[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
28 เมษายน 2567 14:53:33 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 ... 231 232 [233] 234 235 236
4641  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / "สุนทรียสนทนา" Bohmian Dialogue ออกสู่สาธารณะ เมื่อ: 17 เมษายน 2553 09:15:43
  อายจัง


คิดมา ศึกษา เฝ้าดูมาเป็นเวลา 6 ปีแล้ว พร้อม ๆ กับ ศาสตร์แห่งกระบวนทัศน์ใหม่
ด้วยดวงใจ อยากจะพลิกโลก พลิกโลกใต้ฝ่าเท้านี่แหละนะ ไกล้ ๆ ตัวเรา ใจ ไงล่ะ

การคุยที่สุดมหัศจรรย์ คุยไปปฏิบัติธรรมไป ดูจิต ดูถ้อยคำ เข้ากระทบ
ดูอาการผุด อาการหายวับ อาการปิ๊งแว๊บคุยจบแล้ว จิตอิ่มเอม เหมือนเติมพลังงาน


รอให้พร้อม เวลาพร้อม เว็บ อกาลิโกมา  ผมจะลุย ตั้งห้องฝึกจิต แบบสุนทรียสนทนา

ช่วงแรก ๆ นั้น ผมจะลาก เอาองค์ความรู้วิธีการมาแปะให้อ่านก่อน
แล้วค่อย ฝึกคุย แบบครอบจักรวาล แต่เป็น การคุยแบบ ศาสตร์แห่งนิวเอจ สุนทรียสนทนา

เป็นเรื่อง ยากอีกเรื่อง หนึ่งที่ เราอยากจะดันออกสู่ โลกดิจิตอล แต่ไม่ยากเกินไป

ช่วงนี้ ก็ตั้ง กระทู้นี้มา ให้ท่านได้อ่านกัน เท่าที่จะลากมาแปะ และ ผุดคำจากใจแล้วใส่กระทู้

ใครมีอะไร อยากแปะแบ่งปันเชิญ นะ
4642  สุขใจในธรรม / เสียงธรรมเทศนา / วิทยุออนไลน์วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) เมื่อ: 17 เมษายน 2553 08:48:32
เปิดหลวงปู่ฯบรรยายธรรม

ภาคกลางวันตั้งแต่ 8.00-20.00 น.

ภาคกลางคืนตั้งแต่ 20.00-8.00น. ของดก่อนจนถึงสิ้นเดือนเมษายน

เนื่องจากผู้จัดรายการภาคกลางคืน ท่านไปช่วยงานบวชอุปสมบทหมู่ที่วัดอ้อน้อยค่ะ

http://www.onoi.org/index.php?option=com_content&view=article&id=207:2010-03-25-12-09-13&catid=1:latest-news
4643  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: ความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป ( หลวงพ่อบ๋าวเอิง ) เมื่อ: 17 เมษายน 2553 08:17:49


เป็นที่ทราบกันดีครับว่า ชีวกโกมารภัจจ์” คือนายแพทย์ที่รักษาพระพุทธเจ้า ในอดีตเรามักจะลืมเลือนและไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับท่านนัก เรื่องราวของท่านจึงค่อนข้างถูกกลืนหายไปจากความทรงจำ...

อยากให้เพื่อนๆลองตั้งคำถามกับตัวเองดูครับ..

เคยเห็นรูปของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ไหมครับ”...

แน่นอนอีกเช่นกันรอยยิ้มริมมุมปากแทนคำตอบว่าเคยเห็น.....แต่รูปนี้มีที่มาที่ไปครับ




รูปนี้และรูปหล่อนี้เกิดจากการที่หลวงพ่อบ๋าวเอิง อัญเชิญให้มาปรากฏบนนิ้วมือเพราะท่านต้องการปั้นพระพักตร์ของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ไว้สำหรับเคารพบูชาในฐานะที่ตัวหลวงพ่อเองท่านเป็นพระที่รักษาโรคแก่คนทั่วไปด้วย..

ท่านเล่าว่าได้ติดต่อช่างปั้นคนหนึ่งชื่อว่า นายโชติ สโมสร” ขณะนั้นนายโชติกำลังรับปั้นรูปหล่อหลวงพ่อคง ของสำนักท่านอาจารย์ชุม ไชยคีรี




นายโชติได้ตกลงรับงานนี้และได้นำดินน้ำมันมาลองปั้นโดยหะแรกเข้าใจว่าท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นชาวจีน เพราะเห็นว่าหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านเป็นคนญวน รูปปั้นจึงน่าจะออกมาในลักษณะแบบนั้น และด้วยเหตุผลที่เกิดจากการคิดไปเอง  นายโชติจึงได้ปั้นพระพักตร์ของท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ออกมาเป็นหน้าตาแบบคนจีน

เมื่อทราบว่าตนเองปั้นผิดเพราะท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นพราหมณ์ หน้าตาต้องเป็นแบบอินเดีย ครั้นจะเริ่มใหม่...ก็เกิดปัญหา...คือนายโชติจินตนาการไม่ออก

หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านจึงตัดสินใจที่จะอัญเชิญท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์มาปรากฏบนนิ้วมือของท่านเพื่อให้นายโชติได้เห็นอย่างชัดเจน โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น นายโชติได้บันทึกไว้ดังนี้ครับ...


ผมได้ชวนคุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ มาเป็นเพื่อนเพื่อพิสูจน์ความจริง เมื่อมาถึงวัดหลวงพ่อได้ให้พวกผมขึ้นไปบนกุฎิพร้อมกับท่าน หลวงพ่อได้ทำพิธีอัญเชิญ ผมได้สนใจเฝ้าดูหลวงพ่อทุกอิริยาบถและรู้สึกว่าการทำพิธีอัญเชิญนั้นง่ายเหลือเกินและแปลกกว่าความคาดหมายของผม..


หลวงพ่อได้จุดธูปและปักตามที่บูชาต่างๆในกุฏิ จากนั้นท่านได้ว่าคาถาเป็นภาษาญวนปนไปกับภาษาบาลี ซึ่งผมเองก็ฟังไม่รู้เรื่อง จิตใจของผมในขณะนั้นอยากจะเห็นภาพและทำการปั้นเพื่อพิสูจน์ความจริง คุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ ได้ขึ้นมานั่งดูอยู่ด้วย...





หลวงพ่อได้นั่งบนอาสนะ มือถือธูปที่จุดแล้วกำมือและหัวแม่มือชูขึ้น สายตาของผมจ้องจับอยู่ที่หัวแม่มือของหลวงพ่อ ในไม่ช้าก็ปรากฏเห็นเป็นจุดขาวและจุดขาวนั้นได้ขยายตัวโตขึ้นๆ จนเห็นเป็นภาพ แต่ไม่ชัด ผมตอนนั้นจิตใจรู้สึกตื่นเต้นเพราะได้ประจักษ์สิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน...


หลวงพ่อได้เปลี่ยนที่นั่งใหม่ ซึ่งมีแสงสว่างน้อย คราวนี้ภาพที่หัวแม่มือของหลวงพ่อได้ปรากฏแจ่มชัด ผมเริ่มปั้นตามภาพใบหน้าที่เห็นในภาพนั้นทันที ใจผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ได้ปั้นตามภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้น..


ผมใช้เวลาถึงสองชั่วโมงจึงปั้นเสร็จเรียบร้อย คุณเฉลิมและคุณจุไรรัตน์ ที่ผมชวนมาด้วยก็เห็นภาพนั้นเช่นเดียวกับผมและยืนยันว่า ภาพที่ปรากฏที่หัวแม่มือหลวงพ่อเหมือนกับรูปที่ผมปั้นทุกประการ....




เชื่อกันว่ารูปท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ ที่ถือกำเนิดจากฝีมือของนายโชติ สโมสร และอำนาจพลังจิตของหลวงพ่อบ๋าวเอิง ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าเป็น...

รูปหมอชีวกโกมารภัจจ์ที่ปรากฏเป็นลักษณะองค์จริงครั้งแรกของโลก...”

หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้ขนานนามรูปหล่อท่านชีวกโกมารภัจจ์ว่า

บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์...”

พ่นมาขนาดนี้ เชื่อว่าเพื่อนๆคงจะคุ้นกับคำว่า บรมคุรุแพทย์ ชีวกโกมารภัจจ์”เป็นอย่างดี...


ดังนั้นจงอย่าแปลกใจเลยครับที่ทุกวันนี้จะมีชาวต่างชาติที่ให้ความเคารพท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์แวะเวียนเข้ามากราบไหว้ สักการะ ขอพรกับรูปหล่อขนาดเท่าองค์จริงของท่าน ณ วัดญวน สะพานขาวแห่งนี้เสมอๆ





ปัจจุบันหลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านได้มรณภาพไปนานหลายปีแล้วครับ สรีระของท่านถูกฝังไว้ในวิหารโดยมีรูปหล่อเหมือนเท่าองค์จริงของท่านตั้งทับเอาไว้...


เพื่อนๆ ท่านใดใคร่เข้าไปขอพรจากท่านก็เชิญได้เลยครับ แล้วท่านอาจจะพบกับคำว่า


"ความศักดิ์สิทธิ์มีจริง.."

ตลอดชีวิตของหลวงพ่อ..ท่านได้ทุ่มเทกับเรื่องราวของจิต วิญญาณและการปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นท่านได้บันทึกไว้ในหนังสือและมีการพิมพ์เผยแพร่แจกเป็นวิทยาทาน โดยมีจุดมุ่งหมายให้คนอ่านเข้าใจในเรื่องพวกนี้และเชื่อมั่นในเรื่องของ"บาปบุญคุณโทษ..."




พูดถึงเรื่องการทำบุญ จะเอาบุญมาล้างบาปเห็นเป็นไม่ได้ ทำกรรมใดกรรมนั้นก็ติดตัวไป ใช้หนี้กรรมเรื่อยไป..

การทำบุญทุกครั้งไม่ต้องขอร้องวิงวอนให้ผลบุญสนองอย่างนั้นอย่างนี้ ผลแห่งการสร้างบุญที่ได้สร้างไปในทางใดก็ให้ผลในทางนั้น....

และจุดมุ่งหมายหรือทางที่บุญจะให้ผลดีที่สุดคือพระนิพพาน ไม่มีการเกิดมาใช้หนี้กรรมอีกต่อไป....”




ครับ...หากเพื่อนๆ เชื่อว่า"ชาตินี้มีจริง"ก็คงจะไม่ปฏิเสธและเชื่อว่า"ชาติหน้าก็มีจริง"เช่นกัน....

ชาวพุทธมีความเชื่อว่าหากได้ปฏิบัติตามพระธรรม จะทำให้บุคคลผู้ที่ปฏิบัตินั้นสามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และบางทีอาจสามารถก้าวเข้าไปสู่สภาวะอันสูงสุดคือ นิพพาน

การที่ได้เรียนรู้ในเรื่องของวิญญาณอย่างถ่องแท้ถือว่าเป็นประโยชน์ ซึ่งพวกเราควรศึกษาและรับทราบไว้บ้าง เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะตามคติชาวพุทธเชื่อมั่นว่า...

การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นถือว่าพวกเรามีบุญเป็นอันมาก สามารถที่จะกระทำความดีได้ตลอดเวลา

ว่ากันว่า.."อานิสงส์ของการทำความดีมีมาก" ..เพราะ

ความดีถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มครองตัวเรา

ดังนั้นพวกเราจึงควรรีบปฏิบัติธรรมและสร้างสมบุญกุศลไว้เป็นเครื่องประดับวิญญาณของตัวเรา เพราะความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป....สวัสดีครับ


ขอกราบขอบพระคุณ พระสมณานัมธีราจารย์(ติ่นเรียน) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร หลวงพี่จักรพันธุ์(เถี่ยนเหว่) ที่เมตตาให้ข้อมูลและคำแนะนำ / คุณพรชนก สุขพงษ์ไทย สำหรับภาพถ่าย เพื่อนต่อกับคำแนะนำที่มีประโยชน์ คุณสมบูรณ์ ร้านนายฮ้อ สระบุรี สำหรับกำลังใจทีมีให้เสมอครับ

http://www.oknation.net/blog/sitthi/2009/01/23/entry-1
4644  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: ความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป ( หลวงพ่อบ๋าวเอิง ) เมื่อ: 17 เมษายน 2553 08:15:02


จะว่าไปแล้วปัญหาที่ว่า วิญญาณมีจริงหรือไม่” ได้เป็นข้อถกเถียงกันมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว..

การถกเถียงกันนี้เราสามารถแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมีความเชื่อว่าวิญญาณมีจริง ปัญหาที่ตามมาจึงไม่เกิด แต่อีกฝ่ายหนึ่งสิครับไม่เชื่อว่าวิญญาณมีจริง แน่นอนมีปัญหาข้างเคียงเหมือนเงาตามตัว

ตามความคิดของผม ผมเชื่อว่าวิญญาณมีจริง เพียงแต่การที่เราจะค้นคว้าหาความรู้และความจริงในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่นอกเหนือไปจากความสามารถของมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา เพราะอะไรหรือครับ ตอบง่ายมาก....

เพราะวิญญาณเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อ

ถึงแม้ว่าเราจะใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาจับในเรื่องของวิญญาณ(ตามที่เห็นในรายการโทรทัศน์) มันก็ยังไม่สามารถทำให้เราเห็นวิญญาณหรือได้ข้อสรุปอะไรที่ชัดเจน ดังนั้น...

วิญญาณจึงเป็นสิ่งเร้นลับแก่มนุษย์ตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้...”

จะว่าไปแล้วพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศานา ได้กล่าวรับรองความจริงในเรื่องของวิญญาณไว้...

แต่ก็สอนให้เราไม่ยึดถือในเรื่องดังกล่าวเพราะเรื่องของวิญญาณเป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์ต้องติดตรึงอยู่ในสงสารวัฏ....



ว่ากันว่า เมื่อรูปร่างกายดับ ชีวิตดับ จิตวิญญาณนั้นจะต้องไปสร้างภพใหม่ หาร่างใหม่ตามกำลังบุญและบาปที่ได้กระทำไว้….”

พูดถึงเรื่องวิญญาณ” คำว่าวิญญาณเป็นภาษามคธ แปลว่า “รู้แจ้งหรือรู้ชัดและมีอยู่ในคนหรือสัตว์ทั่วไป” จัดเป็นนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ เทวดา ผีสางนางไม้ ล้วนแล้วแต่มีวิญญาณครองและมีลักษณะที่เรียกว่า “เกิดและดับ..”

และเมื่อเราพูดถึงวิญญาณ ก็คงต้องพูดถึงเรื่องจิตด้วยครับ เพราะคำสองคำนี้ใช้ผสมผสานปนเปกันไปหมด บางคนก็ว่าจิตกับวิญญาณคือคำๆเดียวกัน บางคนก็ว่าจิตและวิญญาณ ความหมายหรือนัยยะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมเองก็ภูมิความรู้ต่ำไม่สามารถอธิบายได้ คงต้องรอผู้ที่รู้มาให้คำจำกัดความที่ชัดเจนน่าจะเหมาะสมกว่าครับ..

แต่อย่างไรก็ตามผมเคยอ่านบทความหนึ่ง เขียนไว้ว่า

จิตเปรียบเหมือนน้ำ” และ
วิญญาณเปรียบเหมือนคลื่น

คลื่นเกิดจากอำนาจลมและอากาศ เกิดขึ้นแล้วยุบดับลง ไปเกิดเป็นคลื่นลูกใหม่ แล้วก็ดับไปอีก นัยยะนี้วิญญาณก็เช่นกัน เกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าเกิดกับอารมณ์ก็จะดับไปพร้อมอารมณ์ แต่จิต.....จิตเป็นตัวยืน เปรียบ

เหมือนกับน้ำที่ยืนทรงตัวเป็นแดนเกิดของลูกคลื่น...ฉะนี้แล.....




ผมได้สอบถามจากลูกศิษย์เก่าๆของหลวงพ่อบ๋าวเอิง เขาว่าหลวงพ่อท่านเก่งมากในเรื่องสมาธิจิต สามารถอัญเชิญวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วให้มาเข้าทรงได้ พิธีกรรมในการอัญเชิญ หลวงพ่อจะให้ญาติพี่น้องของผู้ถึงแก่กรรมเข้ามาร่วมพิธีหลายๆคน ยิ่งมากยิ่งดี

ท่านว่าหนึ่งคือเหมือนเป็นพยาน
สองคือเมื่อวิญญาณมาถึงจะสามารถหาร่างที่ลงได้อย่างเหมาะสม....


แน่นอนครับว่าไม่ผิดหวังเพราะมีการลงทรงทุกครั้งที่เชิญ คนที่วิญญาณลงในร่างจะมีความรู้สึกวูบวาบและดำดิ่ง ซึ่งหลวงพ่อบ๋าวเอิงบอกว่าหากวิญญาณได้ลงครบอาการทั้งสามสิบสอง นั่นแหละคือการลงทรงที่สมบูรณ์..


นอกจากการอัญเชิญวิญญาณลงร่างแล้ว ทีเด็ดอีกอย่างหนึ่งของหลวงพ่อคือการอัญเชิญให้วิญญาณมาปรากฏเป็นรูปร่างบนนิ้วหัวแม่มือ...


สิ่งที่น่าแปลกใจอย่างมากคือ"อำนาจจิตและบารมี"ของท่านที่มีมาก จนทำให้ท่านสามารถที่จะจิ้มให้ภาพนี้ปรากฏขึ้นที่นิ้วมือของใครก็ได้ พูดง่ายๆ คือ


"จิ้มตรงไหนขึ้นตรงนั้น.."ทำนองนี้ครับ




การอัญเชิญวิญญาณให้มาปรากฏบนนิ้วมือนั้นได้ก่อให้เกิดเรื่องสำคัญของวงการแพทย์ขึ้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเชื่อว่าเพื่อนๆบางท่านอาจจะไม่ทราบว่าเรื่องนี้โดยแท้จริงแล้ว..

ณ วัดญวน สะพานขาวแห่งนี้แหละ.....คือจุดกำเนิด....
4645  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: ความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป ( หลวงพ่อบ๋าวเอิง ) เมื่อ: 17 เมษายน 2553 08:13:12


ครับ...ท่ามกลางมรสุมของความเคลือบแคลงว่า เชื่อได้หรือไม่” ในที่สุดหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านได้ตัดสินใจนำเรื่องราวเหล่านี้ตลอดจนประสบการณ์ทางวิญญาณที่เกิดขึ้นมาเผยแพร่   

ท่านกล่าวด้วยความมั่นใจว่า.....ท่านไม่กลัวเรื่องที่ว่าคนจะกล่าวหาท่านว่าเป็นพระงมงายไม่มีเหตุผล เพราะเรื่องที่ท่านทำมันไม่ใช่การทำลาย แต่มันเป็นเรื่องของการทำประโยชน์ และที่สำคัญมันเป็นการเผยแพร่ในเรื่องของจิต วิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด ตลอดจนบาปบุญคุณโทษ...





อาตมาเผยแพร่ด้วยความสุจริตใจ ด้วยศีลของพระพุทธองค์ ด้วยสัจจะของพระภิกษุ ถ้าจะมีผู้กล่าวหาว่าอาตมาทำเพื่อสร้างบารมีให้ตัวเอง อาตมาขอเจริญพรเสียก่อนในที่นี้ว่า


อาตมามีบารมีของตัวเองมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาอะไรอีกให้เกิดมลทินแก่ตัวเอง บารมีที่ว่านี้คือบารมีขององค์พระพุทธเจ้าที่อาตมาได้อาศัยอยู่ในขณะนี้....”


การสละตัวเข้าเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้า และประพฤติตามธรรมของพระองค์ เท่านี้ก็เป็นบารมีที่น่าภูมิใจมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาบารมีอะไรอีกแล้วสำหรับอาตมา...”




ความกล้าหาญของหลวงพ่อบ๋าวเอิงในการเลือกที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เสี่ยงต่อการต่อต้านของคนหลายคน ทำให้เรื่องราวที่เป็นเหมือนนวนิยายกลายเป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาอีกยาวนาน...


ในช่วงประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๑ หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้รับนิมนต์จากคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อกวนอู ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อไปประกอบพิธีเทวาภิเษกเบิกพระรัศมี เจ้าพ่อกวนอู” โดยมีการตกลงกันว่าหลวงพ่อแค่เพียงแต่ประกอบพิธีทางศาสนาให้ครบถ้วนและถูกต้องตามวิธีการเท่านั้น




ส่วนเรื่องของการเชิญเจ้าพ่อกวนอูเพื่อให้มาประทับทรงลุยไฟเป็นเรื่องของศาลเจ้า โดยท่านให้เหตุผลว่า มันไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ มันเป็นเรื่องของเจ้าพ่อกวนอูเองว่าจะกระทำได้หรือไม่ และถ้าวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว ท่านก็จะดลบันดาลลงประทับทรงลุยไฟเอง...


แต่การณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อเสร็จพิธีของท่าน คณะกรรมการศาลเจ้าได้ขอร้องไม่ให้ท่านกลับ และขอร้องให้ท่านเชิญวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูด้วย

เนื่องจากการจัดงานครั้งนี้คณะกรรมการได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจและทุนทรัพย์ลงไปมาก จึงอยากขอชมเป็นบุญตาว่าความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องเทพเจ้าทั้งหลายในโลกโดยเฉพาะเจ้าพ่อกวนอูนั้นมีจริงและศักดิ์สิทธิ์จริง...




เรื่องนี้จบลงตรงที่ท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนิมนต์ครั้งนี้ได้ ท่านว่ามันเป็นลักษณะของการเสี่ยง เพราะตั้งแต่เกิดมาท่านยังไม่เคยมีความคิดจะตั้งตัวเป็นอาจารย์ในทางเชิญวิญญาณเจ้าพ่อเจ้าแม่ลุยไฟเลย ครั้นถึงเวลาลุยไฟจริงๆ ท่านว่าแทบจะเป็นลมเพราะนึกว่าถ่านที่นำมาใช้ในพิธีลุยไฟจะใช่แต่เพียงถังสองถัง แต่นี่กลับมีมากถึงหลายเล่มเกวียน...




ข้าพเจ้าตกตลึงและจิตใจเต้นเป็นตีกลอง เหงื่อกาฬไหลทันที ไม่สามารถจะนำมาบอกเล่าได้อย่างไรถูก ยืนงงอยู่กับที่เป็นเวลานาน ขณะที่ผู้คนก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนต่อไหนเต็มลานไปหมด มองดูแล้วใจหาย....”


หลวงพ่อบ๋าวเอิงเล่าว่า...ท่านจุดธูปสวดมนต์ภาวนาตั้งเป็นหลายชั่วโมง ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าพ่อกวนอูจะเสด็จลงมาประทับทรงสักที และเมื่อหันกลับไปมองดูคนที่เข้ามาร่วมพิธี ท่านว่าถ้าแทรกแผ่นดินได้ก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเลย...


อีกอย่างถ้าเจ้าพ่อกวนอูไม่ยอมเสด็จลงมาลุยไฟเห็นทีจะต้องกราบถวายวัดและคืนตำแหน่งสมภาร คิดไปคิดมาท่านก็คิดถึงพระคาถาอัญเชิญวิญญาณในพิธีกงเต็ก..


ท่านว่าพระคาถานี้มีเพียง ๑๔ คำและสำหรับพระญวนแล้วนับว่าเป็นหญ้าปากคอกเลยทีเดียว ท่านจึงสั่งให้พระที่มาด้วยสวดขึ้น ขณะที่ตัวท่านได้ถือธูปสำรวมจิตและส่งกระแสจิตไปที่รูปเจ้าพ่อกวนอู...



ถ้ามีความศักดิ์สิทธิ์จริงแท้ ขอให้เข้าประทับร่างทรงคนหนึ่งคนใดลุยไฟให้เป็นที่ประจักษ์แก่ตาประชาชนในกาลบัดนี้เถิด....”


สรุปรวบรัดว่าหลวงพ่อบ๋าวเองสามารถอัญเชิญวิญญาณเจ้าพ่อกวนอูให้ประทับทรงและลุยไฟได้สำเร็จ แต่ท่านว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นยังไม่ได้ทำให้ท่านมั่นใจ เพราะมันอาจเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบบังเอิญชั่วครั้งชั่วคราว


ดังนั้นเมื่อท่านกลับมาถึงวัดท่านจึงได้จัดการบวงสรวงบูชาเจ้าพ่อกวนอูที่ศาลภายในวัดสมณานัมบริหาร และเมื่อท่านทำพิธีเชิญ ผลที่ได้รับคือท่านสามารถอัญเชิญดวงวิญญาณเจ้าพ่อกวนอูได้จริง...ครับเล่าลือกันว่าหลังจากเหตุการณ์ที่ปากน้ำโพ

ถนนทุกสายล้วนมุ่งตรงสู่วัดญวน
4646  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / Re: ความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป ( หลวงพ่อบ๋าวเอิง ) เมื่อ: 17 เมษายน 2553 08:10:33


หลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านเป็นพระที่ได้รับการยอมรับของลูกศิษย์และคนทั่วไปว่ามีความสามารถในการเชิญวิญญาณ ซึ่งท่านเคยเล่าให้ฟังว่าตัวท่านเองมีความสนใจในเรื่องของจิตและวิญญาณ ท่านจึงได้เริ่มค้นคว้าและทดสอบอยู่หลายปี จนท่านสามารถเชิญวิญญาณลงมาประทับบนร่างทรงได้...

ท่านอธิบายว่าการประทับทรงนี้เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อกับวิญญาณได้โดยตรงและเป็นวิธีการแต่เพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณได้ชัดเจนกว่าวิธีการในแบบอื่นๆ




ผลของการเชิญวิญญาณ จะทำให้เราพบว่าวิญญาณนั้นๆ มีสภาพอย่างไรและวิญญาณเหล่านั้นได้รับผลกรรมที่ตนเองเคยกระทำไว้เมื่อครั้งสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างไร...”

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงได้ตรัสรู้พระธรรมอันประเสริฐสุด คือ อริยสัจ ๔” ซึ่งเป็นทางที่ทำให้พระองค์ทรงหลุดพ้นจากมวลทุกข์ ไปสู่จุดหมายปลายทางคือ “พระนิพพาน” คือไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดใน “วัฏฏะสงสาร” อีกต่อไป...

เรื่องของ การเวียนว่ายตายเกิด” หรือ “การสืบภพชาติ” มีกล่าวไว้ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาและก็มีเรื่องจริงให้พวกเราได้เห็นเป็นตัวอย่าง เช่น การระลึกชาติ ฯลฯ

จะว่าไปแล้วถึงเรื่องเหล่านี้จะฟังดูแล้วเหมือนเป็นนิทานหรือนวนิยายสำหรับใครบางคน แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คงเชื่อถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริง.....





อาตมาภาพได้พยายามค้นคว้าหาวิธีที่จะนำเรื่องเหล่านี้มาแสดงให้ประจักษ์แก่คนทั่วไป โดยการเรียนรู้จากวิญญาณหรือที่เราเรียกกันว่า “สิ่งไม่มีตัวตน” ซึ่งถ้าเราปฏิบัติให้ถูกวิธีแล้วก็จะได้รับผลที่ปรากฏตามมา ส่วนว่าใครจะเชื่อแค่ไหนก็แล้วแต่ความวินิจฉัยของแต่ละคน...”

หลวงพ่อบ๋าวเอิงมักจะถ่อมตนเสมอว่าท่านเองเป็นเพียงนักปฏิบัติและชอบศึกษาค้นคว้าหาความจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ในฐานะที่ท่านเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้าในลัทธิ..

มหายานแห่งอนัมนิกาย...”

ท่านได้ใช้หลักที่ว่า...

เชื่อเป็นแม่บทแห่งความสำเร็จ

สำหรับเป็นหลักในการปฏิบัติ
และท่านก็เชื่อต่ออีกว่ามนุษย์เราทุกคนล้วนตกอยู่ในอำนาจสามประการคือ กิเลส กรรม และวิบาก” ด้วยหลักที่ว่าเมื่อชีวิตและร่างกายแตกดับแล้ว จิตวิญญาณย่อมเกิดสืบภพชาติต่อไปอีก อดีตวิญญาณของคนเราต้องมีแน่ ซึ่งสิ่งนั้นเองเป็นมูลเหตุให้ท่านมีความคิดที่ว่า “การติดต่อกับวิญญาณ” สามารถกระทำได้




พูดถึงเรื่องของการติดต่อกับวิญญาณหรือที่เราจะเรียกง่ายๆ ว่าการติดต่อกับภูตผีอะไรทำนองนี้ ผมเคยเรียนถามกับท่านพระสมณานัมธีราจารย์(ติ่นเรียน) เจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร องค์ปัจจุบัน ว่าท่านเชื่อหรือไม่ว่าเรื่องผีมีจริง แทนคำตอบท่านกลับถามผมว่า..

โยมต้องถามตัวเองก่อนว่าเชื่อเรื่องผีหรือเปล่า

แน่นอนครับคำตอบคือ... เชื่อ

การสนทนาจึงดำเนินต่อไปว่า ตามทัศนคติความเชื่อของชาวญวนพื้นฐานโดยทั่วไปเชื่อในเรื่องของวิญญาณ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวจึงเป็นที่มาของพิธีกรรมที่เราเรียกกันว่า


กงเต็ก

ท่านว่าพิธีกงเต็กมีมานานเนกาเลแล้ว...ซึ่งผมเองก็คงไม่ต้องอธิบายมากเพราะคติความเชื่อในพิธีกงเต็กนี้ ปัจจุบันก็ยังคงมีการประกอบพิธีอยู่เสมอ นัยว่าเพื่อเป็นเกียรติ เป็นประโยชน์แก่ผู้ถึงแก่กรรม ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นพิธีกงเต็กเสมอๆทั้งในงานราษฏร์และงานพิธีของหลวง




คำว่า กงเต็ก” ประกอบด้วยสองคำรวมกันครับ


คือคำว่า “กง” ในพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน หมายถึง การกระทำในสิ่งที่ถูกที่ชอบซึ่งเป็นประโยชน์แทนวิญญานผู้มรณะ
และคำว่า “เต็ก” หมายถึง กุศลกรรมอันเกิดจากกรรมดี


พิธีกงเต็กตามธรรมเนียมของชาวญวน” จะประกอบไปด้วย ๕ ขั้นตอนคือ ชุมนุมเทวดา เชิญวิญญาณให้มาสถิตอยู่ในโคมจำลอง เปิดมณฑลพิธี สวดแผ่เมตตาและส่งข้ามสะพาน....


และด้วยเหตุที่ว่าพิธีกงเต็ก มี”บทอัญเชิญเทพเจ้าและวิญญาณ” หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านจึงได้นำวิธีการนี้มาใช้ในการติดต่อกับวิญญาณครับ ความสำเร็จที่ได้จากเคล็ดลับอันนี้จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์นี้ครับ เรื่องมีอยู่ว่า....






ในปี พ.ศ.๒๔๘๙ หลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปทำพิธีกงเต็กให้แก่ นายฮ้วย แซ่หลือ โดยพิธีเริ่มในเวลาประมาณบ่ายสองโมง หลังจากได้ดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอนต่างๆครบถ้วนแล้ว


ในช่วงเวลาประมาณหกโมงเย็น ท่านได้ตั้งจิตอธิฐานระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ให้ทรงโปรดประทานโอกาสให้ดวงวิญญาณของนายฮ้วย แซ่หลือมาสิงสถิตย์ในโคมจำลอง(ที่สถิตของวิญญาณ-ตามพิธีกรรม) เพื่อที่ว่าวิญญาณจะได้ฟังธรรมและรับการแผ่ส่วนบุญกุศลจากบรรดาบุตรของนายฮ้วย....


หลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านเล่าว่า ในขณะนั้นเกิดนิมิตเห็นแสงสว่างขนาดเท่าไฟฉายส่องแสงเป็นลำและพุ่งตรงมาที่ท่าน ซึ่งในลำแสงนั้นท่านสังเกตว่ามีจุดเล็กๆเคลื่อนที่เข้ามายังตัวท่าน และมันก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ  จนท่านสังเกตเห็นว่ามันเป็น..


"ภาพของวิญญาณในร่างมนุษย์"





ซึ่งภาพนั้นเป็นร่างของมนุษย์สวมเสื้อกุยเฮงและกางเกงปั่งลิ้นสีดำ ลักษณะของร่างกายผอมและหลังค่อมเล็กน้อย เมื่อดวงวิญญาณนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ท่านสักพักก็หายไป ด้วยความประหลาดใจท่านจึงนำเอาลักษณะของชายชราคนนี้ไปถามกับบรรดาลูกๆของผู้ตาย คำตอบที่ได้รับคือชายคนนั้นคือ “...นายฮ้วย แซ่หลือ...” นั่นเอง....

หลวงพ่อเล่าว่า ขณะที่ท่านคิดว่าจะรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณเพื่อใช้เป็นคติสอนคน..


ท่านได้เกิดความวิตกว่ายังมีบุคคลอีกจำนวนมากที่ไม่เชื่อและไม่เลื่อมใสในเรื่องหล่านี้ ดูได้จากปัญหาข้อถกเถียงในเรื่องของ การเข้าทรง” ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ....เชื่อถือได้ขนาดไหน
4647  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / ความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป ( หลวงพ่อบ๋าวเอิง ) เมื่อ: 17 เมษายน 2553 08:07:14
องสรภาณมธุรส (หลวงพ่อบ๋าวเอิง) วัดสมณานัมบริหาร (วัดญวน สะพานขาว) ตอน ความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไป
 
 



สัตว์โลกทั้งหลายย่อมต้องพบกับสภาวะ ๔ อย่าง คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย..”

ในพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่าทั้ง ๔ อย่างนี้ล้วน “เป็นความทุกข์” เพราะเมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ไปแล้วก็ยังต้องไป “เวียนว่ายตายเกิด” ในภพชาติต่างๆ หาสูญสิ้นไม่....

การทำบาปด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี แม้จะกระทำในที่ลับไม่มีผู้ใดรู้ ก็ยังมีผู้หนึ่งรู้จนได้ ผู้นั้นคือ....ตนเอง....”



กรุงเทพมหานครย้อนหลังไปประมาณ ๗๐ ปี ชื่อของ องสรภาณมธุรส (หลวงพ่อบ๋าวเอิง)” อดีตเจ้าอาวาส “วัดสมณานัมบริหาร” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “วัดญวน สะพานขาว” เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในฐานะที่ท่านเป็นพระสงฆ์ญวน สังกัดอนัมนิกาย ที่มีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักของพุทธศาสนา

ความเมตตาของท่านนอกจากการให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บแล้ว สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในยุคสมัยนั้นคือ การอัญเชิญวิญญาณ” และ “การติดต่อสื่อสารกับสิ่งเร้นลับ” เช่น เทพ เทวดา วิญญาณของนักบวชที่ล่วงลับไปแล้ว ฯลฯ.....



วัดสมณานัมบริหาร..เป็นวัดฝ่ายอนัมนิกาย..” เดิมชื่อ “วัดเกี๋ยงเพื้อกตื่อ” ตั้งอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ชาวญวนที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้สร้างขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดสมณานัมบริหาร"



อนัม....แปลว่า ญวน หรือเวียดนาม คนที่มีเชื้อสายของประเทศเวียดนามเราเรียกว่าคนญวน หรือคนอนัม ซึ่งเมื่อคนเหล่านั้นอพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในเมืองไทยและมีการสร้างวัดขึ้น

เราจึงเรียกวัดเหล่านั้นว่า วัดญวน หรือวัดอนัม ซึ่งคำว่า อนัม หรือ ญวน หรือ เวียดนาม” จึงเป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน ดังนั้นคำว่า “อนัมนิกาย” จึงสามารถแปลได้ว่า...

การถือพระพุทธศาสนาอย่างเมืองญวน



แต่เนื่องจากพระญวนในประเทศเวียดนามกับพระญวนในประเทศไทยไม่ได้มีการติดต่อกัน  โดยต่างฝ่ายต่างก็ถือคติและธรรมเนียมตามประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่ ดังนั้นพระญวนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จึงหันมายึดถือตามแนวของพระสงฆ์ไทยในบางเรื่อง เช่นการไม่ฉันข้าวเย็น การครองผ้าสีเหลือง ฯลฯ



ซึ่งลักษณะแบบนี้จะแตกต่างจากพระสงฆ์ในประเทศเวียดนามหรือประเทศจีน คือพระสงฆ์ที่นั่นสามารถฉันข้าวเย็นได้ การครองผ้าจีวรมีทั้งสีเทา สีแดงฝาด สีเหลือง และสีอื่น ๆ เพียงแต่ข้อวัตรปฏิบัติอย่างอื่นและกิจของสงฆ์ที่พึงทำ”ก็ยังคงปฏิบัติตามแบบในประเทศเวียดนามเหมือนเดิม เช่น ประเพณีการทำกงเต็ก หรือการให้ความเคารพและเชื่อถือในเรื่องของเทพเจ้าต่างๆ

4648  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก / Re: หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต 'พระบริสุทธิสงฆ์' ที่น่ากราบไหว้ เมื่อ: 17 เมษายน 2553 07:56:58
ไปกราบ 'พระดี' ที่...เมืองนนท์

หลวงปู่บุญฤทธิ์ ศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

----------------------------




          จ.นนทบุรี มีพื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา สองฟากฝั่งจึงเต็มไปด้วยสวนผลไม้ต่างๆ มากมาย รวมทั้งต้นไม้ใหญ่น้อยที่สร้างความร่มรื่นเป็นอันมาก แม้ทุกวันนี้ความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง ได้รุกรานแปรเปลี่ยนที่ดินจากสภาพร่องสวนให้กลายเป็นบ้านที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่นมากขึ้นก็ตาม แต่ยังมีอยู่อีกหลายพื้นที่ที่ยังคงสภาพความเป็นสวน มีต้นไม้ใหญ่ๆ และไม้ผลไม้ดอกให้ความร่มเย็นตลอดเวลา




          โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาณาเขตบริเวณของ สวนทิพย์ บ้านเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่ดินของลูกหลานท่านจอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งได้เปิดเป็นร้านอาหารไทย อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นบรรยากาศบ้านสวน ที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ทำให้มีอากาศที่สดชื่นอยู่เสมอ

          ด้วยความที่เจ้าของบ้านสวนทิพย์ เป็นผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และมีความเคารพศรัทธานับถือพระเถราจารย์ท่านหนึ่ง ผู้มีวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นอย่างยิ่ง จึงได้จัดมุมหนึ่งของสวนทิพย์ให้เป็นที่พักสงฆ์ขึ้นมา และได้กราบนิมนต์พระเถราจารย์ท่านนี้มาพำนักจำพรรษา เพื่อให้พระเดชพระคุณท่านได้มีสถานที่อันสงบเงียบ และร่มเย็น เหมาะสำหรับเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญจิตภาวนา ได้โดยสะดวก

          พระเถราจารย์ที่ว่านี้ คือ หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต (บัณฑิโต) พระวิปัสสนาจารย์กรรมฐาน (พระป่า) ศิษย์สาย พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผู้มีปฏิปทาอันน่าเคารพศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

          หลวงปู่บุญฤทธิ์ เป็นชาวท่าอิฐ อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ท่านเกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๗ ปีขาล มีชื่อเดิมว่า บุญฤทธิ์ จันทรสมบูรณ์ เป็นบุตรของ หลวงพินิจจินเภท และ คุณแส (บุญสืบ จันทรสมบูรณ์)

          โยมแม่เป็นผู้มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก และเป็นผู้ใฝ่ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ที่บ้านจึงมีตู้หนังสือ มีหนังสือต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะหนังสือธรรมะ และบทสวดมนต์ต่างๆ ทำให้หลวงปู่มีนิสัยชอบการอ่านหนังสือมาตั้งแต่เยาว์วัย

          เมื่อเด็กๆ หลวงปู่มีผิวขาว ใบหน้าคล้ายคนฝรั่ง ผมสีแดง จนชาวบ้านชอบล้อท่านว่า เป็นลูกครึ่งฝรั่ง พอโตขึ้นมา ผมสีแดงนั้นค่อยๆ กลายเป็นสีดำ

          พอโตขึ้นมาหน่อย หลวงปู่ถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล สามเสน ได้เลขประจำตัว ๗๒๒ ด้วยเหตุนี้ หลวงปู่จึงมีความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศส เป็นอย่างดี มาตั้งแต่เด็กๆ

          ต่อมาท่านได้สอบชิงทุน ก.พ. ไปเรียนวิชาโบราณคดีที่ฮานอย เวียดนาม พอเรียนจบแล้วได้เดินทางกลับเมืองไทย เข้าทำงานที่ห้องสมุดแห่งชาติ (เก่า) โดยมี พระยาอนุมานราชธน เป็นหัวหน้า และหลวงวิจิตรวาทการ เป็นอธิบดีกรมศิลปากร

          หลังจากนั้นไม่นาน ท่านได้สอบเข้าทำงานที่กองการต่างประเทศ (สมัยนั้นขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย) ตำแหน่งล่ามภาษาฝรั่งเศส ทำงานอยู่ได้ระยะหนึ่ง ได้รับคำสั่งให้ไปประจำที่ จ.พระตะบอง (สมัยนั้นยังเป็นของไทย ปัจจุบันอยู่ในเขมร)




          ช่วงนั้นกำลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลวงปู่ทำงานอยู่ได้ ๖ เดือนก็ย้ายกลับเข้ากรุงเทพฯ ๑ ปีต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่ จ.พระตะบอง อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับทำหน้าที่ล่ามประจำจังหวัดหนองคาย

          และที่นี่เอง ที่หลวงปู่ได้รู้จักกับ คุณนายละเมียด สัชฌุกร ได้สนทนากันเรื่องพระพุทธศาสนา ซึ่งหลวงปู่กำลังสนใจในเรื่องนี้อยู่ และได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระสูตรที่สำคัญสุดในการภาวนา คือ สติปัฏฐานสูตร แต่หลวงปู่ไม่รู้จักการภาวนา และการปฏิบัติก็ยังไม่มี           

          คุณนายละเมียด ท่านนี้เป็นลูกศิษย์ของ พระอาจารย์กู่ ธัมทินโน วัดป่าทุ่งสว่าง อ.เมือง จ.หนองคาย ผู้เป็นศิษย์รุ่นแรกของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต และเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่หลุย หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ขาว หลวงปู่ลี ฯลฯ

          พร้อมกันนั้น คุณนายละเมียดได้พาหลวงปู่ไปหาพระอาจารย์กู่ ที่วัดป่าทุ่งสว่าง วัดเล็กๆ มีศาลาอเนกประสงค์หลังน้อยๆ หลังคามุงสังกะสีผุๆ ไม่มีฝา ขณะนั้นมีชาวบ้านกำลังนั่งฟังเทศน์จากพระอาจารย์กู่ หลวงปู่ก็เข้าไปนั่งฟังด้วย

          พอท่านเทศน์จบ หลวงปู่ได้สอบถามปัญหาธรรมะต่างๆ อย่างพรั่งพรู  โดยหลวงปู่บอกว่า...เหมือนยิงลูกศรไปในอากาศ...มีแต่ความว่าง พระอาจารย์กู่ ท่านไม่มีอารมณ์เลย ท่านไม่มีขัดข้องอะไร มีแต่ความเมตตา ใจเย็นสม่ำเสมอ สบาย นี่ถ้าเป็นพระบางรูป คงจะโกรธแล้ว นึกในใจว่า... พระรูปนี้ไม่ใช่พระธรรมดาเสียแล้ว

          ตรงนี้ทำให้หลวงปู่มีความประทับใจพระอาจารย์กู่มาก จึงได้ไปสนทนากับท่านบ่อยๆ จนเกิดศรัทธาอยากจะบวชขึ้นมาทันที ขณะนั้นเป็นปี ๒๔๘๙ โดยประกอบพิธีบรรพชาอุปสมบทที่วัดศรีเมือง จ.หนองคาย มีท่านพระครูเจ้าอาวาสวัดศรีเมือง และเจ้าคณะจังหวัด (ธรรมยุต) เป็นพระอุปัชฌาย์ (ต่อมาท่านพระครูรูปนี้ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ที่ พระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าคณะภาค)

          หลังจากนั้น หลวงปู่ซึ่งเป็นพระบวชใหม่ได้ไปอยู่จำพรรษากับพระอาจารย์กู่ ที่วัดป่าอรุณรังษี อยู่หลังเรือนจำ นอกเมืองหนองคาย อันเป็นอีกวัดหนึ่งที่พระอาจารย์กู่ปกครองดูแลอยู่ในสมัยนั้น

          หลวงปู่เริ่มปฏิบัติธรรมภาวนาทันที โดยมีพระอาจารย์กู่คอยให้คำแนะนำ และเมื่อปฏิบัติบ่อยๆ เข้าก็เกิดความปีติ มีความรู้สึกว่า การปฏิบัติธรรมภาวนา ทำให้จิตสงบ เป็นความสุขที่หาไม่ได้ง่ายนัก

          มาถึงตรงนี้ หลวงปู่คิดว่า เราสบายแล้ว ไปเที่ยวธุดงค์ดีกว่า ไปนานหรือไม่นานก็ไม่เป็นไร ช่วงนั้นหลวงปู่มีอายุ ๓๑ ปี ใจก็คิดอยากบวชไปนานๆ เลยทำหนังสือขอลาออกงานราชการ

          เรื่องราวของหลวงปู่บุญฤทธิ์ น่าสนใจและน่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะชีวิตในสมณเพศของท่าน ที่ได้มุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมภาวนา แบบถวายชีวิตต่อพระพุทธศาสนา จนได้พบกับพระคณาจารย์สำคัญๆ ที่ล้วนเป็นพระป่า ศิษย์สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลายท่านด้วยกัน

          ตลอดเวลาที่หลวงปู่บวชเป็นพระกว่า ๖๐ ปี มีเรื่องอันน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมภาวนา การเดินธุดงค์ไปทั่วทุกแห่งหนในเมืองไทย รวมทั้งการเป็นพระธรรมทูต ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ รวมทั้งอบรมการปฏิบัติธรรมภาวนา เริ่มจากออสเตรเลีย (พ.ศ.๒๕๑๗) เม็กซิโก สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน เบลเยียม ฯลฯ

          ทุกเรื่องราวที่ผ่านมา หลวงปู่ได้ทำบันทึกไว้อย่างละเอียด และได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือ เสียงจากปากเกร็ด หนากว่า ๓๐๐ หน้า จัดพิมพ์มาแล้ว ๘ ครั้ง โดยคณะศิษยานุศิษย์ และผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส ร่วมบริจาคปัจจัยเป็นทุนการจัดพิมพ์เผยแพร่




          หลวงปู่ได้กลับมาอยู่เมืองไทยเมื่อ ๕ ปีก่อน จนถึงทุกวันนี้ โดยพำนักอยู่ที่ ที่พักสงฆ์สวนทิพย์ ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี

          การเดินทางที่สะดวกสุด เริ่มจากท่าน้ำ ห้าแยกปากเกร็ด ซึ่งทุกวันนี้มี สะพานพระรามที่ ๔ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา พอเลี้ยวยูเทิร์นใต้สะพานช่องสุดท้ายแล้ว ให้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุขประชาสรรค์ (ทางไปวัดกู้) ระยะทางประมาณ ๑.๗ กม. จะเห็นป้าย สวนทิพย์ อยู่ซ้ายมือ ให้เลี้ยวเข้าไปได้เลย (หากไปไม่ถูกสอบถามได้ที่โทร.๐๘-๑๘๑๖-๑๖๑๙)

          ท่านที่จะไปกราบหลวงปู่ ขอให้ศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ดี โดยเฉพาะเวลาที่จะเข้าพบหลวงปู่ ที่คณะศิษยานุศิษย์ได้กำหนดไว้ ๔ ช่วง คือ ตอนเช้าเวลา ๐๘.๑๕ น. ตอนเที่ยงเวลา ๑๑.๑๕ น. ตอนบ่ายเวลา ๑๕.๐๐ น.  และตอนค่ำเวลา ๒๐.๐๐ น. ๒ เวลาช่วงหลังนี้ หลวงปู่จะเมตตาอบรมให้ญาติโยมนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมภาวนา
          นอกเหนือจากนี้ เป็นเวลาพักผ่อนของหลวงปู่ เนื่องจากมีอายุมากแล้ว (๙๖ ปี) จึงควรจะช่วยกันรักษาธาตุขันธ์ของหลวงปู่ให้ได้อยู่กับศรัทธาญาติโยมไปนานๆ

 
 
http://www.oknation.net/blog/laemkcl/2010/04/13/entry-1
4649  สุขใจในธรรม / พุทธประวัติ - ประวัติพระสาวก / หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต 'พระบริสุทธิสงฆ์' ที่น่ากราบไหว้ เมื่อ: 17 เมษายน 2553 07:55:05


หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต

'พระบริสุทธิสงฆ์' ที่น่ากราบไหว้

----------------------------

          หลวงปู่บุญฤทธิ์ บัณฑิโต ที่พักสงฆ์ "สวนทิพย์" อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ท่านบวชเมื่อปี ๒๔๘๙ หลังจากที่ได้อยู่จำพรรษากับ พระอาจารย์กู่ ที่วัดป่าอรุณรังษี อ.เมือง จ.หนองคาย ระยะหนึ่งแล้ว ท่านได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาพระไตรปิฎกอย่างจริงจัง แล้วจึงกลับไปอยู่ที่วัดสุปฏินาราม จ.นครราชสีมา จากนั้นได้ไปอยู่ที่วัดป่าลุมพุก จ.อุบลราชธานี รู้สึกพอใจสภาพของวัดนี้มาก จึงได้ฝึกปฏิบัติธรรมภาวนา และเรียนรู้เรื่องของปฏิจจสมุปบาทตอนต้น จนได้ปัญญา ทำให้ความคิดที่อยากจะลาสิกขา หายไปจนหมดสิ้น ตั้งใจว่า จากนี้ไปจะขออยู่ในสมณเพศไปตลอดชีวิต

          ต่อมาท่านได้เดินทางไปอยู่กับ พระอาจารย์ลี ธัมมธโร  (ศิษย์รุ่นที่ ๒ ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) ที่วัดป่าคลองกุ้ง จ.จันทบุรี พอออกพรรษาปี ๒๔๙๑ ท่านได้เดินทางไป จ.เชียงใหม่ พักที่วัดเจดีย์หลวง พอถึงวันวิสาขบูชา มีพระป่าสายกรรมฐาน ศิษย์พระอาจารย์มั่น ร่วม ๑๐๐ รูป มาชุมนุมกันที่นั่น นับเป็นโอกาสอันดีที่หลวงปู่จะได้พบกับพระผู้ใหญ่หลายรูป อาทิ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ฯลฯ

          สำหรับ หลวงปู่ชอบ นับเป็นศิษย์รูปสำคัญของพระอาจารย์มั่นท่านหนึ่ง โดยมีผู้ยกย่องว่า ท่านเป็นผู้มี อภิญญา สูงมาก

          คำว่า 'อภิญญาสูงมาก' นี่เอง ที่ทำให้หลวงปู่บุญฤทธิ์เกิดความศรัทธานับถือ จึงได้เดินทางไปขอพบเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์

          ขณะนั้นหลวงปู่ชอบ จำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าบ้านยางผาแด่น อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ อันเป็นวัดเล็กๆ (สำนักสงฆ์) ที่ท่านได้สร้างขึ้น ในหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง อยู่บนภูเขาสูง กลางดงป่าใหญ่ ทุรกันดารมาก ไม่มีทางรถไปถึง การเดินทางต้องบุกป่าฝ่าหนามปีนเขาขึ้นไปเท่านั้น

          พระผู้ใหญ่หลายท่านที่ได้ทราบข่าว ต่างพากันห้ามหลวงปู่บุญฤทธิ์ว่า อย่าไปเลย เพราะหนทางลำบากมาก โหดสุดๆ แต่ท่านก็ไม่เชื่อฟัง โดยได้ตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่แล้วว่า จะต้องเดินทางไปให้ถึงจนได้

          หลวงปู่บุญฤทธิ์ บันทึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า... "ญาติโยมได้ว่าจ้างคนหามของ บุกไป พื้นดินเป็นแต่ขี้โคลนครึ่งเข่า เดินขึ้นเขาสูงครึ่งวัน ทั้งวันจะหารอยเท้าคน รอยเท้าสัตว์ ไม่มีเลย ทางไปลำบากมาก วนเดินหลงป่าอยู่ ๒ หน ไปถึงวัดหลวงปู่ชอบเอาเกือบค่ำ แอบบ่นในใจว่า...แหมท่านอาจารย์ ทำไมมาอยู่ที่ยากอย่างนี้หนอ..."

          พอไปถึง ได้พบกับหลวงปู่ชอบแล้ว ท่านก็ได้จุดเทียนอธิษฐาน ปวารณาขอจำพรรษาบนเขาสูง วัดป่าบ้านยางผาแด่น กับ หลวงปู่ชอบ ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ในปีนั้น (พ.ศ.๒๔๙๓) โดยได้ทำหน้าที่ถวายอุปัฏฐากหลวงปู่ชอบทุกอย่าง ขณะเดียวกันก็ได้รับคำแนะนำสั่งสอนในการปฏิบัติธรรมกรรมฐานจากหลวงปู่ชอบด้วย

          ต่อมา เมื่อออกพรรษา หลวงปู่ชอบได้ลงไปจากเขา ส่วนหลวงปู่บุญฤทธิ์ยังอยู่ต่อไปเพียงรูปเดียว เพราะท่านได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้วว่า จะขออยู่บนนี้ ๓ ปี จึงต้องทำตามที่ได้ตั้งใจอธิษฐานไว้

          ในพรรษาที่ ๒ ท่านพ่อลี ธัมมธโร ได้ขึ้นมาอยู่บนเขานี้ด้วย และได้สอนให้หลวงปู่บุญฤทธิ์นั่งสมาธิแบบปฏิภาคนิมิต อานาปาณสติกรรมฐาน คือ การทำสมาธิโดยกำหนดลมหายใจเข้าออก ซึ่งท่านพ่อลีเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนี้มาก

          หลวงปู่บุญฤทธิ์ได้ปฏิบัติธรรมภาวนาอยู่บนเขาบ้านยางผาแด่น จนครบ ๓ ปี ตามที่ได้อธิษฐานไว้ หลังจากนั้นท่านได้ลงมาจากเขาสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ โดยได้เดินทางไปอยู่วัดโน่นบ้าง วัดนี้บ้าง ที่เป็นวัดป่าสายพระอาจารย์มั่น ในหลายๆ จังหวัด เป็นเวลาหลายปี รวมทั้งได้ไปดูแลการก่อสร้างวัดป่าที่ จ.สตูล อีกด้วย

          พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงปู่ได้รับหน้าที่ให้เป็นพระธรรมทูต ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา ที่ประเทศออสเตรเลีย รวมทั้งการสอนปฏิบัติธรรมภาวนา เผยแผ่ให้ทั้งคนไทยในออสเตรเลีย และชาวต่างชาติที่สนใจ รวมทั้งได้เขียนหนังสือเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติธรรมภาวนา ที่เป็นชาวต่างชาติได้เรียนรู้เข้าใจง่ายขึ้น




          และที่ออสเตรเลียนี้เอง ที่ คุณแซม ชาวออสเตรเลีย เกิดความศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่มาก จึงได้ถวายตัวเป็นลูกศิษย์ ติดตามรับใช้หลวงปู่ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็ตาม  คุณแซมได้ติดตามหลวงปู่มาจนถึงทุกวันนี้ รวมเวลาได้ ๒๐ ปี คุณแซมจึงสามารถพูดภาษาไทยฟังภาษาไทยได้เป็นอย่างดี

          เรื่องราวเหล่านี้ หลวงปู่บุญฤทธิ์ได้บันทึกไว้แล้วอย่างละเอียด ในหนังสือ "เสียงจากปากเกร็ด" ซึ่งผู้ไปกราบไหว้ท่านที่ สวนทิพย์  สามารถขอรับได้ โดยขอให้ช่วยกันบริจาคปัจจัยสมทบทุนค่าจัดพิมพ์ เพียงเล่มละ ๑๐๐ บาทเท่านั้น (หนังสือขนาด เอ ๔ หนากว่า ๓๐๐ หน้า) เป็นหนังสือที่น่าอ่านน่าศึกษามาก โดยเฉพาะผู้ที่ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมกรรมฐาน

          นอกจากนี้ หนังสือ เสียงจากปากเกร็ด เล่มนี้ ยังมีบทพระธรรมเทศนา ทั้งที่เป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ รวมทั้งลายมือของหลวงปู่อีกด้วย แสดงถึงความอุตสาหะ ที่หลวงปู่ได้ตั้งใจบันทึกไว้ เพื่อจะได้สอนลูกศิษย์รุ่นต่อๆ ไป

          การไปกราบไหว้หลวงปู่บุญฤทธิ์ ที่ "สวนทิพย์" ปากเกร็ด นั้น แม้ว่าจะเป็นที่ดินส่วนบุคคล แต่เจ้าของสถานที่ก็ยินดีให้ผู้เคารพศรัทธาหลวงปู่เข้าไปกราบไหว้ได้โดยสะดวก ไม่มีการกีดกันแต่ประการใด เพียงแต่ขอให้ไปในช่วงที่ได้กำหนดเวลาไว้แล้ว คือ ตอนเช้า ๐๘.๑๕ น. ตอนเที่ยง ๑๑.๑๕ น. เพื่อให้หลวงปู่มีเวลาพักผ่อนบ้าง ส่วนตอนบ่าย ๑๕.๐๐ น. และตอนค่ำ ๒๐.๐๐ น. เป็นเวลาที่หลวงปู่เมตตาอบรมให้ญาติโยมนั่งสมาธิปฏิบัติธรรมภาวนา

          ทุกวันนี้ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีจริยวัตรที่น่าเคารพศรัทธาเลื่อมใส เป็นพระแท้พระบริสุทธิ์ น่ากราบไหว้  นับวันจะหายาก...เมื่อได้มาพบเห็น หลวงปู่บุญฤทธิ์  ก็มั่นใจได้เลยว่า นี่คือ...พระบริสุทธิสงฆ์ ที่น่ากราบไหว้ที่สุด...ในยุคนี้

         

0 แล่ม จันท์พิศาโล 0

********************* 
4650  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / กระบวนการ NEW AGE / ความทรงจำนอกมิติ : จิตวิญญาณ-เมื่อแก่นของศาสนากับวิทยาศาสตร์พบกัน เมื่อ: 13 เมษายน 2553 08:21:18

 
ทำไม?   ศาสนากับวิทยาศาสตร์ถึงพูดจากันไม่ได้?  ทั้งๆ  ที่ทั้ง  2  วินัยต่างก็อธิบายธรรมชาติด้วยกันว่าคืออะไร?  ทำงานอย่างไร?  และทำไมถึงมีธรรมชาติขึ้นมาในโลก?   บทความวันนี้จะแสดงให้เห็นตรงกันข้าม  ซึ่งความรู้สึกและประสบการณ์ที่เรามีขึ้นมาตั้งแต่ต้น   ตั้งแต่มนุษย์คนแรกเกิดขึ้นมาบนโลกแล้วค่อยๆ  สะสมปรากฏการณ์มาตลอดเวลาในอดีต  นั่นคือมนุษย์แยกออกจากธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง   เมื่อมนุษย์ละทิ้งต้นไม้และป่าเขา  มาอยู่ที่ราบและลุ่มน้ำ   นั่นคือความรู้สึกอันแรกสุดของมนุษย์ที่กลายเป็นความเชื่อหรือความรู้ในตอนนั้น  แต่ถ้าหากเรามองดูเรื่องทั้ง  2  ในเรื่องศาสนาและวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดและรอบด้านก็จะพบว่ามนุษยชาติเป็นเผ่าพันธุ์เดียวท่ามกลางสัตว์ที่มากหลายนับเป็นล้านๆ  เผ่าพันธุ์  -  ที่เรารู้ด้วยวิทยาศาสตร์ว่ามนุษยชาติก็เป็นสัตว์ที่ได้มีวิวัฒนาการทางชีววิทยาของชีวิตมาจนถึงจุดสุดยอดที่ทำให้เราแตกต่างจากสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงหลากหลายเหล่านั้น  -  เพียงเพราะอย่างเดียวโดดๆ  นั่นคือ  มนุษย์เป็นสัตว์โลกประเภทเดียวหรือเผ่าพันธุ์เดียวที่รู้ว่าตนมีจิตของตนแตกต่างไปจากสัตว์ทั้งหลายที่  -  จิตรู้เพราะ  -  ตนคือผู้ที่รู้นั้น

     ผู้เขียนไม่ได้และไม่เคยดูถูกดูแคลนผู้ที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นผู้ที่เคร่งศาสนา   หรือเป็นผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้เรื่องอะไรๆ  ที่เกี่ยวข้องกับศาสนาของตน  หรือศาสนาที่ตนนับถืออยู่  ไม่ว่าศาสนาอะไร   รวมทั้งพุทธศาสนา   แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าคนไทยผู้ที่นับถือพุทธเป็นส่วนใหญ่ที่คิดว่าตนรู้จักพุทธศาสนาดีหรือเป็นพุทธมามกะเหล่านั้นจะรู้จักแก่นแกนที่แท้จริงของพุทธศาสนาสักกี่เปอร์เซ็นต์   หรือมีจำนวนเท่าใด  ซึ่งซีดีของหลวงพ่อปราโมช  ครูผู้สอนวิปัสสนาสมาธิบอกว่า  ไม่รู้ว่าทั่วประเทศไทยจะมีถึงหมื่นๆ  คนหรือไม่?

     ที่หลวงพ่อปราโมชกล่าวมานั้นสำคัญทีเดียว  นั่นแปลว่าผู้นับถือพุทธของบ้านเราที่มีมากกว่า  50  ล้านคน  ล้วนแล้วแต่  -  หากไม่ใช่เพราะเกิดในประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่มากๆ  นับถือพุทธ  ฉะนั้นจึงเป็นพุทธอยู่แล้ว  ต้องถือว่าอย่างดีก็รู้จักแต่กระพี้ของพุทธศาสนา  ดี  -  ไม่ดี  -  รู้จักแต่อะไรก็ไม่รู้?!  -  เพราะฉะนั้น  ที่อ้างกันว่าคนไทยส่วนใหญ่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นผู้รู้พุทธศาสนาเป็นอย่างดี   แต่ความจริงแล้วบ้านเราล้วนเต็มไปด้วยผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่เป็นไปเช่นนั้นโดยอัตโนมัติ  หรือไม่ก็มีแต่ผู้ที่มีความงมงายไสยศาสตร์ปราศจากแก่นแกนของศาสนาเลยแม้แต่น้อย  อย่าลืมว่าพุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาที่เกิดมาในลัทธิพระเวทกับลัทธิก่อนพระเวท  (pre-vedic  culture)  ที่มีมาก่อนพุทธศาสนานานนับเป็นพันๆ  ปี  และลัทธิพระเวท  -  ก่อนพระเวทที่มีมาก่อนนานนักหนานั้น  มีอยู่  2  ส่วน  คือ  พรหมนาส  (brahmanas  หรือวิถีชีวิตในบ้านในเมือง)  กับอรัญยากา  (aranyaka  หรือวัฒนธรรมในป่าในเขา)  ส่วนหนึ่งหรือครึ่งหนึ่ง  ได้แก่  พรหมนาสทั้งหมดและอรัญยากาส่วนน้อยนิด  ซึ่งด้วยกาลเวลา  -  ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเป็นศาสนาพราหมณ์อันประกอบด้วยพิธีกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่มากๆ   ได้ทำให้นักปรัชญาปัญญาชนและนักคิดของอินเดียทั้งหลายในตอนนั้นอึดอัดใจ  รวมทั้งพระพุทธองค์ก่อนที่จะได้บรรลุนิพพาน   บรรดานักคิดนักปรัชญาเหล่านี้จึงเชื่อว่าต้องแสวงหาความจริงที่แท้จริง  -  ของธรรมชาติที่มองเห็น  เช่น  จักรวาล  โลก  ภูเขา  และวัตถุธาตุอย่างหนึ่ง  กับธรรมชาติที่มองไม่เห็น  เช่น  จิต  จิตวิญญาณ  พระเจ้าและเทพเทวดาอีกอย่างหนึ่ง  ล้วนอีกครึ่งหนึ่งหรือส่วนหนึ่ง  ได้แก่  อรัญยากา  หรือการปฏิบัติตามป่าตามเขา  ซึ่งนักคิดนักปรัชญาสนใจมากกว่าการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงแท้  ด้วยวิธีการภายในท่ามกลางความสงบของธรรมชาติของป่าของเขา  (การทำสมาธิ)  หรืออรัญยากาอันเป็นวิธีที่ทำให้ผู้ปฏิบัติด้วยความตั้งใจจริงๆ  อาจสามารถเข้าถึงความจริงแท้ได้  อรัญยากาและการทำสมาธิหรือโยคะจึงเป็นวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความจริงที่แท้จริงและหลุดพ้นได้  อรัญยากาที่เน้นเฉพาะการทำสมาธิสู่การหลุดพ้น  (transcendence)  หรือตรัสรู้  (enlightenment)  จึงยังคงเป็นวิถีปฏิบัติของทุกศาสนาที่เกิดจากลัทธิพระเวท  รวมทั้งศาสนาพราหมณ์  เช่น  ของมหาวีระ  และพุทธศาสนา  ฯลฯ

 
     คัมภีร์  หรือฤคเวททั้ง  4  เวท  และอุปานิษัทที่ตามมาของลัทธิพระเวท  (ที่พัฒนามาเป็นศาสนาพราหมณ์สายตรง)   ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวที่ได้มาจากปรัชญาบวกกับญาณ   หยั่งรู้   (intuition  หรือปัญญาในทางศาสนา  อันหมายถึง  ภาวนามัยปัญญาที่เป็นพื้นฐานของ  wisdom)  บวกกับความเชื่อศรัทธาและพิธีกรรมของพระเจ้าผู้สร้างตามพรหมนาส  -  ที่นับวันก็ยิ่งมีมากมายยิ่ง  จนกระทั่งนักคิดนักปรัชญาหลายๆ  คนอึดอัดใจ  รวมทั้งพระพุทธเจ้าดังได้กล่าวมาแล้ว  -  เรารู้มาว่าในสมัยที่พระพุทธองค์ก่อนจะได้หลุดพ้นและการตรัสรู้นั้น  พระองค์ได้ทรงศึกษาลัทธิพระเวททั้งหมด  รวมทั้งอุปานิษัท  (ที่มีอยู่ในสมัยนั้นเพียง  5  เล่ม  และเขียนเสร็จในช่วงต่อมาในขณะที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่อีก  3  เล่ม  อย่างช่ำชองยิ่ง)  และจากที่พระองค์ได้ศึกษามาทั้งลัทธิพระเวทและจากคัมภีร์และหนังสือทั้งของอินเดียโบราณและจากที่อื่นๆ  เท่าที่มีอยู่ในสมัยนั้น  พระองค์จึงเป็นผู้ที่รอบรู้ในความรู้ทั้งหมดของโลกอย่างแท้จริง  สมกับสมญานามที่ทุกๆ  คนเรียกหาพระองค์ว่าเป็นสัพพัญญูชนของโลก

     ไม่มีใครรู้ว่า  ใครที่อินเดียเป็นผู้เขียนหรือรวบรวมลัทธิพระเวท  และโดยเฉพาะวัฒนธรรมก่อนพระเวท   (pre-vedic  culture)  มาจากไหน?  หนึ่งในข้อสันนิษฐานที่น่าจะเอามาคิดต่อ  มีว่าวัฒนธรรมก่อนพระเวทไม่ได้มาจากเอเชียกลางหรือเผ่าอารยัน  แต่มาจากแอฟริกา  มาตั้งแต่ทะเลอาหรับยังเป็นพื้นดิน  ซึ่งหมายความว่าเมื่อความหนาวเย็นของยุคน้ำแข็ง  (ice-age)  ครั้งสุดท้ายถึงจุดสูงสุด  เมื่อแผ่นดินอยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึงกว่า  400  ฟุต  เมื่อ  18,000  ปีก่อน  ซึ่งเป็นช่วงก่อนตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานบ้านช่องของมนุษย์ตามที่นักโบราณคดีวิทยาศาสตร์เชื่อ

     ก่อนไอน์สไตน์  -  กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับบทความของวันนี้  คือ  ไบรอัน  กรีนแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  กับมิชิโอะ  กากุแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กซิตี  นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยา  ต่างกรรมต่างวาระกัน  (2004  and  2005)  ทั้ง  2  คนต่างก็ได้เขียนหนังสือที่ขายดีมากๆ  คนละเล่มเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่  ทฤษฎีซูเปอร์สตริง  และมิติของจักรวาล  เพราะฉะนั้นก่อนไอน์สไตน์ไปหลายพันปี  ศาสดาของลัทธิพระเวทได้บอกกับเราตลอดมาว่า  จักรวาลมีกลุ่มของมิติ  (หรือภูมิ  หรือชั้นของชีวิต  หรือที่ว่างของการดำรงอยู่)  ออกเป็นกลุ่มๆ  โดยมีมิติเกี่ยวกับสถานที่หรือที่ว่างโดยตรง  3  กลุ่ม  และมิติที่เวลาเกี่ยวกับอย่างน้อยอีก  3  กลุ่ม  ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่ามีความสอดคล้องกับพุทธศาสนาที่มาจากลัทธิพระเวทเหมือนกัน   เรา - ท่านและผู้ที่อยู่ในพุทธศาสนาทุกๆ  คนรู้ดีว่าภูมิหรือระดับจิตหรือขั้นของชีวิตจิตรู้นั้นจะประกอบด้วยกลุ่ม  6  กลุ่ม  ดังนี้คือ  อบายภูมิ  (4)  มนุสสภูมิ  (1)  สวรรค์ขั้นต่ำ  (6)   รูปพรหม  หรือสวรรค์ชั้นสูง  (16)  สุทธาวาส  (1)  อรูปพรหม  (4)  เราจะเห็นว่ามนุษยภูมิซึ่งก็คือภูมิ  (หรือมิติแห่งกายกับระดับจิตรู้  ซึ่งเป็นความรู้หรือจักรวาลวิทยาใหม่ในปัจจุบันที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ๆ  ที่สุด  และยอมรับกันจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เพียง  10  ปีมานี้เอง)  ภูมิในวิชาจิตวิทยานั้น  ผู้เขียนคิดว่าน่าจะตรงกับชั้น  (stages)  หรือระดับของจิตของชีวิต  หากคิดเช่นนั้น  มนุษย  (มนุสส)  ภูมิ  คือภูมิซึ่งอยู่ระหว่างนรก  (อบาย)  กับสวรรค์  และมนุษยภูมิจะมีความเป็นพิเศษอยู่ที่เป็นมิติทางจิตเพียงภูมิหนึ่งเดียวที่มนุษย์โลกมีหนทางเลือกและเตรียมตัว  (intentional  choice)  ที่จะเลือกหนทางไปนรกหรือสวรรค์  หรือไปสู่มิติที่สูงกว่านั้น  -  ไปตามกรรมของตน  -  มิติของโลกหรือจักรวาลที่มีมนุษย  (1)  นรก  (4)  และสวรรค์  (6)  นั้นจะเป็นมิติที่สัตว์โลกมีรูปร่างกายภาพที่  (physical  ที่มี  space   occupying   property)  ซึ่งทางพุทธเรียกว่า  กามาวจรภูมิ  ซึ่งมิติหรือภูมิเหล่านี้   (ยกเว้นนรกที่เป็นเรื่องของจิต)  จะมีวิวัฒนาการของกายกับจิต  หรือมีมิติของทั้งที่ว่างกับเวลาทั้ง   2  มิติ  ส่วนมิติที่  4  หรือสวรรค์ชั้นสูงภูมิแห่งรูปพรหม  (16)  มิติที่  5  สุทธาวาส  (1)  และมิติที่  6  (4)  เป็นมิติของเวลา  หรือมิติอื่นๆ  ที่ลัทธิพระเวทไม่ได้พูด  จะเป็นมิติแห่งเวลา  (time)  เท่านั้น                                                                                                         
     น่าสนใจที่ศาสนาแห่งลัทธิพระเวทที่ตรงกับพุทธศาสนา  -  ตามที่ผู้เขียนคิดและเชื่อว่าสวรรค์และนรกมีจริงๆ  -  ว่าในมิติที่มีมนุษย์ภูมิลงมาจะเป็นสถานที่ที่เป็นมิติหรือภูมิจะมีแต่วิวัฒนาการทางกายต่อเนื่องหรือชีววิทยา  เพราะฉะนั้น  มิติที่สูงกว่านั้นหรือจากสวรรค์ชั้นหรือรูปพรหมทั้
ง  16  ชั้น  สุทธาวาส  และอรูปพรหมอีก  4  ชั้น  จะเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ  จึงไม่จำเป็นต้องมีมิติของ  ที่ว่าง  (space)  ฉะนั้น  ภูมิหรือมิติที่อยู่สูงกว่าที่กล่าวมานั้น   รวมทั้งที่กล่าวก่อนบรรทัดสุดท้ายว่าต่างเป็นมิติที่มีแต่เวลาอย่างเดียวนั้นจึงล้วนแล้วแต่ไมมีรูปร่างกายภาพ   (physical)   แบบที่เราคิดและรู้จักเลยด้วย  แม้แต่ในชั้นที่เรียกว่า  รูปพรหม   (16)  ก็เป็นเช่น  นั่นก็คือ  ชั้นของสวรรค์ชั้นสูงหรือรูปพรหม  (16)  และชั้นสุทธาวาส  (1)  จะประกอบด้วยแสงที่มีรูปประดุจดาว  (astral)  ที่มีรัศมีน้อย  คืออยู่กับดาวดวงนั้นเท่านั้น  โดยไม่ได้แผ่กระจายสู่ที่ว่างที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วย  มิติที่  6  หรืออรูปพรหมจะมีแสงที่มีรัศมีมากไปทั่วที่ว่างของภูมินั้น  ชั้นต่างๆ  ทั้งหมดจึงเป็นมิติที่มีแต่วิวัฒนาการ  ทั้งกายและจิตที่ต่อเนื่อง  (ระหว่างภพภูมิต่างๆ  ของชีวิต)  ซึ่งในชั้นสูงจะมีแต่วิวัฒนาการเฉพาะจิตวิญญาณ  (spirituality)  ที่ไล่ต่อๆ  ไปถึงนิพพานการตรัสรู้อันเป็นเป้าหมายของการดำรงอยู่ของชีวิตและจักรวาล


     ลัทธิพระเวทบอกว่า   มิติที่  4  จะเป็นมิติของจิตยามฝันที่ตัวเองจะมีความรู้เหนือธรรมชาติอย่างล้ำลึก  และสามารถจะแยกตัวเองเป็น  2  ร่างไปไกลขนาดไหนก็ได้  ทั้งยังมองเห็นได้ไกลเป็นปีที่แสงเดินทางได้ด้วยตาที่   3  เหมือนกับพระอินทร์ส่องดูโลกด้วยกล้องทิพยเนตร  ส่วนมิติที่  5  จะเหมือนกับอยู่กับโลกในระหว่างที่เราฝันและความหลับลึก  พร้อมกับมีความสามารถมองเห็นกาลเวลาที่ห่างไกลได้  และสามารถติดต่อกับมิติต่างได้ด้วยจิต  มิติที่  5  จึงไม่ต้องมีภาษาใช้   ส่วนมิติที่   6  เป็นมิติที่มีอัตตาอหังการแยกออกไปอยู่ต่างหาก  ทำให้รู้จริงๆ   ว่าที่แท้นั้น  แม้แต่อัตตาตัวตนอหังการก็ไม่ใช่ว่าจะมีตัวตนจริง


     ในทางวิทยาศาสตร์ใหม่นั้น  ทฤษฎีสตริง  ซูเปอร์สตริง  และสุดท้าย  เอ็ม-ธีออรี่  (M-theory)   ซึ่งได้มาจากสตริงธีออรี่หนึ่งเดียวกัน  จึงได้เกิดมีจักรวาลวิทยาแห่งยุคใหม่ขึ้นมา  และยอมรับกันเพียงไม่ถึง   10  ปีมานี้เอง  หรือพูดง่ายๆ  ก็คือ  ภายในสหัสวรรษนี้  นั่นคือ  "ทฤษฎีที่อธิบายทุกๆ  สิ่ง  ทุกๆ  อย่าง"  (theory  of  everything)  ซึ่งก็คือแรงที่รวมแรงทั้ง   4  แรงให้เป็นหนึ่งเดียว  (grand  unified  theory)  ที่นักฟิสิกส์ค้นหามานานนักหนา  รวมทั้งอัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์  และสตีเฟน  ฮอว์กิง  ทฤษฎีซูเปอร์สตริงบอกว่า  สิ่งที่เราคิดว่าเป็นคลื่นอนุภาค  เช่น  อิเล็กตรอน  ควาก  นิวตริโนส์  ฯลฯ  ซึ่งในสภาพหนึ่งเป็นอนุภาคหรือมีลักษณะที่เป็นจุดนั้น  หากแยกต่อไปโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง  (ซึ่งมีเพียงแต่ทางคณิตศาสตร์อย่างเดียว  เพราะว่าในปัจจุบันนี้  ความรู้หรือเทคโนโลยีสำหรับการทดสอบทางห้องทดลองยังล้าหลัง  การทดสอบทางห้องวิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้)  มันก็จะพบว่ามันแทนที่จะเป็นจุด  มันกลับกลายเป็นสายสตริงที่เล็กละเอียดมาก  -  เพราะเล็กกว่าอะตอมถึง  3  เท่า -  ที่สั่นระรัว  (vibration)  การสั่นระรัวสั่นสะเทือนแต่ละรูปแบบเหมือนกับโน้ตดนตรีที่จะให้อนุภาคแต่ละตัวออกมา  จักรวาลจึงเป็นดุจการประสานเสียง  (harmony)  ของดนตรีที่มีแต่ไวโอลิน  (หรือ  strings)  มากมาย  หรือเป็นซิมโฟนีเราดีๆ  นี่เอง  และโดยทฤษฎีซูเปอร์สตริง  หรือเอ็ม-ธีออรี่   (M = membrane  หรือหนังที่ขึงหน้ากลอง)  ที่อธิบายเพิ่มเติมว่า   จักรวาลนั้นไม่ใช่มีเพียงหนึ่งเดียวคือจักรวาลของเราเท่านั้น  แต่ยังมีจักรวาลอื่นๆ  เยอะแยะไปหมด  (pleuniverses  or  multiverses)  ซ้อนๆ  กับจักรวาลของเรา  เพียงห่างไปเป็นมิลลิเมตรเท่านั้น  แต่เรามองไม่เห็น  เพราะต่างมิติกัน  และทฤษฎีซูเปอร์สตริงยังบอกต่อไปว่า  -  ประหนึ่งเป็นการยืนยันลัทธิพระเวท  -  อาจจะมีทั้งหมด  10  (หรือ  11  มิติของที่ว่างบวก  1  มิติของเวลา)  โดยมิติยิ่งสูงยิ่งสั่นระรัวน้อยจนกระทั่งถึงมิติที่  10  (11)  ถึงจะไม่มีการสั่นหรือแทบจะไม่มีการสั่นเลย   เพราะมิตินั้นคือมิติที่วิวัฒนาการของจิตวิญญาณ
ได้มาถึงจุดสูงสุด   หรือคือนิพพานนั่นเอง  (มีชิโอะ  กากุ)  จากทฤษฎีสตริงและจากลัทธิพระเวท  -  สำหรับผู้เขียน  -  เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า  มิติยิ่งต่ำจะมีการสั่นสะเทือนมาก  และอบายภูมิคือสิ่งที่กล่าวมานั้น   ในขณะที่มิติยิ่งสูงยิ่งจะมีวิวัฒนาการของจิตวิญญาณหรือมีการสั่นน้อยลงๆ  และความ  หยาบหรือรูปกายวัตถุ  ก็จะยิ่งน้อยลงด้วย  ด้วยการมองเห็นได้จากสวรรค์ชั้นสูงกับสุทธาวาสและอรูปพรหมจนถึงนิพพาน.
 
http://www.thaipost.net/sunday/110410/20664
4651  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: ใครฆ่าพระเจ้าตาก ฉบับ ภิกษุณีโพธิสัตว์ วรมัย กบิลสิงห์ เมื่อ: 13 เมษายน 2553 07:58:28

 
 
เรื่องการเมืองเข้ามารบกวนพระทัยอยู่จนดึก พอเที่ยงคืนจึงได้ทรง บรรทมหลับ


สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว พะเจ้าตากสินมหาราชบรรทมหลับ จน ยามสาม ทรงได้ยินเหมือนใครเรียกพระองค์ว่า " โพธิสัตว์ ๆ ตื่นเถิด " ครั้นทรงลืมพระเนตรขึ้นก็มิได้เห็นผู้ใด จึงทรงประทับนั่ง และทรง ทำสมาธิแบบโพธิสัตว์ว่า " กวน อิม พ่อ สัก " เป็นองค์ภาวนา ส่วน พระทัยหมายตรึกถึงดอกบัวพระโพธิสัตว์ ท่องพระนามไปครั้งหนึ่ง พระหัตถ์ก็เลื่อนลูกประคำไปเม็ดหนึ่ง จนกว่าพระจิตจะสงบเงียบเป็น ขณิกสมาธิ และเลื่อนขึ้นเป็นอุปจาระสมาธิ แล้วทรงทำจิตให้แน่วแน่ จนเป็นอัปปาสมาธิ


ขณะที่พระจิตอยู่ในสมาธินั้น พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็น สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอมิตาภะเสด็จประทับอยู่เบื้องหน้า ในลักษณะลอย พระองค์อยู่สูงเสมอเศียร ทางเบื้องซ้ายขวาของพระพุทธเจ้าอมิตาภะ พระ อวโลกิเตศวรอรหันต์หรือพระกวนอิม และพระมหาสถามะปราบต์ประทับ อยู่


สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงทอดพระเนตรเห็น แน่ชัดแล้วว่า เป็นสมเด็จพระพุทธเจ้าอมิตาภะ ผู้ทรงเมตตาคุณยิ่งกว่า ผู้ใด พระพุทธเจ้าพระองค์นี้แน่แล้ว ที่ทรงตั้งความปรารถนาไว้เป็นสัจจะ ว่า จะทรงช่วยสัตว์ทุกชีวิต ให้ได้ขึ้นสู่สุขาวดีแดนพุทธของพระองค์ ก่อน พระองค์จึงจะเสด็จเข้าสู่พุทธเกษตรอันสงบ ทรงดีพระทัยเป็น อย่างยิ่ง ก็ทรงกราบทูลเรื่องราวความลำบากที่พระองค์ กำลังทรงได้ รับอยู่นั้น ให้ทราบทุกประการ
 

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระอมิตาภะ ทรงสดับเรื่องราวนั้นแล้ว ทรงรับเป็นพระธุระ โปรดให้พระอวโลกิเตศวรช่วยเหลือทันที โดย มีพุทธบัญชาว่า " ขอท่าน จงช่วยโพธิสัตว์เจียนสินศิษย์ของท่านเถิด " แล้วเสด้จกลับพร้อมพระมหาสถามะปราบต์
 
 
พระอวโลกกิเตศวรทรงปรากฏให้สมเด็จพระเจ้าตากสินทอดพระเนตร เห็นในภาคท่านผู้เฒ่าวัย ๙o ปี ซึ่งมีลักษณะเป็นชายแก่สูงอายุ หน้าขาว อวบอูมผิวสะอาดสีขาวอมชมภูอ่อน หนวดขาวยาวถึงอก สวมเสื้อผ้า อย่างผู้เฒ่าที่มีฐานะดี อย่างเดียวกับเมื่อชาติที่ท่านเคยเป็นพระอาจารย์ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในชาติก่อน แล้วถามศิษย์ของท่านว่า " โพธิสัตว์ เจียนสิน จำเราได้ใหม เราคืออาจารย์ของเจ้าตั้งแต่ชาติก่อนๆ อย่างไรเล่า วันี้มาให้เจ้าพบเห็นแก่ตาเพราะรู้ว่าเจ้ามีทุกข์มากนัก เรื่องที่ กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบนั้น พระองค์ทรงทราบก่อนแล้วเพราะ ได้ทรงสอดส่องทราบความทุกข์สุขของผู้ซึ่งระลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ "

 
" โพธิสัตว์เจียนสินฟังให้ดีนะ เวลาของเจ้าเหลือน้อยแล้ว จงรีบทำจิตให้ ผ่องใสและออกบรรพชาอุปสมบทโดยเร็ว อย่ายึดติดในสิ่งทางโลกเลย เจ้าได้ช่วยชาติบ้านเมืองและพระศาสนามาพอสมควรแล้ว จงวางมือให้ โพธิสัตว์องค์อื่นเขาทำบ้าง


เรื่องสำคัญที่เจ้าปรารภนั้น เพราะเขาศรัทธาเจ้า เขาจึงอยากช่วย แต่ถ้า ให้เขาช่วยแผ่นดินจะแยกเป็นสองฝ่าย เจ้าก็ไม่ต้องการ เจ้าจงคิดทำ อย่างใดอย่างหนึ่งให้พวกพ้องของเจ้าเขาหมดศรัทธาในตัวเจ้า เขาจะ ได้ไม่มาวุ่นวายในเมืองนี้ คนที่จะมาทำการกู้บ้านเมืองแทนเจ้า คือคน ที่เจ้าตั้งให้เขาเป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย เขาเป็นโพธิสัตว์ฝ่ายช่วยบ้าน เมืองเหมือนกัน เขาจะตั้งตัวได้ดีอย่าเป็นห่วงเลย จงห่วงแต่ตัวของเจ้า เองเถิด จวนเวลาแล้ว อีก ๑๘๑ ปี คนจะรักและนับถือเจ้ามาก เรื่อง หมองมัวจะถูกเปิดเผยออกโดยโพธิสัตว์ด้วยกันช่วยเหลือ
 
 
เจ้าจงคิดอ่านทำให้คนหมดศรัทธาในตัวเจ้า แล้วหนีออกไปอุปสมบทเสีย จะได้กุศลเพิ่มขึ้น เพราะการลงมาครั้งนี้ ได้กุศลก็จริงบาปอยู่ "


สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าตากสินมหาราชทรงแปลกพระทัยว่า พอคิด ว่าจะทรงถาม พระอาจารย์ท่านก็ตอบก่อนทุกที เหมือนท่านทรงทราบเรื่อง ในพระทัยทุกอย่าง แล้วท่านก็รีบตอบ ( เพราะถ้าให้ถามจิตที่กำลังอยู่ใน สมาธิก็จะเคลื่อน ทำให้เห็นภาพพร่าหรือมัวไป และถ้าจิตเคลื่อนออกจาก สมาธิมาก ภาพพระอาจารย์และเสียงนั้นก้จะหายไปด้วย ท่านจึงรีบตอบ โดยไม่ต้องถาม )


สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงจดข้อความซึ่ง พระอาจารย์สอนไว้ แล้ว ทรงพิจารณาเป็นข้อ ๆ เวลานั้นจวนจะรุ่งอยู่แล้ว จึงตรัสเรียกพระยาธิ เบศร์มาเฝ้า ทรงสั่งด้วยพระเสียงน้อย ๆ พระยาธิเบศน์ก็กราบถวายบัง คมกลับออกไป

 
- บางส่วนจาก ใครฆ่าพระเจ้าตาก -
-ฉบับ หลวงย่า ภิกษุณีวรมัย กบิลสิงห์ -
4652  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: ใครฆ่าพระเจ้าตาก ฉบับ ภิกษุณีโพธิสัตว์ วรมัย กบิลสิงห์ เมื่อ: 13 เมษายน 2553 07:53:39

 
 
( เรื่องสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเข้าพระกรรมฐานนี้ในหนังสือพระราช พงศาวดารมีอยู่หน้า ๑๕o - ๑๕๑ มีใจความดังต่อไปนี้ )
 
 
ครั้น ณ วันจันทร์ ขึ้นแปดค่ำ เดือนอ้าย สามเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชศรัทธาเสด็จขึ้นไปทรงเจริญพระกรรมฐาน ณ พระอุโบสถ วัดบางยี่เรือใต้ แล้วทรงพระราชอุทิศถวายเรือโขมดปิดทองทึบหลังหนึ่ง หลังคาบัลลังก์คาดสีสักหลาดเหลืองคนพายสิบคน พระราชทานเงินตรา คนละสองตำลึง และผ้าขาวให้บวชเป็นปะขาวสำหรับพระอาราม แล้ว ทรงถวายหีบปิดทองคู่หนึ่ง สำหรับใส่พระไตรปิฎกและวิธีอุปเทศพระ กรรมฐาน แล้วทรงตั้งพระสัตยาธิษฐานว่า เดชะผลทานบูชานี้ ขอจงยัง พะลักษณะ พระปีติทั้ง ๕ จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าแล้วอย่าได้อันตรธาน และพระธรรมซึ่งยังมิได้บังเกิดนั้น ขอจงภิญโญภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป อนึ่ง ขอจงเป็นปัจจัยแก่พระบรมภิเษกสัมโพธิญาณในอนาคตกาลภายภาคหน้า .......
 
 
แล้วให้พระราชาคณะเสนบดีกำกับกัน เอาเงินตราสิบชั่งไปเที่ยวแจก คนโซ ทั่วทั้งในนอกกรุงธนบุรีทั้งสิ้น
 
 
ครั้นถึง ณ วันจันทร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือนอ้ายทรงพระกรุณาให้เชิญพระ โกศ พระอัฐิ สมเด็จพระพันปีหลวง กรมพระเทพามาตย์ ลงเรือบัลลังก์ มีเรือแห่เป็นกระบวนไปแต่พระตำหนักแพ แห่เข้าไป ณ วัดบางยี่เรือใต้ แล้วเชิญพระโกศขึ้นสู่พระเมรุ นิมนต์พระสงฆ์สดัปปกรณ์หมื่นหนึ่ง ทรงถวายไทยทานเป็นอันมาก ครบสามวัน แล้วเชิญพระโกศลงเรือแห่ กลับเข้าพระราชวัง
 
 
สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ทรงสมาทานอุโบสถศีลแล้วทรงเจริญพระ กรรมฐานภาวนา เสด็จประทับแรมอยู่ ณ พระตำหนักวัดบางยี่เรือใต้ ห้าวัน ให้เกณฑ์ข้าราชการปลูกกุฏิร้อยยี่สิบหลัง แล้วให้บูรณปฏิสังขรณ์ พระพุทธปฏิมากร และพระอุโบสถเจดีย์วิหารให้บริบูรณ์ขึ้นสิ้นทั้งพระ อาราม อนึ่ง ที่คูรอบพระอุโบสถนั้นให้ชำระแผ้วถาง ขุดให้กว้างออก ไปกว่าเก่า ให้ปลูกบัวหลวงทั้งรอบ แล้วให้นิมนต์พระสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนา ธุระมาอยู่ ณ กุฏิซึ่งปลูกถวาย แล้วเกณฑ์ข้าทูลทะอองธุลีพระบาทให้ ปรนนิบัติทุก ๆ พระองค์ และเสด็จไปถวายพระราชโอวาทแก่พระสงฆ์ โดยอธิบายซึ่งพระองค์ทรงบำเพ็ญได้ ให้ต้องด้วยวิธีพระสมถกรมฐาน ภาวนา จะได้บอกกล่าวแก่กุลบุตรเจริญในปฏิบัติศาสนาสืบไป แล้วทรง สถาปนาพระอุโบสถและการเปรียญเสนาสนะ กุฏิ ณ วัดหงส์สำเร็จ บริบูรณ์
4653  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / ใครฆ่าพระเจ้าตาก ฉบับ ภิกษุณีโพธิสัตว์ วรมัย กบิลสิงห์ เมื่อ: 13 เมษายน 2553 07:51:25

 
 
ทรงนึกถึงพระอาจารสุกซึ่งเป็นพระสอนกรรมฐานและเคยเป็น อุปัชฌาย์อาจารย์ เมื่อครั้งทรงพะเยาว์อยู่กับพระบิดา พระองค์ ทรงเรียนสมาธิ และเคยมีจิตอันสงบเข้าเขตฌานมาแล้ว และเคย ทรงทราบว่า พระอาจารย์สุกนั้นเมื่อมีเรื่องสงสัยอย่างไรเกิดขึ้น ท่านมักทำสมาธิเข้าองค์ฌาน แล้วถามเรื่องจากท่านข้างบน ซึ่ง บางครั้งก็ถามพระอาจารย์แต่อดีตชาติของท่านเอง บางครั้งท่าน ก็ถามเทพและพรหมได้ เมื่อสบายใจว่าง ๆ บางครั้งท่านก็เล่าให้ ศิษย์ผู้ไกล้ชิดฟังบ้าง
 
 
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงคิดว่าจะตรัสถามพระอาจารย์ถึงเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จึงทรงสั่งอำมาตย์ผู้ใหญ่ให้ระวังรักษาพระครไว้ให้ดี แล้ว เสด็จประทับ ณ วัดบางยี่เรือใต้
 
 
ทรงประทับนิ่งนาน ณ เบื้องพระพักตร์แห่งองค์พระประธาน น้อม นมัสการ แล้วทรงระลึกถึงคุณแห่งพระบรมศาสดา ตั้งจิตอธิษฐานขอ อำนาจแห่งพระบารมีแต่หนหลังจนปัจจุบัน ขอให้พระบารมีนั้นมาสนับ สนุนป้องกันระวังภัย อย่าให้มารมาสอดแทรกได้ พอจิตเป็นสมาธิทรง เข้าปฐมฌาน ผ่านทุติยฌาน และตติยฌาน ไปตามลำดับ ทรงประทับ ยับยั้งในจตุตถฌาน ๔ เสวยสุขด้วยพระทัยอันเยือกเย็นอยู่ตลอดราตรี
 
 
ในวันรุ่งขึ้นขณะทรงเข้าอยู่ในจตุตถฌาน เสวยสุขอยู่นั้น ก็ทรงอธิษฐาน ถามว่า พระองค์จะเสวยราชอยู่ต่อไปได้หรือไม่ ถ้าหมดบุญแล้วใครจะ เข้ามาครองราชแทน ความวุ่นวายของทหารทั้งสองพวกนั้นจะเป็นอย่าง ไร ? คำถามนี้พระองค์ถามทีละข้อ เมื่อได้คำตอบแล้วจึงทรงถามต่อไป เมื่อทรงอธิษฐานถามแล้วก็ทรงปล่อยวาง ไม่ได้ยึดติดใคำถามนั้น ทำจิต ให้ผ่องใส อยู่กับสติและปรีชาญาณ


คำตอบนนั้นเป็นภาพ และเป็นเสียงจากพระฤทัยบ้าง จากพระกรรณบ้าง ผลจากคำตอบนั้นทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนจากเข้า " ฌาน " เป็นยกระดับ จิตขึ้นสู่ " ญาณ " ทันที
 
 

พอจิตสงบลงทรงพิจารณาสังขารร่างกาย พิจารณาในอริยะสัจจ์ ๔ คือ คามเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วทรงปล่อยวาง เข้าพิจารณาในทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค ครั้นถึงยามสามก็ทรงพิจารณาความคิด เรื่องราวต่าง ๆ ให้ เข้าในกฏของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
  
 
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยกระดับจิตขึ้นสู่ภูมิวิปัสสนา แต่ยามต้น ทรงพิจารณาดูการเกิดดับของสังขารร่างกาย แล้วพิจารณา การเกิดดับของสิ่งทั้งหลาย เอาความเสื่อมนั้น ๆ มาเปรียบกันก็ทรงเห็น ความจริงว่า ไม่ว่าสิ่งใดในโลกนี้ จะต้องพบความเกิดดับแตกทำลายทั้ง สิ้น ไม่มีใคร ไม่มีอะไร จะอยู่มั่นคงถาวรตลอดกาลไปได้
 

สังขารทั้งหลายที่เคยสวยงามสดใสก็ต้องเปื่อยเน่าไป จะหาอะไรจีรัง แน่นนั้นไม่มีเลย
 

คิดแล้วก็ทรงเศร้าพระทัยว่า พระองค์ทรงหลงเสียแล้ว หลงอยู่กับสิ่ง หลอกลวงมาหลายสิบปีทรงเบื่อหน่ายต่อพระวรกาย ทรัพย์สมบัติและ ราชบัลลังก์ ทรงเบื่อหน่ายต่อการเป็นจอมทัพ การเป็นเจ้าแผ่นดินที่ต้อง ยกทัพไปรบกับใคร ๆ จนแทบไม่มีเวลาได้ทรงพักผ่อนสรร้างบุญสร้าง กุศล พระองค์ทรงรู้สึกคิด อย่างสมณะผู้เคร่งและผ่านอุทยัพพยานุปัส -สนาญาณ และพระอารมณ์กำลังอยู่ในนิพพิทานุปัสสนาญาณ ซึ่งทรง พระปรีชาฉลาด เห็นอันตรายของสังขารที่แตกแยกเน่าเปื่อยไป ทำให้ ทรงเบื่อหน่ายเป็นที่สุด
 


ทรงเบื่อหน่ายต่อสิ่งเหล่านั้น อันล้อมรอบพระวรกายอยู่ ยังไม่ทรงเห็น ทางที่จะสละให้ห่างไกลไปได้ก็ทรงรำคาญพระทัย
 
 

 

วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ ๔ เมื่อขณะทรงเจริญพระพุทธมนต์ กลิ่นดอกไม้ ประหลาดหอมเย็น ๆ อยู่นานตรงบริเวณพระประธานองค์นั้น ทำให้ พระหทัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสดใสชื่นบาน พระพักตร์ก็แจ่มใส พระโอษฐ์ยิ้มแย้ม พระเนตรอ่อนหวานเต็มไปด้วยพระเมตตากรุณา ทรง กราบพระประธานและเจริญพระพุทธมนต์ แล้วก็ทรงหลับพระเนตรอย่าง มีความสุข พอสงบจากเสียงภายนอกได้ชั่วครู่เท่านั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวก็ทรงเห็นดอกบัวบานสะพรั่งอยู่ตรงพระพักตร์ เกษรอันเหลืองอร่าม นั้นหอมเย็นอย่างประหลาด เมื่อทรงเงยพระพักตร์ขึ้น จึงทรงทอดพระ เนตรเห็นว่า ดอกบัวนั้นขยายใหญ่ออกไปได้ และที่ตรงฝักบัวอ่อน ๆ สีเหลืองนั้น มีพระบาททั้งคู่ประทับอยู่ทุกดอก ทรงประหลาดพระทัยยิ่ง นักก็ทรงลืมพระเนตรขึ้น จึงได้ทรงเห็นพระกายของพระบรมโพธิสัตว์เจ้า และพระสานุศิษย์ของพระองค์ ทุกพระองค์ทรงมีพระรัศมีเหลืองอยู่บน พระเศียร



สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลับพระเนตรอย่างเดิม ทำพระทัยให้หยุดนิ่ง อยู่เฉพาะองค์พระบรมโพธิสัตว์ทรงสนพระทัยต่อเสียงค่อย ๆ แต่ทรง ฟังชัดว่า

 
" เจียนสินโพธิสัตว์ อาจารย์มาเยี่ยม จวนเวลาที่จะได้กลับแล้ว จงทำ จิตให้ถึงที่เคยอยู่ อย่าประมาท " แล้วภาพนั้นก็หายไป
 
 อารมณ์ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แช่มชื่น เหมือนผู้หมดกังวลอยู่สักครู่ ใหญ่ แล้วก็กลับทรงระลึกถึงพระราชชนีพระพันปีหลวง และทรงใคร่ จะได้สร้างกุศลนั้นยิ่งนัก
4654  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / MV / คาราโอเกะ - น้องไก่ - คัฑลียา มารศรี เมื่อ: 08 เมษายน 2553 09:34:35
MV / คาราโอเกะ - น้องไก่ - คัฑลียา มารศรี
4655  นั่งเล่นหลังสวน / หน้าเวที (มุมฟังเพลง) / takkatan(ตั๊กแตน ชลดา)-ขอเป็นคนถัดไป เมื่อ: 08 เมษายน 2553 09:31:26
takkatan(ตั๊กแตน ชลดา)-ขอเป็นคนถัดไป





ขอเป็นคนถัดไป
ศิลปิน ตั๊กแตน ชลดา

.....อยากมีสิทธิ์หวง เมื่อเห็นเธอควงคนอื่น เจ็บช้ำกล้ำกลืน
ต้องนอนสะอื้นเดียวดาย รักเธอข้างเดียว แถมยังเป็นชู้ทางใจ
รักเธอข้างเดียว ไม่เห็นจะดีตรงไหน
ตัดอกตัดใจ ไม่คิดแย่งแฟนใครหรอกหนา
 
อยากบอกว่ารัก รักเธอสักหมื่นพันครั้ง สิ่งที่รับฟัง
มีเพียงท่านเทวดา ก็อยากจะขอให้รักเธออยู่คู่ฟ้า
แต่หากวันไหน รักเธอไม่สมปรารถนา
บังเอิญเลิกราช่วยมาจ้องตาฉันที
ก็อยากจะขอเป็นคนถัดไป ไม่มากใช่ไหมฉันขอเธอเพียงเท่านี้
กว่าจะลืมเธอคงใช้เวลาหลายปี ถ้าฟ้ายินดีคงมีโอกาสแลกใจ

ไม่เคยจะคิดจะแช่งให้ใครเลิกกัน ประตูสวรรค์จงอยู่ในนั้นเรื่อยไป
จะไม่รบกวนให้เธอต้องว้าวุ่นใจ จะขอเป็นยามเฝ้าหน้าประตูได้ไหม
ร้องไห้วันใด ให้ฉันดูแลใจเธอ

ก็อยากจะขอเป็นคนถัดไป ไม่มากใช่ไหมฉันขอเธอเพียงเท่านี้
กว่าจะลืมเธอคงใช้เวลาหลายปี ถ้าฟ้ายินดีคงมีโอกาสแลกใจ

ไม่เคยจะคิดจะแช่งให้ใครเลิกกัน ประตูสวรรค์จงอยู่ในนั้นเรื่อยไป
จะไม่รบกวนให้เธอต้องว้าวุ่นใจ จะขอเป็นยามเฝ้าหน้าประตูได้ไหม
4656  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: สูตรแห่งใจ ปรัชญาปารามิตา เมื่อ: 08 เมษายน 2553 09:03:10
 อายจัง

หทัยสูตร ฉบับ ท่านติช นัท ฮันต์ กำลังจะพิมพ์อยู่ จ้า เร็ว ๆ นี้

 หัวเราะลั่น โปรดติดตาม นะ แฟนคลับทั้งหลาย
4657  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: พระสูตรเว่ยหล่าง เมื่อ: 08 เมษายน 2553 08:38:47
 อายจัง

การเผยแพร่ธรรม  
จิตนึกถึงคนอื่น
เป็นกรรมสาธารณะ นะ สาธุ


แวะมาแล้วล่ะ แต่งกระทู้ได้สวย น่าอ่านดี นะครับ

เปรียบ พระธรรม คือ องค์พระ
การจัดแต่ง กระทู้ คือ ทองปิดองค์พระ

เป็น อุปายะโกศล อุบายธรรม ที่ทำให้เส้นทางธรรม ไม่น่าเบื่อ
ได้ทั้งปัญญา และ ความรื่นรม ความปีติสุข  ตลอดเส้นทางธรรม


พระธรรม เพียว ๆ มีรสขม  มหาชนไม่ชอบ ต้องยาขม อย่างฟ้าทะลายโจร
มาปรุงแต่งรสชาติ ให้น่าทาน คนจึงชอบ ทานไปเรื่อย ๆ ก็มีสรรพคุณ เข้าถึง มรรคผลนิพพาน ไม่ต่างกัน
การเอา พระธรรม มาแต่งสี ปรุงรส ให้น่าสนใจ
จะทำให้คนเข้าถึงธรรมได้จำนวนมหาศาล เอาศรัทธา เข้าดึง สุดท้าย
ปัญญาบารมี อินทรีย์ทางธรรม เข้าจะสว่างไสวตามลำดับ


การเผยแพร่ธรรม ธรรมทาน เป็น ทานอันประเสริฐสุด
เป็น การให้ดวงตา แก่ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ยกระดับจิตร่วมแห่งโลกธาตุ
ธรรมมะ พระพุทธะ เป็น สิ่งที่พบเจอได้ยากยิ่ง
ธรรมสิ่งที่พบเจอได้ยาก ให้ของยาก ๆ  หาได้ยากยิ่ง

สังขาร ร่างกาย ทะเลทุกข์ เข้มข้น บีบเค้น แล้วยังมีใจไพศาลเยี่ยงนี้

ข้าพเจ้าขอ อนุโทนา ใน เนื้อนาบุญอันนี้ อย่าได้ย่นย่อท้อถอย
ขอให้มั่นคง ในพันธกิจแห่งพุทธะ ทำไป ขอให้ดวงใจ ฉ่ำเย็น เห็นธรรมไปเรื่อย
จนถึงที่สุดแห่งทุกข์ นะ

จงจำไว้เถิดว่า เรารักษาธรรม แล้ว ธรรมจะรักษาเรา

ขอให้เข้มแข็ง จิตสบาย คลายตัว มองเห็นหนทางอันกว้างไกล ขึ้นเรื่อย ๆ
ผลสะท้อน ย้อนกลับ ไปยังคนให้ จงเป็นดั่งใน ปรัชญาปารมิตาเทอญ

อจินไตย ไร้ประมาณ ยิ่งกว่าห้วงนภากาศ สิบทิศ  ตัดผ่าน ทวิภาวะ นานาทุกข์ นะ

สุดท้าย ถ้าเก่งขึ้นแล้ว พึ่งตัวเองได้แล้ว ย่อมเป็นที่พึ่งชี้ทางให้คนอื่น โดยธรรมชาติ

อย่างในภาพ ปริศนาธรรมเซน จิตวัว ภาพสุดท้าย ชื่อว่า

พระยิ้ม พุงพุ้ย ชี้ทางเด็ก


*** ว่าง ๆ จะเอา ไอ้ที่พิมพ์เสร็จ แล้ว มาให้เจ้าของ กระทู้แต่งให้จ้า
ยืมฝีมือหน่อย นะ โอ หนังสือ รินไซเซน ศิษย์ ท่านฮวงโป
มดเอ๊ก ยังพิมพ์ไม่เสร็จเลย อิ อิ อิ ไปล่ะ สาธุ


4658  สุขใจในธรรม / จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม / Re: กุญแจเซน โดย ท่าน ติช นัท ฮัน เมื่อ: 08 เมษายน 2553 08:28:48
 หัวเราะลั่น พิมพ์ไว้เมื่อ เกือบ 2 ปีที่แล้ว ล่ะ
แต่ยังไม่เสร็จ บทท้าย ๆ นะ

ตั้งใจว่า จะทำให้เสร็จ ขอบคุณที่นำมาลงนะครับ
จะได้เตือนความจำ โพสไว้ 2 เว็บ ล่มไป 2เว็บเลย

นึกว่าหายโม๊ดดดดดด ที่แท้มีคนเอาไปโพสไว้ที่เว็บ เพื่อนสนิทนี่เอง

เจริญธรรม
4659  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / Re: ตัวอย่างหนัง คนไททิ้งแผ่นดิน เมื่อ: 08 เมษายน 2553 08:23:45
เซฟไปอ่านได้

http://www.konthaithemovie.com/ebook.html
4660  นั่งเล่นหลังสวน / หนังกลางแปลง (ดูหนัง รีวิวหนัง) / ตัวอย่างหนัง คนไททิ้งแผ่นดิน เมื่อ: 08 เมษายน 2553 08:15:41
ตัวอย่างหนัง คนไททิ้งแผ่นดิน
หน้า:  1 ... 231 232 [233] 234 235 236
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 1.212 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 28 มีนาคม 2567 13:29:04