีวิตที่มีความก้าวหน้าใกล้เคียงกับเรา  ทั้งผู้เขียนรู้ดีว่าที่เราสำรวจได้นั้นก็เป็นเพียงส่วนที่น้อยนิดของกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงกว่า   20,000  ปีแสง  นอกจากนี้เราต้องไม่ลืมว่ากาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเราเป็นเพียงหนึ่งในกาแล็กซีที่นับจำนวนไม่ถ้วนของจักรวาล  ซึ่งมีถึงราวๆ  100  พันล้านกาแล็กซี  ฉะนั้น  จึงไม่ใช่ว่าหากเราไม่พบโลกแห่งชีวิตเลยในกาแล็กซีของเรา    ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในจักรวาลนี้   แต่น่าจะเป็นเพราะเหตุว่า  จักรวาลของเราเป็นจักรวาลแห่งวิวัฒนาการ  และวิวัฒนาการของชีวิต  -  (สุดท้ายที่มนุษย์)  ซึ่งมีทั้งกายและจิตนั้น  -  นั่นใช้เวลาไปมาก  คือกว่าจะมีมนุษย์และมีวิวัฒนาการของจิตถึงระดับที่เรามีอยู่เดี๋ยวนี้  ซึ่งเป็นระดับที่ยังไม่ถึงระดับจิตวิญญาณ  (spirituality)   ของประชากรโลกส่วนใหญ่  (ซึ่งนักคิดนักเขียนและนักวิชาการบางคนคิดว่า  ปี  2013  เป็นต้นไปคือเวลาเริ่มต้นของวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ)  ถึงตอนนี้วันนี้ดวงอาทิตย์หรือดาวแห่งระบบสุริยะของเราก็ย่างเข้าวัยแก่ชราเสียแล้ว  เราเหลือเวลาน้อยยิ่งกว่าครึ่งหนึ่งของอายุของดวงอาทิตย์ที่จะหมดแรงใช้ไม่ได้ก่อนที่จะตายไปจริง


     ผู้เขียนเชื่อสตีเฟน   ฮอว์กิง   ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า  จักรวาลนั้นหาสิ่งที่มีชีวิต  โดยเฉพาะชีวิตที่มีความก้าวหน้าและมีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับเราหรือเหนือเรายากยิ่งนัก   (rare)   แต่นั่นไม่ได้แปลว่าไม่มี  เพราะฉะนั้น  หากมองจากโอกาสในแง่ของสถิติ   ชีวิตที่มีอยู่ในจักรวาลนี้คงมีมากเป็นเรือนล้านหรือพันล้านก็ได้  แม้ในกาแล็กซีทางช้างเผือกหรือแม้แต่ในระบบสุริยะของเราเองก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้  เช่น  ที่ดวงจันทร์ยูโรปาของดาวพฤหัสฯ  แต่ที่จะมีมนุษย์เหมือนเราๆ   หรือมีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับมนุษย์โลกเราคงจะไม่มีในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา  ส่วนมนุษย์ต่างดาวที่ผู้เขียนเคยเขียนและคิดว่ามีอย่างแน่นอนนั้น  ผู้เขียนในปัจจุบันนี้จะเชื่อในสมมติฐานของจักรวาลหลายๆ   จักรวาลและโลกหลายๆ  โลก  (multiverses  and  manyworlds  theory)  ดังนั้น  มนุษย์ต่างดาวจึงเป็นมนุษย์ต่างมิติหรือสวรรค์และนรกไป  อย่างไรก็ตาม  ต่อให้มีเพียงหนึ่งระบบดาวที่มีเพียงหนึ่งดาวเคราะห์ที่บังเอิญเมื่อโลกมนุษย์ในกาแล็กซีที่นับจำนวนไม่ถ้วนที่ว่านั้น  เราก็จะมีดาวเคราะห์โลกที่มีมนุษย์เหมือนๆ  กับเรา  -  โดยหลักการ  ดังนั้น  ในจักรวาลนี้มนุษย์โลกคงจะไม่อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างค่อนข้างแน่นอน.


http://www.thaipost.net/sunday/020510/21596
4620  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : เฮเกลผิด มาร์กซ์ก็ผิด-ที่แบ่งเป็นชนชั้นจึงผิดตาม เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2553 08:38:25

 

เฮเกลผิด มาร์กซ์ก็ผิด-ที่แบ่งเป็นชนชั้นจึงผิดตาม

ที่จ่าเป็นหัวข้อของบทความของวันนี้มีความหมายหรือแปลตรงๆ ได้ว่ามีอยู่สองประการ คือ หนึ่ง เพราะว่า ซี.เอฟ. เฮเกลผิด คาร์ล มาร์กซ์ ที่เชื่อเฮเกลอย่างยิ่ง เชื่อใน "ไดอะเล็กติก" (ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป) จึงผิดตาม ซึ่งทำให้คำว่า "ชนชั้น" ที่เป็นหัวใจของหนังสือของเขา (Karl Marx : Communist manifesto, 1848) ที่มีชื่อเสียงและเป็นสาเหตุที่ผู้เขียนเชื่อตามไปด้วยตั้งแต่เด็กจนกระทั่งร่วมยี่สิบปีก่อน ประการที่สอง ที่ว่านั้นเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่มีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนเปลี่ยนแปลง (transformation) โลกทัศน์หรือกระบวนทัศน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกทัศน์ทางสังคม การเปลี่ยนแปลงของคนคนเดียวเมื่อผ่านวัยเด็ก (3-11 ขวบ) ที่จิตใต้สำนึกและพฤติกรรมส่วนใหญ่ราวๆ 80% ได้มีขึ้นแล้ว แน่นอนหากมองโดยผิวเผินและทั่วๆ ไป ย่อมจะไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด แต่หากมองให้ลึกลงไปและอ่านไปคิดไปในมุมกว้าง เชื่อแน่ว่าผู้อ่านคงได้ประโยชน์บางประการ การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ทางสังคมของผู้ที่ได้ผ่านวัยเด็กไปแล้วนั้น ผู้เขียนคิดว่าไม่ได้เกิดจากจิตใต้สำนึก หากแต่เป็นเรื่องของจิตสำนึกที่ผ่านการบริหารโดยสมอง จิตสำนึกคือประสบการณ์ที่มีใหม่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยบางคนบางนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงยิ่ง รวมทั้งผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล เช่น อูยีน วากเนอร์ จอห์น วอน นิวแมน เฮ็นรี สแตปป์ เป็นต้น (process I and process II) กระบวนการทั้งคู่ทั้ง I กับ II เป็นกระบวนการของสมองและที่สมอง โดยกระบวนการที่ I เป็นจากบนลงมาล่าง (from up to down) ซึ่งเป็นไปด้วยกลไกของควอนตัมเม็คคานิกส์ในการเลือกสภาวะความเป็นไปได้ของคลื่น (probability waves) ส่วนกระบวนการที่ II เป็นเรื่องของคลาสสิกคัลหรือนิวโตเนียนฟิสิกส์ ซึ่งทำนายผลที่แน่นอนได้ (determination) ซึ่งเป็นไปจากล่างมาสู่ข้างบนของสมอง (from down to up) ตรงนี้ - ผู้เขียนคิดเอง - ว่ามันอาจเป็นเรื่องของจิตไร้สำนึก (cosmic unconsciousness as consciousness) ซึ่งแสดงว่าจิตอาจจะเป็นสิ่งที่เล็กละเอียดอย่างยิ่ง และเป็นเหมือนกับคลื่นอนุภาค (wave-particles or quaff) คือทั้งสอง จิตกับคลื่นอนุภาคต่างก็เป็นควอนตัมสตัฟฟ์ (quaff) ที่มีคุณสมบัติอาจเหมือนกันทุกประการ แต่จิตละเอียดกว่า
 
 
ฟีดดรีช เฮเกล นั้น นักปรัชญาทั้งหลายเชื่อว่าเป็นนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกตะวันตกในศตวรรษที่ 19th โดยเฉพาะหนังสือของเขาที่ชื่อว่า ปรัชญาของประวัติศาสตร์ (Philosophy of History) อันประกอบด้วยอภิปรัชญาหรือเมตาฟิสิกส์ของเฮเกลเอง ซึ่งเชื่อว่าตนได้ค้นพบกฎธรรมชาติของการเกิดของความคิดที่จะกลายเป็นความรู้ที่เขาเรียกว่า "ไดอะเล็กติก" (คำที่เขายืมมาจากพลาโต) ซึ่งประกอบด้วย "เธสิส" (thesis) จะต้องมีธรรมชาติของความเป็นตรงกันข้ามกันเสมอ (โดยธรรมชาติเช่นเดียวกัน) ที่เรียกว่า "แอนตีเธสิส" (antithesis) และทั้งสองฝ่ายก็จะต่อสู้และหักล้างกันจนองค์กรทั้งสอง - เธสิสกับแอนตีเธสิส - หักล้างกันจนความเป็นองค์กรทั้งสองฝ่ายนั้นหมดเกลี้ยง เหลือแต่เศษส่วนที่ประกอบเป็นองค์กรนั้นๆ ซึ่งจะรวมกันเกิดองค์กรใหม่เรียกว่า "ซีนเธสิส" (synthesis) อภิปรัชญาหรือเมตาฟิสิกส์ของเฮเกลที่คิดว่า ประวัติศาสตร์โดยธรรมชาติของประเทศชาติต่างๆ ในโลกเป็นการเขียนขึ้นของคนที่เขียนประวัติศาสตร์นั้นๆ โดยเน้นเนื้อหาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตของสังคมประเทศชาตินั้น
 
 
เมตาฟิสิกส์ "ไดอะเล็กติก" ของฟีดดริช เฮเกล มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อคาร์ล มาร์กซ์ จนเขายอมรับอย่างศิโรราบ ทั้งนี้ ยกเว้นมาร์กซ์คิดว่าเพราะเฮเกลเป็นนักคิดนักปรัชญา จึงคิดอะไรหรือมีความรู้อะไรมักจะเป็นตามประสบการณ์ที่ไตร่ตรองบนเหตุผลหรือตรรกะของตนเอง ความคิดความรู้ที่นำเสนอสาธารณชนจึงเป็นอภิปรัชญาแทนที่จะเป็นวิทยาศาสตร์ มาร์กซ์จึงมีความเห็นว่าประวัติศาสตร์ของสังคมและชุมชนของมนุษยชาติ - ไม่ว่าประเทศใดหรือที่ไหนก็ตาม - ประกอบด้วยชนชั้น (classes) ของผู้ที่ไม่มีหรือมีน้อย หรือผู้ที่ใช้แรงงาน ผู้รับใช้บุคคลจำพวกแรกหรือคนอื่นๆ กับผู้ที่มี หรือมีมาก หรือผู้ที่ใช้บุคคลจำพวกแรก ที่แน่นอนย่อมมีบุคคลที่มีชนชั้นหรือวรรณะระหว่างคนสองจำพวกที่กล่าวมานั้น คาร์ล มาร์กซ์ จึงได้
เขียนหนังสือที่เป็นอุดมการณ์ที่โด่งดังยิ่งนั้นขึ้นมา
 
 
ออกัสเต คอมเต เป็นนักจิตวิทยาสังคมที่เป็นผู้คิดว่าสังคมของมนุษย์แยกออกจากมนุษย์แ
ต่ละคน และแยกจากมนุษยชาติโดยรวมไม่ได้ เขาจึงได้ตั้งสาขาวิชา "สังคมวิทยา" ขึ้นมาเพื่อศึกษาสังคมมนุษย์โดยเฉพาะ แต่เขาเข้าใจสังคมในเชิงวิทยาศาสตร์หรือชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน โดยไม่ได้ศึกษาฟิสิกส์เพียงพอ จึงมองชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์ไปในทางชีววิทยา ซึ่งขึ้นกับการสังเกต "สิ่งที่มีชีวิต" อยู่ในขณะนั้นๆ อย่างเป็นระบบ ออกัสเต คอมเต จึงมองวิวัฒนาการของจิตใจของมนุษย์ไปในเชิงชีววิทยาว่าวิทยาศาสตร์มีอยู่แค่นั้น คือขึ้นกับประสบการณ์ของการสังเกตของมนุษย์แค่นั้น ประสบการณ์ของการสังเกตของมนุษย์ก็คือวิทยาศาสตร์ ออกัสเต คอมเต จึงมองสังคมของมนุษย์คือประสบการณ์ที่มองเห็น (สังเกต) ได้ และประวัติศาสตร์ของวิวัฒนาการจิตของมนุษย์ และสังคมซึ่งก็คือวัฒนธรรมจึงจบลงที่วิทยาศาสตร์ (หรือ magic mythic and science จบ) ที่เอาออกัสเต คอมเต มาพูดถึงในที่นี้ก็เพื่อแสดงว่านักจิตวิทยาสังคมหรือนักปรัชญาสังคม เศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์สังคมทั้งหลายควรศึกษาค้นคว้าวิทยาศาสตร์ให้ถึงแก่นแกนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะฟิสิกส์ (และควอนตัมฟิสิกส์หากหลังปี 1927) ทั้งนี้ ก่อนที่นักวิชาการพวกนั้นจะเขียนและตีพิมพ์หนังสือออกมาสู่สาธารณชน เนื่องจากนักวิชาการพวกนั้นมักไม่รู้ว่าอิทธิพลของหนังสือของตัวเองนั้นมีความสำคัญที่สุดต่อสาธารณชนผู้อ่านทั่วไปมากยิ่งนักที่คนทั่วไปจะไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือหรือวารสารด้านวิทยาศาสตร์หนึ่ง อ่านแล้วไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งหนึ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือหรือข้อมูลนั้นๆ เกี่ยวกับมนุษย์หรือสังคมของมนุษย์อีกหนึ่ง ซึ่งเรา-โดยทั่วไปก็รู้อยู่เต็มอกแล้วว่าอะไรๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์หรือสังคมของมนุษย์ หรือแม้แต่ใกล้ๆ กับตัวมนุษย์แล้ว มนุษย์เราแทบทุกคนจะมีความรู้สึกว่า เรื่องนั้นน่าสนใจเป็นที่ยิ่ง และมักจะจดจำไปนานนัก แถมเราจะลบมันออกไปจากความทรงจำยากที่สุด เพราะเรามักหลงตัวเอง (anthropocentrism)
 
ดังนั้น ฟรีดดริช เฮเกส และคาร์ล มาร์กซ์ ก็เป็นเช่นนั้น รวมถึงเรื่องของชนชั้น (social classes) ซึ่งหนักกว่าชั้นวรรณะของอินเดียโบราณที่มีอยู่จนกระทั่งวันนี้ และผู้เขียนคิดว่าไม่มีทางที่มนุษย์จะกำจัดให้ออกไปจากสังคมโดยรวมได้หมดจริงๆ เพราะว่ามันผิดไปจากธรรมชาติ กอไผ่หรือกอหมากมีต้นที่แคระแกร็นเตี้ยเล็กและต้นที่สูงชันอวบสมบูรณ์ในกอเดียวกัน พระพุทธองค์ถึงกล่าวว่า คนเรามีสูง มีต่ำ มีดำ มีขาว มีจน มีรวย.....เป็นพราหมณ์หรือราชา เป็นคนพาลต่ำช้าหรือเป็นโจร ฯลฯ เป็นเพราะกรรมอย่างเดียว พระพุทธองค์ไม่ได้ถือชั้นวรรณะของมนุษย์ผู้ "ประเสริฐ" กว่าสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ใช่เพราะเกิดมาจากต่างครรภ์มารดาในสังคมเดียวกัน ไม่ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะความประพฤติหรือพฤติกรรมต่างหาก ไล่ต่อไปแล้วก็ขึ้นกับการเลี้ยงดูและพันธุกรรม (nurture กับ nature) คือห้อมล้อมด้วยคนถ่อยคนพาลคนต่ำช้า หรือมีพ่อแม่เป็นโจร มีโคตรเหง้าเป็นโจรที่มีกันคนละเกือบครึ่ง โดยมีสิ่งแวดล้อมในวัยเด็กมากกว่าเล็กน้อย แต่หากไล่ไปจนถึงที่สุดก็เป็นเพราะกรรมเหมือนกัน ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยตัวแทนแบบที่เรามีอยู่เลือกผู้แทน ผู้เขียนจึงเชื่อในวิวัฒนาการทางจิตไปตามสเปกตรัมของจิตเป็นธรรมชาติสำคัญที่สุด ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเป้าหมายของจักรวาล หาใช่สสารวัตถุหรือเนื้อเยื่อไม่ อย่าลืมว่าความประพฤติหรือพฤติกรรมของมนุษย์นั้น นักวิทยาศาสตร์ทุกคนเลยโดยไม่มียกเว้นบอกกับเราตลอดเวลาว่า ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การควบคุมหรือกำหนดโดยจิตหรือนามทั้งสิ้น ไม่ว่าจิตจะเป็นคนละเรื่องกับสมอง หรือเป็นผลของการทำงานของสมอง (epiphenomenon)
 
ที่ว่าทั้งเฮเกล ทั้งมาร์กซ์ และทั้งชนชั้นที่ผิดนั้น ผิดอย่างไร? ขอชี้แจงดังนี้ :-
 
ข้อแรก คิดว่าเฮเกลผิดในเรื่องเวลา เฮเกลก็เช่นคนในยุคนั้นที่มองอะไรๆ เป็นเส้นตรงตามลูกศรแห่งเวลา (arrow of time) ทฤษฎี "ไดอะเล็กติก" ก็เป็นเช่นนั้น ในขณะที่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนนั้น ปรากฏการณ์ของจักรวาลเคลื่อนที่ไม่เป็นเส้นตรง แต่เป็นวัฏจักร "ก้นหอย" (non-linear science) ข้อสอง ผิดที่เรื่องขององค์กร มันไม่มี "เธสิส" "แอนตีเธสิส" และ "ซีนเธสิส" แบบที่เฮเกลคิด มันต้องมีตัวดึงดูด (attractor) และทางสองแพร่งก่อนความล่มสลายขององค์กรเก่า ถึงจะมีองค์กรใหม่ปรากฏ (emergent) ขึ้นมา และมันไม่มีการรวมกัน (synthesis) หรอก มีแต่มากกว่า เอบวกบีไม่เท่ากับเอบี
 
ข้อสาม ความเป็นองค์รวมซ้ำซ้อนองค์รวมไปเรื่อยๆ ฯลฯ เฮเกลไม่ได้พูดถึง อิมมานูเอล คานท์ ที่แม้จะก่อนกว่า แต่ก็ร่วมสมัยกับเฮเกล กับความเป็นองค์รวมหรือทั้งหมด (holism) ของคานท์ การมองชีวิต "การเป็นไปเช่นนั้นของมันเอง" (autopoesis) อันเป็นหัวใจของปรัชญาของคานท์ ซึ่งสำหรับผู้เขียน ที่กล่าวมานั้นขัดแย้งกับความคิดของเฮเกลเองที่บอกว่าความจริงที่แท้จริงคือจิตที่สมบูรณ์ (absolute mind หรือจิตหนึ่งหรือจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล) เฮเกลจึงผิดที่เขาตั้งทฤษฎีไดอะเล็กติกขึ้นมา แต่กลับไม่รวมความจริงที่แท้จริงหรือจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล - C.G.Jung ไว้ในทฤษฎีไดอะเล็กติกของเขา
 
และคาร์ส มาร์กซ์ ยิ่งผิดเข้าไปอีกฐานเชื่อเฮเกลและไดอะเล็กติกอย่างศิโรราบ จริงอยู่มาร์กซ์ได้เปลี่ยนชาติประเทศเป็นชนชั้นของสังคม ทั้งยังได้สร้างลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้นมา (ประกอบด้วย 3 ทฤษฎีย่อย แต่มีทฤษฎีไดอะเล็กติกสำคัญที่สุด) ผู้เขียนรู้สึกเหมือนกับที่ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล รู้สึก ที่มาร์กซ์ เฮเกล กับไดอะเล็กติกที่ไม่รวมจิตและองค์รวมไว้ด้วย ผู้เขียนจึงรู้สึกเสียใจยิ่งนักที่เชื่อคาร์ล มาร์กซ์ มานานร่วม 30 ปี แถมเชื่อในวัยทำงานเสียด้วย จนกระทั่งมีวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ ควอนตัมเม็คคานิกส์ ทฤษฎีเคออส ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ไม่เดินเป็นเส้นตรง ฯลฯ เกิดขึ้น และได้ติดตามอย่างใกล้ชิดมานานจริงๆ
 
ชนชั้นวรรณะทางสังคม (classes) นั้น ไม่ว่าศักดินา ชนชั้นกรรมาชีพ หรืออำมาตย์ หรือทาส ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยโฮโมอีเรคตัสในอดีตมาแล้ว ทั้งปัจจุบันและอนาคตเราจะต้องไม่ผิดอีก เช่น อเมริกา ยุโรป กับที่เราตั้งใจผิดและปรารถนาผิดๆ เช่น สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยตัวแทน ความเท่าเทียมกันที่ตาเห็น ดังที่พระพุทธองค์กล่าว วรรณะไม่เป็นธรรมหากมองแต่กายที่เห็น แต่ไม่มองที่พฤติกรรมที่ควบคุมด้วยจิตที่ไม่เห็น นั่นคือวิวัฒนาการทางจิตที่สำคัญกว่ากาย.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/250410/21266
หน้า:  1 ... 229 230 [231] 232 233 ... 235
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.242 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 04 มีนาคม 2565 17:36:41