[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
25 เมษายน 2567 14:59:35 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 230 231 [232] 233 234 ... 236
4621  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องราว จากนอกโลก / สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก "ฮับเบิล" เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2553 08:56:35
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก "ฮับเบิล"

ออกไปจากโลกแคบๆ สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับ "ฮับเบิล" ด้วยส่วนหนึ่งของภาพถ่ายจากดวงตาอวกาศของมนุษยชาติ ซึ่งทำหน้าที่มาครบ 20 ปีแล้ว



<CENTER></CENTER>
ภาพ "หุบเขาลึกลับ" (Mystic Mountain) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีดาวเกิดใหม่ในเนบิวลากระดูกงูเรือและเป็นหนึ่งในภาพที่นาซานำมาฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีกล้องฮับเบิล (NASA/ESA)



<CENTER></CENTER>
ภาพ "หุบเขาลึกลับ" (Mystic Mountain) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีดาวเกิดใหม่ในเนบิวลากระดูกงูเรือและเป็นหนึ่งในภาพที่นาซานำมาฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีกล้องฮับเบิล โดยภาพซ้ายบันทึกในย่านแสงที่ตามองเห็น และภาพขวาเป็นภาพที่บันทึกในย่านรังสีอินฟราเรด (NASA/ESA)



<CENTER></CENTER>
ฮับเบิลบันทึกภาพกาแลกซี NGC 2207 (ซ้าย) กำลังชนกับกาแลกซี IC 2163 (นาซา)



<CENTER></CENTER>
พลวัตของแสงออโรราบนขั้วใต้ดาวเสาร์ (นาซา/อีซา)



<CENTER></CENTER>
ฝุ่นรอบๆ ดาวยักษ์ วี838 โมโนเซโรทิส (V838 Monocerotis) ในกลุ่มดาวยูนิคอร์น (นาซา)



<CENTER></CENTER>
ฮับเบิลจับภาพเงาดวงจันทร์ 3 ดวงพาดทับบนดาวพฤหัสบดี (นาซา/อีซา)



<CENTER></CENTER>
ปรากฏการณ์ "เลนส์โน้มถ่วง" (Gravitational lens) ในกลุ่มคลัสเตอร์กาแลกซีเอเบลล์ 2217 (ABell 2218) ที่ฮับเบิลบันทึกไว้ (นาซา/อีซา)



<CENTER></CENTER>
เนบิวลาฟองสบู่ เอ็นจีซี 7635 (NGC 7635)



<CENTER></CENTER>
ดาวแคระขาวในทางช้างเผือก (นาซา)



<CENTER></CENTER>
ภาพกาแลกซี "เอ็ม 100" (M100) - นาซา



<CENTER></CENTER>
เศษซากวงแหวนรอบดาวฟอมัลเฮาท์ (Fomalhaut) หรือ เอชดี 216956 (HD 216956) - นาซา



<CENTER></CENTER>
ภาพดาวยูเรนัส พร้อมวงแหวนและดวงจันทร์บริวาร (นาซา)



<CENTER></CENTER>
ดาวที่กำลังระเบิด ล้อมรอบด้วยไข่มุกแห่งจักรวาล (Cosmic's Pearls) 2 จุด (นาซา/อีซา)



<CENTER></CENTER>
ภาพฝุ่นรอบๆ นิวเคลียสกาแล็กซีแบล็กอาย เอ็ม 64 (Black Eye Galaxy M64) - นาซา



<CENTER></CENTER>
ภาพโมเสคขนาดใหญ่ของเนบิวลาปู (Crab Nebula) ที่ฮับเบิลบันทึกไว้



<CENTER></CENTER>
ดาวพฤหัสบดี เพื่อนบ้านในระบบสุริยะของเรา (นาซา)




<CENTER></CENTER>
เศษซากซูเปอร์โนวาแคสซิโอเปีย เอ (Cassiopeia A)



<CENTER></CENTER>
ภาพของ แอนดรูว์ ฟูสเทล (Andrew Feustel) สะท้อนบนหมวกนิรภัยของ จอห์น กรันฟิล์ด (John Grunsfeld) ขณะที่มนุษย์อวกาศทั้งปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมฮับเบิลครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2009



<CENTER></CENTER>
ภาพด้านของกล้องฮับเบิลซึ่งโคจรอยู่เหนือพื้นโลก บันทึกโดยลูกเรือแอตแลติส (Atlantis) หลังจากขึ้นไปซ่อมบำรุงครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2009 (นาซา)



ที่มา
http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000059277<!-- End main-->
4622  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23



ไหนๆ  ผู้เขียนก็เป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนคนทั่วไปที่รับรู้  (perceive)  ที่มองและแล
เห็นโลกและสรรพสิ่งทั้งหลายว่าแยกออกจากตัวเราและ  "ตั้งอยู่ข้างนอกนั่นไง"  พูดง่ายๆ  โดยเราไม่พูดถึงฟิสิกส์แห่งยุคใหม่หรือควอนตัมเม็คคานิกส์เลย  ทั้งเราไม่พูดถึงทวิตา  (dualism)  ในทางพุทธศาสนา  -  ซึ่งเหมือนกับฟิสิกส์ใหม่เปี๊ยบ  นั่นคือ  มันมีสองโลกของความจริง  (duplex  worlds  of  Carl  Werner  Hiesenberg)  คือหนึ่ง  ที่เห็นหรือรับรู้  เช่น  ปรากฏการณ์ที่พบเห็นประจำวัน  กับสอง  ที่ไม่เห็นหรือรับรู้ไม่ได้  เพราะเราไม่มีเครื่องมือ  (เรามีแต่ตา  หู  จมูก  ลิ้นและกายสัมผัส)  เพราะฉะนั้น  เราจึงเห็นและรับรู้คลื่นของความน่าจะเป็นไปได้   (probability  wave)  ไม่ได้  ซึ่งก็คือจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล  (Carl  G. Jung)  นั่นเอง


     ผู้เขียนจึงเหมือนกับสาธารณชนคนทั่วไป  คือ  เห็นหรือรับรู้ได้แต่  "วัตถุ"  ที่แยกออกไปจากตัวเรา   และ  "ตั้งอยู่ข้างนอกนั่น"  เราและสัตว์โลกทั้งหมดจึงเห็นหรือรับรู้  (ด้วยตา  หู  จมูก  ลิ้นและกายสัมผัส)  แต่เฉพาะ  "วัตถุ"  ที่แยกออกจากตัว  เราและ  "ตั้งอยู่ข้างนอกนั่น"  ทุกสิ่งทุกอย่างทุกๆ  ปรากฏการณ์ประจำวันที่เรารับรู้หรือมองเห็นจึงมีแต่วัตถุและวัตถุและวัตถุ...เราทั้งหมดถึงได้เป็นนักวัตถุนิยม   (materialists)  ที่รวมทั้งจักรวาลที่กำลังจะเขียนนี้  จึงขอย้ำว่า  ในที่นี้ผู้เขียนจะมองเห็นและรับรู้จักรวาลเช่นคนทั่วๆ  ไปเห็นหรือรับรู้     เมื่อหลายปีมาแล้ว   สตีเฟน  ฮอว์กิง  ได้เดินทางมาที่เมืองนิวเดลลี  ประเทศอินเดีย  และได้พบกับนักวิทยาศาสตร์   ซึ่งส่วนใหญ่มากๆ  เป็นนักฟิสิกส์ของอินเดียกว่า  3,000  คน  ในที่ประชุม  สตีเฟน  ฮอว์กิง  เป็นนักฟิสิกส์ที่ใหญ่ยิ่งที่สุดของโลกคนหนึ่งที่ไม่มีอยู่มากนัก  ผู้มีฉายานามว่าเป็นทายาทของไอน์สไตน์ที่ในปัจจุบันนี้เป็นประธานสภาของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  สตีเฟน   ฮอว์กิง  ได้ให้ความเห็นที่เป็นวิทยาศาสตร์ว่า  ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลของเรา  คงไม่ใช่จะมีแต่ในโลกเราเท่านั้นที่มีชีวิต  รวมทั้งมีมนุษย์เหมือนกับมนุษย์เช่นเดียวกับในโลกของเรา   แต่หากว่าจะมีแต่โลกที่เป็นบริวารของดาว  (หรือดวงอาทิตย์ในสุริยจักรวาลของเรา)  จำนวนมาก  ที่เราก็รู้ดีแล้วว่าเฉพาะกาแล็กซีเดียวก็มีดาวหรือดวงอาทิตย์จำนวนถึง  100  พันล้านดวง  และเราก็รู้ดีแล้วว่าจักรวาลของเราจักรวาลนี้อย่างเดียว  ก็มีจำนวนถึง  100  พันล้านกาแล็กซี  เราไม่รู้ว่าจำนวนดาวในแต่ละกาแล็กซี  และจำนวนของกาแล็กซีในจักรวาลนี้มีจำนวนที่เท่ากันพอดี  ทั้งยังเท่ากับจำนวนของเซลล์สมองหรือนิวโรนในสมองของมนุษย์แต่ละคนที่มีจำนวน   100  พันล้านเซลล์พอดีเช่นกันอย่างไร  นั่นเป็นความเห็นของนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แทบจะทุกคน  สตีเฟน  ฮอว์กิง  ไม่เพียงตอกย้ำความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ทุกคนเท่านั้น  แต่สตีเฟน   ฮอว์กิง   ยังได้ให้ความเห็นต่อไปอีกสามความเห็น  ที่น่าสนใจคือ  หนึ่ง  การพบชีวิตในระบบดาวในแต่ละกาแล็กซีนั้นหายากยิ่งนัก  ยกตัวอย่างในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราอาจมีชีวิตในหลายๆ   ระบบดาว  แต่จะมีชีวิตที่ก้าวหน้ามีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเช่นเรานั้นคงหายากยิ่งนัก  สอง  เพราะฉะนั้น  หากจะมีการรุกรานหรือการล่าหาบริวารที่มีชีวิตในโลกดาวเคราะห์ใดของระบบดาวระบบไหน  ก็น่าเชื่อได้ว่าเป็นฝีมือของมนุษย์โลกเรายิ่งกว่าจะมาจากดาวระบบไหน  เพราะเรามีนิสัยเคยชินอย่างนั้น  สาม  สตีเฟน  ฮอว์กิง  คิดว่าโลกเราคงมีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้น  หากว่าไม่ใช่ด้วยความตั้งใจก็เพราะแอคซิเดนต์   น่าสังเกตใน
การทำนายทายทักทางวิทยาศาสตร์ของสตีเฟน   ฮอว์กิง  ที่เกี่ยวกับจักรวาลวิทยาที่บอกเราว่า  ในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราเอง  เขาคิดว่าจะหาดาวเคราะห์อื่นหรือโลกอื่นที่ก้าวหน้าและมีเทคโนโลยีเช่นเดียวกับเรานั้นคงจะหายากยิ่งนัก   นั่นแปลว่า  คงจะแทบไม่มีโลกใดของระบบดาวหรือระบบดวงอาทิตย์ไหนที่จะมีชีวิตที่มีความก้าวหน้าและมีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับเรา 


     สตีเฟน  ฮอว์กิง  ทำนายว่าหากมีการล่าหาบริวารที่โลกอื่นระบบดาวอื่น  นั่นก็น่าจะเป็นฝีมือของมนุษย์โลกเรามากกว่าจะมาจากโลกอื่นระบบดาวอื่น  ฉะนั้นหากว่าเราเชื่อสตีเฟน  ฮอว์กิง   นักฟิสิกส์เอกของโลกก็แทบจะสรุปได้ว่า  อย่างน้อยในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราคงจะหาระบบดาวหรือระบบดวงอาทิตย์ที่มีโลกเป็นบริวาร  และมีความก้าวหน้าแม้เพียงเท่าๆ  กับเราก็หายากยิ่งนัก  ทั้งสันดานหรือนิสัยของเรา  -  เท่าที่สตีเฟน  ฮอว์กิง  บอก  -  ก็ไม่ค่อยจะดีนัก  คือชอบรุกรานคนอื่นหรือล่าหาบริวาร  รุกรานหรือหาบริวารไปทำไม?  นั่นก็เดาไม่ยากนัก  คือ  มนุษย์โลกเราโลภอย่างที่สุด  หากว่าสงครามนิวเคลียร์จะเกิดขึ้นกับโลกเรา  หากไล่ต่อไปจนถึงที่สุด  การเกลียดชังกันก็เพราะความไม่เท่าเทียมกัน  และความไม่เท่าเทียมกันก็เนื่องจากเงิน  ความมั่งคั่งไม่เท่ากันนั่นแหละหรือโลภจริตนั่นเองที่สำคัญกว่าเพื่อน   


     เราพยายามค้นหาจักรวาลก็เพื่อหาโลกที่มีชีวิตอาศัยอยู่ได้   เราคิดว่าเพื่อให้สมใจความอยากรู้   ความขี้สงสัยของเรา  แต่จริงๆ  แล้วอย่างน้อยและลึกๆ  เราต้องการหาทรัพยากรของโลกของระบบดาวนั้นมาป้อนความโลภความอยากของเรา   การค้นหาโลกอื่นระบบดาวอื่นๆ  ก็มีส่วนอย่างยิ่งที่เป็นเพราะสาเหตุนั้น   จนถึงปัจจุบันเราค้นจักรวาลด้วยเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ในวันนี้  ซึ่งอย่างดีถึงปัจจุบันนี้เราก็ค้นได้เล็กน้อยของเศษเสี้ยวเพียงน้อยนิดของกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราแต่เพียงกาแล็กซีเดียว   หรือประมาณภายในขอบเขตรัศมี  400  ปีแสงเท่านั้น  และเราได้ค้นพบดาวเคราะห์ของระบบดาวต่างๆ   จำนวนไม่ถึง  400  ดาวเคราะห์ภายในรัศมีที่กล่าวมานั้น  และเท่าที่พบหลังจากสำรวจดาวหรือดวงอาทิตย์นั้นหลายสิบล้านดวงก็พบระบบดาวหรือดวงอาทิตย์ที่มีดาวเคราะห์บริวาร   (exoplanet)  ในจำนวนที่กล่าวมานั้น  และทุกๆ   โลกหรือดาวเคราะห์ที่พบทั้งร่วมสี่ร้อยโลกนั้น  ไม่มีแม้แต่โลกเดียวที่มีบรรยากาศที่สามารถจะเอื้อให้สิ่งที่มีชีวิตใดๆ   อาศัยอยู่ได้  จนกระทั่งเนชั่นแนล  จีโอกราฟฟิก  แมกกาซีนเอามาพาดหัวข่าวว่า  "หรือว่าเราจะอยู่โดดเดี่ยวจริงๆ?"  (National  Geographic,  De.2009)  นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ประมาณการว่า  เราจะค้นพบโลกหรือดาวเคราะห์ในระบบดาวต่างๆ   ด้วยวิธีที่ไม่ใช่การมองเห็นมันโดยตรง  เพราะไกลเกินไป  ที่มีรูปถ่ายให้ดูกันก็มีเพียงดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ๆ  เพียง  11  โลกเท่านั้น  และแต่ละโลกหรือดาวเคราะห์ใหญ่ๆ  เท่ากับดาวพฤหัสฯ  หรือใหญ่กว่านั้นเสียอีก  ปัจจุบันนี้เราค้นพบดาวเคราะห์ของระบบดาวหรือดวงอาทิตย์ที่ไม่ใช่ระบบสุริยะของเราประมาณสัปดาห์ละดวง   หรือปีหนึ่งๆ  ประมาณ  50  ดวงที่มีดาวเคราะห์เป็นบริวาร  และส่วนมากจะพบกับดาวที่มีดาวเคราะห์บริวารขนาดเท่าๆ  กับดวงอาทิตย์ของเรา  แต่อย่างที่ว่ามาแล้ว  ท่ามกลางดาวหรือดวงอาทิตย์หลายสิบล้านดวง  และมีถึงร่วมสี่ร้อยดวงที่มีดาวเคราะห์บริวาร   ก็ไม่ปรากฏว่ามีแม้แต่โลกเดียวที่ทำท่าว่าจะมีชีวิตในรูปใดรูปหนึ่งอาศัยอยู่   ทั้งๆ  ที่เรามีเครื่องมือที่เรียกกันว่าวิทยุกล้องโทรทัศน์หรือ  "เซติ"  (seti)  เพื่อสื่อกับโลกต่างดาวนานกว่ายี่สิบปี   โลกเราก็ไม่เคยได้รับสัญญาณอะไรจากสิ่งมีชีวิตที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่ามนุษย์เรา  หรือเท่าๆ  กับเราแม้แต่น้อย


     นั่นแปลว่า  ในจักรวาลนี้มีแต่โลกเราและมนุษย์เราเท่านั้นหรือ?  มนุษย์เราจะอยู่โดดเดี่ยวและเดียวดายกระนั้นหรือ?   ก็ต้องไม่ใช่เช่นนั้น   แม้ว่าในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรานี้  จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้  ในอาณาบริเวณรัศมี  400  ปีแสงจากโลกเรา  เรายังไม่พบดาวเคราะห์ใดที่มีบรรยากาศที่เอื้อให้สิ่งมีชีวิตอยู่ได้   รวมทั้งอุปกรณ์  "เซติ"  ที่มีมานานแล้ว  ก็ไม่พบร่องรอยของชีวิตที่มีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับเราหรือเหนือเรานอกจากในภาพยนตร์   


     ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะไม่มีเลยซึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีความก้าวหน้าใกล้เคียงกับมนุษย์เรา  ทั้งนี้  ก็ไม่ใช่ว่าเพราะเราไม่พบโลกที่มีชีวิตใดๆ   เลยภายในรัศมี  400  ปีแสง  และ  "เซติ"  ก็ไม่พบชีวิตที่มีความก้าวหน้าใกล้เคียงกับเรา  ทั้งผู้เขียนรู้ดีว่าที่เราสำรวจได้นั้นก็เป็นเพียงส่วนที่น้อยนิดของกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึงกว่า   20,000  ปีแสง  นอกจากนี้เราต้องไม่ลืมว่ากาแล็กซี่ทางช้างเผือกของเราเป็นเพียงหนึ่งในกาแล็กซีที่นับจำนวนไม่ถ้วนของจักรวาล  ซึ่งมีถึงราวๆ  100  พันล้านกาแล็กซี  ฉะนั้น  จึงไม่ใช่ว่าหากเราไม่พบโลกแห่งชีวิตเลยในกาแล็กซีของเรา    ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในจักรวาลนี้   แต่น่าจะเป็นเพราะเหตุว่า  จักรวาลของเราเป็นจักรวาลแห่งวิวัฒนาการ  และวิวัฒนาการของชีวิต  -  (สุดท้ายที่มนุษย์)  ซึ่งมีทั้งกายและจิตนั้น  -  นั่นใช้เวลาไปมาก  คือกว่าจะมีมนุษย์และมีวิวัฒนาการของจิตถึงระดับที่เรามีอยู่เดี๋ยวนี้  ซึ่งเป็นระดับที่ยังไม่ถึงระดับจิตวิญญาณ  (spirituality)   ของประชากรโลกส่วนใหญ่  (ซึ่งนักคิดนักเขียนและนักวิชาการบางคนคิดว่า  ปี  2013  เป็นต้นไปคือเวลาเริ่มต้นของวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณ)  ถึงตอนนี้วันนี้ดวงอาทิตย์หรือดาวแห่งระบบสุริยะของเราก็ย่างเข้าวัยแก่ชราเสียแล้ว  เราเหลือเวลาน้อยยิ่งกว่าครึ่งหนึ่งของอายุของดวงอาทิตย์ที่จะหมดแรงใช้ไม่ได้ก่อนที่จะตายไปจริง


     ผู้เขียนเชื่อสตีเฟน   ฮอว์กิง   ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า  จักรวาลนั้นหาสิ่งที่มีชีวิต  โดยเฉพาะชีวิตที่มีความก้าวหน้าและมีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับเราหรือเหนือเรายากยิ่งนัก   (rare)   แต่นั่นไม่ได้แปลว่าไม่มี  เพราะฉะนั้น  หากมองจากโอกาสในแง่ของสถิติ   ชีวิตที่มีอยู่ในจักรวาลนี้คงมีมากเป็นเรือนล้านหรือพันล้านก็ได้  แม้ในกาแล็กซีทางช้างเผือกหรือแม้แต่ในระบบสุริยะของเราเองก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้  เช่น  ที่ดวงจันทร์ยูโรปาของดาวพฤหัสฯ  แต่ที่จะมีมนุษย์เหมือนเราๆ   หรือมีเทคโนโลยีใกล้เคียงกับมนุษย์โลกเราคงจะไม่มีในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา  ส่วนมนุษย์ต่างดาวที่ผู้เขียนเคยเขียนและคิดว่ามีอย่างแน่นอนนั้น  ผู้เขียนในปัจจุบันนี้จะเชื่อในสมมติฐานของจักรวาลหลายๆ   จักรวาลและโลกหลายๆ  โลก  (multiverses  and  manyworlds  theory)  ดังนั้น  มนุษย์ต่างดาวจึงเป็นมนุษย์ต่างมิติหรือสวรรค์และนรกไป  อย่างไรก็ตาม  ต่อให้มีเพียงหนึ่งระบบดาวที่มีเพียงหนึ่งดาวเคราะห์ที่บังเอิญเมื่อโลกมนุษย์ในกาแล็กซีที่นับจำนวนไม่ถ้วนที่ว่านั้น  เราก็จะมีดาวเคราะห์โลกที่มีมนุษย์เหมือนๆ  กับเรา  -  โดยหลักการ  ดังนั้น  ในจักรวาลนี้มนุษย์โลกคงจะไม่อยู่โดดเดี่ยวเดียวดายอย่างค่อนข้างแน่นอน.


http://www.thaipost.net/sunday/020510/21596
4623  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : เฮเกลผิด มาร์กซ์ก็ผิด-ที่แบ่งเป็นชนชั้นจึงผิดตาม เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2553 08:38:25

 

เฮเกลผิด มาร์กซ์ก็ผิด-ที่แบ่งเป็นชนชั้นจึงผิดตาม

ที่จ่าเป็นหัวข้อของบทความของวันนี้มีความหมายหรือแปลตรงๆ ได้ว่ามีอยู่สองประการ คือ หนึ่ง เพราะว่า ซี.เอฟ. เฮเกลผิด คาร์ล มาร์กซ์ ที่เชื่อเฮเกลอย่างยิ่ง เชื่อใน "ไดอะเล็กติก" (ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป) จึงผิดตาม ซึ่งทำให้คำว่า "ชนชั้น" ที่เป็นหัวใจของหนังสือของเขา (Karl Marx : Communist manifesto, 1848) ที่มีชื่อเสียงและเป็นสาเหตุที่ผู้เขียนเชื่อตามไปด้วยตั้งแต่เด็กจนกระทั่งร่วมยี่สิบปีก่อน ประการที่สอง ที่ว่านั้นเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่มีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนเปลี่ยนแปลง (transformation) โลกทัศน์หรือกระบวนทัศน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกทัศน์ทางสังคม การเปลี่ยนแปลงของคนคนเดียวเมื่อผ่านวัยเด็ก (3-11 ขวบ) ที่จิตใต้สำนึกและพฤติกรรมส่วนใหญ่ราวๆ 80% ได้มีขึ้นแล้ว แน่นอนหากมองโดยผิวเผินและทั่วๆ ไป ย่อมจะไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด แต่หากมองให้ลึกลงไปและอ่านไปคิดไปในมุมกว้าง เชื่อแน่ว่าผู้อ่านคงได้ประโยชน์บางประการ การเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ทางสังคมของผู้ที่ได้ผ่านวัยเด็กไปแล้วนั้น ผู้เขียนคิดว่าไม่ได้เกิดจากจิตใต้สำนึก หากแต่เป็นเรื่องของจิตสำนึกที่ผ่านการบริหารโดยสมอง จิตสำนึกคือประสบการณ์ที่มีใหม่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยบางคนบางนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงยิ่ง รวมทั้งผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบล เช่น อูยีน วากเนอร์ จอห์น วอน นิวแมน เฮ็นรี สแตปป์ เป็นต้น (process I and process II) กระบวนการทั้งคู่ทั้ง I กับ II เป็นกระบวนการของสมองและที่สมอง โดยกระบวนการที่ I เป็นจากบนลงมาล่าง (from up to down) ซึ่งเป็นไปด้วยกลไกของควอนตัมเม็คคานิกส์ในการเลือกสภาวะความเป็นไปได้ของคลื่น (probability waves) ส่วนกระบวนการที่ II เป็นเรื่องของคลาสสิกคัลหรือนิวโตเนียนฟิสิกส์ ซึ่งทำนายผลที่แน่นอนได้ (determination) ซึ่งเป็นไปจากล่างมาสู่ข้างบนของสมอง (from down to up) ตรงนี้ - ผู้เขียนคิดเอง - ว่ามันอาจเป็นเรื่องของจิตไร้สำนึก (cosmic unconsciousness as consciousness) ซึ่งแสดงว่าจิตอาจจะเป็นสิ่งที่เล็กละเอียดอย่างยิ่ง และเป็นเหมือนกับคลื่นอนุภาค (wave-particles or quaff) คือทั้งสอง จิตกับคลื่นอนุภาคต่างก็เป็นควอนตัมสตัฟฟ์ (quaff) ที่มีคุณสมบัติอาจเหมือนกันทุกประการ แต่จิตละเอียดกว่า
 
 
ฟีดดรีช เฮเกล นั้น นักปรัชญาทั้งหลายเชื่อว่าเป็นนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกตะวันตกในศตวรรษที่ 19th โดยเฉพาะหนังสือของเขาที่ชื่อว่า ปรัชญาของประวัติศาสตร์ (Philosophy of History) อันประกอบด้วยอภิปรัชญาหรือเมตาฟิสิกส์ของเฮเกลเอง ซึ่งเชื่อว่าตนได้ค้นพบกฎธรรมชาติของการเกิดของความคิดที่จะกลายเป็นความรู้ที่เขาเรียกว่า "ไดอะเล็กติก" (คำที่เขายืมมาจากพลาโต) ซึ่งประกอบด้วย "เธสิส" (thesis) จะต้องมีธรรมชาติของความเป็นตรงกันข้ามกันเสมอ (โดยธรรมชาติเช่นเดียวกัน) ที่เรียกว่า "แอนตีเธสิส" (antithesis) และทั้งสองฝ่ายก็จะต่อสู้และหักล้างกันจนองค์กรทั้งสอง - เธสิสกับแอนตีเธสิส - หักล้างกันจนความเป็นองค์กรทั้งสองฝ่ายนั้นหมดเกลี้ยง เหลือแต่เศษส่วนที่ประกอบเป็นองค์กรนั้นๆ ซึ่งจะรวมกันเกิดองค์กรใหม่เรียกว่า "ซีนเธสิส" (synthesis) อภิปรัชญาหรือเมตาฟิสิกส์ของเฮเกลที่คิดว่า ประวัติศาสตร์โดยธรรมชาติของประเทศชาติต่างๆ ในโลกเป็นการเขียนขึ้นของคนที่เขียนประวัติศาสตร์นั้นๆ โดยเน้นเนื้อหาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตของสังคมประเทศชาตินั้น
 
 
เมตาฟิสิกส์ "ไดอะเล็กติก" ของฟีดดริช เฮเกล มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อคาร์ล มาร์กซ์ จนเขายอมรับอย่างศิโรราบ ทั้งนี้ ยกเว้นมาร์กซ์คิดว่าเพราะเฮเกลเป็นนักคิดนักปรัชญา จึงคิดอะไรหรือมีความรู้อะไรมักจะเป็นตามประสบการณ์ที่ไตร่ตรองบนเหตุผลหรือตรรกะของตนเอง ความคิดความรู้ที่นำเสนอสาธารณชนจึงเป็นอภิปรัชญาแทนที่จะเป็นวิทยาศาสตร์ มาร์กซ์จึงมีความเห็นว่าประวัติศาสตร์ของสังคมและชุมชนของมนุษยชาติ - ไม่ว่าประเทศใดหรือที่ไหนก็ตาม - ประกอบด้วยชนชั้น (classes) ของผู้ที่ไม่มีหรือมีน้อย หรือผู้ที่ใช้แรงงาน ผู้รับใช้บุคคลจำพวกแรกหรือคนอื่นๆ กับผู้ที่มี หรือมีมาก หรือผู้ที่ใช้บุคคลจำพวกแรก ที่แน่นอนย่อมมีบุคคลที่มีชนชั้นหรือวรรณะระหว่างคนสองจำพวกที่กล่าวมานั้น คาร์ล มาร์กซ์ จึงได้
เขียนหนังสือที่เป็นอุดมการณ์ที่โด่งดังยิ่งนั้นขึ้นมา
 
 
ออกัสเต คอมเต เป็นนักจิตวิทยาสังคมที่เป็นผู้คิดว่าสังคมของมนุษย์แยกออกจากมนุษย์แ
ต่ละคน และแยกจากมนุษยชาติโดยรวมไม่ได้ เขาจึงได้ตั้งสาขาวิชา "สังคมวิทยา" ขึ้นมาเพื่อศึกษาสังคมมนุษย์โดยเฉพาะ แต่เขาเข้าใจสังคมในเชิงวิทยาศาสตร์หรือชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน โดยไม่ได้ศึกษาฟิสิกส์เพียงพอ จึงมองชีวิตโดยเฉพาะมนุษย์ไปในทางชีววิทยา ซึ่งขึ้นกับการสังเกต "สิ่งที่มีชีวิต" อยู่ในขณะนั้นๆ อย่างเป็นระบบ ออกัสเต คอมเต จึงมองวิวัฒนาการของจิตใจของมนุษย์ไปในเชิงชีววิทยาว่าวิทยาศาสตร์มีอยู่แค่นั้น คือขึ้นกับประสบการณ์ของการสังเกตของมนุษย์แค่นั้น ประสบการณ์ของการสังเกตของมนุษย์ก็คือวิทยาศาสตร์ ออกัสเต คอมเต จึงมองสังคมของมนุษย์คือประสบการณ์ที่มองเห็น (สังเกต) ได้ และประวัติศาสตร์ของวิวัฒนาการจิตของมนุษย์ และสังคมซึ่งก็คือวัฒนธรรมจึงจบลงที่วิทยาศาสตร์ (หรือ magic mythic and science จบ) ที่เอาออกัสเต คอมเต มาพูดถึงในที่นี้ก็เพื่อแสดงว่านักจิตวิทยาสังคมหรือนักปรัชญาสังคม เศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์สังคมทั้งหลายควรศึกษาค้นคว้าวิทยาศาสตร์ให้ถึงแก่นแกนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะฟิสิกส์ (และควอนตัมฟิสิกส์หากหลังปี 1927) ทั้งนี้ ก่อนที่นักวิชาการพวกนั้นจะเขียนและตีพิมพ์หนังสือออกมาสู่สาธารณชน เนื่องจากนักวิชาการพวกนั้นมักไม่รู้ว่าอิทธิพลของหนังสือของตัวเองนั้นมีความสำคัญที่สุดต่อสาธารณชนผู้อ่านทั่วไปมากยิ่งนักที่คนทั่วไปจะไม่ค่อยมีเวลาอ่านหนังสือหรือวารสารด้านวิทยาศาสตร์หนึ่ง อ่านแล้วไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งหนึ่ง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือหรือข้อมูลนั้นๆ เกี่ยวกับมนุษย์หรือสังคมของมนุษย์อีกหนึ่ง ซึ่งเรา-โดยทั่วไปก็รู้อยู่เต็มอกแล้วว่าอะไรๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์หรือสังคมของมนุษย์ หรือแม้แต่ใกล้ๆ กับตัวมนุษย์แล้ว มนุษย์เราแทบทุกคนจะมีความรู้สึกว่า เรื่องนั้นน่าสนใจเป็นที่ยิ่ง และมักจะจดจำไปนานนัก แถมเราจะลบมันออกไปจากความทรงจำยากที่สุด เพราะเรามักหลงตัวเอง (anthropocentrism)
 
ดังนั้น ฟรีดดริช เฮเกส และคาร์ล มาร์กซ์ ก็เป็นเช่นนั้น รวมถึงเรื่องของชนชั้น (social classes) ซึ่งหนักกว่าชั้นวรรณะของอินเดียโบราณที่มีอยู่จนกระทั่งวันนี้ และผู้เขียนคิดว่าไม่มีทางที่มนุษย์จะกำจัดให้ออกไปจากสังคมโดยรวมได้หมดจริงๆ เพราะว่ามันผิดไปจากธรรมชาติ กอไผ่หรือกอหมากมีต้นที่แคระแกร็นเตี้ยเล็กและต้นที่สูงชันอวบสมบูรณ์ในกอเดียวกัน พระพุทธองค์ถึงกล่าวว่า คนเรามีสูง มีต่ำ มีดำ มีขาว มีจน มีรวย.....เป็นพราหมณ์หรือราชา เป็นคนพาลต่ำช้าหรือเป็นโจร ฯลฯ เป็นเพราะกรรมอย่างเดียว พระพุทธองค์ไม่ได้ถือชั้นวรรณะของมนุษย์ผู้ "ประเสริฐ" กว่าสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่ใช่เพราะเกิดมาจากต่างครรภ์มารดาในสังคมเดียวกัน ไม่ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะความประพฤติหรือพฤติกรรมต่างหาก ไล่ต่อไปแล้วก็ขึ้นกับการเลี้ยงดูและพันธุกรรม (nurture กับ nature) คือห้อมล้อมด้วยคนถ่อยคนพาลคนต่ำช้า หรือมีพ่อแม่เป็นโจร มีโคตรเหง้าเป็นโจรที่มีกันคนละเกือบครึ่ง โดยมีสิ่งแวดล้อมในวัยเด็กมากกว่าเล็กน้อย แต่หากไล่ไปจนถึงที่สุดก็เป็นเพราะกรรมเหมือนกัน ผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยตัวแทนแบบที่เรามีอยู่เลือกผู้แทน ผู้เขียนจึงเชื่อในวิวัฒนาการทางจิตไปตามสเปกตรัมของจิตเป็นธรรมชาติสำคัญที่สุด ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าเป็นเป้าหมายของจักรวาล หาใช่สสารวัตถุหรือเนื้อเยื่อไม่ อย่าลืมว่าความประพฤติหรือพฤติกรรมของมนุษย์นั้น นักวิทยาศาสตร์ทุกคนเลยโดยไม่มียกเว้นบอกกับเราตลอดเวลาว่า ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้การควบคุมหรือกำหนดโดยจิตหรือนามทั้งสิ้น ไม่ว่าจิตจะเป็นคนละเรื่องกับสมอง หรือเป็นผลของการทำงานของสมอง (epiphenomenon)
 
ที่ว่าทั้งเฮเกล ทั้งมาร์กซ์ และทั้งชนชั้นที่ผิดนั้น ผิดอย่างไร? ขอชี้แจงดังนี้ :-
 
ข้อแรก คิดว่าเฮเกลผิดในเรื่องเวลา เฮเกลก็เช่นคนในยุคนั้นที่มองอะไรๆ เป็นเส้นตรงตามลูกศรแห่งเวลา (arrow of time) ทฤษฎี "ไดอะเล็กติก" ก็เป็นเช่นนั้น ในขณะที่ความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนนั้น ปรากฏการณ์ของจักรวาลเคลื่อนที่ไม่เป็นเส้นตรง แต่เป็นวัฏจักร "ก้นหอย" (non-linear science) ข้อสอง ผิดที่เรื่องขององค์กร มันไม่มี "เธสิส" "แอนตีเธสิส" และ "ซีนเธสิส" แบบที่เฮเกลคิด มันต้องมีตัวดึงดูด (attractor) และทางสองแพร่งก่อนความล่มสลายขององค์กรเก่า ถึงจะมีองค์กรใหม่ปรากฏ (emergent) ขึ้นมา และมันไม่มีการรวมกัน (synthesis) หรอก มีแต่มากกว่า เอบวกบีไม่เท่ากับเอบี
 
ข้อสาม ความเป็นองค์รวมซ้ำซ้อนองค์รวมไปเรื่อยๆ ฯลฯ เฮเกลไม่ได้พูดถึง อิมมานูเอล คานท์ ที่แม้จะก่อนกว่า แต่ก็ร่วมสมัยกับเฮเกล กับความเป็นองค์รวมหรือทั้งหมด (holism) ของคานท์ การมองชีวิต "การเป็นไปเช่นนั้นของมันเอง" (autopoesis) อันเป็นหัวใจของปรัชญาของคานท์ ซึ่งสำหรับผู้เขียน ที่กล่าวมานั้นขัดแย้งกับความคิดของเฮเกลเองที่บอกว่าความจริงที่แท้จริงคือจิตที่สมบูรณ์ (absolute mind หรือจิตหนึ่งหรือจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล) เฮเกลจึงผิดที่เขาตั้งทฤษฎีไดอะเล็กติกขึ้นมา แต่กลับไม่รวมความจริงที่แท้จริงหรือจิตไร้สำนึกร่วมของจักรวาล - C.G.Jung ไว้ในทฤษฎีไดอะเล็กติกของเขา
 
และคาร์ส มาร์กซ์ ยิ่งผิดเข้าไปอีกฐานเชื่อเฮเกลและไดอะเล็กติกอย่างศิโรราบ จริงอยู่มาร์กซ์ได้เปลี่ยนชาติประเทศเป็นชนชั้นของสังคม ทั้งยังได้สร้างลัทธิคอมมิวนิสต์ขึ้นมา (ประกอบด้วย 3 ทฤษฎีย่อย แต่มีทฤษฎีไดอะเล็กติกสำคัญที่สุด) ผู้เขียนรู้สึกเหมือนกับที่ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล รู้สึก ที่มาร์กซ์ เฮเกล กับไดอะเล็กติกที่ไม่รวมจิตและองค์รวมไว้ด้วย ผู้เขียนจึงรู้สึกเสียใจยิ่งนักที่เชื่อคาร์ล มาร์กซ์ มานานร่วม 30 ปี แถมเชื่อในวัยทำงานเสียด้วย จนกระทั่งมีวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่ ควอนตัมเม็คคานิกส์ ทฤษฎีเคออส ทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ไม่เดินเป็นเส้นตรง ฯลฯ เกิดขึ้น และได้ติดตามอย่างใกล้ชิดมานานจริงๆ
 
ชนชั้นวรรณะทางสังคม (classes) นั้น ไม่ว่าศักดินา ชนชั้นกรรมาชีพ หรืออำมาตย์ หรือทาส ฯลฯ ล้วนแล้วแต่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยโฮโมอีเรคตัสในอดีตมาแล้ว ทั้งปัจจุบันและอนาคตเราจะต้องไม่ผิดอีก เช่น อเมริกา ยุโรป กับที่เราตั้งใจผิดและปรารถนาผิดๆ เช่น สิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยตัวแทน ความเท่าเทียมกันที่ตาเห็น ดังที่พระพุทธองค์กล่าว วรรณะไม่เป็นธรรมหากมองแต่กายที่เห็น แต่ไม่มองที่พฤติกรรมที่ควบคุมด้วยจิตที่ไม่เห็น นั่นคือวิวัฒนาการทางจิตที่สำคัญกว่ากาย.
 
 
http://www.thaipost.net/sunday/250410/21266
4624  จากใจถึงใจ / สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก) / Re: เว็บเขากะลา จะกลับมาเมื่อไร บอกหน่อย ข้อยจะทำใจ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2553 08:10:00
อื่นๆอีกมากมาย เฉลียง เหตุเกิดที่เฉลียง



.. อื่นๆ อีกมากมาย ..

เพลง ..อื่นๆ อีกมายมาย
อัลบั้ม .. อื่นๆ อีกมายมาย (2529)
ศิลปิน .. เฉลียง

คำร้อง : ประภาส ชลศรานนท์
ทำนอง : ประภาส ชลศรานนท์
เรียบเรียง : ทรงวุฒิ จรูญเรืองฤทธิ์



หากถามเธอตรงๆ
ว่าเธอรักเหตุใด
ใครตอบได้ไหม
เหตุใดรักยั่งยืน
เหตุใดที่รักร้าว
กลับหวานเป็นขมขื่น
ตอบกันทั้งวันคืน
อื่นๆ อีกมากมาย

เด็กหนีไม่ยอมเรียน
โดดเรียนเพราะเหตุใด
ลองตอบกันไหม
เด็กไปเพราะใจเบ่ง
แม่ให้ไปขายของ
ครูสอนไม่ดีเอง
เด็กรักเป็นนักเลง
อื่นๆ อีกมากมาย

อื่นๆ อีกมากมาย (มากมาย)
อีกมากมาย (มากมาย)
มากมาย (มากมาย)
ที่ไม่รู้

อาจจะจริงเราเห็นอยู่
เผื่อใจไว้ ที่ยังไม่เห็น

ต้นไม้จะงามดี
ให้มีผลดอกใบ
พรวนแต่งดินไว้
ใส่ใจทุกเช้าค่ำ
เพิ่มดินผสมปุ๋ย
ให้น้ำที่ชุ่มฉ่ำ
เด็ดทิ้งที่ใบดำ
อื่นๆ อีกมากมาย


หากเขาเป็นคนเลว
ที่เลวนั้นจากใด
คำตอบมีไว้
ตอบไปก็คนอื่น
อาจเลวเพราะแสนเข็ญ
หยาบช้าเพราะขมขื่น
เหตุนำนั้นพันหมื่น
อื่นๆ อีกมากมาย

อื่นๆ อีกมากมาย (มากมาย)
อีกมากมาย (มากมาย)
มากมาย (มากมาย)

.
.

แด่โลกแห่งความหลากหลาย ..
ซึ่งไม่ได้มีเพียง ขาว และ ดำ เสมอไป ..

.
.

ชีวิตเป็นสิ่งบอบบาง ..

ขอให้ทุกท่านมีความสุขในทุกๆ วันของชีวิตค่ะ ^_^

 

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mormor&month=12-2004&date=31&group=3&gblog=15
4625  จากใจถึงใจ / สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก) / Re: เว็บเขากะลา จะกลับมาเมื่อไร บอกหน่อย ข้อยจะทำใจ เมื่อ: 03 พฤษภาคม 2553 08:05:58
เปิดให้เราไปเอาข้อมูลด้วย นะ

เรื่องเหล่า จะจริงเท็จ ซับซ้อนยอกย้อน ถูกผิดอย่างไร
มดเอ๊ก จะไม่เข้าไปยุ่งละนะ ขอให้โชคดีทั้งสองฝ่ายล่ะ

เรามาเว็บ มาปั่นกระทู้ ยกระดับจิตร่วมแห่งมวลมนุษย์เท่านั้น

ข้อมูลที่เอาไปไว้ พอสมคร
อ้าวเว็บพุทธยานเจือก หายจ้อยไปอีก

ลงห้วงเหว อนิจจัง อีกแย้วววว ละเน้ออออออ

ข้อมูล อุตส่า ลงไว้เพียบเลยนะ

ใจหนึ่งเสียดาย

อีกใจ บอกว่า มาๆ ไป ๆ หาย ๆ โผล่ ๆ ขึ้น ๆ ลงๆ
ตามเหตุปัจจัยที่รู้ และไม่รู้อีกมายมาย

ดั่งบทเพลง เฉลียง ที่สะท้อน คำว่าเหตุปัจจัยได้สุดยอด

เพลง อื่น ๆ อีกมายมาย

ที่เรารู้เพียงส่วนเสี้ยว ที่ไม่รู้อีกเพียบ

ยกป้าย ว่า อื่น ๆ อีกมากมาย

ขอข้อมูลด่วนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

ตาแม็ค จะช่วยทยอย มาลงเว็บนี้ก็ได้ถ้ามีเวลา นะ สาธุ

4626  จากใจถึงใจ / สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก) / Re: เว็บเขากะลา จะกลับมาเมื่อไร บอกหน่อย ข้อยจะทำใจ เมื่อ: 18 เมษายน 2553 19:00:35
 หัวเราะลั่น

โหยยยย กะจะลง http://www.thaiplumvillage.org/index.html

2 กระทู้ ให้คนอ่าน จิตดันไหลไป เขียนถามถึงเข้ากะลา
ไหลไปเซนโน่นนนนนนนนนนนนนน

ไหลกลับมา จะทำต่อ อ้าววววว หมดเวลาแล้ว เจี๊ยกกกกกกกกกก

ไปล่ะ หวัดดี
4627  จากใจถึงใจ / สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก) / Re: เว็บเขากะลา จะกลับมาเมื่อไร บอกหน่อย ข้อยจะทำใจ เมื่อ: 18 เมษายน 2553 18:52:03
อันตัวพี่นั่น
ซักวันพี่ต้องเจอแบบ พระมหากัสปะ มองดอกไม้ในมือพระพุทธองค์

จะพบเหตุปัจจัยสุดท้ายได้
พี่ต้องผ่านเหตุปัจจัยระหว่างทางไปก่อน
ค่อย ๆ ไป แบบช้างดีกว่า
ไม่ต้องรีบ

ทาน ศีล ภาวนา บารมีสิบทัศน์ สารพัดความดี

แม้กระทั่งการอ่าน เหมือนพี่นั่งร่วม กับ พระมหากัสปปะ ดูดอกไม้ในมือพระพุทธองค์

ถึงแม้ เรายังไม่เข้าใจ ขอให้ชะโลมใจ อาบจิตด้วย คำว่า สาธุ ยินดีที่สัมผัส

ต่อ ถ้อยคำที่รู้สึก งง

คือ ภาวะนั้น เป็นปัจจัตตัง เหนือตรรกะ คำอธิบายเลย ถึงขั้น โบราณจารย์ ท่านเรียกว่า

หุบปากนิ่งเงียบ ไร้อักษร ไร้ถ้อยคำ

สาธุ ไอ้ ตรงที่ งง

เหมือน สาธุ ดอกไม้ในมือพระพุทธองค์ นะพี่

สิ่งที่พี่ อ่าน มันไม่หายไปไหนเลย เรื่องจิตมันสุดละเอียด เรื่องกรรมวิสัยธรรมอีก นะ

มันฝัง ๆ บ่ม ในตัวแล้ว เราไม่รู้หรอก

อ่านไป งีบไป อ่านไปสาธุไป อ่านไปหายใจลึก ๆ แล้วค่อยปล่อย
อ่านด้วยใจ ไมตรี เปิดกว้าง แล้วทุกอย่างจะดำเนินไป

ไหลเข้าใจ มันไม่หายนะ สักวันมันจะผุดเอง

ผุดขึ้นมาอย่าง หมดจด แบบ ดอกไม้ในมือพระพุทธองค์ เข้ากระทบ นะ

ผมปล่อยความโง่ ให้พี่อ่าน เป็นความโง่ ถ้อยคำจากกิเลสของผม
ถ้ามันมี ประพิมประพาย น้อย ๆ

ขอให้มันสว่างวาบ ไปในจิต พี่นะ
หนึ่ง วาบ แล้วแล้วกว้างใหญ่ กว้างไกล ไปอีกหลาย ๆ ดวงประทีป นะ

ผมโง่เหมือนควาย แต่ขอเป็นความที่มีประโยชน์บ้าง แบกหามคัมภีร์ แม้ไม่เข้าใจคัมภีร์ก็ยังดี

เรามาเป็นควายขน กระทู้ธรรม แจกคนตามเว็บกันเถิด นะพี่

เซนเรา มิใช่เซนเว่ยหลาง เซนฮวงโป เซนโดเง็น เซนตั๊กม้อ

เซนพี่ เซนผม มันคือเซนของพระพุทธองค์ เซนเพื่อมหาชน เซนท่ามกลางวัฏฏะสงสาร

เซนยุคต่อไป มิใช่เซนแบบหนีเข้าป่า ซาโตริคนเดียว ดับคนเดียว

เซนยุคกึ่งพุทธกาล มันคือเซนแบบไปกันเป็นทีม เซนโกยสรรพสัตว์ นั่นแหละ




จบล่ะ องค์ที่ลง ไปแล้ว กลับไปกินข้าวดีกว่า

หิวกิน ง่วงนอน ร้อนอาบน้ำ นี่แหละเซนของข้า
4628  จากใจถึงใจ / สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก) / Re: เว็บเขากะลา จะกลับมาเมื่อไร บอกหน่อย ข้อยจะทำใจ เมื่อ: 18 เมษายน 2553 18:18:22
อย่าถือสา ช่วงนี้กะจะบ่น ตามระเบียบ
เขียนไปซักพัก
อารมณ์ที่พุ่งพล่าน ทะยานฉิว
มันหายไปตอน
เขียนอะไรไม่รู้
ไหลวลี คำไปเรื่อย ๆ
ใจเสือก สงบ
เลยจบ
ไม่บ่นแล้ว

วันนี้ ข้าพเจ้าเอาหนังสือ มังกรเซนไปให้
พี่น้องร่วมจักรวาล ร่วมจิตวิญญาณ
เขาอ่านล่ะ

พี่เอ๋ย อ่านไปเถอะ อะไรรู้สึกยาก ๆ ตรรกะแปลก ๆ
ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเครียด ให้มองมันหมือน

สายน้ำ เสียงนก ไบไม้ไหว ประกายแดด เข้ากระทบจิตซะ

ผมจะบอกพี่ให้ นะ

ยามที่ พระพุทธองค์ชูดอกไม้ มันไม่ต่างกับ

สายน้ำ เสียงนก ไบไม้ไหว ประกายแดด ขุนเขา สายหมอก ดอกเหมย

มันคือ ปรากฏการณ์ ความฝัน มายา รอบกายพี่นั่นแหละ
การไหลรี่ของเหตุปัจจัยรอบกายพี่ นั่นแหละนะ

พระพุทธองค์ชูดอกไม้ นี่ก็ เหตุปัจจัยสุดท้าย
ก่อนที่พระมหากัสสปะจะซาโตริ เข้าใจหมดจด ตามนัยนิกายเซนนะ

ชูดอกไม้ แล้ว พระมหากัสสปะยิ้มน้อย ๆ แว๊บ  เดียว นะ

ให้พี่มอง ถ้อยคำต่าง ๆ
ในหนังสือ มังกรเซน เหมือน การชูดอกไม้ของพระพุทธองค์นะ

ถัอยคำ ไม่ต่างอะไรกับ ปรากฏการณ์ที่ไหลเข้าจิตเรานั่นแหละ
เข้าใจก็วาง ไม่เข้าใจก็ต้องวาง

คำเข้า กระทบผ่าน กระทบผ่าน กระทบหาย กระทบผุด สุดท้ายแล้วก็อนิจจัง

จะอ๋อ สุดท้าย ไอ้ตรงที่อ๋อก็ หายไป จะอ๋อแบบหยาบ แบบละเอียด ละเมียดละไม อธิบายไม่ได้

อ๋อผิด อ๋อถูก

ผิด-ถูก หยาบ-ละเอียด ใช่-ไม่ใช่ จริง-เท็จ  ธรรมคู่ สมมุติทั้งหลาย สุดท้ายวาง หายวับ








4629  จากใจถึงใจ / สุขใจ เสนอแนะ (ข้อความจากสมาชิก) / เว็บเขากะลา จะกลับมาเมื่อไร บอกหน่อย ข้อยจะทำใจ เมื่อ: 18 เมษายน 2553 18:06:48
ใจหวั่น ระริก ระลึก ระทึก อืมมมมม  
ลงข้อมูลไว้เพียบบบบบบบบบ แล้วหายไปปรับปรุง หรือ จะลงห้วงเหว อนิจจัง ไปอีกเว็บล่ะหนอ
ล่าสุด เว็บสำนักข่าวชาวพุทธ หายไปเลย ตาม อกาลิโกไปติด ๆ


เกิด ดับ กลับ กลาย หาย วับ
จับไม่ได้
พบ พราก จาก เจอ
แว๊บ ๆ ว๊าบ ๆ
ฟ้าแลบ สายลม รอยมีดกรีดนที
น้ำค้างกลิ้งกรอก หยอกใบบัว
หล่นจ๋อม
เสียงดัง จ๋อม กังวานหาย
เป็นเกลี่ยวคลื่น ขยายวง
ใหญ่กว้าง จางคลาย ราบเรียบ เงียบงัน
ผิวน้ำ
พลัน
สงบ

4630  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / ธรรมบันเทิง : Avatar อวตาร สงครามแพนโดร่า กับ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" เมื่อ: 18 เมษายน 2553 17:30:47

 
การได้เกิดเป็น “มนุษย์” นั้น นับว่าเป็นความโชคดีโดยแท้ เพราะมนุษย์ถือเป็นสัตว์ที่สามารถคิดได้ด้วยสติปัญญาเฉียบแหลม แยกแยะระหว่างสัญชาตญาณ กับเหตุผล รวมทั้งยังเป็นสัตว์ไม่กี่ประเภทที่สามารถ “ทำความดี” ต่อโลกได้
       
       ด้วยเหตุผลหลายข้อที่ว่า มนุษย์จึงนิยามตนเองว่าเป็น “สัตว์ประเสริฐ” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ทว่า มนุษย์ก็สามารถทำในสิ่งตรงข้ามได้เช่นกัน เพราะด้วยความมั่น ใจในความเก่งกาจของตน มนุษย์บางกลุ่มจึงมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และดูแคลนต่อสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์
       
       “Avatar” อวตาร เป็นผลงานภาพยนตร์ตอกย้ำการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของผู้กำกับระดับโลก เจมส์ คาเมรอน ผู้เคยสร้างตำนานแจ็คกับโรสแห่ง Titanic อันลือลั่นเมื่อกว่าทศวรรษก่อน แม้ผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับรายนี้ ไม่ได้อิงกับเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ หรือทำหนังรักโรแมนติกแบบเดิม แต่กลับเลือกหนังว่าด้วยจินตนาการแห่งอนาคต เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น ทว่าความน่าสนใจ และการตอบรับจากผู้ชมก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป ตรงกันข้าม ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว
       
       เรื่องราวของอวตาร เป็นจินตนาการของโลกในอนาคต บอกให้เราทราบเป็นนัยว่า โลกสีฟ้าใบเดิมนั้น ไม่ได้สวยงามอีกต่อไป และภารกิจของเหล่ามนุษย์อวกาศในเรื่อง คือ การสืบเสาะหาแหล่งทรัพยากรใหม่ๆอันล้ำค่าจากดาวดวงอื่น ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของการเดินทาง อันสุดมหัศจรรย์บนดินแดนที่เรียกว่า “แพนโดร่า”
       
       แพนโดร่าเป็นดวงดาวที่มีลักษณะเป็นผืนป่ากว้างเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ และทรัพยากรทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ นอกจากนี้บนดวงดาวอันงดงาม ยังมีชนเผ่าพื้นเมืองที่เรียกว่า “ชาวนาวี” ซึ่งแม้ว่าจะแลดูคล้าย คลึงกับการผสมผสานระหว่างคนป่ากับมนุษย์ต่างดาว แต่ชาวนาวีก็เต็มไปด้วยอารยธรรม และวิถีชีวิตที่น่าสนใจ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่ถิ่นฐานของชาวนาวี ตั้งอยู่บนผืนดินซึ่งมีแร่ธาตุอันมีค่าคณานับ ซึ่งเมื่อมนุษย์กลุ่มหนึ่งได้ล่วงรู้ สงครามแห่งแพนโดร่าจึงเกิดขึ้น
       
       เจค ซัลลี นาวิกโยธินขาพิการผู้ถูกปลดประจำการไปแล้ว ถูกเรียกตัวกลับมารับใช้ในฐานทัพดาวแพนโดร่า เพราะดีเอ็นเอที่ตรงกันทุกประการกับพี่ชายฝาแฝดผู้ล่วงลับ ทำให้ซัลลีต้องมาสานต่อภารกิจขับร่างอวตาร หรือโปรแกรมใช้สภาวะจิตใจควบคุมร่างกายจำลองของชาวนาวี เข้าไปสืบเสาะข้อมูล ล้วงความลับ และจูงใจให้มนุษย์ต่างดาวเจ้าของพื้นที่ละถิ่นฐานออกไป เพื่อให้มนุษย์โลกได้ครอบครองทรัพยากรตามที่ต้องการ
       
       เนื้อหาหลักของภาพยนตร์ ก็ไม่ต่างจากแนวสายลับ ที่ตัวเอกต้องปลอมตัวเข้าไปตีสนิท สร้างความคุ้นเคยกับชนเผ่า แต่เมื่อได้เรียนรู้วิถีชีวิตอย่างถ่องแท้แล้ว จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์อยู่ที่ว่า ซัลลีรับรู้ว่า ชาวนาวีไม่มีความผิดอะไร และไม่มีเหตุผลใดเลยที่พวกเขาต้องจากบ้านไปเพียงเพราะมีมนุษย์จากดาวอีกดวงอยากช่วงชิงทรัพยากร ขณะเดียวกัน เขายังตกหลุมรักกับชาวนาวีสาว อย่างนีย์ทิรี นั่นจึงทำให้นาวิกโยธินหนุ่มในร่างอวตารชาวนาวี ได้เรียนรู้วิถีชีวิตแห่งดาวแพนโดร่ามากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจ และซึมซับความเป็นตัวตนชาวนาวีมากยิ่งขึ้น นำไปสู่มุมมองใหม่ ที่เห็นว่าพฤติกรรมการรุกรานของเพื่อนเผ่าพันธุ์เดียวกันว่าเป็นสิ่งอันน่ารังเกียจ
       
       โชคดีที่ซัลลีไม่ได้เป็นมนุษย์คนเดียวที่คิดได้ เขายังมี เพื่อนร่วมอุดมการณ์ในทีมอีกราว 4-5 คน ที่ร่วมหัวจมท้าย แหกกฎภารกิจฝืนศีลธรรม กลายเป็นภารกิจปกป้องชาวนาวี จากมนุษย์ใจทมิฬ ซึ่งฝ่ายหลัง นำโดยผู้นำกองทัพทหาร พันเอกไมส์ ควอริตช์ ผู้เหี้ยมเกรียม พร้อมจะใช้มาตรการรุนแรงเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ รวมถึงปาร์กเกอร์ เซลฟริดจ์ นักธุรกิจจอมละโมบที่มองผลคุ้มค่าทางธุรกิจก่อนประเด็นอื่น
       
       ภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟ ว่าด้วยสงครามระหว่างมนุษย์โลกกับชาวนาวี หากดูเอาความมันสะใจ เชื่อว่าได้รับความคุ้มค่า สมกับเป็นภาพยนตร์ลงทุนสูง เทคนิคพิเศษตระการตา แต่ถ้าจะดูเพื่อเอาสาระเนื้อหา ก็จะพบว่า แฝงอะไรไว้มากมายเช่นกัน
       
       หากมองในประเด็นเรื่องความน่ารังเกียจของสัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์ กลุ่มทหารและนักธุรกิจในภาพยนตร์ ก็คงเหมือนกับพฤติกรรมของคนในปัจจุบัน ที่ต่างก็รุกคืบรุกรานสิ่งมีชีวิตทางธรรมชาติไปเรื่อยๆ เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตน หรือหากมองความเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง ก็มีนัยที่ผู้กำกับอาจเสียดสีถึงประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาของตนเอง ที่มีแสนยานุภาพทางการทหาร มีศักยภาพในการทำสงครามเป็นอันดับหนึ่งของโลก แม้จะกล่าวอ้างการบุกรุกประเทศอื่นๆว่า เพื่อสันติภาพ หรือคงไว้ซึ่งประชาธิปไตยอะไรก็ตาม แต่ทว่าภายใต้ควันปืน กลิ่นเลือด ไฟสงคราม ทุกอย่างก็เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนอันมหาศาลทั้งในด้านทรัพยากร เศรษฐกิจ หรือความได้เปรียบด้านภูมิรัฐศาสตร์ อันส่งผลถึงอำนาจการเมืองระหว่างประเทศต่อไป
       
       ส่วนซัลลีกับกลุ่มผองเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่ร่วมต่อสู้ปกป้องบ้านของชาวนาวีผู้ถูกรุกราน จึงกลับกลายสถานะ คล้ายกับเป็นกลุ่มคนที่ทรยศ ฝ่าฝืนคำสั่ง แถมยังไปร่วม เข้าข้างกับอีกฝ่าย แต่เมื่อมองให้ลึกถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาในสงครามแพนโดร่าครั้งนี้ เห็นได้ว่ามาจากความโลภของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่สนใจว่า สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นจะเป็นอย่างไร มองแค่ผลประโยชน์ของตนมาก่อนเท่านั้น ดังนั้นปฏิบัติการอันผิดศีลธรรม ทำลายกฎแห่งความสมดุลของธรรมชาติ หากเป็นตัวเรา จะเลือกทำตามคำสั่ง หรือทำตามคุณค่าอันดีงามภายในจิตใจ
       
       ประเด็นที่น่าคิด คือ แม้ซัลลีอาจถูกตราหน้าจากกองทัพฝ่ายทหาร ว่าเป็นคนทรยศต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์โลก
       
       “แต่เชื่อเถอะซัลลี ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ นายไม่ได้ทรยศต่อความดี อันเป็นสิ่งที่พึงมีของสิ่งมีชีวิตที่เรียกตนเองว่าสัตว์ประเสริฐ”
       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย ชยวรรศ มานะศิริ)

 
http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9530000045986

4631  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: เรื่องจากต่างแดน : เปิดตำหนัก 'ทะไล ลามะ' ที่อินเดีย เมื่อ: 18 เมษายน 2553 17:26:37
ครบ 51 ปีเต็ม ที่ “ทะไล ลามะ” องค์ที่ 14 ในฐานะผู้ปกครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักรของทิเบต ได้อพยพลี้ภัยจากการคุกคามของจีน ไปตั้งรัฐบาล พลัดถิ่นของทิเบต ที่เมืองธรรมศาลา เชิงเขาหิมาลัย ในรัฐหิมาจัลประเทศ ของอินเดีย โดยมีชาวทิเบตร่วมแสนคนติดตามไปด้วยเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.1959 ซึ่งต่อมาที่ธรรมศาลาแห่งนี้ก็กลายเป็นศูนย์รวมใจชาวทิเบตในต่างแดน
       
       สถานที่พำนักหรือตำหนักขององค์ทะไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณของชาวทิเบต ณ ธรรมศาลา มิได้ใหญ่โตหรูหรา แต่ทว่าเรียบง่าย เฉกเช่นจริยาวัตรของพระองค์
       
       โดยทุกวันพระองค์จะทรงตื่นบรรทมเวลา ตี 3 ครึ่ง หลังจากสรงน้ำแล้ว จะทรงใช้เวลาราวชั่วโมงครึ่ง ในการสวดมนต์เจริญภาวนาไหว้พระ ซึ่งการกราบไหว้องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าในแบบของทิเบตนั้น เรียกว่าอัษฎางคประดิษฐ์ โดยให้ส่วนสำคัญของร่างกายแปดส่วน ได้แก่ มือทั้งสอง เข่าทั้งสอง เท้าทั้งสอง ลำตัว และหน้าผาก สัมผัสพื้นดิน ในระหว่างกราบ อันเป็นการแสดงความเคารพสูงสุดต่อพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
       
       หลังตี 5 จะะทรงเดินออกกำลังกายรอบบริเวณตำหนักประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วจึงทรงฉันอาหารเช้าเช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวต้ม ขนมปัง ผลไม้ และชา ระหว่างนี้ก็จะทรงรับฟังข่าวสารจากสถานีวิทยุบีบีซี จนถึง 8 โมงครึ่ง แล้วก็ทรงสวดมนต์เจริญภาวนาอีกครั้ง
       
       จากนั้นจะทรงศึกษาข้อธรรมต่างๆ ในช่วง 9 โมงเช้า ถึง 11 โมงครึ่ง แล้วทรงฉันอาหารกลางวัน เสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเสด็จไปทรงงานทั้งการปรึกษาข้อราชการการให้สัมภาษณ์ การสอนธรรมะแก่พระสงฆ์ การพบปะและสนทนาธรรมกับผู้มาเยือน ณ สำนักงานภายในวัด Tsuglagkhang อันเป็นวัดหลักของทิเบตและเป็นวัดประจำของพระองค์ ณ ธรรมศาลา ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่พำนัก ตั้งแต่เวลา 12.30-16.30 น.
       
       หลังทรงเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว จะทรงกลับสู่ตำหนัก เพื่อทรงพักผ่อนและฉันชา แต่ไม่ทรงฉันอาหารเย็น กระทั่งเวลา 18.30-20.30 น.จะทรงสวดมนต์เย็นไหว้พระ แล้วจึงเข้าบรรทม
       
       องค์ทะไล ลามะ ตรัสไว้ว่า “อาตมาเป็นพระธรรมดา อาตมารู้สึกอย่างนี้จริงๆ ทะไล ลามะ คือตำแหน่งทางโลก ประชาชนยอมรับทะไล ลามะ มาอย่างยาวนาน แต่การเป็นพระเป็นเรื่องของอาตมา ไม่มีใครสามารถมาเปลี่ยนได้ อาตมาใช้เวลา 80% ในแต่ละวันของชีวิตไปกับ กิจกรรมทางจิตวิญญาณ และ 20% ไปกับเรื่องของทิเบต”[/I]
       
       ตั้งแต่ปี 1959 ทรงได้รับการทูลเกล้าฯถวายรางวัลระดับนานาชาติกว่า 84 รางวัล หนึ่งในนั้นคือ รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งได้รับในปี 1989 และพระองค์ได้ทรงเดินทางไปเผยแผ่ธรรมทั่วโลกแล้วกว่า 62 ประเทศ ใน 6 ทวีป
       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย บัวน้อย)

http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9530000046032
4632  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / เรื่องจากต่างแดน : เปิดตำหนัก 'ทะไล ลามะ' ที่อินเดีย เมื่อ: 18 เมษายน 2553 17:24:45

 

 


 

 
 

 
4633  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา เมื่อ: 18 เมษายน 2553 17:16:25
http://i126.photobucket.com/albums/p94/mattmorgan01/Spiritual/57c3.jpg

 
 
ที่จริงบทความที่เขียนวันนี้  อาจเป็นบทความตอนที่สองของบทความที่ลงในวันอาทิตย์ที่แล้วก็ได้  คือเป็นเรื่องที่ผู้เขียนกำลังทำพุทธศาสนาและศาสนาอื่นที่อุบัติขึ้นที่อินเดียให้เป็นวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่  โดยเฉพาะทฤษฎีควอนตัมที่ไม่ว่าใครจะพูดว่าอย่างไร  ถ้าหากเปิดใจให้กว้างและศึกษาติดตามควอนตัมและรู้จักมันจริงๆ  ผู้เขียนคิดว่าควอนตัมเม็คคานิกส์  -  ซึ่งศึกษาเรื่องที่เล็กละเอียดอย่างที่สุด  -  มีความใกล้เคียงกับศาสนาที่อุบัติจากจีนและอินเดีย  คือ  เมื่อวิทยาศาสตร์ลงไปลึกจริงๆ  จนไม่มีทางมองเห็น  หรือเมื่อสสารวัตถุได้กลายเป็นสนามพลังงานที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับพลังงานจิต   (ซึ่งก็คือจิตนั่นเอง)   จิต  (หรือ  consciousness  นั้น   ไม่ใช่จิตสำนึกหรือจิตรู้ที่เราเรียกว่า   conscious  mind  และจิตในที่นี้ที่จริงก็คือ  จิตไร้สำนึก  unconsciousness   as   consciousness)  ฉะนั้น  ศาสนาโดยเฉพาะพุทธศาสนาจึงใกล้เคียงกับจิตวิทยาเป็นอย่างยิ่ง  (spiritual  psychology)  จึงเป็นวิชาการหรือวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง   แต่นั่นไม่ใช่วิทยาศาสตร์แห่งยุคเก่าหรือนิวโตเนียนฟิสิกส์   ซึ่งมักจะนิยมสสารวัตถุ   (materialism)  หากแต่เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่  โดยเฉพาะควอนตัมเม็คคานิกส์   นั่นคือ   วิทยาศาสตร์ใหม่ที่เมื่อสิบกว่าปีก่อนนักวิทยาศาสตร์ถึง  95%  คิดว่าเป็นทฤษฎีที่แปลก   อย่างดีก็เพียงน่าสนใจ  แต่ไม่มีความสำคัญ  แต่ในปัจจุบันนี้หรือเดี๋ยวนี้  นักวิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตก  -  ซึ่งผู้เขียนเชื่อมั่นว่าแทบว่าจะทุกคน  โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์หรือนักจักรวาลวิทยาทุกคนกระมัง?  -  ที่เชื่อว่าควอนตัมฟิสิกส์ได้ให้ความจริงที่แท้จริงกลับแทบจะเป็นตรงกันข้ามกว่าเมื่อกว่าสิบปีก่อนด้วยเปอร์เซ็นต์ที่ใกล้ๆ  กับที่กล่าวมานั้น

     ผู้เขียนทราบดีว่าบทความของผู้เขียนบทความนี้ไม่ถูกกับ  กาละและเทศะ  เพราะประชาชนคนไทยกำลังแตกแยกกันอย่างรุนแรง  กระทั่งเข่นฆ่ากันบาดเจ็บล้มตายไปเกือบพันคน  โดยที่ผู้เขียนก็ยังทำประหนึ่งทองไม่รู้ร้อนทั้งที่เป็นคนไทย   แต่คิดว่าคนที่คิดออกคิดเป็นแทบทุกคน  เช่
นที่ผู้เขียนตอบและปลอบคนที่โทรศัพท์มาหาที่บ้าน  โดยบอกว่าในตอนนี้  เราหรือไม่ว่าใครจะไปทำอะไรได้  นอกจากไปเติมน้ำมันให้กับไฟ   ไม่มีใครฝ่ายใดคิดจะฟังใครหรอก   ป่วยการเปล่าๆ   นอกจากตนไปเข้ากับฝ่ายใดอย่างศิโรราบเท่านั้น  ฉะนั้น  คิดจะเป็นกลางจึงไม่ได้ประโยชน์  หรือสื่อทั้งหลาย  ความหวังดีทั้งหลายจึงไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง  ป่วยการจริงๆ  ในช่วงนี้   ต้องให้เวลากับมัน  "ทุกอย่างมันเป็นไปเช่นนั้นของมันเอง"  หากว่าเราเชื่อในปรัชญาสากลนิรันดร  (perennial  philosophy)  หรือการลงโทษและให้รางวัลของฟ้า  หรือยอมนั่งฟังเรื่องของกรรมร่วม  (collective  karma)  ของมนุษยชาติ  การบาดเจ็บล้มตายที่บ้านเรา  หรือแม้แต่ที่อิรัก  อัฟกานิสถาน  ปากีสถาน  ปาเลสไตน์  ฯลฯ  ล้วนแล้วแต่เป็นผลของมนุษย์เองที่ยังมีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตวิญญาณไม่พอ   นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่และนักศาสนาส่วนหนึ่งเชื่อว่าประชากรโลกจะล้มตายหายไปแทบจะในทันที  คือหายไปมากกว่า  5  พันล้านคน  ในปลายปี  2012  ต่อกับต้นปี  2013  นี้  หรือบางคนอาจจะพูดว่า  เป็นการลงโทษของฟ้าก็ได้   ไม่ว่าเราที่เป็นกลางจะเชื่อหรือไม่เชื่อข่าวข้างหนึ่งข้างใด   เราก็เป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวและหาแต่ความสุขทางกายแต่เพียงอย่างเดียวจริงๆ   ตลอดช่วงประวัติศาสตร์-โบราณคดีวิทยาศาสตร์ของเราที่สำคัญอย่างยิ่ง  คือต่อไปนี้  หลัง  2013  ไปแล้ว  หลายคนทีเดียวเชื่อว่ามนุษยชาติจะได้มีวิวัฒนาการของจิตสู่จิตวิญญาณเสียที  

     ท่านผู้อ่านคงรู้จักชื่อของอัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  นักฟิสิกส์วิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่  -  ซึ่งอาจจะยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกก็ว่าได้  -  อย่างน้อยๆ  ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับเซอร์ไอแซค  นิวตัน  นักฟิสิกส์คนแรกของโลกผู้ค้นพบหลักการของฟิสิกส์อันเป็นต้นแบบของวิทยาศาสตร์ที่ทุกสาขาเราเรียนๆ   กันอยู่ในทุกวันนี้  จริงๆ  แล้วบทความของวันนี้อาจจะขยายความต่อเนื่องของบางช่องของบทความคราวที่แล้วที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์  นั่นคือ  การพบทฤษฎีที่สามารถอธิบายธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่าง  (theory  of  everything)  ได้  ที่อ้างคำพูดอันมีชื่อเสียงของอัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์   ที่พูดว่าสามารถจะ  "อ่านจิตใจของพระเจ้าได้"  (mind  of  God)  ไอน์สไตน์ได้ใช้เวลาไปกว่าสามสิบปีเพื่อค้นหาทฤษฎีนี่ที่เขาเชื่อว่าเป็นกฎธรรมชาติอันแรกที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุด   ซึ่งจะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด  ตลอดจนทั้งช่วงเวลาก่อนที่จักรวาลจะมีบิ๊กแบ็งด้วย  แต่ไอน์สไตน์ก็ไม่สามารถจะหาได้จนต้องล้มเลิกความตั้งใจไป  ต่อมาสตีเฟน  ฮอว์กิ้ง  ที่นักฟิสิกส์ตั้งสมญานามให้ว่าเป็นทายาทของไอน์สไตน์  และนักฟิสิกส์คนอื่นๆ  ได้พยายามหาทฤษฎีที่ว่านั้นต่อ  แต่เนื่องจากไปคิดว่าอนุภาคจะต้องมีลักษณะเป็นจุดๆ  หรือเป็นเม็ดๆ  ทุกๆ  คนจนบัดนี้ก็หาไม่พบ  ซึ่งทฤษฎีที่ว่าดังกล่าวหมายถึงทฤษฎีที่รวมยอดหรือการประสานกฎทั้งหมดของธรรมชาติ   (ฟิสิกส์)  เข้าด้วยกัน  เพราะฉะนั้น  ทฤษฎีที่จะสามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้ทั้งหมดเลย  ก็คือ  ทฤษฎีแรกสุด  (theory  of  everything  or  TOE)   รวมทั้งทฤษฎีการรวมแรงทางฟิสิกส์ทั้งหมด   (ทั้งสี่แรง)  ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน  (grand  unified  field  theory  or  GUT)  นักฟิสิกส์แห่งยุคใหม่แทบจะทุกคนคิดและเชื่อว่า  ทฤษฎีว่าด้วยการเกิดขึ้นมาของจักรวาลทั้งหลายที่เรามี  ล้วนตั้งต้นที่บิ๊กแบ็ง  ก่อนหน้านั้นเราไม่รู้   แม้แต่การที่สสารที่ใช้สร้างจักรวาล  รวมทั้งเวลาและที่ว่าง  (space-time)  รวมทั้งขอบเขตหรืออาณาบริเวณของจักรวาลไม่ว่าจะมีขอบหรือไม่มีขอบ  (boundary-edge)  จะมารวมอัดกันแน่นภายในจุดที่เล็กว่าอะตอม  -  เรียกกันว่า  ซิงกูลาริตี้  (singularity)  ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาเอาและยอมรับกันเช่นนั้น  ทฤษฎีหลากหลายนับเป็นสิบๆ  ทฤษฎีที่พยายามค้นหากันนั้น  เนื่องจากไปคิดว่าอนุภาค  "ต้อง"  เป็นจุดเป็นเม็ด  (point)  เท่านั้น  จึงเหลือแต่ทฤษฎีสตริงที่ค้นพบประมาณปี   1990  ที่ไม่เป็นจุดๆ  หรือเป็นเม็ด  แต่ยืดยาวเป็นสาย  และมีความสิ้นสุดเสียด้วย  ทฤษฎีสตริงที่เหลือเพียงทฤษฎีเดียวจึงกลายเป็นมีทางที่จะเป็นที่มาของทฤษฎีแรกสุดทฤษฎีนั้น   สตริงได้พัฒนามาเป็นทฤษฎีซูเปอร์สตริง  และเป็นเอ็ม-ธีออรี่  และกลายเป็นทฤษฎีเดียวที่มีเค้าอย่างที่สุดที่จะเป็นทฤษฎีแรกของธรรมชาติหรือของฟิสิกส์ที่ว่านั้น  จริงๆ  แล้วแรงที่รวมแรงทั้งสี่แรงทางฟิสิกส์หรือทฤษฎีที่สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในจักรวาลหรือธรรมชาติได้ทั้งหมดนี้  เพื่อนของผู้เขียนนักฟิสิกส์จากออกซ์ฟอร์ด  ดร.ริชาร์ด  เอลลิส  โดยเขียนจดหมายไปถึงเพื่อนของเขา  นักฟิสิกส์ร่วมชั้นร่วมมหาวิทยาลัยที่เป็นหัวหน้าของเซิร์น  (CERN)  ที่สวิตเซอร์แลนด์  โดยเชื่อว่าพลังงานหรือแรงที่สามารถรวมแรงของธรรมชาติทั้งสี่แรง  (คือแรงดึงดูด  แรงแม่เหล็กไฟฟ้า  แรงนิวเคลียร์อย่างแข็ง  และแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน)  ให้ประสานเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวกัน  นั่นคือแรงจิต  พลังงานจิตหรือพลังงานของพระเจ้า  (Spirit)  นั่นเอง  ในจดหมายของเขา  เขาได้เขียนวิธีที่เขานำพลังจิตมาใช้ในการรักษาโรค  รวมทั้งโรค   HIV/AIDS  ซึ่งไม่เพียงแต่อาการหายเท่านั้น  แต่เลือดยังมี  HIV  เป็นลบด้วยอยู่  2  คน  จาก  6  คน  ที่รักษาที่เชียงราย  เมื่อปี  2550

     ในพุทธศาสนาของทิเบต  คำว่าที่ว่าง  (space)  -  ตามที่ผู้เขียนเข้าใจ  -  มีอยู่สองชั้นหรือสองระดับ  คือ  ชั้นหนึ่ง  หรืออัลติเมต  (primary  or  ultimate  or  primordial)   กับเซ็กกันดารี่  หรือชั้นสอง  (secondary)  ชั้นสองที่ให้ธรรมธาตุ  ซึ่งได้แก่  รูปฟอร์ม  ส่วนอรูปทั้งหลาย  (เช่น  แสงกับรูปเหมือนดาวที่ระยิบระยับในชั้นอรูปพรหมและสุทธากาศ)   นั่นคือ  อะไรที่มีกายวัตถุที่ประกอบด้วย  ดิน  น้ำ  ลม  ไฟ  ที่ว่างที่เรารู้จักและเวลา  (relative  space-time)  ล้วนเกิดจากชั้นเซ็กกันดารี่ทั้งนั้น   ส่วนที่ว่างอีกระดับหนึ่งในทางพุทธศาสนาคือที่ว่างชั้นแรก  หรือชั้นอัลติเมตนั้นจะประกอบด้วยสองส่วน  "ที่เป็นประหนึ่งส่วนเดียวกัน"   อัน  แยกออกจากกันไม่ได้  ส่วนหนึ่งคือ  จิตปฐมภูมิหรือญาณ  (primordial  consciousness)  หรือวิญญาณชั้นหรือระดับบนสุด  -  จงอย่าไปสับสนกับวิญญาณระดับล่าง  เช่น  ตัวรู้  หรือวิญญาณขันธ์  และต้องไม่ไปสับสนกับคำว่าวิญญาณในศาสนาคริสต์  คำว่า  soul)  และอีกส่วนหนึ่งก็คือพลังงานปฐมภูมิ  หรือญาณะปราณ  ฉะนั้น  จิตปฐมภูมิหรือญาณอันแยกออกจากกันไม่ได้จากพลังงานปฐมภูมิหรือญาณะปราณ  -  ในสายตาของผู้เขียน  -  จึงคือแรงที่ห้าที่รวมแรงทั้งสี่ทางฟิสิกส์  (ธรรมชาติ)  อย่างไม่มีข้อสงสัย  นั่นแสดงว่า  พุทธศาสนาได้ค้นพบกฎของธรรมชาติก่อนหน้าวิทยาศาสตร์หรือทฤษฎีควอนตัมถึง  2,500  ปี  นั่นแสดงว่า  ดร.ริชาร์ด  เอลลิส  เพื่อนของผู้เขียนที่กล่าวมาข้างต้นนั้นได้ก้าวย่างมาถูกทิศทางในด้านการปฏิบัติแล้ว  โดยไม่ต้องผ่านเส้นทางคณิตศาสตร์-ทฤษฎีซูเปอร์สตริง  และเอ็ม-ธีออรี่เลยแม้แต่น้อย  ส่วนเรื่องของพลังหรือแรงจิตที่แยกออกจากกันไม่ได้ในพุทธศาสนา  กับพระเจ้าในศาสนาที่มีพระเจ้านั้น  -  สำหรับผู้เขียนแล้ว  ไม่ได้มีความหมายทางอภิปรัชญาและจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนหรือจิตวิทยาจิตวิญญาณ  (transcendent  or  spiritual  psychology)  เลย

     บทความของวันอาทิตย์ที่แล้ว  จิตวิญญาณ  -  เมื่อแก่นแกนของศาสนากับวิทยาศาสตร์พบกัน  เนื้อหาสาระส่วนหนึ่งได้กล่าวถึงจักรวาลวิทยาใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาประมาณสิบปีเท่านั้น  จากทฤษฎีสตริงที่พัฒนาเป็นทฤษฎีซูเปอร์สตริงและเอ็ม-ธีออรี่  ล้วนแล้วแต่ได้ตอกย้ำให้นักฟิสิกส์ทฤษฎีส่วนใหญ่รับทราบถึงความเป็นไปได้อย่างยิ่งของจักรวาลที่มีเยอะแยะไปหมด  และเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จักรวาลของเราจักรวาลนี้ได้ถูกซ้ำซ้อนด้วยมิติหรือจักรวาลที่มีเยอะแยะเหล่านั้น  มิติ  (dimensions)   ที่มีถึง  10  มิติ  (11  รวมมิติแห่งเวลา)  ทั้งเข้าใจว่าพวกตนได้พบทฤษฎี   (ซูเปอร์สตริง)  ที่อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้เรียบร้อยแล้ว  หรือเชื่อว่าได้ค้นพบทฤษฎีที่รวมแรงทั้งสี่แรงทางฟิสิกส์  คือ  แรงการโน้มถ่วง  แรงแม่เหล็กไฟฟ้า  แรงนิวเคลียร์อย่างแรง  และแรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน  หรือจะพูดว่าเป็นการรวมกันของสสารวัตถุ  (matter)   ทั้งหมดเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันก็ได้  (grand  unified  theory  or  GUT)  ที่พวกตนได้ค้นหามานาน  รวมทั้งไอน์สไตน์ซึ่งได้ใช้เวลาถึงสามสิบปีเพื่อหามัน  จนต้องเลิกล้มไปในที่สุด  แต่ไม่ใช่นักฟิสิกส์ทุกคนเชื่อเช่นนั้น  สาเหตุที่ยังไม่เชื่อ  เนื่องจากทฤษฎีซูเปอร์สตริงกับเอ็ม-ธีออรี่เป็นเรื่องของคณิตศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียว  โดยยังไม่มีการสนับสนุนจากการทดสอบจากห้องทดลอง  แต่ผู้เขียนเชื่อ  เพราะมิติที่ได้มาจากทฤษฎีซูเปอร์สตริงมันสอดคล้องกับนรกและสวรรค์ที่มีในทุกๆ  ศาสนา  และทุกๆ  ลัทธิความเชื่อ  โดยเฉพาะพุทธศาสนาที่อธิบายนรกและสวรรค์ชั้นต่างๆ   ไว้อย่างละเอียด  และสอดคล้องต้องกันกับวิทยาศาสตร์แห่งยุคใหม่อย่างที่สุด  ที่สำคัญยังสอดคล้องกับจิตวิทยาสมัยปัจจุบันที่มองว่าจักรวาลและโลกเรามีทั้งกายและจิต  และต่อไปนี้ก็ยังมีวิวัฒนาการทางจิตแต่อย่างเดียว  เพราะว่าวิวัฒนาการของกายได้สิ้นสุดลงไปแล้ว

     สมมุติว่าเราเชื่อมิชิโอะ   กากุ  และนักฟิสิกส์ใหม่ส่วนหนึ่งที่มีจำนวนไม่น้อยว่าจักรวาลมีเยอะแยะไปหมด   จักรวาลของเราที่ก่อนหน้านี้มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น  หรือจะพูดง่ายๆ  ว่าจักรวาลนั้นมีหลากหลายและมากมายเหมือนพวงองุ่น  (multiverse)  อันตรงกับที่คณิตศาสตร์ของทฤษฎีซูเปอร์สตริงหรือทฤษฎีการรวมแรงทั้งหมดเข้าด้วยกัน   (GUT)  หรือทฤษฎีที่สามารถอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง  (TOE)  ได้นั่นเอง  ทั้งยังตรงกับพุทธศาสนาที่มีว่า  "อนามัตตะโก  ยามัง   สังสาโร  บัพโฆติ   นะ   ปัญญายาติ"  จักรวาลมีจำนวนนับไม่ได้   ทั้งไม่มีการเกิด  การสิ้นสุด.
 
http://www.thaipost.net/sunday/180410/20948
4634  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / 25 ศูนย์การแพทย์ชั้นนำในยุโรปและอเมริกา ร่วมพิสูจน์ ตายแล้วฟื้น จริงหรือ? เมื่อ: 18 เมษายน 2553 17:08:02

 
 
ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติที่ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม แต่เรื่องเกี่ยวกับความตายที่คนทุกชาติศาสนา พยายามค้นหาคำตอบมาทุกยุคทุกสมัยก็คือ ตายแล้วไปไหน ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไร รวมทั้งเรื่องตายแล้วฟื้นเป็นจริงหรือไม่
       
       • งานวิจัยประสบการณ์เฉียดตาย ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก
       
       ล่าสุด ได้มีการแถลงเปิดตัวการวิจัยเรื่อง “การตระหนักรู้ในระหว่างฟื้นคืนชีพ” ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก ในการประชุมสัมมนานานาชาติ ซึ่งจัดขึ้นที่ องค์การสหประชาชาติ (U.N.) เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2008
       
       ดร.แซม พาร์เนีย แพทย์ประจำห้องไอ ซี ยู แห่งศูนย์การแพทย์วีลล์ คอร์เนลล์ ในนครนิวยอร์ก ผู้เชี่ยว ชาญชั้นนำระดับโลกที่ศึกษาภาวะจิตมนุษย์และการมีสติในห้วงเวลาแห่งความตาย รู้สึกว่า จากประสบการณ์ทำงานในแต่ละวัน หลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ถูกนำมาใช้วิเคราะห์ประเด็นประสบการณ์เฉียดตาย หรือตายแล้วฟื้น อย่างเหมาะสม
       
       ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้ร่วมกับดร.ปีเตอร์ เฟนวิค, ศาสตราจารย์สตีเฟน โฮลเกต และโรเบิร์ต เพเวเลอร์ จากโครงการวิจัยการมีสติรู้ตัวของมนุษย์ มหาวิทยาลัยเซาท์แธมตัน ทำโครงการวิจัยที่มีชื่อว่า “AWARE” ย่อมาจาก AWAreness during REsuscitation หรือ “การตระหนักรู้ในระหว่างฟื้นคืนชีพ” ซึ่งเป็นการวิจัยครั้ง สำคัญครั้งแรก ที่มีการศึกษาด้านชีววิทยาของประสบการณ์ “วิญญาณออกจากร่าง” โดยจะใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ปี
       
       ดร.พาร์เนียเล่าว่า ก่อนหน้านี้ ได้มีโครงการนำร่องที่ศึกษาในโรงพยาบาลหลายแห่งในอังกฤษที่ถูกคัดเลือกเข้าร่วมการวิจัยเป็นเวลา 18 เดือน และได้รับความสำเร็จ จึงเริ่มขยายผล โดยการวิจัยครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากศูนย์การแพทย์ชั้นนำ 25 แห่ง ทั้งในยุโรป แคนาดา และสหรัฐอเมริกา เพื่อศึกษาเรื่องสมองของมนุษย์ การมีสติรู้ตัว และการตายตามความหมายแพทย์ โดยจะศึกษาผู้รอดชีวิตราว 1,500 คนจากอาการหัวใจวาย
       
       • เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราตายลง

       
       “มันตรงข้ามกับความเข้าใจทั่วๆไป” ดร.พาร์เนีย อธิบาย “ความตายไม่ใช่เรื่องชั่วขณะ มันเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อหัวใจหยุดเต้น ปอดหยุดทำงาน และสมองหยุดสั่งการ ภาวะเช่นนี้ ทางแพทย์เรียกว่า หัวใจวาย ซึ่งถ้ามองในแง่ชีววิทยา ก็มีความหมายตรงกับการตายในทางการแพทย์”
       
       “เมื่อหัวใจวาย อาการทั้ง 3 อย่างจะปรากฏขึ้น และเมื่อคนไข้ได้รับการช่วยเหลือปั๊มห้วใจให้กลับมาเต้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งช่วงเวลานั้นอาจกินเวลาไม่กี่วินาทีหรืออาจถึงชั่วโมงหรือมากกว่า ประสบการณ์ที่คนไข้ได้พบเจอในขณะหัวใจวาย ทำให้เราเข้าใจภาพที่เด่นชัดของสภาวะเฉียดตายได้มากขึ้น”
       
       โดยมีรายงานการวิจัยหลายฉบับ ซึ่งจัดทำโดยทีมนักวิจัยอิสระระบุว่า ราว 10-20 เปอร์เซ็นต์ของคนที่หัวใจวายและถือว่าเสียชีวิตแล้วในทางการแพทย์ แต่ถูกช่วยให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ บอกว่าพวกเขาเห็นแสงสว่างจ้าสีขาวที่ปลายอุโมงค์ คิดได้ตามขั้นตอน มีเหตุผล ความจำ และบางครั้งสามารถบอกรายละเอียดเหตุการณ์ที่พวกเขาเผชิญในภาวะเฉียดตายได้ด้วย
       
       • ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์

       
       ดังนั้น เพื่อเป็นการทดสอบในเรื่องนี้ นักวิจัยได้จัดทำชั้นวางของพิเศษขึ้นในบริเวณที่คนไข้ฟื้นคืนชีพ โดยวางรูปภาพต่างๆบนชั้น ซึ่งจะต้องมองลงมาจากเพดานห้องเท่านั้นถึงจะเห็นรูปภาพ
       
       ดร.พาร์เนีย ผู้นำทีมวิจัยกล่าวว่า “ถ้าคุณสามารถสาธิตให้เห็นว่า การมีสติรู้ตัวยังคงดำเนินต่อไปหลังจากสมองหยุดสั่งการ แสดงว่ามีความเป็นไปได้ที่การมีสติรู้ตัวเป็นคนละส่วนกับสมอง
       
       เราจะไม่ค่อยพบกรณีดังกล่าว แต่เราก็ต้องเปิดใจยอมรับความเป็นไปได้ และถ้าไม่มีคนไข้รายใดรายงานว่าเห็นรูปภาพบนชั้น นั่นแสดงว่า ประสบการณ์วิญญาณออกจากร่างเป็นเพียงภาพลวงตาหรือความทรงจำผิดๆ และนี่ก็คือปริศนาที่ตอนนี้เราสามารถใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้”
       
       • ศึกษาสมองและการรู้สึกตัว เพื่อหาคำตอบ
       
       ทั้งนี้ ในการวิจัย AWARE แพทย์จะใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยศึกษาสมองและการรู้สึกตัวของคนไข้ที่อยู่ในอาการหัวใจวาย และขณะเดียวกันก็จะทดสอบความถูกต้องของประสบการณ์ “วิญญาณออกจากร่าง” และข้ออ้าง ที่ว่าสามารถ“เห็น” และ “ได้ยิน” ในช่วงเวลานั้นด้วย
       
       โดยทีมนักวิจัยต้องการค้นหาคำตอบว่า เกิดอะไรขึ้นกับสมอง เมื่อร่างกายเริ่มหยุดทำงาน และเป็นไปได้แค่ไหนที่คนจะเห็นและได้ยินในภาวะใกล้ตาย และเกิดอะไรขึ้น ในช่วงที่วิญญาณออกจากร่าง
       
       การศึกษา AWARE จะใช้วิธีการของ BRAIN-1( Brain Resuscitation Advancement International Network -1) ร่วมด้วย โดยทีมนักวิจัยจะให้คนไข้ที่มีอาการหัวใจวาย ทำชุดแบบทดสอบทางจิตวิทยาหลายๆชุด ขณะเดียวกัน ก็เฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของสมองไปด้วย เพื่อค้นหาวิธีการในการปรับปรุงการรักษาคนไข้ทั้งด้านยาและจิตใจ
       
       Time Magazine นิตยสารชื่อดังของอเมริกา ได้สัมภาษณ์ ดร.แซม พาร์เนีย เกี่ยวกับที่มาของโครงการวิจัยนี้ ข้อสงสัย และความแตกต่างระหว่างจิตและสมอง ดังนี้
       
       • โครงการจะใช้วิธีการอะไรพิสูจน์คำกล่าวอ้างของคนที่มีประสบการณ์เฉียดตาย หรือตายแล้วฟื้น ว่าเป็นจริง
       
       เมื่อหัวใจของคุณหยุดเต้น ไม่มีเลือดเข้าไปเลี้ยงสมอง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ในราว 10 วินาที สมองจะหยุดสั่งการ คุณพอจะนึกภาพ ออกนะ แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ ราว 10% หรือ 20% ของคนที่ถูกช่วยให้ฟื้นจากห้วงเวลานั้น ซึ่งอาจจะกินเวลาเพียงไม่กี่นาทีหรือมากกว่าชั่วโมง มักบอกว่า พวกเขารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
       
       ฉะนั้น สิ่งสำคัญก็คือ มันเป็นความจริง หรือว่าเป็นเพียงภาพมายา และหนทางเดียวที่จะบอกได้ก็คือ ต้องมอง มาจากเพดานห้องที่เดียว จะเป็นที่อื่นไปไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาอ้างว่า มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างจากบนเพดานห้อง ดังนั้น ถ้าเราดูจากกลุ่มคน 200-300 คน ซึ่งทางการแพทย์ถือว่าเสียชีวิตแล้ว แต่ฟื้นคืนชีพในเวลาต่อมา และสามารถบอกได้ว่า เห็นพวกเรากำลังทำอะไรได้อย่างถูกต้อง นั่นแสดงว่า พวกเขายังมีสติรู้ตัว แม้ว่าสมองจะหยุด ทำงานแล้วก็ตาม
       
       • โครงการนี้สอดคล้องกับนิยามความตายของสังคมอย่างไร
       
       โดยทั่วไป คนมักเข้าใจว่าความตายเป็นเรื่องชั่วครู่ กล่าวคือ คุณไม่ตายก็ยังมีชีวิต ถือเป็นนิยามของสังคม แต่ในทางการแพทย์ เมื่อหัวใจหยุดเต้น ปอดหยุดทำงาน สิ่งที่ตามมาคือ สมองหยุดทำงาน เมื่อแพทย์ส่องไฟฉายที่รูม่านตาของคนไข้ เพื่อตรวจดูว่ามีปฏิกิริยาโต้ตอบหรือไม่ เนื่องจากมันถูกควบคุมโดยก้านสมอง ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เรามีชีวิต ถ้าไม่มีการตอบสนอง แสดงว่า สมองไม่ทำงาน ณ ตรงนั้น ผมจะรับรองว่า คนไข้เสียชีวิตแล้ว ถ้าเป็นเมื่อ 50 ปีที่แล้ว คนไข้จะไม่รอดหลังจากนั้น
       
       • เทคโนโลยีอันทันสมัยท้าทายแนวคิดที่ว่า ความตายเป็นเรื่องชั่วครู่ ได้อย่างไร
       
       ปัจจุบัน เรามีเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยให้คนไข้ ฟื้นกลับมาใหม่ได้ จริงๆ แล้ว ขณะนี้มีการพัฒนายาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะได้ผลหรือไม่ ซึ่งถ้าทำได้ มันอาจช่วยชะลอขบวนการที่เซลล์สมองเสื่อมสลาย และตายได้ ลองนึกดู ถ้าใน 10 ปีข้างหน้า คุณให้คนไข้ ที่หัวใจเพิ่งหยุดเต้น รับยามหัศจรรย์นี้เข้าไปในร่างกาย ซึ่งมันจะไปทำให้ทุกอย่างช้าลง ขบวนการที่เคยเกิดหลังจากหัวใจหยุดเต้นเกิน 1 ชม. ตอนนี้ก็จะกลายเป็นเกิน 2 วัน แต่ขณะที่การแพทย์เจริญก้าวหน้า ท้ายที่สุด ก็จะมีคำถามทางศีลธรรมจำนวนมากตามมา ซึ่งเราต้องคำนึงด้วย
       
       ว่าแต่อะไรจะเกิดขึ้นกับคนคนหนึ่งในห้วงเวลานั้น สงสัยใช่มั้ยว่าจะเป็นยังไง? เมื่อโลหิตหยุดไหลเวียนเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกาย ก็พยายามหาทางรอด และภายในราวๆ 5 นาที มันก็จะเริ่มเสื่อมสลาย อีก 1 ชม.ต่อมาเซลล์จะหมดสภาพ แม้ว่าจะพยายามปั๊มหัวใจและโลหิต คนคนนั้นก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อไปได้ เนื่องจากเซลล์ต่างๆในร่างกายเสื่อมสลายลงมาก และยังสลายลงเรื่อยๆ จนภายใน 2 วัน ร่างกายก็เริ่มเน่าเปื่อย
       
       ดังนั้น มันไม่ใช่เพียงชั่วครู่ แต่มันเป็นขบวนการที่เริ่มต้นจริงๆ เมื่อหัวใจหยุดเต้น ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดสูงสุดที่เซลล์ทุกส่วนเน่าเปื่อยจนไม่เหลือร่าง
       
       อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด สิ่งที่เราอยากรู้ก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นกับจิตของคนคนนั้น? อะไรจะเกิดขึ้นกับความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ในห้วงเวลาแห่งความตาย? มันจะหยุดทันทีเมื่อหัวใจหยุดเต้นหรือไม่? มันจะหยุดภายใน 2 วินาทีแรก หรือ 2 นาทีแรก? เป็นเพราะเรารู้ว่า เซลล์จะเสื่อมสลายลงเรื่อยๆ ดังนั้น ความรู้สึกนึกคิดจะหยุดหลังจาก 10 นาทีให้หลัง 30 นาที หรือ 1 ชม.ต่อมา หรือเปล่า? ณ จุดนั้น เราไม่ทราบจริงๆ
       
       • ครั้งแรกที่ได้คุยกับคนที่มีประสบการณ์ ‘วิญญาณออกจากร่าง’ คุณรู้สึกอย่างไร

       
       รู้สึกทึ่ง เพราะสิ่งที่คุณเห็นก็คือ พวกเขาเป็นเพียงปุถุชนธรรมดาที่ไม่ต้องการชื่อเสียงหรืออยากดัง มีหลายคนที่ไม่เคยเล่าเรื่องดังกล่าวให้ใครฟัง เพราะเกรงว่าจะถูกมองไปในทางไม่ดี ผมเริ่มศึกษาด้านนี้เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ได้สัมภาษณ์คนที่มีประสบการณ์ ‘วิญญาณออกจากร่าง’ ราว 500 คน สิ่งที่พวกเขาบรรยาย ช่างมีความสอดคล้อง คงเส้นคงวา ผมมีโอกาสได้คุยกับบรรดาแพทย์และพยาบาลที่อยู่กับคนไข้ในช่วงเวลานั้น ทุกคนพากันบอกว่า คนไข้เหล่านี้ได้เล่าเรื่องตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในขณะนั้น ซึ่งก็อธิบายไม่ได้ว่า คนไข้รู้ได้อย่างไร
       
       ผมยังเคยนำเรื่องของคนไข้บางคน เขียนลงในงานเขียนหนังสือของผมที่ชื่อ “What Happens When We Die” เพราะต้องการให้ผู้อ่านได้เห็นมุมมองทั้ง 2 ด้าน ไม่ ใช่จากคนไข้ด้านเดียว แต่มีมุมมองของแพทย์ด้วย เพื่อจะได้รู้ว่า แพทย์รู้สึกเช่นไร เมื่อคนไข้ฟื้นขึ้นมาและเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นได้ถูกต้อง
       
       มีแพทย์ทางด้านหัวใจและหลอดเลือดคนหนึ่งที่ผมคุยด้วยบอกว่า ไม่เคยเล่าเรื่องดังกล่าวให้ใครฟัง เพราะไม่สามารถอธิบายได้ว่า คนไข้บอกรายละเอียดถึงสิ่งที่เขาพูดและทำได้อย่างไร จนเขารู้สึกหวาดกลัว กระทั่งไม่อยากคิดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป
       
       • ทำไมคิดว่ามีคนต่อต้านการวิจัยเรื่องทำนองนี้
       
       เป็นเพราะเรากำลังออกนอกกรอบทางวิทยาศาสตร์ และขัดแย้งกับสมมติฐานและแนวคิดที่ถูกกำหนดไว้ มีคนจำนวนมากที่ยึดติดความเชื่อที่ว่า เมื่อตายแล้ว ก็คือตาย จบเพียงแค่นั้น ความตายเป็นเรื่องชั่วขณะ ถ้าไม่ตาย ก็ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งเหล่านี้ ถือว่าไร้เหตุผลตามหลักทางวิทยาศาสตร์ แต่มันเป็นแนวคิดของสังคม
       
       ถ้าคุณมองย้อนกลับไปในปลายศตวรรษที่ 19 บรรดานักฟิสิกส์ในเวลานั้น ต่างใช้กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน ตอบคำถามทุกเรื่องในจักรวาล กฎฟิสิกส์ของนิวตันสามารถอธิบายได้เกือบจะทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องและอยู่รอบๆตัวเรา แต่เมื่อมีการค้นพบว่า ถ้าเรามองดูการเคลื่อนที่ในระดับที่เล็กมาก เล็กกว่าระดับอะตอมแล้วละก็ กฎของนิวตันใช้ไม่ได้ จึงเป็นที่มาของฟิสิกส์แขนงใหม่ที่เรียกว่า กลศาสตร์ควอนตัม ทำให้เกิดการถกเถียงกันมากในเรื่องนี้
       
       ลองมาดูด้านจิต การมีสติ และสมองของมนุษย์กันบ้าง สมมติฐานที่ว่า จิตและสมองเป็นเรื่องเดียวกันนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องเกือบทุกกรณี เพราะราว 99% ของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เราไม่สามารถแยกจิตและสมองออกจากกันได้ เพราะมันทำงานไปพร้อมๆกัน แต่ก็มีหลายกรณีตัวอย่างที่ไม่ธรรมดา เช่น เมื่อสมองหยุดทำงาน เราจะเห็นได้ว่า สมมติฐานข้างต้น ดูจะไม่เป็นจริงเสมอไป ดังนั้น เราจำเป็นต้องค้นหาวิทยาศาสตร์แขนงใหม่เพื่อสนอง ตอบเฉกเช่นเดียวกับการเกิดกลศาสตร์ควอนตัมนั่นเอง
       
       ดังนั้น การวิจัยครั้งนี้ของเราซึ่งนับเป็นครั้งแรก เรามีเทคโนโลยีและวิธีการมากมายที่จะช่วยตรวจสอบหาความจริงในเรื่องประสบการณ์ “วิญญาณออกจากร่าง” เพื่อดูว่า เกิดอะไรขึ้น เมื่อเราตายลง มีบางอย่างยังคงดำเนินต่อไปหรือเปล่า นั่นเป็นเรื่องที่น่าค้นหา มิใช่หรือ
       
       ดาราดัง กับประสบการณ์ตายแล้วฟื้น
       
       เอลิซาเบ็ธ เทย์เลอร์
ดาวค้างฟ้าแห่งโลกมายาฮอลลีวู้ด วัย 78 ปี ได้เคยพูดถึงประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของเธอในรายการ Larry King Live ซึ่งออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ข่าว CNN ของสหรัฐอเมริกา โดยลิซเล่าว่า
       
       ขณะนั้นได้เข้ารับการผ่าตัดและอยู่ในภาวะตายแล้วในทางการแพทย์เป็นเวลา 5 นาที เธอได้เดินไปตามอุโมงค์ ที่มีแสงสีขาวสว่างจ้าอยู่ข้างหน้า และได้พบวิญญาณของอดีตสามีซึ่งเธอรักมาก ‘ไมเคิล ทอดด์’ ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในปี 1958
       
       ดาราดังเล่าต่อไปว่า เธอต้องการที่จะอยู่กับเขา แต่ไมเคิลบอกว่า เธอยังมีงานและชีวิตที่ดีรออยู่ข้างหน้า และเขาก็ผลักเธอเข้าร่าง ทีมแพทย์ทั้ง 11 คน ซึ่งมีทั้งหมอและพยาบาล ฯลฯ ได้ช่วยกู้ชีพให้เธอฟื้นขึ้นมาได้อีกครั้ง พวกเขาต่างเป็นพยานในเรื่องนี้
       
       “จริงๆแล้ว ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เลย เพราะเป็นเรื่องเดิมๆ เรื่องนี้เกิดเมื่อปลายยุคปี 50 และฉันได้เจอไมค์ด้วย ตอนนั้นมีคนอยู่ในห้อง 11 คน ฉันตายไปราว 5 นาที พวกทีมแพทย์ระบุว่าฉันเสียชีวิตแล้ว และแขวนป้าย “เสียชีวิต” ไว้บนผนังห้อง ฉันเล่าเรื่องนี้ให้คนที่อยู่ห้องข้างๆและกลุ่มเพื่อนๆฟัง และแล้วฉันก็คิดได้ว่า มันดูเป็นเรื่องประหลาด ฉันไม่ควรเล่าให้ใครฟังอีก
       
       นานแล้วที่ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ และทุกครั้งที่ต้องพูด จะรู้สึกลำบากใจ แต่ฉันก็เล่าประสบการณ์นี้ให้คนที่ติดเชื้อเอดส์ฟัง ฉันไม่ได้กลัวตายหรอก เพราะฉันเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว”
       
       โดยคำให้สัมภาษณ์ของลิซในแมกกาซีน America’s AIDS เธอได้บรรยายถึงประสบการณ์เฉียดตายว่า “ฉันเดินไปตามอุโมงค์ เห็นแสงสีขาวและไมค์ ฉันพูดขึ้นว่า โอ..ไมค์ ฉันอยากไปอยู่กับคุณด้วย และเขาก็พูดว่า ... ไม่ได้ที่รัก คุณต้องหันหลังกลับไปที่เดิม เพราะมีเรื่องสำคัญมากรอคุณอยู่ คุณต้องสู้นะ อย่ายอมแพ้ ...ด้วยพลังความเข็มแข็งและความรักของไมค์ที่มีต่อฉัน ทำให้ฉันฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง”
       
       “พวกทีมแพทย์ระบุว่า ฉันเสียชีวิตแล้ว”[/I]
       
       เจน ซีมัวร์ วัย 59 ปี ดาราหญิงฮอลลีวูดที่มีชื่อเสียงจากภาพยนตร์คลาสสิคเรื่อง ‘Somewhere in Time’ ซึ่งแสดงคู่กับคริสโตเฟอร์ รีฟส์ (อดีตพระเอกซูเปอร์แมนผู้ล่วงลับ) ได้เล่าถึงประสบการณ์ตายแล้วฟื้นว่า
       
       ตอนอายุ 36 ปี เธอป่วยหนัก เป็นไข้หวัดใหญ่ และหมอได้ฉีดยาเพนนิซิลินให้ 1 เข็ม เธอมีอาการแพ้ยา ซึ่งนำไปสู่ภาวะเฉียดตาย
       
       “ฉันได้ออกจากร่างมาจริงๆ และรู้สึกว่าเห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียง โดยมีกลุ่มคนรายล้อมอยู่รอบๆ ฉันจำได้ว่า พวกเขากำลังพยายามทำให้ฉันฟื้นคืนชีพ ขณะนั้นตัวฉันลอยอยู่ตรงมุมห้อง และมองลงมา ฉันเห็นพวกเขาแทงเข็มเข้าไปในร่างกายของฉัน พยายามกดตัวฉันลง ทำโน่นนี่
       
       ฉันจำได้ว่าเห็นภาพเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตผุดเข้ามา เป็นระยะๆ แต่ไม่ใช่ตอนได้รับรางวัลเอ็มมี่หรืออะไรทำนองนั้น สิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดในตอนนั้นก็คือ ฉันยังไม่อยากตาย เพราะเป็นห่วงลูกๆ ไม่ต้องการให้คนอื่นมาเลี้ยงดูพวกเขาแทนตัวฉัน

       
       ในขณะที่ตัวยังลอยอยู่ ฉันคิดว่า “ไม่ ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังไม่พร้อมที่จะทิ้งลูกๆไป” ฉันจึงพูดกับพระผู้เป็นเจ้าว่า “ถ้าพระองค์อยู่ตรงนี้ พระเจ้า..ถ้าพระองค์มีตัวตนจริง และฉันรอดตาย ฉันสัญญาว่าจะเชื่อมั่นในพระองค์”
       
       และแม้ว่าฉันจะเชื่อว่าตัวเองได้ตายไปราว 30 วินาทีก็ตาม แต่ฉันก็ยังจำได้ว่า ได้ร้องให้หมอช่วยชีวิต เพราะฉันตั้งใจแน่วแน่ว่า จะต้องมีชีวิตอยู่”
       
       ที่สุดดาราสาวก็ได้กลับเข้าร่าง และฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง
       
       “ฉันได้ออกจากร่างมาจริงๆ และรู้สึกว่า เห็นตัวเองนอนอยู่บนเตียง”[/I]
       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 112 มีนาคม 2553 โดย บุญสิตา)

http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9530000029623
4635  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / การกลับชาติมาเกิด ในมุมมองวิทยาศาสตร์(เชื่อถือได้) เมื่อ: 18 เมษายน 2553 17:02:26

 
เรื่องนี้เก็บความมาจาก บทความเรื่อง Past Life Regression Therapy Research - PureInsight Net
ซึ่งกล่าวว่า ความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดนี้ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง มาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะในซีกโลกตะวันออก
ต่อมาในทศวรรษหลังๆ ความเชื่อนี้ค่อยๆลดน้อยลง เนื่องมาจากความศรัทธาต่อศาสนาที่เสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว
และถูกแทนที่ด้วย แนวคิดทางวิทยาศาสตร์วัตถุนิยม คู่แฝดมากับลัทธิบริโภคนิยม ที่ขยายตัวอย่างสูงสุดในปัจจุบัน
คนจำนวนมากมองศาสนาเป็นเพียงวัฒนธรรมรูปแบบ ที่มีพิธีกรรมต่างๆ อันยุ่งยาก พ้นสมัย ในโลกตะวันตกถึงกับปฏิเสธ
เรื่องการกลับชาติมาเกิดโดยสิ้นเชิง มานานแล้ว และได้ลามปามมาถึงฝั่งตะวันออก
จนกลายเป็นแนวคิดหลักไปแล้วในขณะนี้ คนเฒ่าคนแก่ที่เคยเชื่อเรื่องดังกล่าว ก็ชักไม่แน่ใจในความเชื่อนี้เช่นกัน
 
แต่แล้ว จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ก็ปรากฏขึ้น ในโลกวิทยาศาสตร์เอง
เมื่อปรากฏว่า หลายปีมานี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งในอเมริกา และยุโรป กำลังทำการค้นคว้าวิจัยทางการแพทย์อย่างขมักเขม่น
เกี่ยวกับเรื่องการกลับชาติมาเกิด เช่น ม.พริ๊นซตั้น และ ม.เวอร์จิเนีย ของอเมริกา ,ม.เอดินเบริก ในสหราชอาณาจักร,
ม.แอมสเตอร์ดัม ของเนเธอร์แลนด์, ม.ฟรายเบอร์กใน เยอรมันนี เป็นต้น
มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อย ที่ได้ปริญญาเอก
จากงานวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนึ้และงานวิจัยเชิงวิชาการด้านจิตเวชศาส
ตร์
ได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง งานวิจัยเหล่านี้ได้พิสูจน์อย่างเด่นชัด ว่า
การกลับชาติมาเกิด ไม่ใช่นิยายลึกลับ หากแต่เป็นสถานภาพที่แท้จริง แห่งการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์
 
ตัวอย่างหนึ่งของนักวิจัยเรื่องนี้ได้แก่ ดร.เอียน สตีเวนสัน แห่งแผนก การศึกษาด้านบุคลิกภาพ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ม.เวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา
โดยท่านได้เดินทางไปในที่ต่างๆทั่วโลก เป็นเวลาถึง 37 ปีเพื่อไปทำการสังเกตุ บันทึก รวบรวม
ทดสอบและแยกแยะผู้คนต่างๆที่ได้พบ ซึ่งส่วนมากเป็นเด็ก ที่ระลึกชีวิตในอดีตได้
และมีรอยตำหนิแต่แรกเกิด ( birth marks ) หรือ ความผิดปกติแต่แรกเกิด ( birth defects )
ซึ่งสอดคล้องกับ รอยแผลที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต ของผู้ที่เด็กจำได้ จากการระลึกชาติของตน
ปัจจุบัน ดร.เอียน สตีเวนสัน อายุ 80 กว่าแล้ว ข้อมูลที่ท่านได้เก็บบันทึกไว้มีนับพันๆ ราย
ที่เป็นของเด็กอายุระหว่าง 2 ถึง 7 ปี ที่อาศัยอยู่ใน ตะวันออกกลาง ,ยุโรป ,เอเชีย และอเมริกา ซึ่งน่าแปลกที่ว่า
ความสามารถระลึกชาติได้ของเด็กเหล่านี้ จะค่อยๆลดน้อยลงเมื่ออายุประมาณ 7 ปีขึ้นไป.
เด็กเหล่านี้จะพูดขึ้นมาเองถึงชีวิตในชาติก่อนของตน และต้องการจะกลับบ้านเดิมของตน คิดถึงแม่ หรือสามี ในชาติก่อน
และมักจะแสดงออกซึ่งความหวาดกลัวอย่างรุนแรง( phobia ) ที่ผิดปกติในสภาพแวดล้อมของครอบครัว
ปัจจุบัน หรือไม่อาจอธิบายได้จากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านี้พวกเขายังรู้จักสิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยได้เรียนรู้หรือได้ฟังมาก่อน
ในชีวิตนี้ ที่น่าแปลกอีกก็คือ คำบอกเล่าของเด็กเหล่านี้สามารถแสดงถึงความเกี่ยวข้อง กับ ชีวิตจริงหรือ
เหตุการณ์ความตาย ได้ในหลายกรณี ดร.สตีเวนสัน เขียนไว้ว่า “ บ่อยครั้ง เด็กเหล่านี้ได้พูดถึง คน
และเหตุการณ์ต่างๆ ในชาติก่อน ซึ่งไม่ใช่ชีวิตที่ไม่เป็นที่รู้จักในศตวรรษก่อนๆ แต่เป็นชีวิตที่เจาะจง
เป็นตัวตนที่สามารถชี้ชัดออกมาได้ ทว่าเป็นผู้ซึ่งไม่เคยเป็นที่รู้จักของคนในครอบครัวเด็กเองโดยสิ้นเชิง
และเป็นผู้คนที่อยู่ต่างถิ่น ต่างแดน หรือในประเทศอื่นๆ และที่แปลกมากๆคือ เด็กๆเหล่านี้สามารถพูดภาษาอื่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนได้ “
แต่ละเหตุการณ์ได้ถูกบันทึกไว้อย่างระมัดระวัง ถูกตรวจสอบและค้นคว้า อย่างรอบคอบเป็นพิเศษ
โดยคณะกรรมการของดร.สตีเวนสัน ท่านเองได้ตีพิมพ์หนังสือออกมาจำนวนหนึ่ง ที่เขียนถึงบันทึกการค้นพบที่น่าแปลกใจ เหล่านี้
เช่นหนังสือชื่อ “ เด็กๆผู้สามารถจดจำชีวิตแต่ปางก่อน – คำถามเกี่ยวกับการระลึกชาติ”,หนังสือ “ การระลึกชาติและชีววิทยา” เป็นต้น
ในหนังสือเรื่อง “ รอยตำหนิแรกเกิด “ ท่านมีรายงานถึง 200 กว่าราย
ซึ่งเด็กเหล่านี้ได้อธิบายในรายละเอียดเกี่ยวกับการตายในชาติก่อน เช่นว่า ถูกยิง หรือถูกแทง ด้วยของมีคม
ซึ่งตำแหน่งที่ถูกยิงหรือแทงนี้ ตรงกับรอยตำหนิแรกเกิดของพวกเขา และดร.สตีเวนสัน
ก็สามารถพบรายงานทางการแพทย์หลังคลอด ที่เกี่ยวข้อง กันนี้ ของเด็กๆ ที่สามารถยืนยัน คำพูดของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ
 
 
ยังมีงานวิจัยอีกแบบหนึ่ง เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด โดยวิธีการสะกดจิตโดยนักจิตวิทยา เพื่อให้ผู้ถูกสะกด
ฟื้นคืนความทรงจำในชาติก่อน อันที่จริง การสะกดจิตโดยตัวมันเอง ไม่ได้อธิบายกระบวนการ ฟื้นความจำในชาติก่อน
หากแต่เป็นเพราะ เทคนิกที่เรียกว่า Past Life Regression Therapy { PRL }หมายถึง
การรักษาโดยการฟื้นความทรงจำย้อนกลับไปยัง อดีตชาติ ผู้ที่อยู่ภายใต้การรักษาแบบนี้ไม่ได้หลับไป
และคลื่นสมองก็มีลักษณะแตกต่างจากสภาวะหลับ นอกจากนี้โดยอาศัยการพิจารณาลักษณะคลื่นสมอง
นักจิตวิทยาบางคนจะสามารถชักนำให้ผู้ถูกสะกดเข้าสู่ภาวะการรู้สึกตัวในระดับต่างๆกัน
ได้ดีกว่าการสะกดจิตแบบเดิมๆ ซึ่งในสภาวะเช่นนี้
จะเหมือนกับสภาวะของการทำสมาธิของผู้ปฏิบัติธรรมแบบพุทธ หรือ เต๋า เราทราบกันดีว่า ภายใต้สภาวะการรวบรวมสมาธิ
ผู้ถูกสะกดจะสามารถสัมผัสได้ถึงสมาธิระดับลึก ทำให้เขาสามารถรับรู้ประสบการณ์ในอดีตได้ ในขณะที่ยังมีสติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน
พวกเขายังสามารถจำอดีตชาติในหลายศตวรรษก่อน อย่างไรก็ดีเราอยากจะตั้งข้อสังเกตว่า PRL
เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมากในหมู่นักวิชาการมีทั้งยอมรับ และคัดค้าน David Quigley กล่าวว่า
สำหรับเรื่องนี้เขาพบข้อมูลจำนวนมหาศาล ในแวดวงของเขาและในงานทดลองวิจัยเรื่องนี้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ว่า
ในเขตแดนความทรงจำของอดีตชาติ นี้มีพื้นฐานอยู่บนประวัติบุคคลและเหตุการณ์ ที่มีอยุ่จริงในประวัติศาสตร์
 
เขายังได้อ้างถึง งานสัมมนาวิจัยระหว่าง Helen Wambach , Marge Rieden และ
Ian Stevenson( การศึกษา กรณีการระลึกชาติ 30 ราย ) เขากล่าวต่อไปว่า ผู้ซึ่งยังคงปฏิเสธเรื่อง
นี้อาจคิดว่าตนเองคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์กว่า แต่จริงๆแล้ว พวกเขากำลังติดกับดัก ของหลักการที่ไร้เหตุผล
ซึ่งเทียบได้กับความเชื่อของเหล่านักปราช_์ใน ศตวรรษที่ 16ซึ่งยึดถืออย่างเหนียวแน่นในความเชื่อที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาล
 
Dr.Brian Weiss สำเร็จการศึกษาด้านจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัย โคลัมเบีย และมหาวิทยาลัยเยล
เป็นประธานของภาควิชาจิตเวชศาสตร์ ที่ศูนย์การแพทย์ Mount Sinai ในไมอามี่
ท่านเป็นนักวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านการใช้เทคนิก PRL หลังจากที่ท่านจบการศึกษาที่เยล ก็ไปเป็นผู้บรรยายที่ มหาวิทยาลัย พิทสเบริก
และมหาวิทยาลัยไมอามี่ เมี่อท่านอายุได้ 80 ปี ท่านได้ตีพิมพ์หนังสือวิชาการกว่า 40 เล่ม
เดิมทีในฐานะที่เป็นนักวิชาการจากระบบการศึกษาแบบเก่า ท่านไม่ได้สนใจเกี่ยวกับ Parapsychology ( จิตวิทยาเปรียบเทียบ )
ท่านไม่มีความรู้และความสนใจแม้แต่น้อย ในเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่หนังสือเล่มหนึ่งของท่าน ชื่อ Many Lives ,
Many Masters สามารถขายได้ 2 ล้านเล่ม และได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆกว่า 20 ภาษา
บทคัดย่อของหนังสือเล่มมีความว่า “ จิตเวชศาสตร์และอภิปรัช_า กลืนกลายเข้าด้วยกันใน.........ผู้ที่ครั้งหนึ่ง
เคยยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นใน วิธีการทางคลินิกด้านจิตเวชศาสตร์ จะพบว่าตนเองลังเลที่จะยอมรับการรักษาแบบย้อนอดีตชาติ
พลันเมื่อผู้ที่ถูกเขาสะกดจิต ได้เปิดเผยเรื่องราวในอดีตชาติของเขาออกมา
 
Dr.Weiss บรรยายในหนังสือ Many Lives, Many Masters เกี่ยวกับประวัติของคนไข้คนหนึ่งของเขา คือ
แคทเธอลีน อายุราว 30 ปีในขณะนั้น เธอเข้ามาพบเขาที่คลินิกด้วยอาการเฉียบพลัน จากการถูกความกลัวและความวิตกกังวล
อย่างรุนแรง จู่โจม เขาได้ให้การรักษาทางจิตเวชแบบเดิมแก่เธอ นาน 1 ปี แต่ก็ไร้ผล เธอเป็นคนใจแคบและปฏิเสธการใช้ยาใดๆ
แต่สุดท้ายก็ยอมรับการรักษาด้วยการสะกดจิต โดยไม่แน่ใจนัก ดร.ไวส์รู้สึกว่า สภาพจิตของแคทเธอลีนอาจจะเกี่ยวข้องกับ
ความทรงจำที่เก็บกดไว้ตั้งแต่ช่วงวัยเด็กของเธอ เขาเชื่อว่าหากเธอสามารถฟื้นความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตได้
ภายใต้การสะกดจิต ปั_หาก็จะแก้ตกไปได้ แล้วเธอก็จะเป็นอิสระจากความทรงจำเหล่านั้น เธอจะต้องหายจากความเจ็บป่วยได้หมดแน่
แต่แม้เธอจะสามารถฟื้นความทรงจำที่ไม่ดีในวัยเด็กได้ เธอก็คงยังไม่หายป่วยอยู่ดี ดังนั้นดร.ไวส์จึงตัดสินใจให้เธอ
ระลึกย้อนความทรงจำกลับไปอีก ในช่วงก่อนวัยเด็กของเธอ ในระหว่างช่วงของการรักษาครั้งหนึ่ง
เมื่อแคทเธอลีนอยู่ในภาวะถูกสะกดจิต ดร.ไวส์พูดกับเธอว่า “ กลับไป ณ เวลาที่อาการของคุณเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก “
ดร.ไวส์มิได้คาดหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แคทเธอลีนพูดว่า “ ฉันมองเห็นขั้นบันไดสีขาว ทอดยาวขึ้นไปสู่อาคารที่มีเสามากมาย
ด้านหน้าของมันกว้างขวางมาก แต่ไม่มีระเบียง ฉันใส่กระโปรงยาว และเสื้อคลุมยาว ที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ ผมสีบลอนด์ของฉันถักเป็นเปีย
“ ดร.ไวส์ไม่อาจเข้าใจความหมายที่เกี่ยวข้องกัน ของเรื่องที่ได้ยินนี้ เขาจึงถามเธอว่า ตอนนั้นเป็นปีอะไร และเธอมีชื่อเรียกว่าอะไร
เธอตอบว่า “ อารันด้า อายุ 18 ปี , ตอนนั้นเป็นปี 1863 ก่อนคริสตกาล พื้นดินกันดาร ,
ร้อน และทุกแห่งเต็มไปด้วยทราย มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง แต่ไม่มีแม่น้ำ น้ำไหลมาจากภูเขาลงมาสู่หุบเขา
แคทเธอลีนได้ย้อนความทรงจำไปสู่ยุค 4000 ปีก่อนในตะวันออกกลาง ชื่อของเธอไม่ใช่แคทเธอลีน
และรูปลักษณ์ของเธอก็แตกต่างไปจากปัจจุบัน รูปหน้า ร่างกาย ทรงผม และเสื้อผ้าก็ไม่เหมือนปัจจุบัน
เธอสามารถจำภูมิประเทศที่เกี่ยวข้อง เสื้อผ้าและการแต่งตัว ตลอดจนรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน
จนกระทั่งถึงช่วงที่พบกับความตาย จากการจมน้ำ ซึ่งลูกของเธอถูกดึงออกไปจากอ้อมกอดเธอ เธอจำได้กระทั่งว่าหลังจากตายแล้ว
จิตของเธอก็ลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายนั้น ในระหว่างการรักษาครั้งนี้เธอยังสามารถระลึกชาติอื่นได้อีก 2 ชาติ
หนึ่งในสองชาตินั้นเธอเป็นโสเภณีในประเทศสเปน ยุคศตวรรษที่ 18 ส่วนอีกชาติหนึ่งเป็นห_ิงชาวกรีกในช่วงก่อนคริสตกาล
คำพูดเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์รู้สึกอึ้งไป เขารู้ดีว่าเธอไม่ได้มีอาการเหมือนพวกบุคลิกแปรปรวน หรือ แปลกแยก
และเธอก็ไม่ได้รับยาอะไร เขาพบว่าในระหว่างถูกสะกดจิตเธอ คล้ายกับฝันไป แต่สิ่งที่มีนัยสำคั_ที่สุดคือ สุขภาพของเธอดีขึ้น
ซึ่งเขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เป็นผล จากการเกิดภาพหลอน หรือ ความฝันอย่างแน่นอน
 
ในระหว่างช่วงของการติดตามผลการรักษา แคทเธอลีนยังสามารถระลึกชาติได้อีก 10 ชาติ
เธอได้ประสบกับเหตุการณ์ที่มีทั้งความกลัว และความสุข ที่มีผลควบคุมพฤติกรรมของเธอในปัจจุบันชาติ
ทำให้เธอเริ่มยอมรับ ,เข้าใจ และสุดท้ายก็สามารถเอาชนะ สิ่งต่างๆเหล่านั้นที่คอยผลักดัน พฤติกรรมที่ไม่ดีของเธอ
แล้วเธอก็สามารถเอาชนะความกลัว และได้พบกับความสงบภายใน ในระหว่างการถูกสะกดจิตเธอยังพบว่า
ผู้คนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเธอเมื่ออดีตชาติ ยังเคยเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอในอีกหลายๆชาติ
รวมทั้งในชาตินี้ด้วย
ตัวอย่างเช่น ดร.ไวส์ เคยเป็นครูของเธอ , เป็นสามีของเธอ
และเคยเป็นผู้ที่สังหารเธอในสงครามระหว่างชนเผ่า เมื่อครั้งที่เธอกลับชาติมาเกิดเป็นเด็กชายของชนเผ่าหนึ่ง
สัมพันธภาพในช่วงชีวิตนี้ก็ไม่ใช่สัมพันธภาพที่ดีอีกเช่นกัน ตรงกับสิ่งที่อาจารย์หลี่ หง จื้อ กล่าวไว้ว่า”
 
ผู้คนกลับชาติมาเกิด เป็นกลุ่มก้อน เพื่อชดใช้หนี้กรรม หรือร่วมทุกข์สุขกัน
ทว่าแตกกันไปในบทบาทและช่วงวัย และก็ต่างกันกับในชาติก่อนๆด้วย “
 
สิ่งที่ดร.ไวส์ได้ยินได้ฟังจากแคทเธอลีน ในระหว่างการรักษาแบบ PRL นั้นยังมีเรื่องความลี้ลับของชีวิตมนุษย์ด้วย เช่น
แคทเธอลีนจำได้ว่า ในขณะเมื่อพบกับความตาย จิตของเธอจะลอยออกมาอยู่เหนือร่างกายเธอเสมอ
แล้วก็ถูกเรียกกลับไปสู่โลกของจิตวิญญาณ โดย “ แสงแห่งความเมตตา “ และในช่วงนี้เธอยังได้สัมผัสกับ “
ผู้ดูแล “ จิตวิญญาณหลายๆท่าน ซึ่งท่านเหล่านี้สามารถสื่อสารและส่งข่าวสารด้านจิตวิญญาณมายังดร.ไวส์
โดยผ่านแคทเธอลีน และในระหว่างที่อยู่ภายใต้การสะกดจิตนี้ แคทเธอลีน
ได้เรียนรู้เข้าใจสี่งต่างๆมากยิ่งกว่าในช่วงชีวิตตามปกติของเธอเสียอีก
ดร.ไวส์ เองก็ค่อยๆคลายความลังเลสงสัย ในความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตในชาติก่อนตามไปด้วย
 
ครั้งหนึ่งในช่วงPRL แคทเธอลีน จำได้ถึงความตายในชาติหนึ่งของเธอ เมื่อหลายศตวรรษก่อน
ในขณะที่จิตของเธอถูกนำไปสู่แสงสว่างแห่งความเมตตา ที่เธอคุ้นเคย นั้น
เธอก็ได้รับข่าวสารหนึ่งเพื่อส่งต่อมายัง ดร.ไวส์ ดังมีความว่า
“ บิดาของคุณกำลังอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับลูกชายของคุณ เขายังเด็กมาก บิดาคุณบอกว่าคุณน่าจะรู้จักเขา
เพราะเขาชื่อ Avrom และลูกสาวคุณก็มีชื่อตามเขา ลูกชายคุณเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ หัวใจเขามีความสำคัญมากทีเดียว
เพราะมันพลิกกลับเหมือนหัวใจไก่ เขาได้เสียสละแทนคุณอย่างมาก เพราะเขารักคุณ จิตของเขามาจากระดับชั้นสูงมาก
ความตายของเขาเป็นการชดใช้หนี้แทนบิดาของเขา เขายังอยากให้คุณรู้ว่า ยารักษาโรคทั้งหลาย
มีผลรักษาโรคได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งก็จำกัดมาก “ ข้อความเหล่านี้ทำให้ดร.ไวส์ ตกตะลึงมาก
เนื่องจากแคทเธอลีนเองไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขามาก่อนเลย รวมทั้งไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับครอบครัวของเขา
เรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตของเขาคือ ความตายเมื่อแรกเกิดของลูกชายคนแรกของเขา สภาพหัวใจของเขาอยู่ในภาวะอันตราย
เพียงแค่ 10 วันแรกที่คลอดออกมา ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้เพียงหนึ่งใน 10 ล้านเท่านั้น เขาเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 23 วัน
ส่วน บิดาของดร.ไวส์ เสียชีวิตด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน และท่านมีชื่อว่าAvrom !
หลังจากนั้นอีก 4 เดือนลูกสาวของดร.ไวส์ก็คลอดออกมา เธอมีชื่อว่า Amy ตามชื่อคุณปู่ที่ล่วงลับไป
เนื่องจากแคทเธอลีน และดร.ไวส์ ไม่ใช่คนใกล้ชิดกันมาก่อน เธอจึงไม่มีทางรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย
ทว่าสิ่งที่เธอเล่าออกมานั้นทำให้ดร.ไวส์ถึงกับผงะ ดังนั้นเขาจึงถามเธอว่า “ ใครอยู่กับคุณที่นั่น ? ใครบอกเรื่องนี้กับคุณ ? “
เธอตอบเบาๆว่า “ ท่านผู้รู้แจ้งเหล่านั้น “ ท่านผู้รู้แจ้ง บอกให้ฉันฟัง พวกเขายังบอกว่าฉันเคยมาเกิดในโลกนี้ 86 ครั้งแล้ว
 
การรักษาให้แคทเธอลีน และผลที่ได้รับ สร้างความประทับใจอย่างลึกซึ้งให้กับดร.ไวส์
 
ทำให้เขากลายมาเป็นผู้ที่เชี่อถือการรักษาแบบ PRL ดร.ไวส์และจิตแพทย์อื่นอีกหลายคนที่ให้การรักษาคนไข้ด้วยวิธีนี้
บ่อยครั้งที่ความกลัวและความเจ็บป่วย มิได้มาจากเหตุการณ์ในชาติก่อน ในการเตรียมการ
และการชักนำคนไข้เข้าสู่กระบวนการPRL เพื่อย้อนสู่อดีตชาตินั้น จะมีผลกระทบด้านบวกต่ออาการโศกเศร้าของคนไข้
ดังนั้นคนไข้จึงสามารถเข้าใจแรงผลักดันที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบพฤติกรรมของตน และสามารถแก้ไขได้อย่างสอดคล้องกัน
จิตแพทย์เหล่านี้ยังพบว่า โดยการย้อนสู่อดีตชาติ และการได้รับประสบการณ์ซ้ำ ต่อความเจ็บปวด ณ เวลานั้นอีก
ทำให้คนไข้สามารถปล่อยวาง ความเศร้าโศกและความแค้นเคืองที่สุมอยู่นานนับศตวรรษ
ภาระอันหนักอึ้งที่จิตนั้นแบกอยู่ ก็ถูกปลดออก และไม่อาจส่งผลต่อชีวิตในปัจจุบันได้อีกต่อไป
 
4 ปีหลังจากการรักษาให้แคทเธอลีน ดร.ไวส์ก็มีความกล้าพอที่จะเสี่ยงต่อ การสูญเสียสถานภาพทางวิชาการของเขา
โดยเขียนหนังสือเล่มแรกขึ้นมา เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด นั้นบอกผู้คนให้รู้เรื่องความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ
ในช่วงหลายๆปีต่อมา ดร.ไวส์ได้ให้การรักษาคนไข้อีก หลายร้อยคนด้วยวิธีย้อนอดีต
คนไข้หลายๆคนมาจากชนชั้นต่างๆกันในสังคม และมีภูมิหลังทางศาสนาที่ต่างกัน
รวมทั้งพวกที่ไม่เชื่อในพระเจ้าด้วย ดร.ไวส์ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขาได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับคนไข้เหล่านี้จำ
นวนหนึ่ง
นั่นคือหนังสือชื่อ “ Through Time into Healing “ (หรือ การหายป่วยโดยผ่านกาลเวลา )
ผู้จัดพิมพ์กล่าวว่า “ ดร.ไวส์เขียนหนังสือเล่มนี้บนพื้นฐานของประสบการณ์ทางคลีนิกอันกว้างขวางของเขา
เขาได้อาศัยเวลาในการทดลองสำหรับการรักษาทางจิตเวช ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การย้อนกาลเวลานั้น
ได้ทำให้เกิดความก้าวหน้าที่สำคัญในการรักษา ใจ กาย และจิตวิญญาณ
ในตอนท้ายของหนังสือนี้ ดร.ไวส์แสดงให้เห็นว่า ประสบการณ์ใกล้ตาย
และการที่จิตออกจากร่าง ช่วยยืนยันการมีอยู่จริงของชีวิตในอดีตชาติ
 
ที่มา http://dhammathai.50megs.com/page2.html
4636  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / รายงานพิเศษ : องค์ "ทะไล ลามะ" ใช้ทวิตเตอร์ สอนธรรมะในโลกออนไลน์ เมื่อ: 18 เมษายน 2553 16:48:47


ในยุคไอที หรือยุคข้อมูลข่าวสาร ที่เทคโนโลยี โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในสังคมเป็นอย่างมากนั้น ส่งผลให้การติดต่อสื่อสารกันของผู้คนทั่วโลกเปลี่ยนรูปแบบไป
       
       Social Network หรือเครือข่ายสังคม เป็นรูปแบบของสังคมประเภทหนึ่งที่ออนไลน์อยู่บนโลกอินเตอร์เน็ต หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าสังคมออนไลน์ บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์มีมากมาย แต่ที่นิยมในบ้านเราได้แก่ HI 5 และ Facebook โดยผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ทางอินเทอร์เน็ต สามารถพูดคุย หรือแช็ต ส่งข้อความ ส่งอีเมล วิดีโอ เพลง อัปโหลดรูป เป็นต้น
       
       แต่โซเชียล เน็ตเวิร์ก ที่กำลังฮอตฮิตอยู่ในเวลานี้ คือ ทวิตเตอร์ (Twitter) ซึ่งระยะหลังได้ถูกนำเข้ามาใช้ประโยชน์ในด้านการเมือง ทำให้เกิดกระแส ‘ทวิตเตอร์ฟีเวอร์’ และเป็นที่สนใจของประชาชนส่วนใหญ่อย่างรวดเร็ว
       
       นอกจากด้านการเมืองแล้ว ในด้านการศาสนาก็เริ่มมีการใช้ทวิตเตอร์ให้เป็นประโยชน์เช่นเดียวกัน “ลามะ สุมาติ มารุต” ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการทางจิตวิญญาณของ The Asian Classics Institute of Cape Ann ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสอนพุทธศาสนาแบบทิเบต การทำสมาธิ และโยคะ ที่ศูนย์วัชรมุทรา ได้เปิดบัญชีกับทวิตเตอร์ เพื่อใช้เครือข่ายนี้สอนวิธีฝึกจิตให้กับบรรดาสานุศิษย์หลายพันคน รวมทั้งการสอนธรรมะสั้นๆที่เกี่ยวกับความรักและความเข้าใจ ส่งตรงไปยังโทรศัพท์มือถือของเหล่าศิษย์ทุกวัน โดยผ่านบริการฟรีของทวิตเตอร์
       
       และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา องค์ทะไล ลามะ ผู้นำด้านจิตวิญญาณของทิเบต วัย 75 ปี ก็ได้มีหน้าทวิตเตอร์ของพระองค์อย่างเป็นทางการแล้ว คือ http://twitter.com/DalaiLama ทำให้พระองค์กลายเป็นผู้นำทางศาสนาที่อายุมากที่สุดในโลกที่เข้าร่วมทวิตเตอร์ และเป็นชาวพุทธในศตวรรษที่ 21 อย่างสมบูรณ์แบบ
       
       เว็บไซต์ทวิตเตอร์ได้ยืนยันความถูกต้องว่าเป็นองค์ทะไล ลามะ ที่แท้จริงที่เป็นเจ้าของเว็บเพจ โดยการออกสัญลักษณ์เป็นเครื่องหมาย (/) รับรองความถูกต้องของ เจ้าของบัญชี ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อต้นปี 2009 มีผู้ปลอมเป็นองค์ทะไล ลามะ ไปเปิดบัญชีกับทวิตเตอร์ โดยใช้ชื่อคลุมเครือว่า @OHHDL ซึ่งเพียงแค่ 1 สัปดาห์ที่เปิดตัว ก็มีผู้ติดตามเข้ามาดูถึง 16,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในบัญชีที่มีผู้ติดตามมากที่สุดเท่าที่ทวิตเตอร์เคยมีมา
       
       แต่ความจริงก็ได้ถูกเปิดเผย เมื่อกองงานขององค์ทะไล ลามะได้แจ้งไปยังบริษัททวิตเตอร์ว่า บัญชีนั้นไม่ใช่องค์จริง บริษัทฯจึงได้ทำการปิดบัญชีปลอม พร้อมกับชักชวนให้องค์ทะไล ลามะทรงเข้าร่วมทวิตเตอร์ ซึ่งพระองค์ก็แสดงความสนพระทัย จนกระทั่งเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2010 และได้พบกับ “อีวาน วิลเลียมส์” หนึ่งในผู้ก่อตั้งทวิตเตอร์์์ ซึ่งได้สนับสนุนให้ทรงมีหน้าทวิตเตอร์ของพระองค์เอง
       
       จริงๆแล้ว องค์ทะไล ลามะ ทรงชื่นชอบเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลเป็นอย่างมาก เมื่อครั้งที่ทรงพระเยาว์ ทรงซ่อมเครื่องฉายภาพยนตร์เก่าให้กลับมาใช้งานได้โดยไม่ต้องอาศัยคู่มือ และมักจะทรงซ่อมนาฬิกาข้อมือหรือนาฬิกาทั่วไปด้วยพระองค์เอง ครั้งหนึ่งทรงเคยตรัสว่า “ถ้าอาตมามิได้บวชเป็นพระสงฆ์ ป่านนี้คงเป็นวิศวกรไปแล้ว”
       
       และตั้งแต่ช่วงกลางยุคปี 80 องค์ทะไล ลามะ ได้ทรง พบปะกับบรรดานักวิชาการที่มีชื่อเสียงระดับสากลเป็นระยะๆ เพื่อหารือกันในหัวข้อต่างๆ เช่น กลศาสตร์ควอนตัม จักรวาลวิทยา และการมีสติ
       
       ทั้งนี้ เมื่อปี 2008 องค์ดาไล ลามะ เคยตรัสไว้เมื่อครั้งเสด็จเยือนสหรัฐอเมริกา และแสดงธรรมแก่ผู้สนใจในเมืองนิวยอร์ก ว่า การดำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรม ของตนเองนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่ถูกต้องนักที่จะปิดประตูจากโลกภายนอก พร้อมกับบอกว่า จะพยายามผสมผสานคุณค่าของประเพณีดั้งเดิม และการศึกษาสมัยใหม่เข้าด้วยกันในศตวรรษที่ 21
       
       “ลอบซัง วังยาล” ซึ่งเป็นช่างภาพอยู่ที่ธรรมศาลา ในอินเดีย อันเป็นที่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นของทิเบต กล่าวว่า “องค์ทะไล ลามะ ได้พิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า พระองค์ทรงเป็นผู้นำสมัยใหม่ ในขณะที่ยังคงสาระสำคัญของจารีตประเพณีไว้ และนี่เป็นส่วนหนึ่งในความเชื่อของพระองค์ที่ว่า เราต้องเป็นชาวพุทธในศตวรรษที่ 21”
       
       เพียง 2 สัปดาห์มีผู้คนทั่วโลก 140,000 คน เข้าไปที่เวป http://twitter.com/DalaiLama และชาวทิเบตจำนวนมากได้ตอบรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่องค์ทะไล ลามะทรงนำมาใช้ในครั้งนี้ เพราะพวกเขารู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกับพระองค์มากยิ่งขึ้น
       
       หน้าทวิตเตอร์ขององค์ทะไล ลามะ เปิดตัวด้วยข้อความแรกเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2010 ว่า
       
       “องค์ทะไล ลามะอยู่ที่นครลอสแองเจลิส” (21 กุมภาพันธ์ 2010) และได้ให้เว็บไซต์ ลิงค์ เพื่อเข้าไปอ่านรายละเอียด
       นอกจากนี้ ยังมีการลิงค์เชื่อมต่อคำให้สัมภาษณ์ ภาพถ่ายและเว็บคาสต์ต่างๆ
       
       และเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงในประเทศชิลีเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็มีข้อความโพสต์ว่า
       
       “องค์ทะไล ลามะ ขอส่งสารแสดงความเสียใจต่อประชาชนชาวชิลี”
       
       สำหรับข้อความอื่นๆนั้น ที่ปรากฏบนทวิตเตอร์ในเวลา ต่อมานั้น เป็นคำสอนขององค์ทะไล ลามะ อาทิ
       
       “ความรักและความเมตตากรุณา คือพื้นฐานของสังคม ถ้าเราขาดความรู้สึกเหล่านี้ สังคมจะเผชิญกับความยุ่งยากอย่างมหันต์”
       
       “อาตมาเชื่อว่า โดยพื้นฐานแล้ว ธรรมชาติของมนุษย์ เป็นผู้อ่อนโยน คิดในแง่ดี ดังนั้น การไม่ใช้ความรุนแรง จึงเป็นวิถีทางของมนุษย์”
       
       “คุณไม่อาจซื้อสติปัญญาและความสงบภายในจิตใจ ด้วยเงิน ทั้ง 2 สิ่งนี้ ต้องสร้างขึ้นด้วยตัวคุณเองเท่านั้น”
       
       “สมดุลระหว่างความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุและจิตวิญญาณ จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อปฏิบัติด้วยหลักความรักและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น”
       
       “หลักสิทธิมนุษยชนใช้ได้กับทุกประเทศในโลก เพราะธรรมชาติของมนุษย์ต่างต้องการเสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน และความภาคภูมิใจ”

       
       จนถึงปลายเดือนมีนาคม มีผู้ติดตามหน้าทวิตเตอร์ขององค์ทะไล ลามะ ร่วม 200,000 คนแล้ว แต่พระองค์ก็ยังมิได้ทรงโพสต์ข้อความส่วนตัวใดๆ เข้าไป แต่เชื่อว่าในไม่ช้า พระองค์จะทรงเข้ามาร่วมทวิตอย่างแน่นอน
       
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย บุญสิตา)


 

 
4637  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / Re: "สุนทรียสนทนา" Bohmian Dialogue ออกสู่สาธารณะ เมื่อ: 17 เมษายน 2553 09:19:58

"การดูจิตขณะสนทนานี่แหละคือการปฏิบัติธรรม การเฝ้าระวังความคิด
(พิพากษา เพ่งโทษ อคติ ฯลฯ) ที่เป็นเสียงภายในนี่แหละคือ การฝึกสติ"


จากหนังสือ Learn How to Learn ... ให้ความรักก่อนให้ความรู้ ของ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ

 
คงไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ ถ้าคุณจะไม่รู้จักผมเลย แม้แต่นิด และหากคุณมีคำถามว่า ผมเป็นใคร ทำอะไร ผมก็จะมีคำตอบกวน ๆ กลับไปว่า "ถ้าอยากรู้จักฉัน หาตัวเธอให้เจอก่อน" ครับ

แต่ถ้าให้ตอบจริง ๆ ในโลกสมัยสมมตินี้ผมคือ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ผู้เคยนับถือศาสนาคริสต์มา 39 ปี ก่อนจะมาเพิ่มศาสนาเป็นพุทธ และต่อไปก็คิดว่าจะเพิ่มศาสนาไปเรื่อย ๆ จนไม่มีศาสนาเลย เพราะความจริงแล้วไม่มีศาสนาอะไรทั้งนั้น เราอยู่กับความไม่มี แต่เราไปบอกว่ามีเท่านั้นเอง

ผมเคยทำงานกับองค์การนาซา (NASA) วิจัยเกี่ยวกับการแตกหักของวัสดุจนได้รับรางวัล หลังจากนั้นกลับมาเป็นอาจารย์สอนนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านต่าง ๆ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาด้านวิปัสสนากรรมฐาน บูรณาการศาสนากับชีวิตการทำงาน เพื่อพัฒนาองค์กรให้ยั่งยืนและพอเพียง

หลังจากลาออกจากการเป็นอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมได้ไปบวชที่วัดป่าเขาน้อย อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร ซึ่งมี หลวงปู่จันทา ถาวโร เป็นหัวหน้าสงฆ์ เมื่อบวชผมก็ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติธรรม หลวงปู่สอนอะไรก็ทำตาม ท่านให้วางตำราและให้กำหนดพุท-โธให้มาก ๆ บวชได้ 13 วันผมก็เข้าใจเรื่องของการทำสมาธิ

หลังจากนั้นผมไปศึกษาธรรมกับ หลวงพ่อสำราญ ธัมมธุโร (หลวงพ่อกล้วย) วัดธรรมอุทยาน จังหวัดขอนแก่น ท่านสอนไม่ให้ติดในภาษาสมมติ ไม่ให้ติดว่าเป็นนักปฏิบัติ ท่านให้นำกายมาปฏิบัติ มาปล่อยวางไม่ให้ยึดแม้แต่ครูบาอาจารย์ ท่านสอนให้ฝึกสติด้วยการไปนั่งสมาธิในป่าช้า เพราะที่ป่าช้าจะมีความคิดแบบเดียวผุดมาให้ฝึก ทำให้แยกได้ทันทีว่า นี่สัญญาหนอ นี่สังขารหนอ จิตเกิดแล้วหนอ

หลายคบอกว่าผมสอนธรรมะแบบนอกกรอบ ที่ต้องนอกกรอบเพราะแบบเดิม ๆ นั่นไม่มีคนอยากฟัง หน้าที่การงานของผมอย่างหนึ่ง คือ การไปบรรยายให้ผู้บริหารที่มีการศึกษาสูง ๆ ฟัง และท่านเหล่านี้ส่วนหนึ่งเบือนหน้าหนีทันทีที่ได้ยินว่า ศีลห้า นรก สวรรค์ ผมเลยต้องหาวิธีหารอื่นมาหลอกล่อ อย่างเช่น เมื่อสอนเรื่องการบริหารจัดการให้ผู้บริหารฟัง ในระหว่างสอนผมก็สอดแทรกธรรมะไปเรื่อย ๆ แบบ "แนบเนียนนุ่มลึก" โดยที่เขาไม่รู้ตัว หลังจากนั้นให้เขาฟังตามไปเรื่อย ๆ จนตอนท้ายจะขมวดให้ฟังว่า ทั้งหมดที่สอนมาอยู่ในพระไตรปิฏก ฟังอย่างนี้เขาก็จะ "ปิ๊ง" ได้เอง และไม่ตั้งแง่ปฏิเสธตั้งแต่แรก

ทุกวันนี้ผมสอนธรรมะแบบ "ไดอะล็อก" (Dialogue) หรือเรียกเป็นไทยว่า "สุนทรียสนทนา" สอนธรรมะแบบล้อมวงคุยกันในระหว่างคุยกันก็เป็นเจริญวิปัสสนาแบบหนึ่ง สนทนาไปด้วย ดูจิตไปด้วย เป็นการสนทนากันแบบฟังเชิงลึก (Deep Listensing) ที่เรียกได้ว่าต้อง open mind, open heart, open will เพื่อให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเราเอง ฟังเพื่อเก็บเกี่ยว ฟังเพื่อให้เกิดความไว้วางใจกัน ฟังเพื่อให้เกิดความเคารพในความแตกต่างกัน ทั้งทางความคิดและจิตใจ บางทีเราก็เรียกการพูดคุยแบบนี้ว่า "วงเล่าเร้าพลัง" คือมาคุยกัน เปิดหู เปิดตา เปิดใจ รับฟังกัน อย่าเพิ่งไปเถียงกัน อย่ารีบร้อน "สวน" หรือ "สอดแทรก" ซึ่งเป็นการสอนให้เราฟังอย่างมีสติ อย่าไปเพิ่งโทษ อคติ ลำเอียง คิดเอาเอง ซึ่งการฟังเชิงลึกได้ดีต้องฝึกฟังเสียงภายใน (Inner Voice) ของตัวเองให้ได้เสียก่อน เสียงที่ขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ หมั่นไส้ อิจฉา ด่าทอ ยินดี กังวล นึกไปถึงเรื่องอื่น ไปนอกเรื่อง ฯลฯ เมื่อมีเสียงภายในหรือความคิดแทรกแซงก็หัดดับ หัดระงับ หัดข่ม แล้วมาจดจ่อ มีสมาธิ น้อมใจเข้าไปฟังคนพูดพูดต่อไป

เราอาจจะนั่งล้อมวงกันในสถานที่สบาย ๆ นั่งสบาย ๆ ปูเสื่อแจกหมอน นอนเอนหลังก็ได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องใด หรือวิ่งเข้าวิ่งออกจนพลังของวงเสียสมดุลไป "พลัง" ในที่นี้คือ พลังที่ดีในการกระตุ้นต่อมความคิด เป็นพลังที่จะสร้างงาน สร้างปีติ สร้างสติ เรียนรู้ด้วยในที่เป็นกลาง ฯลฯ

หลักการดูจิตขณะสนทนาของผมคือ ถ้าจิตของเราเกิดอาการ กายจะเปลี่ยนแปลง เลือดลมจะวิ่ง กล้ามเนื้อน้อยใหญ่จะเกร็งกลางอกจะหด ๆ หู่ ๆ เต้น ๆ เสียว ๆ เราก็หายใจลึก ๆ ดึงกำลังสติขึ้นมาคิดในแง่ดี ๆ เข้าไว้ หากจิตยังไม่ปกติ พึงสังวรว่า "อย่าได้ออกอาการทางวาจาทางกาย" นะครับ สมมติว่าเป็นสุนัข เวลาที่จิตเกิดอาการเราจะเห็นชัด คือกายจะฟ้อง เช่น กระดิกหางหรือหดหาง สำหรับเราซึ่งเป็นคน ก็ควรจะดูกายของเราให้ทันด้วย จะได้รู้ว่าจิตเกิดหนอ ดังนั้น ถ้าเราสนทนากับใคร ก็ฟังเขาพูดไป สำเหนียกไปที่จิตด้วย จะเห็นความคิด "วิตก" (ขึ้นขบวนรถไฟความคิดแห่งอนาคต) "วิจารณ์" (ขึ้นขบวนรถไฟความคิดแห่งอดีต) ผุดขึ้น ขอให้รู้เท่าทัน วิตกหนอ วิจารณ์หนอ
อย่างไรก็ตาม ในการพูดคุยผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นอาจารย์ แต่ผมเป็นกระบวนการนำพาผู้ร่วมเรียนรู้ไปเข้ากระบวนการ ไปเจอประสบการณ์ ไปค้นพบด้วยตนเอง ไปพิสูจน์ความเชื่อกัน ผมมิบังอาจไปสั่งสอนใครนะครับ แต่ยั่วให้คิด ตั้งคำถามให้คิด แหย่ ๆ เพราะถ้าไม่แบ่งแยก นั่นผู้เรียน ฉันผู้สอน เจ้าตัว "อัตตา" จะแทรกได้ง่าย ๆ

นอกจากนั้นผมยังมีกติกาว่า จะไม่บรรยายแบบที่มีผู้ฟังเยอะ ๆ แต่จะให้การพูดคุยแบบสุนทรียสนทนาร่วมกันผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินป่า เยี่ยมบ้านพักคนชรา เยี่ยมผู้ป่วยระยะสุดท้าย นั่งคุยกันที่สวนสาธารณะ นั่งดูหนังด้วยกัน แล้วมาคุยกันในบรรยากาศสบาย ๆ ฯลฯ

สุดท้ายแล้วการศึกษาธรรมะคือ การศึกษาใจของตน ศึกษาว่า ทำไม เมื่อไร อย่างไร ใจของเราจึงเกิดอาการ และอาการของใจนั้น หายไป ดับไป ได้อย่างไร


ดังนั้น ต่อให้อ่านตำราเป็นล้าน ๆ เล่ม ท่องพระไตรปิฏกได้ทั้งหมด ก็สู้ตามรู้ ตามดู ตามวางที่ใจไม่ได้ครับ
 
...
ในเรื่องของ สุนทรียสนทนา (Dialogue) นั้น อาจารย์ ดร.วรภัทร ได้กล่าวถึงบ่อย ๆ ในระยะหลังนี้
ผู้สนใจสามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมได้จากบล็อก Free Rider และ

Living company ครับ

เชื่อเหลือเกินว่า สุนทรียสนทนา (Dialogue) สามารถนำไปประยุกต์ในชีวิตประจำวันและการทำงานของท่านทั้งหลายได้เป็นอย่างดี

คิดดี พูดดี ทำดี ย่อมได้รับกรรมดี
ขออนุโมทนาบุญกุศลให้กับอาจารย์ด้วยครับ
บุญรักษา ทุกท่าน :)
...

แหล่งอ้างอิง
เสาวลักษณ์  ศรีสุวรรณ, ผู้เรียบเรียง.  สุนทรียสนทนา กับ ดร.วรภัทร์  ภู่เจริญ.  ซีเคร็ต Secret. 1, 18
           (26 มีนาคม 2552) : 64 - 65.
 
 
http://gotoknow.org/blog/scented-book/253599?page=1[/SIZE]
4638  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / "สุนทรียสนทนา" Bohmian Dialogue ออกสู่สาธารณะ เมื่อ: 17 เมษายน 2553 09:15:43
  อายจัง


คิดมา ศึกษา เฝ้าดูมาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว พร้อม ๆ กับ ศาสตร์แห่งกระบวนทัศน์ใหม่
ด้วยดวงใจ อยากจะพลิกโลก พลิกโลกใต้ฝ่าเท้านี่แหละนะ ไกล้ ๆ ตัวเรา ใจ ไงล่ะ

การคุยที่สุดมหัศจรรย์ คุยไปปฏิบัติธรรมไป ดูจิต ดูถ้อยคำ เข้ากระทบ
ดูอาการผุด อาการหายวับ อาการปิ๊งแว๊บคุยจบแล้ว จิตอิ่มเอม เหมือนเติมพลังงาน


รอให้พร้อม เวลาพร้อม เว็บ อกาลิโกมา  ผมจะลุย ตั้งห้องฝึกจิต แบบสุนทรียสนทนา

ช่วงแรก ๆ นั้น ผมจะลาก เอาองค์ความรู้วิธีการมาแปะให้อ่านก่อน
แล้วค่อย ฝึกคุย แบบครอบจักรวาล แต่เป็น การคุยแบบ ศาสตร์แห่งนิวเอจ สุนทรียสนทนา

เป็นเรื่อง ยากอีกเรื่อง หนึ่งที่ เราอยากจะดันออกสู่ โลกดิจิตอล แต่ไม่ยากเกินไป

ช่วงนี้ ก็ตั้ง กระทู้นี้มา ให้ท่านได้อ่านกัน เท่าที่จะลากมาแปะ และ ผุดคำจากใจแล้วใส่กระทู้

ใครมีอะไร อยากแปะแบ่งปันเชิญ นะ
4639  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / วิทยุออนไลน์วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) เมื่อ: 17 เมษายน 2553 08:48:32
เปิดหลวงปู่ฯบรรยายธรรม

ภาคกลางวันตั้งแต่ 8.00-20.00 น.

ภาคกลางคืนตั้งแต่ 20.00-8.00น. ของดก่อนจนถึงสิ้นเดือนเมษายน

เนื่องจากผู้จัดรายการภาคกลางคืน ท่านไปช่วยงานบวชอุปสมบทหมู่ที่วัดอ้อน้อยค่ะ

http://www.onoi.org/index.php?option=com_content&view=article&id=207:2010-03-25-12-09-13&catid=1:latest-news
4640  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: ความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป ( หลวงพ่อบ๋าวเอิง ) เมื่อ: 17 เมษายน 2553 08:17:49


เป็นที่ทราบกันดีครับว่า ชีวกโกมารภัจจ์” คือนายแพทย์ที่รักษาพระพุทธเจ้า ในอดีตเรามักจะลืมเลือนและไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับท่านนัก เรื่องราวของท่านจึงค่อนข้างถูกกลืนหายไปจากความทรงจำ...

อยากให้เพื่อนๆลองตั้งคำถามกับตัวเองดูครับ..

เคยเห็นรูปของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ไหมครับ”...

แน่นอนอีกเช่นกันรอยยิ้มริมมุมปากแทนคำตอบว่าเคยเห็น.....แต่รูปนี้มีที่มาที่ไปครับ




รูปนี้และรูปหล่อนี้เกิดจากการที่หลวงพ่อบ๋าวเอิง อัญเชิญให้มาปรากฏบนนิ้วมือเพราะท่านต้องการปั้นพระพักตร์ของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ไว้สำหรับเคารพบูชาในฐานะที่ตัวหลวงพ่อเองท่านเป็นพระที่รักษาโรคแก่คนทั่วไปด้วย..

ท่านเล่าว่าได้ติดต่อช่างปั้นคนหนึ่งชื่อว่า นายโชติ สโมสร” ขณะนั้นนายโชติกำลังรับปั้นรูปหล่อหลวงพ่อคง ของสำนักท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี




นายโชติได้ตกลงรับงานนี้และได้นำดินน้ำมันมาลองปั้นโดยหะแรกเข้าใจว่าท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นชาวจีน เพราะเห็นว่าหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านเป็นคนญวน รูปปั้นจึงน่าจะออกมาในลักษณะแบบนั้น และด้วยเหตุผลที่เกิดจากการคิดไปเอง  นายโชติจึงได้ปั้นพระพักตร์ของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ออกมาเป็นหน้าตาแบบคนจีน

เมื่อทราบว่าตนเองปั้นผิดเพราะท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นพราหมณ์ หน้าตาต้องเป็นแบบอินเดีย ครั้นจะเริ่มใหม่...ก็เกิดปัญหา...คือนายโชติจินตนาการไม่ออก

หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านจึงตัดสินใจที่จะอัญเชิญท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์มาปรากฏบนนิ้วมือของท่านเพื่อให้นายโชติได้เห็นอย่างชัดเจน โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น นายโชติได้บันทึกไว้ดังนี้ครับ...


ผมได้ชวนคุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ มาเป็นเพื่อนเพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อมาถึงวัดหลวงพ่อได้ให้พวกผมขึ้นไปบนกุฎิพร้อมกับท่าน หลวงพ่อได้ทำพิธีอัญเชิญ ผมได้สนใจเฝ้าดูหลวงพ่อทุกอิริยาบถและรู้สึกว่าการทำพิธีอัญเชิญนั้นง่ายเหลือเกินและแปลกกว่าความคาดหมายของผม..


หลวงพ่อได้จุดธูปและปักตามที่บูชาต่างๆในกุฏิ จากนั้นท่านได้ว่าคาถาเป็นภาษาญวนปนไปกับภาษาบาลี ซึ่งผมเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง จิตใจของผมในขณะนั้นอยากจะเห็นภาพและทำการปั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง คุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ ได้ขึ้นมานั่งดูอยู่ด้วย...





หลวงพ่อได้นั่งบนอาสนะ มือถือธูปที่จุดแล้วกำมือและหัวแม่มือชูขึ้น สายตาของผมจ้องจับอยู่ที่หัวแม่มือของหลวงพ่อ ในไม่ช้าก็ปรากฏเห็นเป็นจุดขาวและจุดขาวนั้นได้ขยายตัวโตขึ้นๆ จนเห็นเป็นภาพ แต่ไม่ชัด ผมตอนนั้นจิตใจรู้สึกตื่นเต้นเพราะได้ประจักษ์สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...


หลวงพ่อได้เปลี่ยนที่นั่งใหม่ ซึ่งมีแสงสว่างน้อย คราวนี้ภาพที่หัวแม่มือของหลวงพ่อได้ปรากฏแจ่มชัด ผมเริ่มปั้นตามภาพใบหน้าที่เห็นในภาพนั้นทันที ใจผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ได้ปั้นตามภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้น..


ผมใช้เวลาถึงสองชั่วโมงจึงปั้นเสร็จเรียบร้อย คุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ ที่ผมชวนมาด้วยก็เห็นภาพนั้นเช่นเดียวกับผมและยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏที่หัวแม่มือหลวงพ่อเหมือนกับรูปที่ผมปั้นทุกประการ....




เชื่อกันว่ารูปท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ที่ถือกำเนิดจากฝีมือของนายโชติ สโมสร และอำนาจพลังจิตของหลวงพ่อบ๋าวเอิง ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าเป็น...

รูปหมอชีวกโกมารภัจจ์ที่ปรากฏเป็นลักษณะองค์จริงครั้งแรกของโลก...”

หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้ขนานนามรูปหล่อท่านชีวกโกมารภัจจ์ว่า

บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์...”

พ่นมาขนาดนี้ เชื่อว่าเพื่อนๆคงจะคุ้นกับคำว่า บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์”เป็นอย่างดี...


ดังนั้นจงอย่าแปลกใจเลยครับที่ทุกวันนี้จะมีชาวต่างชาติที่ให้ความเคารพท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์แวะเวียนเข้ามากราบไหว้ สักการะ ขอพรกับรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของท่าน ณ วัดญวน สะพานขาวแห่งนี้เสมอๆ





ปัจจุบันหลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านได้มรณภาพไปนานหลายปีแล้วครับ สรีระของท่านถูกฝังไว้ในวิหารโดยมีรูปหล่อเหมือนเท่าองค์จริงของท่านตั้งทับเอาไว้...


เพื่อนๆ ท่านใดใคร่เข้าไปขอพรจากท่านก็เชิญได้เลยครับ แล้วท่านอาจจะพบกับคำว่า


"ความศักดิ์สิทธิ์มีจริง.."

ตลอดชีวิตของหลวงพ่อ..ท่านได้ทุ่มเทกับเรื่องราวของจิต วิญญาณและการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือและมีการพิมพ์เผยแพร่แจกเป็นวิทยาทาน โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนอ่านเข้าใจในเรื่องพวกนี้และเชื่อมั่นในเรื่องของ"บาปบุญคุณโทษ..."




พูดถึงเรื่องการทำบุญ จะเอาบุญมาล้างบาปเห็นเป็นไม่ได้ ทำกรรมใดกรรมนั้นก็ติดตัวไป ใช้หนี้กรรมเรื่อยไป..

การทำบุญทุกครั้งไม่ต้องขอร้องวิงวอนให้ผลบุญสนองอย่างนั้นอย่างนี้ ผลแห่งการสร้างบุญที่ได้สร้างไปในทางใดก็ให้ผลในทางนั้น....

และจุดมุ่งหมายหรือทางที่บุญจะให้ผลดีที่สุดคือพระนิพพาน ไม่มีการเกิดมาใช้หนี้กรรมอีกต่อไป....”




ครับ...หากเพื่อนๆ เชื่อว่า"ชาตินี้มีจริง"ก็คงจะไม่ปฏิเสธและเชื่อว่า"ชาติหน้าก็มีจริง"เช่นกัน....

ชาวพุทธมีความเชื่อว่าหากได้ปฏิบัติตามพระธรรม จะทำให้บุคคลผู้ที่ปฏิบัตินั้นสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และบางทีอาจสามารถก้าวเข้าไปสู่สภาวะอันสูงสุดคือ นิพพาน

การที่ได้เรียนรู้ในเรื่องของวิญญาณอย่างถ่องแท้ถือว่าเป็นประโยชน์ ซึ่งพวกเราควรศึกษาและรับทราบไว้บ้าง เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะตามคติชาวพุทธเชื่อมั่นว่า...

การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นถือว่าพวกเรามีบุญเป็นอันมาก สามารถที่จะกระทำความดีได้ตลอดเวลา

ว่ากันว่า.."อานิสงส์ของการทำความดีมีมาก" ..เพราะ

ความดีถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มครองตัวเรา

ดังนั้นพวกเราจึงควรรีบปฏิบัติธรรมและสร้างสมบุญกุศลไว้เป็นเครื่องประดับวิญญาณของตัวเรา เพราะความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป....สวัสดีครับ


ขอกราบขอบพระคุณ พระสมณานัมธีราจารย์(ติ่นเรียน) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร หลวงพี่จักรพันธุ์(เถี่ยนเหว่) ที่เมตตาให้ข้อมูลและคำแนะนำ / คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำที่มีประโยชน์ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจทีมีให้เสมอครับ

http://www.oknation.net/blog/sitthi/2009/01/23/entry-1
หน้า:  1 ... 230 231 [232] 233 234 ... 236
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 2.749 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 12 เมษายน 2562 11:42:35